jainu
|
|
« ตอบ #330 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2012, 08:40:17 PM » |
|
ปวดส้นเท้า เอาไงดี? ท่านผู้อ่านหลายๆท่านอาจจะกำลังประสบปัญหาเดียวกัน นั่นก็คือปวดส้นเท้าไม่ทราบสาเหตุ ปวดแบบเรื้อรังมานานรบกวนการยืน เดิน ในชีวิตประจำวัน วันนี้ ไคโรเมด คลินิก มีวิธีการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ที่มีอาการปวดส้นเท้าอย่างง่ายๆ มาฝากท่านผู้อ่านทุกท่านค่ะ
อาการปวดส้นเท้าเกิดจากอะไร?
ก่อนที่จะทราบวิธีการรักษาเบื้องต้น เราควรรู้ถึงสาเหตุหลักๆของอาการปวดส้นเท้ากันก่อน สาเหตุของอาการปวดส้นเท้าเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การเสื่อมสภาพของพังผืดตามการใช้งาน การเดินและรับน้ำหนักมากเกินไป หรือการมีกระดูกงอกบริเวณส้นเท้า แต่สาเหตุของอาการปวดส้นเท้าที่พบได้บ่อย ได้แก่ เส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบ (Plantar fasciitis) หรือที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า "โรครองช้ำ" นั่นเอง ซึ่งอาการดังกล่าวพบได้บ่อย ในผู้หญิงวัยกลางคน ผู้ที่อ้วน หรือ มีรูปเท้าผิดปกติ เช่น เท้าแบน เท้าบิด ส่วนสาเหตุของการเกิดโรคที่แท้จริงยังไม่ทราบ แต่เชื่อว่าเป็นเพราะความเสื่อมในจุดที่เส้นเอ็นฝ่าเท้าเกาะกับกระดูกเส้น เอ็นฝ่าเท้าจะเกาะอยู่ระหว่างส้นเท้ากับนิ้วเท้า เมื่อเส้นเอ็นหรือกระดูกบริเวณส้นเท้า ได้รับแรงที่มากเกินไป เช่น การยืนหรือเดินนาน ๆ น้ำหนักตัวมาก อุบัติเหตุ หรือ ใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เป็นต้น ทำให้เส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบได้ ลักษณะของอาการปวดที่พบได้บ่อย คือ หลังจากนอนหรือนั่งพักเป็นเวลานานๆ แล้วลุกขึ้นเริ่มเดินลงน้ำหนักในช่วงแรก ๆ จะรู้สึกปวดมาก แปล๊บๆที่ส้นเท้า แต่หลังจากที่เดินไปได้สักพัก อาการปวดก็จะทุเลาลง
อาการปวดส้นเท้ารักษาอย่างไรให้หายขาด?
ผู้ป่วยเส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบส่วนใหญ่อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่อาจจะต้องใช้เวลารักษานานหลายเดือน หรืออาจจะเร่งกระบวนการในการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ โดยใช้วิธีการทำกายภาพบำบัด และการรักษาทางการแพทย์โดยการทานยาลดปวดลดอักเสบ ส่วนวิธีการผ่าตัดนั้นไม่ค่อยเป็นที่นิยมนำมาใช้ในการรักษา แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือวิธีการดูแลตัวเอง ดังนี้
1. ลดกิจกรรมที่ทำให้ปวด หรือ กิจกรรมที่ต้องลงน้ำหนัก เช่น การยืนหรือ เดินนาน ๆ เป็นต้น และควรออกกำลังที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนัก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน เป็นต้น
2. บริหารเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง และ เส้นเอ็นฝ่าเท้า เป็นประจำ
3. นวดฝ่าเท้าเบาๆเพิ่อเป็นการผ่อนคลาย หรือ ใช้ผ้าพันที่ฝ่าเท้าและส้นเท้าเพื่อลดการบาดเจ็บต่อเอ็นฝ่าเท้า
4. ใส่รองเท้าที่มีขนาดพอดีไม่หลวมหรือคับจนเกินไป สำหรับผู้ที่เท้าแบนควรเสริมพื้นรองเท้าด้วยแผ่นรอง เพื่อรับอุ้งเท้าให้นูนขึ้น อาจใช้แผ่นนุ่ม ๆ รองอีกทีที่ส้นเท้าเพื่อลดอาการปวดจากแรงกดเวลาลงน้ำหนัก หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า
5. ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำอุ่น อาจใช้น้ำแข็งทุบใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยผ้าขนหนู หรือ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 10 - 15 นาที หรือ ประคบด้วยความร้อน 4 นาที สลับกับความเย็น 1 นาที หรือใช้ครีมนวดแก้ปวด ก็ได้แต่ต้องระวังอย่านวดแรงเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อฟกช้ำมากขึ้นไป ถ้าปวดมากอาจรับประทานหรือทายาแก้ปวด
6. ลดน้ำหนัก เพื่อลดแรงกดเมื่อเดินลงน้ำหนัก ถ้าดูแลตัวเองได้ดีเช่นนี้ รับรองอาการปวดส้นเท้าของท่านจะต้องลดลงอย่างแน่นอนค่ะ!!!chiromedbangkok
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #332 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 17, 2012, 09:28:10 PM » |
|
10 ท่าเด็ดสำหรับสาวออฟฟิศ งานในสำนักงานส่วนใหญ่จะมีลักษณะการทำงานในท่านั่งหรือท่ายืนเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานที่เกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งการนั่งทำงานผิดท่า การนั่งในท่าก้มนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อส่วนหลังมีการหดเกร็ง ตึง จึงมีอาการปวดเมื่อย รู้สึกไม่สบายตัว และมีอาการเรื้อรังได้ การรักษาเบื้องต้น
1. งดนั่งทำงานผิดท่า ใช้คอมพิวเตอร์นานหรือนั่งก้มคอนานๆ 2. ประคบร้อน และนวดบริเวณที่ปวดเมื่อย จะช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย 3. หากเริ่มมีอาการปวดเมื่อย สามารถทานยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการได้ 4. บริหารกล้ามเนื้อ จะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้กล้ามเนื้อ กลับมาแข็งแรงและลดอาการอ่อนล้าได้ดี
1. ท่า Cheer (ไชโย) - ปล่อยแขนข้างลำตัว ทั้ง 2 ข้าง - ยกแขนทั้ง 2 ข้าง ขึ้นมาประสานเหนือศรีษะ - ประสานมือแน่นและเกร็งกล้ามเนื้อไว้ก่อนปล่อยมือลงข้างลำตัว
2. ท่า Butterfly (ผีเสื้อ) - วางมือทั้งสองข้างบนหัวไหล่ - หมุนข้อศอกและแขนมาชนกันด้านหน้า - เกร็งกล้ามเนื้อแขนและหลังไว้ 3-5 นาที
3. Shoulder Roll (หมุนไหล่) - วางแขนที่พนักวางแขน - หมุนไหล่เป็นวงกลมไปด้านหน้า - หมุนไหล่ย้อนกลับเป็นวงกลมไปด้านหลัง
4. Shoulder Shrug (ยักไหล่) - ปล่อยแขนข้างลำตัวทั้ง 2 ข้าง - ยกหัวไหล่ให้สูงขึ้นถึงหู เกร็งไหล่และหลังไว้ 3-5 นาที
5. Head Tilt (เอียงคอ) - เอียงคอไปซ้ายและขวาให้หูถึงไหล่
6. Neck & Shoulder Stretch (ยืดคอและลำตัว) - ใช้มือจับด้านข้างของเก้าอี้ - นั่งตัวตรงแล้วเอียงตัวไปฝั่งตรงข้าม (ให้ลำตัวเป็นแนวตรง) - สลับซ้ายและขวา
7. Twist Body (บิดตัว) - ใช้มือจับขอบเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม - หมุนตัวไปฝั่งตรงข้ามให้เอวและไหล่ตึง - ทำสลับซ้ายและขวา
8. Stretch Back (ก้มเหยียดหลังตรง) - วางเท้าบนพื้น - โน้มตัวไปด้านหน้า - ใช้มือจับขาเก้าอี้ - เหยียดและเกร็งหลังให้ตรง
9. Straight Leg Stretch - เหยียดขาตรง - ยืนตัวตรง - ก้มโน้มตัวไปข้างหน้า แล้วเอามือแตะที่ปลายเท้า - ให้เข่าเหยียดตรง
10. Take A Walk - เดินพัก 10-15 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อของหลังและไหล่ผ่อนคลายที่มา ... โรงพยาบาลสงขลานครินทร์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #333 เมื่อ: มีนาคม 02, 2012, 09:20:10 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #334 เมื่อ: มีนาคม 02, 2012, 09:39:46 PM » |
|
เอ็นฝ่าเท้าอักเสบเกิดจากสาเหตุอะไร เมื่อพูดถึงอาการ "เอ็นฝ่าเท้าอักเสบ" คำนี้อาจจะคุ้นหูใครหลายคน แต่เชื่อเถอะว่า หลายคนก็ไม่ทราบว่าอาการนี้เกิดจากสาเหตุอะไร แล้วถ้าเป็นขึ้นมาจะแก้ไขได้อย่างไร วันนี้คุณศันสนีย์ ธิตาสมบูรณ์ นักกายภาพบำบัด จะมาไขข้อข้องใจให้ฟังค่ะ
สำหรับสาเหตุของการเกิดโรคเอ็นฝ่าเท้าอักเสบที่แท้จริงยังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าเป็นเพราะความเสื่อมในจุดที่เส้นเอ็นฝ่าเท้าเกาะกับกระดูก เส้นเอ็นฝ่าเท้าจะเกาะอยู่ระหว่างส้นเท้ากับนิ้วเท้า เมื่อเส้นเอ็นหรือกระดูกบริเวณส้นเท้าได้รับแรงที่มากเกินไป เช่น การยืนหรือเดินนาน ๆ น้ำหนักตัวมาก อุบัติเหตุ หรือใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม ฯลฯ ทำให้เส้นเอ็นฝ่าเท้าอักเสบได้
ทั้งนี้ อาการเอ็นฝ่าเท้าอักเสบมักพบได้บ่อยในผู้หญิงวัยกลางคน ผู้ที่มีความอ้วน หรือมีรูปเท้าผิดปกติ จะมีอาการปวดแบบตื้อ ๆ หรือปวดอย่างรุนแรง ถ้ากระดกข้อเท้าขึ้นหรือกดที่ส้นเท้า จะปวดมากขึ้น วิธีรักษาด้วยตนเองอย่างง่ายคือ
1. ควรลดกิจกรรมที่ทำให้ปวด เช่น การยืนหรือ เดินนาน ๆ เป็นต้น 2. ควรออกกำลังที่ไม่ต้องมีการลงน้ำหนัก เช่น ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน 3. หากมีเวลาควรบริหารเพื่อยืดกล้ามเนื้อน่อง และเส้นเอ็นฝ่าเท้า 4. นวดฝ่าเท้า หรือใช้ผ้าพันที่ฝ่าเท้าและส้นเท้า 5. ใส่ใจกับการเลือกรองเท้าที่เหมาะสม ขนาดพอดีไม่หลวมเกินไป มีพื้นรองเท้าที่นุ่ม และมีแผ่นรองรับอุ้งเท้าให้นูนขึ้น อาจใช้แผ่นนุ่ม ๆ รองที่ส้นเท้า เพื่อลดอาการปวด ควรใส่รองเท้าส้นสูงประมาณ 1–1.5 นิ้ว หรือใช้แผ่นยางสำหรับรองส้นเท้าโดยเฉพาะ 6. หลีกเลี่ยงการเดินด้วยเท้าเปล่า 7. ประคบด้วยน้ำแข็งหรือน้ำอุ่น อาจใช้น้ำแข็งทุบใส่ในถุงพลาสติกแล้วห่อด้วยผ้าขนหนู หรือ ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำอุ่น ประคบบริเวณที่ปวดประมาณ 10-15 นาที หรือ ประคบด้วยความร้อน 4 นาที สลับกับความเย็น 1 นาที ก็ได้ อาจใช้ครีมนวดแก้ปวดก็ได้ แต่ต้องระวังอย่านวดแรงเพราะจะทำให้กล้ามเนื้อฟกช้ำมากขึ้นไป 8. ถ้าปวดมาก ให้รับประทานยาแก้ปวด ประคบด้วยความร้อน หรือใช้ยานวด 9. ท้ายสุดให้พิจารณารูปร่างตัวเอง หากอ้วนเกินไปควรลดน้ำหนักที่มา ... Lisa
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #335 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 08:38:57 PM » |
|
จู๊ด จู๊ด ท้องร่วงหน้าร้อนจู๊ด จู๊ด ท้องร่วงหน้าร้อนในช่วงหน้า ร้อนโรคระบบทางเดินอาหาร เป็นกลุ่มอาการที่ก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพ โดยเฉพาะโรคอุจจาระร่วง ผู้ป่วยจะมีการถ่ายอุจจาระที่ผิดปกติ ถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ มากกว่า 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน
ทั้งอาจมีมูก-เลือดปนออกมากับอุจจาระ ร่วมกับอาการปวดมวนท้องน้อย มีไข้ต่ำ และคลื่นไส้ อาเจียน
สำหรับ ปัญหาโรคอุจจาระร่วง พญ.วิไลลักษณ์ อริยวงศ์โสภณ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคระบบทางเดินอาหารและโรคตับ ประจำ รพ.พญาไท 1 ไขความกระจ่างถึงสาเหตุที่อาจเกิดจากการติดเชื้อ เพราะรับประทานอาหารที่มีพิษของเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่ ที่พบบ่อยมักเป็นอาหารทะเล อาหารหมัก-ดอง อาหารรสจัดจ้าน อาหารกระป๋องหมดอายุ หรือเกิดจากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อโรคปนเปื้อน เช่น เชื้อแบคทีเรีย ไวรัส ปรสิต ซึ่งเจริญเติบโตได้ดีในสภาพอากาศร้อนชื้น ส่งผลให้ผู้ที่รับประทานเกิดเข้าไปเกิดอาการอุจจาระร่วง เกิดเป็นโรคอหิวาต์ โรคบิด
ในทางตรงกันข้าม โรคอุจจาระร่วงเกิดได้แม้ไม่ติดเชื้อ จากอาหารบางชนิด เช่น เห็ดพิษ หรือยาบางประเภท อย่างยารักษาโรคเก๊า ยารักษาโรคข้อ ยาปฏิชีวนะ ยาระบาย หรือยารักษากระเพาะอาหารที่มีแมกนีเซียมมาก
กรณีที่ป่วยด้วยโรคดัง กล่าว ร่างกายจะแสดงอาการภายใน 1-6 ชั่วโมงแรก และมักจะหายได้ใน 48 ชั่วโมง ผู้ป่วยสามารถดูแลตนเองเบื้องต้นได้โดยรับประทานอาหารอ่อน ๆ ดื่มน้ำเกลือแร่ (ORS) งดดื่มนม อาหารรสจืด ผัก ผลไม้
หากอาการไม่ มาก สามารถหายได้โดยการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ แต่หากมีอาการที่รุนแรง ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย เพราะถ่ายอุจจาระมากครั้งจนสูญเสียน้ำในร่างกายไปมาก ให้ระวังความดันโลหิตต่ำ ชีพจรอ่อนจนทำให้หมดสติ เพราะฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย หากรู้สึกว่าอาการที่เกิดขึ้นหนักเกินรับมือ ควรรีบพบแพทย์โดยด่วน
อย่างไรก็ตาม การป้องกันโรคอุจจาระร่วง ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด ดื่มน้ำสะอาด และควรล้างมือบ่อย ๆ.takecareDD@gmail.com
ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #338 เมื่อ: มีนาคม 20, 2012, 10:02:30 PM » |
|
3 สาเหตุ ไตป่วย 3 สาเหตุ ไตป่วย
คนส่วนใหญ่มักรู้และเข้าใจว่า การกินอาหารรสจัด โดยเฉพาะรสเค็ม และพฤติกรรมดื่มน้ำน้อยเกินไป เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เกิดโรคไต ส่วนผู้ที่ป่วยด้วยโรคไตแล้ว ก็จะต้องดูแลเรื่องอาหารการกิน ต้องหลีกเลี่ยงอาหารที่มีโซเดียมสูง แต่น้อยคนที่จะรู้ถึงสาเหตุภายในที่ทำให้เกิดโรคไต
เมื่อไม่นานมานี้ ที่งาน “รักไต ใส่ใจสุขภาพ” ผศ.พญ.เสาวลักษณ์ ชูศิลป์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไต โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เผยว่า สาเหตุของโรคไตที่พบบ่อย มี 3 สาเหตุหลักๆ คือ เส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงไตเกิดตีบตัน ทำให้เลือดมาเลี้ยงไม่สะดวก เรียกว่า ไตขาดเลือดสาเหตุต่อมา ตัวเนื้อไตเกิดการอักเสบ เนื่องจากเส้นเลือดฝอยในไตอักเสบติดเชื้อ หรือแพ้ยาบางชนิด และสาเหตุสุดท้าย ปัญหาจากท่อส่งปัสสาวะ หรือกระเพาะปัสสาวะ เช่น เกิดการตีบตันจากนิ่วหรือต่อมลูกหมากโต ส่งผลให้เกิดความดันไปยังไต
ทั้งนี้ ผศ.พญ.เสาวลักษณ์ ระบุถึงอาการเตือนโรคไต ที่คนทั่วไปสามารถสังเกตได้นั้น มีทั้งการปัสสาวะขัด รู้สึกปวดแสบต้องเบ่งนาน ปัสสาวะน้อย มีสีขุ่นหรือเป็นเลือด ตัวบวม ซีด ความดันโลหิตสูง ปวดหลัง มีไข้ คลื่นไส้ อาเจียน กินไม่ได้ อ่อนเพลีย ดังนั้น ผู้ที่พบว่า ตนเองมีอาการดังกล่าว ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูว่า ไตมีความผิดปกติหรือไม่
อย่างไรก็ตาม การตรวจสุขภาพประจำปี เป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้รู้ทันโรคไต รู้ว่าไตมีความบกพร่องหรือไม่ ซึ่ง ผศ.พญ.เสาวลักษณ์ บอกว่า โดยเฉพาะการเก็บตัวอย่างปัสสาวะ สามารถนำไปตรวจให้รู้ว่ามีเลือดปนออกมาด้วยหรือไม่ และการตรวจเลือด เพื่อดูค่า BUN (Blood Urea Nitrogen : บลัด ยูเรีย ไนโตรเจน) เป็นการประเมินประสิทธิภาพไตในการล้างของเสียหากผิดปกติ จะพบว่า ในเลือดมีของเสียปน
ด้านงาน “วันไตโลก ปี 2555” สมาคมโรคไตแห่งประเทศไทยร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ ประธานอนุกรรมการป้องกันโรคไตเรื้อรัง สมาคมโรคไตฯ เล่าสถานการณ์โรคไตว่า ปัญหาโรคไตเรื้อรังรวมทั้งโรคไตวายระยะสุดท้ายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขที่สำคัญของประเทศ เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตที่สูงมาก โดยเฉพาะในปัจจุบันมีผู้ป่วยไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายมากกว่า 30,000 รายในประเทศไทย ทว่าในแต่ละปีมีผู้บริจาคอวัยวะเพียงปีละไม่ถึง 200 รายเท่านั้น ทำให้ผู้ป่วยจำนวนมากยังรอรับการบริจาคไตและมีไม่น้อยที่เสียชีวิตไประหว่างการรอรับอวัยวะบริจาค
ผศ.นพ.สุรศักดิ์ จึงอยากรณรงค์และเชิญชวนให้ประชาชนร่วมบริจาคไต เพราะการบริจาคไต ช่วยได้ 2 ชีวิต ซึ่งไตทั้ง 2 ข้างของผู้บริจาคจะถูกนำไปให้กับผู้รับบริจาคข้างละคน ทั้งนี้การปลูกถ่ายไตเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุดในการช่วยผู้ป่วยโรคไตระยะสุดท้าย
ผู้ที่มีความประสงค์บริจาคไต แสดงความจำนงด้วยตัวเอง ณ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย กรุงเทพฯ กรณีอยู่ต่างจังหวัดสามารถสมัครได้ที่กาชาดจังหวัดหรือดาวน์โหลดแบบฟอร์มจากเว็บไซต์ของศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทย http://www.organdonate.in.th ทั้งนี้ ศูนย์รับบริจาคอวัยวะ สภากาชาดไทยจะเป็นผู้ทำหน้าที่จัดสรรไตไปยังผู้ป่วยที่รอไต โดยพิจารณาจากลักษณะเนื้อเยื่อที่มีความใกล้เคียงหรือตรงกับผู้ที่รอรับบริจาคอวัยวะมากที่สุด
สำหรับระบบการดำเนินการแจกจ่ายอวัยวะในประเทศไทยเป็นระบบที่โปร่งใส มีการวินิจฉัยการตายก่อนนำอวัยวะออกจากผู้บริจาคตามหลักกฎหมายและวิชาการซึ่งได้รับการยอมรับในระดับสากล ดำเนินการและควบคุมโดยสภากาชาดไทย ภายใต้ข้อบังคับแพทย์สภาซึ่งเป็นองค์กรที่ไม่มีส่วนได้เสียหรือหวังผลกำไร. ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #339 เมื่อ: มีนาคม 27, 2012, 07:32:17 PM » |
|
คัน ไม่รู้เป็นอะไร คุณผู้หญิงเคยมีปัญหาผิว เกิดอาการคันตามตัว แต่ไม่มีผื่นขึ้น แบบคันผิวโดยไม่มีสาเหตุเป็นบ้างไหมค่ะ วันนี้เรามาไขข้อข้องใจเรื่องปัญหาคันๆ กันดีกว่า
คันๆ ไม่รู้เป็นอะไร คุณผู้หญิงหลายๆ คนอาจจะเคยเจอปัญหาอย่างนี้ แต่ถ้ามีอาการผื่นขึ้น ก็ค่อยสามารถระบุสาเหตุได้มากกว่า การคันแต่ไม่มีผื่นขึ้นจริงไหมค่ะ เพราะ อาการคันตามตัวนั้น ภาษาแพทย์มีชื่อเรียกว่า Pruritus ซึ่งการคันโดยไม่มีผื่น อาการคันอันเกิดจากสาเหตุทางผิวหนังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น
คันจากถูกกระตุ้นโดยสิ่งแวดล้อมทางกายภาพ เช่น ขนสัตว์ การสั่นสะเทือน แรงกด เหล่านี้อาจมีการกระตุ้นเส้นใยประสาท ส่งผลให้เรารู้สึกคันยิกๆ ขึ้นมาได้ หรือคันจากการหลั่งของสารฮิสตามีน ซึ่งถูกกระตุ้นให้หลั่งจากหลายสาเหตุ ที่พบได้บ่อย คือ การดื่มสุรา โรคผิวหนังหลายโรคทำให้เกิดอาการคันได้มาก เช่น ภูมิแพ้ที่ผิวหนัง ลมพิษ และแน่นอนว่า ผิวที่แห้งจากสภาพอากาศ ก็ส่งผลให้เรารู้สึกคันตามตัวได้เช่นกัน อาการคันยังอาจเกิดจากสาเหตุภายในร่างกาย เช่น โรคไต โรคตับ โรคของต่อมธัยรอยด์ เบาหวาน มะเร็ง การติดเชื้อพยาธิ โรคของเม็ดเลือด หรือจากยา เช่น กลุ่มยาลดความดัน ยาลดคอเลสเตอรอล ฮอร์โมนเอสโตรเจน ก็ทำให้เกิดอาการคันได้เช่นกัน นอกจากนี้ ยังมีอาการคันที่พบในหญิงตั้งครรภ์ และอาการคันที่มากับโรคซึมเศร้าหรือย้ำคิดย้ำทำ อีกด้วย เห็นไหมคะว่าสาเหตุของอาการคันนั้นมีเยอะมาก วิธีการรักษาเบื้องต้น
ลองทาโลชั่นทุกครั้งหลังอาบน้ำ เลี่ยงการอาบน้ำร้อน อย่าอาบน้ำนานเกิน ใช้สบู่อ่อนๆ ที่ฟองไม่เยอะ หากยังไม่หายควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุอื่นๆต่อไปค่ะ108health
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #340 เมื่อ: มีนาคม 28, 2012, 08:32:14 PM » |
|
“กิน” แก้ “กรน” การกรน นอกจากเป็นที่น่ารำคาญต่อผู้อื่นแล้ว ยังเกิดผลเสียต่อตนเองอีกด้วย เพราะอาจเป็นทำให้เกิดของโรคต่างๆ มากมาย ทั้ง โรคความดันโลหิต โรคหัวใจ หรือร้ายแรงถึงขั้นอัมพาต ดังนั้นเรามีคำแนะนำเกี่ยวกับการกินสำหรับผู้ที่นอนกรน เพื่อบรรเทาอาการนอนกรนในเบื้องต้นมาฝาก
สมุนไพรที่มีฤทธิ์ในการช่วยเรื่องระบบทางเดินหายใจ เหมาะใช้ประกอบอาหารให้ผู้ที่นอนกรนรับประทาน คือ
“หอมแดง” เลือกชนิดที่แก่จัดเพราะกลิ่นฉุนของมันจะทำให้เกิดความชุ่มชื้นในลำคอ และช่วยระบบการหายใจ จะได้ผลดียิ่งขึ้นถ้ากินแบบสด หรือจะนำมาดมก็ได้
“พริกขี้หนู” รสเผ็ดของมันจะทำให้ระบบทางเดินหายใจโล่ง สารแคปไซซินในพริกช่วยลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อรอบหลอดลม ทำให้ปัญหาการกรนอาจลดลงได้
“ขิง” ใช้ขิงแก่ประมาณ 5กรัม ทุบให้แตก นำไปต้มน้ำดื่มก็จะช่วยทำให้ระบบทางเดินหายใจทำงานได้สะดวกขึ้นเช่นกัน และสุดท้าย “ใบแมงลัก” มีสรรพคุณในการแก้หวัด และโรคหลอดลมอักเสบ
อย่างไรก็ตาม ก่อนเข้านอนประมาณ 3 ชั่วโมง ไม่ควรทานอาหารหนักๆ และหลีกเลี่ยงเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หรือยาที่มีฤทธิ์กดประสาท เพราะสิ่งเหล่านี้จะทำให้ร่างกายตอบสนองต่อภาวะการขาดออกซิเจนไม่ทัน จนอาจเสียชีวิตได้
ทั้งนี้ การกรนอาจเกิดขึ้นได้จากการนอนหลับไม่สนิท ลองดื่มเครื่องดื่มอุ่นๆ ก่อนนอน เช่น นม น้ำผึ้งผสมน้ำอุ่น หรือ น้ำสมุนไพรอุ่นๆ สักแก้ว ก็จะทำให้นอนหลับได้สนิท และอาจลดปัญหาการกรนได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #341 เมื่อ: มีนาคม 28, 2012, 09:42:36 PM » |
|
14 วิธีสร้างสุขแบบฉบับแม่พุงโต14 วิธีสร้างสุขแบบฉบับแม่พุงโต (Mother & Care)
เริ่มต้นเป็นคุณแม่มือใหม่ หลายท่านมีความรู้สึก สงสัยและกังวล แล้วถ้าคุณแม่รู้สึกเครียด ย่อมส่งผลกับลูกในท้อง ฉะนั้น ถ้าแม่อารมณ์ดี มีความสุข ลูกก็อารมณ์ดี มีความสุข มาดูกันค่ะ ว่าความสุขและสนุกของแม่พุงโตสร้างได้อย่างไร
1.หม่ำ ๆ
เรื่อง กินเป็นทั้งความสุข เรื่องใหญ่ของแม่พุงโตเพราะความต้องการของร่างกายตามธรรมชาติ และอาหารที่แม่กินมีผลต่อลูกน้อย ฉะนั้น ธงความสุขเรื่องกินจึงอยู่ที่การกินอาหารที่มีประโยชน์, กินให้หลากหลายครบ 5 หมู่ โดยเฉพาะอาหารที่ดีต่อสุขภาพและลูกในท้อง
2. ZZZ….! นอน
ช่วง เวลาความสุขของทุกๆ คน โดยเฉพาะแม่พุงโตต้องนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ (ประมาณ 6-8 ชั่วโมง) เพื่อให้ร่างกายพักผ่อนเต็มที่ พัฒนาการ การเจริญเติบโตของลูกในท้องจะได้ดีไปด้วย เพราะลูกหลับสบายตามแม่นั่นเอง แบบนี้แม่จะไม่สุขใจได้อย่างไร
3. Fun Fun
ขึ้น อยู่ที่ความชอบ สิ่งที่คุณแม่สนใจอยากทำค่ะ อย่างการอ่านการ์ตูน นิยาย เรื่องสั้นที่ชอบ ซิทคอมเรื่องโปรด เลือกหยิบซีย์รี่เรื่องโปรดมาดู ฟังเพลงเพราะๆ สัมผัสลูกน้อยผ่านหน้าท้องคุณแม่ ได้ประโยชน์ทั้งคุณและลูก ก็เป็นวิธีเติมความสุขให้กับคุณแม่
4.ท่องเที่ยว
เลือก โปรแกรมท่องเที่ยวต่างจังหวัด ช่วงวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ เดินทางไม่ต้องไกลมากนัก แล้วให้คุณสามีช่วยวางแผน ตระเตรียมของใช้ ของกิน หรือยาที่จำเป็น เพื่อการพักผ่อน เหมือนไปฮันนีมูนอีกรอบไงล่ะคะ
5.ออกกำลังกาย
ด้วย การเดินเล่นในสวนสาธารณะ ช่วงอากาศดีๆ รับอากาศสดชื่น ยืดกล้ามเนื้อ หรือจะเดินในน้ำ (ระดับน้ำประมาณอก หรือต่ำกว่าเล็กน้อย) เป็นการออกกำลังกายที่เหมาะกับแม่พุงโต แต่ถ้าสนใจเรื่องการนวดหรือโยคะ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ก่อน หรือทำงานบ้านเท่าที่ทำได้ นั่งบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง ให้ร่างกายเคลื่อนไหว เปลี่ยนอิริยาบถให้คลายเมื่อย
6. เลี้ยงสัตว์
น้อง หมา น้องแมว น้องปลาหรือจะน้องกระต่าย ก็เป็นสัตว์เลี้ยงช่วยคลายเหงา ทว่า ก่อนตัดสินใจเลี้ยงน้องๆ ต้องดูเรื่องพื้นที่ความพร้อม ประเภทสัตว์เลี้ยงที่เหมาะกับสภาพแวดล้อมของบ้าน โดยเฉพาะเรื่องสุขอนามัย ความสะอาด เพื่อให้แม่พุงโตปลอดจากเชื้อโรค
7. ฟังเพลง
ไม่ ต้องอธิบายวิธี ข้อดีที่ได้จากการฟังเพลง เพราะมีดีจริงจากการพิสูจน์ ข้อมูลทางตำรา เราแค่แนะนำว่า จะเพลงไทย เพลงฝรั่ง เพลงจีน ได้ทั้งนั้น ขอให้เพลงที่คุณแม่เลือกเป็นเพลงที่สร้างสรรค์จิตใจ ให้คุณมีความสุขแบบแพคคู่ แม่ลูกจ๊ะ
8. แต่งสวย
ที่ จริงแม่ท้องน่ารัก สวยแบบธรรมชาติอยู่แล้ว แค่เสริมเคล็ดลับ ให้คุณแม่ใส่ใจดูแลเรื่องความสะอาด ไม่ว่าเส้นผม ผิวพรรณ เสื้อผ้าที่สวมใส่ รวมถึงเรื่องความปลอดภัยที่ต้องรู้ เช่น เลี่ยงการใช้สารเคมีจากการดัด ย้อม ทำสีผม, ทำเล็บ
9. จัดสวน ปลูกต้นไม้
การ อยู่ท่ามกลางความเขียวชอุ่มของต้นไม้กระถางเล็ก ๆ เช่น พลูด่าง ใบเฟริน (พันธุ์ไม้ที่ปลูกและดูแลง่าย) หรือเลือกทำสวนหลังบ้านง่าย ๆ อย่างการรดน้ำ ดูกิ่ง ดูใบ เป็นกิจกรรมผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยให้แม่พุงโตรู้สึกสดชื่น สุขใจ อารมณ์ดี
10.เข้าครัว
เป็น เชฟมือใหม่หัดทำหรือทำอาหารเป็นอยู่แล้วก็ยิ่งสบายเป็นเรื่องง่ายสำหรับแม่ พุงโต เพราะนอกจากอิ่มอร่อยจากการเข้าครัว ปรุงอาหารแบบง่าย ๆ เช่น แซนวิสทูน่า, น้ำส้มคั้น, สลัดมื้อสุขภาพ ของคุณหรือสามีที่รัก และลูกน้อย อิ่มอร่อย สุขใจกันทั้งบ้านค่ะ
11.ทำงานฝีมือ
ประ เภทนิตติ้ง งานผ้าหรืองานปักที่ถนัด กิจกรรมง่าย ๆ ที่อาจเลือกทำในช่วงเวลาที่สะดวก หรือใช้เวลาว่างทำก็ได้ วิธีนี้คุณแม่ที่มีฝีมือ รักงานประดิษฐ์ชื่นชอบแน่ เพราะได้ทั้งของใช้ ความสุขใจที่ได้ทำงานฝีมือเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ลูกน้อย
12. เข้าคอร์ส
เติม ความรู้ ข้อมูล วิธีการปฏิบัติตัวเองเมื่อตั้งครรภ์ กระทั่งคลอด ตลอดจนการดูแลลูกน้อยหลังคลอด จากผู้รู้ผู้ชำนาญ ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติก็ได้ค่ะ เพื่อช่วยให้คุณเตรียมตัว เตรียมใจ กับการเลี้ยงลูก เป็นคุณแม่มือใหม่แบบมีความสุข
13. เข้าวัด ทำบุญ
ความ สุขง่าย ๆ ผ่านกิจกรรมทางศาสนา ไม่ว่าตักบาตร ทำบุญ สวดมนต์ ในสถานที่ร่มรื่นและสงบ จะช่วยให้จิตใจของคุณแม่ร่มรื่น เป็นการพักกายและใจ คิดแต่เรื่องดี ทำสิ่ง ๆ ดี ๆ เพื่อลูกน้อย วิธีนี้ขอสนับสนุนค่ะ
14. อยู่กับพ่อของลูก
ใช้ ช่วงเวลาที่มีกันและกัน สานสัมพันธ์ความรัก ความเข้าใจที่ดี วางแผนเรื่องลูกทั้งก่อนคลอดหรือจะหลังคลอด เพื่อเตรียมพร้อมรับสมาชิกตัวน้อยของบ้าน สิ่งที่แม่พุงโตต้องการและแสนสุขใจมากที่สุด เมื่อมีคุณพ่ออยู่ข้างกาย เป็นกำลังใจให้คุณแม่
..ขอแค่คุณทำแล้วคุณรู้สึกดี สบายใจ สร้างความสุขในแบบที่ทำได้ เพียงเท่านี้ลูกน้อยก็รับรู้ความสุขแบบจัดเต็ม รู้แล้วอย่าลืมเตรียมกระปุกเก็บความสุข ใส่ให้เจ้าตัวเล็กด้วยนะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #342 เมื่อ: เมษายน 01, 2012, 02:15:15 PM » |
|
โรคตาในวัยทำงาน วัยทำงาน เป็นช่วงเวลาที่มีความจำเป็นต้องใช้สายตามากกว่าช่วงเวลาอื่น ดังนั้นการดูแลถนอมดวงตาให้ปลอดภัยจากโรคต่างๆ จึงเป็นสิ่งจำเป็น
โรคตาที่พบได้บ่อยในวัยทำงานที่ควรรู้จัก ได้แก่ สายตาผิดปกติ ปัญหาจากการใช้คอมพิวเตอร์ ต้อลมและต้อเนื้อ อุบัติเหตุกับดวงตา
สายตาผิดปกติ
สายตาผิดปกติ คือภาวะที่ทำให้ตามัว มีลักษณะคล้ายการถ่ายภาพไม่ชัดหรือภาพไม่โฟกัส อาจเป็นสายตาสั้น สายตายาว หรือสายตาเอียง การแก้ไขการเห็นภาพไม่ชัดจากภาวะสายตาผิดปกติมีดังนี้คือ
1. การใช้แว่นตา เป็นวิธีที่สะดวก ปลอดภัย โดยทั่วไปอย่างน้อยในการวัดแว่นสายตาครั้งแรก ควรได้พบจักษุแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยว่าไม่มีโรคทางตาอื่นที่รุนแรง แว่นตาควรได้รับการเปลี่ยนเมื่อการมองเห็นภาพด้วยแว่นนั้นเริ่มไม่ชัด หรือทำให้ผู้ใช้แว่นตารู้สึกปวดตาหรือปวดศีรษะ
2. การใช้คอนแทกเลนส์ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยมสำหรับผู้มีปัญหาในการใช้แว่นตา
คอนแทกเลนส์มีทั้งชนิดใช้ชั่วคราวแล้วทิ้ง และชนิดถาวรใช้ได้ 1-2 ปี โดยทั่วไปคอนแทกเลนส์ทุกชนิดให้ใส่เฉพาะเวลาที่จำเป็น ห้ามใส่นอน และควรดูแลความสะอาดอย่างถูกต้อง เพราะการใช้คอนแทกเลนส์ผิดวิธีมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อที่กระจกตา ซึ่งอาจทำให้ตาบอดได้
3. การใช้เลเซอร์แก้ไขสายตา เป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย โดยทั่วไปมักทำในผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ที่ระดับสายตาผิดปกติเริ่มไม่เปลี่ยนแปลง และต้องไม่มีโรคประจำตัวชนิดที่เป็นข้อห้าม
ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาสายตาผิดปกติที่สนใจจะทำเลเซอร์แก้ไขสายตา ควรปรึกษาจักษุแพทย์เพื่อตรวจสภาพตาก่อนรับคำแนะนำเพื่อการตัดสินใจต่อไป
ปัญหาจากการใช้คอมพิวเตอร์
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์เข้ามามีบทบาทกับคนวัยทำงานเป็นอย่างมาก บางคนอาจจำเป็นต้องใช้คอมพิวเตอร์นานถึง 8-10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งอาจทำให้เกิดปัญหาปวดตาจากการเพ่งสายตา เคืองตาจากภาวะตาแห้ง และตามัวจากการเพ่งค้างของเลนส์ตา ซึ่งมีข้อแนะนำสำหรับการใช้คอมพิวเตอร์ดังนี้
1. เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาปวดตาจากการเพ่งหรือตามัวจากการเพ่งสายตาค้าง ควรมีการหยุดพักสายตาทุก 30 นาทีของการใช้คอมพิวเตอร์ โดยการมองไปบริเวณกว้างๆ เช่นนอกหน้าต่างอย่างน้อย 3-5 นาทีก่อนกลับมาทำงานกับคอมพิวเตอร์ใหม่ จะช่วยลดอาการปวดตาและตาพร่าได้
2. เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาเคืองตาจากตาแห้ง แนะนำให้หลีกเลี่ยงการนั่งใช้คอมพิวเตอร์บริเวณที่มีลมพัด ทั้งจากพัดลมหรือเครื่องปรับอากาศ และแนะนำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์กะพริบตาบ่อยๆ เมื่อรู้สึกเคืองตา หากอาการรุนแรงอาจจำเป็นต้องใช้น้ำตาเทียมจะทำให้อาการเคืองตาดีขึ้นได้
โรคต้อลมและต้อเนื้อ
เกิดจากเยื่อบุตาขาวสัมผัสสิ่งระคายเคือง เช่น ลม ฝุ่นหรือแสงแดดจ้าๆ เป็นระยะเวลานาน ทำให้เกิดการหนาตัวและอักเสบของเยื่อบุตาขาว ซึ่งหากมีการหนาตัวเฉพาะบริเวณตาขาว จะเรียกว่าโรคต้อลม ต่อมาหากอาการของโรครุนแรงมากขึ้น อาจลุกลามเข้าบริเวณตาดำจะเรียกว่าโรคต้อเนื้อ ซึ่งอาการของโรคต้อลมและโรคต้อเนื้อ คือ จะทำให้รู้สึกเคืองตา แสบตา ตาแดงบริเวณต้อเมื่อสัมผัสกับฝุ่น ลม หรือแสงแดดจ้าๆ ซึ่งนอกจากจะทำให้เกิดการอักเสบของต้อแล้ว ยังทำให้ต้อลมและต้อเนื้อลุกลามมากขึ้น
ดังนั้น ผู้ป่วยโรคต้อลมและต้อเนื้อ ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสฝุ่น ลม และแสงจ้า นอกจากนั้นต้องไม่ซื้อยาหยอดตาจากร้านขายยามาหยอดตาเอง เพราะยาบางชนิดอาจมีส่วนผสมของสตีรอยด์ซึ่งอาจทำให้ตาบอดจากโรคต้อหินแทรกซ้อนได้
อุบัติเหตุกับดวงตา
ดวงตาเป็นอวัยวะที่ต้องได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี เพราะอุบัติเหตุอาจทำให้ต้องสูญเสียดวงตาไปตลอดชีวิต วิธีการป้องกันอุบัติเหตุต่อดวงตาที่พบได้บ่อยในวัยทำงานได้แก่
1. สิ่งแปลกปลอมปลิวหรือกระเด็นเข้าตา กรณีเป็นฝุ่นปลิวเข้าตา ห้ามใช้มือขยี้ตา เพราะจะทำให้ฝุ่นฝังแน่นในกระจกตา
ดังนั้น เมื่อมีฝุ่นปลิวเข้าตา ให้หลับตากะพริบตา น้ำตาจะล้างฝุ่นออกจากตาได้ หรืออาจใช้การลืมตาในน้ำสะอาดก็มักทำให้ฝุ่นออกจากตาได้
สำหรับกรณีสิ่งแปลกปลอมที่รุนแรงเข้าตา เช่น การตอกเศษตะปูกระเด็นเข้าตา หรือการถูกสารเคมีกระเด็นเข้าตา โดยทั่วไปในการทำงานที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุต่อดวงตา ควรใส่อุปกรณ์ป้องกันตามมาตรฐาน แต่หากเกิดอุบัติเหตุต่อดวงตาแล้วควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที
2. อุบัติเหตุจากกระจกรถยนต์ เป็นสาเหตุอุบัติเหตุต่อดวงตาที่พบได้บ่อย เมื่อเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์หากผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารไม่คาดเข็มขัดนิรภัย จะมีโอกาสสูงที่ใบหน้าหรือดวงตาจะพุ่งไปกระทบกับกระจกหน้ารถ ทำให้กระจกรถบาดดวงตาทำให้ตาบอดได้
ดังนั้น ทุกครั้งที่ขับขี่หรือนั่งโดยสารรถยนต์ ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยเสมอ เพื่อป้องกันการถูกเศษกระจกรถบาดดวงตา ทำให้ตาบอดได้
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #343 เมื่อ: เมษายน 13, 2012, 08:00:35 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|