jainu
|
|
« ตอบ #135 เมื่อ: มกราคม 13, 2021, 11:17:40 AM » |
|
รักษาขาของคุณให้แข็งแรง - บทความต้องอ่าน
▪️เมื่อเราแก่ตัวลงเท้าของเราจะต้องแข็งแรงอยู่เสมอ
▪️เมื่อเราอายุมากขึ้น / อายุมากขึ้นเราไม่ควรกลัวผมจะเปลี่ยนเป็นสีเทา (หรือ) ผิวหนังหย่อนคล้อย (หรือ) มีริ้วรอย
▪️ในบรรดาสัญญาณของ อายุที่ยืนยาว ตามที่สรุปโดยนิตยสาร "Prevention" ของสหรัฐอเมริกานั้น กล้ามเนื้อขาที่แข็งแรง อยู่ในอันดับต้นๆ สิ่งที่สำคัญและจำเป็นที่สุด
▪️หากไม่ขยับขาเป็นเวลาสองสัปดาห์ ความแข็งแรงของขาจะลดลง 10 ปี
▪️การศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคเปนเฮเกนในเดนมาร์กพบว่าทั้งคนแก่และเด็กในช่วงสองสัปดาห์ของการไม่ออกกำลังกาย ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขาลดลงถึง 1 ใน 3 _ ซึ่งเท่ากับ เทียบเท่ากับอายุมากขึ้นถึง 20-30 ปี
▪️หากกล้ามเนื้อขาของเราอ่อนแรง การฟื้นตัวจะใช้เวลานานแม้ว่าเราจะออกกำลังกายฟื้นฟูในภายหลังก็ตาม
▪️ดังนั้นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอเช่นการเดินจึงสำคัญมาก
▪️น้ำหนักตัวทั้งหมด/การลงน้ำหนักอยู่ที่ขา
▪️เท้าเป็น เสาหลัก ในการรับน้ำหนักของร่างกายมนุษย์
▪️เป็นที่น่าสนใจว่า 50% ของกระดูกมนุษย์ และกล้ามเนื้อ 50% อยู่ที่ขาทั้งสองข้าง
▪️ข้อต่อและกระดูกที่ใหญ่ที่สุดและแข็งแรงที่สุดของร่างกายมนุษย์ก็อยู่ที่ขาด้วย
▪️ "กระดูกที่แข็งแรง กล้ามเนื้อที่แข็งแรงและข้อต่อที่ยืดหยุ่นเป็น" สามเหลี่ยมเหล็ก "ที่รับภาระที่สำคัญที่สุดในร่างกายมนุษย์"
▪️70% ของกิจกรรมของมนุษย์และการเผาผลาญพลังงานในชีวิตของคนเรา ทำโดยสองเท้า
▪️คุณรู้หรือไม่? เมื่อคนอายุน้อยต้นขาของเขามีกำลังมากพอที่จะยกรถคันเล็ก ๆ ได้!
▪️เท้าเป็น ศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวของร่างกาย
▪️ขาทั้งสองข้างมีเส้นประสาท 50% ของร่างกายมนุษย์ 50% ของเส้นเลือดและ 50% ของเลือดที่ไหลผ่าน
▪️เป็นเครือข่ายการไหลเวียนโลหิตขนาดใหญ่ที่เชื่อมต่อกับร่างกาย
▪️เฉพาะเมื่อเท้าแข็งแรงแล้ว กระแสเลือด จะไหลเวียนได้อย่างราบรื่นดังนั้นคนที่มีกล้ามเนื้อขาแข็งแรงจะมี หัวใจที่แข็งแรงอย่างแน่นอน
▪️อายุเริ่มจากเท้าขึ้นไป
▪️เมื่อคนเราอายุมากขึ้นความแม่นยำและความเร็วในการส่งคำสั่งระหว่างสมองกับขาจะลดลง ไม่เหมือนตอนที่คนเรายังเด็ก
▪️นอกจากนี้สิ่งที่เรียกว่า แคลเซียมปุ๋ยกระดูก จะสูญเสียไปไม่ช้าก็เร็วตามกาลเวลาทำให้ผู้สูงอายุมีแนวโน้มที่จะกระดูกหัก
▪️กระดูกหักในผู้สูงอายุได้ง่าย ทำให้เกิด ภาวะแทรกซ้อนต่างๆโดยเฉพาะโรคร้ายแรงเช่นเส้นเลือดในสมองตีบ
▪️คุณรู้หรือไม่ว่า 15% ของผู้ป่วยสูงอายุจะเสียชีวิตภายใน 1 ปีจากอาการกระดูกต้นขาหัก
▪️การออกกำลังขาไม่มีสายเกินไป แม้อายุ 60 ปีขึ้นไป
▪️แม้ว่าเท้าของเราจะค่อยๆอายุมากขึ้นตามกาลเวลา แต่การออกกำลังกายที่เท้าเป็นงานที่ต้องทำตลอดชีวิต
▪️เพียงแค่ทำให้ขาแข็งแรงขึ้นเท่านั้น ก็สามารถชลอการแก่ได้
▪️กรุณาเดิน อย่างน้อย 30-40 นาที ทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าขาของคุณได้รับการออกกำลังกายอย่างเพียงพอและเพื่อให้แน่ใจว่ากล้ามเนื้อขาของคุณยังคงแข็งแรง
▪️โปรดแบ่งปันกับเพื่อนผู้สูงอายุและสมาชิกในครอบครัวของคุณ
thank you
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #136 เมื่อ: มกราคม 13, 2021, 11:23:22 AM » |
|
犯 錯 ทำผิดพลาด
作者:尤金 ผู้เขียน: อิ๋วจิน
在上海的一家餐館裡,負責為我們上菜的那位女侍 ,年輕得像是樹上的一片嫩葉。 ณ ห้องอาหารแห่งหนึ่งในเมืองเซี่ยงไฮ้ สาวเสิร์ฟที่รับผิดชอบเสิร์ฟอาหารให้กับพวกเรา ยังอ่อนเยาว์ดุจดังใบไม้อ่อนของต้นไม้
她捧上蒸魚時,盤子傾斜。 เมื่อเธอยกถาดปลานึ่งมานั้น จานลาดเอียง
腥羶的魚汁魯魯莽莽地直淋而下,潑灑在我擱於椅子的皮包上。 น้ำคาวของปลาก็ไหลหยดลง บนกระเป๋าหนังที่อยู่บนเก้าอี้
我本能地跳了起來,陰霾的臉,變成欲雨的天。 ข้าพเจ้าโดดขึ้นมาตามสัญชาติญาณ หน้าดำคล้ำดุจดังท้องฟ้าใกล้ฝนตก
可是,我還沒有發作,我親愛的女兒便以旋風般的速度站了起來, แต่ทว่าข้าพเจ้ายังไม่ทันได้บันดาลโทสะ บุตรสาวของข้าพเจ้า ได้ลุกขึ้นรวดเร็วปานพายุ
快步走到女侍身旁,露出了極為溫柔的笑臉, เดินตรงไปข้างตัวสาวเสิร์ฟ ทั้งยังส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นยิ่ง
拍了拍她的肩膀,說:「不礙事,沒關係。」 พร้อมทั้งตบบ่าเธอเบาๆ พูดว่า 「ไม่มีปัญหาไม่เป็นไร]
女侍如受驚的小犬,手足無措地看著我的皮包, 囁嚅地說:「我,我去拿布來抹……」 สาวเสิร์ฟเหมือนลูกสุนัขที่ตกใจกลัว มือเท้าทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนมองกระเป๋าของข้าพเจ้า พูดละล่ำละลักว่า หนู หนู จะเอาผ้ามาเช็ดให้
萬萬想不到,女兒居然說道:「沒事,回家洗洗就乾淨了。 แต่คาดไม่ถึงว่า บุตรสาวของข้าพเจ้าได้พูดขึ้นว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวกลับบ้านล้างๆ ก็สะอาดแล้ว
你去做事吧,真的,沒關係的,不必放在心上。」 เธอไปทำงานของเธอเถอะ ไม่เป็นไรจริงๆ อย่าเอามากังวลใจ
女兒的口氣是那麼的柔和,倒好似做錯事的人是她。 น้ำเสียงของบุตรสาวที่พูดนั้นอ่อนโยนมาก คล้ายดังผู้ทำผิดเป็นตัวเธอเสียเอง
我瞪著女兒,覺得自己像一隻氣球,氣裝得過滿, 要爆炸卻又爆不了,不免辛苦。 ข้าพเจ้าเพ่งมองดูบุตรสาว รู้สึกว่าตนเองคล้ายดังลูกโป่งลูกหนึ่ง บรรจุแก๊สจนมากเกิน อยากจะระเบิดก็ระเบิดไม่ออก รู้สึกเป็นทุกข์มาก
女兒平靜地看著我,在餐館明亮的燈火下, บุตรสาวมองข้าพเจ้าอย่างสงบ ภายใต้แสงสว่างในห้องอาหาร
我清清楚楚地看到,她大大的眸子里,竟然鍍著一層薄薄的淚光。 ข้าพเจ้าได้มองเห็นอย่างชัดเจน ถึงภายในดวงตากลมโตของเธอ ได้เคลือบเอาหยาดน้ำตาบางๆ ไว้ชั้นหนึ่ง
當天晚上,返回旅館之後,母女倆齊齊躺在床上,她這才亮出了葫蘆里所賣的藥: ในคืนนั้นหลังจากได้กลับถึงโรงแรม เราสองแม่ลูกนอนอยู่บนเตียงด้วยกัน เธอจึงได้พูดถึงสิ่งที่เธอได้ทำลงไป
女兒倫敦求學三年,為了訓練她的獨立性, บุตรสาวได้ไปเรียนที่ลอนดอน 3 ปี เพื่อให้เธอฝึกฝนการใช้ชีวิตอย่างอิสระ
我和先生在大學的假期里不讓她回家,我們要她自行策劃背包旅行, 也希望她在英國試試兼職打工的滋味兒。 ข้าพเจ้าและสามีจึงให้เธอไม่ต้องกลับบ้านตอนปิดภาคเรียนของมหาวิทยาลัย พวกเราต้องการให้เธอรู้จักการวางแผนแบกเป้ท่องเที่ยวด้วยตนเอง และยังหวังให้เธอรู้ถึงรสชาติของการเรียนพร้อมกับการทำงานในอังกฤษด้วย
活潑外向的女兒,在家裡十指不沾陽春水, บุตรสาวที่อุปนิสัยร่าเริงและกระตือรือร้นต่อสิ่งภายนอก ขณะอยู่บ้านไม่เคยต้องซักผ้าถูบ้าน
粗工細活都輪不到她, และไม่เคยต้องข้องแวะกับงานหนักงานเบาใดๆ
然而來到人生地不熟的英國 卻選擇當女侍來體驗生活。 ครั้นเมื่อมาอยู่ประเทศอังกฤษอันเป็นเมืองที่ไม่คุ้นเคย กลับเลือกมาเป็นสาวเสิร์ฟเพื่อเรียนรู้การดำรงชีวิต
第一天上工,便闖禍了。 เพียงวันแรกที่เข้าทำงาน ก็ก่อเรื่องขึ้น
她被分配到廚房去清洗酒杯, เธอถูกจัดสรรให้ทำหน้าที่ล้างแก้วเหล้าในห้องครัว
那些透亮細緻的高腳玻璃杯,一隻只薄如蟬翼, แก้วเหล้าทรงสูงที่ประณีตและใสแจ๋วเหล่านั้น แต่ละใบบางดุจปีกจักจั่น
只要力道稍稍重一點,便會分崩離析,化成一堆晶亮的碎片。 เพียงแต่จับแรงไปนิดหน่อย ก็ทำให้แตกได้ กลายเป็นเศษแผ่นแก้วทันที
女兒戰戰兢兢,如履薄冰,บุตรสาวทำงานด้วยความหวาดหวั่น เหมือนยืนอยู่บนแผ่นน้ำแข็งบางๆ
好不容易將那一大堆好似一輩子也洗不完的酒杯洗乾淨了, กว่าจะล้างแก้วเหล้ากองโตซึ่งดูเหมือนล้างชั่วชีวิตก็ล้างไม่หมดนั้น ก็ได้ล้างสะอาดจนหมดสิ้น
正松了一口氣時,沒有想到身子一歪,一個踉蹌, ขณะที่กำลังถอนใจอย่างโล่งอกนั้น คาดไม่ถึงว่าขณะที่เอียงตัวนั้น ได้เซไป
撞倒了杯子,杯子應聲倒地, ชนแก้วเหล้าจนล้มลง แก้วเหล้วทั้งหมดล้มลงกับพื้นเสียงดัง
「哐啷、哐啷」連續不斷的一串串清脆響聲過後, 酒杯全化成了地上閃閃爍爍的玻璃碎片。 โครงเครง โครงเครง หลังจากเสียงดังกังวาลต่อเนื่อง อันสดใสผ่านไปแล้ว แก้วเหล้าทั้งหมดได้แปรสภาพเป็นเศษกระจกระยิบระยับบนพื้น
「媽媽,那一刻,我真有墮入地獄的感覺。」 「คุณแม่ ชั่วขณะนั้นหนูรู้สึกเหมือนตกลงสู่นรก」
女兒的聲音還殘存著些許驚悸。 เสียงเล่าของบุตรสาวยังเหลือไว้ซึ่งความหวาดหวั่นตกใจอยู่
「可是,您知道領班有什麼反應嗎?她不慌不忙地走了過來, 摟住了我。說:親愛的,你沒事吧? 「แต่ว่า ท่านรู้หรือไม่ว่า หัวหน้างานมีปฏิกิริยาเช่นใด เธอเดินเข้ามาหาอย่างไม่รีบร้อน กอดหนูเอาไว้ พูดว่า ที่รัก เธอไม่เป็นไรนะ?
接著,又轉過頭去吩咐其他員工:趕快把碎片打掃乾淨吧! จากนั้น ก็หันไปสั่งคนงานอื่นๆ ให้รีบเก็บกวาดเศษกระจกจนหมดสิ้น
對我,她連一字半句責備的話都沒有 กับหนูแล้ว เธอไม่ได้ต่อว่าต่อขานแม้แต่คำเดียว
又有一次,女兒在倒酒時, และอีกครั้งหนึ่ง ขณะที่หนูรินเหล้า
不小心把鮮紅如血的葡萄酒倒在顧客乳白色的衣裙上, ไม่ระวัง เหล้าองุ่นซึ่งแดงดังสีเลือด ได้หกลงไปบนกระโปรงชุดสีขาวของลูกค้า
好似刻意為她在衣裙上栽種了一季殘缺的九重葛。 คล้ายดั่งจงใจปลูกดอกเฟื่องฟ้าบนกระโปรงของเธอ
原以為顧客會大發雷霆,沒想到她反而倒過來安慰女兒, ทีแรกคิดว่าลูกค้าคงจะโกรธจัด ไม่คาดคิด เธอกลับมาปลอบใจหนู
說:「沒關係,酒漬嘛,不難洗。」 พูดว่า 「ไม่เป็นไร คราบเหล้าล้างไม่ยาก」
說著,站起來,輕輕拍拍女兒的肩膀, พูดแล้ว ก็ลุกขึ้น ตบไหล่หนูเบาๆ
便靜悄悄地走進了洗手間,不張揚,更不叫囂, เดินไปห้องน้ำอย่างเงียบๆ ไม่โพนทะนา ไม่เอะอะโวยวาย
把眼前這只驚弓之鳥安撫成梁上的小燕子。 ทำเอาเบื้องหน้าซึ่งเหมือนดังลูกนกที่หวาดหวั่นต่อลูกศรของนายพรานได้รับการปลดปล่อย จนเหมือนดังนกนางแอ่นตัวน้อยบนขื่อ
女兒的聲音,充滿了感情:「媽媽,既然別人能原諒我的過失, เสียงของบุตรสาวเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก「คุณแม่ ในเมื่อผู้อื่นยังสามารถให้อภัยต่อความผิดของหนูได้
您就把其他犯錯的人當成是您的女兒,原諒她們吧!」 ขอให้ท่านถือเสียว่าผู้ที่ทำผิดเหล่านั้นเป็นบุตรสาวของท่านเอง ให้อภัยพวกเธอเถอะ
此刻,在這靜謐的夜裡,我眼眶全濕。 ขณะนั้นในคืนที่เงียบสงัด เบ้าตาของขัาพเจ้าเต็มไปด้วยน้ำตา
原諒別人便是放過自己。 การให้อภัยผู้อื่นคือการปลดปล่อยตนเอง
這個故事,讀了一遍眼角有淚, บทความเรื่องนี้ อ่านไปเที่ยวหนึ่งปลายตาน้ำตาซึม
再讀一遍,依然有淚珠滑落 ... อ่านอีกเที่ยว น้ำตาหยดไหลริน…
我想此刻,你的內心也無法平靜吧 ... ข้าพเจ้าคิดว่าในใจของท่านก็ไม่อาจสงบนิ่งได้
檢視一下自己平日的言行, ลองตรวจตราการพูดการกระทำของตนเองในแต่ละวัน
原來還有這麼大的提升空間 ... ที่แท้ยังมีช่องว่างที่จะขยับเลื่อนขึ้นได้อีกมาก 原來,善意可以如此美妙 ... ที่แท้ เจตนาดีมีความงดงามเช่นนี้
原來,善意可以如此接力般地傳遞 ... ที่แท้ เจตนาดีสามารถผลัดกันส่งต่อได้
親愛的朋友,既然我們有幸欣賞到這篇文章, เพื่อนที่รัก ในเมื่อพวกเรามีโชคได้มาอ่านบทความนี้
既然我們感動著對方的感動, ในเมื่อพวกเราซาบซึ้งต่อความซาบซึ้งของอีกฝ่ายหนึ่ง
讓我們從當下改變自己的言行, ทำให้พวกเราเปลี่ยนแปลงการพูดการกระทำในปัจุบัน
把這份善意長長久久地傳遞下去..., ให้นำเอาเจตนาดีส่วนนี้ถ่ายทอดต่อไปให้นานแสนนาน
如此,我們每一天都是幸福和幸運的! ดังนั้น พวกเราทุกๆ วันก็จะมีความสุข มีโชคดี
生活如此美好!好好珍惜身邊出現的每一個人, การดำรงชีวิตที่งดงามเช่นนี้ ให้ทะนุถนอมทุกๆ คนที่ปรากฏขึ้นข้างกายคุณ
他們是來幫助我們修行的人。 พวกเขาล้วนมาช่วยในการบำเพ็ญตบะธรรมของพวกเราทั้งสิ้น
刘婵兰 翻译 ธาวดี ผู้แปล 15 |4 |2562
thank you
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #137 เมื่อ: มกราคม 19, 2021, 11:59:29 AM » |
|
ขอให้อ่านครับ..อย่าพึ่งลบมัน (((พยายามค่อยๆอ่านให้จบ แล้วคิดตาม จะเกิดประโยชน์กับตัวท่าน)))
เช้าตื่นขึ้นมา ได้อ่านบทความ "เฉลียงชีวิต" ของ เปลว สีเงิน แล้ว เหมาะกับพี่ ป้า น้า อา มากๆ จึงอยากจะแชร์ ต่อ
พ่อ-แม่ ยิ่งแก่ ยิ่งห่วง ส่วนลูก ยิ่งโต ยิ่งห่าง
อย่าไปกังวลว่า ถ้าคุณจากไป อะไรจะเกิดขึ้น
เพราะเมื่อกลายเป็นผงธุลีไปแล้ว ใครเขาจะยกย่องชื่นชมหรือตำหนิประณามอย่างไร คุณจะไปรู้สึกรู้สาอะไรได้
ลูกของคุณเขาจะเป็นอย่างไร ก็อย่าเป็นห่วงให้มากนัก พวกเขาต่างก็มีจุดหมายและหนทางชีวิตของตนเอง ตายไปแล้ว คุณก็ยังไม่เลิกเป็นทาสของลูกๆ อีกหรือ
อย่าคาดหวังอะไรมากจากเด็กๆ ต่อให้คุณชุบเลี้ยงใคร ไว้ดูแลคุณยามแก่เฒ่า เขาก็ต้องวุ่นวายกับการงานและภาระผูกพันต่างๆ เกินกว่าจะมีเวลามาช่วยเหลือดูแลอะไรคุณได้มากนัก
ส่วนลูกจริงๆ นั้นก็อาจจะกำลัง ทะเลาะกัน เพื่อแย่งทรัพย์สมบัติของคุณอยู่ทั้งๆที่คุณยังมีชีวิตอยู่ก็ได้
ดีขึ้นมาหน่อย ก็อาจจะแค่แอบภาวนาให้คุณอย่าใช้เงินให้มาก และรีบจากไปเสียเร็วๆ อย่างนี้ก็มีให้เห็นอยู่ถมไป
คุณไม่รู้หรอกหรือว่าบรรดาลูกๆ เขาถือว่าทรัพย์สมบัติของ คุณเป็นสิทธิ์ขาดของเขาไปแล้ว คุณจึงไม่มีสิทธิ์จะไปกำหนดอะไรได้เลย ในเงินที่เป็นของเขา
เข้าใจไหม?
คนอายุเกิน 50-60 อย่างคุณ ต้องเลิกเอาสุขภาพไปแลกกับความร่ำรวยได้แล้ว มีเงินเท่าไรก็ซื้อสุขภาพคืนมาไม่ได้
คุณตอบได้ไหม ว่าจะหยุดหาเงินเมื่อใด เท่าไหร่คุณถึงจะบอกว่า พอแล้ว ร้อย พัน หมื่น ล้าน สิบล้าน พอรึยังไม่ทราบ ?
ต่อให้คุณมีไร่นานับพันไร่ คุณก็กินข้าวได้แค่วันละสามจาน แม้นมีคฤหาสน์นับพันหลัง คุณก็ต้องการพื้นที่หลับนอนยามค่ำคืนเพียงแปดตารางเมตร
ดังนั้น ตราบใดที่คุณยังมีข้าวปลาอาหารกินอย่างเพียงพอ มีเงินพอใช้สอยได้ทุกวัน เพียงเท่านี้ก็ดีเหลือหลายแล้ว
อายุเท่านี้แล้ว คุณควรอยู่อย่างเป็นสุข ทุกบ้านต่างก็มีปัญหาของตนเอง อย่ามัวไปคิดเปรียบเทียบ แก่งแย่งแข่งดีกัน ไม่ว่าชื่อเสียง ฐานะในสังคม หรือความก้าวหน้าของเด็กๆ
สิ่งที่ควรจะแข่งกันทำกันจริงๆ นั้น คือแข่งกันมีความสุข แข่งกันมีสุขภาพดีและอายุยืนนาน
ส่วนอะไร ที่เราเปลี่ยนมันไม่ได้ ก็อย่าไปฝังอกฝังใจให้ป่วยการและทำลายสุขภาพตัวเองเลย อายุป่านนี้แล้วก็ยังเปลี่ยนมันไม่ได้เลย
หลัง ๖๐ แล้วอย่างนี้ คุณต้องค้นหาหนทางของคุณเองที่จะสร้างชีวิตที่เป็นอยู่ดีๆ และสุขสดใสขึ้นมาให้ได้ ตราบใดที่มันทำให้คุณอารมณ์ดี คิดถึงแต่สิ่งที่ทำให้เป็นสุข ทำอะไรก็สุขสนุกกับมันอยู่ทุกวัน นั่นก็หมายความว่า คุณได้ผ่านวันเวลาอย่างเป็นสุขแล้ว
ทุกวันวานที่ผ่านไป คุณจะสูญเสียไป ๑ วัน แต่ถ้ามันผ่านไป อย่างเป็นสุข วันนั้นคือกำไรชัดๆ เลย
จิตใจที่ดีจะช่วยรักษาโรคภัยได้ ถ้าจิตใจเป็นสุขโรคก็จะหายเร็วขึ้น แต่ถ้าจิตใจทั้งดี ทั้งเป็นสุขด้วยแล้วล่ะก็ ความเจ็บป่วยจะไม่มีทางมาแผ้วพานได้
ด้วยอารมณ์ที่ดีแจ่มใสอยู่เป็นนิจ ออกกำลังกายให้เพียงพอ อยู่กลางแจ้งบ่อยๆ กินอาหารให้ครบหมู่ ได้วิตามินและแร่ธาตุอย่างเพียงพอ เพียงเท่านี้ก็เชื่อได้แน่นอนว่า ชีวิตที่เป็นสุขอีก ๒๐ หรือ ๓๐ ปี จะเป็นของคุณแน่นอน
เหนือสิ่งอื่นใด คุณต้องรู้จัก บ่มเพาะและเก็บเกี่ยวความสุขดีๆ จากการได้อยู่ ได้เที่ยว ได้คุยกับเพื่อนๆ เพราะเขาเหล่านี้จะช่วยให้คุณ รู้สึกเยาว์วัยและมีความหมายอยู่เสมอ ขาดพวกเขาเมื่อใด คุณจะต้องรู้สึกสูญเสียอย่างแน่นอน
ครับ อ่านแล้วเห็น "เฉลียงชีวิต" ในวัยชรากันบ้างมั้ย?
ก็ต้องขอบคุณทั้งเจ้าของความคิด ผู้เผยแพร่ และทั้งผู้ส่งให้อ่าน ก็อยากบอกว่า อายุเราเลือกไม่ได้ก็จริง แต่ชีวิตแต่ละช่วงชีวิต เราเลือกได้
เปลว สีเงิน อ่านแล้วดี รู้สึกว่าตัวเองมีประโยชย์เลยฝากให้ผู้ที่จะ 50-60 และเลย 60 ไปแล้ว !
ถ้าข้อมูลนี่เป็นประโยชน์และสามารถช่วยใครได้อีกหลายๆ คน อย่าเก็บไว้อ่านคนเดียวละอย่าลืมส่งให้กับคุณที่คุณรักได้อ่านกันนะครับ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #138 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:58:58 AM » |
|
“9พ่อแม่..เป็นคนที่โง่ ที่สุดในโลก”
1.มีของอร่อยๆกิน แม้อยากกิน และกินได้ ก็ไม่ยอมกิน แต่อุตส่าห์เก็บไว้ให้ลูกๆได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อย
2.หาเงินได้ตั้งมากมาย กลับไม่เอาไว้ใช้เสวยสุขให้กับตัวเอง กลับเก็บหอมรอมริบไว้ให้ลูกๆได้เล่าเรียนศึกษา ในโรงเรียนดี จบสูงๆ และเก็บสะสมไว้ให้เป็นสมบัติตกทอดให้กับลูก ลูกๆจะได้ไม่ลำบากเหมือนตนเอง
3.รถดีๆหรูๆราคาแพง มีตั้งมากมายให้ซื้อหามาใช้สอย ทั้งๆที่สตางค์ที่หามาค่อนชีวิตก็มี กลับใช้รถคันเก่าผุๆพังอยู่นั่น ไม่ยอมเปลี่ยนสักที แต่ทีกับลูกๆอยากได้รถรุ่นใหม่ ราคาเท่าไร ก็ซื้อให้โดยไม่คิดสักนิดเดียว
4.ตัวเองเจ็บไข้ได้ป่วย ก็มักพูดเสมอๆว่า “ป่วยนิดเดียวเอง เดี๋ยวก็หาย” แต่ทีกับลูกๆ แค่ตัวร้อนนิดเดียว รีบตาลีตาเหลือก บึ่งรถพาลูกไปหาหมอในโรงพยาบาลที่ดีที่สุดทันที
5.ตัวเองนอนตรงไหนก็ได้ เพราะคุ้นเคยกับการนอนแบบนี้มานาน ในบ้านหลังนี้ แต่กลับลูกๆ ต้องนอนบ้านหลังใหญ่ๆ ห้องนอนดีๆ แอร์เย็นๆ ลูกจะได้สบายและไม่อายใครเขา
6.ทรัพย์สินเงินทองที่อุตสาห์หามาทั้งชีวิต ก็มักประเคนให้ลูกๆไปจนหมด ส่วนตัวเองกลับใช้จ่ายอย่างประหยัด และมักอ้างว่า “อายุมากแล้ว ไม่ต้องใช้อะไรเยอะแยะหรอก”
7.วันหนึ่งๆได้แต่นั่งเป็นห่วงลูกๆ กลัวลูกๆจะเป็นอันตราย ตั้งแต่สมัยลูกเรียน จนกระทั่งเข้าสู่วัยทำงาน เลยไปจนกระทั่งลูกๆมีครอบครัว ส่วนลูกๆจะห่วงเหมือนที่ตัวเองห่วงลูกหรือไม่นั้น ไม่สนใจหรอก แค่ลูกๆมีความสุข ปลอดภัย ก็เพียงพอแล้ว
8.ทุกครั้งที่ลูกๆพอครอบครัวมาเยี่ยมเยียนที่บ้าน พ่อแม่จะดีใจจนออกหน้าออกตา ตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก มีอะไรอร่อยๆ ก็ขนมาให้กินจนหมด ทั้งที่ก่อนหน้านี้ ที่ตนเองไปหาครอบครัวลูกๆที่บ้าน ดูเหมือนลูกๆจะไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก ที่ไม่บอกก่อนล่วงหน้า
9.พ่อแม่หลายคน ไม่มีอำนาจใดๆ แต่กับลูกๆแล้ว พร้อมจะปกป้องลูกๆด้วยชีวิต โดยไม่ห่วงตัวเองแม้แต่น้อยนิด พ่อแม่นี่..โง่จริงๆ เรายังมีเรื่องที่ยังติดค้างคนโง่ๆสองคนนี้อีกมากมาย ที่ไม่มีพื้นที่จะให้เขียนบรรยายได้หมด หากคนโง่ๆสองคนนี้ของเรายังมีชีวิตอยู่ กลับไปเยี่ยมเยียน และใช้คืนบางสิ่งบางอย่าง ที่จะทำให้คนโง่ๆสองคนนี้ความสุขบ้างนะครับ โดย..ดร.พนม ปีย์เจริญ 1-2-2021
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #140 เมื่อ: มีนาคม 13, 2021, 07:40:24 AM » |
|
คนดีๆ พังพินาศได้ใน ๓ วินาทีเพราะอะไร
เรื่องที่ ๑ …..ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทแห่งหนึ่ง รูปหล่อ ร่ำรวย อายุ 33 ปี ได้แต่งงานกับบุตรสาวของบุคคลในกลุ่มทุนใหญ่ เธอทั้งสวยและฉลาด อายุ 28 ปี ปีต่อมาก็ได้ให้กำเนิดบุตรฝาแฝดชาย-หญิงน่ารักคู่หนึ่ง เขาเป็นคนสุภาพอ่อนน้อมถ่อมตน ทำงานจริงจัง …..คติพจน์ ประจำใจ คือ “..ไม่มีเรื่องใดในโลกที่เป็นเรื่องยาก ขอเพียงเราตั้งใจทำจริงเท่านั้น..” …..คืนหนึ่ง เขาได้ขับรถเบนซ์คันเก่งของเขา ท่ามกลางสายฝนโปรยปราย เขาขับรถชนกับรถจักรยานยนต์คันหนึ่ง ที่ฝ่าฝืนกฎจราจรขับย้อนศรมา เขาจึงโมโหมาก…เกิดการการทะเลาะกันหนักหน่วง ในที่สุด…เขาโดนวัยรุ่นพาลเกเรอายุยังไม่ถึง 18 แทงตาย
เรื่องที่ ๒ …..ดาวมหาวิทยาลัยคนหนึ่ง อายุ 20 ปี ใบหน้างดงาม สูง 170 ซม.ได้รับการอบรมบ่มนิสัยจากพ่อแม่อย่างดีตั้งแต่เด็ก เชี่ยวชาญในเครื่องดนตรีหลายชนิด และชำนาญภาษาต่างประเทศ มีรอยยิ้มอันอ่อนหวาน บุคลิกสง่างาม …..คติพจน์ประจำใจว่า “..เพียงแต่คุณหันหน้าเข้าหาแสงสว่าง ก็จะไม่มีเงามืด..” …..คืนวันหนึ่ง หลังจากจัดปาร์ตี้วันเกิดแล้ว เป็นวันฝนตก เธอได้ทะเลาะกับแฟนหนุ่ม ที่คบกันมากกว่า 1 ปี ด้วยความโมโหของเธอ…เธอจึงกระโดดตึก..เสียชีวิต
เรื่องที่ ๓ …..เจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งหนึ่ง อายุ 60 ปี ก่อร่างสร้างตัวจากมือเปล่า ในวัยหนุ่ม เขาประสบความสำเร็จในตลาดการค้า ได้สร้างอาณาจักรธุรกิจของตนเอง เขาอ่านตำราพิชัยสงครามของซุนอู่จนชำนาญ และเชี่ยวชาญการทำธุรกิจร่วมทุน (Venture Capital) …..คติพจน์ประจำใจคือ “...เป็นผู้นำ…และผู้สร้างสรรค์ที่มีประสิทธิภาพที่สำคัญที่สุด..” …..คืนวันหนึ่ง หลังจากการประชุมทางวิดิโอแล้ว (Video Conference) ในคืนท้องฟ้าครึ้มฝน เขาโมโห…ได้ด่าพนักงานระดับล่างคนหนึ่งอย่างรุนแรง ว่า…โง่เหมือนหมู ด้วยความโกรธ พนักงานจึงได้หยิบเอาที่เขี่ยบุหรี่ทุบศีรษะเขา…จนกะโหลกแตกตาย ! ทำให้ธุรกิจของเขาถูกทุบทำลายพังพินาศไปด้วย
….เรื่องทั้ง 3 ที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ดูเหมือนจะไม่เกี่ยวข้องกัน แต่มีจุดสำคัญที่เหมือนกันคือ ความโมโห…ที่เกิดขึ้นใน 3 วินาที ทำไม.? มีคนจำนวนมากใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังรอบคอบ วางแผนไว้รอบด้าน บนโต๊ะก็แปะติดคติพจน์การดำรงชีวิตต่างๆ กินอาหาร เครื่องดื่มประเภทบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงตลอด ในสมุดบันทึกก็จดสูตรลับต่างๆ ที่ใช้เพื่อการบำรุงร่างกายให้แข็งแรง เพื่อให้มีอายุยืนยาว แต่ทุกอย่างมักพังทลายจากความโกรธ…ความโมโห…อารมณ์ชั่ววูบใน 3 วินาทีเท่านั้น เพราะว่า ใน 3 วินาทีนี้ ไม่สามารถมีสติ…ที่จะทนได้..ทนไม่ไหว ลืมที่จะอดทน ในที่สุด…นำมาซึ่งผลงานที่ได้สร้างมา…ถูกพังทลายจนสิ้น
การแต่งงาน …ต้องใช้เวลาดำเนินการที่ยาวนาน พูดเรื่องหย่าใช้เวลาเพียง 3 วินาที
การคบเพื่อนสนิท…ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน ครั้นจะโกรธกันก็ใช้เวลาเพียง 3 วินาที การมีภาพพจน์ที่ดี…ต้องใช้เวลาที่ยาวนาน การพูดผิดใช้เวลาเพียง 3 วินาที
ความสุขต้องใช้เวลาบ่มเพาะที่ยาวนาน …ปลงไม่ตกใช้เวลาเพียง 3 วินาที
การสำรวมต้องใช้ความอดทนที่ยาวนาน …อารมณ์ชั่ววูบใช้เวลาเพียง 3 วินาที
พี่ๆน้องๆ และเพื่อนๆครับ คนโบราณกล่าวไว้ว่า คนที่ฉลาดมาชั่วชีวิต แต่กลับทำเรื่องเหลวไหล…เพียงครั้งเดียว…ทุกอย่างอาจพังทลายไปหมดได้ ครั้งต่อไป ไม่ว่าจะมีอารมณ์โกรธ…หรือ โมโห…เกิดขึ้นในเวลาใดก็ตาม… ขอให้จำไว้ว่า กลั้นลมหายใจ ทำจิตตัวเองให้นิ่งจริงๆ บางที เพียง 3 วินาทีที่วิกฤตินี้ก็…อาจจะผ่านไปได้
การใช้เวลาครุ่นคิดอย่างมีสติ…ใน 3 วินาทีที่วิกฤตินี้ สามารถเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของคุณได้ทั้งชีวิต นี่คือเหตุผลสำคัญ..ทำไม เราต้อง "ทำสมาธิ " เพื่อผลิตพลังจิต และสะสมพลังจิตทุกวัน…ขยันก็ทำ…ขี้เกียจก็ต้องทำ…ไม่ใช่ใครไหนที่ได้ประโยชน์…ตัวคุณนั่นเองแหละที่ได้ประโยชน์…ใครทำใครได้… ทำแทนกันไม่ได้…ทั้งนี้…ก็เพื่อฝึกที่จะผ่าน ..3 วินาที ที่สำคัญนี้ไปให้ได้ด้วยดี ……อย่าลืม..อย่าให้ 3 วินาทีแห่งความโกรธ(ความโง่) และ ความโมโห (ความบ้า) ของคุณนี้ พังชีวิตของคุณลงไป
ขอให้วันนี้เป็นวันดี ขอให้คุณพระรักษา ธรรมคุ้มครองตัวข้าพเจ้า ครอบครัว และสังคมของข้าพเจ้าด้วยเทอญ
ขอขอบคุณบทความดีๆ ที่ได้แบ่งปันกันค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #141 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:55:18 PM » |
|
"Struggling Girl." The vulture and the little girl, 1993. ภาพถ่ายที่สร้างชื่อเสียง และปลิดชีวิตของตากล้อง Kevin Carter ไปพร้อมกัน . เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยเห็นภาพนี้มาบ้าง ภาพเด็กผู้หญิงที่ผอมโซ และอีแร้งที่เฝ้ารอให้เธอแน่นิ่งเพื่อกินเป็นอาหาร เป็นภาพที่น่าสะเทือนใจ สะท้อนปัญหาความอดอยากในประเทศซูดานใต้ได้อย่างชัดเจน . ภาพนี้ถ่ายโดย Kevin Carter ตากล้องชาว South African ที่ถูกส่งไปทำงานในประเทศ Sudan และเจอกับเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นตรงหน้า . Carter ค่อย ๆ รอจังหวะที่ทุกอย่างลงตัวราว 20 นาที เพื่อถ่ายภาพที่สามารถถ่ายทอดปัญหาและความเป็นจริงไปสู่สายตาชาวโลก ภาพถ่ายนี้ถูกสำนักข่าว The New York Times ซื้อไปตีพิมพ์ สร้างความสั่นสะเทือนให้สังคมและมีผู้คนจำนวนมากติดต่อไปเพื่อถามเหตุการณ์ในภาพ และหลายคนก็เริ่มหันไปโจมตี Carter ที่ไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็กคนนี้เพียงเพราะอยากได้ภาพถ่าย ถึงขนาดมีบางสื่อโจมตี Carter ว่า "การเฝ้ามองเด็กผู้หญิงกำลังจะตาย โดยไม่เข้าไปช่วย ก็เหมือนคุณเป็นแค่อีแร้งอีกตัว ไม่ใช่มนุษย์" . ในปี 1994 Carter ได้รับรางวัล Pulitzer จากภาพถ่ายนี้ แต่ดูเหมือนมันจะไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการอีกต่อไป ความไม่เข้าใจของคนจำนวนมากที่กล่าวโทษ Carter เพียงเพราะเห็นภาพนี้ภาพเดียว กดดันทำให้ Carter เครียด ซึมเศร้า และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองลงหลังจากนั้นไม่นาน โดยทิ้งโน้ตเอาไว้ว่า . “I’m really, really sorry. The pain of life overrides the joy to the point that joy does not exist… I am depressed… without a phone… money for rent … money for child support… money for debts… money!!!… I am haunted by the vivid memories of killings and corpses and anger and pain… of starving or wounded children, of trigger-happy madmen, often police, of killer executioners… I have gone to join Ken [recently deceased colleague Ken Oosterbroek] if I am that lucky”. . ในความเป็นจริงคือ Kevin Carter ได้ไล่อีแร้งนั้นไปหลังจากถ่ายรูปนี้เสร็จ และเหตุผลที่เขาไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็กหญิงคนนี้ เพราะในขณะนั้นมีโรคระบาดรุนแรงใน Sudan จึงมีคำสั่งห้ามสัมผัสผู้คนอย่างเด็ดขาด ซึ่ง Carter เองก็เป็นเพียงตากล้องที่เข้าไปทำงาน เขาไม่ได้มีทางเลือกอะไรให้มากนัก
น่าเสียดายที่ไม่มีใครพยายามเข้าความจริงที่เกิดขึ้น เพราะทุกคนนั่งอยู่ที่บ้านตัวเอง และเชื่อในจินตนาการของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่เข้าใจว่ามีอะไรเกิดขึ้นใน Sudan แม้แต่นิดเดียว
ภาพนี้จึงเป็นภาพที่ทั้งสร้างและทำลายชีวิตของคนถ่ายมัน ภายในเวลาแค่ 1 ปี
เป็นวิดีโอที่ นกแร้งจิกเด็กหญิงที่ยังเล็กอยู่จนล้มลงไป
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #142 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2021, 04:15:48 PM » |
|
https://www.sondhitalk.com/detail/9640000083437หนทางไปสู่การ “เลิก” ล็อกดาวน์ / ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ เผยแพร่: 25 ส.ค. 2564 15:55 ปรับปรุง: 25 ส.ค. 2564 15:55ในขณะที่พื้นที่สีแดงในการระบาดของโรคนั้น ได้ใช้มาตรการเข้มข้นปิดหลายกิจการไปเป็นจำนวนมาก แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีว่าตัวเลขของการระบาดโลกจะลดลงได้เลยนั้น สาเหตุส่วนหนึ่งที่ตัวเลขไม่ได้ลดลงก็น่าจะเป็นเพราะว่าตัวเลขของการระบาดที่แท้จริงก่อนล็อกดาวน์นั้นมากกว่าตัวเลขที่รายงาน ดังนั้นถึงแม้จำนวนผู้ป่วยจะลดลงจริง ๆ ก็อาจจะไม่สามารถเห็นได้จากตัวเลขที่มีการรายงาน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพที่มีผู้รอคิวตรวจ คนรอคิวฉีดวัคซีน ผู้ป่วยเตียงในแต่ละวันนั้นมีมากมายมหาศาล ดังนั้นตัวเลขที่รายงานทั้งหมดในขณะนี้จึงย่อไม่สามารถเชื่อถือได้ว่าเป็นตัวเลขที่สะท้อนความเป็นจริง
แม้แต่ตัวเลขผู้เสียชีวิตอีกจำนวนมากที่เสียชีวิตที่บ้านเพราะไม่ได้เตียงในโรงพยาบาล จึงย่อมมีผู้เสียชีวิตที่ไม่เคยถูกตรวจว่าติดเชื้อ ดังนั้นตัวเลขการเสียชีวิตจากโรคระบาดอาจจะยังคงมีมากกว่าเท่าที่รายงานอยู่ในปัจจุบัน
แต่ความจริงก็ได้เห็นกันอยู่ว่าผู้ป่วยไม่มีเตียงรองรับนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงวัยไม่ได้ถูกเลือกให้ไปโรงพยาบาลสนาม หรือโรงพยาบาล ผู้ป่วยที่เป็นผู้สูงวัยอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่ได้มีโอกาสได้รับเครื่องช่วยหายใจ หรือเตียงในห้องวิกฤติ และต้องเสียชีวิตไปเพียงเพราะต้องมีการตัดสินใจให้ผู้ป่วยที่เชื่อว่าจะมีโอกาสรอดมากกว่า
บุคลากรด่านหน้าในโรงพยาบาลทั้งหลายกลายเป็นกลุ่มคนที่ต้องทำงานหนักอย่างน่าเห็นใจยิ่ง เพราะนอกจากจะต้องทำงานหนักมากขึ้นแล้ว ยังต้องแบกรับความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้มากกว่าคนทั่วไป จนปัจจุบันบุคคลาการในโรงพยาบาลที่ติดเชื้อก็มีมากขึ้นเป็นลำดับ เป็นกลุ่มคนที่สมควรได้รับการดูแลไปถึงครอบครัวในการได้รับวัคซีนที่มีคุณภาพดีที่สุด อย่างน้อยก็เพื่อลดความรุนแรงของโรคให้น้อยลง
เมื่อผนวกกับมาตรการทั้งหลายในการรองรับการล็อกดาวน์นั้นไม่มีความชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นการเยียวยา ยา อุปกรณ์ตรวจเชื้อเบื้องต้น อาหาร น้ำดื่ม ฯลฯ ทำให้ผู้ป่วยเองยังไม่สามารถล็อกดาวน์ได้อย่างปลอดภัยที่จะไม่แพร่เชื้อต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเลิกล็อกดาวน์นั้นไม่น่าจะทำได้ บนกระบวนทัศน์ว่าโรคนี้ต้องป้องกันเท่านั้น จนถึงขั้นไม่ให้ติดเชื้อหรือติดเชื้อน้อยมาก
แต่ถ้าเรายอมรับว่าโรคนี้ไม่สามารถ “ป้องกัน”ได้ ไม่ว่าด้วยวัคซีนชนิดก็ตามในเวลานี้ ก็ยังมีกระบวนทัศน์อีกประการหนึ่งคือ “ตรวจวัด” และ “รักษา”ด้วยประชาชนเองได้โดยง่าย และเก็บพื้นที่โรงพยาบาลเอาไว้สำหรับผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถรักษาให้หายเองได้
นั่นแปลว่าการอุปกรณ์การตรวจให้เร็ว มีความถูกต้องและตรวจง่ายโดยประชาชนเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และการรักษาด้วยฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรอื่น ๆ ที่ราคาไม่แพงจำเป็นต้องมีไว้ในทุกบ้าน เมื่อใครตรวจพบว่าติดเชื้อก็ต้องให้แยกตัวและรักษาตัวเองไป ใครป่วยติดเชื้อก็ให้รีบกินฟ้าทะลายโจรให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงของความรุนแรงของโรคให้ลดน้อยลงหรือสามารถหายป่วยได้ด้วยตัวเอง ส่วนคนที่เหลือที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก็คอยตรวจทุก 3 วันจนมั่นใจว่าไม่มีใครติดเชื้อเพิ่มเติมตลอด 14 วัน
ถ้าบริหารให้ตรวจเชื้อได้โดยง่ายด้วยตัวเอง และรักษาให้หายได้โดยง่ายโดยผู้ป่วยเอง โรคนี้ก็ไม่ต้องถึงขั้นต้องล็อกดาวน์กิจการใดอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม การเลิกล็อกดาวน์นั้นไม่น่าจะทำได้ บนกระบวนทัศน์ว่าโรคนี้ต้องป้องกันเท่านั้น จนถึงขั้นไม่ให้ติดเชื้อหรือติดเชื้อน้อยมาก
แต่ถ้าเรายอมรับว่าโรคนี้ไม่สามารถ “ป้องกัน”ได้ ไม่ว่าด้วยวัคซีนชนิดก็ตามในเวลานี้ ก็ยังมีกระบวนทัศน์อีกประการหนึ่งคือ “ตรวจวัด” และ “รักษา”ด้วยประชาชนเองได้โดยง่าย และเก็บพื้นที่โรงพยาบาลเอาไว้สำหรับผู้ป่วยหนักที่ไม่สามารถรักษาให้หายเองได้
นั่นแปลว่าการอุปกรณ์การตรวจให้เร็ว มีความถูกต้องและตรวจง่ายโดยประชาชนเอง เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง และการรักษาด้วยฟ้าทะลายโจรและสมุนไพรอื่น ๆ ที่ราคาไม่แพงจำเป็นต้องมีไว้ในทุกบ้าน เมื่อใครตรวจพบว่าติดเชื้อก็ต้องให้แยกตัวและรักษาตัวเองไป ใครป่วยติดเชื้อก็ให้รีบกินฟ้าทะลายโจรให้เร็วที่สุด เพื่อลดความเสี่ยงของความรุนแรงของโรคให้ลดน้อยลงหรือสามารถหายป่วยได้ด้วยตัวเอง ส่วนคนที่เหลือที่เป็นกลุ่มเสี่ยงก็คอยตรวจทุก 3 วันจนมั่นใจว่าไม่มีใครติดเชื้อเพิ่มเติมตลอด 14 วัน
ถ้าบริหารให้ตรวจเชื้อได้โดยง่ายด้วยตัวเอง และรักษาให้หายได้โดยง่ายโดยผู้ป่วยเอง โรคนี้ก็ไม่ต้องถึงขั้นต้องล็อกดาวน์กิจการใดอีกต่อไป
ด้วยความปรารถนาดี ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #143 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2021, 04:58:15 PM » |
|
ความหวัง เชื่อมั่น
บ่ายวันเสาร์ที่ 9 ตุลาคม 2021 ผมได้รับเชิญจากสถานกงสุลไทย ณ นคร ลอส แองเจ เพื่อให้ร่วมชมภาพยนตร์ “The Rescue“ ที่โรงภาพยนตร์ The Landmark อยู่ที่ West LA ภาพยนตร์เรื่องนี้ สร้างจากมาจากเรื่องที่เกิดถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเชียงราย Jimmy Chan และ Elizabeth chai Vasarhelyi Director and producer. Music by Danial pemberton. สนับสนุนโดย National Geographic Flims เรื่องเกี่ยวกับการกู้ภัย นำเด็กออกจากถ้ำ “ทีม 13 หมู่ป่า”
ผมไปถึงบ่ายสามโมงเศษ มีมีเดียชาวอเมริกัน และคนไทย โดยมีทีมเจ้าหน้าที่สถานกงสุลไทยไปคอยอำนวยความสะดวกในการลงทะเบียนและแจกอุปกรณ์ป้องกันโควิด 19 มีผู้ชมเกือบเต็มโรงภาพยนต์ ภาพยนตร์เริ่มฉายเมื่อ 16.10 น. ด้วยความยาว 1 ชม. 47 นาที
เนื้อเรื่องเน้นหนักไปที่กลุ่มนักดำนำ้ที่เข้าไปช่วยเหลือนำเด็กทั้งหมดออก มีผู้สำคัญสี่ท่านเป็นชาวอังกฤษ ชาวออสเตรเลีย ประกอบด้วย Rick Stanton, Jason Mallinson, Chris Jewell, John Volanthen และผู้เขียนแผนที่ภายใน Vern Unsworth
การดำเนินเรื่องของภาพยนตร์ มุ่งเน้นเนื้อหาในทาง Documentary มากกว่าการเป็น Dramatic ในเนื้อเรื่องมีบทเล่าหรือบอกกล่าวเป็นส่วนใหญ่ของบุคคลกับเหตุการที่เกิดขึ้น ความยากลำบากในการช่วยเหลือ การเสียสละและอุทิศตัวเพื่อเป็นจิตอาสา เพื่อผู้รับชมได้เข้าใจเนื้อเรื่อง เพลิดเพลิน เห็นความสวยงามของโลเคชั่น ความมีนำ้ใจของจิตอาสาในการ Rescuers เด็กทั้งสิบสามคน ไม่เป็นแบบ Drama เหมือนภาพยนตร์ทั่วไป
แต่กระนั้นการเร้าใจและกินใจในเหตุการณ์ตอนจ่าแชมป์อดีต Navy Seals ทหารเรือไทย ดำลงไปช่วยเด็กระยะทางไกล ”จ่าแชมป์“ ขาดออกซิเจนเสียชีวิต ภรรยาของจ่าบอกด้วยน้ำตาว่า
“การมีนำ้ใจ เป็นจุดเริ่มต้นของทุกอย่าง ถ้าไม่มีนำ้ใจก็เริ่มไม่ได้ในจิตอาสา”
“ภูมิใจที่เป็นภรรยาของฮีโร่“
อีกตอนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมชาวต่างชาติเข้าใจลึกซึ้งถึงขนบธรรมเนียมประเพณีของไทยในความเชื่อและสิ่งยึดเหนี่ยวมาแต่โบราณ
เช้าวันถัดมา ของการพบเด็ก เนื่องจากเด็กๆเหล่านั้นอ่อนแรง ถึงแม้จะมีแรงใจดี แต่การสร้างกำลังใจ ในการรอคอยที่จะได้ออกมาข้างนอกนั้นสุดบรรยาย ความหวังจะนำเด็กทั้งหมดออกมาให้ปลอดภัยนั้นสิคือสิ่งต้องคิด ประกอบกับเวลาที่เหลือนั้นมีน้อย ส่วนฝนยังตกหนักติดต่อกันไม่ยอมหยุด เรื่องนี้ทำให้ Rick Stanton เครียดและหงุดหงิด เครียดกับปัญหาที่ปริมาณนำ้ในถ้ำที่สูงขึ้น ยิ่งยากในการนำเด็กออกมา
เช้าที่ต้องครุ่นคิด เมื่อมีคนบอกให้ Rick ช่วยนำด้ายผูกข้อมือ (สายสิญจน์) ของพระครูบาบุญชุ่ม ติดตัวฝากไปให้เด็กที่ติดอยู่ในถ้ำ เขาอารมณ์เสีย เอ่ย ”Bull shit” พร้อมทิ้งด้ายนั้นลงบนพื้นจนเพื่อนนักประดานำ้เตือน “คุณรู้ใหมเด็กเหล่านั้นเชื่อมั่นในจิตวิญญาณ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ จะทำให้เด็กๆมีขวัญกำลังใจที่ดี“ เขาพยักหน้า Rick กำด้ายเหล่านั้นกลับขึ้นมาทันที
..สมาธิ..กับเด็กสิบกลุ่มนี้ โค้ช หรือหัวหน้ากลุ่มบอกให้เด็กๆอยู่ในความสงบโดยการทำสมาธิ และกินเฉพาะนำ้ที่หยดลงมาจากเพดานถ้ำ ไม่ดื่มนำ้ที่มาจากพื้นที่ไหลผ่าน คงไม่แปลกใจที่พวกเขาอยู่กันหลายวัน อากาศไม่น่าจะเพียงพอ ในวันที่ 14 Rick ตรวจดูออกซิเจนในบริเวณที่เด็กอยู่ พบว่าเหลือออกซิเจนเพียง 15 % เท่านั้นและถ้าตำ่กว่า 10 % โอกาสมีชีวิตรอดนั้นจะหมดลง แต่เด็กเหล่านั้นเชื่อในตัวโค้ช สงบสติอารมณ์ การทำสมาธิทำให้การหายใจเบาบางและมีออกซิเจนเพียงพอ
ตลอดระยะเวลา 1 ชม. 47 นาที มีสิ่งเร้าใจในภาพยนตร์เรื่องนี้ตลอดเวลา เป็นภาพยนตร์ที่น่ายกย่องชมเชยกับการสร้าง ดำเนินเรื่องและเพลงประกอบในภาพยนตร์ “ความหวัง“ ความเชื่อมั่นที่ยิ่งใหญ่ บวกกับการมีนำ้ใจของคนไทย ทั้งๆที่เหตุการแบบนี้ยาทจะสำเร็จลงได้ จากสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ มาสู่ “สิ่งที่เป็นได้“ มาเป็นความร่วมมือของทุกฝ่าย กลายมาเป็นผลงานระดับโลก ที่ทำให้หลายคนอยากมาประเทศไทย ภาพยนตร์เรื่องนี้ต้องยกให้ National Geographic ที่ทำให้ประเทศไทย ”ได้โฆษณา” เมืองไทยโดยไม่รู้ตัวhttps://m.youtube.com/watch?v=x_kiX0uUDNI-ขอบคุณค่ะ-/size]
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #144 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2021, 05:10:31 PM » |
|
ชีวิตใต้ร่มใบบุญพุทธศาสนา ของ อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์
ในชีวิตของผม (อ๊อด - รณชัย ถมยาปริวัฒน์) เคยผ่านการบวชมาแล้วสองครั้ง ครั้งแรกตอนอายุ 22 ปี ครั้งที่สองตอนอายุ 28 ปีเหตุที่บวชอีกครั้งเพราะได้บนบานไว้ ขอให้พี่ชายรอดชีวิตจากการผ่าตัดสมอง
ตอนนั้นผมลำบากมาก ต้องออกจากวงการไปเป็นนักร้องตามผับตามบาร์ เงินเก็บก็ไม่มี เมื่อพี่ชายประสบอุบัติเหตุมอเตอร์ไซค์ล้มหัวฟาด ต้องผ่าตัดสมอง มีค่าใช้จ่ายถึงสามแสนบาท โดยที่โอกาสรอดมีเพียงแค่ 40เปอร์เซ็นต์เท่านั้น แต่ผมก็ยินดีทำทุกอย่างเพื่อรักษาชีวิตพี่ชายไว้
ครูบาอาจารย์แนะนำให้ผมนั่งสมาธิแล้วอธิษฐานจิตถึง ท่านพ่อเฟื่อง โชติโกเจ้าอาวาสคนแรกของวัดธรรมสถิต จังหวัดระยอง ที่ผมนับถือ ปรากฏว่า หลังผ่าตัดพี่ชายผมรอดราวปาฏิหาริย์ แต่ด้วยความที่สมองบางส่วนของเขาได้รับความกระทบกระเทือน ทำให้พูดไม่เป็นภาษา ตอนนั้นผมรู้สึกทุกข์มาก เพราะปัญหาหลายอย่างเข้ามารุมเร้า แต่โชคยังดีที่การรับใช้ครูบาอาจารย์สายวัดป่าทำให้ผมได้รู้จักกับ หลวงปู่วัย ซึ่งเคยเป็นอาจารย์หมอสอนอยู่เมืองนอกแต่กลับมาบวชตลอดชีวิตที่เมืองไทย และสนใจศึกษายาแผนไทยอย่างจริงจัง ท่านบอกผมว่า ยาฝรั่งตามหลังยาไทยอยู่ไม่ต่ำกว่า 80 ปี
หลวงปู่วัยเขียนชื่อยาไทยให้ผมไปซื้อที่ร้านเจ้ากรมเป๋อ เมื่อให้พี่ชายกิน สมองของเขาก็ค่อย ๆ ฟื้นตัว จนทุกวันนี้ แม้ว่าเขาจะพูดจาสื่อสารกับเราได้ยาก แต่ก็สามารถดูแลตัวเองได้ทุกอย่าง เพียงแค่นี้ผมก็มีความสุขมากแล้ว หลังจากที่พี่หาย ผมก็ตัดสินใจบวช และการบวชครั้งนี้ทำให้ใจของผมได้สัมผัสกับธรรมะของหลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
ชีวิตดีขึ้น หลังทำผ้าป่าช่วยชาติ
ผมมีโอกาสได้ฟังเทศน์จากหลวงตามหาบัว ท่านพูดว่า พระอรหันต์มีจริงนิพพานมีจริง และสิ่งนี้ได้เกิดกับท่านตั้งแต่อายุ 30 กว่า ๆ แม้ว่าใจหนึ่งจะคิดว่าท่านพูดแบบนี้ได้อย่างไร เพราะมันเหมือนอวดอุตตริมนุสสธรรม แต่อีกใจหนึ่งก็เกิดความปีติยินดีจนน้ำตาไหล เพราะเราก็ศรัทธาในพระพุทธศาสนามานานแล้ว แต่มีพระรูปนี้ที่เอ่ยเรื่องนี้ให้เราได้ฟัง ท่านพูดเพื่อให้ทุกคนมาช่วยชาติ ไม่ได้พูดเพื่อประโยชน์ส่วนตนใด ๆ
เมื่อสึกแล้ว ผมก็เข้าไปช่วยงานหลวงตามหาบัว เช่น ช่วยทำสปอตโฆษณาเป็นโฆษกพูดตามงานต่าง ๆ ช่วยทำโรงทานจัดดอกไม้ในงานต่าง ๆ ยกเครื่องเสียงตั้งโต๊ะ เต็นท์ ฯลฯ ผมทำทุกอย่างด้วยใจแทบไม่น่าเชื่อ หลังจากนั้นชีวิตของผมก็เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี จากที่ไม่มีอะไรเลย ก็เริ่มเห็นแสงสว่างเป็นครั้งแรก
แม้ว่าผมจะเรียนจบเศรษฐศาสตร์มาก็จริง แต่เคยไปลงเรียนวิชาทางด้านครุศาสตร์ และสนใจพระพุทธศาสนาและจิตวิทยา ทำให้ผมอยากพัฒนาเรื่องการศึกษาของเด็กไทย และคิดว่าถ้าให้ดีที่สุดก็ต้องเริ่มตั้งแต่วัยอนุบาลและวัยประถม ผมและแม่ของภรรยาซึ่งเป็นครูมาตลอดชีวิตจึงได้ร่วมมือกับนักวิชาการทางการศึกษาคิดค้นหลักสูตรที่เรียกว่า “ดนตรีคีรีบูน พัฒนาอัจฉริยภาพ” ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมในวัยอนุบาลด้วยการใช้กระบวนการทางดนตรี
ช่วงแรก ๆ ที่ทำ ผมต้องไปทดลองสอนเด็กอนุบาลที่โรงเรียนต่าง ๆ ฟรี ทั้งที่ตอนนั้นตัวเองก็ลำบาก ต้องทิ้งอย่างอื่นเพื่อมาทำงานการศึกษาอย่างจริงจัง เงินทองก็ไม่มี ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยมองทุ่งหญ้าข้างทางแถวรามอินทรา แล้วคิดว่า “นี่ถ้าเรากินหญ้าได้ ชีวิตคงจะไม่ยุ่งยาก” แต่ผมก็กัดฟันสู้ไม่ถอยมาเป็นสิบ ๆ ปี จนวันนี้เริ่มเห็นดอกผลของสิ่งที่บากบั่นมาด้วยสมองและสองมือของตัวเอง เมื่อโรงเรียนต่าง ๆเกิดความศรัทธาในวิธีการสอนของผม หลักสูตรที่คิดค้นก็เลยได้นำไปใช้ในโรงเรียนกว่า 40 แห่ง และปัจจุบันผมเปิดเป็นโรงเรียนคีรีบูน จีเนียสมิวสิค อีกด้วย
ดนตรีพัฒนาอัจฉริยภาพที่ผมคิดค้นเป็นการปลูกฝังนิสัยที่ดีให้กับเด็ก โดยจัดการเรียนการสอนที่เป็นกระบวนการกระบวนการที่ว่านี้ใช้ทั้งเพลง นิทาน เกมและสื่อการสอนต่าง ๆ อย่างเช่น ผมจะสอนการฝึกคิดวิเคราะห์ให้กับเด็ก ก็สอนผ่านเพลง พายเรือ ที่ผมจะให้ไม้พายกับเด็กทุกคน แล้วให้พายเรือไปตามจังหวะของเพลงเช่น ร้องเพลงว่า “ลงเรือ พายไป ตามคลอง” เด็กก็จะยกไม้พายขึ้นลงตามเพลงตามมาด้วยเนื้อร้องท่อนต่อไปว่า “ตาจ้องมองสองฝั่งข้างทาง หูฟังเสียงอะไรกันบ้าง”แล้วดนตรีก็หยุด มีเสียงดังออกมาเป็นเสียงนกหวีดและเสียงเด็ก ๆ เต็มไปหมด ผมก็จะถามเด็ก ๆ ว่า “ช่วยครูอ๊อดคิดหน่อยสิลูก เราพายเรือมาถึงที่ไหนนะ ที่มีเสียงนกหวีดกับเด็กเจี๊ยวจ๊าว คิดว่าเป็นที่ไหน…”
นี่คือตัวอย่างการสอนของผม ซึ่งทำให้เด็กมีความสุขในการเรียน ผมอยากปลูกฝังสิ่งนี้ให้กับเด็กทุกคน และที่สำคัญทำให้เด็ก ๆ เห็นว่าการเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด เราเรียนรู้ได้ไปตลอดชีวิตของเรา และหลังจากนี้ผมก็จะทำเรื่องคณิตศาสตร์ด้วย เพราะทั้งดนตรีและคณิตศาสตร์ก็มีธรรมชาติคล้ายกัน
ทุกวันนี้ เด็กที่ผ่านกระบวนการสอนของผม นอกจากจะเรียนเก่งแล้ว ก็ยังมีพัฒนาการด้านดนตรีดีมาก สามารถทำวงดนตรีไปแข่งขันกับพี่ ๆ ในระดับมหาวิทยาลัยจนได้รับรางวัลกลับมา
ผมยังจำคำที่หลวงตามหาบัวพูดได้ดีว่า “ใครที่มาช่วยกันในงานผ้าป่าช่วยชาติไม่ใช่บุญธรรมดาเลยนะ แต่เป็นมหาบุญมหากุศลจริง ๆ เพราะถ้าเราช่วยประเทศชาติรอด พระพุทธศาสนาซึ่งเจริญที่สุดในโลกที่ประเทศไทยก็จะอยู่รอดไปด้วยเพราะถ้าตอนนั้นต่างชาติเข้ามา พุทธศาสนาก็อาจจะอ่อนแอ อาจไม่มีกฎหมายให้เราลาบวชได้ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าชาติอยู่รอดพระพุทธศาสนาอยู่รอด สถาบันพระมหากษัตริย์ของเราก็จะอยู่รอดด้วย เท่ากับเป็นการช่วยยกทั้ง 3 สถาบัน”
และด้วยผลบุญกุศลในครั้งนั้นก็ทำให้ทุกวันนี้ชีวิตของผมดีขึ้นเรื่อย ๆ แม้ไม่ร่ำรวย แต่ก็อยู่ในจุดที่สามารถดูแลตัวเองได้ ไม่ต้องหันไปมองหญ้าข้างทางเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว
ชาติหน้าฉันใด ขอให้ได้เกิดเป็นชาวพุทธ
นอกจากบุญกุศลที่ทำจะช่วยให้ชีวิตของผมดีขึ้นแล้ว ครั้งหนึ่งผมเคยรอดชีวิตจากอุบัติเหตุราวปาฏิหาริย์ ครั้งนั้นผมหลับในขณะขับรถขึ้นทางด่วนตอนตีสาม รถวิ่งมาด้วยความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมงเพียงแค่คืบเท่านั้น รถของผมก็จะชนกำแพงข้างทางแล้ว แต่ด้วยเดชะบุญทำให้ผมตื่นทันและแฉลบรถออกมาได้ จึงไม่ได้รับบาดเจ็บใด ๆ ครั้งนั้นผมนึกถึงครูบาอาจารย์ นึกถึงพระพุทธรูปที่ท่านพ่อเฟื่องมอบให้ พร้อมคำพูดที่ว่า “เก็บไว้ดี ๆ นะสิ่งนี้จะรักษากายได้ แต่ไม่สามารถรักษาใจ”เมื่อมั่นใจว่าความดีเท่านั้นที่จะรักษาเราได้ผมก็เดินหน้าทำความดีต่อไป โดยตอนนี้ผมได้รับมอบหมายให้ดูแลการสร้างเจดีย์ที่ดอยธรรมสถิต จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งเป็นโครงการใหญ่ที่ผมต้องทำให้สำเร็จให้ได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับผม ศาสนาไม่ได้อยู่ที่วัตถุสิ่งของต่าง ๆ แต่ศาสนาอยู่ในหัวใจของเราทุกคน ทุกวันนี้หลายคนเสื่อมศรัทธาในพุทธศาสนา เพราะสื่อนำเสนอแต่แง่ไม่ดี ข่าวไม่ดีของพุทธศาสนาได้ลงหน้าหนึ่ง แต่ข่าวดี ๆ มีพื้นที่หลบอยู่ด้านในนิดเดียว ผมอยากให้หลาย ๆ คนรู้จักบริโภคสื่อให้เป็นให้เท่าทันด้วย ไม่อย่างนั้นวันหนึ่งพุทธศาสนาของเราก็จะไม่สามารถอยู่รอดได้
ที่สำคัญ การที่เราจะดูแลพุทธศาสนาก็ไม่ควรหลงไปตามกระแสบุญนิยมหรือไปยึดติดตัวบุคคลแล้วลืมคำสอนที่แท้จริงพระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราจัดพิธีที่สวยงามนั่งเรียงเป็นแถว แต่สอนให้เรามีดวงจิตที่สะอาดบริสุทธิ์ และไม่ไปยึดติดแบบแผนอะไรที่เป็นแค่เพียงกระพี้ เพราะฉะนั้นเราอย่าหลง แต่ควรศึกษาพุทธศาสนาให้ถึงแก่นศาสนาพุทธมีความเป็นวิทยาศาสตร์ สอนเราให้เข้าถึงเหตุและผล เช่น ถ้าชีวิตคุณอยากได้อะไร คุณต้องทำในสิ่งนั้น เมื่อทำเหตุดีแล้ว ผลย่อมดีตามมา
สำหรับผม วิชาความรู้ทางโลกต่าง ๆที่เราเรียนนั้นยังเป็นอวิชชา เพราะเราเรียนรู้ได้ไม่จบไม่สิ้น เป็นการเรียนเพื่อตอบสนองกิเลสตัณหาของมนุษย์ แต่พระพุทธศาสนาเป็นวิชาที่เรียนรู้แล้วจบแล้วสิ้น จบเพื่อดับกิเลสของเรา ไม่ให้ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีก
ดังนั้น ชาติหน้าฉันใด ผมไม่ได้อยากเกิดเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังกว่าที่เคยเป็นแต่ผมขอตั้งจิตว่า
“ถ้าข้าพเจ้ายังต้องเวียนว่ายตายเกิดก็ขอให้เป็นคนที่มีสัมมาทิฏฐิประจำดวงจิตเป็นคนมีเหตุมีผล แล้วก็ขอให้เกิดอยู่ในบวรพุทธศาสนา และถ้าเป็นไปได้ ก็ขอให้ข้าพเจ้าได้บวช”
ผมขอเพียงแค่นี้ครับ
ขออนุโมทนาสาธุในคุณงามความดีที่คุณอ๊อด คีรีบูนได้ทำมาค่ะ ขอให้ดวงจิตไปสู่ภพภูมิที่ดีตามที่จิตปราถนา สาธุค่ะ ขอบคุณบทความดี ๆ ไว้ ณ ที่นี้ค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #145 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 02:48:13 PM » |
|
แก้วตาดวงใจของแม่
"หมอคะ หนูกำลังจะตายใช่มั๊ยคะ? ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ?" เสียงพูดเบาๆ จากผู้หญิงตัวเล็กๆ ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยวสิ่งเดียวที่เธอห่วงไม่ใช่ ชีวิต แต่คือ ลูกสาววัย 4 ขวบ
ย้อนหลังไปปีกว่าๆ ช่วงที่ไวรัสโควิด19 ระบาดได้ไม่นานมีสาวโรงงานมากมาย เสียงานของเธอไป จากเศรษฐกิจที่ไม่ปกติ ในขณะที่ปากท้องยังต้องกินต้องใช้ คุณมาลัยพรก็เป็นคนหนึ่งที่ได้รับผลกระทบนั้นพูดง่ายๆให้ชัดเจนก็คือตกงาน โรงงานปิดกระทันหัน เธออายุ 34 ปี มีลูกสาววัย4 ขวบ เป็นยอดดวงใจหนึ่งเดียว
เธอแยกทางกับสามีหลังเขาไปมีคนใหม่ เดิมเธอทำงานโรงงานกับสามีที่ พนมสารคาม หลังแยกย้ายกันเพราะสามีมีผู้หญิงคนใหม่ เธอจึงย้ายตัวเองมาสมัครงานใหม่ ได้งานเป็นสาวโรงงาน ในเขตบางพลีเมืองใหม่ จริงๆแล้วเธอมีลูกสาวสองคน แต่ปีที่แล้วลูกสาวคนโต อายุ 7 ขวบเสียไปด้วยโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว หรือ ลูคีเมีย ในวัยที่กำลังสดใสน่ารักทุกคืนหัวใจของแม่ที่แตกสลาย นอนร้องไห้หลับทั้งน้ำตาเป็นเวลานานแสนนาน หัวอกคนเป็นแม่เฝ้าคิดถึงลูกสาวสุดหัวใจ อยู่มาวันหนึ่งเธอมีเลือดไหลทางช่องคลอด ไหลออกมาติดต่อกัน 13 วัน โดยไม่มีอาการเจ็บปวดใดๆจึงอยากไปตรวจและพบแพทย์ แต่ ต้นทุนชีวิตของคนเรานั้นไม่เท่ากัน เธอไม่เคยลางาน กลัวจะไม่ได้เบี้ยขยัน ซึ่งอาจจะเป็นเงินที่ไม่มากสำหรับหลายๆคน แต่สำหรับเธอเบี้ยขยันนั้นมีค่ากับเธอและลูกน้อยมากๆ พวกเธอจะอิ่มไปได้หลายวันเลย คุณมาลัยพรจึงอดทนไม่ไปหาหมอ รอให้ถึงวันหยุดงานค่อยไปวันเสาร์
วันหนึ่งคุณมาลัยพรได้ใช้วันหยุดงานมาโรงพยาบาล ที่เธอมีประกันสังคม คุณพยาบาลสอบถามอาการเบื้องต้น แล้วส่งพบคุณหมอสูตินรี ก็คือ หมออรัณคนนี้แหละผมตรวจดูอย่างละเอียด พบว่าที่ปากมดลูกของคนไข้มีแผลเล็กๆที่ดูแทบจะไม่ออกหากไม่ใส่ใจให้รอบคอบ แผลนั้นหน้าตาคล้ายๆผิวของบร็อคโคอลีคล้ายผิวคางคกเลยมีเลือดซึมออกมาตลอดเวลา ในช่วงเวลานั้นผมรู้ทันทีว่า นี่คือมะเร็ง แต่ก็ขอเงียบไว้ก่อน แล้วบอกคนไข้ว่าพบก้อนอะไรไม่รู้ที่ปากมดลูกขอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจดูก่อน คนไข้บอกว่าได้ค่ะ "คุณหมอคะ หนูเป็นมะเร็งใช่ไหม ?คุณหมอบอกมาเถอะ หนูรับได้" แม้เธอจะบอกว่า รับได้ แต่เมื่อผมมองเข้าไปในดวงตาอันเป็นหน้าต่างแห่งดวงใจผมมองเห็นวงกลมสีดำที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวความเศร้า ความห่วงใยใครสักคนผมจึงไม่ตอบไปว่าคนไข้เป็นอะไรแต่แนะนำให้เธอมาฟังผลตรวจในครั้งหน้าผมได้สั่งยาฆ่าเชื้อ ยาหยุดเลือดยาแก้ปวดให้เธอไปทานก่อนแล้วนัดมาพบกัน
คุณมาลัยพร รู้ตัวอยู่แล้วว่า เธอน่าจะเป็นมะเร็งปากมดลูกเพราะเมียเก่าของสามีเธอก็เป็นมะเร็งปากมดลูกเสียชีวิตไปแล้ว สามีของเธอเป็นคนเจ้าชู้คงนำพาเชื้อไวรัสเฮชพีวี สายพันธุ์ก่อนมะเร็งมาให้เธอเป็นแน่ คุณมาลัยพร นอนกอดลูกทุกคืน นอนร้องเพลงให้ลูกฟัง
… แม่จ๋า หนูชอบฟังแม่ร้องเพลง แม่น้องร้องเพลงเพราะที่สุดในโลกเลย
… แม่จ๋า แม่ร้องให้น้องลูกแก้วฟัง จนน้องลูกแก้วตัวโตๆเลยได้ไหมจ๊ะ
… ถ้าน้องลูกแก้วโต จะร้องเพลงให้แม่ฟังบ้าง เวลาแม่แก่นะ
แล้วเด็กน้อยก็หลับไปด้วยความไร้เดียงสา
คุณมาลัยพรนอนกอดลูกสาว น้ำตาไหลออกมาแบบกลั้นไว้ไม่อยู่จริงๆในใจของเธอได้เพียงสวดมนต์อ้อนวอนขอพรจากฟ้าขอให้เธอมีชีวิตที่ยืนยาว เฝ้าดูลูกสาวสุดที่รักเติบโตในทุกๆวันหากเธอจะจากโลกนี้ไปก็ขอให้ลูกสาวโตกว่านี้ โตจนดูแลตัวเองได้ก่อนจากนั้นเธอจะยอมจากโลกนี้ไปแต่โดยดี
แต่ใครล่ะจะฝืนชะตาฟ้ากำหนดได้
สุดท้ายเรื่องราวที่เศร้าที่สุดก็เกิดขึ้น
ครบกำหนดนัดฟังผลชิ้นเนื้อ
คุณมาลัยพร อุ้มน้องลูกแก้วมาด้วย ผมเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารเธอและลูกเหลือเกินไม่รู้จะเริ่มการบอกข่าวร้ายกับเธอว่าอย่างไรหลังจากแจ้งผลว่าเธอเป็นมะเร็งปากมดลูกระยะที่1การรักษาคงต้องรีบผ่าตัดโดยเร็วเพื่อให้มีโอกาสหายแต่การผ่าตัดต้องใช้เงินมาก ระหว่างการรักษา บังเอิญ คุณมาลัยพรมีสิทธิ์ประกันสังคมอยู่กับโรงพยาบาลที่คุณหมออรัณทำงานวันเสาร์พอดี จึงไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆอาจจะต้องมีค่าเดินทาง ค่ายานอกบัญชีบ้างนิดหน่อย
ระหว่างที่ผมกำลังอธิบายให้คนไข้ฟังอยู่นั้น น้ำตาของคนไข้ก็ไหลนิดๆน้ำตาซึม ผมเห็นเธอกอดลูกสาวแน่นกว่าเดิม แล้วจ้องตากันแล้วคุณมาลัยพรก็ยิ้มให้กับลูกสาวของเธอเป็นการส่งสัญญาน ไม่เป็นไรนะลูก แม่สบายดี
ผมหยุดอธิบายแป๊บนึง เพื่อให้คนไข้ได้พักใจ และเข้าใจว่าเธอคงกำลังทุ่มเทสมาธิอยู่กับน้องลูกแก้ว อธิบายมากไปอาจจะไม่เข้าใจในตอนนี้ ผมจึงหันไปคุยเล่นกับน้องลูกแก้ว เพื่อให้บรรยากาศบรรเทาลง
"ตัวเล็ก กี่ขวบแล้วคะ มีอะไรจะบอกคุณหมอหรือคุณแม่มั๊ยครับ?"
"ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ"
เสียงใสๆของน้องลูกแก้วเด็กหญิงอายุ 4 ขวบ ที่ผมเข้าใจว่าเธอนั่งอยู่กับแม่ไปงั้นๆคงไม่รู้เรื่องอะไรสักอย่างแท้จริงแล้ว เด็กนั่งฟังและเข้าใจในทุกอย่างที่ผมพูดเธอรู้ว่าคุณแม่ที่รักของเธอไม่สบาย ต้องผ่าตัดคุณแม่อาจจะเสียชีวิต และ ต้องใช้เงินนี่คงเป็นประโยคคำถามที่ จริงใจที่สุดและมันก็ทำให้ผม คนที่ได้ฟังรู้สึก … เจ็บปวดที่สุด …
"ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ แต่หนูร้องเพลงได้นะคะ เดี๋ยวหนูร้องเพลงให้คุณหมอฟังแทนให้เงินได้ไหมคะ"
ผมรีบดึงสติออกมาจากความสงสารแล้วตอบว่า
"ไม่เป็นไรลูก ไม่เก็บเงินนะครับ หนูเก็บไว้กินขนมเถอะ เออ แล้วถ้าลุงอยากฟังเพลง หนูจะร้องเพลงให้ฟังจริงๆเหรอ"
น้องลูกแก้ว ยิ้มกว้าง หลังจากได้ยินว่าลุงหมอจะผ่าตัดให้แม่ของเธอแบบไม่เก็บตังค์
เธอเลิกกอดกับแม่ ลงจากตัก แล้วลงมายืนที่ขอบโต๊ะ แล้วร้องเพลงให้ผมได้ฟังในทันที
"แม่นี้มีบุญคุณอันใหญ่หลวง ที่เฝ้าหวงห่วงลูกแต่หลังเมื่อยังนอนเปล แม่เราเฝ้าโอละเห่ กล่อมลูกน้อยนอนเปล ไม่ห่างหันเหไปจนไกล
แต่เล็กจนโต โอ้แม่ถนอม แม่ผ่ายผอมย่อมเกิดจากรักลูกปักดวงใจ เติบโตโอ้เล็กจนใหญ่ นี่แหละหนาอาลัยมิใช่ใดหนา เพราะค่าน้ำนม …"
ทุกคนในห้องตรวจ เงียบ นิ่งสนิท คุณมาลัยพร คว้าน้องลูกแก้วไปกอดแน่น
"พอแล้วลูกไม่ต้องร้องเพลงแล้วค่ะ เดี๋ยวแม่ก็หายแล้วลูก …"
ผมบรรยายไม่ถูกจริงๆครับไม่รู้จะใช้อักษร หรือคำว่าอะไรมาบรรยายในความรู้สึกดี ผมคิดถึงแม่ตัวเองเหลือเกิน คุณพยาบาลที่คอยช่วยกันอยู่ข้างๆ จากเดิมที่คอยยืนเชียร์ ก็ยืนเช็ดน้ำตาเบาๆ บอกว่ามีลูกสาวเหมือนกัน ฉันเข้าใจเธอ
ผมไม่ได้ร้องไห้ด้วย แต่ก็ไม่แน่ใจว่า นัยตาออกแดงๆไหมนะ ด้วยพลังจิตที่น้องลูกแก้วถ่ายทอดเป็นเสียงเพลงออกมา ผมตัดสินใจทิ้งงานไปหนึ่งวัน เพื่อเอาเวลาว่างมาทำผ่าตัดให้คุณมาลัยพรเป็นกรณีพิเศษ เอ็นดูน้องลูกแก้วเหลือเกินเกินต้านมาก
การผ่าตัดผ่านไปด้วยดี คนไข้นอนโรงพยาบาล 7 วัน เนื่องจากเป็นโรคมะเร็งการผ่าตัดซับซ้อน ระหว่างนอนในโรงพยาบาลเพื่อนๆและผู้จัดการโรงงาน ก็มาเยี่ยมคนไข้ทุกวันทำให้ผมได้รู้ว่า คุณมาลัยพรเป็นคนดีมีแต่คนรักเถ้าแก่เจ้าของโรงงานก็ให้เลขานำเงินมาให้ ใส่ซองสีขาว เอาไว้ใช้จ่ายระหว่างไม่สบาย
ส่วนน้องลูกแก้วก็ฝากไว้กับยายที่พักอยู่ห้องข้างๆเมื่อคุณมาลัยพรหายดีกลับบ้านจึงไปรับลูกสาว
นี่คือ น้ำใจคนไทย บ้านใกล้เรือนเคียง
ผลชิ้นเนื้อออกมาว่าเป็นมะเร็งปากมดลูก การผ่าตัด Free margin แปลง่ายๆว่า ตัดมะเร็งออกมาหมดแล้วจึงไม่ต้องฉายรังสี ไม่ต้องรับคีโมเลย
วันที่กลับบ้าน ยายบ้านข้างๆ พาน้องลูกแก้วมารับแม่ที่โรงพยาบาล ผมบังเอิญเดินสวนกับเจ้าตัวเล็กที่ห้องจ่ายยาพอดี
เสียงใสใสที่คุ้นหูตะโกนเรียก
"คุณหมอจ๋าาา หนูมารับแม่กลับบ้าน หนูไม่มาหาหมอแล้วนะจ๊ะ"
เธอวิ่งเข้ามาผมเหมือนจะกอดขา แต่ผมหยุดเธอเอาไว้ก่อนกลัวจะเอาเชื้อโรคไปติดเด็กเพราะผมเพิ่งตรวจคนไข้โรคติดเชื้อมา
น้องลูกแก้วยื่นซองสีขาวมาให้
"เถ้าแก่เจ้าของโรงงานให้จดหมายแม่หนู แม่บอกให้หนูเอามาให้คุณหมอจ๊ะ" ผมรับซองจดหมายของเจ้าตัวเล็กมาเปิดอ่าน อ้าว นี่ไม่ใช่ซองจดหมาย ข้างในมันมีแบงค์พัน 8 ใบ
ผมพับซองกลับไป แล้วยื่นให้น้องลูกแก้ว "ลุงอ่านแล้วลูก ขอบคุณนะหนูเอาซองจดหมายนี้ไปให้แม่นะลูกฝากบอกแม่ว่าลุงหมอสั่งให้เก็บไว้นะครับฝากแม่ของหนูเก็บไว้นะ รอให้หนูขึ้นโรงเรียน อ่านหนังสือออก ก็ให้จดหมายนี้กับลูกแก้วนะครับลุงหมอขอบคุณมาก ขอบคุณจริงๆครับ"
"ถ้าหนูไม่มีเงินให้หมอสักบาท หมอจะรักษาให้มั๊ยคะ?"
และนี่ก็คือคำตอบทั้งหมด ที่ลุงหมออยากจะตอบหนู
ต้นทุนชีวิตคนเราไม่เท่ากันก็จริง แต่สิ่งที่คุณมาลัยพรมีอยู่ มีค่ามากกว่าเงินทองเยอะเลย
นั่นคือแก้วตาดวงใจของแม่นั่นเอง
หมออรัณ
********
เรื่องเล่าที่งดงาม ซึ่งเกิดขึ้นในประเทศที่งดงาม น้ำใจของผู้คนที่นี่ยิ่งงดงาม นี่คือเสน่ห์ของความเป็นไทยที่พวกเราทุกคนควรภาคภูมิใจ
สุวินัย ภรณวลัย
ปล.ขอนำเรื่องราวดี ๆมาเผยแพร่ ขอบคุณค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #146 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 03:14:06 PM » |
|
''เรื่องเล่าชวนคิด "เพียงแค่...เวลาและความรัก"
ชายคนหนึ่ง...แต่งตัวมอมแมม...ไปร่วมประชุมผู้ปกครองนักเรียน ทุกคนพากันหัวเราะ แต่พอเขาขึ้นพูดบนเวทีทำเอาทุกคนน้ำตาซึม...
เมื่อไม่นานมานี้...เว็บไซต์ต่างประเทศได้เปิดเผยเรื่องราวของชาวเน็ตท่านหนึ่งโดยระบุว่า...งานประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง ผู้ปกครองเริ่มทยอยกันเดินเข้ามาในห้องประชุม ทุกคนแต่งตัวสุภาพและเป็นทางการ ผู้ปกครองที่เข้ามาต้องไปลงชื่อ และเดินไปนั่งในที่ที่ถูกจัดเอาไว้
โดยจะมีป้ายชื่อแปะเอาไว้ที่เก้าอี้ เวลา ๘.๐๐ น. คุณครูใหญ่จะเริ่มทำการเปิดการประชุมผู้ปกครอง ทันใดนั้นมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องประชุม เขาแต่งตัวสกปรกมอมแมม บนเสื้อมีคราบสี คราบดิน ดูแล้วเหมือนกับเพิ่งออกมาจากไซด์งานก่อสร้าง
ครูผู้ช่วยเดินเข้าไปถาม “ไม่ทราบว่าคุณเป็นผู้ปกครองของ…?”
“ผมเป็นพ่อของ...หวังจื่อเหาครับ”
ครูจึงบอกว่าให้เดินไปลงชื่อ แล้วไปนั่งตามชื่อที่ระบุไว้ที่เก้าอี้
“ขอโทษครับ...ผมอ่านหนังสือไม่ออกครับ…”
“ไม่เป็นไรค่ะ...เดี๋ยวดิฉันลงชื่อให้แล้วพาไปเองค่ะ”
เขาเดินก้มตัว...ตามครูไปยังที่นั่ง ท่ามกลางเสียงหัวเราะของผู้ปกครองในห้อง...ครูใหญ่...ได้เชิญผู้ปกครองขึ้นมาพูด บอกเล่าประสบการณ์ในการอบรมลูก แต่ผู้ปกครองที่ขึ้นมาพูด ก็พูดไปในลักษณะคล้ายกัน คือมีกฎระเบียบที่สร้างให้ลูก หากลูกไม่ทำตามหรือฝ่าฝืน ก็จะโดนลงโทษ อย่างเช่นแม่คนหนึ่งให้ลูกอ่านหนังสือ ท่องศัพท์วันละ ๒ ชั่วโมง และยังต้องไปเรียนพิเศษเสริมวันเสาร์อาทิตย์อีกด้วย หากลูกทำไม่ได้ก็จะไม่ได้รับค่าขนม
ครูใหญ่ขึ้นพูดอีกครั้ง...และแจ้งผลการเรียนเทอมที่ผ่านมาให้กับทุกคน จึงขอเชิญผู้ปกครองของนักเรียนที่ได้คะแนนสูงที่สุดในชั้นเรียน ขึ้นมากล่าวคำแนะนำวิธีการอบรมเลี้ยงลูกให้มีประสิทธิภาพ
ครูใหญ่...เรียนเชิญพ่อของ "หวังจื่อเหา" ขึ้นบนเวที เขาเดินขึ้นมาอย่างประหม่า ครูใหญ่แสดงความยินดีด้วยที่หวังจื่อเหาได้คะแนนยอดเยี่ยมของชั้นเรียนในปีนี้...และขอให้คุณพ่อช่วยกล่าวสั้นๆ เพื่อแชร์ประสบการณ์แก่ผู้ปกครองท่านอื่น...
ในขณะที่ผู้ปกครองคนอื่นๆ ต่างก็ตกใจ เพราะเขาเป็นคนไม่มีการศึกษา แต่ลูกชายเขากลับได้คะแนนสูงสุดในชั้นเรียน
“ผมไม่รู้ว่าจะแนะนำอะไร...เพราะผมเป็นคนไม่มีความรู้ ผมแค่ชอบนั่งอยู่ข้างๆลูก นั่งดูลูกทำการบ้าน…”
ผมทำงานที่ไซด์งานก่อสร้าง...แต่ละวันก็จะยุ่งมาก พอกลับถึงบ้านมีเวลาผมก็อยากจะนั่งคุยกับลูก ใช้เวลานั่งดูเขาทำการบ้าน พอเขาทำการบ้านเสร็จก็จะชวนเขาไปกินข้าว หาน้ำให้เขาดื่ม”
ลูกชายเคยถามว่า...พ่ออ่านไม่ออกแล้วรู้ได้ยังไงว่าผมทำการบ้านถูกหรือผิด?...ผมจึงบอกว่า ก็ถ้าวันไหนแกทำเสร็จเร็วก็แปลว่าการบ้านมันง่าย ถ้าวันไหนแกนั่งคิดนานแสดงว่ามันยาก ผมก็จะหาของกินที่เขาชอบหรือน้ำเย็นๆมาให้เขาสักแก้ว...”
ผมเคยถามลูกว่า...ลูกอยากมีชีวิตที่ดี มีบ้านสวยๆ มีรถดีๆ ขับไหม? ลูกผมตอบว่า...อยากครับ...ผมจึงบอกว่า...พ่อไม่มีความรู้ อ่านหนังสือก็ไม่ออก จะไปทำงานอะไรดีๆ ก็คงยาก ได้แต่เป็นแรงงานแบบนี้...ถ้าลูกอยากมีชีวิตที่ดี ลูกต้องตั้งใจเรียนหนังสือ
ความรู้ที่ติดตัวลูกและช่วยให้ลูกมีอาชีพมีการมีงานที่ดีในอนาคตได้ ความจริงถ้าจะให้ขอบคุณก็ต้องขอบคุณคุณครูทุกท่านที่ช่วยสั่งสอนและให้ความรู้กับลูกชายของผม ทำให้เขามีวันนี้...ขอบคุณครับ"
เขาก้มหัวลงคำนับคุณครู...เมื่อพ่อของหวังจื่อเหาพูดจบผู้ปกครองที่นั่งอยู่ในห้องก็ต่างปรบมือเสียงดัง
“คุณพ่อของหวังจื่อเหา พูดได้ดีมาก การให้เวลาอยู่กับลูกนั้นสำคัญมาก การพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ให้กำลังใจในวันที่ลูกเหนื่อย จะทำให้ลูกรู้สึกมีคุณค่าและ เป็นแรงผลักดันทำให้เขาพัฒนาตัวเอง”
อย่าคิดว่า...เงินทองหรือสิ่งของ...จะทดแทนเวลาและความรัก...จากพ่อแม่ได้ เพราะสิ่งที่ลูกต้องการที่สุดไม่ใช่สิ่งอื่นใด นอกจาก "เวลา" ที่ได้อยู่กับพ่อแม่เท่านั้นเอง...
...เอวัง...ก็มีด้วยประการฉะนี้แล...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #147 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 16, 2022, 03:18:14 PM » |
|
เมื่อฮ่องเต้พิโรธ ทำให้ประเทศอื่นติฉินนินทา
เมื่อวานมีโอกาสไปถวายภัตตาหารเช้าสมเด็จฯ ท่านทักว่าหายไปหลายเดือน แล้วก็เมตตาสอนธรรมะให้เช่นทุกคราว เรื่องที่ท่านเล่าครั้งนี้เป็นนิทานจากจีน
วันหนึ่งฮ่องเต้เสด็จประพาสป่าเพื่อไปต่อนกพร้อมพราน และบัณฑิต เมื่อจับนกได้ก็ให้พรานเป็นผู้ถือไว้ ปรากฏว่า พรานพลั้งพลาดทำนกตัวโปรดที่จับได้หลุดมือบินหนีไป ฮ่องเต้ซึ่งมีอำนาจล้นฟ้า และมีสถานะเสมือนเจ้าชีวิตทรงพิโรธมากจึงมีคำสั่งให้ประหารชีวิตพราน โทษฐานที่ทำให้สูญเสียนกตัวโปรด
บัณฑิตกราบทูลฮ่องเต้ว่า พรานที่ทำนกหลุดย่อมมีโทษถึงขั้นประหารชีวิตแน่นอน แต่ไม่ใช่เพียงแค่นั้น เพราะอันที่จริงพรานทำผิดถึง 3 ข้อ คือ 1) ทำนกหลุดบินหนีไป 2) ทำให้ฮ่องเต้มีโทสะ 3) ทำให้ประเทศอื่นที่เมื่อทราบข่าวการประหารนี้ ก็จะติฉินนินทาฮ่องเต้ว่ามีโทสะจากการที่นกหลุดมือบินหนีแล้วสั่งประหารชีวิตคน
ฮ่องเต้ฟังแล้วได้คิด จึงให้ยกเลิกคำสั่งประหารชีวิตพรานผู้นั้น เมื่อผมฟังจบก็อดอุทานออกมาไม่ได้ว่า สมเป็นบัณฑิตจริง ๆ
สมเด็จฯ ถามว่า นิทานเรื่องนี้สอนว่าอะไร ผมตอบว่าเรื่องอำนาจ ท่านยิ้ม ๆ แล้วส่ายหน้า ผมตอบใหม่ว่าเรื่องโทสะ ท่านยิ้ม ๆ แล้วก็ยังคงส่ายหน้า ทำเอาผมหัวเราะแล้วกราบท่านว่า ยังคงเป็นดร. โง่คนเดิม
สมเด็จฯ ท่านสอนว่า แก่นหลักของพุทธศาสนาคือ
"สอนให้รู้จักมองตัวเอง อย่ามัวแต่มองคนอื่น หรือ โทษคนอื่น "
เพราะถ้าฮ่องเต้ไม่ไปต่อนกเพื่อหวังจับนกตั้งแต่แรก ก็ไม่มีนกที่จะบินหนีไป และต่อให้นกบินหนีไป แต่ถ้าฮ่องเต้ไม่เสียดาย ควบคุมอารมณ์ได้ ก็จะไม่มีโทสะ และต่อให้มีโทสะ แต่ถ้าฮ่องเต้ไม่ปล่อยให้โทสะครอบงำจนนำไปสู่การออกคำสั่งประหาร ก็จะไม่มีประเทศใดติฉินนินทาได้ว่า
"ฮ่องเต้เห็นนกสำคัญกว่าชีวิตคน"
ทั้งหมดนี้อยู่ที่ตัวฮ่องเต้ทั้งนั้น เพราะต้นเหตุที่แท้จริงไม่ใช่ "พรานทำนกหลุด" หากแต่เป็น "ฮ่องเต้ไปจับนก" เพราะนกก็อยู่ของมันตามธรรมชาติ เมื่อมีคนไปจับมากักขัง นกก็ต้องอยากหนีกลับไปสู่ธรรมชาติ ดังนั้น การสืบสาวราวเรื่องใด ๆ จึงต้องไปให้ถึงต้นตอ
ที่เป็นสาเหตุที่แท้จริงไม่ใช่แค่เพียงครึ่ง ๆ กลาง ๆเพราะจะทำให้เข้าใจผิด สรุปผิด ตัดสินใจผิด และไม่สามารถแก้ไข "ความไม่รู้" หรือ "อวิชชา” อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์ทุกอย่างในโลกได้
สิ่งที่บัณฑิตพูดแม้ฟังดูเหมือนจะพูดถึงเฉพาะความผิดของพราน แต่กลับเป็นการเตือนสติฮ่องเต้ให้ตระหนักถึงสิ่งที่ฮ่องเต้กำลังจะทำ และผลลัพธ์ที่จะตามมาได้อย่างแยบยล อีกทั้งเป็นการเตือนเราทุกคนให้ "มองให้ลึกกว่าที่เห็น ฟังให้ลึกกว่าที่ได้ยิน" อย่ามองอะไรแค่ผิวเผิน อย่าฟังอะไรเพียงแค่ลมผ่านหู และทำให้ผมนึกถึงคำโบราณที่แนะนำไว้ว่า "ผู้มีอำนาจทั้งหลายพึงมีบัณฑิตอยู่ข้างกาย"
สมเด็จฯ ยังเมตตาจดกลอนไว้ให้ใช้เตือนสติ "ให้มองตนเองเสมอ" อีกสองบท ดังนี้
บทแรก ว่าด้วยข้อคิด "การพูด/การสื่อสารกับคนอื่น"
พูดไปเขาไม่รู้กลับขู่เขา ว่าโง่เง่างมเงอะเฟอะหนักหนา ตัวของตัวทำไมไม่โกรธา ว่าพูดจาให้เขาไม่เข้าใจ
ที่สอง ว่าด้วยข้อเตือนใจไม่ให้มอง "ตนเองสูงส่ง คนอื่นด้อย"
โทษผู้อื่นแลเห็นเป็นภูเขา โทษของเรามองเห็นเท่าเส้นขน ตดคนอื่นเหม็นเบื่อเราเหลือทน ตดของตนถึงเหม็นไม่เป็นไร
(ท่านบอกที่มาของบทกลอนว่า ผู้แต่งคือ พระศาสนโศภน (แจ่ม จตฺตสลฺโล) อดีตเจ้าอาวาสวัดมกุฏกษัตริยาราม
บทเรียนหลักของวันนี้ "หมั่นสอบสวน ติเตียน และแก้ไขตนเองอยู่เสมอ ๆ" นะครับ
#อาหารบำรุงชีวิตสูตรสมเด็จฯ #สมเด็จพระวันรัต #จงมองตนเองอย่ามองผู้อื่น
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #148 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 09:26:49 AM » |
|
คุณวรวรรณ ธาราภูมิ -ประธานกรรมการบริหาร บลจ.บัวหลวง ได้แบ่ง3 ช่วงของผู้สูงวัย พร้อมกับตั้งชื่อให้กับแต่ละช่วงวัยไว้ว่า -วัยห้าว -วัยหด และ -วัยเหี่ยว
วัยห้าว
สำหรับคนในวัยเกษียณช่วงต้น อายุ 60-69 ปี ส่วนใหญ่แข็งแรง พลังงานเต็มเปี่ยม ทำอะไรๆ ได้เหมือนกับช่วงก่อนเกษียณ และหลายคนในวัยนี้ยังไม่รู้จักคำว่าเกษียณ สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง ทำให้ยังมีรายได้และรู้สึกว่าตนเองยังมีค่าต่อสังคม
นอกจากนี้ ยังเป็นวัยที่ "ฮึกเหิม" อยากทำสิ่งใหม่ๆ ที่ใฝ่ฝันไว้ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือน ที่หลายคน "อยากเริ่มต้นอาชีพใหม่ นำเงินที่เก็บออมไว้ออกไปลงทุนทำธุรกิจ ทำไร่ ทำสวนและเพราะความห้าว ผสมกับความฮึกเหิมนี้เอง ที่ทำให้หลายคนต้องสูญเงินที่เก็บออมจำนวนมาก เพราะเริ่มต้นทำสิ่งใหม่ โดยไม่ได้ศึกษาความเป็นไปได้ ไม่ได้ประเมินความสามารถ ความเหมาะสมกับกำลังวังชาของตน
วัยหด วัยนี้ถือเป็น "วัยเกษียณจริง" อายุ 70-79 ปี เพราะ "ความสามารถในการใช้ชีวิตจะลดลง ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ลูกจ้างเกษียณ อาชีพอิสระ หรือเจ้าของกิจการ จะไม่มีความแตกต่างด้านการใช้ชีวิตในวัยหดสักเท่าไร"
ในขณะที่ความสามารถในการหารายได้ลดลงจนเกือบหมด แต่ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพจะมีมากขึ้น เพราะโรคภัยจะแสดงอาการออกมาชัดเจนขึ้น จึงควรลดกิจกรรมต่างๆ ลง และให้ความสำคัญกับการรักษาสุขภาพและสุขภาพจิตใจมากขึ้น
*อย่ามั่นใจในศักยภาพของตัวเองจนเกินไป เพราะอาจจะทำให้เกิดปัญหาก่อนวัยอันควร*
วัยเหี่ยว
ในวัย 80 ปีขึ้นไป เข้าสู่วัยชรา และวัยพักผ่อนอย่างแท้จริง โดยในช่วงที่ชราภาพมากๆ จำเป็น ต้องมีคนคอยดูแล เพราะปัญหาสุขภาพจะมีมากขึ้น ความจำแย่ลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของสุขภาพ จึงจำเป็นต้องเตรียมพร้อมทางการเงินไว้สำหรับการใช้จ่ายด้านสุขภาพเป็นหลัก . .เพราะฉะนั้นไม่ใช่แค่เห็นว่าอายุ 60 แล้วจะเหมารวมว่าเป็นผู้สูงอายุเหมือนๆ กันหมด คนไทยก็มีอายุยืนขึ้น โดยผู้ชายอายุเฉลี่ยอยู่ที่ 75 ปี ขณะที่ผู้หญิงอายุเฉลี่ย 80 ปีและ..จากสถิติประชากรของประเทศไทย พบว่า..*ถ้ามีชีวิตรอดมาจนถึงอายุ 60 ปีได้แล้วล่ะก็ จะมีโอกาสมีชีวิตต่อไปจนถึงอายุ 81-83 ปี
เพราะฉะนั้น ถ้าวันนี้ท่านที่ประคับประคองชีวิตมาได้จนถึงวัยหลังเกษียณ ก็มองตัวเลขอายุ 80 ปีไว้เป็นเป้าหมายได้เลย จะได้.. เตรียมพร้อมรับมือกับชีวิตในวัย 70-80 ปีไว้ ไม่ประเมินอายุตัวเองต่ำเกินไป
เพราะ..ปัญหาหนึ่งของผู้สูงอายุ คือ มักคิดว่าจะตายเร็วกว่าความเป็นจริง
เพราะ..หากไม่เตรียมพร้อม ใน "วัยห้าว" ที่ยังมีเรี่ยวแรงหารายได้ อาจจะยังไม่มีความทุกข์
แต่..ถ้าเข้าสู่..วัยหด หรือ..วัยเหี่ยว เราอาจจะเป็นคนหนึ่งที่มีทุกข์แบบเดียวกับผู้สูงอายุทั่วๆ ไป ที่เป็นกันในปัจจุบัน และในอดีตที่ผ่านมา . ...การสำรวจความคิดเห็นผู้สูงอายุ เมื่อปี 2559 โดย นิด้าโพล และศูนย์วิจัยสังคมสูงอายุ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหาร ศาสตร์(นิด้า) พบว่า...
มีอยู่ 7 เรื่องใหญ่ๆ ที่ทำให้ผู้สูงอายุไทยเป็นทุกข์ นั่นคือ..
1...การไม่มีเงินใช้/..ไม่มีเงินออม/..มีเงิน แต่...ไม่พอใช้
2...อยากทำงาน แต่ไม่มีงานทำ ทำให้ขาดรายได้มาเลี้ยงตนเอง
3...มีภาระหนี้สินที่ต้องจ่ายให้แก่เจ้าหนี้
4....ไม่มีเพื่อนฝูง
5...สุขภาพร่างกายไม่แข็งแรง/มีโรคประจำตัว/ต้องไปหาหมอ
6...ไม่มีลูกหลาน ..อยู่คนเดียว หรือ..มีลูกหลานแต่เขาไม่สนใจดูแล
7...จิตใจไม่เบิกบาน ไม่สดชื่นแจ่มใส หม่นหมอง ไม่มีคุณค่า . ..จะเห็นได้เลยว่า 3 เรื่องที่ใหญ่ที่สุด คือ.เรื่องเงิน ไม่ว่าจะเป็น..ไม่มีเงิน ..ไม่มีงาน และ..มีหนี้สิน
(ขอบคุณ นสพ. "โพสต์ทูเดย์" )
ไม่ว่าคุณกำลังอยู่ตรงวัยไหน "ห้าว".."หด" หรือ .."เหี่ยว" การเตรียมพร้อม และการทำ ความเข้าใจกับ"สภาพที่เราเป็น" หรือ"กำลังจะเป็น" ไว้ น่าจะเป็นเรื่องที่ดีเสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #149 เมื่อ: มีนาคม 09, 2022, 09:39:01 AM » |
|
ฝากเพลง ทางม้าลายกระต่ายน้อยด้วยนะคะ
https://youtu.be/WBao90H9ekI
“ เพราะชีวิตยังมีค่าต่อผู้คนอีกมากมาย ”
ขอให้วลีสั้นๆ จากเสียงเพลงทางม้าลายกระต่ายน้อย ได้ช่วยย้ำเตือนให้ผู้ขับขี่รถบนท้องถนน หันมาตระหนักรู้ร่วมกันว่า
ชีวิตของเราทุกคนมีค่าบางคนเป็นพ่อ เป็นหญิงตั้งครรภ์ เป็นครู เป็นนักเรียน บางคนเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว บางคนมีพ่อเเม่เเก่ชรารอคอยการดูแลอยู่ที่บ้าน เมื่อเขาไม่สามารถเดินข้ามทางม้าลายได้ตลอดลอดฝั่ง ย่อยส่งผลกระทบต่อคนข้างหลังอย่างเเน่นอน
สำหรับหมอกระต่าย หมอเป็นลูกที่รักพ่อเเม่เเละน้องมาก มีความรับผิดชอบเเละใจดีมาก เป็นจักษุเเพทย์ที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาตนได้สูงสุดดังปณิธานที่ตั้งไว้ เเต่ต้องมาเสียชีวิตก่อนจะสามารถช่วยผู้ป่วยอีกมากมายที่รอการรักษาได้
อุบัติเหตุบนทางม้าลายเป็นสิ่งที่สามารถหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดได้ถ้าทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกันค่ะhttps://www.youtube.com/watch?v=WBao90H9ekI&feature=youtu.be
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|