jainu
|
|
« ตอบ #405 เมื่อ: มีนาคม 04, 2013, 08:15:39 PM » |
|
ผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส เป็นโรคผิวหนังซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับสารภายนอกร่างกาย มีอาการคัน ผิวหนังมีผื่น บวม แดง และอาจมีน้ำเหลืองไหล ในบริเวณที่สัมผัสสารต้นเหตุ สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากการระคายเคืองจากสารเคมี น้ำยาซัก-ล้าง โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานในเปียกชื้นการทำงานบ้าน อย่างไรก็ตามสารบางชนิดก็ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยสารก่อภูมิแพ้จะไปกระตุ้นภูมิต้านทานในร่างกาย ให้หลั่งสารบางชนิดออกมาทำให้เกิดอาการผื่นคัน สารที่พบว่าเกิดอาการแพ้บ่อยๆ คือ Nickel (ในโลหะของปลอม เครื่องประดับ, น้ำหอม, และสารกันเสียในเครื่องสำอาง, น้ำยาย้อมผม, ปูนซิเมนต์, และผลิตภัณฑ์จากยางธรรมชาติ
อาการ อาการของผู้ที่มีผื่นระคายเคืองจะมีผื่นแดง แห้ง แตก มักเป็นในตำแหน่ง ฝ่ามือที่สัมผัสกับสารเคมี หรือถูกน้ำบ่อยๆ ในขณะที่ผื่นแพ้สัมผัสจะเกิดได้ในหลายบริเวณ แล้วแต่ว่าจะสัมผัสสารก่อภูมิแพ้ทีบริเวณใดของร่างกาย เช่น เป็นผื่นที่ศีรษะจากแพ้น้ำยาย้อมผม ผื่นที่ติ่งหูและข้อมือจากแพ้ต่างหูและสายนาฬิกา ผื่นที่รักแร้จากการแพ้น้ำหอมในน้ำยาดังกลิ่นตัว เป็นต้น
ในกรณีที่สงสัยว่าผิวหนังอักเสบเกิดจากการแพ้สัมผัสหรือไม่ ควรเข้ารับการทดสอบผื่นแพ้สัมผัส (Patch test) โดยแพทย์ผิวหนังจะปิดสารทดสอบไว้ที่ผิวบริเวณหลังหรือต้นแขนของผู้ป่วย เพื่อให้สารทดสอบติดอยู่ที่ผิวเป็นเวลา 48 ชั่วโมง จึงแกะออกและอ่านผลการทดสอบ เมื่อครบ 48 และ 96 ชั่วโมงแล้ว หากผู้ป่วยมีอาการหลังจากนั้น แพทย์จะแนะนำให้หลีกเลี่ยงสารที่แพ้ รวมทั้งหลีกเลี่ยงสารก่ออาการระคายเคืองอื่นๆ และให้ยาที่เหมาะสมในการรักษาต่อไป
การป้องกันโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส 1. หลีกเลี่ยงสารที่ทำการทดสอบแล้วพบว่าแพ้ 2. หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับสารระคายเคือง เช่น ผงซักฟอก, น้ำยาซักล้างชนิดต่างๆ เพื่อไม่ให้ผิวแตก, แห้ง และคันมากขึ้น 3. ใส่ถุงมือที่เหมาะสมกับการทำงาน เช่น ถุงมือผ้า , ถุงมือหนัง, ถุงมือยาง, ถุงมือ PVC เป็นต้น 4. ใส่สบู่ล้างมือน้อยลง หากจำเป็นให้ใช้สบู่เหลวไร้ด่าง และทาครีมบำรุงทุกครั้งหลังล้างมือ การรักษาโรคผื่นผิวหนังอักเสบจากการสัมผัส จุดประสงค์คือเพื่อลดความดันลูกตาลง ซึ่งทำได้โดยวิธี 1. ในระยะที่มีผื่นอักเสบเป็นน้ำเหลือง หรือเป็นตุ่มหนอง ให้ใช้ผ้ากอซ 3-4 แผ่น ชุบน้ำเกลือ (ที่ใช้สำหรับล้างแผล) ปะคบผื่นไว้ประมาณ 10-20 นาที วันละ 2 ครั้ง จนกว่าน้ำเหลืองหรือหนองแห้ง 2. ทายาคอร์ติโคสเตอรอยด์ เพื่อลดอาการอักเสบของผิวหนัง 3. รับประทานยาแก้แพ้ เพื่อลดอาการคัน
ข้อมูลจากโรงพยาบาลพญาไท
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #406 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:57:07 PM » |
|
หนุนคนไทยกินไข่เพื่อคุณค่าทางอาหาร รมช.สธ. เผย หนุนคนไทยกินไข่ เพื่อคุณค่าทางอาหาร ผู้ใหญ่กิน 3-5 ฟองต่อสัปดาห์
นายชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยถึง การสนับสนุนให้ประชาชนกินไข่ ว่า ขณะนี้ ไข่ไก่ มีราคาถูกลง เนื่องจาก ผลผลิตที่ล้นตลาด เพื่อเป็นการส่งเสริมให้เกษตรกรผู้เลี้ยงไก่มีรายได้เพิ่ม ช่วยให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น และเป็นการส่งเสริมสุขภาพ จึงสนับสนุนให้มีเมนูไข่ในมื้ออาหาร เพราะไข่เป็นอาหารที่มีคุณค่า หาได้ง่าย และเหมาะสมสำหรับทุกเพศ ทุกวัย ซึ่งนอกจากไข่ จะให้สารอาหารประเภทโปรตีนที่สมบูรณ์แล้ว ยังมีไขมัน ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส วิตามินบี 12 วิตามินเอ วิตามินดี และเลซิติน ที่ให้ประโยชน์
ต่อร่างกาย ด้วยการปรุงอาหารประเภทไข่สามารถทำได้ง่ายและหลากหลายสารพัดเมนู
โดยให้เด็กตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไปจนถึงวัยเรียนกินไข่วันละ 1 ฟอง ส่วนผู้ใหญ่ที่มีภาวะโภชนาการปกติควรกินไข่ 3-5 ฟองต่อสัปดาห์ และหากเป็นกลุ่มที่มีโคเลสเตอรอลสูง อาจกินได้สัปดาห์ละ 1-2 ฟอง หรือ กินแต่ไข่ขาว หรือ ตามคำแนะนำของแพทย์
ด้าน นายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า การหลีกเลี่ยงไม่ให้ร่างกายมีโคเลสเตอรอลสูง ไม่ได้อยู่ที่การลด หรือ งดกินไข่ แต่ผู้บริโภคต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารให้ถูกหลักโภชนาการ ควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดไขมันส่วนเกิน และควบคุมระดับโคเลสเตอรอล ให้เป็นปกติได้ และควรตรวจร่างกายเป็นประจำ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #407 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 07:24:28 PM » |
|
ดื่มน้ำเย็นๆ ไม่ดีต่อสุขภาพ คุณรู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำที่เย็นๆ นั้น มันไม่ดีต่อสุขภาพซึ่งคนส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะดื่มน้ำเย็นๆ เพราะว่าดื่มแล้วก็จะทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นขึ้นมา จากที่ไม่มีเรี่ยวไม่มีแรง คุณรู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำที่เย็นๆ นั้นจะมีผลต่อสุขภาพของคุณอย่างมาก
และด้วยสภาพแวดล้อมรวมถึงอากาศของบ้านเรามันร้อนอย่างมาก เพราะฉะนั้นแล้วทำให้คนส่วนมากชอบดื่มน้ำเย็นๆ เพื่อที่จะดับความกระหาย ซึ่งจริงๆ แล้วการดื่มน้ำเย็นนั้น สามารถส่งผลเสียสำหรับร่างกายคนเราได้ สาเหตุมาจากการที่ร่างกายของคนเรานั้นจะมีอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับร่างกายอยู่ประมาณที่ 32 องศา ซึ่งน้ำเย็นที่เราดื่มมันจะต้องมีอุณหภูมิมันต้องต่ำกว่า 32 องศาอย่างแน่นอน
สำหรับการย่อยอาหารของร่างกายก็จะมีการหลั่งของสารคัดหลั่ง ซึ่งจะเป็นพวกเอ็นไซม์ สำหรับการย่อยอาหารและสารพวกนี้ถูกออกแบบมาสำหรับการทำงาน ซึ่งจะมีอุณหภูมิปกติ สำหรับร่างกายคนเราและอุณหภูมิที่ต่ำนั้น ทำให้ไปลดการทำงานของสสารเอนไซม์สำหรับการย่อยอาหาร ซึ่งก็เป็นสาเหตุของการย่อยได้ไม่ดีเท่าที่ควร
สำหรับระบบทางเดินอาหารก็ยังมีกล้ามเนื้อต่างๆ และกล้ามเนื้อเหล่านี้ก็จะได้รับความเย็นจากการดื่มน้ำเย็นๆ เข้าไป ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการชาได้
สำหรับปัญหาที่จะเกิดขึ้นหลังจากที่ดื่มน้ำเย็นก็คือ จะทำให้เกิดท้องอืดมีอาการท้องเฟ้อ ทำให้เกิดระบบของการย่อยอาหารที่ไม่ดีเป็นสาเหตุของโรคกรดไหลย้อน เป็นต้น เพราะฉะนั้นแล้วเราควรจะดื่มน้ำเย็นให้น้อยลงเพราะว่าจะได้มีสุขภาพที่ดีกว่าเดิม
การดื่มน้ำช่วยให้ระบบขับถ่ายมีประสิทธิภาพ
ที่มา...cintaya.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #408 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:18:59 AM » |
|
นักโภชนาการแนะเลี่ยงอาหาร 7 ประเภทช่วงหน้าร้อน นายสง่า ดามาพงษ์ นักโภชนาการ และผู้จัดการแผนงานโภชนาการเชิงรุก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า อาหารที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคในหน้าร้อนมี 7ประเภท ดังนี้
1.อาหารประเภทกะทิ เช่น แกงเขียวหวาน แกงเผ็ด ขนมพวกกะทิ เป็นอาหารที่ง่ายต่อการบูดเสีย เชื้อจุลินทรีย์ชอบ
2.อาหารประเภทยำที่มีเนื้อต่างๆ ทั้งหมู ไก่ ปลา อาหารทะเล รวมถึงส้มตำ จำเป็นต้องทำให้สุก
3.ขนมจีนน้ำยากะทิ ถือเป็นอาหารเสียง่าย และต้องล้างผักเคียงให้สะอาด
4.อาหารทะเล ต้องทำให้สุกทุกครั้ง เพราะมีเชื้อจุลินทรีย์
5.อาหารค้างคืน ต้องมั่นใจว่าไม่บูดเสีย อุ่นให้สุกใหม่ทุกครั้ง
6.อาหารที่มีแมลงวันตอม โดยสังเกตและเลือกซื้ออาหารที่ปรุงสำเร็จและวางขายในภาชนะที่ไม่มีฝาและสิ่งใดปกปิด และ7.น้ำดื่ม และน้ำแข็ง ต้องมั่นใจว่าเป็นน้ำดื่มที่สะอาดได้มาตรฐาน ไม่ใช้น้ำแข็งแช่ร่วมกับอาหาร เพราะเสี่ยงต่อการทำให้ท้องร่วง
หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หวานจัด และเค็มจัด อาหารที่มีไขมันสูงย่อยยาก ให้พลังสูง เพราะเพิ่มความร้อนมากขึ้นได้ ควรกินผลไม้ไทยๆ ที่มีรสหวานน้อยเป็นประจำช่วยดับร้อนได้ดีทั้งชมพู่ ส้ม แตงโม แก้วมังกร ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นผลไม้ที่มีน้ำมากกว่าร้อยละ 90 รับประทานอาหารไทยๆ เช่น แกงเลียง แกงส้ม แกงป่า แกงอ่อม เป็นต้น และออกกำลังกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #409 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:21:34 AM » |
|
เมื่ออาหารเป็นพิษทำอย่างไรดี เคยไหมระหว่างเดินทาง เกิดอาการท้องไส้ปั่นป่วน ปวดท้อง อาเจียน จนกระทั่งอาจมีอาการปวดศีรษะและปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมา ทั้งหมดที่ว่ามานี้คืออาการของอาหารเป็นพิษ ซึ่ง "อาหารเป็นพิษ" คือ อาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อนเข้าไปอาจเป็นสารพิษที่มาจากเชื้อโรค สารเคมี หรือพืชพิษ รวมถึงอาหารที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆ จากเนื้อสัตว์ที่ปนเปื้อนเชื้อ อาหารกระป๋อง อาหารทะเล หรืออาหารค้างคืนที่ไม่ได้อุ่นก็ทำให้เป็นโรคนี้ได้เช่นกัน โดยจะเกิดอาการท้องร่วง คลื่นไส้ และอาการปวดท้องอันเนื่องมาจากเชื้อโรค ทำให้เกิดการอักเสบของลำไส้ อาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามเนื้อตัวตามมาด้วย
แต่ถ้าคุณมีอาการท้องเสียมาก ๆ ร่างกายจะเกิดอาการขาดน้ำและเกลือแร่ บางคนอาจมีอาการรุนแรงมากขึ้นเนื่องจากมีการติดเชื้อและเกิดการอักเสบที่อวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย และเมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสโลหิตก็ทำให้เกิดโลหิตเป็นพิษได้ แต่ถ้าพิษนั้นเกิดจากสารเคมีหรือพืชพิษบางชนิดจะมีผลต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ และร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้เลย
เมื่อเกิดอาการอาหารเป็นพิษควรทำอย่างไร
ถ้าคุณท้องเสียมากเกินไปควรดื่มน้ำเกลือแร่เพื่อทดแทนการสูญเสียน้ำของร่างกาย
ถ้ามีอาการทางระบบประสาท (เช่น ชัก หมดสติ) หรือสงสัยว่าจะเกิดจากยาฆ่าแมลงหรือสารพิษอื่น ๆ ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยด่วน
ถ้าท้องเสีย อย่ากินยาหยุดถ่ายนะคะ อาการท้องร่วงส่วนใหญ่มักจะหายได้เองเพราะการขับถ่ายเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายที่จะต้องขับของเสียออกจากร่างกายอยู่แล้วค่ะ
วิธีรับมืออาหารเป็นพิษ
1. หมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งก่อนปรุงและกินอาหาร
2. ดื่มน้ำสะอาดหรือน้ำต้มสุกทุกครั้ง
3. อย่าเสียดายอาหารที่เหลือจากเมื่อวานเลยค่ะ ยิ่งเป็นพวกที่มีกะทิด้วยแล้วยิ่งเสียง่ายมาก
4. ล้างผักและผลไม้ด้วยน้ำไหล ถ้าแช่ด่างทับทิมได้จะดีมาก (ควรแช่ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกครั้ง)
5. ไม่ควรทิ้งเนื้อสด ๆ ไว้นอกตู้เย็น เพราะอุณหภูมิที่ร้อนจะเร่งให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้อย่างรวดเร็ว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #410 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 09:47:29 AM » |
|
ทานน้ำแข็งหลอดให้ปลอดภัยในหน้าร้อน วิธีทานน้ำแข็งหลอดให้ปลอดภัยในหน้าร้อน อากาศร้อนอย่างนี้ การได้ดื่มน้ำเย็นๆ ช่วยทำให้สดชื่นและรู้สึกกระปรี้กระเปร่า นอกจากน้ำเย็นๆ แล้วการได้ดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนประกอบของน้ำแข็ง เช่นน้ำแข็งใสน้ำแข็งใส่น้ำหวาน น้ำผลไม้ปั่น หรือเครื่องดื่มอื่นๆก็ยิ่งช่วยทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สดชื่นยิ่งขึ้น แต่เพื่อนๆ ทราบหรือไม่ค่ะเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าน้ำแข็งที่เราทานเข้าไปนั้นสะอาดและปลอดภัยต่อสุขภาพ
เพื่อความปลอดภัยในการบริโภคน้ำแข็ง สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาได้มีควบคุมการผลิตและกำหนดมาตรฐาน กรรมวิธีการผลิต การใช้น้ำในการผลิต สถานที่เก็บรักษาน้ำแข็ง การใช้ภาชนะบรรจุน้ำแข็ง รวมถึงการแสดงฉลากเอาไว้ด้วย
การบริโภคน้ำแข็ง ในฐานะที่เป็นผู้บริโภคเราควรเลือกซื้อน้ำแข็งอย่างระมัดระวัง ต้องสังเกตรายละเอียดบนฉลากให้ดีด้วย นอกจากนั้นน้ำแข็งที่ตักแบ่งขายตามร้านค้าทั่วไป หรือน้ำแข็งบดที่จำหน่ายโดยไม่ต้องมีฉลาก เราจะพบว่ามีเศษฝุ่นอยู่ในน้ำแข็งเหล่านั้นมากมาย ซึ่งหากเข้าไปสะสมอยู่ในร่างกายก็อาจจะทำให้เกิดโรคนิ่วได้
ดังนั้น การเลือกซื้อน้ำแข็ง เพื่อนๆ ควรสังเกตลักษณะน้ำแข็ง สถานที่เก็บรักษา ภาชนะที่ใช้บรรจุต้องสะอาดและไม่มีการปนเปื้อนไว้เป็นเบื้องต้น สุขภาพดีเริ่มต้นได้จากตัวเราเองค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #411 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:40:25 AM » |
|
กรุ๊ปเลือด สุ่มเสี่ยงของโรค กรุ๊ปเลือดนั้นสำคัญไฉน? นี่เป็นคำถามที่ใคร ๆ ก็น่าจะตอบได้ไม่ยาก
ประเด็นหลัก ๆ เลยก็จะได้รู้ว่ายามที่เราป่วยไข้ผ่าตัดต้องการเลือดด่วน จะต้องขอรับบริจาคเลือดกรุ๊ปใด และยามที่ประสงค์จะบริจาคเลือดให้กับผู้ป่วยคนใดคนหนึ่งนั้น กรุ๊ปเลือดของเราสามารถให้แก่เขาได้หรือไม่ แต่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญเช่นกัน คือ มันสามารถบ่งบอกปัจจัยสุขภาพได้ โดยบอกเป็นค่าความเสี่ยงว่า ผู้ที่มีหมู่เลือดแบบหนึ่งมีโอกาสเสี่ยงต่อโรคชนิดหนึ่งมากกว่าหมู่เลือดอื่น ๆ
อย่างไรก็ดี นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถสรุปผลอย่างเด็ดขาดได้ 100% ว่า หมู่เลือด X จะก่อให้เกิดโรค Y แน่นอน เพียงแต่จะเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคมากกว่าหมู่เลือดอื่น ๆ เท่านั้น และค่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นนั้นก็ยังคงเป็นเปอร์เซ็นต์ที่น้อยนิด แต่การทราบเอาไว้ก่อนก็จะช่วยให้เราสามารถระวังดูแลสุขภาพได้ดีขึ้นกว่าเดิมใช่ไหมล่ะคะ และนี่เป็น 4 โรค กับความเสี่ยงในการเป็นโรคของแต่ละหมู่เลือด ที่เรานำมาฝากกันจากเว็บไซต์ reader digest ค่ะ
1. ภาวะเส้นเลือดขอด กรุ๊ปเลือด AB, A, B มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
ภาวะเส้นเลือดขอด หรือ ภาวะหลอดเลือดดำที่ขาอุดดัน (deep-vein thrombosis, DVT) ไม่เพียงแต่ทำลายความสวยงามของเรียวขาเท่านั้น แต่มันยังมีอันตรายที่มากกว่าแฝงมาด้วย เมื่อลิ่มเลือดที่เกิดขึ้นอาจหลุดไปตามกระแสเลือดและเข้าสู่ปอด ซึ่งทำให้เกิดอันตรายถึงชีวิตได้
จากการศึกษาของคณะแพทย์จากโรงพยาบาล Herlev ในกรุงโคเปนเฮเกน ที่ได้ติดตามศึกษาผู้ร่วมการทดลองจำนวน 60,001 คน เป็นเวลานานถึง 33 ปี พบว่า ปัจจัยที่จะเกิดภาวะเส้นเลือดขอดมากที่สุดคือหมู่เลือด โดยค่าความเสี่ยงอยู่ที่ 20% ทั้งนี้ ผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด AB, A และ B จะมีความเสี่ยงมากกว่าเลือดกรุ๊ป O ส่วนปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แแก่ การเปลี่ยนแปลงของยีน 11%, น้ำหนักตัวมาก 16% และสูบบุหรี่ 6%
2. โรคหัวใจ กรุ๊ปเลือด AB, B, A มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
นักวิจัยจาก Harvard School of Public Health ได้ทำการศึกษากับกลุ่มผู้ป่วยอายุระหว่าง 30-75 ปี จำนวนมากกว่า 17,000 ราย เป็นเวลาถึง 20 ปี และได้พบว่าผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป AB มีความสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัวใจมากถึง 23% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีกรุ๊ปเลือด O จากนั้นความเสี่ยงลดหลั่นลงมาเป็น 11% และ 5% ในผู้ที่มีเลือดกรุ๊ป B และ A ตามลำดับ นั่นหมายความว่าผู้ที่มีเลือดหมู่ O มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจน้อยที่สุดในบรรดาหมู่เลือดทั้งหมด
ทั้งนี้ นักวิจัยเองยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่แน่ชัดได้ว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่มีข้อบ่งชี้บางประการที่ระบุว่า หมู่เลือดชนิด AB มีความเกี่ยวพันกับคลอเรสเตอรอลชนิด LDL หรือไขมันเลว
ในขณะที่หมู่เลือด O กลับน่าจะมีสารเคมีที่ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดี ลดการอุดตันในเส้นเลือดได้ แต่อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มีอิทธิพลต่อความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจที่สำคัญกว่าก็คือ ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเจ้าตัว อันได้แก่ น้ำหนักตัว การรับประทานอาหาร การออกกำลังกาย การพักผ่อนที่เพียงพอ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยที่ส่งอิทธิพลถึงความเสี่ยงของโรคมากกว่าหมู่เลือดหลายเท่า แต่ก็เป็นปัจจัยที่สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกันได้ค่ะ
3. โรคมะเร็งกระเพาะอาหาร กรุ๊ปเลือด A มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
จากการศึกษาเมื่อปี 2010 ของสถาบัน Karolinska ในประเทศสวีเดน พบว่า ผู้ที่มีเลือดหมู่ A มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 20% เมื่อเทียบกับผู้ที่มีหมู่เลือด O และ B แต่ในการศึกษาครั้งเดียวกันนี้ ก็ได้พบว่าผู้ที่มีเลือดหมู่ O กลับมีความเสี่ยงกับการเป็นแผลในกระเพาะอาหารมากกว่า ทั้งยังเกิดอาการปวดท้องได้มากกว่า เพราะไวต่อเชื้อแบคทีเรีย Helicobacter pylori ที่ก่อให้เกิดโรคกระเพาะอาหารมากกว่าหมู่เลือดอื่น ๆ นั่นเอง
4. ภาวะมีบุตรยาก กรุ๊ปเลือด O มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น
หญิงผู้มีเลือดกรุ๊ป O มีโอกาสประสบภาวะมีบุตรยากมากกว่ากรุ๊ปเลือดอื่น ๆ ถึง 2 เท่า เนื่องจากมีการผลิตฮอร์โมน FSH ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นให้เกิดการตกไข่อยู่สูง ทั้งนี้การมีฮอร์โมน FSH อยู่มากกลับทำให้ภาวะเจริญพันธุ์ลดลง โอกาสมีบุตรจึงน้อยลงไปด้วย แม้จะไม่มีคำอธิบายแน่ชัดนักว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น แต่ผู้หญิงที่มีเลือดกรุ๊ป O ก็ไม่ต้องกังวลมากเกินไป เพราะเมื่อเทียบกับปัจจัยอย่างอายุ และความแข็งแรงของร่างกายแล้ว ก็นับว่าเรื่องหมู่เลือดส่งผลต่อการมีบุตรน้อยมากเลยทีเดียว
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #412 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2013, 08:28:06 PM » |
|
ประโยชน์ 10 ข้อจากการงีบหลับ การนอน หลับถือเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด และเราควรจะนอนหลับให้เพียงพอ แต่สำหรับคนที่นอนไม่ค่อยจะพอสักเท่าไหร่ แล้วอยากจะงีบหลับสักเล็กน้อยบ้างนั้น เราสนับสนุนครับ
เรามีประโยชน์ 10 ข้อ จากการงีบหลับช่วงสั้นๆ มาให้ทราบ ซึ่งประโยชน์ทั้ง 10 นั้นจะมีอะไรบ้าง เราลองมาดูไปพร้อม ๆ กันเลย
1. ลดความเครียดได้
ไม่ว่าคุณจะฟุบงีบบนโต๊ะ หรือจะได้นอนแบบจริง ๆ จัง ๆ นั้น จะถือเป็นเวลาที่คุณจะได้ผ่อนคลายอย่างสบายทีเดียว โดยมีผลวิจัยทางการแพทย์ออกมาระบุว่าการงีบเป็นกิจกรรมหนึ่งที่ช่วยลด ฮอร์โมนที่ก่อให้เกิดความเครียดได้ด้วย
2. ก่อให้เกิดการตื่นตัวในการทำงาน
นักวิทยาศาสตร์พบว่าการงีบหลับเพียง 20 นาทีหลังจากที่เราตื่นมาแล้ว 8 ชั่วโมงจะช่วยเสริมพลังให้ตัวเราได้ดีกว่าการนอนต่ออีก 20 นาทีในตอนเช้า ซึ่งนี่ล่ะ ส่งผลให้เกิดความรู้สึกได้ผ่อนคลายอย่างเต็มที่และผลักดันให้พร้อมทำงานหรือ สิ่งต่าง ๆ ที่ต้องรับผิดชอบได้ดีมากขึ้น
3. เพิ่มความจำได้
ตามข้อมูลระบุว่า การงีบในช่วงกลางวันจะช่วยเพิ่มในเรื่องของความจำให้กับสมองได้ดีเพิ่มขึ้น มาก ๆ แถมสิ่งต่าง ๆ ที่จดจำนั้นก็จะจำได้อย่างรวดเร็วและมีความแม่นยำกว่าที่เคยมาก ๆ อีกต่างหาก
4. เป็นผลดีต่อหัวใจ
จากการวิจัยพบว่า การงีบหลับในช่วงระหว่างวัน จะช่วยลดความเสี่ยงของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจโดยเฉพาะในหนุ่ม ๆ ที่มีสุขภาพดี ผลงานวิจัยดังกล่าวได้ศึกษาจากผู้คนกว่า 23,681 คนในประเทศกรีซ ซึ่งไม่มีประวัติเป็นโรคหัวใจตีบ เส้นโลหิตสมองแตกหรือมะเร็ง ซึ่งจากการวิจัยดังกล่าวก็ได้ผลสรุปออกมาว่า หากมีการงีบหลับอย่างน้อยสัก 20-30 นาที จะลดความเสี่ยงการเป็นโรคหัวใจได้ถึง 37% เลยทีเดียว
5. เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้น
องค์การนาซา (NASA) เคยทำการวิจัยมาว่า การงีบหลับช่วยเพิ่มความสามารถด้านการเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ได้เพิ่มขึ้นกว่า 40% โดยทดลองให้อาสาสมัคร 1,000 คน ทำงานต่อเนื่องแบบไม่หยุดพัก นี่เองเลยทำให้ความจำของพวกเขาลดลงเมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้งีบหลับ
6. เกิดแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย
อีกหนึ่งประโยชน์ที่มาพร้อม ๆ กับการงีบหลับก็คือ เรื่องของการเพิ่มแรงกระตุ้นในการออกกำลังกาย โดยจากข้อมูลทางการแพทย์บอกไว้ว่า การงีบหลับก่อนไปออกกำลังกาย ช่วยให้การออกกำลังกายมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งได้เร็วและได้ระยะทางที่ไกลกว่าเดิม แถมยังทำให้สภาพจิตใจรู้สึกสดชื่นมากขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน
7. ช่วยให้สมองโลดแล่น
นอกจากเรื่องของความจำและการเรียนรู้สิ่ง ใหม่ ๆ จะทำได้ดีมากขึ้นแล้ว หากใครที่ต้องทำงานหรือต้องใช้ความคิดในการสร้างสรรค์งานอยู่เสมอล่ะก็ การงีบหลับจะช่วยได้มากทีเดียว ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เป็นผลมาจากการที่สมองได้พักผ่อนไปนั่นเอง ซึ่งเมื่อคุณตื่นขึ้นมา สมองก็พร้อมที่จะใช้งานและพร้อมที่จะคิดไอเดียใหม่ ๆ ออกมาเสมอด้วยนั่นเอง
8. เกิดความกระตือรือร้น
นักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยชิคาโก้ ได้ศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายกับวัยรุ่นหนุ่ม 11 คนพบว่า ใครที่นอนเพียงแค่ 4 ชั่วโมงต่อวันนั้น จะมีอาการอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด แต่เมื่อมีการงีบหลับสักแค่ 20 นาที อาการอิดโรยต่าง ๆ ก็หายไปซะดื้อ ๆ แถมยังช่วยให้มีแรงไปทำสิ่งอื่น ๆ ได้เหมือนกับคนที่พักผ่อนอย่างเพียงพออีกต่างหาก แต่อย่างไรก็ดี จากอาการต่าง ๆ ที่บอกว่าหายไปนั้นจะหายไปเพียงช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น จะไม่เกิดความกระตือรือร้นไปตลอดทั้งวันแต่อย่างใด
9. ช่วยป้องกันโรคนอนไม่หลับ
ใครที่กำลังประสบปัญหากับการนอนไม่หลับ ก็อย่าเพิ่งกังวลมากจนเกินไปนัก เพราะเพียงแค่คุณลองหาเวลาสัก 20 นาทีเพื่อให้ได้งีบบ้าง ก็จะช่วยทดแทนเรื่องของการพักผ่อนได้ดีพอควร อาจจะเป็นการงีบหลับช่วงสั้น ๆ ในเวลากลางวัน ก็ช่วยได้เช่นกัน อย่างไรก็ดี อย่าได้ทำแบบนี้จนติดเป็นนิสัย หากแต่ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการพักผ่อนเสียใหม่ จะเป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่า
10. สุขภาพดีขึ้นไม่น้อย
ทางแพทย์ผู้เชี่ยวชาญกล่าวไว้ว่า การงีบหลับนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายมหาศาล อันจะเห็นได้จากการส่งผลดีต่อ การทำงานของหัวใจ ปรับสมดุลฮอร์โมนในร่างกาย และช่วยซ่อมบำรุงเซลล์ต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้นด้วย ซึ่งหากใครที่มองว่าการงีบไม่ใช่เรื่องที่ดี ลองหันมางีบหลับบ้าง แล้วจะพบว่ามีหลาย ๆ อย่างที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นจริงๆ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #413 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2013, 08:34:09 PM » |
|
10 สุดยอดอาหารที่ควรทานทุกวัน การดูแลตัวเองด้วยการออกกำลังกาย และการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ จึงเป็นวิธีง่ายๆ ที่หลายคนเลือกใช้โดยเฉพาะเรื่องการรับประทานอาหารที่ทำให้สุขภาพดีจากภายในยิ่งเป็นสิ่งที่ต้องทำให้ได้ทุกวันเลยล่ะ
นอกจากการรับประทานอาหารครบ 5 หมู่แล้ว หากคุณได้รับประทาน "สุดยอดอาหาร" ในทุกๆ วันแล้ว ยิ่งทำให้คุณมีสุขภาพดีมากขึ้นไปอีกว่าแต่สุดยอดอาหารที่ว่านี้ คืออะไรไปดูพร้อมๆ กันเลย
1. เบอร์รี่ แม้ว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่จะเคยเป็นผลไม้ที่หาทานได้ยากในบ้านเรา แต่ในสมัยนี้เห็นจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้วล่ะ เพราะเดี๋ยวนี้เค้ามีขายกันทั่วไปตามห้างสรรพสินค้า และท้องตลาดบางแห่งด้วย คุณๆ รู้ไหมว่าผลไม้ตระกูลเบอร์รี่นั้น ช่วยในเรื่องของระบบย่อยอาหารได้มากเลยทีเดียว แถมยังมีแอนตี้ออกซิแดนท์ช่วยให้ผิวอ่อนเยาว์ และที่สำคัญยังมีวิตามิน C ที่ช่วยในเรื่องผิวพรรณและหวัดอีกด้วย
2. ไข่ไก่ ไข่ไก่เป็นสุดยอดอาหารที่หาง่ายมาก ๆ แถมยังราคาถูกอีก คุณรู้ไหมว่าไข่ไก่นั้นเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพสูง ที่ทำให้คุณได้พลังงานแต่ไม่อ้วน แถมมีประโยชน์ในการบำรุงสายตา แถมยังมีลูทีนที่จะป้องกันผิวคุณจากการทำลายของแสงแดดอีกด้วย
3. ถั่ว ถั่วเป็นแหล่งของเหล็ก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยในการส่งผ่านออกซิเจนจากปอดไปยังเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย โดยในถั่ว 1 ถ้วย จะให้ธาตุเหล็กประมาณ 16 มิลลิกรัม ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่สูงเลยทีเดียว นอกจากนี้ถั่วยังมีไฟเบอร์ช่วยให้ร่างกายขับถ่ายได้ง่ายอีกด้วย
4. อัลมอนต์ แม็คคาเดเมีย และมะม่วงหิมพานต์ เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจ จากการศึกษาของนักโภชนาการ พบว่า ผู้ที่รับประทานเมล็ดพืชเหล่านี้จะมีอายุยืนกว่าผู้ที่ไม่ได้ทานถึง 2 ปีครึ่งเลยทีเดียว นอกจากนี้ ยังมีโอเมก้า 3 เอแอลเอ ที่จะส่งผลให้อารมณ์ดีขึ้น ที่สำคัญยังช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีด้วย
5. ส้ม เป็นแหล่งวิตามิน C คุณภาพ ที่มีประโยชน์ต่อการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว และช่วยสร้างภูมิต้านทานโรค รวมทั้งยังมีไฟเบอร์สูง เป็นแหล่งของแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ ที่จะช่วยปกป้องเซลล์ผิวจากการถูกทำลาย และเสริมสร้างคอลลาเจนในผิว เรียกว่าคุณประโยชน์ครบครันเลยทีเดียว
6. มันเทศ อาหารที่หาได้ง่าย แถมยังให้ประโยชน์มากมายกับสุขภาพอีก มันเทศเป็นแหล่งเบตาแคโรทีนชั้นดีที่ช่วยในการบำรุงสายตา เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน และที่หลาย ๆ คนคิดไม่ถึง คือ มันเทศมีสารต้านมะเร็งสูงอีกด้วยค่ะ
7. บร็อคโคลี่ เป็นแหล่งของวิตามินซี เอ และเค เป็นผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยบำรุงสายตา และมีสารไอโซธิโอไซยาเนทส์ (Isothiocyanates) ที่ช่วยต่อต้านมะเร็งปอด รวมถึงมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ นอกจากนี้ วิตามินเคยังเป็นสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกด้วย
8. ชา แม้ว่าชาจะเป็นหนึ่งในเครื่องดื่มที่ไม่ได้ให้ผลดีต่อสุขภาพเท่าไหร่ แต่รู้ไหมว่า การดื่มชาในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นอัลไซเมอร์ มะเร็ง และทำให้สุขภาพฟันและกระดูกแข็งแรงขึ้น เพราะในชานั้นมีสารแอนตี้อ๊อกซิแดนท์ที่เรียกว่า ฟลาโวนอยด์ (flavonoids) ที่ให้ผลลัพธ์ที่ดีต่อสุขภาพ
9. คะน้า มีสารเบต้าแคโรทีนสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งลำไส้ มะเร็งปอด รวมถึงมีวิตามินที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ สร้างภูมิต้านทานโรคที่ดี นอกจากนี้ยังมีแคลเซียมเสริมสร้างการทำงานของกระดูก
10. โยเกิร์ต อาหารสุขภาพที่หลายๆ คนมักจะซื้อไว้ติดบ้าน เอาไว้ทานยามหิว และนั่นเป็นสิ่งที่ดีแล้วเพราะในโยเกิร์ตนั้นมีสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โพแทสเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 และโปรตีน ดังนั้น ถ้าคุณทานโยเกิร์ตให้ได้วันละ 1 ถ้วย จะทำให้สุขภาพคุณดีอย่า
ที่มา... blogspot.com
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #414 เมื่อ: มิถุนายน 15, 2013, 11:42:16 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #415 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2013, 10:40:58 AM » |
|
*สมุนไพรต้านอนุมูลอิสระ***ภญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร หัวหน้ากลุ่มงานเภสัชกรรม โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ได้ให้ข้อมูลต่อว่า บทบาทที่สำคัญของสมุนไพรที่เกี่ยวกับการป้องกันการเกิดโรคและชะลอความเสื่อมของร่างกาย คือ การต้านอนุมูลอิสสระนั้น นอกจ...าก "ยอ" แล้ว แนวทางการป้องกันการเกิดโรคเรื้อรัง คือ การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การชะลอแก่ของเซลล์ต่างๆ การเพิ่มการไหลเวียนเลือด และป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว รวมทั้งเสริมการทำงานอย่างเป็นระบบของอวัยวะทุกส่วน ยังต้องพึ่งพาสมุนไพรอีกหลายตัว หนึ่งในนั้นคือ "ฟ้าทะลายโจร"
ฟ้าทะลายโจร เป็นสมุนไพรที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ในการกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย และได้ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติของประเทศไทย ใช้บรรเทาอาการของโรคหวัด (Common cold) เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ น้ำมูกไหล และบรรเทาอาการท้องเสียไม่ติดเชื้อ
ฟ้าทะลายโจร มีการใช้เพื่อการป้องกันหวัดมาอย่างยาวนานในประเทศจีน และมีรายงานการวิจัยว่า ฟ้าทะลายโจรช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้ทั้งแบบการสร้างแอนตี้บอดี้ (Antibody) เพื่อต่อต้านสิ่งแลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย และการกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวชนิดแมคโคฟาจ (Macrophage) ให้จับกินเชื้อโรคได้ดีขึ้น
กลไกการออกฤทธิ์ของสารสำคัญในฟ้าทะลายโจรต่อร่างกายมี 3 กลไก คือ - มีฤทธิ์ลดไข้ ต้านการอักเสบ และลดอาการจากการหวัด - มีฤทธิ์ลดการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสและทำให้ความสามารถของเชื้อไวรัสในการเกาะติดกับผนังเซลล์ลดลง จึงทำให้เชื้อไวรัสเข้าสู่เซลล์ได้ยากขึ้น - มีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ทำให้มีร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ดีขึ้น
อีกทั้งยังมีความปลอดภัยในการรับประทานในระยะยาว และมีการรับรองในการรักษาหวัดจากองค์การอนามัยโลกอีกด้วย แต่มีข้อห้ามใช้ในสตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร เนื่องจากมีการศึกษาพบว่า น้ำต้มฟ้าทะลายโจรมีผลทำให้หนูทดลองแท้งได้ และห้ามใช้ในการบรรเทาอาการไข้หรือเจ็บคอจากการติดเชื้อแบคทีเรีย Streptococcus group A ซึ่งมีอาการรุนแรง และการติดเชื้อแบคทีเรียกลุ่มนี้อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ไข้รูห์มาติค โรคหัวใจรูห์มาติคและไตอักเสบ
ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคควรรับประทานฟ้าทะลายโจรตามคำแนะนำ ดังนี้ - การใช้เพื่อบรรเทาอาการท้องเสียชนิดที่ไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ คือ อุจจาระไม่เป็นมูกหรือมีเลือดปน ให้รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม - 2 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน - การใช้เพื่อบรรเทาอาการของโรคหวัด (common cold) เช่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ให้รับประทานครั้งละ 1.5 - 3 กรัม วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
ที่มา : bangkokbiznews.com/by สาระแห่งสุขภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #416 เมื่อ: กรกฎาคม 01, 2013, 10:48:43 AM » |
|
สาระแห่งสุขภาพ . ***เลือกซื้อและใส่ใจ "อาหาร" สักนิด***(ควรรู้ไว้)
เมื่อต้นทาง 'อาหาร' มิได้พึ่งเกษตรอินทรีย์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและผู้บริโภค การเลือกซื้ออาหารในปัจจุบัน ที่โดยมากแล้วมาจากการเกษตรที่ใช้สารเคมี และผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม จึงเป็นสิ่งที่ต้องพึงระวังให้ดี!
“... ทั่วแคว้นแดนไทย เราไถเราหว่าน หมากม่วงหมากขาม หมากพร้าว หมากกลาง พืชผลต่างๆ ล้วนงามตระการ ...” ... บทเพลง 'ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว' ประพันธ์โดย พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ น่าจะช่วยสะท้อนภาพ 'การเกษตรกรรม' ในอดีต ซึ่งเป็นรากฐานการผลิตอาหารในประเทศไทยได้เป็นอย่างดีว่า มีความอุดมสมบูรณ์ และมีความมั่นคงทางอาหารมากเพียงใด
แม้ว่าในปัจจุบัน ประเทศไทยจะยังคงได้ชื่อว่าเป็น ‘ประเทศเกษตรกรรม’ หากแต่ผลพวงจากการปฏิวัติเขียวทางการเกษตรเมื่อปี พ.ศ. 2509 ที่หันไปพึ่งการใช้เทคโนโลยีและใช้สารเคมีในการเพาะปลูกเพื่อเพิ่มจำนวนผลผลิตให้มากขึ้น จนเป็นเหตุให้ระบบนิเวศไทยสั่นคลอน พืชผักผลไม้ที่ได้ มีสารพิษตกค้าง และผลเสียต่อสุขภาพของคนไทยแล้ว
ปัจจุบัน บทบาทของ 'อุตสาหกรรมอาหาร' ปลายทางของอาหารจานด่วน หรือที่รู้จักกันในนาม ‘ผลิตภัณฑ์พร้อมรับประทาน’ (Ready to Eat) ก็นับเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลร้ายต่อสุขภาพของคนไทยไม่แพ้กัน
- ลวงตา...ว่า 'สะอาด'
“โดยภาพรวมอุตสาหกรรมอาหารมักจะสร้าง 'ภาพมายา' ให้เราเข้าใจว่า มีความสะอาดและปลอดภัย” เป็นการเกริ่นนำถึง 'ภัย' จากอุตสาหกรรมอาหารจาก นายพชร แกล้วกล้า ผู้ประสานงานโครงการเสริมสร้างความเข้มแข็งกลไกคุ้มครองผู้บริโภค ความปลอดภัยด้านอาหารภาคประชาชน มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค
เพราะทั้งวิธีการผลิต การใช้วัตถุดิบ รวมถึงการใช้วัตถุปรุงแต่งรสเพื่อให้อาหารมีรสชาติใกล้เคียงกับการทำอาหารปกติ ล้วนแล้วแต่เพิ่มความเสี่ยงอาหารมีความปลอดภัยน้อยลง
“ปัจจุบันพบว่า มีการใช้ข้าวโพดที่มีการตัดต่อพันธุกรรมเข้ามาเป็นวัตถุดิบในการผลิตขนมเรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้ ที่เคยตรวจพบก็คือ การใช้สารกันบูดมากเกินค่ามาตรฐานในขนมปัง เส้นก๋วยเตี๋ยว และสัตว์แปรรูป ไม่ว่าจะเป็นไส้กรอก ลูกชิ้น หรืออาหารต่างๆ ที่ต้องการใส่เพื่อไม่ให้อาหารเสื่อมสภาพ โดยหากอ่านฉลากของอาหารแล้วจะพบว่า ร้อยละ 70 จะเป็นอาหารที่เขียนว่า ใช้วัตถุปรุงแต่งรสอาหาร ซึ่งก็คือสารเคมีเพื่อปรุงรส แต่งสี กลิ่น รวมถึงยืดอายุของอาหารให้ยาวนานขึ้นด้วย สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลประกอบที่แสดงให้เห็นว่า อาหารจากอุตสาหกรรมไม่ได้มีความปลอดภัยอย่างที่เข้าใจ”
ฉะนั้น หากผู้บริโภคยังคงชื่นชอบ และมีค่านิยมว่า รับประทานอาหารที่ใดก็ได้ ขอเลือกความสะดวกไว้ก่อน ก็จะมีอันตราย 'แฝง' มาแบบที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว...
-ไม่รู้ที่มา...อันตราย
สำหรับกระบวนการทางอุตสาหกรรมที่ส่งผลต่อความไม่ปลอดภัยอาหาร พชร อธิบายว่าคือหลักคิดที่ว่า จะผลิตอย่างไรให้ออกมาถูกใจผู้บริโภค เนื่องจากการใช้วัตถุปรุงแต่งมากเกินความจำเป็น จะยิ่งเสี่ยง และมีผลเสียต่อระบบขับถ่าย รวมถึงเป็นสารพิษตกค้างในร่างกายของผู้บริโภคด้วย
“กระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารในปัจจุบัน ยังยากที่จะสืบย้อนกลับว่า อาหารที่เราซื้อมารับประทาน มีต้นทางของวัตถุดิบและมีวิธีการทำมาอย่างไร ซึ่งการที่เราไม่รู้ว่า 'มาจากไหน ทำมาได้อย่างไร' นี่แหละ คือความเสี่ยงที่น่ากลัวที่ทำให้ผู้บริโภคเหมือนถูกปิดตาในถ้ำมืด เพราะโดยมากแล้วการทำอุตสาหกรรม ก็มักจะมุ่งเน้นที่ผลกำไรสูงสุด จึงนำมาซึ่งความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และผู้บริโภคน้อย
ส่วนในเรื่องของการใช้สารเคมี หรือสารปรุงแต่งอื่นๆ กระทั่งการใช้อาหารที่ผ่านการตัดต่อพันธุกรรมมาเป็นวัตถุดิบในการผลิต ก็ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะจากข้อมูลที่ผ่านมา มีการนำวัตถุดิบที่ตัดต่อพันธุกรรมมาใช้ในระบบอุตสาหกรรมอาหารแล้ว เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง มันฝรั่ง แซลมอน เป็นต้น หากแต่ที่พบเจอในประเทศไทยซึ่งสังเกตได้จากฉลากอาหารเท่านั้น ก็จะเป็นพืชตระกูลถั่วและข้าวโพด”
นอกจากนี้ โภชนาการทางอาหารที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม ทั้งรสชาติที่หวาน มัน และเค็มจัด ก็ล้วนแต่ปัจจัยอันตรายต่อ ‘สุขภาพ’ เป็นเหตุให้มีโอกาสที่จะเจ็บป่วยด้วยโรคมะเร็ง และโรคเรื้อรังต่างๆ อาทิ เบาหวาน หัวใจ ความดันโลหิตสูง หรือแม้แต่การระคายเคืองทางผิวหนัง (จากสารโพลีฟอสเฟต – สารคงความสด และให้รสอร่อย) ก็เป็นผลจากการกระทำของตัวเองทั้งสิ้น
-เลือกซื้อสักนิด...ลดความเสี่ยง
นายธนกร เจียรกมลชื่น ผู้ประสานงานโครงการการสร้างสังคมผู้บริโภคสีเขียว กล่าวว่า ปัจจุบันมีผู้ให้ความสนใจกับอาหารปลอดภัยมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากการรวมกลุ่มเครือข่ายอาหารปลอดภัย ข้าวอินทรีย์ และตลาดนัดสีเขียว เนื่องจากผู้บริโภคกลุ่มหนึ่ง เริ่มตระหนักแล้วว่า บางครั้ง ‘การเลือกซื้ออาหาร’ มารับประทาน ก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยรักษาสุขภาพ
เช่นเดียวกับ สำนวนดัง you are what you eat ซึ่งสะท้อนภาพให้เห็นว่า ‘คุณกินอย่างไร ก็จะได้สิ่งนั้น’ ไว้อย่างชัดเจน
“ทั้งนี้ อาหารจากเกษตรอินทรีย์ไม่ได้มีราคาแพงเสมอไป เพราะในต่างจังหวัดที่สามารถปลูกได้ดี และมีผลผลิตเพียงพอ ก็สามารถขายได้ในราคาถูก”
ไม่เพียงเท่านั้น ในกลุ่มคนเมืองเอง ธนกร เล่าว่า ก็เริ่มมีการรวมตัวเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ในการปลูกผักสวนครัวตามระเบียง และรอบบ้านไว้กินเองบ้างแล้ว
ขณะเดียวกัน พชร ยังให้แง่มุมว่า การแบ่งเวลาทำอาหารกินเองบ้าง ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้อาหารมีความปลอดภัยมากขึ้น เพราะคำว่าอาหารปลอดภัย นอกจากจะต้องย้อนรอยถึงที่มาของอาหารได้แล้ว กรรมวิธีในการผลิตก็สำคัญ
“อย่างน้อยๆ ก็รู้ว่าอาหารที่ทำเอง มีวิธีปรุงรสอย่างไร และย่อมแน่ใจว่า มีการทำความสะอาดวัตถุดิบก่อนนำมาประกอบอาหารแน่นอน นอกจากนี้ การปลูกพืชสวนครัว อย่างมะนาว หัวหอม หรือใบกะเพราไว้รับประทานเองที่บ้าน ก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ช่วยลดอันตรายจากการซื้ออาหารมารับประทานด้วยเช่นกัน”
ด้วยเหตุนี้ การเลือกซื้ออาหารมื้อต่อไป จึงควร ‘หยุดคิด’ เพื่อเลือกซื้อสักนิด ดีกว่า ‘ซื้อไม่คิด’ เสี่ยงพิษร้ายในอาหาร และส่งผลเสียกับสุขภาพในระยะยาว... ส่งผลเสียกับสุขภาพในระยะยาว...
ที่มา : สสส./by สาระแห่งสุขภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #417 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2013, 07:35:49 AM » |
|
***อาหารป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก***
ผู้เชี่ยวชาญแนะว่า ถ้าไม่อยากเสียลูกหมาก แปรสภาพเป็นขันฑีก็ต้องสำรวจพฤติกรรมการบริโภค และแก้ไขพฤติกรรมการบริโภคที่ไม่เหมาะสมด้วยการลดอาหารไขมัน โดยเฉพาะไขมันจากเนื้อสัตว์ติดมันและผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันสูง เพิ่มการบริโภคผักผลไม้หลากหลายชนิดโดยเฉพาะชนิดที่มีสารไลโคพีนสูง เช่น มะเขือเทศ ซึ่งนอกจากจะลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากแล้วยังช่วยลดความเสี่ยงโรคเรื้อรังอื่นๆด้วย
มีข้อมูลการวิจัยมากมายที่แสดงให้เห็นว่าโภชนบำบัดและการปรับวิถีชีวิต เช่น ลดความเครียดและการออกกำลังกายเป็นสิ่งที่เน้นร่วมกับการรักษาทางการแพทย์ในการป้องกัน หรือชะลอหรือแม้กระทั่งรักษาให้หายได้
-สารไลโคพีน เป็นสารในกลุ่มแคโรทีนอยด์ที่นักวิจัยจากฮาร์วาร์ดพบว่า มีความสำคัญอย่างชัดเจนในการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากด้วยการชลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง สารไลโคพีนมีมากในผลิตภัณฑ์มะเขือเทศ เช่นซอสมะเขือเทศ ซุปมะเขือเทศ เยื่อหุ้มเมล็ดฟักข้าว ผัดเปรี้ยวหวาน ซอสสปาเก็ตตี้ และน้ำมะเขือเทศ ความร้อนจะทำให้สารไลพีนถูกปลดปล่อยจากผนังเซลล์มากขึ้นร่างกายดูดซึมได้ดีขึ้น
-สารซีลีเนียมและวิตามินอี มีผลมากต่อการป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่ผู้ชายที่มีระดับซีลีเนียมสูงที่สุดมีความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากเพียง 1/3 ของชายที่มีระดับซีลีเนียมต่ำสุด แต่การเสริมซีลีเนียมอาจไม่จำเป็น เพราะคนส่วนใหญ่ได้รับซีลีเนียมเพียงพอกับความต้องการประจำวันอยู่แล้ว (วันละ 55 ไมโครกรัม) จากอาหารและน้ำ การเสริมในระดับสูงมากกว่าวันละ 200 ไมโครกรัมอาจทำให้เป็นพิษได้
ซีลีเนียมพบมากใน เมล็ดพืชต่างๆ เห็ด ธัญพืชไม่ขัดสี เมล็ดดอกทานตะวัน จมูกข้าวสาลี ถั่วบราซิล อาหารทะเล สัตว์ปีก ไข่และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน
มีข้อมูลการวิจัยสนับสนุนว่าวิตามินอีช่วยทำลายเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก แต่การที่ร่างกายจะดูดซึมวิตามินอีจากอาหารอย่างเดียวในปริมาณสูงพอ ที่จะป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากนั้นค่อนข้างเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการเสริมวิตามินอี วันละ <400ไอยู อาจเป็นอีกทางเลือกที่จะต้องพิจารณา ส่วนอาหารที่มีวิตามินอีสูงได้แก่ น้ำมันพืช ถั่วเปลือกแข็ง และผักใบเขียวจัด
-ผลิตภัณฑ์ถั่วเหลือง เช่น เต้าหู้ นมถั่วเหลือง และถั่วหมัก อาจช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมาก นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่บริโภคเต้าหู้มีความเสี่ยงมะเร็งต่อมลูกหมากลดลง 50% เมื่อเทียบกับชายที่ไม่กินเต้าหู้
สารไอโซเฟลโวนส์ซึ่งเป็นสารพฤกษเคมีในถั่วเหลืองอาจยับยั้งการดำเนินของโรค สารที่มีบทบาทสำคัญคือสารเจนนิสทีนในกลุ่มสารไอโซเฟลโวนส์ การศึกษาวิจัยพบว่าการเสริมสารไอโซเฟลโวนส์ในผู้ป่วยช่วยลดระดับพีเอสเอเล็กน้อย นักวิจัยแนะนำให้กินถั่วเหลือง 2-3 ครั้ง / สัปดาห์เพื่อป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมาก
-ผักตระกูลครูซิเฟอรัส เช่นคะน้า กระหล่ำปลี บล็อคคอลี แขนงผัก มีสารอินโดล 3 คาร์บินอล (Indole -3 carbinol หรือ I3c) ซึ่งอาจยับยั้งเซลมะเร็งต่อมลูกหมากและช่วยกำจัดเซลเนื้องอกในร่างกาย
-เห็ด มีข้อมูลที่บันทึกไว้ว่าเห็ดหลินจือและชิอิตาเกะมีสารต้านอนุมูลอิสระและสารเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันแก่ร่างกาย สาร FTY720 ในเห็ดรา Isaria sinclarii มีผลต่อการต้านเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก
-ชาเขียว มีสารอีจีซีจี (EGCG) ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารโพลีฟีนอลในชาเขียวสามารถทำลายเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมาก งานวิจัยที่รายงานพบว่าชาย 48 คนที่เซลล์มะเร็งเริ่มแพร่กระจาย เมื่อได้รับชาเขียววันละ 12 ถ้วยเป็นเวลา 4 สัปดาห์ ก็ช่วยให้อาการดีขึ้นเล็กน้อย
-ขมิ้น การวิจัยพบว่าการให้ขมิ้นร่วมกับการรักษามะเร็งสามารถฆ่าเซลล์มะเร็งต่อมลูกหมากได้มากกว่า 2-3 เท่า เมื่อเทียบกับการรักษาอย่างใดอย่างหนึ่ง
-กรดโอเมก้า 3 อาจช่วยชะลอการเจริญของเซลล์มะเร็ง มีมากในอาหารทะเลโดยเฉพาะปลาทะเล และแฟลกสีดหรือเมล็ดปอ มีสารลิกแนน (ใยอาหารชนิดหนึ่ง) มาก แต่ผลิตภัณฑ์โอเมก้า 3 ในรูปเม็ดยา ไม่ได้มีผลในการป้องกัน
ที่มา : bloggang.com/บ้านแห่งความรู้สุขภาพความงาม/by สาระแห่งสุขภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #418 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2013, 07:36:58 AM » |
|
***โรคต่อมลูกหมากอักเสบ***
โรค Chronic Pelvis Pain Syndrome (CCPS) หรือโรคต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง (แพทย์บางท่านนิยมใช้คำว่า "กลุ่มอาการปวดท้องน้อยส่วนล่างเรื้อรัง") คืออาการอักเสบหรือติดเชื้อบริเวณต่อมลูกหมาก ซึ่งแม้ปัจจุบันยังไม่มีใครทราบสาเหตุแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ จึงทำให้เป็นเรื่องยากที่เราจะหาวิธีมารับมือกับมันได้ แต่เชื่อกันว่าหากรู้จักป้องกันเวลามีเพศสัมพันธ์ก็จะช่วยลดความเสี่ยงลงไปได้ ซึ่งถ้าใครต้องการรู้ว่าตัวเองกำลังเป็นโรคนี้อยู่หรือไม่ ก็ต้องลองสังเกตดูว่าตัวเองมีอาการเหล่านี้บ้างหรือเปล่า
-ต้องการขับถ่ายปัสสาวะบ่อยครั้ง แม้กระทั่งในช่วงที่พักผ่อนตอนกลางคืน ทำให้ต้องลุกมาเข้าห้องน้ำตลอด
-ไม่สามารถอดกลั้นปัสสาวะได้เหมือนคนทั่วไป อีกทั้งยังรู้สึกเจ็บปวดในขณะปัสสาวะด้วย ในขณะที่ปัสสาวะมักติดขัด ทำให้ต้องเบ่งจนยิ่งเจ็บปวดขึ้นอีก
-มีอาการปวดบริเวณช่วงทวารหนักและถุงอัณฑะ โดยความรุนแรงของแต่ละคนอาจแตกต่างกันออกไป บางคนปวดเพียงแค่เล็กน้อยหรือบางคนถึงขั้นทรมาน รวมทั้งปวดเป็นบางครั้งบางคราวหรือปวดตลอดเวลาเลยทีเดียว
-รู้สึกเจ็บปวดระหว่างหรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะช่วงที่หลั่งน้ำอสุจิ ซึ่งอาจมาปวดเอาวันต่อมาหลังจากมีเพศสัมพันธ์เลยก็ได้ ซึ่งความเจ็บปวดอาจรุนแรง ทำให้บางคนถึงกับขยาดกลัวการมีเพศสัมพันธ์เลยก็เป็นได้
-อาการกำเริบ เจ็บปวดมากขึ้นเวลาที่ต้องนั่ง จนบางรายถึงกับหลีกเลี่ยงที่จะนั่ง
-มักมีอาการเจ็บปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน กระดูกก้นกบ และปวดเมื่อยหลังเป็นประจำ โดยอาจเป็นที่หลังซีกซ้ายหรือขวาข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งแผ่นหลัง
-ความเจ็บปวดจะทุเลาลงในเวลาที่ได้ขับถ่ายหรืออาบน้ำอุ่น
เมื่อคุณเป็นโรคนี้แล้ว ก็จะทำให้มีผลกระทบกับชีวิตตามมาอีกมากมาย เช่น กลายเป็นคนเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ จากความกลัวการมีเพศสัมพันธ์, ขาดความมั่นใจในตัวเอง ไม่สามารถประคับประคองความสัมพันธ์ในระยะยาวได้, พักผ่อนไม่เพียงพอ รวมทั้งเกิดความเครียดจนกลายเป็นโรคซึมเศร้า และความเครียดนั้นจะทำให้อาการยิ่งทรุดหนักเข้าไปอีก คุณจึงควรพยายามดูแลสุขภาพให้ดี พยายามอย่าไปเครียดกับมันมากนัก และไปพบแพทย์ดู เพราะโรคนี้ยังสามารถรักษาให้หายได้ ซึ่งมีวิธีหลากหลายแตกต่างกันออกไป ตั้งแต่การใช้ยาปฏิชีวนะสำหรับคนที่มีอาการไม่ร้ายแรงมากนักไปจนถึงการผ่าตัด ในขณะที่อาจมีการให้ยาระงับความเจ็บปวด (NSAID) เพื่อบรรเทาอาการควบคู่ไปด้วย
เพื่อระบุให้แน่ชัดว่าคุณเป็นโรคนี้จริงหรือไม่ แพทย์จะเริ่มจากการตรวจอาการก่อนและเช็คดูว่าเป็นในระดับร้ายแรงแค่ไหน จากการตรวจต่อมลูกหมาก, ตรวจปัสสาวะ, ทดสอบไต และระบบทางเดินปัสสาวะ และอาจแนะนำให้ตรวจเลือดเพิ่ม เพื่อชี้ให้แน่ชัดว่าไม่สับสนกับโรคอื่นเป็นลำดับต่อมา จากนั้นเมื่อมั่นใจว่าเป็นโรคนี้จริง แพทย์ก็จะเก็บตัวอย่างจากของเหลวในต่อมลูกหมากไปตรวจดู หากผู้ป่วยเป็นโรคต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง ก็จะไม่พบแบคทีเรียในของเหลวดังกล่าว
ทั้งนี้ทั้งนั้น ระยะเวลาในการรักษา รวมถึงประสิทธิภาพนั้นอาจเห็นผลแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับอาการและการดูแลตัวเองของแต่ละคน ซึ่งโอกาสกลับมาเป็นอีกครั้งก็อาจเกิดขึ้นได้ เว้นแต่ผู้ป่วยที่ได้ทำการผ่าตัดเอานิ่วไตออกไปแล้ว ที่จะหายขาดจากโรคนี้อย่างถาวร ดังนั้นสิ่งที่เราทำได้ก็คือ พยายามทำใจให้เข้มแข็งเข้าไว้ เพราะสุขภาพจิตมีผลกับร่างกายของเราด้วยเช่นกัน มันจึงเป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่จะทำให้คุณฝ่าฟันโรคนี้ไปได้
ที่มา : health.kapook.com/by สาระแห่งสุขภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #419 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2013, 07:39:48 AM » |
|
***ประโยชน์ของเห็ดชนิดต่างๆ***
ความรู้เกี่ยวกับการใช้เห็ดเป็นยารักษาโรคตามหลักการแพทย์แผนไทย มีปรากฏในคัมภีรธาตุวิภังค์ ในตำราแพทย์ศาสตร์สงเคราะห์ ซึ่งเป็นตำราที่ถือว่าเป็นภูมิปัญญาทางการแพทย์ของชาติ ในคัมภีรดังกล่าวปรากฏการใช้เห็ดชนิดต่างๆในการรักษาโรคจำพวก ไข้กาฬ หรือไข้พิษ ที่ทำให้เกิดฝีขึ้นตามส่วนต่างๆของร่างกาย
ว่ากันว่าบนโลกนี้มีเห็ดมากกว่าหนึ่งแสนชนิด แต่ที่มนุษย์รู้จักมีเพียงร้อยละสิบ เห็ดเป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้ามาเกี่ยวพันกับชีวิตมนุษย์ไม่น้อยกว่า 3000 ปีแล้ว มนุษย์รู้จักใช้ประโยชน์จากเห็ดทั้งในรูปอาหารและยา เราลองมารู้จักเห็ดที่มีคุณทางยากันดีกว่า ว่ามีอะไรบ้าง
-เห็ดฟาง มีวิตามินซี จำนวนมาก(ไม่ควรรับประทานสด)ลดการติดเชื้อ สมานแผล ลักปิดลักเปิด โรคเหงือก ลดอาการผื่นคัน มีสาร volvatioxin ชะลอและยับยั้งเซลล์มะเร็ง บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง แก้ช้ำใน บำรุงตับ
-เห็ดหูหนูต่าง ๆ โรคริดสีดวง บำรุงกระเพาะ คุมการทำงานของสมอง หัวใจ ปอด ตับ อาการเส้นโลหิตฝอยแตก ช่วยการไหลเวียนของโลหิต กระตุ้นการทำงานของเลือดให้เป็นปกติ บรรเทาอาการเจ็บปวด เช่น การปวดฟัน บรรเทาอาการตกเลือด ริดสีดวง บรรเทาการเป็นตะคิว อาการของบิด ยับยั้งเนื้อร้ายหรือมะเร็ง
-เห็ดหูหนูขาว บำรุงน้ำอสุจิ ไต ตับ ร้อนใน ปอด หลั่งน้ำลาย ย่อยอาหารและบำรุงกระเพาะ หยุดอาการไอ ลดไข้ ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ระบบเลือด หัวใจ และบำรุงสมอง หลอดลมอักเสบเรื้อรัง อาการไอ ขับเสมหะและโรคหอบหืด อาการไอแห้ง ๆ แผลเรื้อรังในปอด หลอดลม บำรุงสุขภาพมารดาหลังคลอด รอบเดือนของสตรี ช่วยการระบาย รักษาโรคบิด ยับยั้งเซลล์มะเร็ง
-เห็ดตระกูลนางรม บำบัดอาการปวดเอว ปวดขา ชาตามแขนขา ขยายหลอดเลือด และอาการเอ็นยึด ยังยั้งเซลล์มะเร็ง กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ลดปริมาณน้ำตาลในเลือด ปรับความดันโลหิตและความเข้มข้นของไขมันในเลือด ยับยั้งการเติบโตของเนื้อร้าย ลดอาการอักเสบ ลดการก่อโรคของจุลินทรีย์
-เห็ดนางรมหัว โรคปวดหัว ไข้ หอบหืด ความดันโลหิตสูง ประสาทไม่ปกติ ปวดท้อง และท้องผูก
-เห็ดกระดุมหรือแชมปิญญอง ช่วยในการย่อยอาหาร ความดันโลหิตสูง และคลายความตื่นตระหนก แม่นมมีน้ำนมมากขึ้น ยังยั้งเซลล์มะเร็ง และการเติบโตของเชื้อแบคทีเรียได้
-เห็ดเข็มเงินเข็มทอง รักษาโรคตับ กระเพาะและลำไส้อักเสบเรื้อรังได้สาร flammulin ยับยั้งเซลล์มะเร็งของเยื่อบุช่องท้อง
-เห็ดหอม ป้องกันหลังค่อมและกระดูกอ่อนในเด็กทารก มีprovitamin(wegosterol)เปลี่ยนไปเป็นวิตามินดีได้ และไม่ค่อยจะมีในผัก รักษาอาการหวัด ป้องกันการอักเสบของผิวหนัง การเกิดอาการตับแข็งและหลอดเลือดแข็งตัว ลดภาวะความดันโลหิต คลอเลสเตอรอล สารสกัดโดยน้ำร้อนคือเลนติแนน
-เห็ดหัวลิง เพิ่มความสามารถภูมิคุ้มกัน และยับยั้งเซลล์มะเร็ง รักษาโรคแผลเรื้อรัง และอักเสบในกระเพาะ ในลำไส้ส่วนต้น มะเร็งในกระเพาะและในหลอดอาหาร น้ำต้มสกัดการย่อยอาหารดีขึ้น เห็ดหัวลิงแห้งบำบัดอาการอ่อนเพลีย อ่อนล้าที่เกิดจากการวิตกกังวล สาร erinaines E.F และ G กระตุ้นส่วนประกอบของการเติบโตของเซลล์ประสาท
-เห็ดหลินจือ รักษา 3 ระบบหลัก ทางเดินอาหาร (โรคกระเพาะ โรคแผลในลำไส้ ท้องผูก อาหารไม่ย่อย ริดสีดวง) หายใจ (บรรเทาอาการ ไอ ลดเสมหะ ปอดอักเสบ ภูมิแพ้) ไหลเวียนโลหิต (โรคความดันโลหิตสูงและต่ำ เบาหวาน เส้นโลหิตตึงตัว อาการปวดหัวข้างเดียว ระดูไม่ปกติ ลดคลอเลสเตอรอลในเลือด) เพิ่มภูมิคุ้มกัน บรรเทาอาการไขข้อต่าง ๆ ต่อต้านมะเร็งและยืดชีวิตผู้ป่วยเอดส์
-เห็ดยานาหงิ ขับปัสสาวะ หดหู่ห่อเหี่ยว ลดหงุดหงิด ม้ามแข็งแรง และหยุดการถ่ายท้อง
-เห็ดตีนแรดหรือเห็ดจั่น ยับยั้งเซลล์มะเร็ง ดูแลระบบการไหลเวียนของโลหิต ลดอาการขับเหงื่อที่มากเกินไปจากการใช้ยา ฟื้นฟูพลังบรรเทาอาการกระเพาะอักเสบ
-เห็ดในกลุ่มเห็ดขอนขาวเห็ดลมหรือเห็ดกระด้าง ยับยั้งการเติบโตเซลล์มะเร็ง กรด eburicoic ที่สามารถใช้สังเคราะห์สารประกอบเสตรียลอยด์ ที่มีบทบาทในการควบคุมร่างกายคนเรา
-เห็ดแครง แก้ระดูขาวหรือตกขาว ยับยั้งอัตราการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
-เห็ดถั่วหรือเห็ดหมึก เห็ดขี้ม้า เห็ดโคนน้อย ย่อยอาหารและลดเสมหะ พอกทาบรรเทาอาการปวด ยับยั้งเซลล์มะเร็ง
-เห็ดตับเต่าดำ เห็ดห้า บรรเทาอาการปวดชาตามแขนขา ตามกระดูก และเส้นเอ็น อาการระดูขาวหรือมุตกิดได้ หยุดการเติบโตและต่อต้านเนื้อร้าย
-เห็ดระโงก หยุดยั้งการเติบโตของเนื้อร้าย
-เห็ดขมิ้น ป้องกันโรคตาอักเสบอย่างรุนแรง บอดยามค่ำคืน ผิวหนังแห้ง ช่วยให้ผิวหนังเปล่งปลั่ง เยื่อบุเมือกในการหลั่งสารต่าง ๆ อย่างปกติ ยับยั้งการติดโรคของทางเดินหายใจ ยับยั้งการเติบโตของเนื้อร้าย
-เห็ดหล่มหรือเห็ดไคล รักษาโรคตาเพลีย ตาอ่อนล้า ขับความร้อนออกจากตับ กระจายพลังงานส่วนเกิน ระบบการไหลเวียนต่าง ๆ ของสตรี ระวังไม่กินมากจนเกินไป ชาวจีนกินเห็ดนี้ร่วมกับขิง ยับยั้งการเติบโตของเนื้อร้าย
-เห็ดแดง ยับยั้งเนื้อร้าย บรรเทาอาการปวดขา ปวดเอ็นและกระดูก
-เห็ดน้ำนม มีสารต่อต้านและยับยั้งการเติบโตของเนื้อร้าย
เห็ดโคน เห็ดจอมปลวก บำรุงสมอง ช่วยท้องและกระเพาะแข็งแรง จิตใจโปร่งใส รักษาโรคริดสีดวงทวาร บำรุงร่างกาย ทำให้แช่มชื่น กระจายโลหิต
-เห็ดกระถินพิมาน ดับพิษร้อน ถอนพิษไข้ บำบัดอาการปวดหูและเริม งูสวัด ไฟลามทุ่ง ดับพิษฝี แก้อักเสบ แก้พิษกาฬ แก้พิษงู
-เห็ดกระโดน เห็ดจิก เห็ดตีนตุ๊กแก ต่อต้านมะเร็งได้
-เห็ดข่า แก้สะอึก แก้ปวดหัว แก้ลมจุกเสียด บำรุงธาตุ
-เห็ดงูเห่า แก้พิษไข้กาฬ ดับพิษร้อน
-เห็ดจาวมะพร้าว บำรุงร่างกาย กระจายโลหิต
-เห็ดตับเต่า ทรงกลมสีน้ำตาลดำ แก้ไข้พิษกาฬ แก้ไข้ตักศิลา สีดำ หรือขาวนวล บำรุงร่างกาย กระจายโลหิต
-เห็ดเตย รสเมาฝาด แก้ไข้พิษ ไข้กาฬ แก้ลงแดง แก้อดฝิ่นลงแดง แก้ไข้รากสาด
-เห็ดเผาะ เห็ดหนัง หยุดการไหลของเลือด สมานแผล ลดอาการบวม ลดอาการคันนิ้วมือนิ้วเท้า ลดไข้อาการร้อนใน
-เห็ดไผ่ ระงับประสาท แก้นอนไม่หลับ แก้ร้อนรุ่มกระสับกระส่าย
-เห็ดไม้แดง แก้ไข้พิษกาฬ แก้พิษฝี ดับพิษร้อน แก้พิษ แก้อักเสบ แก้ไข้รากสาด
-เห็ดมะขาม เป็นเห็ดที่เกิดตามตอไม้มะขามผุ ลักษณะเป็นจานหนา ๆ สีน้ำตาลดำ รสเย็นฝาก ดับพิษฝี อักเสบแก้พิษไข้กาฬ แก้ไข้มีพิษร้อน น่าจะเป็นเห็ดกลุ่มที่มีรูอยู่ใต้ใบดอกและน่าจะอยู่ในกลุ่ม Ganoderma, Fomitopsis, Phellinus, & Allies
-เห็ดร่างแห เห็ดระย้า แก้ไข้พิษ ถอนพิษกาฬ ฆ่าพยาธิภายนอก ทำยารมให้หมดสติ แก้นอนไม่หลับ เป็นยาพิษ เพิ่มพลังชีวิต พลังความเป็นหนุ่มสาว รักษาอาการอักเสบของลำไส้ตอนล่าง โรคบิด ป้องกันให้อาหารเสียช้าลง ยับยั้งการเติบโตของเนื้อร้าย ดอกแห้งแช่ในแอลกอฮอล์ 70% แก้โรคเชื้อราตามง่ามเท้า
-เห็ดหญ้าคา เห็ดหญ้าแฝก เห็ดหญ้าหวาย ดับพิษไข้เพ้อคลั่ง แก้พิษร้อน แก้พิษโลหิต แก้ไข้ท้องเดิน แก้ไข้กาฬ แก้ลม ดับพิษฝี
-เห็ดนมเสีย ดับพิษร้อน แก้หอบหืด แก้โรคตา บำรุงกำลัง ถอนพิษบาดแผล อาวุธหอกดาบธนู ถอนพิษแมลงสัตว์กัดต่อย ฝนกับตัวเดียวดันเดียวช้างและน้ำมะนาว แก้โรคหืด บำรุงความกำหนัด ฝนกับน้ำสะอาด ทาแก้ต่อมอักเสบบวม แก้คางทูม
-เห็ดถั่งเช่า บำรุงร่างกาย แก้อาการอ่อนเพลีย โลหิตจาง แก้ไอละลายเสมหะ หอบหืด ไอเรื้อรัง โรคจู๋และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ เข่าอ่อน เอวอ่อน เหมาะสำหรับบำรุงกำลังหลังการฟื้นไข้ ขยายหลอดเลือด สารสกัดที่เป็นผลึกสีเหลืองอ่อน สามารถยับยั้งแบคทีเรียได้หลายชนิด
ที่มา : samunpri.com/by สาระแห่งสุขภาพ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|