jainu
|
|
« ตอบ #225 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2011, 09:32:55 AM » |
|
พริกป่นมีประโยชน์กว่าที่คุณคิดพริกป่นมีประโยชน์กว่าที่คุณคิด (Woman's Story) อย่างที่รู้กันเป็นอย่างดี พริกป่นที่เราใช้ปรุงอาหารมักมีรสและกลิ่นเผ็ดร้อน นั่นเป็นเพราะว่าในพริกป่นมีสารแคปไซซินที่ทำให้เรารู้สึกตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อย คลายกล้ามเนื้อบริเวณหลังได้เป็นอย่างดี
และสำหรับสาว ๆ ที่เริ่มกังวลกับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นทุกวัน แนะนำให้ลองปรุงอาหารด้วยพริกป่นดูซิคะ เพราะพริกป่นจะช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติ อีกทั้งยังมีสรรพคุณคล้ายกับสารดีท็อกซ์ คอยตรวจจับยับยั้งเมือกที่เกาะตัวอยู่ตามบริเวณอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายของเรา และนอกจากนี้ยังช่วยกำจัดเซลล์มะเร็งได้อีกด้วยขอบคุณข้อมูลดีๆจาก
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #226 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2011, 09:40:19 AM » |
|
เทคนิคชะลอชีวิตให้ช้าลง เทคนิคชะลอชีวิตให้ช้าลง (Momypedia) โดย: kant เทคนิคดี ๆ ที่ช่วยลดความเร็วของชีวิตและเติมความสุขให้คุณ
ท่ามกลางกระแสความเร็วสูงของผู้คนส่วนใหญ่ที่คุ้นชินอยู่กับความเร่งรีบ ทุก ๆ จังหวะชีวิตเต็มไปด้วยความเร็ว เราคิดเร็วขึ้น พูดเร็วขึ้น ทำงานให้เร็วขึ้น กินและเคลื่อนไหวเร็วขึ้น แถมยังใช้จ่ายอย่างรวดเร็ว เราเร่งรีบตัวเองไปเสียทุกเรื่อง แล้วก็ทำอย่างนี้กันตลอด โดยไม่รู้ว่าความเร่งรีบนั้นได้บั่นทอนความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิต และล้วนเป็นตัวการก่อโรคร้ายสารพัด แต่ถ้าวันนี้ลองหันกลับมาใช้ชีวิตให้ช้าลงบ้าง ก็คงจะสัมผัสถึงความอิ่มเอมที่มากขึ้น เช่นเดียวกับผู้คนในโลกนี้ที่ต่างทยอยหวนกลับมาหาก้าวย่างที่ช้าลง เพื่อเติมเต็มความสุขและความรื่นรมย์ให้ชีวิตมากขึ้น ซึ่งเรามีเทคนิคดี ๆ ที่ช่วยลดความเร็วของชีวิตและเติมความสุขให้คุณกันค่ะ หายใจช้า ๆ
หายใจเข้าช้า ๆ ลึก ๆ พอหายใจสุดแล้วให้กลั้นลมหายใจไว้สัก 5 ถึง 10 วินาที แล้วค่อยปล่อยลมหายใจออกช้า ๆ หมั่นทำบ่อย ๆ ทำซ้ำ ๆ แล้วจะรู้สึกโปร่ง โล่ง เบาสบายยิ่งขึ้น อยู่กับความเงียบบ้าง
ลองใช้เวลาอยู่กับความเงียบดูบ้าง นั่ง ๆ นิ่งไม่ต้องทำอะไรเลย ดูจิตใจตัวเองและฟังความเงียบ สำหรับบางคนอาจเป็นเรื่องง่าย แต่สำหรับคนที่ใช้ชีวิตไม่เคยหยุดนิ่งนี่เป็นสิ่งที่ยากที่สุด ทำทีละอย่าง
การทำอะไรต่อมิอะไรหลายอย่างพร้อม ๆ กันเท่ากับเป็นการเร่งเครื่องให้ชีวิตพรุ่งไปเร็วขึ้น ค่อย ๆ ทำทีละอย่างทีละเรื่องจะทำให้มีสมาธิกับสิ่งที่ทำและมีความสุขมากกว่า เช่น ขณะขับรถก็ไม่ต้องโทรศัพท์ ไม่กินข้าวไปดูโทรทัศน์ไป วิธีนี้ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานได้ด้วย ฟังดนตรี
ควรฟังดนตรีคลาสสิก เพลงบรรเลงที่ชอบ หรือฟังดนตรีที่มีท่วงทำนอง นอกจากฟังแล้วสบายอกสบายใจขึ้น ยังช่วยกล่อมเกลาจิตใจให้อ่อนโยนขึ้น เดินเล่นสบาย ๆ
การเดินตามสบายอย่างผ่อนคลายจะช่วยคลายความตึงเครียด กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด อย่าลืมแวะรายละเอียดของสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ รอบตัวไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ใบหญ้า ก้อนหิน ท้องฟ้า หรือผู้คนที่ผ่านไปมา ใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นปั้นดิน วาดรูป ระบายสี เล่นดนตรี จัดดอกไม้ หรือเย็บปักถักร้อย หรือจะสละเวลาไปเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือคนอื่นก็ได้ แต่มีข้อแม้ว่า ให้เลือกทำในสิ่งที่รู้สึกว่าทำแล้วผ่อนคลาย จิตใจสบาย ปล่อยตัวเองให้มีเวลาว่างบ้าง แล้วทำอะไรที่ทำให้เรามีความสุขไปกิจกรรมนั้น ๆ ทำจิตใจให้เบิกบาน ดูแลจิตใจไม่ให้เคร่งเครียด ทำใจให้สงบ อาจทำสมาธิ ฟังธรรม สวดมนต์ หรือทำอะไรก็ได้ที่ช่วยจิตใจสงบเยือกเย็นขึ้น มีมากมายหลายวิธีที่จะช่วยทำให้จิตใจเบิกบานและมีวิถีชีวิตที่ช้าลง เช่น นอกเล่น อาบแดดอุ่น ๆ หรือนั่งอ่านหนังสือดี ๆ สักเล่ม แล้วคุณจะค้นพบว่า ชีวิตที่ช้าลงนั้นสร้างความสุขให้คุณได้ไม่น้อยทีเดียว ขอขอบคุณ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 06, 2011, 09:43:23 AM โดย nujai »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #227 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2011, 03:38:49 PM » |
|
สวัสดีค่ะ สุขภาพที่ดี
รับประทานอาหารเช้าให้หนักว่าทุกๆๆมื้ออย่าลืมเคี้ยวให้ละเอียดด้วยค่ะ ในตอนเช้านี้จะมีน้ำย่อยมารออยู่ พร้อมที่จะทำงาน สกัดสารอาหารให้ร่างกายอย่างเต็มที่ ทานให้เป็นกิจประจำวัน ดื่มน้ำ ตลอดวันอย่าปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำค่ะ กลางวันทานเบาๆลงมา ไม่ควรเน้นแป้งมากนัก กินทุกมื้อให้พออิ่ม อย่ากินเพราะอร่อยหรืออยากกิน ถ้าอิ่มแล้วก็หยุดกินแล้วเก็บไปกินมื้อต่อไป มื้อเย็นไม่ควรเลย 6 โมงเย็น หรือ1 ทุ่ม รับประทานให้น้อยที่สุดเป็นกิจวัตรและควรเคี้ยวให้นานๆๆๆ เน้น ผัก ผลไม้ ไม่ควรอย่างมากถ้าจะอาบน้ำทันทีหลังทีรับประทานอาหารเสร็จ และไม่เดินหรือออกกำลังกายหลังทานอาหารเสร็จ นั่งให้กระเพาะ ทำงานก่อนอย่างน้อยๆ15 นาทีแล้วเดินไปมา อีก 15 นาที ตั้งเวลาหยุดทานอาหารทุกชนิดหลัง 1 ทุ่ม อนุโลมถ้าต้องรับประทานอาหารดึกควรอย่างมากทีจะเลือกทานอาหารย่อยง่ายๆๆและต้องเคี้ยวให้นานขึ้น อาจจะเป็นเรื่องทีไม่ง่ายในเวลาที่เริ่มทำในครั้งแรกๆๆแต่ถ้าเราตั้งใจที่จะทำให้ตัวของเราเองก็ไม่ใช่เรื่องยากส์ จริงไหมคะ เริ่มที่ละน้อยดีกว่าไม่คิดที่จะทำเลย ระหว่างเวลา ตี2 ถึง ตี 3 ร่างกายจะทำการฟอกเลือด ซึ่งเป็นการทำงานหนักอยู่แล้ว ไม่ควรมีอาหารอยู่ในกระเพาะ ถ้ามีจะทำให้ร่างกายทำงานหนักยิ่งขึ้น
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 16, 2011, 03:47:09 PM โดย nujai »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #228 เมื่อ: สิงหาคม 19, 2011, 10:39:31 PM » |
|
โยคะโยคะ หรือ โยคะอาสนะ(Yoga asana) เคล็ดวิชา : ผนึกกายและจิตให้เป็นหนึ่งเดียว พร้อมกับการบริหารร่างกาย ภาพนี้ผมใช้สอนนักศึกษา ให้พอรู้ว่า โยคะมีในโลกใบนี้ และผมก็สนใจเรื่องของโยคะเช่นกันโยคะ เกิดขึ้นที่อินเดียเมื่อประมาณ 4 - 5 พันปีที่ผ่านมา เดิมจะเป็นการฝึกเฉพาะโยคี และชนชั้นวรรณะพราหมณ์ เพื่อเอาชนะความเจ็บป่วย ต่อมาโยคะ ได้พัฒนาผ่านลัทธิฮินดู มายุคพุทธศาสนา ถึงยุคลัทธิเซนในประเทศจีน โดยแท้จริงแล้ว โยคะไม่ได้เป็นศาสตร์ของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง แต่เป็น ศาสตร์สากลที่ศาสนาต่าง ๆ สามารถนำมาเป็นส่วนหนึ่งในการปฏิบัติเพื่อบรรลุ เป้าหมายสูงสุดแห่งศาสนานั้น ๆ โยคะจึงเป็นที่แพร่หลายไปทั่วโลก โดยเฉพาะ หะฐะโยคะ (Hatha Yoga ) ซึ่งจัดว่าเป็น Modern Yoga ที่พัฒนามาจากการรวมแบบโยคะดั้งเดิม กับวิธี ปฏิบัติของพระพุทธศาสนา ความหมายของโยคะ [ Meaning Of YOGA ] โยคะ (YOGA) หมายถึง การสร้างความสมดุลของร่างกาย-จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยรวมให้เป็นหนึ่งเดียว หะฐะโยคะ (HATHA YOGA) เป็น 1 ในสาขาโยคะทั้งหมด หะฐะโยคะ จะใช้ศิลปการบริหาร ร่างกาย ภายใต้การควบคุมของจิตใจ เกิดความสมดุลของพลังด้านบวกและด้านลบ โยคะจึงช่วย บรรเทาและบำบัดโรคได้ หะฐะโยคะ จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน ที่ผู้คนเห็นความสำคัญของ สุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี ระดับของโยคะ เพื่อการเข้าใจถึงตนเองอย่างแท้จริง และมีเป้าหมายเพื่อยกระดับจิตใจของตนให้สูงขึ้น ควรปฏิบัติ ตาม 8 ระดับ ของโยคะ ดังนี้ 1.ศีลธรรม ประกอบด้วยข้อห้ามเพื่อระงับสิ่งชั่วร้ายต่างๆ • ไม่ใช้ความรุนแรง • พูดแต่ความจริง ไม่พูดโกหก • ไม่ลักขโมย • เป็นกลางในสิ่งต่าง ๆ • ไม่โลภในของของผู้อื่น 2.จริยธรรม ประกอบด้วย สำนึกแห่งวิถีชีวิตอันดีงาม • คิดสิ่งที่ดีๆ บริสุทธิ์ สะอาดทั้งกายและใจ ( คิดดี ) • พูดในแง่ดีและมีทัศนคติทางบวก ( พูดดี ) • ปฏิบัติทุกสิ่งด้วยความตรงไปตรงมา และยุติธรรม ( ทำดี ) • พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ (พอใจ ) • ชื่นชมและเห็นคุณค่า แห่งธรรมชาติ รวมทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ( ชื่นชมยินดี ) 3.ท่าฝึกอาสนะ การบริหารร่างกาย และดูแลร่างกายให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น 4.ปราณายาม เป็นการบริหารลมหายใจ เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังชีวิตอย่างเต็มที่ 5.การควบคุมความรู้สึก (การสำรวมจิต ) โดยตั้งจิตสงบอยู่ภายใน ไม่วอกแวก 6.การเพ่งจิต (Concentration) ด้วยการกำหนดจิตให้อยู่กับสิ่งๆเดียว การภาวนาจิต (Meditation) โดยการศึกษา และวิเคราะห์สัจจะให้ถ่องแท้ สมาธิ (Samadhi ) หมายถึง การรักษาสภาวะจิตที่ดี พิจารณาสภาวะความเป็นจริงอย่างแจ่มแจ้ง และบรรลุถึง การเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาล ข้อพิเศษ เพื่อบรรลุถึงเป้าหมายสูงสุด โยคีทั้งหลายได้บัญญัติการกินอาหารแบบมังสวิรัติ ( กินเฉพาะผัก ) เข้าในรายละเอียดข้างต้น เพราะเชื่อว่าวิธีนี้ช่วยให้จิตวิญญาณรวมเป็นหนึ่งเดียวกับจักรวาลได้ สำหรับคนทั่วไปที่ต้องทำงาน และผู้ที่ไม่สามารถกินอาหารมังสวิรัติ (ไม่กินเนื้อสัตว์ทุกชนิด) ก็อาจ กินอาหารแนวชีวจิต (แมคโครไบโอติก + ปลาทะเล) หรืออย่างน้อยก็กินอาหารแนวธรรมชาติให้ครบ 5 หมู่ อย่างเหมาะสม และหลีกเลี่ยงการกินเนื้อสัตว์ใหญ่ได้ก็จะดียิ่ง ทฤษฎีของโยคะ (Theory of Yoga) ทฤษฎีของโยคะ คือ การบำบัดโดยการเคลื่อนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตามที่กำหนด โดยเน้นการหายใจ เข้า - ออก ให้สอดคล้องกับท่าฝึก และการทำสมาธิระหว่างการฝึก การฝึกโยคะที่ถูกต้องจะมีองค์ประกอบด้วย
• Kept Fit บริหารร่างการให้ถูกต้อง เพื่อคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดี • Balance การรักษาความสมดุลของร่างกายและจิตใจโดยวางตัว และอารมณ์เป็นกลางไว้ • Harmony ความลงตัวกับระหว่างการฝึกกายและจิต • Purify Body - Mind - Soul มีการชำระตนเองให้บริสุทธ์ทั้งกาย - จิตใจ และจิตวิญญาณ โดยยึดหลักมีศีลธรรมจรรยา สำรวมจิตใจหรือทำสมาธิ หลักสำคัญของการฝึกโยคะ [ Objectives ] หายใจแบบโยคะให้ถูกต้อง : หายใจเข้า - ท้องพอง, หายใจออก - ท้องแฟบ
• สูดอากาศเข้าให้พอดีกับท่าฝึก เพื่อให้ได้ออกซิเจนมากพอ • ปล่อยลมหายใจออกให้สุด เพื่อขับอากาศเสียออกจากร่างกาย และลดความตึงเครียด ของกล้ามเนื้อ • หายใจเข้า - ออก ให้สอดคล้องเป็นจังหวะกับท่าฝึกแต่ละท่า ฝึกท่าแต่ละท่า ช้าๆ เป็นจังหวะที่ลงตัว ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกาย ตามข้อจำกัดธรรมชาติร่างกายของแต่ละบุคคล อย่าฝืนเกินไป เช่น ยืดตัวมากเกินไป เกร็งเกินไป ตึงมากไป บิดมากเกินไป • สำหรับผู้ที่ผลการตรวจสอบไม่ผ่าน ควรฝึกเฉพาะท่าหายใจ และท่าอุ่นร่างกาย (warm-up) ที่แนะนำเท่านั้น หรือ รับการฝึกกับครูโยคะที่มีวุฒิบัตรการสอนโยคะเท่านั้น • ผู้มีปัญหาด้านสุขภาพแต่ละประเภท ให้บันทึกท่าฝึกที่ห้ามทำอย่างเคร่งครัด click-> • ท่าฝึกต่าง ๆ แบ่งเป็น 3 ช่วง ให้เริ่มจากช่วงที่ 1 ก่อน ฝึกจนคล่องสักระยะหนึ่งซึ่งขึ้นอยู่แต่ละบุคคล แล้วค่อยเพิ่มเป็นช่วงที่ 2 และ 3 ตามลำดับ การกำหนดจิต ( Concentration ) ให้เป็นหนึ่งเดียวกับการฝึกโดยไม่วอกแวก จะทำให้จิตสงบเข้าถึงสมาธิได้ดี ขึ้น ห้ามแข่งขัน หรือคุยกันระหว่างการฝึก ควรอดทนและขยันฝึกเป็นประจำควรฝึกอย่างน้อย อาทิตย์ละ 3 - 4 ครั้ง หยุดพักและผ่อนคลาย หลังแต่ละท่าฝึก ( Pause & Relax ) ให้หายใจเข้า - ออก ช้า ๆ ลึก ๆ 6-8 รอบ เพื่อคลายความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และทำให้การเต้นของหัวใจปรับเข้าสู่สภาวะปกติก่อนที่ จะฝึกท่าต่อไป ประโยชน์ของโยคะ [ Benefits of YOGA ] เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ปรับระดับความดันเลือดให้เป็นปกติ บำบัดโรคที่เกี่ยวกับเลือดไม่ดี โรคภูมิแพ้ ลมหมักหมม ผิวพรรณที่ไม่ผ่องใส สมองไม่ปลอดโปร่ง มึนศีรษะง่าย ด้านกายภาพบำบัด
• กล้ามเนื้อ ข้อต่อ และเอ็น มีความยืดหยุ่นมากขึ้น ทำให้การเดินคล่องขึ้น การทรงตัวดีขึ้น • กระดูกสันหลังถูกปรับให้เข้าสภาพปกติ ป้องกันอาการปวดหลัง ปวดต้นคอ หรือ ปวดศีรษะ และปรับรูปร่างให้สมดุล กระดูกไม่งอ ไหล่ไม่เอียง • ท่าบริหารโยคะบางท่าถูกดัดแปลงใช้กับคนชรา และคนพิการเพื่อสามารถฝึกบนเตียง หรือบนรถเข็นได้ กระตุ้นสมองให้มีความจำดีขึ้น
• การผ่อนคลายลึก ๆ หลังการฝึก ทำให้เกิดคลื่นอัลฟา มีผลต่อการผ่อนคลายต่อสมอง • คลายความเครียด แก้โรคนอนไม่หลับ นวดอวัยวะภายในให้แข็งแรงขึ้น เช่น หัวใจ มดลูก กระเพาะอาหาร ตับ ไต เป็นต้น ทำให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เลือดไปที่ไตล้างไตให้สะอาดขึ้น ระบบการหายใจจะโล่งขึ้น ทำให้การเผาผลาญแคลอรีในร่างกายเพิ่มขึ้น ได้พลังงานเสริมความแข็งแรง ใบหน้าดูอ่อนเยาว์ • ร่างกายมีสัดส่วนดีขึ้น สวยงามขึ้น • ช่วยควบคุมน้ำหนักได้อย่างดี ด้านจิตบำบัด
• จิตสงบและมีสมาธิมากขึ้น • ลดความวิตกกังวลและอาการที่ตื่นกลัว • นักกีฬา นักเต้นรำ นักแสดง อาจใช้โยคะเพื่อกำจัดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ และเพิ่มสมาธิก่อนการแข็งขัน ก่อนการแสดง • นายแพทย์ ดีน ออร์นิช ผู้เชี่ยวชาญโรคหัวใจจากแคลิฟอร์เนีย ได้ผสมผสานโยคะแบบใหม่ในการรักษาผู้ป่วย โรคหัวใจ • โครงการช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็ง และศูนย์วิจัยในแคลิฟอร์เนีย สอนโยคะให้ผู้ป่วยในระยะสุดท้าย เพื่อให้รู้สึกสงบ เพศสัมพันธ์บกพร่อง สามารถบรรเทา หรือแก้ไขได้ด้วยท่าโยคะหลาย ๆ ท่า การเตรียมพร้อมก่อนการฝึกโยคะ [ Preparing for Yoga Practice ]
1'อย่ากินอาหารอิ่มเกินไป ควรฝึกก่อนหรือหลังอาหาร อย่างน้อย 1 - 2 ชม.
2.ไม่อ่อนเพลียมาก, หิวมาก, เป็นไข้, หนาวมาก, ร้อนมาก, หรือมีอาการเมาค้างอยู่ และควรขับถ่าย ให้เรียบร้อยก่อนการฝึก
3.สตรีมีครรภ์ และสตรีที่อยู่ในช่วงมีรอบเดือน ( เฉพาะวันมามาก ) ห้ามฝึก หมายเหตุ สตรีมีครรภ์ ตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป สามารถฝึกโยคะสำหรับผู้มีครรภ์ได้ ภายใต้ความควบคุมของครูฝึกที่มี ประสบการณ์ และควรได้รับการอนุญาตจากสูตินารีแพทย์
4.ผู้ที่ผ่านการผ่าตัดมาแล้ว 3 - 6 เดือน ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเริ่มฝึก
5.แต่งกายด้วยเสื้อผ้าสบาย ๆ เช่น เสื้อยึด กางเกงขายาว หรือขาสั้น สำหรับชุดออกกำลังกาย ต้องไม่ รัดแน่น เกินไป
6.ไม่สวมแว่นตา นาฬิกา เครื่องประดับที่รกรุงรัง
7.สถานที่ฝึกควรเงียบสงบ (ควรปิดเครื่องมือสื่อสารทุกชนิดขณะฝึก) สะอาด และไร้ฝุ่นละออง เพื่อป้องกันการแพ้ฝุ่น
8.เลือกเวลาฝึกตามสะดวกแต่เวลาที่ดีคือ ช่วงเช้าก่อนเวลาทานอาหาร ถ้าฝึกช่วงบ่ายควรหาที่ ไม่ร้อนเกินไป
9.ฝึกท่าวอร์มร่างกายก่อนการฝึกทุกครั้ง และแต่ละท่าให้ทำซ้ำ 3 - 5 ครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย ของแต่ละ บุคคล
10.ถ้าเกิดอาการเจ็บปวด แม้จะเล็กน้อยระหว่างฝึก ให้หยุดฝึกทันที แล้วนอนหงายผ่อนคลายอาการ เจ็บปวด ก่อนที่จะฝึกท่าต่อไป และให้บันทึกอาการเจ็บปวดไว้ เพื่อปรึกษาครูฝึกโยคะที่มี ประสบการณ์
11.ก่อนจบการฝึกทุกครั้งจะต้องจบด้วย ท่าศพอาสนะทุกครั้ง โดยให้หายใจ เข้า ลึกๆ และหายใจ ออก ยาวๆ อย่างช้าๆ 30 - 40 รอบ หายใจ
12.ก่อนลุกขึ้นจากท่านอน ควรตะแคงตัวจากท่านอนเป็นท่านั่งทุกครั้ง เพื่อป้องกันการปวดหลัง คำเตือนก่อนการฝึกโยคะ
1.อุ่นร่างกาย ( warm-up ) ก่อนการฝึกทุกครั้ง เช่น ท่าวอร์มแขน ท่าไหว้พระอาทิตย์เบื้องต้น ท่าวอร์มหลัง และอื่น ๆ 2.ศึกษาท่าบริหารแต่ละท่าให้เข้าใจดีก่อนฝึก 3.เริ่มฝึกช้า ๆ ค่อยเป็นค่อยไป อย่าเร่ง หรือฝืนทำ ห้ามแข่งขัน 4.ฟังสัญญาณเตือนจากร่างกายระหว่างฝึก ถ้ารู้สึกเจ็บอย่าฝืนทำ ให้หยุดสักครู่ด้วย ท่าผ่อนคลาย ท่าหงาย จนกว่าจะรู้สึกดีขึ้น 5.อย่าฝึกท่า "ท่าห้าม" ของแต่ละบุคคล(ที่มีปัญหาจากโรคประจำตัว หรือมีปัญหาด้านกระดูก) 6.ถ้าไม่เข้าใจการฝึกดีพอ และอยากมีครูแนะนำ ควรหาครูฝึกที่ได้มาตรฐาน และผ่านการอบรม เป็นครูโยคะมาแล้ว ข้อมูลจาก http://www.siamhealth.net/alternative/yoga/intro.htm ความหมายของโยคะ โยคะเป็นคำสันสกฤตหมายถึงการรวมให้เป็นหนึ่ง โยคะจะรวมกาย จิต วิญาณให้เป็นหนึ่งทำให้เรามีสติและอยู่บนพื้นฐานของความจริงของชีวิต โยคะไม่ใช่ศาสนา เพราะมีโยคะบางชนิดไม่เกี่ยวกับศาสนาแต่ส่วนใหญ่มาจากพื้นฐานของความเชื่อและแนวทางปฏิบัติของศาสนา การฝึกโยคะคือการฝึกการปลอดปล่อยจากสิ่งลวงตาและการหลงผิด การฝึกโยคะเป็นฝึกการเปลี่ยนแปลงตัวเองทั้งร่างกายและจิตวิญาณ นอกจากจะเปลี่ยนแปลงแล้วยังสามารถปรับปรุงให้ดีขึ้น การฝึกโยคะจะประกอบไปด้วยส่วนที่สำคัญ 3 อย่างได้แก่ การออกกำลังกายหรือการฝึกท่าโยคะ การหายใจหรือลมปราณ การทำสมาธิ การฝึกท่าโยคะจะกระตุ่มอวัยวะและต่อมต่างๆในร่างกายทำงานดีขึ้นสุขภาพจึงดีขึ้น การหายใจเป็นแห่งก่อให้เกิดพลังของชีวิต การควบคุมการหายใจจะทำให้จิตใจและสุขภาพดีขึ้น การฝึกท่าโยคะและการหายใจจะเป็นพื้นฐานในการทำสมาธิ หากท่านได้ฝึกทั้งสามอย่างจะทำให้ผู้ฝึกมีสุขภาพที่แข็งแรง จิตใจผ่องใสและเข็มแข็ง ชนิดของโยคะ
1. Raja-Yoga (the royal path of meditation)เป็นโยคะที่เน้นการเข้าฌาณเพื่อทำให้เกิดสมาธิ ซึ่งต้องการความสงบทั้งร่างกายและจิตใจ ข้อดีของการฝึกโยคะชนิดนี้คือฝึกง่ายมีวิธีปฏิบัติที่แน่นนอน เป็นการฝึกแบบวิทยาศาสตร์ ผู้ฝึกจะได้ความสงบและปัญญา ข้อเสียคือการฝึกจะต้องใช้เวลามากอาจจะทำให้ผู้ฝึกต้องแยกตัวเองออกจากสังคม
2. Karma-Yoga (the path of self-transcending action)เป็นโยคะที่เกี่ยวข้องกับศาสนามากที่สุด มีการยึดเหนี่ยว พิธีกรรมบวงสรวงเทพเจ้า มีการสวด มีการเข้าเข้าฌาณ เทพเจ้าที่บูชาได้แก่ พระวิษณุเป็นต้นข้อดีคือผู้ฝึกจะไม่เห็นแก่ตัว ไม่มีฐิติ ทำงานบริการได้ดี
3. Bhakti-Yoga (the path of devotion) เป็นโยคะสำหรับผู้ต้องการเสียสละ
4. Jnana-Yoga (the path of wisdom) เป็นโยคะแห่งปัญญา เน้นเรื่องความจริง Realityเป็นหนึ่ง โลกที่เราคุ้นเคยมักจะมีภาพลวงตา เช่นการเห็นเชือกเป็นงู การที่จะทราบจะต้องเพ่งพินิจ การที่เราเห็นผิดเป็นชอบเรียกมายา(maya)หรือหลงผิด การแก้การหลงผิดสามารถทำได้โดยการปลีกวิเวก(viveka)เมื่อรู้ว่าอะไรไม่จริงก็สละสิ่งนั้น
5. Tantra-Yoga (which includes Kundalina-Yoga) เป็นโยคะที่รวมหลายชนิดของโยคะรวมกัน Tantra-yoga สอนให้รู้จักด้านมืดของชีวิต เน้นพิธีการบวงสรวง เน้นการเข้าฌาณเพื่อปลุกพลังภายในร่างกาย Tantra-yoga เน้นการประสานกายและพลังจิต
6. Mantra-Yoga (the path of transformative sound) เป็นโยคะที่ไม่ซับซ้อน เน้นการสวดภาวะนาและกล่าวคำว่า โอม
7. Hatha-Yoga (the forceful path of physical self-transformation) จุดประสงค์โยคะนี้เป็นการเตรียมร่างกายเพื่อให้มีพลังที่จะบรรลุสู่ความสำเร็จจะต้องประกอบด้วยการออกกำลังและฝึกลมปราณ การฝึกโยคะนี้จะทำให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง อดทนต่อความหิว ร้อน หรือหนาว เมื่อร่างกายและจิตใจแข็งแรงก็ทำให้ผู้ฝึกเข้าถึงสมาธิฌาณได้ง่าย ประโยชน์ของการฝึกโยคะ การฝึกโยคะดั้งเดิมต้องการค้นหาความสุขที่แท้จริง ความสุขที่ไม่ใช่เกิดจากความพอใจหรือความรื่นรมย์ การฝึกโยคะจะทำให้ร่างกายแข็งแรง มีความสมดุลของระบบประสาท และมีรู้ความหมายแท้จริงของชีวิต จิตใจมั่นคงไม่หวั่นไหวตามสิ่งแวดล้อม ไม่เสียใจ ไม่ดีใจเกินไป เป็นการฝึกจนเกิดปัญญา แต่ปัจจุบันได้นำมาฝึกเพื่อประโยชน์ดังต่อไปนี้ + ช่วยให้เลือดไหวเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย
+ ช่วยผ่อนคลายความเครียด และอาการปวดเมื่อย
+ ช่วยทำให้รูปร่างและทรวดทรงดีขึ้น รวมทั้งการทรงตัว
+ ทำให้การเคลื่อนไหวของข้อดีขึ้น
+ ทำให้มีสมาธิในการทำงานดีขึ้น
+ ทำให้มีสติดีขึ้นรู้ว่าเรากำลังทำอะไร เพื่ออะไร
+ ทำให้ใจเย็นลง
+ ช่วยลดอาการปวดประจำเดือน ภาพจากเว็บไซต์ : http://www.healtouch.com/yoga/# For starters, yoga is good for what ails you. Specifically, research shows that yoga helps manage or control anxiety, arthritis, asthma, back pain, blood pressure, carpal tunnel syndrome, chronic fatigue, depression, diabetes, epilepsy, headaches, heart disease, multiple sclerosis, stress, and other conditions and diseases. It also: + Improves muscle tone, flexibility, strength and stamina + Reduces stress and tension + Improves concentration and creativity + Improves circulation + Stimulates the immune system + Creates a sense of calm and well-being. The benefits mentioned above are secondary to yoga's original purpose, which was to achieve liberation and enlightenment. For most Westerners however, the physical and mental benefits are enough. เว็บไซต์เกี่ยวกับโยคะ www.aum.org/whatisyogab.htm www.beaconlightyoga.com/classes.htm www.breathaware.com/pappas/trainings.htm www.carolsakai.com/cobra.htm www.chennaionline.com/health/yoga/bhujangasan.asp www.cyberastro.com/healthcare/yoga/session.asp www.dreamyoga.co.uk/overview_files/overview.htm www.expandinglight.org/yoga/advancedyoga.htm www.greatdayamerica.com/style/fitness/yoga.shtml www.guiadobuscador.com.br/yoga/ www.hatha-yoga.com.ar/asanas/ www.healtouch.com/yoga/ *** www.hightechyoga.org www.holisticonline.com/Yoga/hol_yoga_pos_cobra.htm www.indianwomenonline.com/womenhome/HealingTouch/Fitness/yoga/yoga.asp www.indianwomenonline.com/womenhome/helplines/yoga/yogaguru.asp www.io.com/healingyoga/schedule.shtml www.knockdoctor.com/yoga/asana/sarpasana.htm www.lasvegasyoga.com/faq.html www.mysticindia.com/yoga/cobra.htm www.personalyogaonline.com/private.html www.rajayoga.it/asanas.htm www.sakuratakekan.org/yoga.htm www.serenityoga.com/postures-postures2.php www.siamhealth.net/alternative/yoga/intro.htm www.sivananda.org/la www.sivasakti.com/articles/yoga/ www.soyouwanna.com/site/syws/basicyoga/basicyogaFULL.html www.talion.com/presskits/hatha-yoga.html www.thai.com/sports/yoga.php www.thailabonline.com/excercise-yoka.htm www.thaiyoga.com/healing/asana.html www.themeditationcenter.org/hathayogaclasses.htm www.webindia123.com/yoga/bhujan.htm www.webindia123.com/yoga/salabha.htm www.yes2yoga.com/pronepostures.asp www.yoga-orlando.com/ www.yogaatwork.co.uk www.yogajournal.com www.yogakai.com/estilosdeyoga.htm www.yogaroom.com/biography.html www.yogateacher.com/text/yoga.html www.wailana.com/yoga.htm www.yogagarage.com/ ขอขอบคุณข้อมูลดี ดี จ thaiall.com | thaiabc.com
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 15, 2011, 08:40:58 PM โดย nujai »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #229 เมื่อ: สิงหาคม 27, 2011, 03:52:47 PM » |
|
วันนี้คุณดื่มน้ำแล้วหรือยัง
น้ำเป็นสารเคมีชนิดหนึ่งที่เขียนสูตรเคมีได้ว่า H2O: น้ำ 1 โมเลกุลประกอบด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม สร้างพันธะโควาเลนต์รอบออกซิเจน 1 อะตอม น้ำมีความสำคัญต่อร่างกาย อากาศร้อนๆ ร้อนมากๆๆ ร่างกายสูญเสียน้ำเยอะ ควรที่จะดื่มให้มากกว่าปกติ โดยปกติ คนเราควรดื่มน้ำวันละ 8-10 แก้วต่อวัน หลัง18.00 ไม่ควรดื่มน้ำมากเพราะทำให้ไตทำงานหนักในช่วงกลางคืน ดื่มน้ำแล้วหรือยังค่ะ ถ้ายัง ดื่มซะ อิ อิ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #230 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2011, 11:06:44 PM » |
|
11อาหารควรเลี่ยงเมื่อปวดหัวอาการปวดหัวเป็นอาการที่ฟ้องเราหลายๆ เรื่อง นอกจากการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ทั้งการนอนให้เพียงพอ และพักผ่อนหย่อนใจไล่ความเครียด การกินอาหารอย่างถูกต้องก็มีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้นได้ วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ จากคุณหมอเดวิด บุชฮอลส์ จากมหาวิทยาลัยจอนห์ฮอปกินส์ ถึงอาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อมีอาการปวดหัวค่ะ1.เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลมบางชนิด 2.ช็อกโกแล็ต 3.เนยแข็ง 4.โยเกิร์ต และซาวครีม 5.ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ (อัลมอนด์ เม็ดมะม่วง) และเนยถั่ว 6.อาหารผ่านกรรมวิธี เช่น ไส้กรอก ฮอทด็อก เบคอน อาหารกระป๋อง ของหมักดอง 7.เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ 8.ผงชูรส 9.ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มต่างๆ มะนาว รวมถึงน้ำผลไม้เหล่านี้ 10.ผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย ลูกเกด อะโวคาโด สับปะรด 11.ผักบางชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ถั่วฝักชนิดต่างๆ หากปวดหัวบ่อยๆ นอกจากปรับอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมให้ไม่เครียด บทความจาก : mthai.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #231 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2011, 11:13:33 PM » |
|
ชาเขียวสารประกอบในชาเขียวช่วยยับยั้งอัตราการเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ เนื่องจากมีสารแคทิซินและโพลิฟีนอล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Epigallocatechin Gallate (EGCG) นั้น เป็นสารต้านพิษ อีกทั้งยังลดระดับ LDL คอเลสเตอรอล ซึ่งเป็นสาเหตุอาการหัวใจวายและลมชักอีกด้วย เขียนโดย : KimChi
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 31, 2011, 11:15:48 PM โดย nujai »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #232 เมื่อ: กันยายน 13, 2011, 10:08:34 PM » |
|
น้ำสัมสายชูจากน้ำอ้อย
ส่วนผสม - น้ำสัมสายชูจากน้ำอ้อย น้ำอ้อย 1ส่วน น้ำเปล่า 8 ส่วน ลูกแป้งข้าวหมาก 1/2 ลูก
วิธีทำ
ให้นำน้ำอ้อยมาผสมรวมกันกับน้ำเปล่า คนให้เข้ากัน และให้ใส่ภาชนะที่สะอาด เช่น โหลแก้ว หลังจากนั้นให้เติม ลูกแป้งข้าวหมากบดละเอียดลงไป แล้วปิดปากโหล(ไม่ควรใช้ที่ปิดที่เป็นโลหะ) เก็บขวดโหลไว้ในที่อบอุ่น ทิ้งไว้ประมาณ 15 วัน ก็จะได้น้ำส้มสายชู ที่มีกลิ่นหอมของน้ำอ้อย แต่ยังกินไม่ได้่ ต้องนำมากรองโดยผ้าขาวบางเสียก่อน แต่บางคนก็เอามาต้มก่อนแล้วทิ้งไว้ให้ตะกอนนอนก้น แล้วก็ใช้ผ้าขาวบางกรอง จะได้น้ำส้มสายชูที่ใส
การทำน้ำส้มสายชูนั้น สามารถทำได้จากวัตถุดิบหลายอย่าง เช่น
ข้าว องุ่น แอปเปิล ผลไม้รวม มะพร้าว ปาล์ม ลูกเกด น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำสับปะรด
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #233 เมื่อ: กันยายน 15, 2011, 08:19:23 PM » |
|
กรุ๊ปเลือด กับอาหารต้องห้าม
กรุ๊ป O ถือว่า เป็นเลือดกรุ๊ปแรกของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นมนุษย์กลุ่มแรกของโลกที่ดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์เป็นอาหาร ดังนั้น คนที่มีเลือดกรุ๊ป O จะมีสุขภาพแข็งแรงดี สามารถรับประทานเนื้อสัตว์ได้ทุกชนิด เพราะน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดสูง สามารถย่อยโปรตีนได้ง่าย
แต่มักมีปัญหาเลือดแข็งตัวช้า ทำให้ระบบเผาผลาญพลังงานไม่ดีนัก ดังนั้น อาหารที่เลือกรับประทาน ได้แก่ เนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมันมาก โดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งร่างกายสามารถย่อยได้ง่ายอยู่แล้ว อีกทั้งยังมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคแผลเน่าเปื่อย หรือเกิดการอักเสบได้ง่ายกว่าคนที่มีเลือดกรุ๊ปอื่นๆ อีกด้วย ดังนั้น การรับประทานเพื่อบำรุงจึงขาดกันไม่ได้
ควรเลือกรับประทาน ผักใบเขียวเพื่อได้รับวิตามินเค จะช่วยทำให้เลือดแข็งตัวเร็วขึ้น นอกจากผักใบเขียวแล้ว คนกรุ๊ปเลือดนี้ ควรรับประทาน มะเขือเทศ แครอท และน้ำผลไม้รวม เพื่อเพิ่มเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยบำรุงสายตา และควรออกกำลังกายที่ใช้พลังงานมาก เช่น การแอโรบิค ว่ายน้ำ จะทำให้ช่วยคุมน้ำหนักให้คงที่ได้เป็นอย่างดี
กรุ๊ป A กลุ่มเลือดนี้เกิดขึ้นในช่วงหมดยุคสมัยแห่งการล่าสัตว์ มนุษย์เริ่มตั้งถิ่นฐานเป็นหลักแหล่งและรู้จักการเพราะปลูกพืชเพื่อเป็นอาหารแทนเนื้อสัตว์ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้จึงเหมาะกับอาหารประเภทข้าว แป้ง และผัก ผลไม้เป็นที่สุด
ข้อควรจำ คือคนเลือดกรุ๊ป A จะอ่อนไหวต่อโรคมะเร็งมากกว่า หมู่อื่นๆ ควรลดหรือละเว้น นม เนื่องจากแอนติเจนที่อยู่ในเซลล์ของเลือดกรุ๊ป A เอง และเนื่องจากน้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรดต่ำ คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงไม่ควรรับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ และอาหารสำเร็จรูปที่มีสารไนไตรท์มาก อาหารที่ควรเลือกรับประทานได้แก่ อาหารทะเล ผักต่างๆและธัญพืช เช่น ซีเรียลโฮลวีท ที่มีใยอาหาร ช่วยในการทำงานของระบบย่อยอาหาร วิตามินบี เพื่อช่วยการทำงานของระบบประสาท และเม็ดเลือดแดงให้แข็งแรง
ข้อควรระวังสำหรับคนกรุ๊ปเลือดนี้ คือความเครียด การออกกำลังกาย ที่ใช้พลังงานมาก กลับยิ่งเพิ่มความเครียดให้กับระบบภูมิคุ้มกัน ดังนั้น จึงควรฝึกโยคะ นั่งสมาธิ ตีกอลฟ์ หรือเต้นระบำเพื่อรักษาสมดุลตามธรรมชาติ
กรุ๊ป B พวกที่อยู่ในกลุ่มเลือดกรุ๊ป B ถือว่าเป็นเลือดที่ถือกำเนิดขึ้นมาเป็นอันดับสามของมนุษย์ เป็นช่วงที่มนุษย์เริ่มทำการเกษตรเป็นแล้ว ก็เริ่มนำสัตว์มาเลี้ยงและรับประทานเนื้อ ดังนั้น คนกรุ๊ปเลือดนี้ จึงรับประทานได้หลากหลาย ทั้งเนื้อ นม ไข่ ผัก ผลไม้
แต่ก็ใช่ว่าจะมีแต่ข้อดีไปเสียหมด เพราะจุดอ่อนอยู่ตรงที่มักมีปัญหาเกี่ยวกับโรคภูมิแพ้ ดังนั้ นจึงควรเสริมอาหารที่ช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย เช่น ผักใบเขียว ผลไม้สด ข้าวกล้อง นมและผลิตภัณฑ์จากนม อย่างการรับประทานผลิตภัณฑ์ที่ ทำจากนม สามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วน หรือท้องเฟ้อเรอเหม็น เปรี้ยว อย่างคนกรุ๊ปเลือด A
ส่วนการออกกำลังกาย สามารถทำได้หลากหลายเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น แอโรบิค ว่ายน้ำ กอล์ฟ หรือแม้แต่โยคะ
กรุ๊ป AB มาถึงเลือดกรุ๊ปสุดท้ายที่เกิดขึ้นในหมู่มนุษย์เรา พบว่าเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อประมาณ 1,000 กว่านี้เอง จะมี 2 ลักษณะในตัว คือเป็นได้ทั้ง แบบกรุ๊ป A และกรุ๊ป B จึงสามารถรับประทานได้ทั้ง 2 กรุ๊ปเลือดตามใจชอบ
แต่ควรที่จะหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันมาก และเนื้อสัตว์ที่ย่อยยาก เนื่องจากน้ำย่อยมีความเป็นกรดต่ำ จึงทำให้ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีกรดเกิดขึ้นมาก ในท้องส่วนล่าง หรือลำไส้ใหญ่ อาจสังเกตได้ง่ายๆ ถ้ามีอาการผิดปกติ คือ จะเรอบ่อย
อาหารที่ควรรับประทาน เช่น อาหารทะเล ผักสด เต้าหู้ ผลไม้จำพวกส้มโอ องุ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโยเกิร์ต เนื่องจากจะช่วยในการย่อย กระเพราะอาหารไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป และควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ เพื่อขับไล่ของเสียในร่างกายที่มีมากกว่าคนกรุ๊ปอื่น ซึ่งเป็นเพราะความซับซ้อนทางด้านชีวเคมี ส่วนการออกกำลังกาย เลือกที่ทำให้จิตใจสงบมีสมาธิ อย่างเช่น โยคะ ยิงธนู เป็นต้น
รู้อย่างนี้แล้ว อย่าลืมพิจารณาก่อนส่งอาหารจานอร่อยเข้าปาก และดำเนินชีวิตให้เกิดสมดุลตามธรรมชาติ เพราะปัญหาสุขภาพเรื้อรัง บางชนิด ไม่อาจรักษาให้หายขาดด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่ทำได้ง่ายๆ ด้วยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการบริโภคเสียใหม่ ...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #234 เมื่อ: กันยายน 15, 2011, 08:50:28 PM » |
|
การล้างพิษแอลกอฮอล์
เป็นที่รู้ๆ กันอีกแหละค่ะว่าแอลกอฮอล์มีโทษต่อร่างกาย ซึ่งคนสมัยก่อนใช้แอลกอฮอล์รักาาไม่ให้ศพเน่าเปื่อย แอลกอฮอล์เป็นมลพิษภายในที่คนรับเข้าไปมากและเป็นปัณหาใหญ่ในทุกเพศทุกวัยในขณะนี้
อาการที่เกิดจากการใช้แอลกอฮอล์เกินขนาดได้แก่ อาการซึมเศร้า อารมณ์เสียง่าย เหนื่อยเพลีย น้ำหนักไม่คงที่ ก้าวร้าว พฤติกรรมแปรปรวน เป็นต้น ตับเป็นอวัยวะที่จะได้รับผลกระทบเทือนมากที่สุด นอกจากนี้แอลกอฮอล์ยังมีผลต่อเนื้อเยื่อสมอง ระบบย่อยและดูดซึมอาหาร และตับอ่อนด้วย การบริโภคแอลกอฮอล์มากเกินไปจะทำให้เกิดอาการขาดวิตามินบี เนื้อเยื่อตับถูกทำลาย และอาจทำให้สมองฝ่อได้ด้วย
คำกล่าวที่ว่า "ควรดื่มไวน์เพื่อป้องกันโรคหัวใจ" นั่นคือดื่มได้ไม่ควรเกิน 1-2 แก้ว ใน 2-3 วันครั้งสำหรับผู้ชาย ส่วนผู้หญิงดื่มได้น้อยกว่านี้ค่ะ จึงจะได้ผลดีตามที่กล่าวมา เพราะไวน์แดงมีฟลาโวนอยด์ ซึ่งเป็นสารที่จะทำหน้าที่คล้ายสารต้านอนุมูลอิสระ ฟลาโวนอยด์นี้มีส่วนช่วยการทำงานของระบบหลอดเลือดหัวใจซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบในสมุนไพรชื่อฮอว์ธอร์นเบอรรี่เหมือนกัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายิ่งดื่มไวน์แดงมากยิ่งดีนะคะ เพราะอย่างไรแอลกอฮอล์ก็ยังมีผลกระทบกับตับอยู่ดี
ทีนี้เรามาเริ่มล้างพิษดีกว่าค่ะ เริ่มที่ขั้นตอนแรกเหมือนเดิมค่ะ
ขั้นตอนที่ 1 ล้างพิษ 3 วัน เราจะล้างพิษด้วยการกินผักผลไม้รวมกับวิตามินและชาสมุนไพร คุณอาจดื่มน้ำผักและน้ำผลไม้ได้บ้างแต่ต้องน้อยๆ ต้องระวังไม่เพิ่มน้ำตาลให้เป้นภารกับตับ ควรเน้นเป็นผักผลไม้สดและโปรตีนคุณภาพดีดีกว่าค่ะ ข้างกล้องเป้นอีกชนิดหนึ่งที่เหมาะกับการล้างพิษนี้ เพราะเป็นอาหารที่ให้พลังงานได้นาน และใช้เวลาย่อยเป็นน้ำตาลเชิงเดี่ยวได้นานถึง 3-4 ชั่วโมง ดังนั้นจะช่วยในคนที่มีอาการอยากน้ำตาล
ดื่มน้ำผสมน้ำมะนาวคั้นสดครึ่งผลเมื่อตื่นนอน ถ้ารู้สึกอยากของหวานๆ ให้เติมน้ำผึ้งแท้ 1 ช้อนโต๊ะ เพื่อช่วยกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้เริ่มทำงานอันดับแรก ทำโจ๊กใสๆ ทานเป้นอาหารเช้า เติมน้ำผึ้งได้แต่ไม่ควรเกิน 2 ช้อนชา อาจทำโจ๊กเป็นโจ๊กข้าวโอ๊ต ซึ่งจะมีฤทธิ์เป็นด่างที่จะช่วยเคลือบกระเพาะและช่วยปรับระบบประสาทให้สงบขึ้นขณะที่กำลังเลิกเหล้า
ระหว่างมื้อเช้าและเที่ยง ให้ดื่มน้ำส้มและน้ำสับปะรดคั้นสดทุกๆ ชั่วโมง เพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ มื้อกลางวัน ให้ล้างพิษภาวะกรดในกระเพาะอาหารด้วยการกินผักทั้งและสดและนึ่งสุก ผักที่ควรทานได้แก่ มันฝรั่ง หอมใหญ่ เทอร์นิป และแครอท หรือสลัดผักใบเขียว แครอท บีทรูท และอโวคาโด (ห้ามใส่ชีส) หรือกินสลัดผักที่ประกอบด้วยผักหลากชนิดเท่าที่จะทำได้ อย่างผักกาดหอม แครอท แตงกวา ผักชีฝรั่ง พริกชี้ฟ้า และหอมใหญ่ ไม่ควรทานมะเขือเทศมากเกินไป เพราะจะเป็นกรดมากเกินไปสำหรับการล้างพิษชนิดนี้ ให้ดื่มน้ำผักตลอดช่วงบ่าย น้ำแครอทผสมน้ำบีทรูทจะดีที่สุด แครอทจะช่วยทำความสะอาดตับและบีทรูทจะช่วยฟื้นฟูสภาพของตับอ่อนและม้าม ดื่มให้ได้ทุกชั่วดมง (อาจเติมน้ำเซเลอรี่ ผักโขม หรือแอปเปิ้ลเพิ่มได้) มื้อเย็นทำซุปผักรับประทานโดยใช้ผักหัวเป็นหลักเช่น เช่นมันผรั่ง เทอร์นิป พาร์สนิป หอมใหญ่ กระเทียม และถั่วสปลิตพีหรืออาจเปลี่ยนนำผักหัวมานึ่งกินรวมกับปร็อกโคลี และดอกกะหล่ำก็ได้ กินเครื่องดื่มบำรุงจากสมุนไพร ถ้าต้องการเร่งกระบวนการล้างพิษให้ตับ โดยส่วนผสมที่ดีที่สุดคือสารสกัดจากแดนดิไลออน เซนต์แมรี่ส์ธิสเทิล อาติโชค ฟรินจ์ทรี รากชะเอม คาโมมายลื และข้าวโอ๊ต ในสัดส่วนที่เท่ากัน โดยผสมเครื่องดื่มดังกล่าว 1 ช้อนชา ลงในน้ำสะอาดหรือแครอทคั้นสด 1 แก้ว ดื่มวันละ 4 ครั้ง ติดต่อกัน 6-8 สัปดาห์ ในช่วงล้างพิษ 3 วันและอีก 6 สัปดาห์ถัดมา คุณควรดื่มเครื่องดื่มคลอโรฟิลล์สีเขียว ซึ่งหาซื้อได้จากร้านทั่วไป เพื่อช่วยปรับสภาวะด่างเลือดให้สมดุล ฟื้นฟูการดูดซึมธาตุเหล็กธรรมชาติ และกระตุ้นการแลกเปลี่ยนออกซิเจนระหว่างเซล กินครั้งละ 1 ช้อนชา วันละ 2-3 ครั้ง โดยผสมเครื่องดื่มกับน้ำผักหรือน้ำสะอาด
ขั้นตอนที่ 2 เสริมสุขภาพ ทานผักและผลไม้ที่แนะนำไว้ให้ได้ทุกวัน และปฏิบัติตามโปรแกรมปรับสภาพ ทานของว่างแต่น้อยๆ แต่ทานบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อลดอาการต่างๆ ที่เกิดจากระดับน้ำตาลในเลือดลดลง กินผลไม้เป็นของว่างระหว่างมื้อและดื่มน้ำผักน้ำผลไม้พร้อมอาหาร ถ้ายังรู้สึกหิวให้กินของว่างประเภทอาหารโปรตีนเพื่อมเช่นถั่วอัลมอนด์ แต่ห้ามกินถั่วงเพราะจะทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนักเกินไป ปลาทูน่า หรือปลาแซลมอนทาขนมปังปิ้ง แต่ห้ามกินเนย เพราะไขมันมากเกินไป
ขั้นตอนที่ 3 เสริมอาหาร รายการเสริมอาหารนี้ควรจัดไว้ในแผนการกินในขั้นตอนที่ 2
ให้ดื่มเครื่องดื่มบำรุงที่สกัดจากพืชหรือสมุนไพรวันละ 3-4 ครั้งติดต่อกันอย่างน้อย 6-8 สัปดาห์ หรือนานกว่านั้น และดื่มน้ำกรีนเมกนาหรือกรีนบาร์เลย์ต่อไปอีกวันละ 2-3 ครั้ง กินวิตามินบีคอมเพลกซ์ (บี1 2 และ 6) 1 เม็ดหลังอาหารสามมื้อ 6 สัปดาห์ จากนั้นลดเหลือวันละครั้ง กินผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดรวมแร่ธาตุได้แก่แคลเซียม แมกนีเซียม สังกะสี และโพแทสเซียม เพื่อช่วยปรับสมดุลระบบประสาทและปรับความแข้งแรงให้เอ็นยึดข้อต่อและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อโดยกิน 1 เม็ดก่อนอาหารแต่ละมื้อ หากมีปัญหานอนไม่หลับให้กิน 2 เม็ดก่อนนอนและงดกินมื้อกลางวัน กินน้ำมันปลาชนิดแคปซูลที่มีส่วนประกอบของกรดไขมันโอเมก้า 3 และ 6 เพื่อช่วยแก้ปัญหาเรื่องผิวแห้งในช่วงเลิกแอลกอฮอล์ โดยกิน 1 แคปซูลหลังอาหารแต่ละมื้อ ติดต่อกัน 6 สัปดาห์ จากนั้นเปลี่ยนมากินวันละ 2 เม็ด เช้าหรือเย็นก็ได้ แต่ต้องหลังอาหาร ถ้ากระเพาะคุณเป็นกรดค่อนข้างมาก สามารถกินสลิปเปอรี่เอ็ล์มช่วยได้ เพราะเอ็ล์มจะช่วยเคลือบกระเพาะและดูดซับกรดส่วนเกิน กินครั้งละ 2-3 แคปซูลก่อนอาหาร คนที่มักตื่นกลางดึกเพราะปวดท้องให้กิน 3-4 แคปซูล เสริมด้วยแคลเซียมเม็ดเพื่อช่วยให้หลับต่อได้และลดกรดไปด้วย อาจดื่มชาสมุนไพรเพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำเต็มที่ตลอดทั้งวัน แนะนำชาเปปเปอร์มินต์ ชาคาโมมายล์ และชาแดนดิไลออน หลีกเลี่ยงกาแฟและบุหรี่ เพราะจะกระตุ้นให้กลับมาอยากแอลกอฮอล์อีก
ขอขอบคุณข้อมูลดี ดี จาก ladytip.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #235 เมื่อ: กันยายน 27, 2011, 08:03:05 PM » |
|
การป้องกันโรคมะเร็ง
1.เลือกอาหารที่มาจากพืช 2.รับประทานผักและผลไม้เพิ่ม 3.รักษานำหนักที่เหมาะสมและออกกำลังกายเป็นประจำ 4.ลดการดื่มสุราและสูบบุหรี่ 5.เลือกรับประทานอาหารที่มีปริมาณไขมันต่ำ 6.ปรุงอาหารอย่างถูกต้อง 7.การถนอมอาหาร 8.การใช้ครีมป้องกันแสงแดดโดยเฉพาะตอน 10.00-15.00 น โดยใช้ครีมที่มี SF อย่างน้อย 15 9.การไม่สำส่อนทางเพศเพราะการมีเพศสัมพันธ์จะทำให้เกิดการติดเชื้อ
สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็ง
สารอาหารที่ใช้ป้องกันมะเร็งหรือที่เรียกว่า Chemoprevention จะทำหน้าที่สองประการคือ ป้องกันการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม และหยุดการแบ่งเซลล์มะเร็ง สำหรับสารที่นิยมมาใช้ป้องกันมะเร็งได้แก่
สารอาหาร ชนิดสารอาหาร ใช้ป้องกันหรือรักษามะเร็ง
Vitamin A + other retinoids vitamin ผิวหนัง คอและศีรษะ ปอด Vitamin C vitamin ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Vitamin D vitamin ลำไส้ใหญ่ Vitamin E vitamin ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Folic Acid vitamin ปากมดลูก Selenium mineral ผิวหนัง Calcium mineral ลำไส้ใหญ่ Beta-Carotene phytochemical ปอด คอและศีรษะ ลำไส้ใหญ่ กระเพาะอาหาร Monoterpenes phytochemical เต้านม Tamoxifen drug เต้านม Finasteride drug ต่อมลูกหมาก Oltipraz drug ตับ NSAIDS (nonsteroidal anti-inflammatory drugs - - aspirin, buprofen) drug ลำไส้ใหญ่ Sunscreen other ผิวหนัง Spirulina fusiformi (blue-green algae) คอและศีรษะ
วิตามินในผักและผลไม้มีคุณค่ามากกว่ายาเม็ดวิตามิน ดังนั้นแนะนำให้รับประทานอาหารพวกผักและผลไม้ให้มาก ในกรณีที่รับอาหารไม่ได้เลยแพทย์ก็จะพิจารณาให้วิตามินเสริม
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 27, 2011, 08:08:32 PM โดย nujai »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #236 เมื่อ: กันยายน 27, 2011, 08:47:11 PM » |
|
อนุมูลอิสระอนุมูลอิสระคืออะไร?ในกระบวนการเผาผลาญสารอาหารของร่างกายซึ่งมี ความจำเป็นต้องอาศัยออกซิเจนช่วย แต่จะเกิดออกซิเจนที่มีประจุลบ (O2) ซึ่งก็คืออนุมูลอิสระ (free radicals) สารตัวนี้ยังสามารถไปรวมตัวกับสารบางชนิดในร่างกายเรา แล้วก่อให้เกิดเป็นสารพิษที่ทำลายเนื้อเยื่อ หรืออาจไปเปลี่ยนแปลงข้อมูลทางพันธุกรรมภายในเซลล์ ทำให้เซลล์ที่ปกติแปรสภาพไปเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุดอนุมูลอิสระ เป็นอนุภาคไม่คงตัว จึงทำปฏิกิริยากับโมเลกุลที่อยู่ติดกันได้อย่างรวดเร็ว เกิดปฏิกิริยาที่เรียกว่า “ออกซิเดชั่น” (Oxidation) ซึ่งอาจก่อผลกระทบที่อันตรายต่อร่างกายได้อนุมูลอิสระเกิดขึ้นได้อย่างไร? นอกจากเกิดจากกระบวนการเผาผลาญสารอาหารในร่างกายแล้ว ยังอาจเกิดจากการติดเชื้อทั้งจากแบคทีเรียและไวรัส การอักเสบชนิดไม่ทราบสาเหตุ เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ , จากรังสี, สิ่งแวดล้อมที่เป็นมลพิษ เช่น ควันเสียและเขม่าจากเครื่องยนต์, ควันบุหรี่, ยาฆ่าแมลง, การออกกำลังกายอย่างหักโหมอนุมูลอิสระทำให้เกิดอะไรกับร่างกายบ้าง? เมื่ออนุมูลอิสระทำปฏิกิริยากับรหัสพันธุรกรรมดีเอ็นเอในนิวเคลียสของเซลล์ อาจทำให้เซลล์กลายพันธ์และกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ถ้าเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นกับโคเลสเตอรอลในกระแสเลือด จะกระตุ้นให้เกิดไขมันสะสมในหลอดเลือด นำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือด ทำให้หลอดเลือดในสมองแตกหรือตีบได้ นอกจากนี้ อนุมูลอิสระยังมีส่วนทำให้เกิดต้อกระจก ภูมิต้านทานต่ำ โรคข้ออักเสบและแก่ก่อนวัย บทบาทของสารต้านอนุมูลอิสระ สารต้านอนุมูลอิสระทำลายฤทธิ์ของอนุมูลอิสระ โดยป้องกันการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นในส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย นอกจากสารต้านอนุมูลอิสระที่ร่างกายสร้างเองแล้ว ในวิตามิน แร่ธาตุ และพฤกษาเคมี (PhytoChemical) ก็มีสารต้านอนุมูลอิสระอยู่ด้วย และช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีสีสัน ในผัก ผลไม้ กับสุขภาพ ไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrient) หรือไฟโตเคมีคอล (Phytochemical) หรือเรียกว่าพฤษเคมี คือสารเคมีต่าง ๆ ที่มีอยู่ในผัก ผลไม้ เป็นสารที่ทำให้เกิด สี กลิ่น รส ในผัก ผลไม้ มีประโยชน์ต่อร่างกายในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งมีหลายชนิดและจะมีสีสันที่แตกต่างกันไป ลองมารู้จักพวกเขาอย่างง่าย ๆ ดูประโยชน์ที่จะได้รับกัน เช่นชนิดสีแดง ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันมะเร็งชนิดต่าง ๆ ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ โรคปอด และโรคระบบทางเดินปัสสาวะ มีไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrient): ไลโคพีน (Lycopene) เช่น มะเขือเทศ , แตงโม, เกรฟฟรุทสีชมพู (Pink Grapefruit)ชนิดสีม่วง ช่วยลดการจับตัวกันของลิ่มเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมองอุดตัน ช่วยในการมองเห็น ช่วยป้องกันโรคความจำเสื่อม มีไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrient): แอนโธไซยานิน (Anthocyanins) เช่น องุ่น, บลูเบอรี่ ,สตอเบอร์รี่, หัวบีท, มะเขือม่วงชนิดสีส้ม ช่วยป้องกันผิวจากการทำลายของอนุมูลอิสระและช่วยซ่อมแซมดีเอ็นเอ (DNA) ช่วยในการมองเห็นตอนกลางคืน มีไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutient): แอลฟาและเบต้าแคโรทีน เช่น แครอท, มะม่วง, แคนตาลูป, มันเทศชนิดสีเหลืองส้ม ช่วยป้องกันโรคหัวใจ ช่วยเซลล์ในร่างกายในการสื่อประสาท ช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน มีไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrient): Beta Cryptothanxin เช่น ส้ม, พีช, มะละกอชนิดสีเหลืองเขียว ช่วยลดความเสี่ยงโรคต้อกระจก ช่วยป้องกันหลอดเลือดหนาตัว เสริมความแข็งแรงของกระดูกและฟัน มีไฟโตนิวตรียนท์ (Phytonutrient): Lutein, Zeaxanthine เช่น ผักขม , ข้าวโพด, อะโวคาโด , แตงฮันนีดิวชนิดสีเขียว ช่วยยับยั้งสารก่อมะเร็ง มีไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrient): ซัลโฟราเฟน (Sulforaphane), ไอโซไซยาเนท (Isocyanate), อินโดล (Indoles) เช่น บรอคโคลี, กะหล่ำปลี, ผักกาดหอมฝรั่ง, บรัสเซลส์สเปราท์ชนิดสีเขียวขาว ช่วยป้องกันมะเร็ง มีไฟโตนิวเตรียนท์ (Phytonutrients): Quercetin, Kaempferol, Allicin เช่น กระเทียม, หอม, ซีเรอลี, ลูกแพร์ผักผลไม้หลายชนิดที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะกลุ่มไฟโตนิวเตรียนท์
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กันยายน 27, 2011, 08:49:26 PM โดย nujai »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #237 เมื่อ: กันยายน 27, 2011, 08:59:04 PM » |
|
บทความเก่าแต่มีเนื้อหาสาระว่างๆๆเข้ามาอ่านกันน้ะค่ะวันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2551 สุขภาพดีด้วย“ธรรมชาติบำบัด” วิธีการ “ธรรมชาติบำบัด” เป็นแนวทางที่ผู้คนทั่วโลกหันมาสนใจ Mr.Jacob Vadakkanchary คุณหมอชาวอินเดีย ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาแบบธรรมชาติบำบัด ได้กล่าวว่า ธรรมชาติบำบัดคือการดูแลรักษากาย ใจ โดยขบวนการทางธรรมชาติ (สรุปง่าย ๆ ว่า คือ ร่างกายและจิตใจของคนเราสามารถเยียวยารักษาตัวเองได้ ทุกโรค ถ้าร่างกายอยู่ในสภาพสมดุลปรกติ) โรคร้ายต่างๆ เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดหัวใจตีบตัน ภูมิแพ้ หืดหอบ ฯลฯ เกิดจากการดำเนินชีวิตผิดธรรมชาติและรับประทานอาหารที่มีสารเคมีปนเปื้อน หรือการใช้ชีวิตที่เครียดเกินไป หักโหมเกินไป กังวลเกินไป ออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ พักผ่อนไม่เพียงพอ ดังนั้น การดูแลสุขภาพของคนเราจะเน้นเรื่องอาหาร การกินอาหารที่ดีจะทำให้มีสุขภาพดี Bacteria ไม่มีผลทำให้เกิดโรคต่อร่างกาย การเจ็บป่วยของคนล้วนเกิดจากอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนที่คนเรากินเข้าไป ขบวนการขับสารพิษออกจากร่างกายมี 4 ทาง (จมูก/เหงื่อ/ปัสสาวะและอุจจาระ) คนเราควรหมั่นหายใจลึกๆจะได้อากาศบริสุทธิ์เข้าปอด เพื่อนำออกซิเจนเข้าไปหล่อเลี้ยงร่างกาย และควรตากแสงแดดอ่อนๆทั้งในตอนเช้าและตอนเย็น เพื่อดูดสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเป็นวิธีดูแลรักษาสุขภาพอย่างง่ายๆ เวลาเจ็บป่วยร่างกายจะเสียสมดุล ถ้าจะแก้ไขให้สมดุลก็ต้องปรับสภาพทั้งร่างกายและจิตใจ การไอ/จาม/มีผื่นไม่ใช่อาการป่วย แต่ร่างกายกำลังทำความสะอาดตัวเองตามธรรมชาติ จะจามเพื่อขับพิษออกจากปอด การกินยาแก้ไอจะทำให้ร่างกายไม่สามารถขับสารพิษออกมาได้ การที่เราเป็นไข้ก็เป็นขบวนการทำลายเชื้อโรค เวลาท้องเสียถือเป็นการทำความสะอาดของร่างกายครั้งใหญ่ การถ่ายให้หมดจะช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกาย หากใช้ยาหยุดถ่าย พิษต่างๆก็จะซึมเข้าสู่ร่างกาย หากซึมผ่านเส้นเลือดไปที่ผิวหนังก็จะเป็นผื่น ซึมไปที่ไตก็จะเป็นโรคไต ซึมไปที่ระบบหายใจก็จะเป็นหืดหอบ แนะนำให้กินอาหารมังสวิรัติ เพราะเนื้อสัตว์ก็จะไปหมักหมมอยู่ในลำไส้ ร่างกายก็จะได้รับสารพิษนั้น คนที่ปวดศีรษะเนื่องจากมีเนื้องอกที่สมองเป็นกลไกของร่างกายต้องการให้หยุดทำงาน หากกินยาแก้ปวดศีรษะ อาการปวดบรรเทาก็ยังคงทำงานต่อไปได้ เนื้องอกก็จะลุกลามต่อไป จึงควรรักษาโดยธรรมชาติบำบัด (Health Life Style) การรับประทานยาต่างๆ เช่น Brufen, Paracetamol, Penicillin และ Tetracycline เป็นต้น ซึ่งจะมีพิษต่อตับและไต ยาจะให้ผลดีในระยะสั้น แต่จะเกิดผลเสียในระยะยาว ทุกวันนี้คนเราป่วยเพราะมีสารพิษตกค้างในร่างกาย (เนื้อสัตว์ใช้เวลาย่อย 12 ชั่วโมง ผักดิบใช้เวลาย่อย 2.30 ชั่วโมง ส่วนน้ำผลไม้ใช้เวลาย่อยเพียง 1 ชั่วโมง) วิธีการอดอาหารเพื่อล้างพิษ เป็นทางเลือกหลักของวิชาธรรมชาติบำบัด บางคนอดอาหาร 7 วัน - 14 วัน - 21 วัน แล้วแต่อาการของโรค ก่อนอดอาหารต้องเตรียมความพร้อมโดยให้กินผักและผลไม้เพื่อปรับสภาพร่างกาย 3 วัน หลังจากนั้น 4 วันแรกให้ดื่มน้ำเปล่าอย่างเดียว อีก 3 วันต่อมาให้ดื่มน้ำผึ้งผสมน้ำมะนาว และ 3 วันสุดท้ายให้ดื่มน้ำผลไม้ จากนั้นค่อยๆปรับสภาพร่างกาย โดยให้รับประทานผักสดและผลไม้ แล้วกลับมาใช้ชีวิตปรกติตามเดิม ในรายผู้ป่วยที่เป็นโรคมะเร็ง อาจให้อดอาหาร 20 วัน เพื่อไม่ให้มะเร็งเจริญเติบโต ระหว่างนั้นจะให้น้ำผลไม้อ่อนๆ ให้เอาผ้าเปียกมาประคบบริเวณที่มีอาการปวดจะทำให้เลือดหมุนเวียนได้ดีขึ้น เพราะระบบภายในของผู้ป่วยโรคมะเร็งจะสูญเสียสมดุลเกือบหมด ระหว่างการรักษาหากผู้ป่วยมีอาการไข้นอนซม หมอธรรมชาติบำบัดจะรู้สึกดีใจ เพราะเป็นวิธีการที่ธรรมชาติรักษาตัวเอง อุณหภูมิในร่างกายผู้ป่วยสูงขึ้นเพื่อฆ่าเชื้อโรค เป็นการส่งสัญญาณว่าการรักษาได้ผล บางครั้งผู้ป่วยจะมีอาการเจ็บคอ ปากขม ไม่อยากอาหาร เพราะร่างกายต้องการเยียวยาตัวเอง หากผู้ป่วยมีอาการเจ็บปวดบริเวณที่เป็นโรคมะเร็งก็จะใช้โคลนพอกเพื่อช่วยบำบัดอาการเจ็บปวด นอกจากนี้ยังใช้วิธีฝึกเปลี่ยนจิตของผู้ป่วยด้วยการให้ฝึกภาวนา และเปลี่ยนวิธีคิดของผู้ป่วยโดยให้คิดว่าวันนี้อาการดีขึ้น หรือให้ผู้ป่วยด้วยกันช่วยกันเยียวยาจิตใจ เช่น ให้พูดบอกกันว่าวันนี้อาการดูดีขึ้นนะ วิชาธรรมชาติบำบัดมีหลักว่าจิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว หากจิตตายร่างกายจะตายด้วย การฝึกโยคะก็เป็นอีกวิธีหนึ่งของการรักษาเพื่อให้เข้าถึงจิตตัวเอง เช่น คนออกกำลังกายในโรงยิมก็เหมือนคนภาวนาเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง เพราะจิตบอกว่าออกกำลังกายเพื่อให้มีกล้าม ต่างจากกรรมกรที่แบกหามกล้ามเนื้อจะไม่สมบูรณ์เหมือนคนออกกำลังกายในโรงยิม เพราะจิตไม่ได้สั่ง ในการรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวานที่เป็นแผลเรื้อรัง เมื่อผู้ป่วยมีแผลตามแขนขา ซึ่งเป็นแผลที่รักษาไม่หาย อาจจะต้องตัดอวัยวะส่วนที่เป็นแผลทิ้ง ซึ่งรักษาโดยวิธีธรรมชาติบำบัดอย่างง่ายๆด้วยการให้ผู้ป่วยใช้หรือรับประทาน raw diet (อาหารดิบ น่าจะหมายถึงผักผลไม้สด) ใช้สมุนไพร tamaric root (พืชเป็นหัวใต้ดินตระกูลขิง ข่า ขมิ้น) และน้ำเย็นล้างแผลวันละ 2-3 ครั้ง แล้วให้ผู้ป่วยตากแดด เน้นเรื่องการตากแดด แผลนั้นจะค่อยๆแห้งและยุบ จนกระทั่งแผลหาย การรักษาผู้ป่วยเป็นไมเกรนหรือไซนัส การล้างจมูกด้วยน้ำอุ่นผสมเกลือจะช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกออกจากร่างกาย หรือล้างตาในน้ำสะอาดจะทำให้ระบบประสาทตาเย็นลง และช่วยขจัดไขมัน Dr.Jacob กล่าวว่า หากคนเราดูแลเรื่องอาหารการกิน ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตให้สอดคล้องกับธรรมชาติ ไม่รับประทานยา เพราะยาไม่เพียงแต่ฆ่าเชื้อโรคเท่านั้น แต่ยังทำลายภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ยาแผนปัจจุบันแม้จะช่วยยับยั้งอาการปวดหรืออาการไข้ แต่นั่นเป็นเพียงการกดอาการ ไม่ได้เป็นการรักษาให้หายขาด การรักษาอยู่ที่ตัวของเราเองที่หันมารักษาตามแนวทางธรรมชาติบำบัด เขียนโดย AngleAgel ที่ 9:58 ป้ายกำกับ: การดูแลสุขภาพ, ธรรมชาติบำบัด, แพทย์ทางเลือก ขออนุญาติยังไม่จัดหน้าน้ะค่ะปัวฮัวยูจ้ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #238 เมื่อ: กันยายน 28, 2011, 10:38:26 PM » |
|
การสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งอาการของ การเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย วันนี้เรานำเสนอการสังเกตอาการเบื้องต้นของมะเร็งชนิดต่างๆมาฝากกัน1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณอาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศ สัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูด เนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์ หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการ ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ หรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์ มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย) อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาการ ปวดตามข้อต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของ ช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆ มีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำ หนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บ หน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆ ที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลดตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัดจนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆ และมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่า และเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็น อัมพาตชั่วคราวควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มี อาการ เหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือ เป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันที มีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบาก หรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึก ได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนา ขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิด ขึ้น ที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10 คนจะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอกโดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียก ว่า ซีสต์ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกัน แน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการ น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติ มีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ ได้ เกิดอาการติดเชื้อในบาง ส่วนของร่างกายมะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝ หรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา ( Melanoma ) คือ เนื้อ งอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่น กระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติ ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.photos.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #239 เมื่อ: กันยายน 28, 2011, 10:41:29 PM » |
|
กินไอศกรีมมื้อเที่ยงไม่อ้วนสำหรับสาวๆ ที่ชื่นชอบการกินไอศกรีมแต่กลัวอ้วน อาจจะต้องดีใจจากข้อมูลจากประเทศอิตาลี ที่ขึ้นชื่อเรื่องไอศกรีมโฮมเมดว่า ....
การกินไอศกรีมนั้นดีกว่ากินมื้อเที่ยงเป็นไหนๆ เพราะย่อยง่าย และทำให้สดชื่นพร้อมลุยงานต่อในช่วงบ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าใครอยากลดความอ้วนละก็ แนะนำให้กินไอศกรีมผลไม้แทนมื้อเที่ยงสักอาทิตย์ละ 2 ครั้ง
ข้อดีต่อไปคือ ไอศกรีมเชอร์เบทดับกระหายได้ดีกว่าน้ำ เพราะมีน้ำซึ่งจับตัวเป็นน้ำแข็งอยู่ร้อยละ 65-70 แถมมีแคลอรี่น้อยกว่าน้ำอัดลมด้วย นอกจากนี้ไอศกรีมยังช่วยลดความเครียดได้ เพราะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายและทำให้ผ่อนคลายอีกด้วยขอขอบคุณ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|