paul711
Hero Member
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 4406
Gold is value because it's value!
|
|
« ตอบ #120 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2020, 12:05:01 AM » |
|
:) ขอบคุณครับ คุณหนูใจ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้ http://ichpp.egat.co.th/Gold2Gold.com
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #121 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2020, 11:35:20 AM » |
|
คุณอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของแลนด์แอนด์เฮาส์พูดดี ได้เนื้อหาและแรงบันดาลใจยิ่ง
ในขณะที่คนอื่น ๆ บอกว่าต้องเร่งยกระดับการศึกษาของชาติ แต่คุณอนันต์ ตั้งคำถามว่า คนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องเรียนเก่งจริงหรือไม่ ?
ประเทศไทยเน้นเรื่องการศึกษามาก จนลืมเรื่องความสำคัญของการฝึก "นิสัย" คนไทยควรจะมีนิสัยอย่างไร จึงจะเจริญก้าวหน้าในชีวิต
คนที่มีนิสัยดีเหมือนเรามีเครื่องจักรที่ดีในตัวไม่ว่าไปทำอะไรก็จะดี
นิสัยที่ดี ฝึกไม่ยาก
เช่น การฝึกล้างห้องน้ำให้เป็น จะช่วยฝึกให้เราไม่ดูถูกคน เป็นคนไม่เลือกงาน ไม่มีทิฐิ
"ทุกวันนี้โลกวุ่นวายไม่ใช่เพราะคนไม่มีการศึกษา แต่เพราะคนนิสัยไม่ดี และมีการศึกษาเยอะต่างหาก" ความสุขคืออะไร ?
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้แนะนำ การสร้างนิสัยแห่งความสุข 20 ประการ ปี 2016 ไว้ ..
1. Be Grateful ..สำนึกบุญคุณคนที่ดีต่อเรา
2. Choose Your Friends Wisely ..เลือกเพื่อนอย่างชาญฉลาด
3. Cultivate Compassion .. ให้ความเห็นอกเห็นใจ แก่คนอื่น
4. Keep Learning ..หมั่นเรียนรู้
5. Become a Problem Solver .. เป็นผู้แก้ปัญหาได้
6. Do What You Love ..ทำในสิ่งที่คุณรัก
7. Live in the Present ..อยู่กับปัจจุบัน
8. Laugh often ..หัวเราะบ่อยๆ
9. Practice Forgiveness ..ฝึกการให้อภัย
10. Say Thanks often ..กล่าวขอบคุณเสมอ
11. Create Deeper Connections ..สร้างความสัมพันธ์ลึกล้ำ
12. Keep Your Agreement ..รักษาสัญญา คำพูด
13. Meditate ..ทำสมาธิ
14. Focus on What You're Doing ..ตั้งมั่นในสิ่งที่กำลังทำ
15. Be Optimistic ..มองโลกในแง่ดี
16. Love Unconditionally ..รักอย่างไม่มีเงื่อนไข
17. Don't Give up ..อย่ายอมแพ้
18. Do Your Best and then Let it Go ..ทำดีที่สุดแล้วอย่ายึดติด
19. Take Care of Yourself ..ดูแลตัวเอง
20. Give back to society ..ตอบแทนสังคม
ถ้าดี ถ้าชอบ แชร์ต่อกันเยอะๆๆ นะครับ
แชร์มาจากคุณpatค่ะ ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #122 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2020, 11:39:56 AM » |
|
1 เพื่อนคนหนึ่งอายุครบ 42 ปี บ่นว่าปีนี้เป็นปีที่อกหักเรื่องงาน นับเป็นทุกข์หนัก ทำให้ 'คนที่ชีวิตทำแต่งานอย่างเดียว ไม่ได้สนใจอย่างอื่น' อย่างเขารู้สึกหนักหนา แต่แล้วการมาของลูกชายที่เพิ่งคลอดออกมาดูโลกก็ทำให้เขาได้พบความสุขเรียบง่าย เช่น แอบมองตอนลูกหลับ ได้เห็นลูกยิ้มหรือหัวเราะ ทั้งยังเชื่อมสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัว จนทำให้รู้สึกว่า ปีนี้เป็นปีที่มีความสุขที่สุด
2 ผมไถฟีดเฟซบุ๊กลงมาเรื่อยๆ พบเพื่อนที่เพิ่งย้ายไปอยู่แม่สอดกับภรรยาและลูกเล็กที่คลอดออกมาต่อจากเพื่อนคนแรกไม่นาน เพื่อนโพสต์ถึงงานศพของชาวพม่าที่จัดขึ้นที่แม่สอด ความน่ารักในงานคือผู้คนที่ไม่ใช่ญาติมิตรของแรงงานชาวพม่าต่างให้กำลังใจกัน เพื่อนคนนี้ก็ห่างกรุงเทพฯ ไปนานเสียจนเราล้อกันว่าคงไม่ได้เจอหน้ามันแล้ว จนกว่าลูกจะโต นี่ก็อีกความเปลี่ยนแปลงใหญ่
3 เพื่อนอีกคนลงรูปคู่กับภรรยาซึ่งตัวติดกันเสียยิ่งกว่าเงา เพราะเงาจะเห็นได้เฉพาะกลางวันหรือในที่มีแสง แต่เพื่อนคนนี้เจอมันที่ไหนเจอเมียที่นั่นไม่ว่ากลางวันหรือห้องมืด เป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัว ความสุขของเขาก็คือได้ไปไหนมาไหนกับเมีย (อาจเป็นความสุขที่แปลกเสียหน่อยสำหรับผู้ชายอีกหลายคน) เพื่อนคนนี้ทำธุรกิจโรงแรม แน่นอนว่ากระทบหนัก แต่ก็ยังยิ้มสู้เพราะมีเมียเคียงข้าง
4 เพื่อนคนที่สี่มีความสุขกับการทำอาหาร กินคนเดียวบ้าง กินกับเมียบ้าง นี่คืออีกด้านของเหรียญ แม้แต่งงานไปเกือบสิบปี แต่โอกาสจะเห็นรูปคู่ของมันกับเมียนั้นนานๆ มาทีเหมือนดาวหาง เขาเคยเปรียบการทำอาหารเหมือนการบำบัดจิต จอจ่อ มีสมาธิ จัดจานให้งาม สวาปาม แล้วมันก็สิ้นไป ความสุขของมันคล้ายกับเพื่อนอีกคนหนึ่งซึ่งมักเข้าครัวตอนเที่ยงคืน
5 เพื่อนอีกคนอวดใบ Certification ครูโยคะ ซึ่งต้องใช้เวลาเรียนยาวนาน อีกคนซื้อกีตาร์ใหม่ อีกคนมีความสุขกับการถ่ายภาพสัตว์ใต้ทะเล อีกคนฮึกเหิมไปกับการวิ่งซิตี้รันในกรุงเทพฯ 60 กิโลเมตร บางคนมีความสุขกับการไปม็อบ และอื่นๆ อีกมากมาย นี่แค่ที่เห็นผ่านหน้าเฟซบุ๊กเท่านั้น
6 พอเดินทางมาถึงอายุ 40 ปี ผมพบว่า 'ความสุข' ของเพื่อนพ้องแตกกระสานซ่านเซ็นไปคนละทิศละทาง ความสนใจ การให้คุณค่า ใช้เวลา และพึงพอใจนั้นหลากหลายขึ้นกว่าในวัยหนุ่มสาวมากมายนัก งานและการพิสูจน์ตัวเองดูเหมือนเป็นเป้าหมายหลักในช่วงเริ่มต้นชีวิต เหลือบเหล่มองความก้าวหน้า เงินเดือน รถ บ้าน นาฬิกา ข้าวของ รางวัล ตำแหน่ง ชื่อเสียง แม้ไม่ตั้งใจจดจ้องแต่ก็เหลือบมองอยู่ลึกๆ แต่ทุกวันนี้การเปรียบเทียบเหล่านั้นน้อยลงมาก แต่ละคนเปิดสำนักฝึกวิชาความสุขในแนวทางของตัวเองอยู่เงียบๆ ซึ่งแน่นอนแหละว่า มีความทุกข์เข้าแทรกอยู่เป็นระยะ แต่เป็นทุกข์จากสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ มิใช่เกิดจากการเปรียบประชันอะไรกันเหมือนวันก่อน
7 บางทีผมอดคิดไม่ได้ว่า พวกเราล้วนเติบโตมากับเกณฑ์มายาบางอย่างที่ขีดเส้นไว้ว่า 'แบบนี้ดี' เช่น คุณต้องทำงานเก่งถึงจะดี ต้องประสบความสำเร็จเร็วถึงจะดี ต้องมีเงินเก็บเท่านั้นเท่านี้ถึงจะดี ต้องมีฟอลโลเวอร์เท่านี้ถึงจะดี ฯลฯ อีกมากมายที่ทำให้ทุกคนวิ่งไปไขว่คว้าในสิ่งเดียวกัน ทั้งที่ 'พื้นที่' ที่ทุกคนอยากไปยืนอยู่ตรงนั้นมันไม่ได้กว้างขวางพอสำหรับทุกคน
8 ผมเป็นมนุษย์ที่ความรู้เรื่องไวน์น้อยมาก เวลาซื้อไวน์ ดื่มไวน์ แต่ก่อนจะกังวลว่าต้องแบบไหนถึงจะดี ปลูกที่ไหน ปีไหน กินกับอะไรจึงจะถูกต้องตามสูตร เรื่องไวน์ก็ไม่ต่างอะไรกับ 'ความดีงามของชีวิต' ที่มีค่านิยมบางอย่างกำหนดสูตรตายตัวเองไว้ หน้าที่ของทุกคนคือเรียนรู้ 'สูตร' นั้นแล้วกระทำตัวตาม
9 ผมเพิ่งได้อ่านคำนำในหนังสือ 'I Drink Therefore I am' ภาคภาษาไทยที่เขียนโดยอาจารย์ธเนศ วงศ์ยานนาวา ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับกรอบความคิดเกี่ยวกับไวน์ที่เปลี่ยนไปด้วยความรู้ทางวิทยาศาสตร์และสำนึกประชาธิปไตยว่า มีหลายอย่างที่มีผลต่อการรับรสไวน์ ตั้งแต่ดีเอ็นเอของแต่ละคน สภาวะจิตวิทยาของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน สภาวะเหล่านี้ก็มีผลมาจากข้อมูลที่สัมพันธ์กับสังคม การรับรสชาติของมนุษย์ในแต่ละเขตแต่ละพื้นที่ก็แตกต่างกัน เช่น บางพื้นที่ชอบเผ็ด บางพื้นที่มีรสขม บางพื้นที่ไม่มี การเปรียบเทียบรสไวน์จึงผูกพันกับความทรงจำของแต่ละคนด้วย จึงไม่มี 'มาตรฐานเดียว' ใครจะกินไวน์อะไร กินกับอะไร กินกับใครก็แล้วแต่ร่างกายและการทำงานของประสาทรับรสของคนแต่ละคน - สรุปว่า ไวน์ดีต้องแบบนี้ ไวน์นี้ต้องกินกับเนื้อกับปลา มันเป็นแค่มาตรฐานที่ถูกตั้งขึ้นโดยคนกลุ่มหนึ่งเท่านั้น
10 กลับมาที่หน้าจอเฟซบุ๊ก, ผมสนใจที่เพื่อนคนแรกได้พบความสุขชนิดใหม่ในชีวิต เพราะมันก็เป็นแบบที่มันบรรยายตัวเองมาตลอด คือโฟกัสที่งานเป็นหลักใหญ่ในชีวิต การได้เห็นเพื่อนแฮปปี้กับลูกชายตัวน้อยนับเป็นเรื่องใหม่ที่น่าชื่นใจไปด้วย ทำให้ผมมองเห็นความสุขที่แตกต่างกันของเพื่อนอีกหลายคน ไม่เพียงต่างจากคนอื่น แต่ยังต่างจากตัวของเพื่อนๆ เองในวัยก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นสิบปีที่แล้วมีคนมาบอกเพื่อนๆ ว่า อีกหน่อยจะมีความสุขกับการปั่นจักรยาน วิ่งไกล โยคะ ปลูกต้นไม้ ทำอาหาร ถ่ายรูปสัตว์ใต้ทะเล ฯลฯ เพื่อนอาจส่ายหัวยิก แต่วันนี้มันก็เป็นไปแล้ว
11 ผมคิดว่าเราทุกคนล้วนตามหา 'บ้านของหัวใจ' บางสถานที่ บางสภาวะ บางกิจกรรม และบางผู้คนที่เราใช้เวลาด้วยแล้วรู้สึกเหมือนได้กลับบ้าน มันแตกต่างจาก 'เวที' ที่เราต้องพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นเห็นตลอดเวลา ซึ่งเหนื่อยและหนัก
ตัวตนบนเวทีคือตัวตนที่เราอยากเป็น และอยากให้คนอื่นเห็นว่าเราเป็นอย่างนั้น ขณะที่ตัวตนที่ 'บ้าน' คือตัวตนที่เราเป็นจริงๆ ไม่ต้องพยายาม ไม่ต้องดัดแปลงตัวเองไปเป็นอะไรที่เก่ง สวย หล่อ ฉลาดไปกว่าที่เป็นอยู่
อยู่บนเวทีนานเกินไป ใครก็อยากกลับบ้าน
12 เงื่อนไขในชีวิตของเราไม่เหมือนกัน ดีเอ็นเอในตัวเราไม่เหมือนกัน เราเติบโตหล่อหลอมมาจากพื้นฐานที่ต่างกัน กระทั่งการอยู่ในสถานที่เดียวกัน คนสองคนยังร้อนหนาวไม่เท่ากัน การพยายามมีความสุขในแบบเดียวกันที่มีคนเซ็ตมาตรฐานเอาไว้จึงเป็นเรื่องน่าตลกมากกว่าน่าภาคภูมิใจ
เมื่อประกวดประชันกันบนเวทีมาเนิ่นนาน ถึงวัยหนึ่งเราก็แค่เดินลงจากเวที แล้วกลับไปที่บ้าน กลับไปในที่เล็กๆ เงียบๆ ที่สร้างความสุขที่แท้จริงให้ตัวเอง - โดยไม่ต้องเปรียบเทียบกับใครอื่น
13 ความสำเร็จของเราอาจเป็นการกล่อมลูกให้หลับ เป็นท่าโยคะที่พยายามมาหลายเดือน เป็นดอกกุหลาบที่ตูมขึ้นให้ชื่นใจ เป็นใบใหม่ของไทรใบสัก เป็นอาหารจานเด็ดที่ทำเสร็จพร้อมเสิร์ฟ เป็นเพลงใหม่ที่เพิ่งแกะไปเล่นกับเพื่อน เป็นรูปถ่ายปลาใต้ทะเลตัวจิ๋วรูปแรกในชีวิต ฯลฯ อีกมากมาย
14 ไวน์อร่อยอาจไม่ใช่ไวน์ที่คนอื่นบอกว่าดี แต่เป็นไวน์ที่เราชิมเองแล้วอร่อย มันอาจไม่แพง ไม่มีประวัติหรูหรา ไม่ได้รับตราประทับจากใคร แต่ลิ้นของเราบอกว่าอร่อยนั้นก็คือไวน์อร่อยสำหรับเรา
กินกับอะไร กินกับใคร ก็อยู่ที่เรา
15 เส้นทางสู่ยอดเขาอาจมีเส้นทางเดียว และอาจมีผู้คนมากมายตะเกียกตะกายไต่ขึ้นไป แต่เส้นทางสู่ 'บ้านของหัวใจ' นั้นหลากหลายเหลือเกิน ต่างคนต่างเดิน และชื่นชมเส้นทางของกันและกัน
ความสุขในวัย 40 คือได้รู้ว่า 'ความสุข' นั้นมีทางเลือกมากกว่าหนึ่ง และความสุขของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีความสุขมากกว่า เพราะความสุขของเรานั้นต่างกัน สร้าง 'บ้านของหัวใจ' ของตัวเอง ว่างๆ ก็ไปเยี่ยม 'บ้านของหัวใจ' ของเพื่อนๆ
เมื่อมี 'บ้านของหัวใจ' ของตัวเองแล้ว 'ยอดเขา' ก็เป็นสถานที่ที่...ไม่ไปก็ได้
#นิ้วกลม #Roundfinger --- #คติธรรมคำคม
แชร์มาจากคุณป๋าขร้าค่ะ ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #123 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2020, 12:01:23 PM » |
|
"เพิ่งเข้าใจชีวิต เมื่ออายุ 60 ปี"
มีเพื่อนคนหนึ่งของผมอายุ 60 ปีแล้ว ผมถามเขาว่า…ที่ผ่านมาในชีวิตคุณได้เรียนรู้อะไรไปบ้าง และมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหลังจากที่คุณได้เรียนรู้ชีวิต
เขาอธิบายสรุปออกมาเป็นข้อ ๆ ได้ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้คือ..
1. เมื่อก่อนผมรักพ่อแม่ พี่น้องเพื่อนฝูงมากที่สุด แต่เดี๋ยวนี้ เมื่ออายุมากขึ้น สุขภาพเริ่มถดถอย ผมจะหันกลับมารักตัวเองให้มากขึ้น
2. ผมจะไม่ต่อรองราคากับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายผักขายผลไม้การจ่ายเงินเพิ่มอีกเล็กน้อยไม่มีผลกระทบกับชีวิตผมแต่อาจจะส่งผลต่อพวกเขาเงินเพียงเล็กน้อยเหล่านี้อาจหมายถึงค่าเล่าเรียนในอนาคตของลูก ๆ เขา
3. เวลาจ่ายค่าแท็กซี่ ผมจะไม่รอให้โชเฟอร์หาเศษเหรียญมาทอน แต่จะให้ทิปเขาเล็กน้อย อาจจะได้รับรอยยิ้มตอบแทน เพราะยังไงเขาก็คงจะหาเลี้ยงชีพลำบากกว่าผม
4. ผมจะไม่พูดกับผู้สูงอายุอีกว่า 'นิทานเรื่องนี้ท่านได้เล่าหลายครั้งแล้วนะ' เพราะนิทานเหล่านี้จะช่วยฟื้นความทรงจำ และการรำลึกอดีตที่ประทับใจของพวกท่าน
5. ผมจะไม่พยายามแก้ไขคนอื่นอีกต่อไป แม้ว่าเขาเหล่านั้นจะทำอะไรผิดๆ เพราะการทำให้ทุกคนสมบูรณ์แบบไม่ใช่ความรับผิดชอบของผม
6. ผมจะมองโลกในแง่บวกและชื่นชมผู้อื่นมากกว่าตำหนิ เพราะนั่นไม่เพียงแต่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งอารมณ์ดี แต่เป็นประโยชน์กับจิตใจตัวเราเองด้วย
7. ผมจะไม่กังวลกับจุดเปื้อนบนเสื้อหรือ ข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆของคนอื่น เพราะจิตใจสำคัญกว่ารูปลักษณ์ภายนอก ผมจะมองไปที่นิสัย และข้อดีที่แท้จริงของคนๆนั้นมากกว่า
8. ผมจะอยู่ห่าง ๆ กับคนที่เขาดูถูกเหยียดหยามผม เพราะพวกเขาไม่เข้าใจคุณค่าในตัวผมแล้วยังทำให้จิตใจขุ่นมัวเปล่าๆ
9. ผมจะไม่ยึดถือความคิดเห็นของตัวเอง จนต้องทำลายมิตรภาพ ท้ายที่สุดการมีความสุขอยู่คนเดียว ก็ไม่สู้มีความสุขกันทั่วหน้า
10. ผมจะถือว่าทุกๆวันเป็นวันสุดท้ายของชีวิต เพราะท้ายที่สุดวันสุดท้ายของชีวิตก็จะมาถึงสักวันหนึ่ง นั่นคือผมจะมีความสุขกับปัจจุบันให้มากที่สุดไม่ต้องรอวันในพรุ่งนี้
ย้อนมองเส้นทางแห่งชีวิต เพื่อน ๆ บางคนที่เคยทำงานด้วยกันมา ยังไม่ทันได้เกษียณก็ลาจากโลกไปแล้ว บางคนเพิ่งจะเกษียณไม่นานก็ต้องไปใช้ชีวิตในโรงพยาบาล ส่วนผมโชคดีมากที่ยังคงสัญจรไปมาอย่างร่าเริง ต้องขอบคุณทุกสิ่งที่ผ่านมา ที่ทำให้ตัวผมได้เป็นอย่างที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้
ต้นฉบับภาษาจีน หม่าหุ้ย หัวหน้าบรรณาธิการสำนักพิมพ์ชิงหัว ขอบคุณเจ้าของบทความค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #125 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2020, 01:18:53 PM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=GUJEBDpqFQQ#ก๋วยเตี๋ยวเรือกัปตัน #ผลกระทบโควิด19 #ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ก๋วยเตี๋ยวเรือกัปตัน : ชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร (10 พ.ย. 63)
อดีตกัปตันสายการบินพาณิชย์ชื่อดัง ที่ต้องผันตัวมาจับตะกร้อลวกเส้นก๋วยเตี๋ยว เพราะพิษเศรษฐกิจและผลกระทบจากโรคระบาดโควิด-19 มรสุมที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ได้พลิกชีวิตและเปลี่ยนความคิดให้เขามองชีวิตต่างไปจากเดิม
ติดตามชีวิตจริงยิ่งกว่าละคร ตอน ก๋วยเตี๋ยวเรือกัปตัน วันอังคารที่ 10 พฤศจิกายน 2563 เวลา 21.00 น. ทางไทยพีบีเอส หรือรับชมย้อนหลังทาง http://www.thaipbs.or.th/Real
ไทยพีบีเอสออนไลน์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #126 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2020, 08:32:49 AM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=6wUvvLYZU7sรายการเจาะใจ : พศิน อินทรวงศ์ - วันนี้ ที่มีความสุข (13 ม.ค 61) 734,497 views•Jan 13, 2018
ายการเจาะใจ ออกอากาศ ทุกวันเสาร์ เวลา 21.00 น. ทางช่อง 9 MCOT HD
“เจาะใจ” พบกับ “พศิน อินทรวงศ์” อดีตเป็นนักแต่งเพลง ปัจจุบันผันตัวเองเป็นนักเขียนหนังสือเกี่ยวกับธรรมะและการพัฒนาตัวเอง รวมทั้งเป็นวิทยากรเพื่อชี้ทางแห่งความสุขให้ผู้คนมากมาย สิ่งที่น่าสนใจคือ เขาคนนี้เชื่อว่ามนุษย์เราสามารถเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีกว่าได้ มีศักยภาพที่สร้างชีวิตที่มีแต่ความสุขได้ โดยที่ไม่ต้องมีชีวิตที่สุขๆ ทุกข์ๆ อย่างทุกวันนี้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #127 เมื่อ: พฤศจิกายน 30, 2020, 09:54:16 AM » |
|
ไม้คานที่หัก....
ยังจำอาแปะขายก๋วยเตี๋ยวแคะได้ไหมคะ อาแปะผู้มีอัธยาศัยดี เขย่าลวกเส้นไปยิ้มไป ใจดีแถมลูกชิ้นให้อาหมวยบ่อยๆ สั่งกินทีไร ได้ปริมาณมากกว่าคนอื่นทุกที
"อาเฮียครับ ไม่ต้องแถม กำไรไม่มาก หาบมาก็หนัก ให้อาหมวยเหมือนคนอื่นๆ ถ้าอีไม่อิ่ม ก็ซื้ออีกชาม " เตี่ยเอ่ยกับอาแปะ อาหมวยกำลังคีบเส้นหมี่อยู่คาปากยังส่งยิ้มพยักหน้ากับคำว่า อีกชามของเตี่ยได้ คิดในใจว่าแห้งชาม น้ำชาม กำลังดี
อาแปะยิ้ม บอกกับเตี่ยว่า " อาหมวยใจดี เอาน้ำชาเย็นๆมาให้อั๊วทุกครั้ง เปิดน้ำก๊อกให้ล้างหน้าคลายร้อน อีใจดีกับอั๊ว อั๊วก็ต้องใจดีกับอี " เตี่ยยิ้ม หันมาบอกอาหมวยว่า" อาหมวย ขอบคุณอาแปะซิ อาแปะชมเชยลื้อ " อาหมวยวางชามลงบนตัก ยกมือไหว้ กล่าวขอบคุณอาแปะ
อาหมวยคิดเอาเองว่า หาบของอาแปะนั้นต้องหนักมากๆ และเดินมาไกล คงทั้งเหนื่อยและเมื่อย แถมเตาก็ส่งไอร้อน และ มีควัน น้ำชาเย็นๆกับน้ำจากก๊อก คงช่วยทำให้คลายร้อน หายเหนื่อยลงได้บ้าง ที่สำคัญ อาแปะไม่เคยร้องขอ ไม่เคยเดินไปเปิดก๊อกเองในยามที่อาหมวยไม่ว่างมาเปิดให้ อาหมวยมองว่า อาแปะเป็นคนมีมารยาทที่ดี ไม่ถือวิสาสะ ให้ก็รับ ไม่ให้ก็ไม่เรียกร้อง คนแบบนี้อาหมวยชอบ ชอบมาจนถึงปัจจุบัน หากใครเดินเข้ามาเพื่อเรียกร้องmอาหมวยจะรู้สึกว่า น่ารังเกียจ แต่ถ้าคิดแล้วว่า สมควรให้ อาหมวยจะให้เอง
อาแปะ มาวางหาบทีไร ก็ขายหมดทุกที อาหมวยดีใจด้วยทุกครั้ง อาแปะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเดินขายอีก ครั้งหนึ่ง เมื่อฝนตกหนัก อาแปะถอดเสื้อยืดออกมาบิดน้ำ อาหมวยมองเห็นบ่าทั้งสองข้างของอาแปะเป็นรอยด้าน บ่งบอกถึงน้ำหนักของหาบที่แบกมานานวัน กว่าจะได้เงินแต่ละบาท ต้องใช้ความอดทนมากเพียงใด แต่อาแปะก็ยังคงมีรอยยิ้มเปื้อนหน้าซ่อนความเหนื่อยไว้ภายใน
ด้วยอัธยาศัยที่ดี รสชาติก๋วยเตี๋ยวก็แสนอร่อย ลูกค้าย่อมมีมากเป็นธรรมดา แถมอาแปะยังใจดี บ้านไหนยากจนมีลูกมาก หิ้วหม้อมาซื้อเกาเหลา อาแปะจะทำให้ในปริมาณมากเป็นพิเศษ แต่คิดในราคาธรรมดา ในยุคนั้น น้ำใจไมตรี เบ่งบาน กว่าน้ำเงินเสมอ
แล้ววันหนึ่ง ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่มีใครอยากให้เกิดกับอาแปะ วันนั้น อาแปะมาวางหาบ ที่หน้าบ้านอาหมวย ผู้คนในวันนั้น ไม่ค่อยคึกคักหมือนเช่นทุกวัน ขายได้ไม่กี่ชาม นั่งคุยกับเตี่ยอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยลา อาแปะบอกว่า
" วันนี้เตรียมของมามากกว่าทุกวัน ต้องรีบไปเดินขาย ต้องไปให้ทันโรงงานซอยโน้น แล้วจะเลยไปขายที่ตลาด จะได้กลับบ้านเร็วหน่อย "
กล่าวจบ อาแปะส่งยิ้ม แบกหาบขึ้นบ่า มือข้างหนึ่ง หิ้วถังน้ำ ออกก้าวเดินได้เพียงสามสี่ก้าว ไม้คานก็หัก ตู้ทองเหลืองทั้งสองฝั่งหล่นลงกระแทกพื้น ถังน้ำหลุดจากมือ ร่างอาแปะทรุดลงกับพื้น อาหมวย กับ อาแหมะ ร้องออกมาด้วยความตกใจ เตี่ยสติดีกว่าใคร วิ่งเข้าไปประคองร่างอาแปะขึ้นนั่ง
" อาคิ้ม เปิดประตูให้กว้าง จะพาอาเฮียเข้าในบ้าน " พูดจบเตี่ยอุ้มอาแปะ ก้าวเข้าบ้าน วางลงบนเสื่อน้ำมัน อาแหมะเอาหมอนวางรองใต้หัวอาแปะ เตี่ยเอาเซียงเพียวอิ๊วทาที่จมูก ขมับ และนวดเบาๆตรงหลังหู ปากก็พร่ำเรียก " อาเฮีย อาเฮีย ได้ยินผมไหม อาเฮีย "
แต่อาแปะยังคงเงียบ เตี่ยหันมาสั่งอาแหมะ และ อาหมวย " อาคิ้ม อาหมวย มานวดแขนขาให้อาแปะ เตี่ยจะไปแต่งตัว เตรียมรถ "
บ้านใกล้เรือนเคียง ต่างมามุงดู อยู่หน้าบ้าน อาแหมะส่งเสียงออกไป " ใครมีแรง ยกหาบมาเก็บในบ้านอั๊วให้ที "
หลายคนช่วยกัน ดีว่าตู้ทองเหลืองไม่ได้รับความเสียหายเท่าไหร่ ข้าวของยังอยู่ครบ อาจเพราะน้ำหนักมาก เวลาอาแปะหาบ อยู่สูงจากพื้นแค่คืบกว่า ความเสียหายจึงน้อยนิด แต่ไม้คานคงนำกลับมาใช้ไม่ได้แล้ว ใครคนหนึ่งส่งเสียงมาว่า
" เจ้ ไม้คานหักแล้ว ทิ้งเลยนะ " อาแหมะรีบโบกมือส่งเสียงปราม " ไม่ได้ ไม่ได้ เก็บเข้ามาก่อน เผื่ออาเฮียแกอยากจะเก็บไว้ "
เตี่ยเปลี่ยนชุดเรียบร้อย เดินไปที่รถ ปรัปเบาะข้างคนขับให้เอนนอน แล้วเดินกลับมาอุ้มอาแปะไปนั่งในรถ อาหมวยเห็นเตี่ยจับที่ข้อมืออาแปะ หันมาบอกอาแหมะ
" ชีพจรยังดี เฮียจะพาไปโรงพยาบาลใกล้ๆ ดูแลข้าวของอาแปะดีดี แล้วปิดประตูบ้านซะ " พอเตี่ยก้าวขึ้นรถ อาแปะก็ส่งเสียง
" อาเฮีย อาเฮีย ไม่ต้องไปโรงหมอ อั๊วไม่เป็นไร " เตี่ยเดินอ้อมมา นั่งลงข้างตัวรถ
" อาเฮีย ตอนนี้รู้สึกยังไง เจ็บที่หลังหูมากไหม ปวดหัวหรือเปล่า " " อั๊วมึนๆหัว ลืมตาไม่ขึ้น " " ไปให้หมอตรวจเสียหน่อย เรื่องของไม่ต้องห่วง ให้อาคิ้มอีจัดการนะ "
เตี่ยพูดจบ ปิดประตูรถ เดินอ้อมไปนั่งตำแหน่งคนขับ รถของเตี่ยเคลื่อนตัวออกไป อาแหมะหันมาสั่งอาตั่วเฮีย " อาตั่ว ลื้อขี่จักรยานไปที่โรงงานซอยโน้น บอกคนงานว่า อาแปะก๋วยเตี๋ยวแคะ ไม้คานหัก วันนี้ขายหน้าบ้านเรา แม่ค้าคนสวยจะเขย่าก๋วยเตี๋ยวขายแทน ไปรีบๆไป "
อาหมวยกับอาตั่วเฮีย ยิ้มขำกับคำว่า แม่ค้าคนสวย " อาหมวย วันนี้ขายก๋วยเตี๋ยวกัน " " อาแหมะทำเป็นเหรอ " " ง่ายกว่าตัดเสื้อตั้งเยอะ แต่จำไม่ได้ว่าใส่ลูกชิ้นกี่ลูก " " ถ้าใส่ทุกอย่าง ก็อย่างละลูกค่ะ อาหมวยกินบ่อย จำได้ค่ะ " " ตกลงวันนี้ลื้อช่วยอาแหมะขายของล้างถ้วยด้วยนะ " " ได้เลยค่ะ"
พอเที่ยงๆ ชาวโรงงานก็เดินเรียงแถวกันมา อาแหมะขายไปก็เล่าเหตุการณ์ไป ดูอาแหมะจะสนุกกับการขายก๋วยเตี๋ยว อาหมวยก็สนุกไปด้วย เพียงชั่วโมงกว่าๆ ตู้ก๋วยเตี๋ยวก็ว่างเปล่า อาแหมะกับอาหมวย ช่วยกันเก็บล้าง แล้วนั่งรอการกลับมาของเตี่ย
บ่ายแก่ๆ เตี่ยก็พาอาแปะกลับมา เมื่อจอดรถสนิท อาแปะก้าวลงมาได้เองพร้อมรอยยิ้ม สายตาอาแปะมองไปที่ตู้ทองเหลือง แววตาสลดลงทันที พูดออกมาเบาๆเหมือนรำพึงกับตัวเอง " ข้าวของ คงเสียหายหมด "
อาแหมะส่งยิ้มมาจากโต๊ะกินข้าว บอกกับอาแปะว่า " อาเฮีย มากินข้าวต้มก่อน ไปหาหมอหลายชั่วโมง คงหิวแล้ว "
เตี่ยประคองอาแปะ นั่งลงที่เก้าอี้ ปล่อยให้อาแปะนั่งกินข้าว ส่วนเตี่ย เปิดท้ายรถ จัดเรียงข้าวของของอาแปะใส่ท้ายรถและเบาะด้านหลัง ส่วนไม้คานที่หักทั้งสองท่อน เตี่ยนำมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว อาแปะกินข้าวกินน้ำเสร็จแล้ว อาแหมะยกกระป๋องสตางค์มาวางตรงหน้าอาแปะ " อาเฮีย เงินค่าก๋วยเตี๋ยว " อาแปะทำตาโต คงจะทั้งดีใจ ทั้งสงสัย อาแหมะจึงบอกว่า " ตู้ก๋วยเตี๋ยวแค่หล่นลงพื้น บุบนิดๆหน่อยๆ น่าจะซ่อมแซมได้ ส่วนก๋วยเตี๋ยวอั๊วขายให้หมดแล้ว " อาแปะกลืนน้ำลายลงคอ ยิ้มของอาแปะมาพร้อมน้ำใสๆที่ไหลเอ่อที่ดวงตา " อาซ้อ อาซ้อ ขอบคุณ ขอบคุณมากๆ อั๊วขอบคุณ ขอบคุณ " " ไม่ต้องขอบคุณอั๊ว ขอบคุณคนโรงงานซอยโน้นเถอะ พวกเค้ารู้ว่าอาเฮียเจ็บ ก็เดินมาอุดหนุน ทุกๆคนเป็นห่วงอาเฮียนะ "
อาแปะยิ้ม ก้มหน้าลงดึงคอเสื้อขึ้นมาซับน้ำตา เสียงสะอื้น รอยยิ้ม พยักหน้าซ้ำ อากัปกิริยาที่อาแปะทำนั้น อาหมวยแปลออกว่า แกตื้นตันใจ เตี่ยลงมานั่งข้างๆอาแปะ " อาเฮียเป็นคนมีอัธยาศัยไมตรีที่ดี ใครๆก็อยากอยู่ใกล้ ยามเดือดร้อนก็มีแต่คนอยากช่วยเหลือ ถึงได้มีคนเปรียบเอาไว้ว่า คนดีนั้นตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ " อาแปะพยักหน้าช้าๆ ใบหน้าเปื้อนยิ้ม เตี่ยเอาไม้คานมาวางบนตัก พลิกดูไปมา เตี่ยชี้ที่อักษรจีน ที่แกะสลักในเนื้อไม้ อ่านออกเสียงเบาๆแปลว่า " อดทน " " คงใช้ไม่ได้แล้วครับ หักแบบนี้ ดามแล้วคงได้แค่เก็บไว้เป็นที่ระลึก คงรับน้ำหนักอะไรไม่ได้ แล้ว" อาแปะยื่นมือรับไม้คานจากเตี่ย " เก่ามากแล้วอันนี้ อยู่ด้วยกันมานาน "
เตี่ยมองอาแปะแล้วถอนหายใจ อาแปะเล่าว่า ระยะหลังสุขภาพไม่ค่อยดี ลูกๆโตแล้ว แต่ยังไม่เป็นโล้เป็นพายแกกลัวลูกๆจะลำบาก แกจึงเพิ่มจำนวนของในแต่ละวัน เพื่อรายได้ที่เพิ่มขึ้น จะเก็บหอมรอมริบเอาไว้ให้ลูก เพราะเกรงว่า วันข้างหน้าลูกๆจะลำบาก เตี่ยฟังจบ ถอนหายใจเป็นครั้งที่สองก่อนจะเอ่ยว่า
" อาเฮีย ไม้คานอันนี้ เป็นไม้เนื้อแข็ง ยังหักลงได้ หากน้ำหนักที่ต้องแบกนั้นมากเกินไป ร่างกายคนเราเป็นเพียงก้อนเนื้อ มีเส้นเอ็นบางๆอยู่ภายใน วันหนึ่งต้องทรุดโทรมตามกาลเวลา การเป็นพ่อคน ก็เปรียบเสมือนหาบคอนลูกไว้บนบ่า แต่เมื่อพิจารณาว่าลูกโตพอที่จะเดินเองได้ เราก็ได้แต่เฝ้ามอง ชี้ทางที่ถูกที่ควรให้เค้า ส่วนเค้าจะแข็งแรง ก้าวเดินได้อย่างมั่นคง เค้าจะต้องมีประสบการณ์จากการเรียนรู้ ผมว่า อาเฮียควรเอาไม้คานอันนี้ เก็บไว้เป็นเครื่องเตือนใจ บรรดาลูกฯว่า วันหนึ่งข้างหน้า พ่อแม่ที่เคยแข็งแรงก็จะต้องป่วยไข้ หมดประโยชน์ และหักโค่นลงในที่สุด เปรียบเหมือนไม้คานอันนี้ให้พวกเค้าได้คิด จะได้เก็บเกี่ยวสิ่งดีดีที่พ่อแม่สอนไว้ ไปดำเนินชีวิต ด้วยความอดทน อดกลั้น และมีความเข้มแข็ง รู้หน้าที่ตน วันที่หมดพ่อแม่จะได้ไม่ลำบาก " อาแปะนิ่งฟัง แล้วพยักหน้า เห็นด้วย
เย็นวันนั้น เตี่ยขับรถไปส่งอาแปะที่บ้าน เมื่อกลับมาถึง เตี่ยเล่าว่า ลูกๆอาแปะโตมากแล้ว ย่างเข้าวัยรุ่น แต่ดูท่าทีไม่ค่อยสนใจห่วงใยผู้เป็นพ่อเท่าไหร่ อาแหมะฟังแล้วก็ส่ายหน้า ส่วนอาหมวย เองก็รู้สึกเห็นใจอาแปะ
" คนเป็นพ่อที่ดี ก็เหมือนแบกลูกไว้บนบ่า เป็นพ่อนั้นไม่ยาก แต่เป็นพ่อที่ดีนั้นลำบากเหลือหลาย ต้องใส่ใจทั้งเรื่องปากท้อง ความเป็นอยู่ อบรมสั่งสอนวางอนาคตที่ดีให้ลูก และต้องถามตัวเองเสมอว่า เหนื่อยคือแค่ไหน แค่ไหนเรียกว่า... เหนื่อย "
อาหมวย รู้เต็มอกตั้งแต่เล็กจนปัจจุบันว่า เตี่ยนั้น เหนื่อยหนักหนา เหนื่อยจนกลายเป็นความเคยชิน สองบ่าของเตี่ย แบกชีวิตลูกๆเอาไว้ เฉกเช่นเดียวกับพ่อที่ดีทุกคน ที่ทุ่มเทชีวิตเพื่อลูก เขียนมาถึงตรงนี้ คิดถึง " พ่อ " ท่านหนึ่ง ที่เหนื่อยเพื่อลูกตลอดทั้งชีวิต " พ่อ " ที่แบกลูกหลายสิบล้านชีวิต ไว้บนบ่า " พ่อ " ที่ดีที่สุดในโลก " พ่อ " ที่เป็น King of King บทความนี้ แด่.... พ่อที่ดีทุกคนบนแผ่นดินสยาม
ด้วยความปรารถนาดี เพจ รอยทางของเตี่ย
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2020, 09:55:50 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #128 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2020, 05:38:59 PM » |
|
11 อย่าง เมื่ออายุมากขึ้น
1.อย่าเลิกสวย สวยมากสวยน้อย ก็ให้สวยดูดีในแบบของเราไว้ก่อน วัยขนาดไหนก็ต้องสวยดูดีตามวัย อย่าปล่อยตัวโทรมเป็นวัตถุโบราณประจำบ้านเด็ดขาด
2.อย่าเลิกเที่ยว ไปเที่ยวไกลไม่ได้ ก็เที่ยวใกล้ๆบ้านเรานี่ละ อย่าจุ้มปุ๊กอยู่แต่บ้านจนเหี่ยวเฉาแห้งตาย เลยระยะกักตัวแล้ว ก็ออกไปโลดแล่นให้มันลั่ลล้าบ้าง
3.อย่าเลิกกินอร่อย ทำอะไรอร่อยๆให้เป็นรางวัลกับตัวเองบ้าง อย่าทำตัวอดอยากปากแห้ง กินกร่อยๆ เพราะกลัวอ้วน กลัวป่วย จนชีวิตแห้งเหี่ยวตั้งแต่ข้างนอกยันข้างใน
4.อย่าเลิกคบเพื่อน เหตุเพราะไปเจอเพื่อนไม่ดีบางคนเพียงคนเดียว เลยพาลไม่กล้าคบหาเพื่อนดีๆคนอื่นๆไปด้วย เพื่อนดีๆยังมีอีกเยอะให้เราคบหา พูดคุยปรึกษาหารือทำให้ชีวิตมีความหมายขึ้นครับ
5.อย่าเลิกหัวเราะ อย่าให้ความสูงวัย มาทำให้เราแก่จนลืมเสียงหัวเราะไป มีโอกาสหัวเราะได้ หัวเราะดังๆเลย เพราะเสียงหัวเราะรักษาได้หลายโรคเลยทีเดียวนะ จะบอกให้ แถมทำให้อายุยืนอีกด้วย
6.อย่าเลิกทำงาน อย่าเลิกทำงาน แม้จะเกษียณแล้วก็ตาม มีงานอะไรที่ไม่ผิดกฎหมาย ทำไปเถอะ แม้งานนั้นจะทำเอาสนุกๆก็ตาม
7.อย่าเลิกทำที่ชอบ มีสิ่งอะไรที่เคยชอบทำ ถ้าหากยังรักที่จะทำ ทำต่อไป อย่าหยุดทำ เช่น ร้องเพลง ขี่จักรยาน เขียนรูป เล่นดนตรี เป็นต้น ทำต่อไปให้มีความสุข
8.อย่าเลิกออกกำลัง โดยเฉพาะการเดิน อย่าหยุดเดิน พยายามเดินบ่อยๆ ถ้าเดินไม่ค่อยไหว ก็หาวิธีการออกกำลังที่เหมาะกับวัยหรือสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการออกกำลัง อย่าหยุดนอนอยู่นิ่งๆเด็ดขาด เอาไว้เวลานั้นมาถึงก่อน ค่อยนอนยาวไปเลย
9.อย่าเลิกขี้เล่น บ้าบอคอแตกบ้างในบางเวลากับเพื่อนสนิทที่คุ้นเคยกันมานานแสนนาน ป้องกันโรคเครียด โรคซึมเศร้าฯ ติดทะลึ่งตึงตังบ้างก็ดี สำหรับเพื่อนสนิท สุขภาพจิตจะแจ่มใสไปเองครับ
10.อย่าเลิกรัก รักให้เป็น และอย่าเลิกรักใครเพียงแค่อายุมากขึ้น เริ่มรักตั้งแต่รักคนใกล้ๆตัวก่อน แล้วขายวงไปรักเพื่อนบ้าน รักคนที่มีน้ำใจต่อเรา รักคนที่ควรรักที่ดี เลิกจงเกลียดจงชังผู้คนไปเรื่อย เพราะไม่ถูกใจเรา เดี๋ยวเครียดตาย!
11.อย่าเลิกดูสีของอุจจาระตัวเองเวลาถ่ายเสร็จ เมื่อถ่ายเสร็จตอนเช้าทุกครั้ง อย่าเพิ่งรีบกดชักโครกทันที ให้หันดูสีของอุจจาระของเราเสียก่อนว่ามีสีอะไร เหลือง เขียว ดำ หรือมีเลือดติดออกด้วยหรือไม่
ถ้าสงสัยให้เอาอุจจาระไปให้แพทย์ตรวจทันที เพื่อปลอดภัยไว้ก่อน เช่น ถ้าอุจจาระสีดำ ต้องคาดคะเนได้เลาๆว่า ดำมาจากอะไร เรากินอะไรที่มีสีดำหรือเปล่า ถ้าไม่ อาจมีเลือดจากแผลออกจากภายในกระเพาะหรือที่ใดสักแห่งด้านในร่างกายของเราก็ได้
อายุมากขึ้น ก็ต้องดูแลสุขภาพใจ สุขภาพกายเรามากขึ้นนะครับ
ดร.พนม ปีย์เจริญ 22-11-2020
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #129 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2020, 05:44:21 PM » |
|
อยากให้ได้อ่านค่ะ เลี้ยงลูกให้เป็นทรพี (โดยไม่เจตนา)
โดย ศ.นพ.วิทยา นาควัชระ
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเรื่องจริง
ตั้งใจจะยกให้ดูเป็นตัวอย่าง ไม่อยากจะโทษใคร เพราะตัวละครแต่ละคนในเรื่องก็เจ็บปวดอยู่แล้ว ถือว่าเป็นกรณีศึกษาและเป็นตัวอย่างประกอบก็แล้วกัน
ตัวอย่างที่ 1 พ่อมีการศึกษาจบปริญญาเอก แม่จบปริญญาโท ทั้งพ่อและแม่มีการงานทำดีมาก การเงินก็ดีแต่ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ทั้งสามีภรรยามีลูกชาย 2 คน คนโตอายุ 14 ปี คนเล็กอายุ 9 ปี ลูกทั้งคู่แลดูน่ารักตลอดมา การเรียนไม่เก่ง แต่การสังคมเก่ง พูดเก่ง กีฬาเก่ง กำลังเรียนในโรงเรียนที่มีชื่อมากแห่งหนึ่ง พ่อแม่เริ่มปวดหัวที่ลูกไม่เชื่อฟังคำสั่งสอน ลูกคนโตเริ่มก้าวร้าว พ่อแม่ว่าอะไรก็เถียงหรือไม่สนใจ ครั้งล่าสุดนี้ ลูกชายพูดจายอกย้อนพ่อ เถียงพ่อ จนพ่อทนไม่ได้ เอามือไปตีลูกชายเข้า 1 ที ลูกชายลุกขึ้นเตะพ่อ 1 ที แล้วผลักพ่อกระเด็น แถมเดินหนีออกจากบ้านไป
พ่อมาเล่าให้ผมฟังด้วยหัวใจปวดร้าว ผมถามว่าแล้วทำอย่างไรต่อ เขาบอกว่า ไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่เคยลงโทษลูกมาก่อนเลย เพราะคิดว่าจะเลี้ยงลูกด้วยการไม่ลงโทษเลย ครั้นโตแล้วจึงเห็นว่าลูกทำผิดเรื่อยๆไม่อยู่ในโอวาท ถ้าจะลงโทษตอนนี้ ลูกก็ไม่ยอมรับ แถมสู้และหนีไปเฉยๆ จะสู้กับลูกก็สู้ไม่ได้ อายเขาด้วย เขาถามผมว่า ทำไงดี…หมอครับ?
ตัวอย่างที่ 2 พ่อเป็นข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ แม่เป็นหมอ ก็ทำงานหนักทั้งคู่ ลูกชายคนโตอายุ 13 ปี ไม่เชื่อฟังพ่อแม่
ครั้งล่าสุดนี้ แม่เผลอไปเอ็ดลูกเข้ามากๆ ลูกชายเลยเอาไม้ตีหัวแม่แตกและหนีออกจากบ้านไป พ่อแม่ก็ไม่รู้จะทำอะไร ทั้งคู่ไม่เคยลงโทษลูก แม่โทรศัพท์มาหาและบอกว่า ไม่กล้าเล่าให้ใครฟัง กลัวเขาจะหาว่าเป็นลูกทรพี เธอถามผมว่า…หมอ…ทำไงดี?…อยากฆ่าตัวตายอยู่แล้ว !!!
จากทั้งสองกรณีนี้ แสดงให้เห็นว่าเด็กเติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่ไม่ได้สร้างวินัยให้แก่เด็กตั้งแต่เล็กๆ เด็กจึงเติบโตขึ้นมา มีร่างกายสมบูรณ์ แข็งแรง สังคมดี พูดเก่ง กีฬาเก่ง อาจจะเรียนเก่งด้วยก็ได้ แต่ขาดวินัยกับตัวเอง
ไม่มีการยอมรับกติกาของสังคม ของครอบครัว ของพ่อแม่ ซึ่งถ้าเติบโตต่อไปก็จะไม่ยอมรับกติกาของสถาบันการศึกษาของที่ทำงานและแม้แต่กฏหมายบ้านเมือง
เรียกว่าเติบโตต่อไป ทำงานก็ยาก อยู่ก็ยาก มีครอบครัวก็ยาก มีลูกก็ยาก ยากไปหมดทุกอย่าง แม้แต่อยู่คนเดียวก็ยาก เผลอๆก็ทำ ผิดกฏหมายบ่อยๆโดยอ้างว่า ไม่เจตนา ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ
ก็เป็นเพราะพ่อแม่ไม่ลงโทษ เมื่อเด็กทำผิดตั้งแต่เล็กๆและไม่ชมเชยหรือให้รางวัลเมื่อเขาทำความดี
ผมจำได้แม่นว่า เมื่อ 10 กว่าปีมาแล้ว มีการเชื่อกันมากเรื่องการเลี้ยงลูกโดยไม่มีการลงโทษทางกาย ซึ่งก็คือการตีลูกนั่นเอง พวกมีความรู้ระดับปริญญาโทขึ้นไป ครูบาอาจารย์ แพทย์ เชื่อถือกันมากและเลี้ยงลูกโดยไม่ลงโทษโดยการตีเลย แต่จะบอกให้เด็กคิดเอง ให้เด็กมีอิสระในการแสดงออก ซึ่งแลดูก็น่ารักดีหรอกในตอนเด็กๆ
ในช่วงนั้นๆผมเคยถูกเชิญไปบรรยายพิเศษให้สมาคมผู้ปกครองของโรงเรียนสาธิตที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่งฟัง และผมก็ถูกถามเรื่องนี้ ซึ่งผมก็ตอบในที่ประชุมเลยว่า ผมไม่เห็นด้วยหรอกที่ไม่มีการลงโทษเด็กทางฝ่ายกายเมื่อทำผิด
ถ้าเป็นผม ผมจะตีเด็ก ใช้มือตีเขาจะดีที่สุด ผมถูกหาว่า แหมมจัง!!
แต่ผมเชื่อว่า การถูกตีหรือการถูกลงโทษทางฝ่ายกายตั้งแต่เด็กๆนั้น เด็กจะตระหนักและรับรู้ถึงบทบาทของการลงโทษได้ดีกว่าและเร็วกว่าการลงโทษทางจิตใจและทางสังคม เพราะเด็กนั้นเล็กเกินไปที่จะเข้าใจ และจะได้ใจด้วย
ผมยังพูดอีกด้วยว่า "จำไว้ ถ้าคุณไม่ลงโทษลูกของคุณเมื่อทำผิด สักวันหนึ่งสังคมจะลงโทษลูกของคุณ ซึ่งจะเจ็บยิ่งกว่าที่คุณลงโทษเขาเสียอีก"
สิบกว่าปีผ่านไป เด็กๆยุคนั้นก็คงเติบโตเป็นวัยรุ่นกันในขณะนี้พอดี
ปัญหาเรื่องลูกวัยรุ่นนี้ ทำความปวดหัวมาให้กับพ่อแม่มาก มีพ่อแม่นำลูกวัยรุ่นมาปรึกษาผมที่คลินิกมากมาย ท้งที่เจ้าตัวยอมมาหาเอง และจ้างกันมา
มีวัยรุ่นรายหนึ่งมาจากเยอรมัน พ่อแม่ต้องจ้างให้มาหาผมด้วยการซื้อเสื้อผ้าให้ 30 ชุด ซึ่งหลังจากมาหาพูดคุยกับผมแล้ว เขาบอกว่า ไม่ต้องจ้างก็ได้เพราะมาหาแล้วคุยกับผมได้สนุกดี อยากมาคุยบ่อยๆ
โดยส่วนตัวผมเองแล้ว ผมสนใจเรื่องของวัยรุ่นและกิจกรรมวัยรุ่นตลอดมาในทุกๆรูปแบบและต้องเข้าใจหรือตามให้ทันอยู่เสมอๆ
สมัยที่รับราชการอยู่ในโรงพยาบาลสังกัดกรมการแพทย์ ผมก็เป็นผู้ริเริ่มตั้งแผนกจิตเวชวัยรุ่นขึ้นมาเป็นครั้งแรกในประเทศไทย เพราะมองเห็นความสำคัญของบุคคลในวัยนี้ ที่จะต้องได้รับการดูแล ช่วยเหลือแนะนำหรือแก้ไขโดยจิตแพทย์หรือบุคลากรที่พร้อมจะเข้าใจจิตใจของพวกเขาโดยแท้จริงและต้องทันสมัย ทันเหตุการณ์ด้วย
ในอเมริกาก็จะมีแผนกจิตเวชวัยรุ่นนี้อยู่ตามโรงเรียนแพทย์ใหญ่ๆที่ผมเคยได้ไปศึกษามาวัยรุ่นที่มีปัญหาหลายๆราย ก็ช่วยเหลือได้ทั้งในแง่เกเร ไม่เรียนหนังสือ ชอบหนีเที่ยว ติดยา สำส่อนทางเพศ แปรปรวนทางเพศ ก้าวร้าว แยกตัว ขาดความเชื่อมั่นตัวเอง กังวล ฯลฯ
บางรายก็ช่วยเหลือได้ยากมาก เพราะเขาไม่อยากให้แพทย์ช่วย
และที่แน่นอนคือ พ่อแม่ต้องให้ความร่วมมือด้วย
แต่ไม่อยากจะรอให้ถึงขั้นนี้หรอก จะเจ็บด้วยกันทั้ง พ่อ แม่ ลูก
จงมาตั้งใจอบรมลูกให้มีวินัยตั้งแต่เด็กๆดีกว่าครับ
จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจว่า เลี้ยงลูกผิด
ซึ่งถือว่าเป็นบาปบริสุทธิ์ชนิดหนึ่งก็ได้ หรืออย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกกันว่าเป็นการเลี้ยงลูกให้เป็นทรพีโดยไม่เจตนาก็ได้
ผมหนาวในหัวใจจังครับ
นำมาแบ่งปันเพราะชอบ เผื่อคนที่กำลังจะมีลูกมีหลาน จะได้มีแนวทางสอนลูกให้สอนหลานได้ต่อไป
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 05, 2020, 10:43:02 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #130 เมื่อ: ธันวาคม 14, 2020, 11:03:21 AM » |
|
ก่อนปี 2550 ผู้ป่วยโรคเอดส์ในประเทศไทยเสียชีวิตราวกับใบไม้ร่วง ปีละ 5 แสนราย . สาเหตุหลักคือ “ยาต้านไวรัสเอชไอวี” มีราคาแพงจนผู้ป่วยไม่สามารถเข้าถึง . แม้ว่าประเทศไทยจะมีระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บัตรทอง) มาตั้งแต่ปี 2545 ทว่าในช่วงแรกระบบก็ยังไม่รองรับการจ่ายยาต้านไวรัสฯ ให้กับผู้มีสิทธิ . แน่นอนว่า ก็เพราะยาดังกล่าวแพงหูฉี่ชนิดที่ระบบแบกรับค่าใช้จ่ายไม่ไหว . ภาพที่เกิดขึ้นในขณะนั้น คือผู้ป่วยเอดส์จำนวนมากต้องดิ้นรนหาเงินเพื่อรักษา ก่อหนี้ ล้มละลาย ขายทุกอย่างแม้แต่ลูกสาว . จนเมื่อเดินมาถึงทางตัน ทางเลือกสุดท้ายที่หลงเหลือก็คือการกลับไปจบชีวิตลงที่บ้าน . เพื่อหยุดยั้งการล่มสลายและการล้มละลายของผู้คน “นพ.มงคล ณ สงขลา” ซึ่งอยู่ในตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข จึงตัดสินใจประกาศมาตรการบังคับใช้ “สิทธิเหนือสิทธิบัตรยา” หรือซีแอล (Compulsory Licensing: CL) . การดำเนินนโยบายดังกล่าว สร้างแรงสั่นสะเทือนออกไปทั่วทั้งโลก . แม้ในมุมหนึ่งจะถูกโจมตีว่าประเทศแห่งนี้เพิกเฉยต่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา แต่อีกมุมหนึ่งได้จุดประกายความหวังให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะกับประเทศที่ยากจนแร้นแค้น . ความกล้าหาญทางจริยธรรมครั้งนั้น ทำให้ผู้ป่วยสามารถเข้าถึงยาได้ในราคาที่ถูกลง นำไปสู่อัตราการเสียชีวิตที่ต่ำลง . เวลา 22.52 น. ของวันที่ 11 ธ.ค. 2563 “นพ.มงคล” ออกเดินทางไกลแล้ว ร่างกายบริจาคให้เป็นอาจารย์ใหญ่แก่คณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ตามความประสงค์ . “The Coverage” ขอแสดงความอาลัย และขอบันทึกวีรกรรมบางช่วงบางตอนของท่านไว้เพื่อสดุดี . บรรทัดถัดหลังจากนี้คือเรื่องราวและบทสัมภาษณ์ของ “นพ.มงคล” ก่อนที่ท่านจะเข้าโรงพยาบาลรักษาตัวด้วยโรคมะเร็งที่ไต . --- ‘ซีแอล’ สะเทือนโลก --- . แม้ประเทศไทยถูกโจมตีว่าเพิกเฉยต่อการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา แต่ก็เป็นเพราะเงื่อนไขของบริษัทยาเองที่ทำให้การประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิกลายเป็น “หนทางเดียว” ที่จะช่วยชีวิตผู้คนได้ . ตั้งแต่มีการทำนโยบายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2544 เรื่อยมาจนมี พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ข้อเท็จจริงที่พบก็คืองบประมาณที่มีอยู่ในขณะนั้นไม่สามารถซื้อยาให้ครอบคลุมผู้ป่วยโรคเรื้อรังและร้ายแรงได้ . นโยบาย 30 บาทจึงยังไม่สามารถรักษาทุกโรคได้จริงอย่างที่ประกาศไว้ . “เราพยายามต่อรองมา 10 ปี แต่ไม่ได้ผล” นพ.มงคล หมายถึง “การต่อรองราคาต้านไวรัส” . ก่อนที่ นพ.มงคล ซึ่งขณะนั้นอยู่ในตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข จะตัดสินใจประกาศซีแอลยาราคาแพง มีการเชื้อเชิญบริษัทยาเจ้าของสิทธิบัตรเข้ามาพูดคุยเพื่อเจรจาต่อรองราคายาเป็นครั้งสุดท้าย . การพูดคุยในครั้งนั้น “นพ.มงคล” ได้นำรายการยาที่ “นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์” เลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในขณะนั้น คัดเลือกมาแล้วว่ามีความจำเป็นต่อผู้ป่วยจำนวนมาก พร้อมกับราคาที่ สปสช.จ่ายไหวมาเป็นฐานในการเจรจา . แต่สุดท้ายเจรจาไม่เป็นผล นพ.มงคลคว้าน้ำเหลว . “บริษัทยาไม่สนใจข้อมูล เขาไม่ลดแม้แต่บาทเดียว” นพ.มงคล บอกว่า สาเหตุที่บริษัทยาไม่ยอมลดราคาเนื่องจากมองว่าประเทศไทยเป็นประเทศเล็ก หากลดให้ประเทศไทยก็จะทำให้ประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าขอลดราคาด้วย . ไม่ใช่แค่บริษัทยาที่ไม่เคยลดราวาศอก แต่ รมว.สาธารณสุข ก่อนหน้านั้นหลายต่อหลายคนก็ไม่กล้าพอที่จะประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิ เพราะนั่นหมายถึงผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและเศรษฐกิจการค้าของไทย . ทว่า สำหรับ “นพ.มงคล” แล้ว คงไม่อาจปล่อยให้การล่มสลายและการล้มละลายของผู้คนดำเนินต่อไปได้ . เดือนพฤศจิกายน 2549 รัฐบาลไทยจึงได้สร้างความสั่นสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วทั้งโลก ด้วยการประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิเหนือสิทธิบัตรเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 51 ของ พ.ร.บ.สิทธิบัตร พ.ศ. 2522 . ยาที่ถูกทลายกำแพงราคา คือเอฟฟาไวเรนซ์ (Effavirenz) ชื่อทางการค้าคือ Stocrin เป็นยาต้านไวรัสสูตรพื้นฐานที่ใช้รักษาการติดเชื้อเอชไอวี ช่วยลดปริมาณเชื้อเอชไอวีในร่างกายและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น . ถัดมาอีกไม่ถึง 2 เดือน คือมกราคม 2550 รัฐบาลไทยประกาศเพิ่มอีก ได้แก่ ยาโคลพิโดเกรล (Clopidogrel) ชื่อทางการค้าคือ Plavix เป็นยาละลายลิ่มเลือดใช้รักษาและป้องกันการอุดตันในเส้นเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองและหัวใจ และยาสูตรผสมระหว่างโลพินาเวียร์และริโทนาเวียร์ (Lopinavir & Ritonavir) ชื่อทางการค้าคือ Kaletra ยาสำหรับผู้ติดเชื้อเอชไอวีและผู้ป่วยโรคเอดส์ที่ดื้อยาสูตรพื้นฐาน . “พอยาเอฟฟาไวเรนซ์เข้ามา โรคเอดส์ที่เคยตายกันปีหนึ่งสี่แสนห้าแสนคนกลับเหลือไม่ถึงแสน ที่ตายก็เพราะป่วยระยะสุดท้ายแล้ว แต่หลังจากนั้นเกือบพูดได้ว่าจนถึงวันนี้ไม่มีใครตายจากโรคเอดส์อีก” นพ.มงคล เล่าถึงดอกผลที่เกิดขึ้นจากการตัดสินใจ . --- แรงปะทะ --- . ทันทีที่รัฐบาลประกาศมาตรการบังคับใช้สิทธิ บริษัทยาต่างประเทศได้ออกข่าวโจมตีและร้องเรียนต่อกรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ กล่าวอ้างว่ากระทรวงสาธารณสุขของไทยไม่ได้ทำตามขั้นตอนในกฎหมายสิทธิบัตร . เพราะไม่ได้เจรจากับบริษัทยาอย่างถึงที่สุดก่อน แต่กลับประกาศใช้มาตรการบังคับใช้สิทธิโดยลำพัง . แน่นอนว่า อาการเหล่านี้เป็นปฏิกิริยาปกติที่ นพ.มงคล รู้ดีว่าจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอน . “มีการโจมตีเยอะแยะเลย โดนทั้งรัฐบาลและตัวบุคคล เรื่องส่วนตัวก็มีบ้าง เป็นเรื่องธรรมดา แต่ผมได้คุยกับท่านนายกฯ (พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์) ไว้ก่อนหน้านั้นแล้วว่าถ้าประกาศซีแอลจะลดคนตายในบ้านเราได้ไม่น้อยกว่าปีละ 5 แสนราย จากโรคมะเร็ง โรคเอดส์ และการล้มละลายจากการรักษาจะหมดไป ท่านนายกฯ ก็โอเค” . ทันทีที่ประกาศซีแอล ประเทศไทยถูกตั้งคำถามจากนานาประเทศอย่างไม่ไว้หน้า บุคคลที่มีส่วนช่วยในการชี้แจงข้อเท็จจริงในเวทีโลกก็คือ ทูตแสบ – “วีรชัย พลาศรัย” เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา . สิ่งที่ท่านยืนยันหนักแน่นมาโดยตลอดคือ ประเทศไทยทำถูกต้องตามกฎหมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และยังเป็นไปตามกฎหมายขององค์การการค้าโลก . มีอยู่ครั้งหนึ่ง นพ.มงคล ท่านทูตวีรชัย พร้อมคณะ ได้รับเชิญให้ไปตอบคำถาม ณ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ หรือยูเอสทีอาร์ (United States Trade Representative: USTR) ซึ่งเมื่อคณะของประเทศไทยเดินเข้าไปในห้องก็ถูกชี้หน้าตำหนิ . “You are the bad guy.” ยูเอสทีอาร์เปิดฉายทักทายคณะของประเทศไทยด้วยประโยคนี้ . นพ.มงคล โค้งรับ . ยูเอสทีอาร์ยืนกรานว่าสิ่งที่รัฐบาลไทยทำผิดกฎหมาย ทูตวีรชัยจึงแจกแจงกฎหมายต่างประเทศ กฎหมายองค์การการค้าโลก และกฎหมายไทย สรุปแล้วประเทศไทยทำถูกต้องทั้ง 3 ฉบับ และตอบคำถามได้ทุกประเด็น ซึ่งเจ้าหน้าที่องค์การการค้าโลกที่ร่วมคณะไปด้วยกันก็ยืนยันความถูกต้องนี้ . “ใครยังมีข้อข้องใจเรื่องการทำซีแอลของไทยอีกบ้าง” เอกอัครราชทูตไทยถาม ถึงตอนนั้นไม่มีใครแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติมอีกแล้ว . ก่อนจะแยกย้าย นพ.มงคล เดินกลับไปหาคนของยูเอสทีอาร์พร้อมชี้หน้า . “You are the real bad guy.” . แล้วผู้แทนสองคณะก็ลาจากกัน ------------------------------ The Coverage ขอแสดงความอาลัย และขอให้ดวงวิญญาณของ นพ.มงคล ณ สงขลา ไปสู่สุคติ ในสัมปรายภพ ณ แดนสรวงสวรรค์ ด้วยเทอญ
#หมอมงคล #บัตรทอง #ยาต้านไวรัสเอชไอวี
คุณธนโชตินำมาให้อ่านในไลน์ กลุ่มผักอินทรีย์ 15.15 ค่ะ อ่านให้รู้ว่ายังมีคนดีๆ ที่มีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน นำมาให้อ่านเพื่อเป็นความรู้ ไม่มีเจตนาอย่างอืนค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #131 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2020, 06:26:15 PM » |
|
เคล็ดไม่ลับ ของ ผู้เฒ่าอายุ 111
ผู้เฒ่า "โจวเอี่ยวกวง" ในวีดิโอ อายุ 111 ปี ให้ข้อคิด 5 ข้อแก่ท่านที่อยากมีอายุยืนยาวเกิน 100 ปี !
"โจว" เป็นผู้เชี่ยวชาญเศรษฐกิจ-การเงิน เคยทำงานธนาคารและเป็นอาจารย์ "โจว" เมื่ออายุได้ 50 เขาได้เบนเข็มชีวิตเปลี่ยนไปศึกษา อักษรศาสตร์ อยู่ 3 ปี และได้คิดค้น "พจนานุกรมการออกเสียงภาษาจีน" ซึ่งได้รับการนำไปใช้อย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา จนเขาได้รับการยกย่องว่า เป็น "บิดาแห่งการออกเสียงภาษาจีน" "โจว" เป็นคนรอบรู้และหมั่นศึกษาในทุกๆ เรื่อง เขาเคยนัดพบปะพูดคุยกับ "ไอสไตน์" ถึง 2 ครั้ง 2 ครา "โจว" อายุหลัง 100 ปี ยังคงเขียนหนังสือถ่ายทอดประสบการณ์ให้สังคมสม่ำเสมอ ปัจจุบันอายุ 111 ปี ยังคงสมองแจ่มใส ตาดี ทานได้นอนหลับ...
เคล็ดไม่ลับ 5 ข้อ ของ "โจว" ......
1. คนไม่ได้ตายเพราะ "อด" แต่ตายเพราะ "กิน" เขาบอกว่า เขาไม่กินยาบำรุงเลย รวมทั้งทั้งอาหารเลิศรสทั้งหลาย เขาบอกสมัยทำงานแบงค์ มีงานเลี้ยงมากมาย แต่เขาเลือกกินแต่สิ่งที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ไม่ใช่เพราะรสชาติหรือหายากราคาแพง... โรค เข้าทางปาก ไม่ว่าจะ ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง เบาหวาน ...ล้วนเป็นเพราะ ปาก
2. ใจกว้างอายุยืน คนเรา ต้องไม่โกรธ หรือ อารมณ์เสียง่าย เขาเชื่อตามคำสอนของ "พุทธ" ที่สอนให้ปล่อยวาง ไม่ทุกข์กับสิ่งนอกกาย ช่วงหนุ่มๆ เขาเคยเป็นแล้วนอนไม่หลับ ช่วงหลังเมื่อคิดได้ ก็ไม่เคยนอนไม่หลับอีกเลย ไม่ว่าเจอเรื่องอะไร อย่าผิดหวัง อย่าเสียใจ อย่าโกรธหรืออารมณ์เสีย ไม่ว่าจะเจอเรื่องร้าย อุบัติเหตุ ถูกคนกลั่นแกล้ง ...ก็ไม่ท้อแท้สะทกสะท้าน หรือโกรธเคือง... นี่คือ บททดสอบชีวิต เราต้องไม่กลุ้มใจด้วยการเอาเหตุการณ์ภายนอกมาลงโทษตัวเอง
3. ชีวิตยิ่งง่ายยิ่งดี "โจว" มีชิวิตประจำวันที่ง่ายๆ ไม่ว่าจะ อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ที่อยู่อาศัย..คือ กินนอนง่ายๆ ไม่เรื่องมาก เขาชอบอ่าน และยังคงเขียนบทความลงหนังสือทุกๆ เดือน "โจว" ไม่ได้เดินทางท่องเที่ยวมากมาย ส่วนใหญ่จะอยู่บ้าน อ่าน เขียน จิบชากาแฟ และออกกำลังกาย... สมัยแต่งงานใหม่ๆ แม่เขาเคยให้หมอดูดูดวง หมอดูบอกเขาจะมีชีวิตได้อีก 35 ปีเท่านั้น เขาบอกหมอดูดูไม่ผิด แต่อายุส่วนที่เกินนั้น เขาเป็นคนเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเขาเอง..
4. คนชราต้อง "3 ไม่" เพื่อให้ชีวิตยามชราภาพ ง่ายๆ ไม่วุ่นวาย เขายึดหลัก "3 ไม่" คือ.- ไม่ทำพินัยกรรม ไม่ฉลองวันเกิด ไม่ฉลองวันตรุษ
5. ชีวิตคู่ ที่ สอดคล้องต้องกัน ภรรยา "โจว" อายุ 93 ปี ภรรยาชอบดื่มชา ส่วนเขาชอบดื่มกาแฟ แต่เขาทั้งคู่ก็ยกแก้วขึ้นดื่มให้กัน และพูดคุยกันได้ด้วยดี คู่ชีวิตไม่ใช่อาศัยเพียงความรัก ต้องเคารพนับถือซึ่งกันและกันด้วย การร่วมดื่มด้วยการชูถ้วยแก้วขึ้นพร้อมๆ กัน เป็นกิริยาน้อยๆ ที่ให้เกียรติกัน ซึ่งเขาทำต่อเนื่องกันมาตลอด... คู่สมรส จำนวนมากอยู่ด้วยกันยาวนานมากกว่ากับ พ่อแม่ พี่น้อง ด้วย จึงมีความสำคัญต่อความสุขในชีวิตมาก ถ้า 3 วันทะเลาะกันที 5 วันตบตีกันครั้ง แล้วจะมีความสุขได้อย่างไร
โลกนี้ไม่มีอะไรราบรื่น เราต้องยอมเสียสละหรือเสียเปรียบบ้าง ดูทุกอย่างให้เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่มีปัญหา ทุกอย่างปรับได้แก้ได้ อารมณ์ย่อมไม่ขุ่นมัว ไม่เศร้าหมอง ไม่กังวล...
(จิตแกร่งใจกว้าง ... ผมเขียนเพิ่มเอง)
แปลโดย ประทีป ตั้งมติธรรม.https://m.facebook.com/story.php?story_fbid=1962964437133998&id=151454231618370
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #132 เมื่อ: มกราคม 03, 2021, 10:29:11 AM » |
|
ความแตกต่างระหว่างความสัมพันธ์กับความผูกพัน
เมื่อร้อยยี่สิบกว่าปีที่แล้ว นักบวชอินเดียรูปหนึ่งที่ข้ามน้ำข้ามทะเลมาสอนธรรมะที่อเมริกาจนโด่งดังถูกสัมภาษณ์โดยนักข่าวคนหนึ่งจากนิวยอร์ก
นักข่าวคนนั้นเริ่มต้นสัมภาษณ์ด้วยคำถามที่เตรียมมาว่า "สวามีครับ จากการเทศน์ครั้งล่าสุดท่านพูดถึง ความสัมพันธ์กับความผูกพัน ผมรู้สึกสับสนระหว่างสองคำนี้ ขอคำอธิบายด้วยครับ"
ท่านยิ้มให้พร้อมถามกลับว่า "เธอมาจากนิวยอร์กใช่ไหม?"
"ครับ" นักข่าวตอบ
ท่านถามต่อว่า "ที่บ้านมีใครอยู่บ้าง?"
แม้นักข่าวจะรู้สึกท่านพยายามหลี่ยงเลี่ยงคำถามด้วยการถามกลับในเรื่องส่วนตัว แต่นักข่าวก็ยอมตอบว่า "ผมมีพ่อกับน้องชายสามคน น้องสาวหนึ่งคน ทุกคนแต่งงานแล้ว ส่วนแม่ล่วงลับไปแล้วครับ"
พร้อมรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน ท่านถามนักข่าวว่า "คุยกับพ่อบ้างไหม?"
เห็นชัดว่านักข่าวเริ่มแสดงอาการอึดอัด ท่านถามอีกว่า "ครั้งสุดท้ายเมื่อไร?"
"เมื่อเดือนที่แล้วมั้งครับ" นักข่าวตอบอย่างเสียไม่ได้
"กับพี่น้องล่ะ เจอกันพร้อมหน้าพร้อมตาครั้งสุดท้ายเมื่อไร?" ท่านถามอย่างจริงใจ
เหงื่อผุดบนหน้าผากนักข่าวที่ดูเหมือนจะโดนสัมภาษณ์แทน "ช่วงคริสต์มาสเมื่อ 2 ปีที่แล้วครับ" นักข่าวตอบ
"อยู่ด้วยกันกี่วัน?" นักข่าวเริ่มปาดเหงื่อพร้อมตอบว่า "3 วันครับ"
"เธอนั่งข้างๆ พ่อกี่ครั้ง?" ท่านถามอีก
นักข่าวเริ่มวางตัวไม่ถูกงงงวย เขาอึดอัด เสขีดเขียนอะไรบางอย่างบนกระดาษ
ท่านถามต่อว่า "เคยทานข้าวกับพ่ออีกไหม เคยถามท่านไหมว่าท่านเป็นอยู่อย่างไรหลังจากแม่ของเธอเสีย?"
คราวนี้นักข่าวเริ่มหลั่งน้ำตา
ท่านกุมมือนักข่าวพร้อมกล่าวว่า "อาตมาเสียใจถ้าทำให้เธอเจ็บปวดโดยไม่ตั้งใจ ไม่ต้องละอาย ไม่ต้องเสียใจ และนี่คือคำตอบของอาตมาต่อคำถามของเธอ
"เธอสัมพันธ์กับพ่อกับพี่น้องแต่เธอขาดความผูกพัน ความผูกพันเป็นเรื่องของใจสู่ใจ นั่งด้วยกัน ทานอาหารด้วยกัน ใส่ใจต่อกัน สัมผัส กุมมือ สบตา ใช้เวลาร่วมกัน"
นักข่าวกล่าวอย่างซาบซึ้งว่า "ขอบคุณสำหรับบทเรียนอันล้ำค่าและยากที่จะลืมที่สวามีให้กับผมในวันนี้ครับ"
นี่คือความจริงในปัจจุบันทั้งในครอบครัว และในสังคม ทุกคนต่างสัมพันธ์กันแต่ไม่ผูกพันกัน ทุกคนต่างยุ่งอยู่กับเรื่องของตนเองและโลกส่วนตัว
นักบวชรูปนั้นคือ สวามีวิเวกนันทะ (1863-1902)
ปัญหาครอบครัวของคนรุ่นใหม่ในยุคนี้ คือคนเป็นลูกสัมพันธ์กับพ่อแม่ แต่ไม่ผูกพันกับพ่อแม่ อย่าไปประณามพวกเขา แต่จงพยายามเข้าใจความทุกข์ของพวกเขาเถิด
สุวินัย ภรณวลัย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #133 เมื่อ: มกราคม 10, 2021, 05:04:36 PM » |
|
COVID-19 สอนให้เรา รู้ว่า ...
1. มี "เงิน" อย่าใช้หมด ต้องคอย "เก็บเงิน" ไว้ใช้ในยามจำเป็นด้วย เพราะเวลาเกิดวิกฤตคนมีเงินอยู่บ้าง กับคนที่ไม่มีเงินเลย ทุกข์ต่างกันมากมาย
2. มี "งาน" ต้องรักงาน ต้องขยัน ต้องเต็มที่ เพราะต่อจากนี้ไม่มีอะไรการันตีความมั่นคงอีกแล้ว ต้องเป็นพนักงานที่องค์กรเห็นว่าทำงานให้เขาได้ "คุ้มค่า" เขาจึงจะจ้างไว้ต่อ
3. มี "คนที่รัก" ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว ญาติ คู่รัก หรือเพื่อนรัก ต้องสร้าง "สัมพันธ์" กันให้ดี หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยให้กัน แสดงความรักที่มีต่อกันออกมาตั้งแต่วันนี้ เพราะการลาจากโดยไม่ได้ร่ำลา ช่างเป็นเรื่องที่น่าเศร้ายิ่งนัก
4. มี "เวลา" ต้องใช้ให้ดี อย่างปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์ เพราะที่เคยคิดกันว่าทุกคนมีเวลาอย่างน้อย 70-80 ปี ต่อจากนี้จะไม่แน่เช่นนั้นอีกแล้ว
5. มี "ร่างกาย" ต้องดูแลรักษาให้ดีที่สุด อย่าบอกว่าไม่มีเวลา ร่างกายที่แข็งแรงจะเป็น "ภูมิต้านทาน" ต่อโรคต่าง ๆ การมีชีวิตอยู่ภายใต้ร่างกายที่แข็งแรง จะทำให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดี
6. มี "จิตใจ" ต้องทำให้ "สดชื่น" ไม่ทุกข์ ไม่กังวลกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไม่ต้องไปให้ความสำคัญกับคนไม่ดี และมีชีวิตอยู่กับปัจจุบัน โดยไม่จมอยู่กับอดีต หรือกังวลกับอนาคตที่ยังมาไม่ถึง
7. มี "ชีวิต" ต้องใช้ชีวิตให้คุ้มค่า ต่อไปไม่มีใครรู้ว่า เรามีเวลาของชีวิตแค่ไหน ขอให้ "รู้สึกดีกับชีวิต" ใช้ชีวิตในแบบที่เป็นตัวเราเอง รักตัวเอง ศรัทธาในตัวเอง ภูมิใจในทุกๆ ด้านของชีวิตเราเอง
มีหลายคนบอกว่า เมื่อไหร่ COVID-19 จะจบๆ ไปเสียที จะได้กลับไปใช้ชีวิต "เหมือนเดิม" ได้ไปเที่ยว ได้ไปกิน ได้ไปสังสรรค์
ถ้าเป็นแบบนี้ แปลว่าเราอาจจะไม่ได้ "เรียนรู้" จากเหตุการณ์ใหญ่ครั้งนี้เลย หาก COVID-19 ผ่านไป ขอให้ทุกคนตั้งมั่นว่า เราจะไม่ใช้ชีวิต "เหมือนเดิม" อีก
เราจะใช้ชีวิตให้ "ดีขึ้น" ใช้ชีวิตอย่างมี "คุณค่า" มากขึ้น โดยการมีความสุขง่ายๆ สุขจาก "สิ่งที่เรามี" ในชีวิต ทำดีที่สุดกับ "คนที่เรารักและรักเรา" เก็บ "เงินสำรอง" ไว้บ้างในชีวิต และที่สำคัญ "ช่วยเหลือผู้อื่น" ในทางที่เราช่วยได้
มีคนบอกว่า COVID-19 ทำให้โลกของเราจะไม่มีวัน "เหมือนเดิม" แต่เราก็จะบอกว่า เราก็ไม่มีวันเหมือนเดิมเช่นกัน เพราะชีวิตเรานับจากนี้ มีแต่จะ "ดีขึ้น" และ "ดีที่สุด" ในแบบที่ชีวิตของเราจะเป็นได้
ขอบคุณผู้เขียนบทความดี ๆ บทนี้...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #134 เมื่อ: มกราคม 10, 2021, 05:14:33 PM » |
|
บทความดีๆที่ควรค่าแก่การอ่านอย่างยิ่ง สำหรับคนไทย ในเวลานี้... ————— Cr: คุณหมอChamnan Bhu-eiam ——————— “คนไทยควรทำอย่างไรในภาวะวิกฤติ”
ในวิกฤติการณ์ของประเทศชาติเช่นนี้ คนไทยควรทำอย่างไร?
สภาพความเป็นจริง :
-เราควบคุมแรงงานเถื่อนไม่ได้
-เราควบคุมบ่อนการพนันไม่ได้
-เราควบคุมพฤติกรรมนักพนันไม่ได้
-เราควบคุมผู้ละเมิดมาตรการรัฐไม่ได้
-เราควบคุมจิตสำนึกของผู้อื่นไม่ได้
-เราควบคุม TIME LINE ผู้อื่นไม่ได้
การแก้ปัญหา : ในเมื่อเราควบคุมพฤติกรรมคนอื่นไม่ได้ เราก็ต้องหันมาใส่ใจควบคุมตนเอง...
1. ”อย่าตกใจกับจำนวนผู้ติดเชื้อ” เราต้องยอมรับและทำใจว่า ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ประเทศไทยเราอาจต้องพบผู้ติดเชื้อจำนวนมากมายกว่าที่คาดคิด - เพราะในแง่ความเป็นจริง สังคมไทยไม่ใช่ปลอดเชื้อโควิดมาตั้งแต่ต้น เพียงแต่ว่าเราไม่ได้ตรวจหาหรือสุ่มตรวจหาโควิด-19 เชิงรุกอย่างจริงจัง และโดยสถิติทุกประเทศที่ทำการตรวจเชิงรุก “ยิ่งตรวจจะยิ่งพบผู้ติดเชื้อ”
- จำนวนการพบผู้ติดเชื้อมากเท่าไรไม่สำคัญ สำคัญที่เราต้องป้องกันตนเอง ทุกคนต้องระวังตนเอง และ ป้องกันตนเองโดยไม่ไว้ใจผู้อื่น (Universal Precaution) ให้คิดอยู่เสมอว่าผู้ที่อยู่ใกล้เราคือผู้ติดเชื้อโควิด-19 ถ้าเรามีวินัย ป้องกันตนเองตลอดเวลาโอกาสที่เชื้อโรคจะทำร้ายเราได้ ก็เป็นไปได้ยาก
“ต่อให้น้ำท่วมโลก ก็ไม่สามารถทำให้เรือของเราล่มได้ ถ้าเราไม่ปล่อยน้ำให้ไหลเข้ามาในเรือเรา โควิด-19 ก็เช่นกัน มันไม่สามารถทำร้ายเราได้เลย ถ้าเราไม่เผลอตัวไปให้โอกาสมัน”
2. ”ต้องช่วยกันชลอการติดเชื้อ” ถ้าเราชลอไม่ได้ คือ “ความหายนะของชาติ” เราต้องยอมรับว่า ขณะนี้เราไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อภายในประเทศได้ และไม่สามารถทำให้สงบโดยในระยะเวลาอันสั้น (ตราบใดที่เราไม่สามารถจัดการแรงงานเถื่อน ไม่สามารถจัดการบ่อนการพนัน)
- แต่เราสามารถ”ชลอการติดเชื้อ”ได้โดยให้คนไทยช่วยกันด้วยเทคนิคง่ายๆ คือ “การลดการเคลื่อนย้ายประชาการ ลดการไปมาหาสู่กัน”สักระยะหนึ่ง..จะเรียกชื่อว่า”ล๊อคดาวน์”หรือไม่ ไม่สำคัญ ไม่ต้องมาเถียงกันให้เสียเวลา
- เพราะหลักการป้องกันโรคติดต่อ มีอยู่นิดเดียว คือ..”โรคติดต่อ.. ถ้าเราไม่มีการติดต่อ โรคก็จะไม่ติดต่อ”
- การชลอการติดเชื้อ เป็นเสมือนการชลอน้ำที่ไหลจากที่สูงไปสู่ที่ต่ำด้วยความเร็วที่ช้าลง.. ป้องกันไม่ให้เกิดการระบาดรุนแรงพร้อมกันทั้งแผ่นดิน
- ประโยน์ของ”การชลอการติดเชื้อ” คือ ทำให้โรงพยาบาลมีเตียง มีอุปกรณ์การแพทย์ และ กำลังบุคลากรทางการแพทย์รองรับพอเพียง และ ได้สัดส่วนกับผู้ป่วย รวมทั้งอัตราการหายป่วยมีมากกว่าการเจ็บป่วย
- อยู่บ้านให้มากขึ้น ลดการเดินทางที่ไม่จำเป็น รักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด ถ้าคนไทยเราช่วยกันทำตรงนี้กันอย่างจริงจัง นั่นคือความหวังสู้โควิดได้ (อย่าให้ใครเขาบังคับ เหมือนคนไร้จิตสำนึก)
3. เราต้อง SAVE ตนเองให้นานที่สุดเพื่อรอรับวัคซีน ซึ่งความหวังอยู่แค่เอื้อม
- Dose แรกจะเริ่มปลายกุมภาพันธ์นี้แล้ว อย่าให้พลาดท่าป่วยด้วยโควิด-19 เป็นอันขาด ถึงแม้ว่าป่วยแล้วไม่ตาย แต่อวัยวะต่างๆ อาจโดนทำลาย ไม่ว่าสมอง เส้นเลือด หัวใจ ไต อาจถูกทำลาย ไม่กลับสู่สภาพเดิมได้ (และ อย่าหวังมีภูมิต้านทานจากการติดเชื้อ เพราะอันตรายมาก)
4.ในภาวะวิกฤติ คนไทยจะต้องรู้จักอดทนอดกลั้น มีวินัย อย่าโอดครวญ โวยวาย ขัดขวางมาตรการรัฐ ควรรู้จักเก็บอาการกันไว้บ้าง
- ที่สำคัญคือ ควรมีจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ และ รับผิดชอบต่อสังคมกันมากกว่านี้
- ประเทศญี่ปุ่นช่วงที่เผชิญสึนามิ-แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ล่าสุด คนญี่ปุ่นร่วมกันเผชิญวิกฤติการณ์ด้วยสติ..มีความอดทนอดกลั้น-มีความสามัคคี-มีวินัย-มีน้ำใจ-ห่วงใยต่อกัน
- จงอดทนอดกลั้น มีน้ำใจ ห่วงใยต่อกัน
บทสรุป : การสู้กับโควิด-19 ไม่ใช่การสู้กับเชื้อโรคร้ายอย่างตรงไปตรงมา โควิดเป็นเพียงครึ่งร่าง ที่มาอาศัยมนุษย์เราเพื่อการเจริญเติบโตและการกลายพันธุ์เท่านั้น แต่มันทำให้มนุษย์เราต้องต่อสู้กับจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ด้วยกัน การสู้กับโควิด-19 จะเป็นการพิสูจน์ต้นทุนทางจิตสำนึกของความเป็นมนุษย์ในแต่ละสังคมว่า จะมีมากน้อยเพียงใด
สำหรับประเทศไทย ถ้าผลออกมาไม่ดีอย่างไร เราก็ต้องทำใจยอมรับมัน เพราะต้นทุนเรามีกันเพียงเท่านี้ อย่าได้คิดค้ากำไรเกินควรเลย
Chamnan. นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม 6/01/64
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|