Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: ศรัทธา ธรรม  (อ่าน 13543 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #180 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2021, 11:18:55 AM »

“อย่ากังวลใจกับอุปสรรคใดๆ  ที่เข้ามาในชีวิต  ให้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา  เป็นกฎของกรรม  อดทนไปสักระยะหนึ่ง  เหตุการณ์ทั้งหมดก็จักคลี่คลายไปได้ด้วยดี”


 
(พระราชพรหมญาน (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #181 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2021, 11:21:28 AM »

“การยอมโง่ในสายตาคนอื่น  แต่เพื่อความสบายใจ  และไม่กระทบกระทั่งกันนั้น  เป็นอุบายที่ฉลาด  รู้หลบรู้หลีก  รู้ผ่อนสั้นผ่อนยาว  อย่างนี้เป็นทางของคนดี  และนักปราชญ์ชื่นชม”

หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #182 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2021, 11:24:18 AM »

. สุดท้ายชีวิตก็ไม่มีอะไร ..
ชีวิตของเราไขว่คว้าหาสิ่งต่าง ๆ มากมาย ..
ทั้งสิ่งของ ความรู้ เพื่อนฝูง ลาภยศ สรรเสริญ ..
แต่สุดท้ายเราเหลืออะไร

แต่สุดท้ายสิ่งของที่หามาได้ก็เป็นเพียงแค่วัตถุที่สนองตัญหาของเราเท่านั้น ..

จะมีคุณค่าก็แค่ตอนได้มาใหม่ๆ เมื่อนานไปเราก็จะลืม ..
ลืมไปว่าเราเคยชื่นชมสิ่งนั้นๆ มากแค่ไหน ..
และสุดท้ายก็จะเหมือนไม่มีอะไร ..

ความรู้ .. เราเรียนกันมากมาย ..
ทั้งปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก ..
แต่สุดท้ายเราไม่เคยเรียนรู้ตัวเองได้เลย ..
เรียนรู้เรื่องต่าง ๆ มากมาย แต่ไม่รู้จักตัวเองด้วยซ้ำ ..
สุดท้ายการเรียนรู้ก็ไม่มีอะไร ..(ถ้าเราไม่รู้จักตัวเอง) ..
ลาภยศ สรรเสริญ ..สูงสุดคืนสู่สามัญ .. เป็นคำที่ดีที่สุด ..
เมื่อเราขึ้นสู่จุดสูงสุดของชีวิต ..แต่สุดท้ายก็ต้องเป็นคนที่ไม่มีอะไร ..

เพราะ ทุกอย่างเป็นของสมมติทั้งนั้น ..
เค้าให้เราได้ .. เค้าก็เอาคืนไป ..สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไร ..
คนเรามาแต่ตัวก็ไปแต่ตัวกันทั้งนั้น ..
สิ่งที่จะติดตัวเราไปตลอดคือคุณงามความดีที่เราได้เคยทำไว้เพียงเท่านั้น ..

ได้มาจากไลน์ ขอขอบคุณเจ้าของบทความไว้ ณ ที่นี้ ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #183 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2021, 11:25:22 AM »

“ให้อภัย” สิ่งที่ผมเรียนรู้จากเด็ก ป.1

ผมเคยเขียนเล่าเรื่องนี้ลงในเฟสบุ๊คส่วนตัวเมื่อหลายปีก่อน วันนี้ขอนำมาถ่ายทอดใหม่ในเพจนี้อีกครั้งเผื่อจะเป็นประโยชน์กับหลายๆท่านนะครับ

ลูกผมเรียนที่โรงเรียนนานาชาติแห่งหนึ่งในจังหวัดเชียงใหม่ โรงเรียนนี้มีสัดส่วนนักเรียนต่างชาติที่เป็นฝรั่งถึง 94% มีนักเรียนไทยอยู่เพียง 6%

ปัญหาที่ลูกเจอตอนอยู่ ป.1 คือลูกมักถูกเด็กฝรั่งซึ่งตัวใหญ่กว่ารังแกอยู่เสมอ และลูกมาเล่าให้ผมฟัง

ผมจึงสอนลูกไปว่า อย่าไปยอมมันเราต้องสู้ให้เห็นว่าเราไม่กลัว มันจะได้ไม่กล้ารังแกเรา

ตกเย็นลูกกลับมาบอกว่าวันนี้ลองสู้แล้วแต่สู้ไม่ไหวเพราะเพื่อนตัวใหญ่กว่ามาก

ผมบอกลูกว่างั้นเอาใหม่ขู่มันไปว่าถ้ารังแกอีกจะแจ้งตำรวจจับ ยูเป็นต่างชาติรังแกคนไทยไม่ได้ผิดกฏหมาย

พอเลิกเรียนลูกกลับมาบอกว่าขู่แล้วเพื่อนไม่กลัว แถมยังแกล้งหนักขึ้นอีก

ตอนนั้นผมสงสารลูกมาก แต่ไม่รู้จะช่วยลูกยังไงจึงบอกลูกไปว่าถ้าเพื่อนแกล้งอีกให้ไปฟ้องครู

หลังจากนั้นผมไม่เคยเห็นลูกบ่นเรื่องถูกเพื่อนรังแกอีกเลย จนผมลืมเรื่องนี้ไปแล้ว

วันหนึ่งตอนไปรับลูกที่โรงเรียนผมสังเกตเห็นลูกหยอกล้อเล่นกับเพื่อนอย่างมีความสุขมาก ผมจึงนึกขึ้นได้ว่าลูกเคยมีปัญหาถูกเพื่อนรังแกนี่นาทำไมวันนี้กลายเป็นซี้กันซะงั้น

“เดี๋ยวนี้เพื่อนไม่รังแกลูกแล้วหรอ” ผมถามหลังจากลูกขึ้นมานั่งบนรถ

“ไม่แล้วครับ” ตอบเสร็จลูกก็นั่งกินขนมพร้อมกับอ่านหนังสือการ์ตูนไปด้วยเหมือนทุกๆวัน

“ที่พ่อบอกให้ฟ้องครูเวลาเพื่อนแกล้งมันได้ผลใช่มั๊ยครับ” ผมถาม

“วิธีที่พ่อสอนมันไม่ได้ผลสักวิธีเลยครับ” ลูกตอบโดยไม่เงยหน้าจากหนังสือการ์ตูน และยังคงกินขนมไปด้วยเหมือนเดิม

“อ่าว แล้วลูกทำยังไงครับเพื่อนถึงเลิกแกล้ง แถมยังซี้กันด้วย” ผมถามต่อด้วยความสงสัย

“อ๋อกัสจังให้อภัยเค้าครับ” ลูกตอบโดยสายตาไม่ยอมละจากหนังสือการ์ตูน และมือก็ยังคงหยิบขนมใส่ปาก

อะไรวะ “ให้อภัย” ผมคิดในใจ

ด้วยความอยากรู้ผมเลยซักต่อว่า “ยังไงครับ “ให้อภัย” ลูกทำยังไงครับ”

“อ๋อ เวลาเพื่อนแกล้งกัสจังก็บอกว่า ok ไอให้อภัยยู แต่ต่อไปยูอย่าทำแบบนี้อีกนะ”

“ห๊ะ แค่เนี้ยอ่ะนะ” ผมถาม

“ครับแค่นี้ครับ” ลูกตอบ

“แค่บอกว่าให้อภัยเนี่ยนะเพื่อนเลยเลิกแกล้ง” ผมถามย้ำ

“ครับบอกแค่นี้ครับ” ลูกเริ่มรำคาญแล้วก้มหน้าอ่านการ์ตูนต่อไป มือก็หยิบขนมเข้าปาก

ผมเลิกเซ้าซี้ลูก และออกรถพร้อมกับคำถามในหัวเต็มไปหมด

“ให้อภัย” ??!!

ทำไมตลอดชีวิตที่ผ่านมา 40 กว่าปี ผมไม่เคยคิดถึงคำๆนี้เลย ที่ผ่านมาผมเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น ใครทำอะไรไม่ดีกับผม ผมจะตอบโต้กลับไปทุกครั้ง บางครั้งก็ไม่เคยคำนึงถึงผลที่ตามมา นั่นทำให้ชีวิตผมล้มลุกคลุกคลานมาตลอด

แถมผมยังไปสอนให้ลูกทำอย่างที่ผมทำอีก นี่ผมเป็นพ่อแบบไหนกัน

ระหว่างขับรถกลับบ้านผมแอบมองลูกที่นั่งเบาะหลังผ่านกระจกมองหลัง ผมเห็นลูกนั่งอ่านการ์ตูน และกินขนมอย่างมีความสุข

ขอบคุณนะลูกที่สอนให้พ่อรู้จักคำที่ทรงพลังคำนี้

จากวันนั้นผมเรียนรู้ที่จะ “ให้อภัย” ผมฝึกตัวเองใหม่ ผม “ให้อภัย” ทุกคนในทุกครั้งที่มีโอกาส หลังจากนั้นโลกของผมก็เริ่มเปลี่ยน ชีวิตเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆอย่างต่อเนื่อง

เรื่องนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ผมยังจำได้ดีเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน คำว่า “ให้อภัย” จากปากลูกยังก้องอยู่ในหู

ที่เล่าให้ฟังเพราะไม่อยากให้ใครหลงทางไปตั้งครึ่งค่อนชีวิตกับเรื่องแบบนี้เหมือนผม

สงครามไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้นต่อให้คนที่ชนะจะเป็นคุณก็ตาม

หวังว่าเรื่องของผมกับลูกจะพอเป็นประโยชน์กับคนอื่นบ้าง

ยังมีอีกหลายเรื่องครับที่ผมเรียนรู้จากลูกชาย ไว้มีโอกาสจะทยอยเล่าให้ฟังครับ

ธีรพงศ์ เธียรพัฒนพล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #184 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 12:35:20 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=6-eAOXtet-k

#วันมาฆบูชา #โอวาทปาติโมกข์ #โอวาท๓
เดินให้ถูกทิศ ชีวิตก็ถูกทาง โดย ท่าน ว.วชิรเมธี ไร่เชิญตะวัน (พระมหาวุฒิชัย - พระเมธีวชิโรดม)
การดู 11,498 ครั้ง15 ก.พ. 2022


ชีวิตจะมุ่งไปถึงเป้าหมายได้ ก็ต้องมีเข็มทิศนำทาง เข็มทิศนี้ก็คือเข็มทิศความคิด ถ้าคิดถูกชีวิตก็ไปถูกทิศถูกทาง ถ้าคิดผิดชีวิตก็ไปผิดทิศผิดทาง (ท่าน ว.วชิรเมธี)

เหตุการณ์สำคัญในวันมาฆบูชา

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #185 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 05:53:31 PM »

"การทำบุญทำทาน  การรักษาศีล  การฟังธรรมและการปฏิบัติธรรม  เป็นเหมือนการให้ยาป้องกันโรคทางจิตใจ  ไม่มีอะไรจะระงับหรือป้องกันความทุกข์ใจได้  นอกจากบุญกุศลเท่านั้น"

พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #186 เมื่อ: มีนาคม 10, 2022, 05:12:11 PM »

วัดความดัน(@)
กัน..ไว้บ้าง

อายุย่าง ปัจฉิมวัยไม่ประมาท
 เพื่อมีภูมิ คุ้มขันธ์ กันอาพาธ
โรคระบาดทุกพันธุ์ อันตรธาน

 (@)พฤหัสฯ..วัดความดี(@)
             ที่..กาย-จิต
สุจริต คิดพูดทำ นำสุขศานติ์
เลี้ยงกายวาจาใจใสเบิกบาน
 สุขสำราญ งาน-เงิน เจริญดี

 (@)พฤหัสฯ..วัดระดับ(@)
        ปรับ ปรุง เปลี่ยน
 ทุกบทเรียน สมควร รู้ถ้วนถี่
ถึงโทษคุณบุญบาปผลลัพธ์มี
   ธรรมวิถี พุทธะ ละสมมุติ

    (@)พฤหัสฯ..วัดทุน(@)
             บุญ..กุศล
เบื้องต้นท่ามกลางถึงหลังสุด
 ควรภูมิใจ ได้เกิด เป็นมนุษย์
ใต้ร่มพุทธ ศาสนา ล้ำค่าเอย

(@)มหาน้อย(@)
 :วัดสุวรรณภูมิพุทธชยันตี :
 พฤหัสฯที่ ๓ มีนาคม ๒๕๖๕
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #187 เมื่อ: มีนาคม 10, 2022, 05:14:54 PM »

"อะไรมันจะมาศักดิ์สิทธิ์เท่าตัวเรา  ไม่มีหรอก  ตัวเรานั้นแหละเป็นของศักดิ์สิทธิ์  กรรมดีเราทำมาตั้งแต่ก่อน  ชาตินี้ทำเพิ่มใหม่  นั้นแหละเป็นของดีของเราแท้"

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #188 เมื่อ: มีนาคม 10, 2022, 05:19:24 PM »

(sun over mountain)(sunflower)(bow)(smiley face)
“การใช้ชีวิตอย่างมีสติ  เป็นการแก้ปัญหาของโลกไปในตัว  เพราะเมื่อมีสติแล้ว  ก็จะปฏิบัติต่อคน  ต่อสัตว์  ต่อสิ่งแวดล้อม  อย่างระมัดระวัง  เต็มไปด้วยความเห็นอกเห็นใจ”

ท่าน ว.วชิรเมธี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #189 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 09:02:41 AM »

อุณหิสสวิชะยะคาถา พุทธมนต์ แก้ดวงตก คนชะตาขาด

ที่มาของ บทสวด อุณหิสสวิชะยะคาถา อันมีความโดยสังเขปว่า เมื่อครั้งพุทธกาล เทพบุตรนามว่า “สุปติฏฐิตา” มีความวิตกกังวลที่กำลังจะสิ้นบุญ ต้องลงไปเสวยกรรมในนรกถึงแสนปี และต้องใช้วิบากกรรมเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานหลายชนิดอีกหลายร้อยชาติ เทพบุตรจึงพยายามหาทางป้องกันทุกวิถีทางเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น    ด้วยความเมตตา พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่ในสวรรค์จึงได้พาเทพบุตรไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า และทูลขอความเมตตาให้พระพุทธองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนาเพื่อให้เทพบุตรยังไม่สิ้นอายุขัยลงในเจ็ดวัน พร้อมกับมีโอกาสใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้บำเพ็ญภาวนาใช้หนี้กรรมที่มีอยู่ให้หมดไป ครั้นแล้วการก็เป็นไปดังที่ทูลขอ

บทสวด อุณหิสสวิชะยะคาถา

อัตถิ  อุณหิสสะ  วิชะโย       ธัมโม  โลเก  อะนุตตะโร
สัพพะสัตตะหิตัตถายะ         ตัง  ตวัง  คัณหาหิ  เทวะเต
ปะริวัชเช  ราชะทัณเฑ         อะมะนุสเสหิ  ปาวะเก
พะยัคเฆ   นาเค  วิเส          ภูเต    อะกาละมะระเณนะ  วา
สัพพัสมา  มะระณา  มุตโต    ฐะเปตวา  กาละมาริตัง
ตัสเสวะ  อานุภาเวนะ          โหตุ  เทโว  สุขี   สะทา
สุทธะสีลัง  สะมาทายะ         ธัมมัง สุจะริตัง  จะเร
ตัสเสวะ  อานุภาเวนะ          โหตุ  เทโว สุขี  สะทา
ลิกขิตัง  จินติตัง ปูชัง          ธาระณัง  วาจะนัง คะรุง
ปะเรสัง  เทสะนัง  สุตวา      ตัสสะ  อายุ  ปะวัฑฒะตีติ


สำหรับคำแปล อุณหิสสวิชะยะคาถา มีดังนี้

ขอพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เอาบุญของข้าพเจ้าทุกชาติให้กับบิดามารดา ครูอาจารย์ เทพเทวดา เชื้อโรคในตัวข้าพเจ้า คู่เวรคู่กรรม เจ้าบุญนายคุณของข้าพเจ้า ขอให้คู่เวรคู่กรรม เจ้าบุญนายของคุณข้าพเจ้า ได้โปรดอนุโมทนาบุญ และอโหสิกรรมแก่ข้าพเจ้าตั้งแต่บัดนี้เถิด


  แม้แต่กรรมใดที่ใครทำไว้แก่ข้าพเจ้าก็ตาม ข้าพเจ้าขออโหสิกรรมทั้งสิ้น ยกถวายแด่พระพุทธเจ้าเป็นอภัยทาน เพื่อจะได้ไม่มีเวรกรรมใดๆ ต่อไป
  ด้วยอานิสงส์แห่งอภัยทานนี้ คุ้มครองข้าพเจ้า บิดามารดา ครูบาอาจารย์ คู่ครอง ญาติมิตร บุตรบริวาร ตลอดจนผู้อุปถัมภ์ข้าพเจ้า มีความสุขความเจริญ สุขภาพแข็งแรง มีดวงตาที่เห็นธรรมพบเจอแต่กัลยาณมิตร เทอญ


บทสวด อุณหิสสวิชะยะคาถา เป็นพระคาถาที่นิยมสวดเพื่อสืบชะตาต่ออายุในคนที่กำลังจะหมดอายุขัย ชะตาขาด มีเคราะห์ และยังเป็นพระคาถาศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยป้องกันภัยจากภูตผีปีศาจและสิ่งไม่ดีทั้งปวงได้อีกด้วย พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงให้เทวดาได้สดับรับฟัง จนหลุดพ้นจากอำนาจเครื่องพัธนาการและเกิดในสุคติภูมิที่ดี ด้วยเหตุนี้ชาวพุทธส่วนหนึ่ง จึงมีความศรัทธาและนิยมนิมนต์พระมาสวดเสมอ เพื่ออาศัยอำนาจคุณพระรัตนตรัยบันดาลให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืน แคล้วคลาดปลอดภัยจากสิ่งไม่ดีทั้งหลาย

ที่มา
https://www.komchadluek.net/amulet/527415
ไปติดตามอ่านเพิ่มได้ค่ะ
ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #190 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 10:49:28 AM »

ตัดจุดเดียว

เคล็ดลับในการปฏิบัติอย่างง่ายที่สุด ถ้าท่านไปเปิดในขันธวรรค พระไตรปิฏก ที่พระอรหันต์เจ้าทั้งหลายได้รวบรวมไว้ให้ลูกหลานได้ศึกษาว่า พระพุทธองค์ทรงสอนไว้มีมากมาย ชอบใจแบบไหน ก็ปฏิบัติแบบที่ถูกนิสัยของท่าน

มีคนถามปัญหาพระพุทธเจ้าว่า กิเลสร้อยแปดพันเก้าทั้งหลายนั้น จะตัดกิเลสทั้งหมดออกจากจิตใจ ตัดด้วยอะไร

พระพุทธองค์ตอบว่า ตัดจุดเดียว คือ ขันธ์ 5 รูปร่างกาย ให้พิจารณาว่า
1. รูปร่างกาย คือ ธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ
2. เวทนา ความรู้สึก สุข ทุกข์ หนาว ร้อน
3. สัญญา คือ ความจำได้ หมายรู
4. สังขาร คือ ความคิดดีคิดชั่ว คิดเฉย ๆ
5. วิญญาณ ระบบประสาททั้ง 5 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเจ็บปวดทางประสาท สมอง ไขสันหลัง

ทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเขา ไม่ใช่ของเรา เราก็ไม่ใช่ขันธ์ 5 เราคือ จิตที่มาอาศัยขันธ์ 5 ชั่วคราว ถ้าจิตไม่ผูกพันในขันธ์ 5 อารมณ์นั้นเมื่อไร จิตก็จะพ้นจากกิเลสสังโยชน์ 10 เป็นพระอริยเจ้าทันที

ท่านกล่าวว่า ไม่มีอะไรยาก พระอรหันต์ทุกพระองค์ ท่านมีจุดตัดอย่างเดียว คือ ขันธ์ 5 เท่านั้น

พระราชพรหมยานมหาเถระ วัดท่าซุง อุทัยธานี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #191 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 11:06:01 AM »

ขออนุญาตแชร์เขามา :

“ถ้าอ่านจบแล้วจะพบสัจธรรม”

" นกชนิดเดียวกัน

จะอยู่ในฝูงเดียวกัน

คนที่เคยมีบุพกรรม

ร่วมกัน จะถูกดึงดูด

เข้ามาอยู่ใกล้กัน”

เราอยู่ในโลกของพลังงาน ทุกสิ่งทุกอย่าง (แม้แต่วัตถุที่เป็นของแข็ง) ดูเหมือนสงบนิ่ง แต่แท้จริงแล้วมันกำลังสั่นสะเทือนอยู่ตลอดเวลา

หากส่องเข้าไปดูในระดับอะตอม นักวิทยาศาสตร์ได้พบความจริงข้อนี้ แล้วประกาศออกมาเป็นทฤษฎีควอนตัมฟิสิกส์

ซึ่งความจริงนั้น พระพุทธเจ้าทรงค้นพบเรื่องนี้มาเกือบสองพันหกร้อยปีแล้ว และตรัสไว้ผ่านทางหลักธรรมคำสอน ด้วยพุทธพจน์ที่ว่า

ทุกสรรพสิ่งไม่เที่ยง (อนิจจัง)
ต้องเปลี่ยนแปลง (ทุกขัง)
และไม่มีตัวตน (อนัตตา)

สามสภาวะนี้เรียกรวมกัน
ว่า “กฎไตรลักษณ์”

กฎข้อนี้ในบางส่วน นักจิตวิทยาก็ค้นพบ เขาจึงกล่าวว่า “จิต” เป็นพลังงานชนิดหนึ่ง พลังงานจะอยู่ในรูปของคลื่นความถี่ ที่สั่นสะเทือนอยู่ตลอด ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่รับรู้และใช้ประโยชน์จากมันได้ เช่น

คลื่นโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นต้น

ชีวิตทางกายภาพของมนุษย์ประกอบด้วยส่วนต่างๆ อยู่ ๒ ส่วน คือ

1. ส่วนที่เป็นกายภาพ สามารถสัมผัสจับต้องได้ มองเห็นได้ เรียกว่า “กายเนื้อ” ภาษาธรรมะเรียกว่า “รูป”

2. ส่วนที่เป็นพลังงาน สัมผัสถูกต้องไม่ได้ เรียกว่า “กายใน” เป็นพลังงานเรืองแสง มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น

กายในดังกล่าวนี้จะแทรกอยู่ในกายเนื้อ คนโบราณเรียกว่า “กายทิพย์”

ทางพระเรียกว่า “นาม” ซึ่งพระพุทธเจ้าทรงอธิบายละเอียดลึกซึ้งลงไปอีกว่า

นามนั้นประกอบด้วย ความรู้สึก (เวทนา), ความจำ (สัญญา), ความคิด (สังขาร), การรับรู้ (วิญญาณ)

ข้อดีของสัจธรรมก็คือ เป็นกฎของธรรมชาติที่ให้ผลเป็นจริง อยู่เหนือกาลเวลา และนำมาปรับใช้ได้กับทุกยุคทุกสมัย

เคยสงสัยไหมว่า ทำไมในชีวิตประจำวัน เราต้องมาพบ มาทำงานร่วมกับคนๆนี้ ซึ่งอาจเป็นเจ้านาย ลูกน้อง แฟน คู่แค้น เพื่อนร่วมงาน

หรือใครก็ตาม ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ชอบหน้าเขาสักเท่าไหร่ นั่นก็เพราะเรายังมี “กายภายใน” ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือนอยู่ในระดับเดียวกับเขา

“คนที่มีระดับพลังงานเดียวกัน
จะถูกดึงดูดเข้ามาหากัน”

เหมือนนกที่มีสายพันธุ์เดียวกัน ก็จะอยู่ในฝูงเดียวกัน บินไปไหนพวกมันก็ไปด้วยกัน บินกันไปเป็นฝูง

เราจะไม่เคยเห็นอีกาบินร่วมไปกับหงส์ หรืออีแร้งบินไปกับนกอินทรี

นั่นเพราะนกชนิดเดียวกัน มันจะอยู่ในฝูงเดียวกันเท่านั้น

ฉะนั้น ตราบใดที่พลังงานในตัวเรายังไม่เปลี่ยนระดับความถี่ที่สั่นสะเทือน เราก็จะต้องพบเจอบุคคลเหล่านี้อยู่ร่ำไป

และวิธีการสลัดตนให้หลุดพ้นจากคนที่เราไม่ชอบนั้น ไม่ใช่การนินทา และก็ไม่ใช่การพยายามเปลี่ยนคนอื่น

แต่เราจะต้องเปลี่ยนตัวเองจากภายในคือ “ระดับพลังงาน” ต้องยกมันให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้นไป เหนือกว่าพลังงานของคนที่เราไม่ชอบ

โดยเริ่มต้นจากความอยากเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี

“ความรู้สึก” ถ้าเราหมั่นตรวจสอบความรู้สึก รู้จักฝึกควบคุมอารมณ์ของตัวเอง ให้เป็นคนที่รู้สึกดีได้มากที่สุด ยิ้มแย้มแจ่มใส จิตใจเมตตา ไม่จับกลุ่มนินทา เลิกเสพข่าวร้าย มีความสำนึกรู้คุณต่อทุกสรรพสิ่ง ไปวัด นั่งสมาธิ รักษาศีล ออกกำลังกายอยู่เสมอ ว่ายน้ำ ดูปะการัง ปลูกต้นไม้ อะไรก็ว่าไป

ในที่สุด เมื่อระดับพลังงานสูงพอ เราก็จะไม่มีทางพบเจอ คนเหล่านั้นอีกเลย แต่จะเปลี่ยนไปเจอคนที่มีระดับพลังงานเดียวกันกับเรา ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ นักจิตวิทยาสมัยใหม่บอกว่า เกิดขึ้นเพราะ “พลังจิตใต้สำนึก” ปลดปล่อยพลังงานสั่นสะเทือนออกไปโดยอัตโนมัติอยู่ตลอดเวลา แบบที่เราเองก็ไม่รู้ตัว พวกเขาเรียกมันว่า “กฎแห่งแรงดึงดูด”

ดังนั้น หากอยากเปลี่ยนโลก ต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองก่อน โดยเริ่มต้นจาก “ความอยาก” “ความรู้” และ “ความรู้สึก” แล้วโลกรอบข้างเราก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง สมดังคำสอนเปลี่ยนโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า

“การไม่ทำบาปทั้งปวง
การทำกุศลให้ถึงพร้อม
การทำจิตของตนให้ผ่องแผ้ว
นี้คือคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย”
(พระไตรปิฎก เล่ม ๒๕)

ทาน บอกระดับความมีใจโอบอ้อมอารี

ศีล บอกพฤติกรรม กิริยาท่าทางที่แสดงออก

สมาธิ บอกระดับความสุขสงบเย็น

ปัญญา บอกระดับความรู้
ความเข้าใจต่อโลก และสรรพสิ่ง

ขอย้ำอีกสักครั้ง
 “คนที่เสมอกัน จะถูกดึงดูด
เข้ามาอยู่ใกล้กัน”

ตามระดับคุณธรรม
ที่เป็นพลังงานสั่นสะเทือน
อยู่ตลอดเวลา

เครดิต : นิรนาม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #192 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2022, 11:11:50 AM »

อยากให้อ่านจนจบ แล้วใคร่ครวญดู
หากเห็นว่า “ใ่ช่” ก็เผยแพร่กันด้วย


อ่านเถอะครับดี,มีประโยชน์ (ผมอ่านช้าๆยังใช้เวลาแค่ "3 นาทีจบ"เลย)ครับ

หลวงปู่ ชนะฯ  แห่งวัดป่า โนนหมากอื้อ  อ. เมือง
จ. มหาสารคาม
พระสงฆ์รูปนี้ สมเป็นสาวกของ "ตถาคต"  โดยแท้  ท่านสอนพระ และญาติโยมว่า...

"ทุกวันนี้ ญาติโยมไหว้พระ   ก็ไปวุ่นวาย แต่กับดอกไม้ ธูป เทียน
ไม่รู้ว่า ทำไมต้องวุ่นวาย กับของพวกนี้  ไม่มี..ดอกไม้
ไม่มี..ธูป เทียน
ก็ไหว้ได้  กราบได้
...ไหว้พระ...
...กราบพระ...
ไหว้..ที่ใจ    กราบ..ที่ใจ
...เคารพในคุณงาม ความดีของพระพุทธเจ้าของเรา และพระธรรมคำสอนของท่าน

พระพุทธเจ้าท่านได้สอนไหม  ว่า.. ไหว้พระ จำเป็นต้องมี ดอกไม้ ธูปเทียน  อามิสต่างๆ
ในพระไตรปิฎกก็ไม่มีกำหนดไว้
ไปเสียเงิน เสียทองซื้อมาทำไม
อย่าว่า แต่ญาติโยมเลย พระนี้แหละ  ตัวสำคัญ
สำคัญ อย่างไร 
ทุกวันนี้  พระก็จัดดอกไม้ เป็นบ้า หลงไหลไปกับ..
-การทำบายศรี
-จัดผ้า
-ตกแต่งสถานที่  ให้มันสวยงาม หรูหรา แต่บางทีกลายเป็นความรกรุงรังแทน
...หลง..ในความงาม
…หลง..ในความสวย

พระพุทธเจ้าท่านชวน ท่านพาให้ พวกเราละความหลงต่างๆ  หลงในความสวยความงาม  ให้อยู่อย่างสงบ มีสมาธิ  มีสติ แล้วจะได้มีปัญญา  ให้อยู่ป่า  ให้อยู่ในวิเวก แล้วดูใจตัวเอง
เป็นบ้า..อะไร กับของพวกนี้ บางวัด เอาบายศรี ไปตั้งข้างพระประธาน   บางทีตั้ง สูงกว่าพระพุทธรูปเสียอีก
พยายามตกแต่วให้... สวยงาม
ทำเพื่ออะไร...ทำเอาอะไร เอา..มรรคผล  นิพพาน.. ไหม
...พระพุทธเจ้าท่าน...สั่ง
ท่าน…สอน…มั๊ย  ในพระวินัย ก็ไม่ได้สั่งสอน ให้พระ…ทำบายศรี จัดดอกไม้  นี่มันบวชมาปรุงแต่ง   มันบวชมาเอากิเลส กระนั้นหรือ?
หลวงปู่ขาว ท่านก็ไม่ได้สอนนะ...ว่าให้พระ ให้ญาติโยมทำบายศรี จัดดอกไม้ แทนการภาวนา

หลวงปู่ฝั้น…
ท่านก็ไม่สอน ท่านสอนให้ภาวนา รักษาศีล
แต่ทุกวันนี้เรื่อง...การบวชเข้ามา เพื่อปฏิบัติ ตามปฏิปทาพ่อแม่ครูอาจารย์  มันไม่มี
บอกให้ภาวนา...เหมือนคุยกับหมา
คุยกับหมา  บางทียังรู้เรื่องกว่า
หลวงปู่สอนว่า... ให้ตื่นตี 3  มาภาวนา  เดินก็ได้
นั่งก็ได้ พอตี 5… 6โมงให้เตรียมบิณฑบาต
เสร็จจากฉันอาหาร
ให้เดินจงกรม หรือนั่งภาวนาจนถึง 11 โมง  แล้วจึงขึ้นไปพัก
บ่าย 3 ให้ออกมาทำข้อวัตรปฏิบัติอีก
กลางคืน ให้ภาวนา ถึงเที่ยงคืน หรือ จนสว่าง... ตามแต่กำลัง

แต่ไม่ทำตาม

ตื่น ก็ ตื่นสาย
ฉันเสร็จ ก็ไปหาที่พักผ่อน นอนเล่น เล่นโทรศัพท์
พวกนี้ ไปอยู่กับหลวงปู่บัว วัดป่าหนองแซง ไม่ได้หรอก
นี่มันบวชมาหาความสบาย ไม่ได้บวชมา เพื่อการปฏิบัติ ขัดเกลากิเลส
ไม่ได้บวชมาเพื่อพ้นทุกข์ในวัฏสงสาร
เอาแต่ว่าแล้วแต่กิเลสของตัวเอง จะพาไป

พระพุทธเจ้าท่านบรรลุธรรมก็ด้วย…
-การปฏิบัติ
-การภาวนา
-การดูตัวเอง-ดูใจตัวเอง
ไม่ได้บรรลุด้วยโทรศัพท์
ไม่ได้บรรลุ ด้วยการหลอกขอเงิน ขออาหารจากญาติญาติโยม เหมือน จี้ ปล้น จากญาติโยม
ไม่เคยสร้างปัญญาให้แก่ญาติโยม  ไม่ทำหน้าทีของสงฆ์ ที่ควรเป็นผู้ถ่ายทอดพระธรรมของศาสดา
บางวัด  กลับสอนให้ญาติโยม หลงผิดในบุญ ในการทำบุญ  หลงในความรวย
ขนาด เอากิเลศมาตั้งชื่อพระพุทธรูป... เช่น ...
-หลวงพ่อรวย
-หลวงพ่อทันใจ
-หลวงพ่อพันล้าน

ทำไม มันไม่ตั้งว่า... หลวงพ่อบอกหวย…ไปเลยเล่า

แทนที่พระจะสอนญาติโยมว่า..พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์แทน องค์ของพระพุทธเจ้า เรานะ ขณะที่เรากราบ   เราไหว้
ก็ให้ระลึกถึงคุณงาม ความดี ของท่าน 
นึกถึงคำสอนของท่าน
ที่ให้ละชั่ว ทำดี ละอายต่อการทำบาป
แต่กลับไม่คิด  ไม่ทำ!
กลับไปสอนว่า...ให้ไหว้เพื่อขอพร 'หลวงพ่อรวย' หากกราบไหว้ ซื้อดอกไม้ ธูปเทียนไป…ไหว้แล้ว…รวย
มันจะไปรวยอะไร ถ้ามัน.. ไม่ทำงาน หาเงิน รู้จักเก็บ รู้จักใช้
กลับกลายเป็นว่า..
คนที่รวย ก็คือ  พวกขายดอกไม้ ธูป เทียน บางทีก็วัด  บางทีก็พระ  ร่วมด้วย

ถ้ามันอยากได้บุญจริง
ให้ไหว้พระ สวดมนต์.. แล้ว ไปบริจาคทาน..ให้โรงพยาบาล ให้สถานที่เด็กกำพร้า คนพิการ คนตกทุกข์ได้ยาก
นั้นละ..บุญ
ไม่ต้องไปเสียเงินกับของไร้ประโยชน์ อย่าง..ดอกไม้ ธูป เทียน
จุดธูปเยอะๆ​ ก็ไม่ใช่เรื่องดี นั้นละ ตัวก่อมะเร็ง
จะทำบุญ ทำทาน อะไรก็ให้พากัน… มีสติ พิจารณาดูให้ดี  ถึงความสมเหตุ สมผล ให้ใช้ปัญญาดีๆ

*..หลวงปู่ชนะ อุตตมลาโภ..*
วัดป่าโนนหมากอื๋อ
อ.เมือง จ.มหาสารคาม
(ท่านเป็นศิษย์ ในองค์ท่านหลวงปู่วัน อุตตโม  และ
หลวงปู่บัว สิริปุณโณ)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #193 เมื่อ: กันยายน 07, 2022, 08:28:23 AM »

“ความอยากที่น่ารัก”

ชายหนุ่มคนหนึ่งกําลังตื่นเต้นดีใจที่ได้รับรถสปอร์ต ยี่ห้อปอร์เช่จากพี่ชาย พี่ชายของเขาเพิ่งจะขายกิจการหนึ่ง ไปได้กําไรงดงาม จึงซื้อรถในฝันให้น้องชายที่รักเป็นของขวัญ ขณะที่เขากําลังยืนลูบ ๆ คลําๆ รถสปอร์ตใหม่เอี่ยมของเขา อยู่ที่หน้าบ้าน เด็กผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมา

เด็กชาย “ว้าว! รถพี่สวยจังเลยครับ สวยจริงๆ”
ชายหนุ่มพูดด้วยเสียงภูมิใจ “เจ๋งมั้ยล่ะ พี่ชายของพี่เค้า ซื้อให้พี่เป็นของขวัญ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เด็กชายทําตาโตเท่าไข่ห่าน
เด็กชาย “ว้าว! ผมอยาก...”
ทันทีที่เด็กชายเอ่ยว่า “ผมอยาก...” ชายหนุ่มเจ้าของ รถก็เดาทันทีว่าเขาต้องพูดว่า “ผมอยากมีพี่ชายอย่างนั้นบ้าง” แต่ ...พลิกล็อก...เด็กชายไม่พูดเช่นนั้น
เด็กชาย “ว้าว! ผมอยากเป็นพี่ชายอย่างนั้นบ้างจังเลย”
ชายหนุ่มอึ้งไปด้วยความผิดคาด เขารู้สึกซึ้งใจมาก เด็ก คนนี้ช่างเป็นเด็กที่น่ารักเหลือเกิน เขารู้สึกเมตตาเด็กจึงเอ่ย ปากชวน ชายหนุ่ม “อยากนั่งรถเล่นมั้ยล่ะ พี่จะขับพาไปเที่ยว เอามั้ย”
เด็กชายดีใจมาก “เอาสิครับ ขอบคุณพี่มาก ๆ เลยครับ” ทั้งสองจึงขึ้นรถไปด้วยกัน นั่งไปได้สักพัก....
เด็กชาย “พี่ครับ ขอโทษนะครับ บ้านผมอยู่แถวนี้เอง พี่ช่วยขับรถผ่านไปที่หน้าบ้านผมซักหน่อยได้มั้ยครับ”
ชายหนุ่ม “ได้ซิ”
เขาตอบพลางคิดในใจ (อีกแล้ว !) ว่า ‘เจ้าหนูนี่คง อยากจะอวดคนที่บ้านนะว่ามีโอกาสได้นั่งรถปอร์เช่สวยๆ อย่างนี้ เอ้า! ให้เค้าได้อวดคนซะหน่อย’
เมื่อถึงหน้าบ้าน เด็กชายขอให้เขาจอดรถสักแป๊บหนึ่ง แล้วรีบเปิดประตูรถวิ่งเข้าไปในบ้านด้วยความตื่นเต้น เมื่อเขากลับออกมา เขาจูงมือเด็กเล็กๆ คนหนึ่งออกมาด้วย เขาพาเด็กน้อยมาที่รถปอร์เช่ของชายหนุ่ม
เด็กชาย “รถคันนี้สวยมั้ยน้อง พี่คนนี้เขาได้รถคันสวยนี้ เป็นของขวัญจากพี่ชายเค้า ถ้าพี่โตเมื่อไหร่นะ พี่ก็จะซื้อรถสวย ๆ อย่างนี้ให้น้องเหมือนกัน”

ท่านอาจารย์ชี้ให้เห็นความแตกต่างระหว่างความ อยากได้กับความอยากให้ ท่านถามว่าอย่างไหนมันจะ งามกว่ากัน

จากหนังสือ เรื่องท่านเล่า
พระอาจารย์ชยสาโร

สาธุค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #194 เมื่อ: พฤศจิกายน 02, 2022, 02:06:04 PM »



ที่มา
https://www.facebook.com/profile.php?id=100028607456484
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: