Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 28 29 [30] 31 32 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71828 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไม่สามารถโหลดไฟล์ภาษา 'Aeva.thai-utf8' ได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #435 เมื่อ: มกราคม 01, 2014, 11:52:39 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #436 เมื่อ: มกราคม 04, 2014, 08:45:41 PM »

สาระแห่งสุขภาพ
***นาฬิกาชีวิตกับระบบร่างกาย***

01.00 ถ้าเข้านอนร่างกายจะมีภาวะหลับตื้น ฝันแต่ก็ตื่นง่าย ร่างกายช่วงนี้ไวกับความเจ็บปวด
02.00 ระบบต่างๆ ของร่างกายทำงานช้าลง
03.00 ระบบต่างๆ ของร่างกายเข้าสู่ภาวะพักกล้ามเนื้อผ่อนคลาย และหายใจช้าลง
04.00 เลือดไปเลี้ยงสมองช้าลง หายใจอ่อนเป็นช่วงที่คนตายง่ายที่สุด
05.00 ร่างกายผ่านการพักผ่อนมา 3-4 ชั่วโมงแล้ว ถือว่าได้เติมเต็มความมีชีวิตชีวา
06.00 ความดันเลือดสูงขึ้น หัวใจเต้นเร็วขึ้น ระบบการทำงานในร่างกายถูกปลุกให้ตื่น
07.00 ต่อมหมวกไตหลั่งฮอร์โมนมากขึ้น ทำให้การเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และอุณหภูมิในร่างกายสูงขึ้น
08.00 การขับของเสียของตับเสร็จสิ้น ร่างกายเข้าสู่ระบบถูกระตุ้น
09.00 ระบบประสาทถูกกระตุ้นมากขึ้น หัวใจมีกำลังมากขึ้น ระบบความจำทำงานดี
10.00 ร่างกายแข็งแกร่งที่สุด ความเจ็บปวดในร่างกายจะลดลงมาก การทำงานจะมีประสิทธิภาพสูง
11.00 ร่างกายยังไม่อ่อนล้า การทำงานยังคงดำเนินต่อเนื่องไปได้ดี
12.00 พลังร่างกายทั้งหมดถูกกระตุ้นขึ้นมาร่างกายต้องการอาหารมื้อเที่ยง
13.00 หลังจากได้อาหารกลางวัน ร่างกายเริ่มอยากพักผ่อน
14.00 การตอบสนองของร่างกายและสมองช้าลง
15.00 อวัยวะรับความรู้สึกเริ่มไวต่อการตอบสนอง
16.00 ระดับน้ำตาลในเลือดสูง แต่ละลดลงอย่างรวดเร็ว
17.00 ประสิทธิภาพการทำงานยิ่งสูงขึ้น
18.00 พลังในการทำงานถึงจุดสูงสุด บางคนเอาพลังเหลือเฟือไปออกกำลังกาย
19.00 ความดันเลือดสูง หงุดหงิดง่าย
20.00 การตอบสนองรวดเร็ว ว่องไว
21.00 ความจำดีเยี่ยม
22.00 เริ่มรู้สึกง่วง การทำงานของร่างกายลดลง
23.00 เซลล์ต่างๆ ของร่างกายเริ่มซ่อมแซมฟื้นฟูตัวเอง
24.00 ร่างกายขจัดเซลล์ที่ตาย และสร้างเซลล์ตัวใหม่ขึ้นมาแทน


ที่มา : kapook.com /by สาระแห่งสุขภาพ — with Sapeena Ying Armeen and Wichaithep Sukkhajornkul.



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #437 เมื่อ: มกราคม 04, 2014, 08:49:24 PM »


สำรวจโลก


ความรู้สึกกับการตอบสนองต่อร่างกาย

ภาพเหล่านี้เป็นภาพที่แสดงถึงการตอบสนองส่วนต่าง ๆ ของร่างกายต่อความรู้สึกต่าง ๆ ของมนุษย์ โดยทีมวิจัยได้ขอให้ประชาชนกว่า 700 คนในประเทศฟินแลนด์ ประเทศสวีเดน และไต้หวัน ได้แสดงความรู้สึกต่าง ๆ ออกมา จากนั้นทางทีมวิจัยทำการตรวจวัดว่าส่วนใดในร่างกายทำงานหนักขณะอยู่ในความรู้สึกนั้นๆ โดยพื้นที่สีเหลืองแสดงให้เห็นว่าร่างกายส่วนนั้นทำงานหนัก และค่อยๆไล่ไปจนถึงสีฟ้าแสดงให้เห็นว่าร่างกายส่วนนั้นไม่ค่อยตอบสนองต่อความรู้สึกนั้นๆ
ตัวอย่างเช่น ความสุข (happiness) ทุกส่วนในร่างกายจะตอบสนองอย่างชัดเจนโดยเฉพาะบริเวณศรีษะซึ่งเป็นส่วนของใบหน้า แสดงให้เห็นว่าหากคนเรามีความสุขก็จะแสดงออกทางสีหน้าอย่างเห็นได้ชัด

ส่งความสุขปีใหม่ให้เพื่อนและคนที่คุณรัก ส่งเพจสำรวจโลก เพื่อเป็นตัวแทนส่งความรู้ให้คนไทยทุกคนตลอดปี 2014 ขอให้มีความสุข และมีความรู้มากขึ้นทุกๆ คนถ้วนหน้า จากใจสำรวจโลกกด like สำรวจโลก
www.fb.com/samrujlok
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #438 เมื่อ: มกราคม 06, 2014, 08:54:25 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #439 เมื่อ: มกราคม 08, 2014, 12:47:52 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #440 เมื่อ: มกราคม 11, 2014, 09:55:57 PM »

วิธีทำความสะอาด แผลแห้ง-แผลเปียก อย่างถูกวิธี


เวลาเกิดอุบัติเหตุจนทำให้บาดเจ็บและเป็นแผล สิ่งที่จำเป็นอย่างมากก็คือ การทำแผลเพื่อป้องกันเชื้อโรค และยังถือเป็นการรักษาอาการบาดเจ็บด้วย ทว่าการทำแผลนั้นก็ต้องทำให้ถูกต้อง เหมาะสมกับสภาพแผล เพื่อให้แผลหายเร็ว และลดความเสี่ยงเกิดอักเสบติดเชื้อ

โดยแผลนั้น มี 2 ประเภท คือ แผลแห้ง เป็นแผลที่มีลักษณะปิด ไม่มีการอักเสบ และไม่มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล อีกประเภทเรียกว่า แผลเปียก มีลักษณะเป็นแผลเปิด มีการอักเสบ มีสิ่งขับหลั่งออกมาจากแผล เช่น เลือด น้ำหนอง

การทำแผลและการปิดแผลของแผลแห้งกับแผลเปียกจะต่างกัน ครั้งนี้ขอแนะวิธีทำแผลที่เกิดจากอุบัติเหตุใกล้ตัว อาทิ หกล้มจนผิวหนังถลอก ถูกของมีคมบาด

เริ่มจากการทำแผลแห้ง ให้ใช้สำลีประมาณ 2-3 ก้อน หรือมากน้อยกว่านี้ตามขนาดของแผล ชุบแอลกอฮอล์ 70% เช็ดลงที่แผลเบาๆ ด้วยเทคนิคเช็ดให้ชิดขอบแผลและวนออกนอกแผลให้ห่างออกไปอีกราว 2-3 นิ้ว จากนั้นปิดแผลด้วยผ้าก็อสที่ยึดกับผิวด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัว

สำหรับการทำแผลเปียกเริ่มด้วยการเช็ดแผลด้วยแอลกอฮอล์ 70% เช่นเดียวกับการทำแผลแห้ง ต่อด้วยการใช้สำลีชุบน้ำเกลือ บางครั้งเรียก โซเดียมคลอไรด์ ช่วยในการกระตุ้นการงอกขยายของเซลล์ใหม่และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ หรือใช้ทิงเจอร์ไอโอดีน กรณีที่เป็นแผลถลอก เนื่องจากสามารถฆ่าได้ทั้งเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส แต่ด้วยความเข้มข้นของทิงเจอร์ไอโอดีน อาจทำให้ผิวแสบไหม้ได้ ดังนั้น หลังจากใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนเช็ดแผลผ่านไป 90 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% เพื่อลดการระคายเคือง

หรืออาจใช้เบตาดีนแทนทิงเจอร์ไอโอดีนได้ เนื่องจากมีฤทธิ์ที่อ่อนกว่า และไม่ทำปฏิกิริยาต่อสิ่งขับหลั่ง กรณีที่แผลเปียกมีความสกปรกมาก และมีสิ่งขับหลั่งพวกหนองหรือลิ่มเลือด ควรใช้น้ำยาไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์

ในขั้นตอนการนำสำลีไปชุบน้ำยาที่กล่าวไปนี้ เพื่อเช็ดแผลก็เพื่อฆ่าเชื้อโรค ดูดซับสิ่งขับหลั่ง ให้ความชุ่มชื้นแก่เนื้อเยื่อ

ปิดท้ายการทำแผลเปียกด้วยการใช้ผ้าก็อสหุ้มสำลีเพื่อซับสิ่งขับหลั่ง ยึดติดกับผิวหนังรอบๆ ด้วยเทปกาวติดแผลหรือแผ่นพลาสเตอร์ โดยติดตามแนวขวางลำตัวเช่นกัน.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #441 เมื่อ: มกราคม 11, 2014, 09:58:31 PM »

ล้างพิษใน 1 วันอย่างง่ายๆ ด้วยตัวเอง


ในแต่ละวันที่ผ่านมา ลองทบทวนดูสิว่าเรากินอาหารแบบตามใจปากมามากแค่ไหน ได้กินผักผลไม้อย่างเพียงพอบ้างหรือเปล่า หรือว่าภายในกระเพาะและลำไส้จะมีแต่แป้ง ไขมัน และสารพิษ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ร่างกายเกิดโรคต่างๆ ขึ้น

แต่หากใครอยากจะล้างพิษในร่างกายของตัวเอง “ผูเขียน” ก็มีวิธีล้างพิษแบบง่ายๆ ในหนึ่งวันมาฝากกัน สำหรับการล้างพิษหรือ Detoxify นี้ เป็นการล้างพิษด้วยการอดอาหาร ซึ่งก็มีหลายแบบด้วยกัน เช่นจะไม่กินอะไรเลย ดื่มแต่น้ำเปล่า หรือดื่มแต่น้ำผลไม้ หรือกินผลไม้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น



วิธีที่ “ผู้เขียน” จะแนะนำนั้นก็คือการกินผลไม้เพียงอย่างเดียวในหนึ่งวันเต็มๆ โดยให้เลือกผลไม้ที่เราชอบมาหนึ่งอย่าง แต่ไม่ควรเป็นผลไม้ที่มีแคลอรี่สูงอย่างทุเรียน ขนุน หรือผลไม้ที่มีกรดมากอย่างสับปะรด แต่จะเลือกเป็นมะละกอ แอปเปิล ชมพู่ ฝรั่ง ฯลฯ อะไรก็ได้ที่เราชอบและสามารถกินได้ตลอดวันเป็นทั้งอาหารเช้า กลางวัน และเย็น เช่นอาจจะกินฝรั่งสดๆ ในมื้อแรก แล้วเปลี่ยนเป็นยำผลไม้ (ฝรั่ง) หรือน้ำฝรั่ง กินสลับกันไปตามแต่จะคิดทำ



หลังจากกินแต่ผลไม้ในวันแรก พอตื่นเช้าขึ้นมาอีกวันหนึ่งก็ให้ดื่มน้ำอุ่น 2 ลิตร ผสมกับน้ำมะนาว 2 ลูก และเกลือ 2 ช้อนชา เพื่อเป็นการกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว และขับสารพิษออกมากับอุจจาระ



ในการล้างพิษด้วยผลไม้นี้อาจจะทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ไม่ค่อยมีแรง ดังนั้นในวันนี้จึงไม่ควรทำงานหนักหรือออกกำลังกาย แต่ควรเป็นวันสบายๆ ที่ใช้เวลาไปกับการอ่านหนังสือ หรือดูหนังฟังเพลงให้สบายใจดีกว่า และหากเป็นไปได้ก็ควรล้างพิษอย่างง่ายๆ สองสัปดาห์ต่อครั้งก็จะดี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #442 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2014, 10:17:32 AM »




อึ้ง! นอนดึกส่งผล “อ้วน” เหตุฮอร์โมนแปรปรวน

เตือน! อยากผอมสวย อย่านอนดึก นักวิชาการชี้นอนดึกส่งผลให้อ้วน เหตุฮอร์โมนเครียดจะหลั่งในวันถัดมา ทำให้อยากอาหารหวาน ขณะที่ฮอร์โมนหิวจะหลั่งเพิ่มทำให้หิวเป็นสองเท่า และฮอร์โมนความอิ่มหลั่งลดลง ทำให้กินอย่างไรก็ไม่อิ่ม แนะเข้านอนช่วง 3-5 ทุ่ม อย่าดื่มกาแฟ ดูโทรทัศน์ก่อนนอน

พญ.ธิดากานต์ รุจิพัฒนกุล นักวิชาการโครงการรวมพลัง ขยับกาย สร้างสังคมไทยไร้พุง เครือข่ายคนไทยไร้พุง ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ปัญหาความอ้วนจะทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา โดยเฉพาะโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ซึ่งโรคอ้วนนั้น มีปัจจัยที่มีความซับซ้อนตั้งแต่ระดับยีน ซึ่งบางคนมียีนที่ทำให้เกิดความเสี่ยงทำให้อ้วนได้ ไปจนถึงโรคบางอย่าง หรือ ความเครียด การใช้ชีวิตประจำวัน และการนอน โดยเฉพาะการนอนดึกหรือนอนไม่พอ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับร่างกายหลายด้าน โดยด้านที่เกี่ยวกับความอ้วน คือ ส่งผลให้ฮอร์โมนเครียดที่มีชื่อว่า คอร์ติซอล หลั่งมากขึ้นในวันถัดมา ฮอร์โมนเครียดที่เพิ่มขึ้นนี้จะกระตุ้นให้รู้สึกอยากอาหารหวานๆ หรือน้ำตาลมากกว่าเดิม

“นอกจากฮอร์โมนเครียดแล้ว ฮอร์โมนหิว หรือ เกรลิน ก็จะหลั่งเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้หิวเป็นสองเท่า นอกจากนี้ ยังทำให้ฮอร์โมนความอิ่ม หรือ เลปติน จะหลั่งลดลง ส่งผลให้แม้ว่าจะรับประทานแล้วแต่ก็รู้สึกไม่ค่อยอิ่มทำให้ต้องหาอะไรรับประทานอยู่ตลอดจนกลายเป็นการกินมากเกินไป และหากอยู่ในช่วงวัยรุ่นถ้านอนดึกก็ยังส่งผลทำให้เตี้ยด้วย” พญ.ธิดากานต์ กล่าว

พญ.ธิดากานต์ กล่าวอีกว่า สิ่งที่ควรทำ คือ เข้านอนช่วง 21.00-23.00 น.ไม่นอนดึกกว่าเที่ยงคืน ไม่เล่นมือถือ คอมพิวเตอร์ หรือดูโทรทัศน์ ช่วง 30-60 นาทีก่อนนอน แสงสว่างจากเครื่องใช้ไฟฟ้าเหล่านี้อาจส่งผลให้นอนไม่หลับได้ อย่าดื่มชา กาแฟ 6 ชั่วโมงก่อนนอน จัดห้องนอนให้มืดสนิท เงียบ อุณหภูมิเหมาะ ตื่นนอนในเวลาใกล้เคียงกันทุกวัน การตื่นสายผิดปกติในวันหยุด จะส่งผลให้นอนไม่หลับได้ง่าย และการสวดมนต์หรือนั่งสมาธิก่อนนอน จะช่วยให้จิตใจสงบและหลับได้สบายขึ้น เมื่อหลับสบายก็จะทำให้ตื่นมาด้วยความสดใสและมีฮอร์โมนในร่างกายที่สมดุล

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #443 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 01:36:55 PM »



ตับแข็ง....ไม่กินเหล้าก็เป็นได้นะ

เพราะ "ตับ" คืออวัยวะที่ช่วยทำลายสารพิษต่าง ๆ ในร่างกาย หาก "ตับ" เสียหรือผิดปกติ นั่นย่อมหมายถึงสภาพร่างกายที่จะเสื่อมถอยลงไปด้วย และวันนี้เราจะพามารู้จัก โรคตับแข็ง หนึ่งในโรคตับที่พบได้บ่อยที่สุดกันค่ะ

โรคตับแข็ง หรือ Liver cirrhosis เป็นโรคเรื้อรังที่ทำให้เกิดการสูญเสียโครงสร้างของตับ โดยเนื้อตับจะถูกทำลาย เพราะมีเนื้อเยื่อพังผืดเกิดขึ้นในเนื้อตับ และไปดึงรั้งเนื้อตับดีจนเป็นผิวตะปุ่มตะป่ำเรียกว่า regenerative nodule ทำให้ตับสูญเสียการทำงานลงไป เพราะเลือดจะมีเลี้ยงเนื้อตับน้อยลง หากปล่อยไว้นานก็จะกลายเป็น ตับแข็งระยะสุดท้าย และพัฒนากลายเป็นมะเร็งตับได้เช่นกัน

สาเหตุของ โรคตับแข็ง
สาเหตุของการเกิด ตับแข็ง มีหลายประการ แต่ที่พบบ่อย คือ
การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่มากเกินไป และติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มาก ๆ จะทำให้เกิดความผิดปกติของการใช้โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรตในตับ จึงเกิดภาวะตับอักเสบและเรื้อรังจนกลายเป็น โรคตับแข็ง โดยผู้หญิงจะเป็น โรคตับแข็ง ได้มากกว่าผู้ชาย

การเป็นโรคตับอักเสบเรื้อรัง จากการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือไวรัสตับอักเสบซี จนทำให้ตับอักเสบเป็นเวลาหลายปี ก่อนจะกลายเป็น โรคตับแข็ง ในที่สุด โดยไวรัสตับอักเสบบีและซีนั้น เป็นเชื้อไวรัสที่ติดต่อกันทางเลือดและเพศสัมพันธ์ การติดเชื้อเป็นพาหะนั้นมักจะเกิดโดยไม่รู้ตัว

--เกิดจากโรคที่ภูมิคุ้มกันมีการทำลายเนื้อตับ

-- เกิดภาวะไขมันสะสมในตับ ซึ่งพบได้ในผู้ป่วยโรคเบาหวาน, โรคอ้วน, ไขมันในเลือดสูง

--การรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบเป็นระยะเวลานาน ๆ เช่น ยาแก้ปวดลดไข้พาราเซตามอล ยาปฏิชีวนะเตตราไซคลีน ยารักษาวัณโรคบางชนิด

-- โรคทางพันธุกรรมบางโรคทำให้เกิด ตับแข็ง เช่น ทาลัสซีเมีย,hemochromatosis, Wilson's disease, galactosemia

-- ภาวะหัวใจวายเรื้อรัง ทำให้เส้นเลือดคั่งที่ตับ เลือดไหลเวียนในตับน้อยลง เนื้อตับขาดภาวะออกซิเจนจนตายลง

--พยาธิบางชนิด เช่น พยาธิใบไม้ในเลือดอาจทำให้เกิดตับแข็ง

ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคตับแข็งมักจะปรากฏอาการเริ่มแรกในช่วงอายุระหว่าง 40 - 60 ปี แต่ถ้าพบในคนอายุน้อย มักมีสาเหตุจากตับอักเสบจากเชื้อไวรัส ซึ่งมีอาการค่อนข้างรุนแรง

อาการผู้ป่วย โรคตับแข็ง

ผู้ป่วย โรคตับแข็ง ในระยะแรก มักจะไม่มีอาการชัดเจน อาจมีเพียงอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ คล้ายอาหารไม่ย่อย จึงไม่ค่อยรู้สึกตัวว่ามีความผิดปกติที่ตับ แต่เมื่อเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จะเกิดอาการของตับแข็ง คือ ผู้ป่วยจะมีอาการอ่อนเพลีย ตาเหลือง ปัสสาวะเหลือง ท้องโตขึ้น ขาบวม เบื่ออาหาร คลื่นไส้ น้ำหนักลด อาจรู้สึกเจ็บบริเวณชายโครงขวาเล็กน้อย มีอาการคันตามตัว

ในผู้หญิงที่เป็น โรคตับแข็ง อาจมีอาการประจำเดือนขาดหรือมาไม่สม่ำเสมอ มีหนวดขึ้น หรือมีเสียงแหบแห้งคล้ายผู้ชาย ในผู้ชายอาจรู้สึกนมโตและเจ็บ อัณฑะฝ่อตัว บางคนอาจสังเกตเห็นฝ่ามือแดงผิดปกติ หรือมีจุดแดงที่หน้าอก หน้าท้อง เป็นต้น

โรคแทรกซ้อนของผู้ป่วย โรคตับแข็ง

ตัวเหลือง ตาเหลือง เพราะตับไม่สามารถขับน้ำดีออกมาได้

คันตามร่างกาย เพราะมีน้ำดีสะสมอยู่ตามผิวหนัง

เกิดนิ่วในถุงน้ำดี

มีอาการบวมหลังเท้า แขนขา และท้อง เพราะตับไม่สามารถสร้างไข่ขาว (โปรตีนในเลือด) ได้

เลือดออกได้ง่าย เพราะตับไม่สามารถสร้างสารที่ทำให้เลือดแข็งตัวได้

สูญเสียความสามารถเกี่ยวกับความจำ สติ เพราะเกิดการคั่งของของเสีย

ไวต่อยามากขึ้น ดังนั้นการให้ยากับผู้ป่วย โรคตับแข็ง ต้องระวังการเกิดยาเกินขนาด เพราะตับจะไม่สามารถทำลายยาได้ แม้แต่การให้ยาให้ขนาดปกติ ก็ต้องระวัง

อาเจียนเป็นเลือด เพราะตับแข็ง จะทำให้ความดันในตับสูง จนทำให้หลอดเลือดดำในหลอดอาหารมีความดันสูง และหากมีความดันสูงมาก อาจทำให้หลอดเลือดดำแตกได้

ติดเชื้อได้ง่าย เพราะภูมิคุ้มกันลดลง อาจเป็น ท้องมาน ไตวาย
และในระยะสุดท้าย เมื่อตับทำงานไม่ได้เลยก็จะเกิดอาการหมดสติเรียกว่า ภาวะหมดสติจากตับเสีย นอกจากนี้ผู้ป่วย โรคตับแข็ง มีโอกาสเป็นมะเร็งในตับสูงกว่าคนปกติอีกด้วย

การตรวจวินิจฉัย โรคตับแข็ง
แพทย์จะซักประวัติเพื่อหาปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิด โรคตับแข็ง จากนั้นจะตรวจร่างกาย เพื่อหาสิ่งที่บ่งชี้ว่าเป็นตับแข็งหรือไม่ เช่น มีอาการตัวเหลืองตาเหลือง ท้อง และเท้าบวม ฝ่ามือแดง มีจุดแดงตามตัวหรือไม่ หรือคลำตับพบว่า มีผิวแข็งขรุขระ ขอบไม่เรียบ ก่อนที่จะตรวจทางห้องปฏิบัติการ โดยแพทย์จะเจาะเลือด เพื่อตรวจการทำงานของตับ ซึ่งหากเป็น โรคตับแข็ง จะพบปริมาณไข่ขาวต่ำ มีการคั่งของน้ำดี โดยบางรายอาจต้องตรวจอัลตราซาวนด์ดู หรือเจาะเนื้อตับ

ผการรักษา โรคตับแข็ง
โรคตับแข็ง ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเซลล์ตับถูกทำลายไปแล้ว จึงไม่สามารถฟื้นกลับมาเป็นปกติ ซึ่งการรักษาจะทำได้โดยชะลอโรคเท่านั้น ทั้งนี้ ถ้าหากผู้ป่วยเป็น โรคตับแข็ง ระยะแรก และปฏิบัติตัวได้เหมาะสม ก็จะมีชีวิตอยู่ได้นานเกิน 5-10 ปี แต่หากมีภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ้น ก็อาจอยู่ได้ 2-4 ปี โดยการรักษา โรคตับแข็ง สามารถให้ตั้งแต่ยากิน ยาฉีด ผ่าตัดเปลี่ยนตับ และมีแนวทางการรักษาอยู่ 2 วิธีการคือ

1. การรักษาที่สาเหตุ
นั่นคือ ต้องรู้ว่าต้นเหตุของ โรคตับแข็ง เกิดจากอะไร และรักษาไปตามสาเหตุนั้น เช่น มีสาเหตุจากการดื่มสุรา ก็ให้งดสุรา ถ้าเกิดจากไวรัสตับอักเสบก็ให้ยารักษาที่ชื่อว่า อินเตอเฟอรอน ในกรณีที่เป็นโรคตับแข็งจากการอักเสบของตับชนิดออโตอิมมูน ให้ใช้ยาสเตียรอยด์รักษา แต่หากเป็นโรคตับแข็งจากการสะสมของสารทองแดงในตับ จะใช้ยาเฉพาะเพื่อขับสารทองแดงออกจากร่างกาย

2.การรักษาโรคแทรกซ้อนของ โรคตับแข็ง คือ
หากมีอาการคันตามผิวหนัง ให้ทานยาแก้แพ้ และลดอาหารจำพวกโปรตีนลง หากเป็นท้องมานหรือบวมที่หลังเท้า ให้ลดอาหารเค็ม และให้ยาขับปัสสาวะเพื่อลดอาการบวม

หากผู้ป่วยมีความดันในตับสูง แพทย์จะให้ยาลดความดัน

หากอาเจียนเป็นเลือดหรือหมดสติ ให้รีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล

การดูแลผู้ป่วย โรคตับแข็ง

รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง เพราะตับจะย่อยไขมันได้น้อยลง และควรหลีกเลี่ยงไขมันจากสัตว์ ให้ใช้ไขมันพืชแทน เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันถั่วเหลือง ที่มีกรดไขมันจำเป็นไลโนเลอิก

ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเค็มจัด อาหารที่ผ่านการแปรรูป เช่น ไส้กรอก หมูยอ เพราะมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบ ซึ่งอาหารเหล่านี้ จะทำให้อาการบวม อาการท้องมานเลวลงได้ โดยทั่วไปแพทย์จะแนะนำให้รับประทานเกลือได้ไม่เกินวันละ 2 กรัม หรือเทียบเท่ากับเกลือป่นประมาณ เศษหนึ่งส่วนสามช้อนชาต่อวันเท่านั้น

ควรหลีกเลี้ยงอาหารที่ชื้น เช่น ถั่วป่น พริกป่น ที่เป็นแหล่งของสารอะฟลาท็อกซิน ทำให้ตับต้องทำงานมากขึ้น และยังทำให้เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งตับมากขึ้น

ควรทานอาหารที่สะอาด ปรุงใหม่ ไม่ทานอาหารที่เก็บค้างคืน อาหารสุก ๆ ดิบ ๆ ลวก ย่าง

ควรรับประทานอาหารที่เป็นผัก ผลไม้ให้เพียงพอ เพื่อป้องกันมิให้เกิดภาวะท้องผูก ต้องไม่ดื่มน้ำมากเกินไป คือไม่เกิน 6 แก้วต่อวัน หรือหากมีอาการบวมมาก ควรลดปริมาณน้ำลงอีก และอาจต้องกินยาขับปัสสาวะตามที่แพทย์สั่งด้วย

ต้องงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันไม่ให้เซลล์ตับส่วนที่ยังดีอยู่ ถูกทำลายมากขึ้น

ไม่ควรซื้อยามาทานเอง หรือกินยาเกินขนาด เพราะยาส่วนมากจะถูกทำลายที่ตับ จึงอาจทำให้ภาวะตับแย่ลงกว่าเดิม แพทย์อาจสั่งวิตามิน หรือเกลือแร่เสริมให้ เพราะเมื่อตับถูกทำลายอาจทำให้ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็น

หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนัก ๆ เช่น วิ่งมาราธอน กีฬาที่ต้องหักโหม ให้เดินวิ่งเบา ๆ แทน และพยายามทำจิตใจให้เบิกบาน

การป้องกัน โรคตับแข็ง

1. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณมาก และถ้าตรวจพบว่าเป็นพาหะของเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ควรงดดื่มโดยเด็ดขาด

2. ฉีดวัคซีนป้องกันตับอักเสบจากไวรัสบี ซึ่งนิยมฉีดตั้งแต่แรกเกิด

3. ระมัดระวังการใช้ยาที่อาจมีพิษต่อตับ

โดย ทางแพทย์สายพุทธ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- siamhealth.net
- bangkokhealth.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #444 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 01:53:00 PM »




วิธีทำกายภาพมือง่ายๆ ก่อน "นิ้วล็อค" ถาวร!
ปฏิเสธไม่ได้ว่า มือของคนเรา เป็นอวัยวะสำคัญที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะหยิบจับสิ่งของ หรือใช้งานในกิจอื่นๆ ทั้งเด็กที่จะต้องใช้มือเขียนหนังสือ พ่อแม่ - คนทำงานที่ต้องใช้มือกับแป้นพิมพ์ เขียนงานเอกสาร หรือใช้ในงานด้านต่างๆ ตลอดจนแม่บ้านที่ต้องใช้มือในการหิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า
เมื่อมือ เป็นอาวุธสำคัญอย่างหนึ่งของมนุษย์ที่ใช้ทำงาน บางครั้งอาจถูกใช้งานอย่างหนัก โดยไม่ได้พัก หากเป็นเช่นนี้ ซ้ำๆ บ่อยๆ ย่อมมีความเสี่ยงต่อการเจ็บปวดตามมา สามารถนำพาไปสู่ภาวะนิ้วล็อค หรือ Trigger Finger ได้ในที่สุด
ในวันนี้ ทีมงาน Life and Family มีเกร็ดความรู้จากงาน "Banana Family in Love" จัดโดย Banana Family Park ภายใต้โครงการ Workshop กายภาพบำบัดสำหรับผู้สูงอายุ ซึ่งได้มีการพูดคุยถึงภาวะนิ้วล็อค และวิธีการดูแลมือไว้อย่างน่าสนใจ จึงนำมาฝากให้กับทุกครอบครัวไว้ปรับใช้ก่อนนิ้วล็อคถาวรกัน
หากพูดถึง ภาวะนิ้วล็อค ทีมงานได้รับความรู้ว่า เป็นกลุ่มอาการหนึ่งที่เกิดขึ้นกับกลุ่มคนที่มีการใช้มือทำงานอย่างหนัก ซึ่งจะมักมีอาการเจ็บร่วมกับมีเสียงดังกึก ทำให้เส้นเอ็นไม่โก่งตัวออกเมื่องอนิ้ว แต่เมื่อมีการอักเสบเส้นเอ็นจะบวมและหนาตัว ทำให้ลอดผ่านห่วงลำบาก จึงรู้สึกเจ็บและเกิดอาการนิ้วล็อคตามมา
โดยส่วนใหญ่เกิดในผู้หญิงอายุ 45 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะแม่บ้านที่ใช้มือทำงานอย่างหนัก เช่น หิ้วตะกร้าจ่ายกับข้าว ชอปปิ้ง บิดผ้า เย็บผ้า ถักไหมพรม ส่วนในผู้ชายมักพบในอาชีพที่ใช้มือทำงานหนักๆ มีการจับ ออกแรงบีบอุปกรณ์ซ้ำๆ เช่น คนทำสวนใช้กรรไกรตัดกิ่งไม้ ช่างที่ใช้ไขควงหรือเลื่อย พนักงานพิมพ์ดีด นักกอล์ฟ เป็นต้น
นอกจากนี้ลักษณะการใช้งานของมือในแต่ละกิจกรรมจะใช้งานแต่ละนิ้วไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดนิ้วล็อคที่ตำแหน่งนิ้วต่างกันด้วย เช่น พ่อแม่ที่เป็นครู หรือนักบริหาร มักเป็นนิ้วล็อคที่นิ้วโป้งขวา เพราะใช้เขียนหนังสือมาก และใช้นิ้วโป้งกดปากกานานๆ ขณะที่แม่บ้านซักบิดผ้า มักเป็นที่นิ้วชี้ซ้ายและขวา แต่ทั้งนี้ภาวะดังกล่าวไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกัน และรักษาให้หายได้ ถ้ารู้จักวิธีดูแลตนเองอย่างถูกต้อง
สำหรับอาการ ในระยะแรกจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ กำมือไม่ถนัด หรือกำได้ไม่เต็มที่โดยเฉพาะตอนเช้าหลังตื่นนอน พอใช้มือไปสักพักก็จะกำมือได้ดีขึ้น เวลางอที่จะเหยียดนิ้วมือมักจะได้ยินเสียงดังกึก ต่อมาจะมีอาการนิ้วล็อค คือ เวลางอนิ้วจะเหยียดขึ้นเองไม่ได้ มักเกิดกับมือข้างถนัดที่ใช้งาน ซึ่งอาจเป็นเพียงนิ้วเดียว หรือเป็นพร้อมกันหลายนิ้วก็ได้ บางรายอาจรุนแรงถึงนิ้วบวมชา ติดแข็งจนใช้งานไม่ได้กายภาพมือง่ายๆ ก่

"นิ้วล็อค" ถาวร! (ตามภาพประกอบ)

1. ยืดกล้ามเนื้อแขน มือ นิ้วมือ โดยยกแขนระดับไหล่ ใช้มือข้างหนึ่งดันให้ข้อมือกระดกขึ้น-ลง ปลายนิ้วเหยียดตรงค้างไว้ นับ 1-10 แล้วปล่อยทำ 6-10 ครั้ง/เซต

2. บริหารการกำ-แบมือ โดยฝึกกำ-แบ เพื่อเพิ่มการเคลื่อนไหวของข้อนิ้วมือ และกำลังกล้ามเนื้อภายในมือ หรืออาจถือลูกบอลในฝ่ามือก็ได้ โดยทำ 6-10 ครั้ง/เซต

3. ท่าเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อที่ใช้งอ-เหยียดนิ้วมือ โดยใช้ยางยืดช่วยต้าน แล้วใช้นิ้วมือเหยียดอ้านิ้วออก ค้างไว้ นับ 1-10 แล้วค่อยๆ ปล่อย ทำ 6-10 ครั้ง/เซต

ระวังตัวง่ายๆ ลดเสี่ยง "นิ้วล็อค"

1. ไม่หิ้วของหนักเกินไป ถ้าจำเป็นต้องหิ้วให้ใช้ผ้าขนหนูรอง และหิ้วให้น้ำหนักตกที่ฝ่ามือ อาจใช้วิธีการอุ้มประคองหรือรถเข็นลากแทน เพื่อลดการรับน้ำหนักที่นิ้วมือ

2. ควร ใส่ถุงมือ หรือห่อหุ้มด้ามจับเครื่องมือให้นุ่มขึ้นและจัดทำขนาดที่จับเหมาะแก่การใช้งาน ขณะใช้เครื่องมือทุ่นแรง เช่น ไขควง เลื่อย ค้อน ฯลฯ

3. งานที่ต้องใช้เวลาทำงานนานต่อเนื่อง ทำให้มือเมื่อยล้า หรือระบม ควรพักมือเป็นระยะๆ และออกกำลังกายยืดกล้ามเนื้อมือบ้าง

4. ไม่ขยับนิ้วหรือดีดนิ้วเล่น เพราะจะทำให้เส้นเอ็นอักเสบมากยิ่งขึ้น

5. ถ้ามีข้อฝืดตอนเช้า หรือมือเมื่อยล้า ให้แช่น้ำอุ่นร่วมกับการขยับมือกำแบเบา ๆ ในน้ำ จะทำให้ข้อฝืดลดลง
******* *******
 Life and Family ผู้จัดการออนไลน์
www.manager.co.th/Family/ViewNews.aspx?NewsID=9530000104284
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 06, 2014, 10:34:15 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #445 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 01:57:01 PM »




รู้จักโรคมะเร็งตับ หรือ ฝีรวงผึ้ง .....
ในพระคัมภีร์ทิพย์มาลา

มะเร็งตับ คือ เนื้องอกที่เจริญเติบโตโดยไร้การควบคุม เนื้องอกแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ที่เป็นเนื้อร้ายหรือมะเร็ง และที่เป็นเนื้องอกธรรมดาที่ไม่ได้เป็นเนื้อร้าย

มะเร็งตับที่เกิดขึ้นในตับเอง หรือที่เรียกว่ามะเร็งตับปฐมภูมิ (Primary Liver Cancer) นั้น แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือมะเร็งเซลล์ตับ (Hepato-cellular Carcinoma) และมะเร็งท่อน้ำดี (Cholangio Carcinoma)

สำหรับมะเร็งทุติยภูมิ คือมะเร็งที่แพร่กระจายมาจากอวัยวะอื่น เช่น ปอด ตับ ลำไส้ ไม่ถือว่าเป็นมะเร็งตับ

ในประเทศไทยเรานั้น 95% เป็นมะเร็งเซลล์ตับ (Hepatocellular Carcinoma เรียกย่อว่า HCC) และพบได้ทั่วไปทุกภาคของประเทศไทย แต่พบมากที่สุดในภาคกลาง

เนื่องจากตับของคนเรามีขนาดใหญ่ คือเป็นอวัยวะภายในที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และมีกำลังสำรองมาก ผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับในระยะแรกจึงมักไม่มีอาการอะไร เพราะตับยังคงทำงานได้เกือบปรกติ เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมากขึ้นก้อนมะเร็งก็มีขนาดที่ใหญ่มากแล้ว ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุว่าผู้ที่ป่วยเป็นมะเร็งตับมักมีอัตราการอยู่รอดเพียงไม่กี่เดือน เพราะเมื่อพบก็สายเกินไปแล้ว เมื่อมะเร็งได้ลุกลามและมีขนาดใหญ่มากแล้ว

มะเร็งตับมีสาเหตุมาจากอะไร ?

1. ส่วนใหญ่ของการเกิดมะเร็งตับมีสาเหตุมาจากไวรัสตับอักเสบบีและซี จากข้อมูลสถิติของหลายสถาบันได้ผลใกล้เคียงกันว่า 80% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับเป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี มีความเสี่ยงสูงมากที่จะเป็นมะเร็งตับ โดยมีความเสี่ยงสูงกว่าคนปกติถึง 223 เท่า (ข้อมูลจากหนังสือความรู้เรื่องโรคตับสำหรับประชาชน)

2. มีข้อมูลที่น่าสนใจประการหนึ่งว่า ประมาณ 90% ของผู้ป่วยโรคมะเร็งตับจะมีตับแข็งร่วมด้วย นั่นก็หมายความว่า ถ้าท่านป่วยเป็นพาหะตับอักเสบบี และมีตับแข็งแล้ว ความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งตับจะสูงมากๆ ทีเดียว

3. มะเร็งตับยังมีสาเหตุมาจากการดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีข้อมูลทางวิชาการที่ยืนยันได้ว่า ผู้ที่ดื่มสุราแอลกอฮอล์เป็นประจำมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งตับสูงกว่าผู้ที่ไม่ดื่มแอลกอฮอล์

4. สารอะฟลาท๊อกซิน (Aflatoxin) ซึ่งพบปนเปื้อนอยู่ในถั่วง ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว เต้าหู้ยี้ ก็เป็นสารก่อมะเร็ง ที่เป็นสาเหตุอีกประการหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งตับ จากการศึกษาพบว่า อะฟลาท๊อกซิน มีความสัมพันธ์กับไวรัสตับอักเสบบี โดยเชื่อว่าเชื้อไวรัสตับอักเสบบีเป็นตัวทำให้เกิดมะเร็งตับ และอะฟลาท๊อกซินเป็นตัวเสริม เพราะฉะนั้น ผู้ที่เป็นพาหะไวรัสตับอักเสบบี จึงควรที่จะหลีกเลี่ยง ถั่วง โดยเฉพาะถั่วงป่นที่ค้างนานๆ ข้าวโพด พริกแห้ง กระเทียม เต้าเจี้ยว และเต้าหู้ยี้

จะทราบได้อย่างไรว่ากำลังเป็นมะเร็งตับ ?

สาเหตุประการสำคัญที่ทำให้ผู้ป่วยเป็นมะเร็งตับ มีอัตราการอยู่รอดต่ำก็คือ มะเร็งตับในระยะแรกซึ่งจะสามารถรักษาให้หายขาดได้นั้น มักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนออกมา โดยผู้ป่วยจะมีอาการคลุมเคลือ เช่น เสียดท้องด้านขวา มีอาการจุกแน่นในบางครั้ง แต่โดยส่วนใหญ่แทบไม่มีอาการอะไรเลย ทั้งนี้ ก็เพราะตับเป็นอวัยวะที่มีกำลังสำรองมาก คนเราสามารถจะมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการทำงานของตับประมาณ 30% ดังนั้น เมื่อมีอาการที่ชัดเจนมะเร็งก็อยู่ในระยะลุกลาม หรือ มีขนาดใหญ่และไม่สามารถจะรักษาได้แล้ว

อาการของผู้ป่วยมะเร็งตับ

ที่ชัดเจนก็คือ รู้สึกอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร จุกเสียด แน่นท้อง น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว และอาการที่เด่นชัดก็คือ ปวดชายโครงด้านขวา โดยอาจร้าวไปที่ไหล่ด้านขวาหรือลำตัวซีกขวา และอาจคลำพบก้อนที่ชายโครง


การรักษามะเร็งตับด้วยการแพทย์แผนไทย..

กายวิภาคแบบแผนไทย...

ลักษณะของตับ หรือยกนัง คือ ธาตุดิน (ปัถวีธาตุ) หนึ่ง ใน ๒๐ ประการ ถือเป็นอวัยวะที่สำคัญในร่างกายของเรา เป็นธาตุหลัก ของร่างกาย จึงไม่มีการไประคนกับธาตุอื่น เพียงแต่เป็นฐานคอยรองรับการวิบัติของธาตุอื่น เมื่อเกิดการกำเริบ หย่อน พิการ แล้วทำให้เกิดโรคต่างๆ โดยในตำรากล่าวไว้ว่า ตับคือเนื้อสองแผ่นสีแดง ตั้งอยู่ตรงกลางอกข้างขวา

เมื่อธาตุดินพิการ... ยกนังพิการ
(ในคัมภีร์โรคนิทานและธาตุวิภังค์)

ให้มีอาการตับโต ตับทรุด เป็นฝีในตับ และตับพิการต่างๆ

ถ้าพิการแตกก็ดี เป็นเพราะโทษ ๔ ประการ คือ

๑) กาฬผุดขึ้นในตับ ทำให้ตับหย่อน
๒) เป็นฝีในตับ ให้ลงเป็นโลหิตสดๆ ออกมา
๓) กาฬมูตรผุดขึ้นในตับ ให้ลงเป็นเสมหะโลหิตเน่า ปวดมวนอยู่เสมอ ให้ตาแดงเป็นสายโลหิต สมมุติเรียกว่า กระสือปีศาจเข้าปลอมกิน เพราะคนไข้จะเพ้อหาสติมิได้ เจรจาด้วยผี หมอจะแก้ยากนัก
๔) เป็นด้วยปัถวีธาตุแตกเอง ให้ระส่ำระสาย ให้หอบไออยู่เป็นนิจ บริโภคอาหารไม่ได้ หายใจไม่ถึงท้องน้อย

การวินิจฉัยโรค.... ฝีรวงผึ้ง

การรักษา...
ให้ยารักษาฝีรวงผึ้ง (ตามตำรายาวัดโพธิ์)

คำแนะนำ....
งดอาหารแสลงโรคต่างๆ เช่น อาหารทะเล เนื้อวัว ควาย เป็ด ห่าน เครื่องในสัตว์ ไข่ นมจากสัตว์ ของหมักดองทุกชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาหารหวานจัด ผลไม้หวานจัด เช่น ทุเรียน ลำไย ขนุน ฯลฯ

โดย... บ้านต้นยาแพทย์แผนไทย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #446 เมื่อ: เมษายน 10, 2014, 02:03:08 PM »




โรคเหน็บชาเกิดจากอะไร...เเละวิธีการรักษา
โรคเหน็บชาเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการขาดขาดวิตามิน B1 โรคเหน็บชาเกิดจากการที่มีการขาดวิตามิน thiamine และผลในความผิดปกติทางระบบประสาท หรือ วิตามินบีหนึ่งวิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่สำคัญละลายน้ำได้จำนวนฟังก์ชั่นในร่างกายมาเป็นพิเศษช่วยใน การสลายน้ำตาลกลูโคสและครอบคลุมปลอกเส้นประสาท

โรคเหน็บชาส่งผลกระทบต่อระบบต่างๆในร่างกายเช่นระบบกล้ามเนื้อระบบหัวใจและหลอดเลือดและระบบประสาท คน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้รับผลกระทบที่สุดที่มีการขาด thiamine หรือโรคโรคเหน็บชาเนื่องจากมีการใช้ข้าวที่มีมากน้อย b1 thiamine

โรคเหน็บชาในเด็กเล็ก
ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุด คือ ๒-๖ เดือน มักเป็นเด็กที่กินนมแม่ และแม่ขาดวิตามินบี๑ เด็กอาจมีอาการเด่นทางหัวใจ คือ หอบ เหนื่อย หัวใจเต้นเร็วและเขียว ถ้าไม่ได้รับการรักษาจะถึงแก่กรรมได้ภายใน ๒-๓ ชั่วโมง เด็กอาจมีอาการเด่นทางระบบประสาท คือ เสียงแหบ เวลาร้องไม่มีเสียง อาจมีหนังตาบนตกกลอกลูกตาไปมา มือเท้าเคลื่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ
โรคเหน็บชาในเด็กโตหรือผู้ใหญ่
เด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่เป็นโรคเหน็บชา จะมีอาการชาที่ปลายมือ และปลายเท้า และเป็นเหมือนกันทั้งสองข้าง กล้ามเนื้อของแขนและขาไม่มีกำลัง ผู้ป่วยบางราย นอกจากมีอาการชาแล้ว ยังมีอาการบวมร่วมด้วย ถ้าเป็นมากจะมีหัวใจโตและเต้นเร็ว หอบ เหนื่อยและเสียชิวิตได้ถ้าไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที

สาเหตุของโรคเหน็บชา
สาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเป็นโรคเหน็บชาเกิดจากการกินอาหารที่ให้วิตามินบี๑ ไม่พอ ชาวไทยส่วนใหญ่กินข้าวที่ขัดสีแล้วเป็นอาหารหลัก ข้าวที่ขัดสีมีวิตามินบี๑ อยู่น้อย มิหนำซ้ำการซาวข้าว และหุงข้าวแบบเช็ดน้ำ จะทำให้สูญเสียวิตามินบี๑ ไปอีกส่วนอาหารที่ให้วิตามินบี๑ มาก คือ เนื้อสัตว์และถั่วเมล็ดแห้ง ก็กินน้อย
นอกจากนี้ ถ้ากินสารทำลายวิตามิน บี๑ เป็นประจำ ยิ่งซ้ำเติมให้เป็นโรคเหน็บชาได้ไวขึ้นสารทำลายวิตามินบี๑ นี้ แบ่งได้เป็น ๒ พวก คือ พวกที่ไม่ทนต่อความร้อน ได้แก่ เอนไซม์ไทอะมิเนส (thaiaminase) ซึ่งมีอยู่ในปลาน้ำจืด หอยลายและปลาร้าส่วนอีกพวกหนึ่งเป็นสารที่ทนต่อความร้อน พบได้ทั้งในปลาน้ำจืดและปลาน้ำเค็มหลายชนิด ใบชา ใบเมี่ยงหมาก และผักบางชนิดเด็กที่อยู่ในวัยเจริญเติบโต หญิงมีครรภ์ หญิงให้นมลูก ผู้ใช้กำลังงานมาก เช่น นักกีฬา กรรมกร ชาวนา ภาวะที่เกิดโรคติดเชื้อ ภาวะที่มีไข้สูง โรคต่อมไทรอยด์เป็นพิษ ล้วนมีความต้องการวิตามินบี๑ มากขึ้น จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเหน็บชาได้ง่าย นอกจากนี้ผู้ดื่มเหล้าเป็นประจำจะขาดวิตามินบี๑ ได้ง่ายเช่นกัน

การป้องกัน
โรคเหน็บชาไม่ใช่โรคที่เกิดจากความอดอยากหากแต่เกิดเพราะการรับประทานอาหารไม่ถูกสัดส่วนการป้องกันอาจทำได้โดยส่งเสริมให้กินอาหารที่มีวิตามินบี๑ สูง เช่น เนื้อหมู ถั่วเหลือง ผู้ที่ดื่มน้ำชาหรือเคี้ยวใบเมี่ยงเป็นประจำ ถ้าเลิกได้เป็นการดีที่สุดถ้าทำไม่ได้ก็ดื่มน้ำชาหรือเคี้ยวใบเมี่ยงให้น้อยลง และควรทำในระหว่างมื้ออาหาร ผู้ที่ชอบกินปลาร้าดิบ ควรเปลี่ยนเป็นต้มให้สุกเสียก่อน เลิกดื่มเหล้าเป็นประจำเวลาเกิดการเจ็บป่วยก็ไม่อดของแสลง ทั้งๆ ที่อาหารเหล่านั้นมีคุณค่าทางโภชนาการ การหุงต้มทุกชนิดควรใช้น้ำแต่พอประมาณ เช่น ควรหุงข้าวแบบไม่เช็ดน้ำส่งเสริมให้กินข้าวซ้อมมือ และรัฐควรวางมาตรฐานการสีข้าวของโรงสีต่างๆ เพื่อสงวนคุณค่าของวิตามินบี๑ ไว้
อาการเหน็บชาเกิดขึ้นเมื่อมีแรงกดทับส่วนใดส่วนหนึ่งบนแขนหรือขา ทำให้เส้นเลือดไม่สามารถนำออกซิเจนและน้ำตาลกลูโคสไปยังเนื้อเยื่อหรือเส้นประสาทได้ มีผลคือเส้นประสาทไม่สามารถสื่อสัญญาณไปยังสมอง จึงทำให้เกิดความรู้สึกชาและเจ็บจี๊ดเหมือนถูกเข็มแทง ใครที่เป็นบ่อยๆ ควรรับประทานอาหารที่มีวิตามินบี 1 เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง ข้าวโอ๊ต รำข้าว ตับ ไข่ มันเทศ เป็นต้น หากไม่หายควรไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานได้

ประเภทของโรคเหน็บชา
Wet โรคเหน็บชา
: โรคเหน็บชาฝนมีผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
โรคเหน็บชาแห้ง
: โรคเหน็บชาแห้งมักจะมีผลต่อระบบประสาท

สาเหตุของโรคเหน็บชา,
ขาดการรับประทานวิตามิน B1 หรือ thiamine ทำให้เกิดโรคเหน็บชาแห้ง และเปียก
ละเมิดแอลกอฮอล์ : แอลกอฮอล์ทำให้เกิดโรคเหน็บชา ผู้ป่วยสุราเรื้อรังทุกข์ทรมานจากการขาดวิตามิน thiamine เป็นแอลกอฮอล์รบกวนการดูดซึม thiamine ในลำไส้และป้องกันการจัดเก็บข้อมูลของ thiamine ในร่างกาย
หรือการบริโภคอาหารที่มี thiamine น้อยสาเหตุโรคเหน็บชา ส่วนใหญ่คนกินข้าวสารที่ได้สูญเสียวิตามิน thiamine และเป็นคุณค่าทางโภชนาการและการนี้ทำให้เกิดโรคเหน็บชา
การ ผ่าตัดกระเพาะอาหารยังก่อให้เกิดโรคเหน็บชาในผู้ป่วยบางรายเป็นการดูดซึมของ วิตามินจากทางเดินอาหารเปลี่ยนไปหลังการผ่าตัดกระเพาะอาหาร
ไตในผู้ป่วยไตและยา diuretics ดังกล่าวอาจก่อให้เกิดโรคเหน็บชาและเพิ่มความเสี่ยง
การถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรม : อาจทำให้เกิดโรคเหน็บชาในบางคน บุคคลที่มีประวัติครอบครัวของโรคเหน็บชาอาจได้รับโรคเหน็บชาผ่านยีนเป็นพี่น้องกัน ประเภทของการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมนี้มีความเกี่ยวข้องกับการดูดซึมวิตามินบีหนึ่งที่ไม่ดีหรือวิตามิน B1 จากระบบลำไส้ ผู้ใหญ่ได้รับผลกระทบโดยทั่วไปกับโรคเหน็บชาโรคเหน็บชาการถ่ายทอดลักษณะพันธุกรรมหรือผู้ใหญ่
ทารกที่ดื่มน้อยกว่าหรือ b1 thiamine วิตามินที่มีนมเลี้ยงลูกด้วยนมจากมารดาอาจได้รับโรคเหน็บชา อาหารเสริมสำหรับทารกภายนอกหรือทารกอาจมีไม่เพียงพอ thiamine และสาเหตุโรคเหน็บชาในทารก

อาการของโรคเหน็บชา,
การสูญเสียน้ำหนัก * คืออาการหลักของโรคเหน็บชาเนื่องจากโภชนาการที่ไม่ดี
* การสูญเสียของความอยากอาหารจะลดลงอาการโรคเหน็บชากับการเคลื่อนไหวทางเดินอาหาร
* การเปลี่ยนแปลงทางจิตที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาทางปัญญาและความรู้ความเข้าใจ

อาการของโรคเหน็บชาเปียก
* ความผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
* ความล้มเหลวของหัวใจ
* ความล้มเหลวของการเต้นของหัวใจวายอาการของโรคเหน็บชาเปียกอยู่
* อ่อนแอของผนังหลอดเลือดฝอย,
* tachycardia (อัตราการเต้นหัวใจเพิ่มขึ้น),
* หอบ,
* เวลาคืนตื่นพร้อมกับเหงื่อออก
* อาการโรคหัวใจจะกลายเป็นเลวลงถ้าไม่ได้รับการรักษาโรคเหน็บชาในเวลา
* ถึงแม้ว่าโรคเหน็บชาเป็นโรคร้ายแรงไม่อาจก่อให้เกิดการเสียชีวิตหากอาการของโรคเหน็บชาจะไม่ได้รับการรักษา
อาการของโรคเหน็บชาแห้งแห้งอาการโรคเหน็บชา
* ความเสียหายหรือความเสียหายที่เปลือก Myelin นิวรอน,
* ในความมึนงงเท้าและขาด้วยความรู้สึกน้อยลง
* พิการทางการรับรู้ทางประสาทสัมผัส
* อัมพาตบางส่วนหรือฝ่ายเดียว,
* ความเสียหายของเส้นประสาทรอบนอก
* การเปลี่ยนแปลงอารมณ์
* กล้ามเนื้อผู้เสียชีวิตร่วมบวช,
* ความเจ็บปวดในแขนขาที่ต่ำกว่า
* เปลี่ยนแปลงในการเคลื่อนไหวของตา

ความรู้สึกรู้สึกเสียวซ่า
* ในเท้า,
* ยากที่จะเดินและกระโดด
* กรดแลคติกเพิ่มขึ้นและกรด pyruvic ในเลือด

การรักษาโรคเหน็บชา
แนะนำให้นวดที่นิ้วโป้งเท้าข้างที่โดนเหน็บกิน โดยบีบแรงๆ จะสามารถบรรเทาอาการได้ ส่วนคนโบราณมีความเชื่อว่า เมื่อเกิดอาการเหน็บชา ให้หาก้านไม้ขีด หรือกิ่งไม้ขนาดเล็กๆ ที่มีขนาดใกล้เคียงก็ได้ เหน็บเอาไว้ที่หูข้างที่มีอาการเหน็บชา ประมาณ 20 วินาที จะช่วยทำให้ร่างกายกลับมาเป็นปกติได้

อีกวิธีหนึ่งคือ
ให้นำเชือกมาผูกที่หัวแม่เท้าข้างที่เป็นเหน็บ รัดให้แน่นๆ 2-3 รอบ แล้วรอสักครู่ เท้าที่เป็นเหน็บจะหายเป็นปลิดทิ้งเลยทีเดียว
สมุนไพรแก้เหน็บชา...

สูตรยาขนานที่ ๑
ท่านให้เอาหัวไพล ๑ หัว การบูร ๑ บาท ยาดำ ๑ บาท
เกลือทะเล (เกลือใส่แกง) ๑ บาท หัวกระชาย ๑ บาท
ตัวยาข้างต้นนี้ให้เอาทั้ง ๕ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๑ บาท เท่ากัน แล้วนำมาตำให้ละเอียด ปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้รับประทานวันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคเหน็บชา โรคกระษัยได้ผลดีอย่างชะงัด

สูตรยาขนานที่ ๒
ท่านให้เอาใบส้มป่อย ๑ หนัก ๓ บาท ดินประสิว ๑ หนัก ๓ บาท
ยาดำ ๑ หนัก ๓ บาท ดีเกลือ ๑ หนัก ๓ บาท ใบมะกา ๑ หนัก ๓ บาท ใบมะขาม ๑ หนัก ๓ บาท กำมะถัน ๑ หนัก ๓ บาท
สารส้ม ๑ หนัก ๓ บาท การบูร ๑ หนัก ๓ บาท ข่าตาแดง ๑ หนัก ๓ บาท ให้นำตัวยาทั้ง ๑๐ อย่างนี้เอาอย่างละ ๓ บาทเท่ากัน แล้วเอาผลมะกรูด ๓๓ ลูก (ผ่าออกเป็น ๔ ส่วน เอา ๓ ส่วน) เอาตัวยาทั้งหมดนำมาใส่หม้อดินต้มกับน้ำพอสมควร วิธีใช้ ให้ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหาร วันละ ๓ เวลา จะมีสรรพคุณแก้โรคเหน็บชา ได้เป็นอย่างดี

สูตรยาขนานที่ ๓
ท่านให้เอาดีปลี ๑ หนัก ๓ บาท ดินประสิว ๑ หนัก ๓ บาท
ยาดำ ๑ หนัก ๓ บาท รากตองแตก ๑ หนัก ๓ บาท
ใบส้มป่อย ๑ หนัก ๓ บาท กำมะถัน ๑ หนัก ๓ บาท
หัวกระชาย ๑ หนัก ๓ บาท
ท่านให้เอาตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้ เอาหนักอย่างละ ๓ บาทเท่ากัน ผลมะกรูด ๓๓ ลูก (ผ่า ๔ ส่วน แต่เอามาใช้ ๓ ส่วน) เอาทั้งหมดใส่ลงไปในหม้อดินต้มน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนนอน วันละ ๓ เวลา มีสรรพคุณแก้โรคเหน็บชา ได้ผลดีอย่างชะงัดนักแลฯ

สูตรยาขนานที่ ๔
ท่านให้เอารากไม้ไผ่ป่า ๑ หนัก ๑ บาท เหง้าตะไคร้ ๑ หนัก ๑ บาท หัวกระชาย ๑ หนัก ๑ บาท พริกไทยร่อน ๑ หนัก ๑ บาท
นำตัวยาทั้ง ๔ อย่าง เอาหนักอย่างละ ๑ บาทเท่ากัน เอาน้ำมาใส่ลงต้มในหม้อดิน ต้มกับน้ำพอสมควร ใช้น้ำยารับประทานครั้งละ ๑ ถ้วยชา เวลาก่อนอาหารเช้า-กลางวัน-เย็น วันละ ๓ เวลา สรรพคุณยาใช้แก้โรคเหน้บชา ได้ดี

สูตรยาขนานที่ ๕
ท่านให้เอาขาหมู (ตอนข้อเท้า) กับกิ่งมะขามหวาน (ตัดออกเป็นท่อนเล็กๆ) ท่านว่าตัวยาทั้ง ๒ อย่างนี้เอาอย่างละพอสมควร นำไปใส่ในน้ำ ๓ ส่วน ต้มเคี่ยวจนเหลือน้ำ ๑ ส่วน นำยาที่ได้ให้ผู้ป่วยรับประทานทั้งเนื้อหมูและน้ำยา วันละ ๓ ครั้ง ตัดต่อกันประมาณ ๑๕ วัน โรคเหน็บชาจะค่อย ๆ ดีขึ้น

สูตรยาขนานที่ ๖
ท่านให้เอาปลีหนัก ๖ บาท ยาดำหนัก ๒ บาท
พริกไทยร่อนหนัก ๒ บาท กานพลูหนัก ๕ ตำลึง
มหาหิงคุ์ หนัก ๒ บาท กระวานหนัก ๕ ตำลึง
ขิงหนัก ๒ บาท ใช้ตัวยาทั้ง ๗ อย่างนี้ เอามาตากแดดไว้ให้แห้ง แล้วจึงค่อยนำมาตำเป็นให้เป็นผง ผสมกับน้ำผึ้งแท้หรือจะใช้ผสมกับน้ำขิงก็ได้ ปั้นเป็นลูกกลอนขนาดเท่าเมล็ดพุทรา ใช้รับประทาน สรรพคุณใช้แก้โรคเหน็บชา แก้ปวดท้อง ท้องขึ้น เป็นลมหน้ามือวิงเวียน แก้โรคลมทุกจำพวก กินอาหารไม่ได้ เบื่ออาหาร ใช้ได้ทั้งหญิงและชาย (คำเตือน หญิงมีครรภ์ห้ามรับประทาน)

ที่มา http://healthcaretips.psyphil.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #447 เมื่อ: เมษายน 16, 2014, 09:43:03 PM »




ทำไมการแกว่งแขน กับการว่ายน้ำ จึงป้องกันโรคร้ายได้มากมาย
คำว่าระบบน้ำเหลืองนั้นหมายรวมถึง ม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัส ต่อมน้ำเหลืองต่างๆ น้ำเหลือง ท่อน้ำเหลือง นับเป็นระบบที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเพื่อทำความสะอาด ชำระล้างของร่างกาย อันจำเป็นต่อ การรักษาสุขภาพให้แข็งแรง เยียวยาความเจ็บป่วย
ระบบน้ำเหลืองมีหน้าที่ขนถ่ายของเสีย พิษที่สะสมในร่างกาย เศษของเซลล์ที่ตายแล้ว ออกไปกำจัดยังอวัยวะที่รับผิดชอบและขับออกไปจากร่างกาย นอกจากนี้ยังมีหน้าที่สร้างเม็ดเลือดขาว แอนตี้บอดี้ ของระบบภูมคุ้มกัน ตลอดระยะทางของท่อน้ำเหลืองจะมีต่อมน้ำเหลืองอยู่เป็นระยะๆเพื่อช่วยกรองสารเเปลกปลอม เชื้อโรคที่มีอันตราย

ตับเป็นอวัยวะที่ทำงานควบคู่ไปกับระบบน้ำเหลือง ตับมีหน้าที่สร้างน้ำเหลืองเป็นส่วนมาก และตับก็อาศัยน้ำเหลืองนี่เองขนส่งสารอาหารที่ย่อยแล้วจากตับและลำไส้เล็กไปส่งต่อให้กับเซลล์และอวัยวะต่างๆ ม้ามเป็นอวัยวะขนาดใหญ่ที่สุดของระบบน้ำเหลือง มีหน้าที่กรองและกำจัดเซลล์เม็ดเลือดแดงที่หมดอายุ และเป็นอวัยวะที่มีบทบาทสำคัญของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ผู้ที่ผ่าตัดเอาม้าม ต่อมทอนซิล ต่อมไธมัสออกไป จะติดเชื้อได้ง่ายขาดภูมิต้านทาน หากการไหลเวียนของน้ำเหลืองติดขัด จะทำให้ต่อมน้ำเหลืองบวม อักเสบ บริเวณที่น้ำเหลืองไหลเวียนและสังเกตได้ชัดเจนได้แก่ ลำคอ หลังใบหู ท้ายทอย หน้าอก รักแร้ใต้หัวไหล่ ท้องแขน หน้าท้องกึ่งกลางระหว่างหน้าอกกับสะดือ บริเวณขาหนีบ เนื่องจากน้ำเหลืองไม่มีปั๊มเหมือนระบบเลือดที่มีหัวใจเป็นปั๊ม ดังนั้นการกระตุ้นให้น้ำเหลืองไหลเวียนดีขึ้นจึงต้องพึ่งพิงการออกกำลังกาย และการหายใจให้ลึกๆ เป็นหลัก เพื่อเขย่ากระตุ้นการไหลเวียนน้ำเหลืองด้วยการขยับกล้ามเนื้อ และกระบังลม

ผู้มีอาการ ผิวซีด ซูบซีด หลงๆลืมๆ ติดเชื้อบ่อยๆ เป็นหวัดเจ็บคอเสมอๆ เริ่มมีเซลลูไลท์เพิ่มมากขึ้น ให้สงสัยระบบน้ำเหลืองติดขัด ไหลเวียนไม่ดี ทั้งนี้็็ก็เข้าใจได้ไม่ยากนักเพราะของเสีย ขยะมีพิษตกค้างสะสมนั่นเอง อย่าละเลยอาการน้ำเหลืองติดขัด โดยไม่ได้รักษาเพราะ นานวันเข้าพิษร้ายอาจทำให้ล้มหมอนนอนเสื่อด้วยโรคมะเร็งในต่อมน้ำเหลือง
ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุขได้ออกมารณรงค์ให้ออกกำลังกายด้วยการแกว่งแขนโดยอ้างว่าลดพุงได้อีกด้วย หลายคนแปลกใจว่าเกี่ยวกันตรงไหน? ทั้งที่การแกว่งแขน (แบบตำราแพทย์แผนจีนที่ใช้กันมานับพันปี) บางคนถึงกับหัวเราะเยาะว่าเว่อร์เกิ้น
ใต้หัวไหล่ที่เรียกว่ารักแร้นั้นคือชุมทางของต่อมน้ำเหลืองเบ้อเริ่ม บริเวณขาหนีบนั่นก็ชุมทางของต่อมน้ำเหลืองขนาดใหญ่ การขยับหัวไหล่และรักแร้ของการแกว่งแขนก็ดี การว่ายน้ำที่ขยับทั้งหัวไหล่และขาหนีบก็ดี ล้วนแล้วแต่เป็นการออกกำลังให้ต่อมน้ำเหลืองขยับเพิ่มการไหลเวียนน้ำเหลืองจึงไม่ใช่ของเล่นๆธรรมดาๆ
******* *******

 เรียบเรียงจาก บทความที่เเปลเรียบเรียงโดย Wellness 2012 เขียนโดย Dr. Kimberly Kaye Castaneda
ภาพ: ขอบคุณภาพ จาก women.thaiza.com
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 06, 2014, 10:35:12 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!