Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 72056 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #210 เมื่อ: กรกฎาคม 14, 2011, 11:08:07 AM »

เสียใจด้วยนะจ๊ะหนูจัย... Cry

เอาน่า  กรรมใดใครก่อ  กรรมนั้นคืนสนองเขาเองแหละนะ >Cheesy >Cheesy >Cheesy

ขอบคุณคะ คงต้องใช้เวลาทำใจ นิดนึงค่ะ ครั้งแรกถูกโกงไปหลักแสนหายออกจากบ้านไปเลย ครั้งสองหลักหมื่นเกือบๆแสนต้องเฝ้าบ้านแถมต้องเห็นคนเอาตังค์ไปเดินไปเดินมาอีก ครั้งนี้ เกือบๆล้าน หัวก็เกือบล้านคะ อิ อิ เราไม่โกงอยู่ที่ไหนก็ได้ เขาโกงอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่นาน คาดว่าเค้ายอมติดคุกแล้วออกมาใช้ตังค์ที่ซ่อนเอาไว้ ไม่จองเวรจองกรรมคะ ถ้าเค้าได้ดีมีสุข หนูใจก็ได้ทำบุญไป

                          ขอบคุณค่ะคุณแม่ลูกสอง อิ อิ Azn

คราวหน้าคราวหลัง  ก็อย่าให้ใครยืมเงินอีกล่ะ  เก็บไว้กับตัวเราน่ะดีแล้ว   เอาไปทำกำไรในทอง  ในหุ้นยังจะดีกว่าอีกนะ
ขาดทุนขึ้นมา  ก็ไม่เสียใจ  ไม่เจ็บใจเท่าเพื่อนโกง Cry

สู้ ๆจ้านู๋จัย
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #211 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 11:55:31 AM »

เสียใจด้วยนะจ๊ะหนูจัย... Cry

เอาน่า  กรรมใดใครก่อ  กรรมนั้นคืนสนองเขาเองแหละนะ >Cheesy >Cheesy >Cheesy

ขอบคุณคะ คงต้องใช้เวลาทำใจ นิดนึงค่ะ ครั้งแรกถูกโกงไปหลักแสนหายออกจากบ้านไปเลย ครั้งสองหลักหมื่นเกือบๆแสนต้องเฝ้าบ้านแถมต้องเห็นคนเอาตังค์ไปเดินไปเดินมาอีก ครั้งนี้ เกือบๆล้าน หัวก็เกือบล้านคะ อิ อิ เราไม่โกงอยู่ที่ไหนก็ได้ เขาโกงอยู่ที่ไหนก็อยู่ไม่นาน คาดว่าเค้ายอมติดคุกแล้วออกมาใช้ตังค์ที่ซ่อนเอาไว้ ไม่จองเวรจองกรรมคะ ถ้าเค้าได้ดีมีสุข หนูใจก็ได้ทำบุญไป

                          ขอบคุณค่ะคุณแม่ลูกสอง อิ อิ Azn

คราวหน้าคราวหลัง  ก็อย่าให้ใครยืมเงินอีกล่ะ  เก็บไว้กับตัวเราน่ะดีแล้ว   เอาไปทำกำไรในทอง  ในหุ้นยังจะดีกว่าอีกนะ
ขาดทุนขึ้นมา  ก็ไม่เสียใจ  ไม่เจ็บใจเท่าเพื่อนโกง Cry

สู้ ๆจ้านู๋จัย


ขอบคุณคะ Cheesy
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #212 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 11:59:22 AM »

ชื่อเรื่อง : สำรวจความพร้อมก่อนออกกำลังกาย
สมพัฒน์ จำรัสโรมรัน ที่ปรึกษาด้านการออกกำลังกาย



    การออกกำลังกายโดยทั่วไปนอกจากจะให้ประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว อาจเกิดผลเสียหรือโทษต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการบาดเจ็บที่เกี่ยวข้องกับกล้ามเนื้อ กระดูกและข้อต่อ เช่น อาการปวดหลังจากการฝึกแบบใช้น้ำหนักโดยที่กล้ามเนื้อขาดความยืดหยุ่นและความแข็งแรงที่เหมาะสม หรือปวดข้อเข่าและข้อเท้าในการเดิน วิ่ง ออกกำลังกายเพื่อการลดน้ำหนัก ที่สำคัญคือมีผลต่อระบบการทำงานของหัวใจและการไหลเวียนโลหิต เช่น หัวใจหยุดเต้น (Cardiac arrest) โดยไม่ทราบสาเหตุหรือไม่มีเหตุล่วงหน้ามาก่อน อย่างที่เคยเป็นข่าวเกี่ยวกับนักกีฬาเกิดภาวะหัวใจหยุดเต้นอย่างฉับพลัน ทำให้เสียชีวิตคาสนาม เป็นต้น ภาวะความเสี่ยงต่างๆ เหล่านี้ สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในขณะที่ออกกำลังกาย หรือหลังออกกำลังกายทันทีก็ได้
และอาจเกิดจากสาเหตุที่ทราบหรือไม่ทราบมาก่อนก็ได้


ดังนั้นก่อนที่จะเริ่มการออกกำลังกายควรมีการสำรวจประเมินตัวเราดูก่อนว่ามีความพร้อม หรือมีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการออกกำลังกายมากน้อยแค่ไหน



    ระบบต่างๆ ของร่างกายที่มีความเสี่ยง และผลกระทบอันดับแรกๆ จากการออกกำลังกาย ได้แก่
     * ระบบการไหลเวียนโลหิต (cardiovascular system) – ควรมีการสำรวจดูถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ส่งผลต่อการเกิดโรคหัวใจ

     * ระบบทางเดินหายใจ (respiratory system) – อาการต่างๆ ที่มีผลต่อระบบนี้ เช่น อาการหอบหืด ในบางคนอาการหอบหืดจะถูกกระตุ้นให้เกิดขึ้นมาจากการออกกำลังกายได้ หรือโรคถุงลมโป่งพองในกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ จะส่งผลทำให้เกิดการหายใจลำบากในขณะออกกำลังกาย

     * ระบบกล้ามเนื้อ (musculoskeletal system) – ส่วนใหญ่แล้วจะเกิดการบาดเจ็บจากสาเหตุของกล้ามเนื้อขาดความแข็งแรง และความยืดหยุ่นที่เหมาะสม ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ ปวดตามกระดูกและข้อต่อต่างๆ เป็นต้น

      * ระบบการเผาผลาญพลังงาน (metabolic system) – โรคที่เกี่ยวข้องกับระบบเผาผลาญพลังงานหลักๆ เช่น โรคเบาหวาน ซึ่งผลกระทบที่เกิดขึ้นอาจมาจากการบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ถ้าไม่ระมัดระวังการเกิดการบาดเจ็บหรือมีบาดแผลเกิดขึ้นจะส่งผลกระทบที่รุนแรงตามมา เช่น แผลไม่หายและเกิดติดเชื้อทำให้ต้องตัดแขนหรือขาส่วนนั้นทิ้งไป

      ด้วยเหตุนี้การได้รับหรือทราบข้อมูลที่สมบูรณ์ครบถ้วนถูกต้องเกี่ยวกับประวัติสุขภาพ จะทำให้เราสามารถออกกำลังกายได้อย่างมั่นใจ สบายใจ มีประสิทธิภาพ และได้รับประโยชน์สูงสุด รวมถึงลดอัตราเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการออกกำลังกายลงได้อย่างมาก ซึ่งประโยชน์ของการตรวจประเมินสุขภาพจะช่วยให้เราทราบถึง

      > สภาพร่างกาย รวมถึงปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจมีผลต่อการออกกำลังกาย
     > ข้อห้าม (contraindication) ต่างๆ ในการออกกำลังกาย
     > ช่วยในเรื่องการกำหนดรูปแบบโปรแกรมการออกกำลังกายที่เหมาะสมและปลอดภัย
     > ป้องกันความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย


        การตรวจดูปัจจัยเสี่ยงโดยเฉพาะด้านที่เกี่ยวข้องกับโรคหัวใจจะสำคัญมาก ควรสำรวจดูว่ามีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังต่อไปนี้หรือไม่ ถ้ามีและมากกว่า 2 ข้อขึ้นไป ควรได้รับการตรวจหรือปรึกษากับแพทย์ก่อนที่จะเริ่มออกกำลังกาย

     1. ประวัติคนในครอบครัว – เกิดหรือมีอาการของโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เช่น หัวใจวาย ผ่าตัดเปลี่ยนเส้นเลือดหัวใจ หรือทำบอลลูนก่อนอายุ 55 ปี ในญาติผู้ชายที่ใกล้ชิด เช่น พ่อ ลุง หรือพี่ชาย เป็นต้น ส่วนในผู้หญิงเกิดก่อนอายุ 65 ปี ในญาติที่ใกล้ชิด เช่น แม่ ป้า หรือพี่สาว เป็นต้น

     2. การสูบบุหรี่ – ยังสูบบุหรี่อยู่ หรือหยุดสูบบุหรี่ไปไม่ถึง 6 เดือน โดยสูบตั้งแต่ 20 มวนขึ้นไปต่อวัน

     3. ความดันโลหิตสูง – ในขณะพักมีความดันตัวบน (Systolic) มากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอท หรือความดันตัวล่าง (Diastolic) มากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท จากการวัด 2 ครั้งในโอกาสที่แตกต่างกัน หรือมีการใช้ยาควบคุมความดันอยู่

     4. ระดับของโคเลสเตอรอลที่ผิดปกติ – มีระดับ LDL มากกว่า 130 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร HDL น้อยกว่า 40 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หรือใช้ยาลดระดับโคเลสเตอรอลอยู่ แต่ส่วนใหญ่จะดูจากค่าของ total cholesterol ถ้าไม่ทราบค่าของ LDL และ HDL โดยมีค่าของ total cholesterol มากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ถ้า HDL (ระดับของ HDL cholesterol) มากกว่า 60 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรยิ่งดี ยิ่งมีค่าของ HDL cholesterol มากยิ่งลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจได้ สามารถนำมาหักลบกับปัจจัยเสี่ยงที่กล่าวมานี้ได้ 1 อย่าง

      5. ระดับการดูดซึมน้ำตาลในเลือด – มีค่าน้ำตาลหลังอดอาหารมากกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร โดยยืนยันจากการวัด 2 ครั้ง (2 โอกาส)

      6. โรคอ้วน – ดูได้จากค่า ดังต่อไปนี้

      * ดัชนีมวลของร่างกาย (BMI) มากกว่า 30 กิโลกรัมต่อเมตร2
      * รอบเอว 90 เซนติเมตร สำหรับผู้ชาย และ 80 เซนติเมตรในผู้หญิง
      * อัตราส่วนระหว่างรอบเอวต่อรอบสะโพก (Waist/hip ratio) มากกว่า 0.95 สำหรับผู้ชาย และ มากกว่า 0.86 ในผู้หญิง

      7. ไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย – หรือทำกิจกรรมต่างๆ ในชีวิตประจำวันน้อย เช่น นั่งดูโทรทัศน์เป็นส่วนใหญ่ รวมถึงนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลาทั้งวัน เป็นต้น


       นอกจากนี้ยังมีแบบประเมินความพร้อมของร่างกายก่อนการออกกำลังกายที่เรียกว่า PAR-Q หรือ Physical Activity Readiness Questionnaire เพื่อประเมินตนเองก่อนเริ่มโปรแกรม เหมาะสำหรับคนเริ่มต้นออกกำลังกายในระดับความหนักที่เบา-ปานกลาง (low–moderate intensity) ถ้าตอบว่า “ใช่” อย่างน้อยหนึ่งข้อขึ้นไป ควรปรึกษาแพทย์หรือขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญก่อนออกกำลังกาย แต่ถ้าตอบ “ไม่ใช่” ทั้งหมดก็สามารถเริ่มการออกกำลังกายได้เลยครับ
แบบฟอร์มการตรวจประเมินความพร้อมของร่างกาย



by Health Today Thailand
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #213 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 01:36:03 PM »

ลมพิษฤทธิ์ไม่เบา




ลมพิษฤทธิ์ไม่เบา (Modern Mom)
โดย: ผศ.นพ.นิยม ตันติคุณ

แม้จะฤทธิ์เดชจะร้ายสักแค่ไหน ถ้ารู้วิธีก็จัดการได้

เรา พบว่าคนไทยมีอาการของลมพิษมากถึง 20 เปอร์เซ็นต์ นั่นหมายถึงคนไทย 100 คนมี 20 คนที่เคยเป็นลมพิษอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต ชนิดไม่จำกัดเพศและวัย

 ลมพิษ...ฤทธิ์มาจากไหน

ลมพิษเกิดจากการที่ของเหลวซึ่งอยู่ในหลอดเลือดรั่วไห ลออกมาอยู่ในผิวหนัง ทำให้เห็นเป็นตุ่มหรือปื้นนูนบวมแดงขนาดเล็กใหญ่ต่าง ๆ กัน ผิวหนังส่วนนั้นจะเหมือนเปลือกผิวส้ม หรือเป็นไปได้กระทั่งเปลือกตาบวมจนเปิดไม่ได้ ริมฝีปากบวม มีอาการคันมาก

แต่ผื่นเหล่านี้จะหายภายใน 24 ชั่วโมง โดยไม่เหลือร่องรอยเลยถึงแม้จะไม่ได้รับการรักษา และก็จะมีผื่นใหม่ขึ้นมาอีก บางครั้งขณะที่มาพบแพทย์ ผื่นอาจหายไปหมดแล้วก็ได้ (เป็นโรคกลัวหมอว่างั้นเถอะ!) แต่หมอก็สามารถวินิจฉัยได้ เนื่องจากลักษณะนี้ไม่พบในโรคผิวหนังชนิดอื่น

 ที่มาที่ไปของลมพิษ

สาเหตุที่ทำให้เกิดลมพิษมีหลายอย่าง แต่ไม่ว่าสาเหตุใดก็ตามผื่นจะมีลักษณะเหมือนกันหมด จึงยากที่จะหาสาเหตุของลมพิษ ยกเว้นกรณีเดียว คือลมพิษที่เกิดเมื่ออุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น เช่น หลังการออกกำลังกาย ผื่นจะเป็นเม็ดเล็ก ๆ ไม่เกิน 4 มิลลิเมตร ไม่เป็นปื้นใหญ่ หายเร็วกว่าผื่นจากสาเหตุอื่น คือไม่ถึง 1 ชั่วโมงก็หาย

สาเหตุ ของลมพิษที่พบบ่อยคือยาและอาหาร โดยเฉพาะอาหารทะเล มักเป็นหลังรับประทานไม่กี่ชั่วโมง ถึงแม้จะเคยรับประทานมาหลายครั้งแล้ว โดยไม่เกิดลมพิษก็ตาม แต่บางครั้งอาจเจอแจ๊กพอตเข้าให้ได้

ยาทุกชนิดทำให้เกิดลมพิษได้ทั้งนั้น แต่ที่พบบ่อยคือยาปฏิชีวนะ การเป็นหวัด ฟันผุ หรือมีพยาธิในลำไส้ ก็ทำให้เกิดผื่นลมพิษได้ บาง คนก็มีผื่นตามรอยเกา และรอยขีดข่วนบนผิวหนัง บางครั้งผื่นจะขึ้นตามรอยกดทับ เช่น ขอบกางเกง ขอบเสื้อ การนั่งนาน ๆ ก็เกิดผื่นที่ก้น เดินมากก็เกิดผื่นที่ฝ่าเท้า

หรือสิ่งที่เรานึกไม่ถึงก็เป็นสาเหตุได้ เช่น น้ำแข็งก็ทำให้เกิดลมพิษได้ บางคนโดนแสงแดดก็เกิดผื่นคัน สูดดมฝุ่นบ้าน หรือเกสรดอกไม้ครั้งใดก็เกิดผื่นคันทุกที จะเห็นว่าสาเหตุมันมีมากมาย แต่ผื่นลักษณะเหมือนกันหมด และที่น่าหนักใจยิ่งขึ้น คือบางคนอาจมีสาเหตุมากกว่า 1 อย่างก็ได้

ใน รายที่เพิ่งเป็นลมพิษ สาเหตุมักมาจากอาหารและยา ผู้ป่วยมักจะทราบต้นเหตุ เนื่องจากลมพิษมักเกิดหลังรับประทานไม่กี่ชั่วโมง แต่ในรายที่เป็น ๆ หาย ๆ มานาน มักหาสาเหตุได้ยาก ควรต้องปรึกษาแพทย์ เพื่อจะได้ตรวจร่างกายหาสิ่งผิดปกติ ส่วนการตรวจเลือดหรือตรวจพิเศษอย่างอื่นก็ขึ้นกับผู้ ป่วยแต่ละราย

และไม่มีการตรวจใดที่จำเพาะบอกได้ว่า ลมพิษเกิดจากสาเหตุใด การทำ Skin Test ก็เชื่อถือไม่ได้ครับ เพราะถึงผลตรวจว่าแพ้ แต่เวลาเราได้รับสารนั้นจริง ๆ อาจไม่เกิดลมพิษเลย หรือในทำนองกลับกัน แม้เกิดลมพิษทุกครั้งที่ได้รับสารนั้น แต่ผลตรวจว่าไม่แพ้ก็อาจเป็นได้

การทำสมุดบันทึกว่าผื่นขึ้นในช่วงใดของวัน ระหว่างการทำกิจกรรมใด หรือภายหลังการรับประทานอาหารหรือยาชนิดใด ก็จะช่วยค้นหาสาเหตุของลมพิษได้ครับ

 รุนแรงแค่ไหนนะ

ความรุนแรงของลมพิษ ก็แตกต่างกันไปในแต่ละคน บางคนอาจมีแค่ผื่นคันที่ผิวหนัง แต่อีกคนอาจมีปวดท้อง ท้องเสียร่วมด้วย แต่ที่รุนแรงอันตรายคือ เริ่มมีเสียงแหบ หายใจลำบาก อาการแบบนี้อันตรายมากถ้ารักษาไม่ทัน

 หลบฤทธิ์ลมพิษ

การรักษาลมพิษที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยงสาเหตุที่ทำให ้เกิดลมพิษ เช่น ถ้าแพ้อาหารทะเล ก็ไม่ควรรับประทานอีก แต่ถ้ามีลมพิษเกิดขึ้นแล้ว ก็คงต้องพึ่งยาแก้แพ้ ซึ่งมีอยู่หลายชนิด บางชนิดทานแล้วง่วง บางชนิดก็ไม่เกิดอาการง่วง แต่ราคาแพงกว่ามาก บางครั้งใช้ยาแก้แพ้ตัวหนึ่งไม่ได้ผลอาจต้องเปลี่ยนไ ปใช้ยาแก้แพ้อีกตัวจึง จะได้ผล หรืออาจต้องใช้ยาแก้แพ้ 2 ชนิดขึ้นไปร่วมกันในการรักษาจึงจะได้ผล

นอกจากยาแก้แพ้แล้ว ยารักษาโรคกระเพาะพวก H2 antagonist เช่น cimetidine เมื่อใช้ร่วมกับยาแก้แพ้แล้วจะเพิ่มประสิทธิภาพในการ รักษาลมพิษ ส่วนยาทาที่ผสม menthol, phenol หรือ camphor ก็จะทำให้เย็นผิวสบายตัว ลดอาการคันได้ รายที่เป็นลมพิษเรื้อรังอาจต้องรับประทานยาติดต่อกัน เป็นเวลานาน ก็อย่าเพิ่งท้อแท้ใจนะครับ


by
kapook.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #214 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 01:40:09 PM »

รองเท้าแบบไหน เหมาะกับแม่ตั้งครรภ์




In Her Shoes  (modernmom)
เรื่อง : หน่วยอุ่น


น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ประกอบกับท้องที่โตมากขึ้น ทำให้ร่างกายของแม่ท้องไม่สมดุลเหมือนเดิม เท้าต้องแบกรับภาระที่หนักอึ้ง จะเดิน แต่ละทีก็ต้องระมัดระวังไปหมด แม้จะไม่คล่องแคล่วเหมือนก่อน คุณแม่ก็ลดภาระให้กับเท้าได้ด้วยตัวช่วยอย่าง "รองเท้า" ค่ะ

How to Choose

           รองเท้าที่เหมาะที่สุดสำหรับแม่ท้อง คงหนีไม่พ้นประเภทที่ไม่มีส้นหรือส้นเตี้ย หลีกเลี่ยงรองเท้าส้นสูง ที่เพิ่มอาการปวดหลัง แถมยังอาจทำให้เท้าพลิกและเสี่ยงต่อการหกล้มจนเกิดอุบัติเหตุได้

           เลือกรองเท้าหน้ากว้าง ยืดขยายได้ดี เพื่อความสบายในการสวมใส่ เพราะแม่ท้องมักประสบปัญหาเท้าบวม อย่าลืมว่าต้องบอกลารองเท้า หัวแหลมไปก่อน เพราะอาจทำให้นิ้วเท้าเสียดสีจนเกิดบาดแผลได้

           วัสดุที่ใช้ต้องระบายอากาศได้ดี ไม่อับชื้น โดยเฉพาะที่เป็นหนังเนื้อนุ่ม ซึ่งสามารถยืดขยายให้เข้ากับเท้าของแม่ท้องได้

           พื้นรองเท้าด้านในที่รองรับเท้า โดยตรงต้องนุ่ม ใส่แล้วสบาย รองรับแรงกระแทกได้ ช่วยลดการปวดเข่า ปวดข้อเท้า การปวดหลังและอาการเส้นเลือดขอด

           พื้นด้านล่างทำจากยางคุณภาพดี ช่วยในการยืดเกาะพื้นผิว ป้องกันการลื่นล้ม

           ควรเลือกรองเท้า ที่สวมแล้วเหลือพื้นที่ระหว่างรองเท้ากับปลายนิ้วโป้ง 1 ซม. เพื่อให้ขยับนิ้วได้สะดวกไม่เจ็บนิ้วเท้า

           เพื่อลดภาระให้กับขาและเท้าที่ต้องแบกรับน้ำหนักมากอยู่แล้ว รองเท้าที่มีน้ำหนักเบา เป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย

           เวลาเลือกซื้อ ไม่ควรลองรองเท้าด้วยเท้าข้างใดข้างหนึ่ง แต่ควรลองสวมทั้ง 2 ข้าง เพราะเท้าข้างหนึ่งมักมีขนาดใหญ่กว่า

Concern

          ช่วงหน้าฝนนี้นอกจากการเลือกรองเท้าที่ทำจากวัสดุกันน้ำ เช่น หนังแก้ว พลาสติก คุณแม่อย่าลืมเช็กสภาพพื้นรองเท้าว่ายังเกาะพื้นได้ดีหรือไม่ ถ้าพื้นรองเท้าสึกมากๆ ก็ควรเปลี่ยนเสียเพราะจะเสี่ยงลื่นล้มได้ง่าย ๆ ค่ะ

Let’s Shopping

          นอกจากหลักการเลือกสรรรองเท้าที่เหมาะสมกับแม่ ๆ แล้ว เรามีรองเท้าแบบต่าง ๆ มานำเสนอด้วย ชอบแบบไหน ก็เลือกซื้อหามาใส่กัน จะว่าแล้วรองเท้าที่เหมาะกับคุณแม่ท้องมีมากมายในท้องตลาด เพียงแต่รู้จักเลือก โดยไม่ลืมคุณสมบัติที่จำเป็น เท่านี่ก็มีรองเท้าสวยๆ ไว้มิกซ์แอนด์แมตช์เข้ากันชุดคลุมท้องเก๋ ๆ ได้อีกเพียบค่ะ

Modern Mom’s Tips

           เลือกซื้อรองเท้าสักคู่ ช่วงบ่ายเป็นเวลาที่เหมาะที่สุด เพราะช่วงนี้เท้าจะขยายกว่าปกติ

           การสวมถุงเท้าจะช่วยให้ใส่รองเท้าได้สบายมากขึ้น

           หลีกเลี่ยงการยืนหรือเดินนาน ๆ โดยไม่มีการพักเท้า

           หากรู้สึกปวดเท้ามาก ๆ ให้แช่เท้าในน้ำอุ่น เพื่อลดอาการปวดเมื่อย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

MODERNMOM
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #215 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 01:44:43 PM »

11 เรื่องของเบบี้ที่คุณ (อาจ) ไม่รู้




11 เรื่องของเบบี้ที่คุณ (อาจ) ไม่รู้ (รักลูก)

          วันนี้เรามี เกร็ดความรู้ เรื่องของเบบี้ที่คุณแม่อาจไม่เคยรู้มาก่อน มาบอกกัน

          1. ทารกมองเห็นได้ตั้งแต่เกิด เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเห็นอะไรเท่านั้นเอง

          2. ทารกจะเห็นชัดในระยะแค่ 25-30 ซม. เท่านั้น

          3. ไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวดวงตาได้ตั้งแต่เกิดครั้น 2-3 สัปดาห์ผ่านไป จะเริ่มมองดูผู้คนที่อยู่รอบตัว และเฝ้ามองพวกเขาผ่านไปผ่านมา

          4. ทารกชอบสีทุกสีที่สดใส สว่างจ้า

          5. 2-3 เดือนหลังลืมตาดูโลกสีของดวงตาอาจเปลี่ยนเป็นอีกสีหรือเข้มขึ้นได้ แล้วแต่เชื้อชาติ

          6. ทารกได้ยินเสียง แต่ก็ไม่รู้ว่าเสียงที่ได้ยินครั้งแรกเป็นเสียงอะไรกัน

          7. ทารกจะกลัวเสียงดังที่เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ฉะนั้น ถ้าคุณอยากเปิดเพลงเพราะ ๆ ให้ลูกฟังก็อย่าลืมค่อย ๆ เปิดเสียทีละน้อย

          8. ทารกชอบเสียงสูง และเสียงต่ำ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ชอบฟังเสียงของแม่ที่พูดคุยด้วย

          9. ทารกชอบสัมผัสแผ่วเบา เพราะทำให้รับรู้ถึงความรักที่คุณมีให้จนความสุขฟูฟ่องเต็มหัวใจ

          10. อ๊ะ ๆ ถึงเป็นเบบี้แต่ก็ได้กลิ่นเป็นแล้วนะ แถมเวลาได้กลิ่นไม่ชวนดมก็ยังหันหน้าหนีเหมือนผู้ใหญ่ด้วย

          11. ทารกชอบทำท่าทางตลก ๆ ให้ผู้ใหญ่ได้ยิ้มไปทั้งวัน


by
rakluke.com
รักลูก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #216 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2011, 01:48:10 PM »

6 วิธีสร้างความสุขที่บ้าน สำหรับแม่ตั้งครรภ์



6 Ways to entertain @home (รักลูก)

         ขอเชิญชวนคุณแม่ท้องมาปรับเปลี่ยนให้บ้าน กลายเป็นแหล่งรวมความบันเทิงและความสุข เพื่อเพิ่มความสบายที่แสนสะดวกในยามท้องค่ะ

1.ปาร์ตี้ท้องมันส์ ๆ

         ชวนเพื่อนๆ มาสังสรรค์ที่บ้าน โดยอาจจัดเป็นงานปาร์ตี้เล็กๆ สำหรับเพื่อนที่กำลังท้องเหมือนๆ กัน เพื่อจะได้มาแชร์ประสบการณ์ต่างๆ ในขณะตั้งครรภ์ให้กันและกัน นอกจากจะได้ผ่อนคลายและมีเพื่อนคุยแล้ว คุณแม่ยังสามารถแอบเพิ่มสีสัน  และความสนุกด้วยการชวนเพื่อนมาแต่งตัวให้เข้าธีมได้ด้วยค่ะ

2.แดนซ์กระจาย

         นอกจากคุณพ่อจะต้องเป็นผู้ดูแลคุณแม่อย่างใกล้ชิด ในช่วงตั้งครรภ์แล้ว ลองเปลี่ยนบรรยากาศและเพิ่มความสนุก ด้วยการชวนกันมาแดนซ์สิคะ แต่ต้องระวังอย่าเคลื่อนไหวเร็วเกินไปนะคะ เพียงเท่านี้ก็ช่วยเพิ่มความใกล้ชิดและความสุข ตอนอยู่บ้านได้แล้ว

3.ปรุงอาหารมื้อพิเศษ

         อาจเป็นเมนูโปรดที่ให้คุณค่าครบถ้วน นอกจากจะได้ความสุขจากการทำอาหารกินเองแล้ว ยังสามารถเลือกสรรวัตถุดิบ ที่สด สะอาด ปลอดภัย สำหรับตัวคุณเอง และลูกน้อยด้วยค่ะ

4.สร้างโรงหนังขนาดย่อม

         อย่าเพิ่งตกใจไป คุณแม่ไม่ต้องลงทุนสร้างห้องใหม่ เพียงซื้อ DVD หนังเรื่องโปรดหรือ DVD สอนออกกำลังกายที่อยากดูมาเก็บไว้ที่บ้าน แล้วหาเวลาว่าง เลือกหยิบหนังมาดูทีละเรื่อง ก็สนุกได้แล้วค่ะ แถมยังไม่ต้องออกไปเสี่ยงกับเชื้อโรคต่าง ๆ และเบียดเสียดกับคนในโรงหนังด้วย

5.บันเทิงด้วยเสียงเพลง

         คุณแม่ท้องที่ต้องอยู่บ้านเฉย ๆ อาจเบื่อได้ง่าย ลองเปิดเพลงที่ชอบฟังสิคะ จะทำให้บรรยากาศการอยู่บ้านมีความสุขมากขึ้น หรือถ้าคุณแม่ชอบร้องเพลง ก็อาจหาเพลงคาราโอเกะมาร้องด้วยก็สนุกไปอีกแบบค่ะ

ดนตรีไม่ได้แค่ช่วยให้คุณแม่ผ่อนคลายอย่างเดียวนะคะ แต่ยังช่วยพัฒนาสมองของลูกได้ด้วย

6.ออกกำลังกาย

         คุณแม่ตั้งครรภ์ไม่ควรที่จะละเลยการออกกำลังกาย เพราะจะช่วยให้ออกซิเจน ส่งผ่านไปถึงลูกน้อยได้อย่างเต็มที่ และช่วยให้ร่างกายแข็งแรงด้วย ซึ่งคุณแม่สามารถเปลี่ยนบ้านให้เป็นโรงยิมส่วนตัวได้อย่างสบาย ๆ เช่น จัดพื้นที่สำหรับการเล่นโยคะ พิลาทีส ฯลฯ แม้แต่การเดินเล่นรอบ ๆ บ้าน ก็ถือเป็นการออกกำลังกายแล้วล่ะค่ะ

         ทุกครั้งที่คุณแม่ทำกิจกรรมใดก็ตาม แล้วมีความสุข สมองจะถูกกระตุ้นให้หลั่งสาร endorphim ซึ่งเป็นสารเพิ่มความสุขช่วยให้ระบบต่างๆ ภายในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น และยังส่งต่อความสุขไปสู่ลูกน้อยให้รับรู้ด้วยค่ะ


ขอบคุณข้อมูลจาก
rakluke.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #217 เมื่อ: กรกฎาคม 21, 2011, 11:41:27 AM »

สยบภูมิแพ้ด้วยอาหาร
โรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัวอันดับต้นๆ ของคนเมือง ที่ชีวิตพัวพันอยู่กับฝุ่นละอองจากควันรถยนต์





โดยเฉพาะในเด็กและวัยรุ่นมีผู้ป่วยเป็นโรคภูมิแพ้มากกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งสาเหตุของการเกิดโรคก็มีทั้งมาจากมลพิษในอากาศและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป การขาดการออกกำลังกาย กรรมพันธุ์ อาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าเรารู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และเหมาะสม จากสาเหตุของการเกิดโรค ก็อาจเปลี่ยนเป็นวิธีหนึ่งที่ช่วยป้องกันการเกิดอาการภูมิแพ้ได้เช่นกัน

การทานอาหารสำหรับคนเป็นภูมิแพ้ถือว่าไม่ยุ่งยากเหมือนกับวิถีการกินของผู้ป่วยที่เป็นโรคอื่นๆ โดยผู้ที่เป็นภูมิแพ้อาจต้องเลือกรับประทานอาหารที่ต้องคำนึงถึงฤทธิ์ร้อนและฤทธิ์เย็น เพราะถ้าร่างกายของเราไม่มีความสมดุล มีภาวะร้อนเกินหรือเย็นเกิน ร่างกายจะแสดงอาการป่วยและภาวะของโรคต่างๆ ออกมา

เมืองไทยเป็นประเทศเมืองร้อน คนส่วนใหญ่จะมีร่างกายในเชิงฤทธิ์ร้อนมากกว่าชาวตะวันตก ดังนั้นควรเลือกรับประทานประเภทฤทธิ์เย็น เช่น การทานผักผลไม้ สมุนไพร หรือน้ำพริก แต่ทว่าในปัจจุบันหลายๆ คนมักทานอาหารเลียนแบบชาวตะวันตก ชนิดที่ว่าเน้นเนื้อนมไข่ จำพวกแฮมเบอร์เกอร์ มันฝรั่งทอด ขนมเค้ก ซึ่งอาหารพวกนี้มีน้ำตาล และไขมันสูง ส่งผลให้ร่างกายเพิ่มความเป็นฤทธิ์ร้อนมากขึ้น โดยจะมีอาการที่แสดงออกทางรางกายจากภาวะเสียสมดุลเพราะมีความเป็นฤทธิ์ร้อนมากเกินไป เช่น หน้าแดง ตาขาวเริ่มมีสีแดง อุณหภูมิในร่างกายสูง และด้วยอาการดังกล่าวก็ส่งผลให้โอกาสที่จะเกิดผื่นคัน ภูมิแพ้ก็มีสูง

ทั้งนี้ โรคภูมิแพ้ซึ่งเป็นโรคซึ่งเกิดจากสภาวะร้อนภายในร่างกายมาก และเกิดการสะสมมานาน ผู้ป่วยจึงควรเร่งปรับสมดุลให้ร่างกายด้วยการรับประทานอาหารฤทธิ์เย็นอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง พร้อมทั้งหลีกเลี่ยงอาหารดังนี้คือ

อย่าได้แตะถ้าเป็นภูมิแพ้

หลีกเลี่ยงอาหารในกลุ่มที่มีคาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ
หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์จากนม เช่น เค้ก เบเกอรี่ ไอศกรีม ช็อกโกแลต
หลีกเลี่ยงสารเคมีปรุงแต่งอาหาร และสารปนเปื้อน เช่น ฟอร์มาลินในอาหารทะเล สีสังเคราะห์ สารกันบูด ผงชูรส ยาฆ่าแมลง
เลือกรับประทานผัก และผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ(Antioxidant) หรือยาธรรมชาติ ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้ ติดเชื้อง่าย
เลือกรับประทานอาหารที่ใช้น้ำมันไม่ผ่านความร้อน
ใช้เครื่องปรุงธรรมชาติ เช่น ซีอิ๊วหมักธรรมชาติ,มิโซะ, เต้าเจี้ยว, บ๊วยดอง, ขิง เป็นต้น
เมนูแนะนำเพื่อสู้ภูมิแพ้

เช้า สลัดไก่และน้ำมันมะกอก ซุปฟักทองราดน้ำมันงา ข้าวโพดต้ม 1 ฟัก น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อ

กลางวัน ข้าวกล้องโรยงาดำ ปลาแซลมอลนึ่งพร้อมผักออร์แกนิกและน้ำจิ้มแจ่ว น้ำส้มหรือน้ำฝรั่งคั้นสด กล้วยน้ำว้า 2 ลูก

เย็น ข้าวกล้อง แกงส้มปลาช่อน ยำใหญ่ใส่สารพัด น้ำถั่วเขียวต้มใส่ขิง เพื่อเพิ่มความร้อนให้แก่ร่างกายในฤดูหนาว

เมนูเสริม ต้มยำไก่บ้าน ปอเปี๊ยสดใส่กุ้ง แหนมเนือง โซบะน้ำใส่มิโซะหมู

เห็นหรือยังว่า บางครั้งการสู้กับโรคร้ายต่างๆ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือสารเคมีเสมอไป เพราะอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายสามารถทำให้คุณแข็งแรงและพร้อมสู้กับวันที่แสนวุ่นวาย


ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.infoติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #218 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2011, 02:13:57 PM »

 Smileyสวัสดีคะ

          ยิ้มวันล่ะนิด เพื่อสุขภาพ หัวเราะวันละหน่อย ห่างไกล โรคภัยไข้เจ็บ ก่อนจะเอาอะไรเข้าปาก think ก่อนที่จะกินเพื่อร่างกายของเราเอง ฝึกหัดการกิน เลือกอาหารที่มีประโยชน์ ฝืนๆๆบ้าง ไม่ตายหรอกคะ Blue ถ้าจะต้องกินผักสีเขียวมันไม่ได้ทำให้ตาคุณเขียวตามสักหน่อย เทวดา หรือกินแครอทแล้วคุณจะเปลี่ยนสีเป็นสีส้ม  Shocked ลองคิดดูระหว่างไปพักร้อนที่ The Hospital or ไปเดินเล่นชายหาด คุณเลือกเอา ฝืนๆๆกินบ้าง หัด ฝึกหัด ลอง ทดลอง เปลี่ยนวันนี้ที่บ้านคุณเองด้วยตัวคุณเอง หรือคุณอาจมีโอกาสไปเปลี่ยนที่โรงพยาบาลหรือไม่มีโอกาสที่จะเปลี่ยน เลือกสิ่งดีๆๆเพื่อตัวเราเองน่ะคะ ด้วยความห่วงใยสุขภาพทุกท่านคะ

                            have a good time kha
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 29, 2011, 02:23:14 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #219 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2011, 02:28:38 PM »

กินตามใจปาก...พาชีวิตเสี่ยงไม่รู้ตัว




กินตามใจปาก...พาชีวิตเสี่ยงไม่รู้ตัว (รักลูก)

โดย: มรกต เอื้อวงศ์ เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ คุณกฤษฎี โพธิทัต นักกำหนดอาหาร และข้อมูลจากงานวิจัย 10 บัญญัติสร้างลูกสมองดี โดย นพ.จอม ชุมช่วย, ดร.ดรุณี ลอว์สัน, พญ.จารุวรรณ กิตติโศภิษฐ์

          ใคร ๆ ก็รู้ว่าการกินอาหารดี ปรุงสุก สะอาด ครบ 5 หมู่จะทำให้สุขภาพดี แต่เรื่องง่าย ๆ เช่นนี้ เรากลับใส่ใจกันน้อย จนพาชีวิตเข้าไปเสี่ยงกับโรคโดยไม่รู้ตัว!
 
6 โรคร้ายจากการกิน

          ปัจจุบันเราพบโรคร้ายมากมายที่คร่าชีวิตผู้คนไปเป็นจำนวนมาก ซึ่งโรคเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการกินทั้งสิ้น โดยองค์การอนามัยโลกได้ระบุสาเหตุของการเสียชีวิตของผู้คนทั่วโลกในปี พ.ศ. 2548 ซึ่งพบว่ามีถึง 35 ล้านคนที่เสียชีวิตจากโรคเรื้อรัง ซึ่งมีแนวโน้มสูงขึ้น

          โดยโรคเรื้อรังที่ว่านี้ ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจเรื้อรัง และโรคเบาหวาน โรคเหล่านี้ล้วนมีสาเหตุมาจากการกิน ซึ่งเราไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
 
           1.โรคหัวใจและหลอดเลือด นับเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนในโลก จากสถิติพบว่าทุก ๆ 2 วินาทีจะมีผู้เสียชีวิตด้วยโรคนี้ 1 คน โดยสาเหตุหลักมาจากโรคหลอดเลือดแดงเข็ง ส่งผลให้เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคหลอดเลือดสมองอุดตัน และอัมพฤกษ์-อัมพาตอีกด้วย

          ปัจจัยหลักของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด มากจากการกินอาหารอย่างไม่ถูกหลักโภชนาการ เช่น การกินไขมันที่เป็นโทษต่อร่างกาย กินของมัน ของทอด ไม่กินผักและผลไม้ เป็นต้น
 
           2.โรคมะเร็ง ปัจจุบันมีการพบสารพิษปนเปื้อนและตกค้างในอาหารเป็นจำนวนมาก อาทิ สารตกค้างในผักผลไม้ ที่ปนเปื้อนไปด้วยยาฆ่าแมลง เนื้อสัตว์ที่เต็มไปด้วยสารเร่งเนื้อ เร่งโต ฯลฯ ล้วนก่อให้เกิดมะเร็งได้ทั้งสิ้น
 
           3.โรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งเกิดจากระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอตั้งแต่วัยเด็ก และสะสมมาเรื่อย ๆ จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ และกลายเป็นโรคเรื้อรัง เนื่องจากไม่ได้กินนมแม่ รวมถึงไม่ได้กินอาหารที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน
 
           4. กระดูกเปราะ ฟันผุ การกินน้ำตาลมากเกินไป ทำให้เกิดโรคกระดูกเปราะและฟันผุ พบเด็กไทยอายุต่ำกว่า 3 ขวบ มีปัญหาฟันผุสูงขึ้น และยังทำให้ขาดสมาธิ อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวง่าย ติดเชื้อโรคได้ง่าย เพราะน้ำตาลเป็นอาหารของเชื้อโรคทุกชนิด
 
           5.โรคอ้วน แม้พันธุกรรมจะเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งของโรคอ้วน แต่สาเหตุที่ใกล้ตัวอย่างการกินอาหารที่มากเกินไป กินอย่างไม่ถูกหลักโภชนาการ หรือไม่มีความรู้เรื่องโภชนาการอย่างเพียงพอ เช่น เข้าใจว่าดื่มนมเปรี้ยวแล้วไม่อ้วน
 
           6.โรคเบาหวาน จากการกินขนมหวาน ผลไม้ที่มีรสหวานจัด ดื่มน้ำหวาน น้ำอัดลม เหล้า เบียร์ ในปี 2551 พบว่าในประเทศไทยมีผู้ป่วยเบาหวานรายใหม่ 388,551 ราย เสียชีวิต 7,725 ราย และผู้ป่วยเกือบ 50% ยังไม่รู้ตัวว่าตนเองเป็นเบาหวาน
 
          ดิฉันเชื่อว่า มีผู้ใหญ่จำนวนไม่น้อยที่มีอุปนิสัยการกินไม่ต่างจากเด็ก ๆ บางทีอาจเป็นตัวอย่างโดยไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเป็นการกินอาหารฟาสต์ฟู้ดส์ ขนมกรุบกรอบ ดื่มน้ำหวานและน้ำอัดลมต่าง ๆ ไม่กินผักและผลไม้ การกินอาหารที่ไม่ถูกหลักโภชนาการ บวกกับการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ ขาดการออกกำลังกาย พักผ่อนไม่เพียงพอ ทำให้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เกิดปัญหาสุขภาพและเป็นโรคร้ายต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา

          เห็นไหมคะว่า เรื่องธรรมดา ๆ อย่างการกิน อาจไม่ใช่แค่เรื่องธรรมดาอย่างที่คิด เพราะมีผลกับชีวิตโดยตรงค่ะ



คิดก่อนกิน

          อาหารที่เรากินแบ่งเป็น 2 ประเภท ซึ่งเราควรรู้เพื่อใช้เป็นหลักในการปรุงอาหารค่ะ

           1. อาหารหลัก สมาคมนักกำหนดอาหาร แบ่งหมวดหมู่ของอาหารไว้ดังนี้

           ข้าว แป้ง รวมไปถึงเส้นก๋วยเตี๋ยว ผักที่มีปริมาณแป้งสูง เช่น เผือก มัน ฟักทอง ข้าวโพด ธัญพืชต่าง ๆ อย่างลูกเดือย ถั่วเขียว ถั่วแดง ซึ่งจะให้พลังงานและสารอาหารสูงมาก น้ำตาลก็จัดอยู่ในหมวดนี้ด้วยค่ะ
 
           เนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมถึงปลา ไข่ เต้าหู้ ถั่วต่าง ๆ อาหารกลุ่มนี้จะให้โปรตีนในปริมาณสูง ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นเด็กเล็ก วัยเรียนหรือวัยรุ่นก็ตาม และยังช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและให้พลังงานสำหรับวัยผู้ใหญ่อีกด้วย
 
           ผัก ผลไม้ ซึ่งให้พลังงานต่างกัน แต่ทั้งผักและผลไม้ล้วนมีสารอาหารพวกวิตามินและเกลือแร่มากมาย และยังให้สารอาหารคล้าย ๆ กัน แต่ผลไม้จะให้น้ำตาลสูงกว่า น้ำผลไม้ก็จัดอยู่ในกลุ่มผลไม้เช่นเดียวกัน
 
           นม หลายคนอาจคิดว่านมมีโปรตีนสูง จึงสามารถดื่มเพื่อทดแทนการกินเนื้อสัตว์ได้ แต่ความจริงแล้วอยู่คนละกลุ่มกันค่ะ เพราะสารอาหารที่อยู่ในเนื้อสัตว์จะไม่ได้อยู่ในนม เช่น ธาตุเหล็ก ซึ่งพบมากในเนื้อสัตว์แต่ไม่มีในนม เป็นต้น แต่ในนมจะมีแคลเซียมสูง
 
           ไขมัน รวมถึงน้ำมันทุกชนิด ทั้งจากสัตว์และพืชต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นถั่วเมล็ดแห้ง เช่น ถั่วง เม็ดมะม่วง งา อะโวคาโด เป็นต้น
 
           2. อาหารว่าง จัดเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ค่ะ โดยเฉพาะวัยเด็กที่ต้องการพลังงานและสารอาหารที่ช่วยในการเจริญเติบโต อาหารว่างและขนมต่าง ๆ จึงมีบทบาทสำคัญ ที่จะช่วยเสริมให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีคุณค่าที่จำเป็นต่อร่างกาย
 
          ในอาหารมื้อหลักแต่ละมื้อเด็กอาจกินได้ไม่มาก เพราะกระเพาะอาหารยังเล็ก เด็กจึงควรกินอาหารทุก 3 ชั่วโมง โดยอาหารว่างของเด็กไม่จำเป็นต้องเป็นขนมไปหมดทุกอย่างนะคะ คุณพ่อคุณแม่อาจให้เขาดื่มนม กินแซนวิชที่ทำจากขนมปังโฮลวีตและมีส่วนผสมของผัก หรือจัดเป็นผลไม้ให้ก็ได้ค่ะ
 
          ส่วนผู้ใหญ่วัยทำงาน ก็ต้องแล้วแต่วิถีปฏิบัติของแต่ละคนค่ะ หากคุณนั่งโต๊ะทำงานทั้งวัน อาหารว่างก็ไม่มีความจำเป็นมากนัก และยิ่งถ้าอาหารว่างของคุณเป็นพวกขนมกรุบกรอบ หรือมันฝรั่งทอด ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมก่อนที่จะสายเกินแก้นะคะ เพราะข้อมูลจากมูลนิธิโรคหัวใจ ประเทศอังกฤษพบว่า คนที่กินมันฝรั่งทอดหรือขนมขบเคี้ยวเป็นประจำทุกวัน วันละ 1 ถุง เท่ากับกินน้ำมันพืชเข้าไปปีละ 5 ลิตร ซึ่งไม่ส่งผลดีต่อสุขภาพแน่ ๆ ค่ะ
 
          ดังนั้น หากรู้สึกหิวก็ควรใช้หลักการเดียวกันกับการจัดอาหารว่างสำหรับเด็ก คือเลือกอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผลไม้ นม ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
 
          คุณแม่ท้องก็ควรกินอาหารว่างด้วยนะคะ ปกติคุณแม่ท้องส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องกรดไหลย้อน และอาการแน่นท้องจากการกินมื้อหลัก คุณแม่จึงควรแบ่งอาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ โดยกินทุก 3-4 ชั่วโมงจะดีกว่าค่ะ
 
อาหารกับชีวิต

          อวัยวะและระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายเรา จะทำงานได้อย่างปกติ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการได้รับอาหารที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการเจริญเติบโตของร่างกาย การทำงานของสมอง รวมไปถึงเรื่อง sex ด้วยค่ะ
 
อาหารดี...เติบโตดี

          เด็กที่กินอาหารดี หมายถึง ได้รับอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนในปริมาณที่เพียงพอ ร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ จะทำให้เติบโตสมวัย ร่างกายจะสูงไม่แคระแกร็น ในทางกลับกันหากลูกกินอาหารไม่มีประโยชน์ ไม่ออกกำลังกาย ก็อาจจะเตี้ยและอ้วน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ส่วนหนึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับกรรมพันธุ์ด้วยค่ะ
 
          สำหรับผู้ใหญ่วัยทำงาน นอกจากอาหารจะช่วยให้พลังงานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอของร่างกายแล้ว ยังส่งผลกับน้ำหนักและปัญหาสุขภาพอย่างเห็นได้ชัดค่ะ เนื่องจากอายุที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายเริ่มลดลง กิจกรรมที่ต้องเคลื่อนไหวก็น้อยลงกว่าสมัยเป็นเด็กหรือวัยรุ่น เพราะวัน ๆ นั่งแต่ที่โต๊ะทำงาน บางวันอาจมีสังสรรค์กับเพื่อน บวกกับการไม่ออกกำลังกาย ให้น้ำหนักตัวก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถ้าไม่ดูแลตัวเอง โรคภัยไข้เจ็บก็จะตามมา
 
          หยุดกินตามใจปาก ถ้าไม่อยากจากคนที่รักไปก่อนวัยอันควรนะคะ
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #220 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2011, 02:31:06 PM »

หลากคุณประโยชน์ต้านโรค...จากอาหารอีสาน



หลากคุณประโยชน์ต้านโรค...จากอาหารอีสาน (ไทยโพสต์)

          เมื่อพูดถึง "อาหารอีสาน" หลายคนนึกถึงเรื่องของความอร่อยและรสชาติที่จัดจ้านถึงใจ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีทั้งในหมู่คนไทยและคนต่างชาติ แต่จะมีใครที่ตระหนักรู้ว่า อาหารแซ่บอย่างอาหารอีสานนั้นมีคุณค่าสารอาหารครบครัน ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามินและเกลือแร่ ในขณะที่มีไขมันต่ำ ที่สำคัญอาหารอีสานนั้นยังช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ ได้ เพราะส่วนใหญ่เครื่องปรุงและเครื่องเคียงต่างๆ มาจากผักอีสานนานาชนิด

          โดยอาจารย์อรทัย เหรียญทิพยะสกุล อาจารย์ประจำคณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต เผยว่า ในปัจจุบันทุกคนหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพของตนเองกันมากขึ้น ดังนั้นเมนูอาหารอีสานเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ เพราะแต่ละเมนูมักจะมีเครื่องเคียงที่เป็นผักพื้นบ้านที่หาได้ตามท้องถิ่น มาเป็นส่วนประกอบบนโต๊ะอาหาร ไม่ว่าจะเป็นส้มตำ ลาบหรือน้ำตก

          แต่มีน้อยคนนักที่จะทราบว่าผักพื้นบ้านอีสานหลายชนิดให้คุณค่าทางโภชนาการ ตลอดจนประกอบไปด้วยเส้นใยอาหารสูงและไขมันต่ำ ที่สำคัญช่วยในเรื่องการควบคุมน้ำหนัก ลดอัตราความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง อีกทั้งยังช่วยเพิ่มรสชาติในอาหารอีกด้วย อาจารย์อรทัยจึงได้แนะนำเมนูอาหารพื้นบ้านอีสานแบบง่าย ๆ ที่มีสรรพคุณทั้งเป็นยารักษาโรคและเป็นแหล่งอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการมากมาย เช่น

 ต้มไก่ยอดหม่อน

          มีสรรพคุณตั้งแต่รากจรดใบ เนื่องจาก "ต้นหม่อน" นับว่าเป็นพืชอีสานพื้นบ้านที่มีคุณประโยชน์มากมายตั้งแต่ราก ใบ กิ่ง และผล นอกจากใช้ใบในการเลี้ยงหนอนไหมแล้ว ก็ยังสามารถนำมาปรุงอาหารรสอร่อยถึงใจให้หลาย ๆ คนได้ลิ้มลอง อย่างเมนู "ต้มไก่ยอดหม่อน" ที่ใครได้ลิ้มรสแล้วรับรองต้องติดใจในรส "นัว" หรือรสเข้มข้นจากน้ำซุปร้อน ๆ หอมกลิ่นเครื่องเทศ และชูโรงด้วย "ใบหม่อน" และเมนูนี้นับว่าเป็นหนึ่งในเมนูสุขภาพ เพราะมีคุณค่าสารอาหารอยู่มากมายจากส่วนเครื่องปรุงต่าง ๆ อาทิ "ยอดหม่อน" มีคุณสมบัติที่ช่วยบำรุงสายตา แถม "ใบหม่อน" ยังช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด และความดันโลหิต พร้อมทั้งยังเป็นเมนูช่วยควบคุมน้ำหนัก สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการลดความอ้วน เพราะมีไขมันจากเนื้อสัตว์น้อยและไม่ใช้น้ำมันในการปรุงอาหาร

          นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณช่วยขับลม โดยเฉพาะเครื่องเทศอย่าง พริก หอม กระเทียม ข่า หัวสิงไค (ตะไคร้) ใบบักอีเว่อ (ใบมะกรูด) บักโป้งเล็น (มะเขือเทศ) บักขาม (มะขาม) ผักอีตู่ นอกจากนี้ส่วนอื่น ๆ ของต้นหม่อนยังสามารถนำมาแก้โรคต่างๆ ได้อีก อาทิ "กิ่งหม่อน" ช่วยให้เลือดไหลเวียนสะดวก ลำไส้ทำงานได้ดี รักษาอาการปวดมือ เท้าเป็นตะคริว เหน็บชา "ลูกหม่อน" รักษาโรคไขข้อ บำรุงหัวใจ บำรุงผมให้ดกดำ และ "รากหม่อน" ลดปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด รวมทั้งรักษาโรคเบาหวานได้

 แจ่วบอง

          หรือน้ำพริก ที่ถือได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ของอาหารอีสาน ซึ่งวิธีการทำก็ไม่ยุ่งยากเพียงใช้ปลาร้าปรุงสุกสับให้ละเอียด คลุกเคล้าเข้ากับเครื่องเทศพื้นบ้านที่หาได้ในครัวเรือน อาทิ พริก หอมแดง กระเทียม ข่า หัวสิงไค (ตะไคร้) ใบบักอีเว่อ (ใบมะกรูด) บักโป้งเล็น (มะเขือเทศ) หรือมะขามเปียก เพียงแค่นี้ก็จะได้น้ำพริกรสแซ่บ ซึ่งมีสรรพคุณช่วยเจริญอาหาร แถมช่วยขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ นิยมรับประทานพร้อมกับผักเคียง อาทิ มะเขือเปราะ ถั่วฝักยาว กะหล่ำปลี แตงค้าง (แตงกวา) ยอดบักอึ (ยอดฟักทอง) หรือเนื้อย่าง ปลาย่าง เป็นต้น

 ซุปบักมี่ หรือซุปขนุน

          อีกหนึ่งเมนูอาหารอีสานที่ให้คุณค่าทางโภชนาการสูง เพราะอุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตและวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา แก้กระหายน้ำ คลายร้อน และช่วยในการย่อยอาหาร

          วิธีการทำไม่ยุ่งยากเพียงแค่นำขนุนอ่อนมาปอกเปลือก หั่นแว่นไปต้มให้สุก แล้วนำมาโขลกให้ละเอียดเพื่อให้เข้าเครื่องกับพริก หอมแดง กระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำปลาร้า ปลาย่างป่น พริกป่น งาขาว งาดำคั่วละเอียด น้ำปลา พร้อมโรยหน้าด้วยผักบั่ว (ต้นหอม) ผักอีหล่า (สะระแหน่) ผักชีหอม ผักหอมเป (ผักชีฝรั่ง) ผักแพว

 อ่อมหอย หรือ แกงคั่วหอยขม

          แกงอีสานน้ำขลุกขลิกชนิดนี้มีสรรพคุณช่วยต้านริ้วรอยจากอนุมูลอิสระ ต้านโรคหวัด บำรุงสายตา ซึ่งวิธีการทำก็ง่าย ๆ เพียงใส่ผักอีสานนานาชนิดในหม้อต้มพร้อมกันทั้งพริก หอมแดง กระเทียม ข่า หัวสิงไค (ตะไคร้) ใบบักอีเว่อ (ใบมะกรูด) ผักอีเลิด (ชะพลู) และผักบั่ว (ต้นหอม) และผักไฮไลต์อย่างใบชะพลูและผักหวานที่อุดมด้วยวิตามินซีและเบต้าแคโรทีนสูง จากนั้นใส่หอยขมที่มีโปรตีนสูง และหาได้ง่ายตามห้วยหนองคลองบึง เพียงเท่านี้เราก็ได้เมนูอาหารอีสานต้านโรคหวัด แถมชะลอริ้วรอยได้ง่าย ๆ แล้ว

          อ่านแล้วก็รู้สึกเปรี้ยวปากอยากทานขึ้นมาทันทีเลย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #221 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 01:36:12 PM »

ชีวิตนี้ อย่าให้ขาด...น้ำ



ชีวิตนี้อย่าให้ขาดน้ำ (e-magazine)

          "70 เปอร์เซ็นต์ ของร่างกายคนเราประกอบด้วยน้ำ"       

          จากข้อความข้างต้น น่าจะทำให้เราเห็นความสำคัญของน้ำเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ทุกหนแห่ง

          น้ำในร่างกายแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ น้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์ 60 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่นอกเซลล์ประมาณ 30 เปอร์เซ็นต์ และที่อยู่ในเนื้อเยื่อ หรือเลือดอีก 10 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งทำให้มนุษย์ต้องการน้ำตกวันละประมาณ 2–3 ลิตร โดยจะมีการขับน้ำออกจากร่างกายในลักษณะของปัสสาวะ เหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจ ซึ่งจะขับออกทางปัสสาวะวันละประมาณครึ่งลิตร ถึง 2.3 ลิตร

 น้ำทำหน้าที่อะไร?         

          หน้าที่ของน้ำในร่างกายนั้นมีมากมาย ทั้งช่วยย่อยอาหาร ละลายสารอาหารและออกซิเจน เพื่อขนส่งให้เซลล์ต่าง ๆ นับล้าน ๆ เซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยให้หัวใจทำงานได้ปกติ ใบหน้าชุ่มชื้นดูมีเลือดฝาด ทำให้เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงร่างกาย ละลายสารพิษเพื่อขับออกจากร่างกาย ทำให้ผิวพรรณสดใสไม่แห้งกร้าน ทำให้ข้อเคลื่อนไหวได้สะดวก

 จะเกิดอะไรขึ้นถ้าขาดน้ำ

          ถ้าร่างกายขาดน้ำ หรือดื่มน้ำไม่เพียงพอส่งผลให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เพราะร่างกายต้องดึงน้ำจากส่วนต่าง ๆ มาใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลให้เลือดข้น ระบบไหลเวียนของเหลวในร่างกายผิดปกติ ผิวพรรณหยาบกร้าน ไตทำงานหนัก ส่งผลให้ปวดศีรษะ เป็นตะคริว ความดันสูง เกิดอาการบวมน้ำ ฯลฯ

          การดื่มน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวันจะช่วยให้ไตทำงานได้ดี และช่วยให้ตับกำจัดไขมันได้อย่างเต็มที่ โดยไต คืออวัยวะที่หลายคนไม่ค่อยนึกถึง แต่มันกลับต้องทำหน้าที่สำคัญในการกำจัดสารพิษต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเกิดจากกระบวนการทำงานภายในเซลล์ เช่น ยูเรีย และกรดยูริก ดูดสารอาหารที่มีประโยชน์กลับคืนเข้าสู่ร่างกาย เช่น กลูโคส กรดอะมิโน ฯลฯ

          นอกจากนี้ ไตยังช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด ด่าง ของของเหลวในร่างกาย สามารถกำจัดส่วนเกินของแร่ธาตุบางตัว เช่น โพแทสเซียมไอออน, โซเดียมไอออน, รวมทั้งสังเคราะห์กลูโคสจากกรดอะมิโนหรือจากสารชนิดอื่น ๆ โดยกำจัดของเสียเหล่านี้ออกทางปัสสาวะ และยังทำหน้าที่สร้างฮอร์โมนอีรีโทรโปรอีติน (กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดง) และวิตามินดีที่มีหน้าที่รับแคลเซียมในเลือดเพื่อช่วงป้องกันโรคกระดูกเสื่อม

          ดังนั้น ถ้าไตไม่สามารถทำงานได้ดีถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ อาจส่งผลทำให้ตับต้องทำงานหนักขึ้น และเผาผลาญไขมันได้น้อยลง ทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมันมากขึ้นอีกด้วย (หน้าที่หลักของตับ คือช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกายให้เกิดเป็นพลังงาน)



ประโยชน์จากน้ำ

          น้ำสามารถให้ผิวพรรณดูอ่อนนุ่ม สดใส ชุ่มชื้น ไม่เหี่ยวย่น ดวงตาดูสดใส เส้นผมดูเงางามมีประกาย ช่วยลดกลิ่นปาก ช่วยลดปัญหาท้องผูก และที่สำคัณน้ำยังช่วยชะลอความแก่ เนื่องจากถ้าเซลล์ในร่างกายขาดน้ำเรื้อรัง และมีอนุมูลอิสระจะทำให้เซลล์เสื่อมสภาพลงทำให้ดูแก่ขึ้น น้ำช่วยลดอาการปวดตามข้อ ปวดหลัง ช่วยลดความดันโลหิต เร่งการขับสารพิษ และของเสียออกจากร่างกาย

          นอกจากนี้ น้ำยังช่วยให้สมองทำงานได้ดีขึ้น เพราะ 85 เปอร์เซ็นต์ ของสมองมีองค์ประกอบเป็นน้ำ การดื่มน้ำทีให้เพียงพอจะช่วยให้สมองทำงานได้ดี และเฉียบแหลม

 น้ำแต่ละชนิด

          ในโลกของเรามีน้ำอยู่มากมาย ซึ่งน้ำแต่ละชนิดก็มีประโยชน์และที่มาแตกต่างกันไป ดังนั้นก่อนจะต้องดื่มหรือใช้น้ำ คุณก็ควรทำความรู้จักกับน้ำแต่ละชนิดเสียซะก่อน

          น้ำประปา ในต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น อังกฤษ ฯลฯ การดื่มน้ำประปาถือเป็นเรื่องปกติ ส่วนน้ำประปาในประเทศไทยก็สามารถดื่มได้อย่างปลอดภัยเช่นกัน เพราะผ่านการผลิตและควบคุมคุณภาพตามมาตรฐานขององค์การอนามัยโลก 

          หากต้องการดื่มน้ำประปา ท่อน้ำในบ้านควรจะเป็นท่อเหล็กที่อายุการใช้งานไม่นานเกิน 5 ปี หรือท่อพลาสติก เนื่องจากท่อเหล่านี้จะยังไม่เป็นสนิม แต่ถ้าต้องการลดกลิ่นคลอรีนก็สามารถนำมาต้ม การต้มนอกจากจะลดกลิ่นดังกล่าวแล้วยังช่วยฆ่าเชื้อโรค และลดความกระด้างของน้ำลง

          น้ำดื่มบรรจุขวดที่ขายอยู่ตามท้องตลาด มักมาจากแหล่งน้ำบาดาล และน้ำประปา โดยผ่านการกรองเพื่อดูดกลิ่น และผ่านเรซิน เพื่อลดความกระด้างของน้ำ โดยมีขั้นตอนสุดท้ายคือการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ด้วยการผ่านรังสีอุลต้าไวโอเลต 

          สำหรับน้ำธรรมชาติ ก็มีจากหลากหลายแหล่งที่มา เช่น น้ำใต้ดิน น้ำพุ น้ำแร่ ฯลฯ ซึ่งน้ำธรรมชาติที่นำมาดื่มกันนั้นมี

           1.น้ำแร่ชนิดเติมคาร์บอเนต คือ น้ำแร่ที่มีการเติมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงไป

           2.น้ำแร่ชนิดไม่มีคาร์บอเนต คือ น้ำแร่ที่ไม่มีก๊าซคาร์บอนไดมากจนทำให้เกลือไฮโดรเจนคาร์บอเนตที่อยู่ในน้ำละละลาย

           3.น้ำแร่ชนิดขจัดคาร์บอเนต คือ น้ำแร่ที่มีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยกว่า ที่มีอยู่ในแหล่งน้ำธรรมชาติหลังจากการบรรจุขวด

           4. น้ำแร่ชนิดเติมคาร์บอนไดออกไซต์จากแหล่งกำเนิด คือ น้ำแร่ที่มีการเติมก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และมีปริมาณก๊าซมากกว่าแหล่งธรรมชาติ 

          น้ำแร่ที่ถูกต้องตามมาตรฐานอุตสาหกรรมจะต้องใส ไม่มีตะกอน ไม่มีกลิ่น ไม่มีสี ไม่มีจุลินทรีย์ที่ทำให้เกิดโรค มีแร่ธาตุไม่เกินที่กำหนดไว้ในมาตรฐาน มอก.2208 – 2547 ซึ่งการจะดื่มน้ำแร่ก็ควรพิจารณาสภาพความเป็นกรด ด่าง มีแร่ธาตุที่เหมาะสมกับร่างกายเราหรือไม่ เช่น เด็กเล็กไม่ควรดื่มน้ำแร่ที่มีปริมาณธาตุเหล็กสูงเกิน 5 มิลลิกรัม / 1 ลูกบาศก์เดซิเมตร

          การดื่มน้ำที่มีความเป็นกรด ด่างมากเกินไปเป็นประจำอาจทำให้ร่างกายเสียสมดุล ปริมาณโซเดียมคลอไรด์ที่สูงเกิน 1,000 มิลลิกรัม / 1 ลูกบาศก์เดซิเมตร ไม่เหมาะกับผู้มีความดันเลือดสูง หรือผู้ป่วยโรคไต สตรีมีครรภ์ และเด็กไม่ควรดื่มน้ำที่มีปริมาณซัลเฟตสูงเกิน 600 มิลลิกรัม / 1 ลูกบาศก์เซนติเมตร เนื่องจากอาจทำให้ถ่ายท้อง



มาดื่มน้ำกันเถอะ

          การดื่มน้ำ ควรดื่มวันละประมาณ 2–3 ลิตร โดยตอนเช้าควรดื่มน้ำอุ่นทันที 2 แก้ว เพื่อช่วยให้ถ่ายอุจจาระได้ดี ในระหว่างวันควรดื่มน้ำทันทีเมื่อเริ่มรู้สึกคอแห้ง และไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้วก่อนรับประทานอาหาร 15 นาที และภายใน 40 นาทีหลังมื้ออาหาร เนื่องจากทำให้น้ำย่อยเจือจางลง ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหาร

          ทั้งนี้ ควรดื่มน้ำทีละนิดระหว่างวัน จิบครั้งละ 2–3 อึก แต่จิบบ่อยครั้งไปตลอดทั้งวัน การดื่มน้ำครั้งละมาก ๆ ทำให้ร่างกายดูดซึมไม่ทัน และขับออกมาเป็นปัสสาวะ ดังนั้นถึงจะดื่มน้ำเป็นปริมาณมากก็ยังรู้สึกหิวน้ำ

          นอกจากน้ำจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ผิวพรรณสดใสแล้ว เสียงของน้ำ เช่น เสียงฝน หรือเสียงที่มีการเคลื่อนไหวของน้ำและตกกระทบของแข็งช่วยรู้สึกผ่อนคลาย สงบ และมีสมาธิ ในเมื่อน้ำมีประโยชน์ต่าง ๆ มากมาก หลังจบบทความนี้ ลองถามตัวเองสิว่า วันนี้คุณดื่มน้ำแล้วหรือยัง???

ลิขสิทธิ์บทความของ e-magazine.info
ติดตามบทความ สุขภาพ หรืออ่าน แมกกาซีน

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #222 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 01:40:03 PM »

หน้าฝน...เท้าก็หน้าห่วง



หน้าฝน...เท้าก็หน้าห่วง (Hair)

          ฤดูฝนน่าจะเป็นช่วงที่สาว ๆ ผู้ห่วงใยสุขภาพและความงามของเท้าไม่ชอบมากที่สุด วันไหนโชคร้ายเจอฝนตก เจอน้ำเจิ่งนองเข้าไปอาจได้รับเชื้อโรคที่มาพร้อมความชื้นแฉะเป็นของแถมได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพิถีพิถันกับการดูแลอวัยวะส่วนนี้กันเป็นพิเศษด้วยวิธีดังนี้

           1.ล้างเท้าให้สะอาดด้วยการแช่น้ำสบู่อ่อน ๆ ประมาณ 10 นาทีทุกวัน เวลาอาบน้ำ ถูเบา ๆ ตามซอกเท้าและง่ามนิ้ว เช็ดให้แห้ง แล้วทาแป้งฝุ่น

           2.ถ้าเท้ามีกลิ่น ใช้วิธีง่าย ๆ ด้วยการต้มน้ำ 1 ลิตรกับชา 3-4 ถุง แล้วผสมน้ำเย็นให้อุ่น แช่เท้า 20-30 นาที วันละสองครั้ง

           3.เมื่อกลิ่นเท้าจางลง ค่อยลดลงเหลือสัปดาห์ละสองครั้ง หรือจะลองอีกสูตร คือ ใช้ตะไคร้ ข่า มะกรูด อบเชย ทองพันชั่ง บดรวมกันแล้วหยด น้ำมันกานพลู และน้ำมันตะไคร้ลงผสมให้เข้ากัน แล้วนำผงสมุนไพร ใส่ถุงผ้า ใส่น้ำอุ่น มะกรูดสดผ่าครึ่ง แล้วแช่เท้านาน 5-10 นาที สูตรนี้ นอกจากจะช่วยกำจัดกลิ่นเท้าแล้ว ยังช่วยให้ผิวนุ่มช่วยถนอมผิวอีกด้วย

           4.ถ้าต้องย่ำน้ำ ไม่ควรเดินเท้าเปล่าเด็ดขาด เพราะอาจเกิดบาดแผลจนเป็นช่องทางให้เชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายได้ และเมื่อพ้นเขตน้ำท่วมแล้ว ควรรีบล้างเท้าให้สะอาดทันที ถ้ามีอาการคันผิวหนังควรทายาแก้คัน

           5.รองเท้าที่เปียกน้ำ ควรนำไปตากแดดให้แห้งสนิท ถ้าล้างให้สะอาดได้จะยิ่งดีมาก


          เพียงเท่านี้ เท้าคู่ที่คุณแสนรักแสนหวงก็จะมีสุขภาพดีตลอดฝนนี้




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #223 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 01:45:27 PM »

กินไข่..แค่ไหน? ถึงดีพอ



กินไข่..แค่ไหน? ถึงดีพอ (Woman's Story)

          ไข่มีโปรตีนที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย แต่จะกินไข่ในปริมาณมากน้อยแค่ไหนถึงจะดีพอ และไม่ส่งผลร้ายต่อร่างกายของเราไปติดตามกันค่ะ...

 บริโภคไข่น้อยกว่า 3 ฟองต่อสัปดาห์

          กินไข่น้อยกว่า 3 ฟองใน 1 สัปดาห์ถือว่าไม่เพียงพอ เพราะการกินไข่ในปริมาณที่น้อยเกินไป หรือไม่กินไข่เลย อาจส่งผลเสียต่อเส้นประสาทสมองได้ โดยในไข่ 1 ฟอง จะมีปริมาณวิตามินบี 12 ซึ่งดีต่อร่างกาย ซึ่งวิตามินบี 12 จำเป็นต่อการสร้างเยื่อหุ้มป้องกันเส้นใย และถ้าขาดวิตามิน เส้นใยประสาทอาจถูกทำลายจนฟื้นฟูกลับคืนมาไม่ได้ อีกทั้งไข่ยังดีต่อสายตาอีกด้วย

          การทานไข่อย่างน้อย 3 ฟองต่อสัปดาห์จะช่วยป้องกันภาวะสูญเสียสายตาที่มักเกิดขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้นได้ เนื่องจากสารลูทีนและซีแซนทีน ซึ่งเป็นสารในตระกูลแคโรทีนอยด์ ในไข่แดงจะช่วยบำรุงจอประสาทตานั่นเอง


 บริโภคไข่ 6 ฟอง ต่อสัปดาห์

          ใน 1 สัปดาห์ หากสามารถกินไข่ได้ 6 ฟอง ถือว่าพอดี เพราะไข่จะช่วยให้ร่างกายคุณดูดซึมแคลเซียมได้ดี และยังช่วยลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคกระดูกพรุน แถมปริมาณสารซีลีเนียมและวิตามินอี ในไข่ยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกทั้งยังช่วยให้มีรูปร่างดี ป้องกันไม่ให้หุ่นกลมเหมือนไข่อีกด้วย

          โปรตีนในไข่จะทำให้รู้สึกอิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ และยังทำให้ลดปริมาณมื้อเที่ยงที่ทานโดยเฉลี่ยได้อีก 164 แคลอรี และการทานไข่วันละ 3 ฟอง เป็นเวลา 2 วัน ต่อสัปดาห์ จะช่วยหนุ่มนักเล่นเวททั้งหลายสร้างกล้ามเนื้อที่ปราศจากไขมันได้ เป็น 2 เท่า ในช่วงเวลา 12 สัปดาห์

          ไข่ถือว่ามีผลน้อยมากต่อการเพิ่มระดับคอเลสเตอรอลในเลือด เมื่อเทียบกับปริมาณไขมันอิ่มตัว อีกทั้งมีการวิจัยพบว่าการทานไข่ช่วยลดคอเลสเตอรอล LDL (ไม่ดี) เพิ่มคอเลสเตอรอล HDL (ดี) และลดปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคหัวใจวาย หรือโรคหลอดเลือดสมองได้



อย่างไรก็ตาม ไข่ที่ให้ผลดีต่อร่างกาย อาจส่งผลร้ายได้เหมือนกัน หากทานมากกว่า 1 ฟองต่อวันติดกันทุกวันในขณะที่การทานไข่สูงสุด 6 ฟองต่อสัปดาห์ไม่ได้ทำให้มีอันตรายถึงชีวิต แต่หากทานไข่ 7 ฟองหรือมากกว่านั้นภายใน 1 สัปดาห์ จะไปเพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้ 23 เปอร์เซ็นต์ และที่สำคัญคือสำหรับหนุ่มที่เป็นเบาหวานอยู่แล้ว ไข่อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตได้

          เพื่อสุขภาพที่ดีและแข็งแรง ควรเลือกทานอาหารที่ดี มีประโยชน์ และต้องทานในปริมาณที่เหมาะสมด้วยนะคะ แล้วก็อย่าลืมออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไปพร้อม ๆ กันด้วย จะได้แข็งแรงห่างไกลโรคภัยค่ะ

ขอขอบคุณ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #224 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2011, 02:12:17 PM »

ทายนิสัยจากการกินไอติม



 
อย่าบอกนะว่าคุณไม่เคยทานไอศครีม เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นวัยรุ่น

รุ่นแรกหรือรุ่นล่าสุดคุณก็คงเคยทานไอศครีมหวาน ๆ เย็น ๆ ให้คลายร้อนอยู่แล้วล่ะนะ รู้หรือเปล่าว่าลีลาการทานน่ะ บ่งบอกนิสัยได้ด้วยน๊า... แต่ละคนก็แต่ละลีลา ถ้าคุณยังไม่แน่ใจก็หาซื้อไอศครีมโคน หรือไอติมแท่ง มาทานดูสิ แล้วดูลีลาของคุณเองว่าเป็นยังไง จากนั้นก็ไปแอบดูลีลาของเพื่อน ๆ ได้เลย


ทานคำแรกด้วยวิธี " กัด "
ไม่ว่าจะกัดไอติมหรือกรวยของไอติมก่อนคุณเป็นคนที่มีลักษณะนิสัยโผงผาโวยวาย เอาแต่ใจตัว และค่อนข้างดื้อรั้น บางครั้งก็ชอบความรุนแรง การได้เด่นกว่าผู้อื่น ชอบทำงานและซื่อตรงน่าคบหาเป็นเพื่อน หรือคู่รักที่เชื่อถือได้เลยล่ะ

ทานแบบ " ดูด " และ " ขบ "
ค่อย ๆ ดูด และขบริม ๆ ขอบ ๆ ไปเรื่อย ๆ บ่งบอกถึงการเป็นคนที่ ไม่ชอบชนกับปัญหาและแคร์กับปัญหาต่าง ๆ ว่าแก้ไขแล้วจะดีขึ้นหรือไม่ เป็นคนช่างระมัดระวัง รอบคอบ บางครั้งก็ดึงตัวเองออกจากความวุ่นวาย โดยไม่แคร์เพื่อน และ บางครั้งก็แก้ปัญหาได้ดีนอกจากนี้ยังเป็นคนอ่อนไหวและเอื้ออารี

ทานแบบ " เลีย "
มากกว่าวิธีอื่นการทานไอศครีม 1 โคน หรือ 1 แท่งมันก็ต้องใช้หลายวิธี แต่ถ้าคุณ หนักเลียมากกว่าลีลาอื่น ก็แสดงว่าคุณเป็นคนปราดเปรียว ไม่เฉื่อยชา เฉยนิ่ง ชอบสังคม ชอบเรื่องท้าทาย และอยากให้ผู้คนสนใจ รักการได้รื่นเริงเฮฮาปาร์ตี้ กระตือรือร้น และทะเยอทะยานสูง

ทานตั้งแต่ส่วนปลายเริ่มทานไอศครีมจากกรวย
หรือปลายสุดตรงก้นมาก่อน
นั่นคือนิสัย ชอบการแข่งขัน ชอบชัยชนะ และต้องทำอะไรตามกฎกติกา ชอบการทำอะไรมีแผนและขั้นตอน แต่อุปนิสัยล้ำลึก คาดเดายาก คุณนิยมการท่องเที่ยวความสมบูรณ์พร้อมตลอดเวลา


   
ขอขอบคุณ
โดย : VIDA
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: