Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 25 26 [27] 28 29 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71837 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #390 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 09:18:03 PM »

4 วิธีลดท้องอืดด้วยตัวเอง



ท้องอืดเป็นอาการที่พบได้ในคนทั่วไป มีสาเหตุจากระบบย่อยอาหารทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เกิดแก๊สและกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร แต่จะพึ่งยาลดกรดทุกครั้งไปก็อาจจะไม่ค่อยดีนัก มาลองปรับพฤติกรรมเพื่อลดอาการท้องอืดกันค่ะ

 - ทานมื้อเล็กบ่อยๆ และเคี้ยวให้ละเอียด เพราะอาหารมื้อใหญ่ และการดื่มน้ำคราวละมากๆ จะทำให้กระเพาะอาหารโป่งออก ทำให้หูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหย่อนลง เกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
- ค่อยๆ ลดของหวาน เนื้อสัตว์ และอาหารมัน โดยจดบันทึกรายการอาหาร ทำเครื่องหมายไว้ว่า วันเวลาใดมีอาการ เพื่อจะได้เลี่ยงอาหารชนิดนั้นเสีย เพราะกระเพาะอาหารใช้เวลาย่อยอาหารนาน 6-8 ชั่วโมง ซึ่งทำให้เกิดการหมักหมม กลายเป็นแก๊สในท้อง
- เลี่ยงผักดิบในตอนเย็น เพราะผักมีเส้นใยมาก ถ้ากินมากไปจะทำให้ท้องอืดได้ เนื่องจากร่างกายไม่มีน้ำย่อยเส้นใยนี้ แต่ต้องอาศัยแบคทีเรียที่อยู่ในลำไส้ใหญ่เป็นตัวย่อย ทางที่ดีหันมากินผักลวกหรือผักต้มแทนดีกว่า
- ถ้าจุกเสียดแน่นท้องแล้ว ให้ลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกาย ดื่มน้ำอุ่น หรือกินสมุนไพรที่มีฤทธิ์ขับลมอย่างขมิ้นชัน หากท้องอืดก่อนนอนให้นำผ้าห่มหนุนหัวเตียงให้สูงขึ้น 6-8 นิ้ว จะทำให้กรดและน้ำย่อยไหลลงกระเพาะอาหารได้เร็วขึ้น
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #391 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 10:15:54 PM »

เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ น้ำมะกรูด ขจัดสารพิษ


น้ำมะกรูด เครื่องดื่มสุขภาพดี ที่สามารถหาทานได้ไม่ยุ่งยาก และมีสรรพคุณทางยา ที่สามารถทานได้ทั้งใบและลูก ช่วยขจัดสารพิษออกจากร่างกายด้วยวิธีธรรมชาติ

น้ำมะกรูด มะกรูดเป็นสมุนไพรที่มีอยู่ในบ้านของทุกคนซึ่งมะกรูดสามารถรับประทานได้ทั้ง ใบและผล เราจึงนำมะกรูดมาทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร สารที่สำคัญที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของอวัยวะ สามารถ ช่วยขจัดสารพิษมากมาย ซึ่งสารที่ว่านี้ได้มาจากมะกรูด เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ โดยนำมะกรูดมาแปรรูปทำเป็นเครื่องดื่มสมุนไพร ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และยังเป็นการนำสิ่งที่หาได้ง่ายภายในบ้านมาใช้ให้เป็นประโยชน์

วิธีทำเครื่องดื่มสมุนไพร

-มะกรูด 4 – 5 ลูก มาปลอกผิวออก เพื่อไม่ให้มีรสขม
-คั้นมะกรูด เอาแต่น้ำมะกรูด
-นำส่วนผสม คือ น้ำมะกรูด เกลือป่น น้ำเชื่อม น้ำแข็งปั่น ใส่ลงในเครื่องปั่นน้ำผลไม้ ทำการปั่นส่วนผสมเข้าด้วยกัน ชิมดูตามใจชอบ
-เทใส่แก้วที่เตรียมไว้ พร้อมเสิร์ฟ

สรรพคุณทางยา

-ผิวผลสดและผลแห้ง รสปร่า หอมร้อน สรรพคุณแก้ลมหน้ามืด แก้วิงเวียน บำรุงหัวใจ ขับลมลำไส้ ขับระดู
-ผล รสเปรี้ยว มีสรรพคุณเป็นยาขับเสมหะ แก้ไอ แก้น้ำลายเหนียว ฟอกโลหิต ใช้สระผมทำให้ผมดกดำ ขจัดรังแค
-ราก รสเย็นจืด แก้พิษฝีภายใน แก้เสมหะ แก้ลมจุกเสียด
-น้ำมะกรูด รสเปรี้ยว กัดเสมหะ ใช้ดองยามีสรรพคุณเป็นยาฟอกโลหิตสำหรับสตรี
-ใบ รสปร่าหอม แก้ไอ แก้อาเจียนเป็นโลหิต แก้ช้ำใน และดับกลิ่นคาว
 

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก : คุณจิราภรณ์ กาญจนา
นักวิชาการวัฒนธรรมชำนาญการ www.culturelampang.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #392 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:39:11 PM »

ชะลอ’ข้อเข่าเสื่อม’ ปัญหาโลกแตก


ข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่พบในผู้สูงอายุจำนวนมาก ปัจจุบันอัตราคนเป็นข้อเข่าเสื่อมมีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อันเนื่องมาจากประชากรมีอายุยืนมากขึ้น ประกอบกับพฤติกรรมและท่าทางของคนไทย ที่ไม่ว่าจะเป็นการนั่งกับพื้น นั่งในท่าทางงอเข่าต่างๆ ส่งผลให้มีแนวโน้มต่อการเป็นข้อเข่าเสื่อมได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งข้อเข่าเสื่อมเป็นภาวะที่ห้ามไม่ได้ เป็นแล้วไม่หายขาด แต่สามารถชะลออาการเสื่อมได้ ดังนั้นเราจึงควรเรียนรู้ข้อปฏิบัติ ท่าทาง พฤติกรรมต่างๆ ที่ถูกต้อง ที่จะช่วยชะลอการเป็นข้อเข่าเสื่อม เพื่อให้ชีวิตที่ยืนยาวเป็นไปอย่างมีคุณภาพที่สุด





ทีมแพทย์ รพ.นครธน ได้ให้ข้อมูลว่า ข้อเข่าเสื่อมจะเริ่มพบในผู้มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยร้อยละ 40 จะพบในผู้ที่มีอายุ 60 ปี ซึ่งโอกาสในการเป็นข้อเข่าเสื่อม ประมาณ 2-3 เท่า จะเกิดขึ้นในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และเป็นผลจากกรรมพันธุ์ประมาณ 30% โดยผู้สูงอายุที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป พบได้ร้อยละ 50 ว่าสาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการที่มีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป นอกจากนี้พฤติกรรมแบบชาวเอเชีย อาทิ การนั่งกับพื้น นั่งขัดสมาธิ นั่งพับเพียบ นั่งคุกเข่า การขึ้นลงบันไดบ่อยๆ หรืออยู่ในท่าทางที่งอเข่า ก็เป็นอีกสาเหตุสำคัญในการเกิดข้อเข่าเสื่อม






อาการ ที่พบเมื่อเป็นข้อเข่าเสื่อมในระยะแรกคือ จะมีอาการปวดบริเวณเข่าเวลาเคลื่อนไหว อาทิ เมื่อเดินขึ้นลงบันได นั่งพับเพียบหรืองอเข่า ไปจนถึงขั้นภาวะรุนแรงคือ จะมีอาการปวดที่รุนแรงมากขึ้น บางครั้งปวดเวลากลางคืน อาจคลำส่วนกระดูกงอกได้บริเวณด้านข้างข้อ ถ้ามีอาการเสื่อมมานานจะพบว่า เหยียดหรืองอเข่าได้ไม่สุด กล้ามเนื้อต้นขาลีบ ข้อเข่าโก่ง หลวม หรือบิดเบี้ยวผิดรูป ส่งผลให้เดินและใช้ชีวิตประจำวันลำบาก และมีอาการปวดเวลาเดินหรือขยับ

ข้อควรปฏิบัติเมื่อพบว่ามีอาการข้อ เข่าเสื่อม ในเบื้องต้นจะแนะนำให้ผู้ป่วยดูแลตัวเองก่อน ปรับพฤติกรรมการใช้ข้อ ท่าทาง การเดิน การบริหารกล้ามเนื้อและออกกำลังเพื่อสุขภาพ การฝึกเหยียดขาค้างไว้ เพื่อช่วยชะลออาการเสื่อม การว่ายน้ำ เดินในน้ำ รวมไปถึงการควบคุมน้ำหนักตัว โดยถ้าน้ำหนักตัวลดลงไป 5 กก. ก็จะสามารถช่วยลดอาการปวดไปได้ถึง 50% แต่หากผู้ป่วยมีอาการจนถึงขั้นที่ปวดอย่างรุนแรง จึงจะเข้ารับการใช้ยา ไปจนถึงเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า

เมื่อ ผู้ป่วยเข้ารับการผ่าตัดข้อเข่าเรียบร้อยแล้ว หลังจากการผ่าตัดประมาณ 3-5 วัน ก็จะสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดยผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวหลายโรค อาทิ โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไต ก่อนเข้ารับการผ่าตัดจะต้องผ่านการตรวจเช็กร่างกายอย่างละเอียด และเข้ารับการรักษาจากทีมแพทย์เฉพาะสาขาจนกระทั่งมีอาการคงที่ก่อน จึงจะสามารถเข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าได้ โดยในปัจจุบันนี้ วิทยาการทางด้านการแพทย์ด้านผ่าตัดและระงับความเจ็บปวดขณะผ่าตัดมีความก้าว หน้าเป็นอย่างมาก จึงทำให้ผู้ป่วยมีความปลอดภัยมากขึ้นกว่าในอดีตมาก





สำหรับ ขั้นตอนในการฟื้นฟูหลังผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่า ทางทีมแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู แนะนำให้ผู้ป่วยออกกำลังกายเพิ่มกล้ามเนื้อ ฝึกท่าทางการเดินให้ถูกต้อง ฝึกงอและเหยียดเข่า ฝึกท่าเดิน หรือเข้ารับการฝังเข็มแบบตะวันออก เพียงเท่านี้เราก็จะสามารถอยู่กับข้อเข่าเสื่อมได้อย่างเป็นมิตร และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว

 

 

ข้อมูล/ภาพบางส่วน : โรงพยาบาลธนบุรี

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #393 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:40:47 PM »

หูอักเสบ ภัยใกล้ตัวของการได้ยิน


หลาย คนอาจเคยมีอาการปวดในหู โดยที่ไม่รู้สาเหตุ ทำให้ต้องทนกับอาการทรมานยามปวดหู สันนิษฐานได้เลยว่าคุณอาจจะเป็น โรคหูอักเสบ วันนี้กระปุกจึงจะพาไปรู้จักกับวิธีการรักษา หูอักเสบ กันค่ะ…

 หูอักเสบ

คือการติดเชื้อในหู ทั้งเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย หรือผื่นแพ้ ซึ่งส่วนใหญ่อาจเริ่มจากการมีน้ำเข้าและค้างอยู่ในหู จนก่อให้เกิดเชื้อรา หรือเชื้อแบคทีเรีย จนเกิดการอักเสบ ยิ่งหากมีการแคะหูก็อาจทำให้เกิดแผลถลอก และติดเชื้ออื่นตามมาได้ เช่น โรคผิวหนังตกสะเก็ด หรือ โรคผื่นแพ้ ที่จะทำให้รูหูมีอาการบวมแดง มีสะเก็ดหลุดลอก จนอาจทำให้รูหูอุดตัน และได้ยินไม่ชัด ซึ่งอาการดังกล่าวนี้มักเกิดใน หูชั้นนอก

หู ชั้นกลาง ก็เกิดอาการอักเสบได้เช่นกัน เพราะหูชั้นกลางเป็นชั้นที่มีหนองอยู่เยอะ เนื่องจากเป็นโพรงอากาศระหว่างหูชั้นในกับชั้นนอก อีกทั้งยังเชื่อมต่อกับโพรงจมูก จึงทำให้การอักเสบของทางเดินหายใจส่วนบนลามมายังหูชั้นกลางได้ง่าย จนเกิดเป็นหนอง หูอื้อ ปวดหู และไข้ขึ้น อย่างไรก็ตามพบว่าโรคดังกล่าวมักเกิดขึ้นในเด็กเล็ก

หากหูมีอาการอักเสบมาก ๆ เข้า จนทำให้แก้วหูทะลุ หรือที่เรียกว่า หูน้ำหนวก น้ำหนองก็จะไหลออกมาจากหูจนเป็นเรื้อรัง เกิดอาการเวียนศีรษะ หูอื้อ และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนอย่าง  ปากเบี้ยว หูหนวก เยื่อหุ้มสมองอักเสบ และลามไปถึงเป็นฝีในสมองได้ อีกทั้งยังส่งกลิ่นเหม็น และอาจมีหนองแตกบริเวณหลังกกหูด้วย

การรักษา หูอักเสบ

หากคุณสำรวจแล้วพบว่า คุณเข้าข่ายเป็นโรคหูอักเสบ หรือเป็นหูอักเสบแล้ว เรามีคำแนะนำและวิธีรักษาดังนี้

 หูอักเสบ ชั้นนอก สามารถรักษาได้ด้วยการทำความสะอาดหู และมีการดูดหนองออก จากนั้นเช็ดด้วยยาปฏิชีวนะ ควรปรึกษาแพทย์ และหลีกเลี่ยงการแคะหูด้วยตนเอง หากน้ำเข้าหูให้ซับออกด้วยไม้พันสำลีอย่างระมัดระวัง

 หูอักเสบ ชั้นกลาง ควร ไปพบแพทย์ เพื่อรักษาด้วยการกินยาปฏิชีวนะตามอาการ เช่น ยาลดน้ำมูก ยาแก้ปวด ยาละลายเสมหะ เป็นต้น และหากอาการหนักแพทย์ต้องทำการเจาะแก้วหูเพื่อระบายหนองออก

 หูน้ำหนวก ต้องรีบพบแพทย์ เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรง บางรายอาจต้องมีการผ่าตัด ซึ่งในปัจจุบันมีการพัฒนการผ่าตัดด้วยกล้องจุลทรรศน์แล้ว

การป้องกัน หูอักเสบ

 หลีกเลี่ยงมลภาวะทางอากาศที่เป็นพิษ

 งดสูบบุหรี่ และไม่อยู่ใกล้ผู้ที่สูบบุหรี่

 หากมีโรคภูมิแพ้เป็นโรคประจำตัว ต้องทำการรักษาอย่างถูกต้องตามหลัก

 ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #394 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:46:15 PM »

วิตามินซี กับการดูดซึมและนำไปใช้ของร่างกาย


จากการศึกษาพบว่าการดูดซึมของวิตามินซีจะขึ้นอยู่กับขนาดของวิตามินซีที่รับประทาน

วิตามินซีเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย วิตามินซีเป็นสารอาหารที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์ได้เองดังนั้นจึงจำเป็นต้องได้รับจากการรับประทานอาหารเท่านั้น

แหล่งอาหารที่พบวิตามินซีส่วนใหญ่จะพบได้ในผลไม้โดยเฉพาะผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม ผลอะเซโรล่า เชอร์รี่ ฝรั่ง มะนาว มะขามป้อม เป็นต้น ส่วนในผักในผัก เช่น ผักโขม คะน้า บล็อคโคลี่ วิตามินซีจัดอยู่ในกลุ่มวิตามินที่สลายตัวได้ง่ายเมื่อสัมผัสกับ น้ำ อากาศ และความร้อน ดังนั้นในผลไม้ที่ผ่านการแปรรูปเช่น ผลไม้อบแห้ง น้ำผลไม้ ผลไม้กระป๋อง ปริมาณของวิตามินซีแทบจะหลงเหลืออยู่น้อยมาก ดังนั้น จึงควรรับประทานผัก ผลไม้ที่ใหม่ สด เพื่อให้ได้ปริมาณวิตามินซีที่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย

ประโยชน์ที่ได้จากวิตามินซี
- เสริมสร้างภูมิต้านทานให้กับร่างกาย
- ส่งเสริมการทำงานของเม็ดเลือดขาวในการกำจัดสิ่งแปลกปลอม
- เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant)
- จำเป็นต่อกระบวนการสร้างเส้นใยคอลลาเจน
- จำเป็นต่อการสร้าง carnitine ซึ่งเป็นสารอาหารเพื่อการขนส่งกรดไขมันเข้าสู่ไมโตครอนเดรียเพื่อให้เกิดการเผาผลาญพลังงาน
- จำเป็นต่อการสร้างฮอร์โมน วิตามินซีกับการดูดซึมและนำไปใช้ วิตามินซีจะถูกดูดซึมบริเวณลำไส้เล็กและจะถูกส่งต่อไปยังเนื้อเยื่อและน้ำในส่วนต่าง ๆ ของร่างกายทางกระแสเลือด

จากรศึกษาพบว่าอัตราการดูดซึมวิตามินซีจะลดลงเมื่อมีการรับประทานในขนาดที่มากเกิน กล่าวคือ
- หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณมากกว่า 12 กรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 16%
- หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณ 1.5-3.0 กรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 36-49%
- หากรับประทานวิตามินซีในปริมาณ 1.0-1.5 กรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 50%
- ในขณะที่รับประทานวิตามินซีในปริมาณน้อยกว่า 20 มิลลิกรัม การดูดซึมจะอยู่ที่ 98%

ดังนั้นการดูดซึมของวิตามินซีจะดูดซึมได้ดีในปริมาณที่น้อยกว่า 1,000 มิลลิกรัม นอกจากนี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของการดูดซึม การได้รับสารอาหารจำพวกซิตรัส ไบโอฟลาโวนอยด์ ยังช่วยเพิ่มความสามารถในการดูดซึมของวิตามินซีอีกด้วย และเพื่อให้ได้รับวิตามินซีในปริมาณที่เพียงพอควรหลีกเลี่ยงการรับประทานควบคู่กับเพคตินและสังกะสีในปริมาณที่สูง

เอกสารอ้างอิง: 1. Groff, J.L., Gropper S.S., and Hunt S.M. The Water Soluble Vitamins. In: Advanced Nutrition and Human Metabolism. Minneapolis: West Publishing Company, 1995, p. 222-237.

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #395 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:55:29 PM »

รู้ทัน..เบาหวานขึ้นตา


โรคเบาหวานขึ้นตา เป็นโรคแทรกซ้อนทางตาที่สามารถพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน และสามารถส่งผลร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็น อันเป็นผลมาจากภาวะจอประสาทตาเสื่อม

*สาเหตุ*

โรค เบาหวานเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลสูงกว่าคนปกติ เกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้ไม่เพียงพอ ซึ่งอินซูลินมีหน้าที่ นำน้ำตาลกลูโคสจากกระแสเลือดเข้าสู่เซลล์ของร่างกายเพื่อนำไปเป็นพลังงาน หากมีการเผาผลาญได้น้อย หรือไม่ได้เลย จะทำให้ร่างกายมีระดับน้ำตาลค้างอยู่ในกระแสเลือดจำนวนมาก ซึ่งหากผู้ป่วยไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้ ความผิดปกติของหลอดเลือดนี้จะส่งผลถึงอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย รวมไปถึง “ดวงตา” ด้วย โดยหลอดเลือดในจอประสาทตาจะเริ่มเกิดอาการอักเสบ โป่งพอง มีเลือดและน้ำเหลืองซึมออกมากระจายอยู่ทั่วๆ จอประสาทตา หากปล่อยทิ้งไว้จอประสาทตาจะขาดเลือด เซลล์ในการรับการมองเห็นถูกทำลายจนเหลือน้อยลงเรื่อยๆ ส่งผลให้ความสามารถในการมองเห็นค่อยๆ ลดลง จนสูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด

*อาการของโรค*

อาการ ของโรคเบาหวานขึ้นตาในระยะแรกๆ นั้นจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมาให้เห็น อาการจะค่อยเป็นค่อยไป จึงทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่รู้ตัว และละเลยไม่เข้ารับการตรวจสภาพตาตามคำแนะนำของแพทย์ จากนั้น ผู้ป่วยจะค่อยๆ มีอาการตาพร่ามัวทีละน้อย เนื่องจากมีการรั่วซึมของเลือดและน้ำเหลืองจากหลอดเลือด ซึ่งหากรั่วซึมไปถึงจุดศูนย์กลางของการรับภาพ ก็จะทำให้มีอาการตามัวมากขึ้น

นอกจากนี้ กลไลการสร้างหลอดเลือดใหม่ของร่างกายก็มีผลให้อาการรุนแรงมากยิ่งขึ้นเช่น กัน เพราะหลอดเลือดที่เพิ่งเกิดใหม่ ยังมีผนังไม่แข็งแรง ฉีกขาดง่าย สามารถทำให้เลือดออกในจอประสาทตาได้ ทำให้เกิดอาการตามัวอย่างเฉียบพลัน รวมถึง เมื่อมีหลอดเลือดเกิดขึ้นใหม่ มักจะมีพังผืดเกิดใหม่ด้วย ซึ่งทั้งหลอดเลือดและพังผืดเกิดใหม่นี้จะเป็นตัวที่ยึดดึงจอประสาทตาให้หลุด ลอกออกมาได้ จนทำให้ตาบอดสนิท




*วิธีรักษา*

วิธี รักษาที่ดีสำคัญที่สุดคือ การควบคุมอาหารและรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ หากเริ่มมีอาการทางจอประสาทตา แพทย์จะทำการยิงเลเซอร์เพื่อทำลายจอประสาทตาที่ตายแล้วและหลอดเลือดเกิดใหม่ เป็นการป้องกันไม่ให้อาการลุกลามมากขึ้น แต่หากมีอาการเลือดออกในน้ำวุ้นลูกตาหรือจอประสาทตาหลุดลอก อาจจะต้องรักษาโดยการผ่าตัด ซึ่งผลการรักษานั้นไม่แน่นอน โดยหากปล่อยให้มีอาการรุนแรงถึงขั้นนี้แล้ว แสดงว่าสายตามักจะเสียไปมากแล้ว

*การป้องกัน*

การป้องกันโรคเบาหวานขึ้นตานั้น สามารถทำได้โดย
1.    ควบคุมอาหาร ระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
2.    รับประทานยาเบาหวาน และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
3.    ควรเข้ารับการตรวจสุขภาพตาประจำปีโดยจักษุแพทย์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง แต่หากเริ่มมีอาการผิดปกติ แพทย์อาจจะนัดตรวจบ่อยขึ้น ควรมาตรวจอย่างสม่ำเสมอและปฏิบัติตามที่แพทย์แนะนำ
จะเห็นได้ว่า อาการของโรคเบาหวานขึ้นตานี้ ไม่ได้แสดงให้เห็นชัดในช่วงแรกๆ ทำให้ผู้ป่วยส่วนใหญ่ชะล่าใจ กว่าจะรู้ตัวอีกที อาการตามัวก็จะรุนแรงขึ้นจนลุกลามรุนแรงขึ้นถึงตาบอดได้ในที่สุด รู้เช่นนี้แล้ว ควรตรวจสุขภาพตากับจักษุแพทย์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพื่อดูแลดวงตาของคุณให้มีสุขภาพดีไปได้อีกนาน

ข้อมูล/ภาพ :  Laser Vision International LASIK Center

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #396 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:59:05 PM »

กินยาแก้ไอให้ถูกวิธี


กินยาแก้ไอให้ถูกวิธี  (คู่หูเดินทาง)

ยาแก้ไอน้ำดำ เป็นยาแก้ไอที่ผู้คนนิยม เพราะมีราคาถูก รับประทานง่าย ใช้รักษาอาการไอแห้ง ๆ ไม่มีเสมหะ

การรับประทานยานี้ที่ถูกต้อง ควรรับประทานตามเวลาที่กำหนด คือวันละ 3 – 4 ครั้ง แต่ส่วนใหญ่นิยมจิบบ่อย ๆ เวลาไอ ซึ่งอันที่จริงอาจเป็นอันตรายได้ เนื่องจากได้รับทิงเจอร์ ฝิ่น มากเกินไป อาจทำให้ง่วง มึน งง คลื่นไส้ ท้องผูก

ยานี้มี ข้อห้ามใช้ในเด็กเล็ก หญิงมีครรภ์ และในคนที่ไอมีเสมหะเหนียว หรือไอจากความผิดปกติอื่น ๆ เช่น หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ จะทำให้เสมหะเหนียวอุดตันทางเดินหายใจเป็นอันตรายได้

อย่างไรก็ตาม วิธีการรักษาอาการไอแบบง่ายๆ และปลอดภัย นั่นคือ การดื่มน้ำอุ่นบ่อย ๆ ในระหว่างวัน และการใช้ยาอม เช่น ยาอมมะแว้ง สามารถช่วยลดอาการไอได้

ที่สำคัญต้องใช้ยาให้ถูกโรค ถูกเวลา และถูกขนาด แต่ถ้าหากใช้ยาถูกต้องตามนี้แล้ว อาการยังไม่ดีขึ้นก็ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #397 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2012, 06:59:40 PM »

เคล็ดลับกินเพื่อสุขภาพ











บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #398 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 07:41:19 PM »

รักษ์ไต - หัวใจ ด้วยการกิน



ไตและหัวใจ อวัยวะสำคัญอันดับต้นๆ ที่พึงดูแลให้ห่างไกลโรคมากที่สุด และนี่คือ 3 วิธีการกินง่ายๆ ที่จะช่วย ให้อวัยวะทั้งสองอยู่กับเราไปนานๆ ป้องกันโรคไตและโรคหัวใจ

 ดื่มน้ำสะอาด ทราบไหมว่าการสูญเสียน้ำอันเนื่องมาจากกลไกขับของเสียในร่างกาย อาจส่งผลให้เกิด ความผิดปกติต่อไตได้มากถึงร้อยละ 20 ฉะนั้น ควรจิบน้ำสะอาดบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน เพื่อป้องกันการขาดน้ำจน ไตพังนะคะ

 กินโยเกิร์ตหรือดื่มนม โยเกิร์ตวันละ 2 ถ้วย หรือนมวันละ 2 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายได้รับแคลเซียมเพียง พอในการรับมือกับภาวะความดันโลหิตสวิงขึ้นๆ ลงๆ ได้มากถึงร้อยละ 25

ลดเกลือ ลดเค็ม เกลือ อาหารรสเค็ม ฟาสต์ฟู๊ด รวมทั้งอาหารสำเร็จรูป ล้วนเป็นแหล่งอุดมโซเดียมที่เป็น อันตราย โดยอาจส่งผลให้เกิดนิ่วในไต หรือความดันโลหิตสูง รวมทั้งหัวใจเต้นผิดจังหวะได้ ฉะนั้นลด ละ เลี่ยงอาหารเหล่านี้ได้จะดีกว่า


3 วิธีแค่นี้เอง ง่ายจัง!



ที่มา...livestrong.com
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #399 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2012, 01:49:39 PM »

 Smiley

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #400 เมื่อ: ธันวาคม 29, 2012, 10:22:28 PM »

 Smiley สวัสดีปีใหม่ค่ะ ทุกท่าน


                           
สุขภาพแข็งแรง เจริญด้วยอายุวรรณะ สุขะ พลัง เฮง เฮง ร่ำรวย ค่ะ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #401 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 06:34:39 PM »

กินเม็ดฝรั่งทำให้เป็นไส้ติ่งจริงไหม


ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคปวดท้องแบบเฉียบพลันที่พบมากที่สุด ซึ่งมักจะพบมากในช่วงอายุ 15-45 ปี ทั้งชายและหญิง


สาเหตุเกิดจาก การอุดตันของไส้ติ่ง ซึ่งอาจเกิดได้จากอาหารอะไรก็ได้ที่ตกลงไป ไม่จำเป็นต้องเป็นเม็ดฝรั่งแบบที่คนโบราณบอก ( แต่เม็ดฝรั่งก็มีส่วนถูกนะ) หรือจะเกิดจากมีการบวมของต่อมน้ำเหลืองบริเวณนั้น หรืออาจเกิดจากพยาธิหล่นลงไปอุด มีเนื้องอกแถวนั้นโตไปอุด จะอะไรไปอุดก็ตาม เมื่อเกิดการอุดรูของไส้ติ่ง ของเหลวสารคัดหลั่งจะไม่สามารถผ่านเข้าออกได้ ทำให้เกิดอักเสบ มีการติดเชื้อเกิดขึ้น


การรักษาไส้ติ่ง แน่นอนที่สุด อย่างที่เราทราบๆ กันดี คือ การผ่าตัดซึ่งการผ่าตัดอาจทำได้ทั้งการดมยาสลบหรือการฉีดยาชาเข้าที่ไขสันหลัง ที่เรามักคุ้นกับคำว่า บล๊อกหลัง ซึ่งหลังจากนั้น ศัลยแพทย์


อาการของไส้ติ่งอักเสบ ก็คือมีการปวดท้อง ส่วนใหญ่ก็จะปวดทั่วๆ ไป อาจปวดรอบสะดือก่อน จากนั้นอีก 6-12 ชม.ต่อมา อาการปวดจะเริ่มย้ายไปที่ด้านขวาล่าง อาจมีไข้ต่ำ แต่ไข้มักไม่เกิน 38.5 องศาเซลเซียส อาการแบบนี้คืออาการที่มาตรฐาน Super Classic ซึ่งอาการแบบนี้ จริงแล้วพบได้เพียง 25% เท่านั้น ส่วนที่เหลืออาจไม่เป็นไปตามนี้ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นกับตำแหน่งของไส้ติ่ง อาจมีปวดด้านขวาบนได้หรือตรงกลางได้ ถ้าปลายของไส้ติ่งยาวไปถึงบริเวณนั้นหรืออาการนำอาจไม่ได้ชัดเจนแบบที่บอก


แต่ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักมีอาการเบื่ออาหารกินข้าวไม่ลง บางรายอาจมีคลื่นไส้ อาเจียน อาจมีถ่ายเหลว ถ้ายังไม่ได้รับการรักษา อาการอาจเพิ่มมากขึ้น ไข้อาจสูงมากกว่า 39 องศาเซลเซียส อาการปวดอาจปวดทั้งซ้ายและขวา ซึ่งนั่นหมายถึงไส้ติ่งเริ่มติดเชื้อ รุนแรง เน่า และ แตกหรือกลายเป็นฝี ซึ่งระยะเวลาทั้งหมดขึ้นกับปัจจัยหลายอย่าง เช่น คนไข้ อายุ ขนาดของไส้ติ่ง การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะไปบางส่วน แต่โดยทั่วไประยะตั้งแต่เริ่มปวดจนแตกมักไม่เกิน 3 วัน ก็จะทำการผ่าตัด โดยเปิดแผลขนาด 3-4 cm ที่ หน้าท้องด้านขวาล่าง ตัดไส้ติ่งออกเย็บปิดแผล




ที่มา: โรงพยาบาลวิภาวดี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #402 เมื่อ: มกราคม 30, 2013, 08:07:08 PM »

การปฐมพยาบาลเมื่อเป็นลม


เป็นลมธรรมดา ผู้ป่วยจะมีอาการวิงเวียนศีรษะ หน้ามืด หน้าซีด ปากซีด ชีพจรเบาเร็ว ตัวเย็น เป็นต้น


การปฐมพยาบาล

ห้ามคนมุงดูผู้ป่วย พาเข้าที่ร่มที่อากาศถ่ายเท คลายเสื้อผ้าให้หลวม และให้ดมแอมโมเนียหอม จัดท่านอนผู้ป่วยให้ศีรษะต่ำ ยกเท้าสูงและใช้ผ้าชุบน้ำเย็นเช็ดตามหน้าผาก มือ และ เท้าแต่ถ้าผู้ป่วยมีอาการหายใจผิดปกติ ให้ผู้ป่วยนอนตะแคงไปข้างใดข้างหนึ่ง ล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมในปากออกให้หมด และช่วยผายปอด


เป็นลมแดด ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ต่อมาเวียนศีรษะ กระหายน้ำ หน้าแดงแห้งและร้อน ชีพจรเต้นแรงเร็ว หายใจลึกเร็ว อุณหภูมิสูงประมาณ 40 องศาเซลเซียส หรือมากกว่า เป็นต้น


การปฐมพยาบาล

รีบนำผู้ป่วยเข้าที่ร่ม อย่าให้คนมุง และอากาศถ่ายเทสะดวก จากนั้นให้คลายเสื้อผ้าให้หลวม เช็ดตัวด้วยน้ำเย็น ให้ดื่มน้ำเย็น แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้น ให้นำส่งโรงพยาบาล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #403 เมื่อ: มกราคม 30, 2013, 08:12:25 PM »

งดเหล้าลดมะเร็งตับ หยุดเสี่ยงโรคยอดฮิต

งดเหล้าลดมะเร็งตับ หยุดเสี่ยงโรคยอดฮิต

หลังจากผ่านพ้นปีเก่า เข้าสู่ปีใหม่สากลไปได้ไม่นาน ก็จะเข้าสู่วันสงกรานต์หรือ ปีใหม่ไทยในอีกไม่กี่เดือน สิ่งหนึ่งที่มักพบเห็นอยู่เป็นประจำในงานเลี้ยง คือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ หากดื่มมากก็ยิ่งเพิ่มโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งตับมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลนนทเวช

อยากชวนนักดื่มทั้งหลายให้ลด ละ เลิกดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ในช่วงเทศกาล จากสถิติกระทรวงสาธารณสุขปี 2553 พบว่า "มะเร็งตับ" ยังครองแชมป์โรคมะเร็งที่พบมากเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย โดยมีชายไทยป่วยเพิ่มขึ้น 1 คน ทุก 1 ชั่วโมง ส่วนหญิงไทยป่วย 1 คน ทุก 1 ชั่วโมง เฉลี่ยพบผู้ป่วยวันละกว่า 30 คน และผู้ป่วย ส่วนใหญ่มักมาพบแพทย์เมื่อรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ ซึ่งมักจะเป็นในระยะที่ 3 หรือ 4 คือ ระยะสุดท้าย ทำให้โอกาสในการรักษาให้หายขาดมีน้อยลง

มะเร็งตับอาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ มะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตับ และอีกชนิดคือมะเร็งของเซลล์ทางเดินน้ำดี ซึ่งในที่นี้จะกล่าวถึงมะเร็งที่เกิดจากเซลล์ตับ เพราะเป็นมะเร็งตับที่พบมากได้ทั่วทุกภาคของประเทศ ส่วนมะเร็งทางเดินน้ำดีจะพบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน ส่วนใหญ่อาจ มีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บใต้ชายโครงด้านขวา หากรุนแรงมากขึ้นอาจมีอาการแน่นท้อง น้ำหนักลด หรืออาจมีตับโตจนคลำพบได้




สำหรับการรักษามะเร็งตับนั้น มีวิธีการต่างๆ ดังต่อไปนี้

1.การผ่าตัด เมื่อก้อนมะเร็งมีขนาดเล็ก และยังไม่ลุกลามไปยังตับส่วนที่เหลืออยู่ เพราะส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีภาวะตับแข็งร่วมด้วย มักมีตับส่วนที่ทำงานเหลืออยู่ไม่เพียงพอหลังการผ่าตัด

2.การฉีดยาเคมีเพื่ออุดกั้นหลอดเลือดที่เลี้ยงมะเร็งตับ เป็นการรักษาโดยการใส่สายขนาดเล็กทางหลอดเลือดแดง (บริเวณขาหนีบ) และฉีดยาเคมีบำบัดเข้าไปอุดกั้นเส้นเลือดที่เลี้ยงก้อนมะเร็งในตับเพื่อให้เซลล์มะเร็งตาย

3.การใช้คลื่นความร้อนทำลายมะเร็งตับ เป็นการทำลายก้อนมะเร็งด้วยการสอดเข็มขนาดเล็ก ผ่านผิวหนังหน้าท้อง โดยอาศัยเครื่องอัลตราซาวด์หรือเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ช่วยนำทางเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง และปล่อยกระแสไฟฟ้าทำให้เกิดความร้อนเพื่อไปทำลายก้อนมะเร็ง ซึ่งผลการรักษาจะขึ้นอยู่กับขนาดของก้อนมะเร็งด้วย

4.การฉีดสาร Absolute Alcohol โดยการสอดเข็มขนาดเล็กผ่านผิวหนังเข้าไปที่ก้อนมะเร็ง แล้วฉีดสารเข้าไปทำลายก้อนมะเร็งโดยตรง 5.การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายตับ เป็นการผ่าตัดเปลี่ยนตับที่มีก้อนมะเร็งออกไป 6.การรักษาด้วยวิธี Targeted Therapy เป็นการรักษาโดยใช้ยาเคมีบำบัด ซึ่งจะออกฤทธิ์ทำลายเฉพาะเซลล์มะเร็ง ซึ่งปัจจุบันจะใช้กับผู้ป่วยมะเร็งตับระยะลุกลามแล้วเพื่อช่วยยืดอายุของผู้ป่วยมะเร็งตับ


หากลดหรือเลิกดื่มแอลกอฮอล์ได้ย่อมเป็นเรื่องดี ที่สำคัญนอกจากจะห่างไกลจากมะเร็งตับแล้ว ยังปลอดภัยจากอุบัติเหตุทางรถยนต์อีกด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #404 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2013, 07:46:08 PM »

แนะผู้ป่วยมะเร็งใช้เห็ดหลินจือต้มดื่มแทนน้ำสร้างภูมิต้านทานโรคได้



กรุงเทพฯ 4 ก.พ.- นพ.สมชัย นิจพานิช อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวเนื่องในวันมะเร็งโลก (4 ก.พ.) แนะประชาชนบริโภคเห็ดหลินจือช่วยเสริมภูมิคุ้มกันและมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งได้ ผลการวิจัยพบว่าเห็ดหลินจือมีสารสำคัญเป็นสารกลุ่มโพลีแซ็กคาไรด์ มีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ช่วยให้จิตสงบ เป็นยาระบายอ่อน ๆ และสารกลุ่มไทรเทอร์ปีน เป็นสารที่มีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ซึ่งพบมากในส่วนสปอร์และสปอร์ที่กะเทาะผนังหุ้มมีสารสำคัญและฤทธิ์ทางยาดีกว่าสปอร์ที่ไม่กะเทาะผนังหุ้มหลายเท่า
 
นอกจากนี้ ยังพบว่าสารสกัดดอกเห็ดและสปอร์มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ดี ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ปกติที่ไม่ใช่มะเร็ง

สำหรับการใช้เห็ดหลินจือกับผู้ป่วยโรคมะเร็งในประเทศไทย เน้นส่งเสริมสุขภาพเป็นหลัก เช่น
 
การใช้เห็ดหลินจือต้มดื่มแทนน้ำ ประชาชนสามารถทำได้เองแต่ควรเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือ จากแหล่งที่น่าเชื่อถือ ที่สำคัญต้องมีฉลากกำกับระบุชัดถึงส่วนประกอบ ปริมาณของผลิตภัณฑ์ รูปแบบของบรรจุภัณฑ์ที่บรรจุสามารถกันความชื้นได้ดี และต้องผ่านการรับรองและการขึ้นทะเบียนจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งสามารถดูข้อมูล ยาเห็ดหลินจือและสปอร์เห็ดหลินจือได้ทางเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th หรือโทร.02 9510777.-สำนักข่าวไทย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 25 26 [27] 28 29 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: