Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 37 38 [39] 40 41 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71630 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #570 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 19, 2020, 10:42:52 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=3tTamNKo2KA&feature=youtu.be
6 ท่า สร้าง และกระชับ หน้าอก ง่ายๆที่บ้าน || ทำได้ทุกเพศ || ไม่ใช้อุปกรณ์ / Dewwarit
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #571 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 21, 2020, 08:50:21 PM »

นี่คือเหตุผลที่ไม่แนะนำให้ไปจีน ญี่ปุ่นหรือสิงคโปร์ในตอนนี้

เครดิตจาก ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง


ทีนี้มาเรื่อง  Covid 19
จากหมอคนหนึ่ง
เหตุผลที่ไม่ควรเดินทางไป ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ มาเก๊า ฮ่องกง เกาหลีใต้ 
จากการดูประชุมเมื่อวาน
ยังไงประเทศไทยก็จะเข้าสู่การระบาดแน่ๆครับ

แต่ของไทย ยังอยู่ที่เฟส 2 อยู่
คำว่า เฟส 2 คืออะไร หมายความว่า มีการระบาด จากแหล่งต้นทาง คือมีการติดเชื้อ เฉพาะผู้ที่มีความเกี่ยวข้องกับจีน เช่น กลับมาจากจีน หรือแท็กซี่ที่ติดจากการรับส่งคนจีน
.
ส่วน ญี่ปุ่น สิงค์โปร์ มาเก๊า ฮ่องกง และล่าสุด เกาหลีใต้ เป็นเฟส 3 แล้ว

เฟส 3 คือ มีการระบาดกัน ในคนที่ไม่มีความเกี่ยวข้องกับต้นตอ เช่น คุณหมอที่ วากายาะ
เมียคุณหมอ ลูกคุณหมอ แม่ยาย คนขับแท็กซี่ที่โตเกียว และล่าสุด การระบาดที่แทกู เกาหลีใต้
.
# ประเทศไทย ต้องการที่จะเข้าสู่เฟส 3 ให้ช้าที่สุด

เนื่องจาก บุคลากรทางการแพทย์ อุปกรณ์เครื่องมือเราน้อย ถ้าเฟส 3 มาไว เราตั้งรับไม่ทัน ดูแลผู้ป่วยไม่ทัน จะตายกันเยอะเหมือนที่จีน ถ้ามาช้าๆ เราดูแลทัน
อัตรการตาย จะน้อย ถ้าเป็นไปได้ ก็ไม่อยากให้ตายเลย
.
ทีนี้ หากเราเดินทางไปยังประเทศที่อยู่ในเฟส 3
ดังกล่าว บุคลากรที่ต้องมาคัดกรอง น้อย เป็นการเพิ่มงานให้เค้าเปล่าๆ
การคัดกรอง ไม่จบแค่สนามบินนะครับ เค้าต้องส่งคนมาติดตามอีก 14 วัน
.
สมมติ
ผมเดินทางกลับมาจากญี่ปุ่น แล้วมีอาการไข้ แน่นอน ผมต้องโดนกักที่ โรงพยาบาล ดูอาการ 14 วัน
แต่ถ้าผมไม่มีอาการอะไรเลยหล่ะ ทำยังไง
ผมต้องนั่งให้สัมภาษณ์ว่า ไปไหนมาบ้าง ทำอะไรมาบ้าง จากนั้น ผมก็กลับบ้าน โดยต้องแยกตัว ไม่สุงสิง ไม่ไปทำงาน ไม่ยุ่งกับใคร เป็นเวลา 14 วัน โดยระหว่างนี้ เค้าก็จะส่งคนมาตรวจดูว่า เรากักตัวเองไหม.
ที่ทำแบบนี้ เพราะ มีคนที่ติด แต่ไม่แสดงอาการไงครับ มันสามารถแพร่เชื้อได้
สมมติ ผมไม่ทำตามที่เค้าบอก ยังไปทำงาน ยังไปดูหนัง แต่ตัวเองติดเชื้อ แล้วไม่มีอาการจะเกิดอะไรขึ้น
คนอื่นจะติดไปด้วยครับ
และตอนนั้นแหละ
บรรลัย แน่นอน
เฟส 3 มา แน่นอนครับ
.
ที่กังวลอีกอย่างนึง นักเดินทาง ส่วนใหญ่ อายุประมาณ 25-50 ปี ไงครับ
ร่างกายค่อนข้างแข็งแรง ถึงติดมา ก็ไม่แสดงอาการอะไร
แต่ถ้ากลับบ้าน อย่าลืมว่ามี พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย รออยู่นะครับ
เราเป็นพาหะ แล้วติดคนเหล่านั้น คุณจะเสียใจไปตลอดชีวิตนะครับ
.
สรุป
1.ถ้าคุณเป็นพาหะ กลับมาติดคนแก่ที่บ้าน อายุ 50 ปีขึ้นไป หรือคนที่มีโรค ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ โรคมะเร็ง
คนเหล่านี้ อัตราการตายสูงมาก และอาจจะเป็นการเร่งให้ไทยเข้าสู่เฟส 3 เร็วขึ้น
2.# เราอยากให้ไทย เข้าสู่เฟส 3 ให้ช้าที่สุด เนื่องจาก ปัจจุบัน รพ.ธรรมดาก็คนล้น นอนกันริมระเบียง นอนกันบนทางเดินอยู่แล้ว ถ้ามันเฟส 3 ขึ้นมา ผมบอกเลย ตายกันเยอะแน่นอน เพราะ บุคลากร ดูแลไม่พอครับ
3. เห็นใจ คนปฏิบัติงานด้วย เพราะคนมีน้อย ต้องทำงาน 24 ชั่วโมง แถมต้องเสี่ยงกับไวรัสนี้อีก  เค้าก็มีครอบครัวต้องดูแล เหมือนกัน
.
แต่ถ้าคุณ ตัวคนเดียว อยู่คนเดียว และลางานต่อได้อีก 14 วัน หลังจากคุณกลับมาจากเที่ยว และคุณพร้อมที่จะกักตัวเองอยู่ในบ้าน ไม่ไปไหน
ก็ไปเที่ยวได้ครับ

ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #572 เมื่อ: มีนาคม 15, 2020, 07:32:46 PM »

ข้อความดีๆจากคุณป๋าภักดีค่ะ
โคโรน่า ไวรัส ก่อนที่มันจะไปที่ปอด มันจะอยู่ที่คอสี่วัน ซึ่งเวลานี้แหละ ที่จะเกิดไอและเจ็บคอ ให้ดื่มน้ำมากๆ กลั้วคอด้วยยา หรือน้ำอุ่นผสมเกลือ หรือผสมน้ำส้มสายชู เพื่อฆ่าไวรัส บอกกันต่อๆไป จะสามารถช่วยกันได้มาก
อาการของ COVID-19 จากวันต่อวัน

วันที่ 1-3
1. มีอาการคล้ายหวัด
2. ปวดคอเล็กน้อย
3. ไม่มีไข้ไม่เหนื่อย กินอาหารได้ปกติ

วันที่ 4
1. เจ็บคอเล็กน้อย เวียนหัว
2. เริ่มเจ็บคอเวลาใช้เสียง
3. อุณหภูมิร่างกายประมาณ 36.5 °
4. เริ่มรู้สึกไม่ค่อยอยากกินอาหาร
5. ปวดหัวเล็กน้อย
6. ท้องเสียอ่อนๆ

วันที่ 5
1. ปวดคอและเจ็บเวลาใช้เสียง
2. อาการทางร่างกายยังไม่รุนแรง อุณหภูมิร่างกาย  36.5 ° -36.7 °
3. ร่างกายอ่อนเพลียและรู้สึกปวดข้อ

วันที่ 6
1. เริ่มมีไข้เล็กน้อย อุณหภูมิ 37 °
2. เริ่มไอแห้ง
3. ปวดคอเจ็บคอขณะกินและกลืนอาหาร ขณะพูดคุย

วันที่ 7
1. มีไข้สูงขึ้นจาก 37.4 ° -37.8 °
2. ไอต่อเนื่อง มีเสมหะ
3. ปวดเนื้อปวดตัวร่วมกับปวดหัว
4. ท้องร่วงหนักขึ้น
5. อาเจียนกรัดขึ้น

วันที่ 8
 1. ไข้ประมาณ 38 °หรือสูงกว่า 38 °
2. หายใจลำบากและรู้สึกหนักๆหน้าอก
3.ยังไออย่างต่อเนื่อง
4. ปวดหัว ปวดข้อและปวดก้น

วันที่ 9
1. อาการทั่วไปหนักขึ้น
2. ไข้ยังสูง
3. หายใจติดขัด หายใจลำบาก

ในขั้นตอนนี้จำเป็นต้องตรวจเลือดและเอ็กซ์เรย์ทรวงอกทันที


ขอขอบคุณมากๆค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 15, 2020, 07:36:51 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #573 เมื่อ: มีนาคม 15, 2020, 09:21:52 PM »

สังคมไทยควรเรียนรู้ กรณีเคสศึกษารายที่ 82…
ดารานักแสดง เจ้าของค่ายมวย

เราผ่านการระบาดมาเดือนที่ 3 แล้วจะ 90 วันแล้ว

เพื่อสร้างความถูกต้องในสังคมไทย กับโรคโควิด

มีหลายประเด็น!!…ที่ต้องเข้าใจ

1) ระบบสาธารณสุขไทย ไม่มีปิดข้อมูล
แต่ต้องรอ…ยืนยันผลถึงจะรายงาน

_ กรณีรายที่ 82 ตรวจแล้วบวก แล้วโพสโซเชียล
_โดยหลักการต้องตรวจซ้ำครั้งที่ 2 เนื่องจากอาจมีผลบวกลวง
กรมควบคุมโรคไม่ได้นิ่งนอนใจ รีบตามมาแอดมิด รพ.ราชวิถี
_ส่วนเคสอื่นๆก็ยังมี ทั้งประเทศ ที่เป็นข่าวลือ เขาเล่าว่า ในไลน์ในเฟส
แต่กระทรวงสาธารณสุขยังไม่รายงาน แต่ไปโผล่ในเฟส ในไลน์
ต้องใจร่มๆ อาจเป็นแค่เคสเข้าข่าย รอผลตรวจ
ทีผ่านมา กาลเวลาพิสูจน์ให้เห็นว่า ข่าวมโน มากกว่าข่าวจริง

ผ่านมาเข้าเดือนที่ 3 ก็พิสูจน์แล้วว่ามีเคส 82 ราย ไม่ได้ปิดข้อมูล
แต่รอผล

ความลับไม่มีในโลก กระทรวงสาธารณสุขจะปิดเพื่อ??
คงมีกลุ่มคนป่วย และเสียชีวิต ไม่หลุดรอดนักเลงคีบอร์ดได้หรอก

2)ตรวจน้อย เจอน้อย???
ไม่จริง จากข้อมูลคัดกรองสนามบินไปเกือบ 30,000 เที่ยวบิน ประชาชน 3.7 ล้านมีผู้ป่วยเข้าเกณฑ์เกือบ 247 ราย ให้ผลบวกพบเชื้อ 4 ราย
_เดินเข้ามารักษาเอกที่เอกชนเกือบ 5000 ราย ให้ผลบวก เกือบ 45 ราย
และตามคนสัมผัสใกล้ชิดกับเคสบวก 1 ราย ตามมา 40-200 ราย
มาตรวจได้พบเชื้อเกือบ 33 ราย

_ยอดรวม 82 ราย

3)คนสัมผัส เอามาตรวจ???
_เอามาแน่นอน สังเกต

3.1) รายงานตั้งแต่ ปู่ย่ากลับจากฮอกไกโด ตามพ่อแม่ ลูก 2 คน มาตรวจ จนพบว่า หลานติด
3.2)เคสบริษัท Gult ไปอิตาลี 6 คน ติด 3
3.3)แก็งค์ปาร์ตี้ 15 คน ตามมาตรวจทุกคน ล่าสุดรายที่ 76 เป็นแม่ของคนที่ติด
3.4)ยายที่ไปญี่ปุ่น เอามาติด อีก 3 คน ลูกสาว เขย และหลาน
3.5)กรณีรายที่ 82 ดารา. ในขณะนี้ ตามผู้สัมผัสมาตรวจจำนวนมาก

 4) ทำไมไม่ตรวจคัดกรองไปซะทุกคน
เหตุผล
4.1 )ถ้าไม่มีอาการ ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ หอบเหนื่อย จะตรวจไม่พบ เพราะเราตรวจหาเชื้อ สารพันธุกรรม (PCR) ป้ายบริเวณหลังโพรงจมูก คอหอย เจ็บตัว แถม สิ้นเปลืองทรัพยากร
4.2)การตรวจไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ใช่แค่ป้ายๆหรือ เจาะเลือดแล้วจบ
ต้อง_ คนทำต้องมีประสบการณ์ ฝึกการใส่ชุดหมี ป้องกันการติดเชื้อ
_ ใช้อุปกรณ์จำนวนมาก ชุดหมี หน้ากาก N95 ถุงมือ หน้ากากพลาสติกทับ หมวก ถ้าทำทุกคนคงไม่หลุด
ทำเสร็จต้องส่งห้องแลปตรวจด้วยวิธีพิเศษใช้เวลานาน อย่างน้อย 4-8 ชม.

ปัจจุบันกำลังผลิตชุดตรวจง่ายๆรู้ผลไว เหมือนที่ตรวจฉี่ดูการตั้งครรภ์ ใช้เวลาอีกสักระยะ

5)ก็อยากรู้ อยากตรวจ มีเงิน พร้อมจ่าย
_ถ้าทุกคนคิดแบบนี้ ประเทศชาติคงล่มจม เพราะเสียทั้งทรัพยากรคน ที่ต้องตรวจ และอุปกรณ์ ถ้าไม่เข้าเกณฑ์การตรวจ แพทย์ไม่ตรวจให้ ถ้ายังดื้อดึง ก็จำยอมเสียเงินแพง ห้ามมาบ่น แต่รู้ไว้คุณคือ ภาระชาติ

6) เป็นแล้ว ตาย ปอดถูกทำลาย น่ากลัว มีคนตายนิ หมอรับประกัน??
ข้อมูล ถึงติด เก็บข้อมูลจากจีน 95%ไม่รุนแรง ส่วนน้อยรุนแรงคือ 5% กลุ่มเสี่ยงคือ อายุมาก >80 ปี มีโรคประจำตัวเช่น หัวใจ ความดันโลหิตสูง

นี่ยังคิด 82 คน ที่เป็น ส่วนใหญ่ อาการหายเป็นปกติเป็นช่วงที่ประชาชนยังเป็นไม่มาก ทีมแพทย์ พยาบาล ดูแลเต็มที่

ลองถ้าไปป่วยในประเทศที่คนป่วยระดับหลักหมื่น อิหร่าน อิตาลี เกาหลีใต้ คงไม่มีเวลามาดราม่า ทีมหมอ พยาบาลอาจดูแลไม่ทั่วถึง อาจอาการหนักหรือแย่ได้

ขณะนี้ยังแค่ 82 ราย ยังไม่ถึง100

ต้องเรียนรู้

เจ้าหน้าที่ทำงานหนักมาก
ทั้งกายและใจ ที่ถูกบั่นทอนทุกวัน

พวกเราจะไม่ติดและไม่แพร่เชื้อ
สิ่งเดียวเลยคือ คำว่า

“รับผิดชอบสังคม”…

คือ

งดทริป
กลับมาก็กักตัว 14 วัน
 กินร้อน
ช้อนกู แก้วกู
สวมหน้ากากอนามัย
ล้างมือ
มีโรคประจำตัวอย่าขาดยา
ป่วย+เข้าเกณฑ์ ต้องมาพบแพทย์ และเล่าความจริง อย่าโกหก

โควิดไม่น่ากลัวเท่ากับโคมนุษย์

ให้กำลังเจ้าหน้าที่ + เชื่อใจและไว้ใจ
พวกเราทำงานมดงานเบื้องหลังหนักมากๆ
และพวกเค้าเสี่ยงติดเชื้อจากผู้ป่วยมากกว่าพวกคุณหลายเท่า

Cr infectious ง่ายนิดเดียว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #574 เมื่อ: มีนาคม 15, 2020, 09:25:13 PM »

*****คุณหมอจากสถาบันบำราศฯ  มาอธิบายเอง ไขข้อข้องใจได้ชัดเจน มากๆ
       มีรายละเอียดเรื่องวัคซีน จากทางคุณหมอแจ้งให้ทราบว่า ยารักษากำลังจะมี จากทางญี่ปุ่น และทาง ญี่ปุ่นก้อส่งมาให้ทางเราใช้ในการรักษาอยู่ที่ สถาบันบำราศ

       เชื้อไวรัส covid-19 แพ้อะไร
คุณหมอชี้แจงว่า   ตัวของไวรัสเองถูกอุ้มด้วยไขมันเยอะ   จึงทำให้ตายด้วยสิ่งที่ละลายไขมัน เช่น ความร้อน, น้ำยาล้างจาน, สบู่ (สารดีเทอเจนทั้งหลายที่ล้างคราบไขมัน)
       อีกส่วนที่ทางคุณหมอ บอกว่าทางประเทศหนาว ต่างๆ มีการติดเชื้อเร็ว เพราะพฤติกรรม เช่น ไม่ค่อยอาบน้ำ หรือ ใส่เสื้อผ้าซ้ำๆ (ผงซักฟอกก้อฆ่าเชื้อได้ครับ)

       ส่วนเชื้อไวรัสโคโรน่านั้น คุณหมออธิบายว่า มี เกิดเชื้อนี้มาก่อนแล้วทั้งหมด 6 ชนิด

    ชนิดที่ 1-4 คือ หวัดธรรมดา

    ชนิดที่ 5 คือ SARS ซาร์

    ชนิดที่ 6 คือ Mers เมอร์ส

    ชนิดที่ 7 คือ covid -19

และอัตราการตายแต่ละชนิด

     1. Mers อัตราเสียชีวิต 30 %
     2. SARS  อัตราเสียชีวิต 10 %
     3. Covid-19 อัตราเสียชีวิต 3 %

เมื่อพบติดเชื้อนะ ส่วนการติดเร็วเนื่องจากการออกอาการช้าครับ

       ส่วนจะเกิด super spreader ไหม

ทางคุณหมอ บอกทางเมืองไทย ยกตัวอย่าง ครอบครัวปู่ย่า มีทั้งหมด 4 คนแต่ติด 1 คน คือหลาน และทางสถาบันฯตรวจซ้ำ 4 วัน 7 วัน ก้อยัง negative ตลอด จนทางคุณหมอ มาวิเคราะห์ว่า การไม่เกิด spreader อาจจะเพราะ ส่วนหนึ่ง สิ่งแวดล้อมเราเอง กับพันธุกรรมด้วย ที่ถือเป็นโชคดี ของคนไทย

        ส่วนการประกาศ เฟส 3 แพร่จากไม่รู้ต้นตอสู่คนทั่วไป   ทางคุณหมอแจ้งว่า ถ้าเกิดขึ้นก้อจะ ตีกรอบเป็น โซนๆไป เหมือนอู่ฮั่น และทางประเทศไทย จะมีเฟส 3 เฝ้าระวังในเขตหรือจังหวัดที่มีนักท่องเที่ยวมาก เป็นลำดับแรก

       ในส่วนการแพร่กระจาย คุณหมอให้รายละเอียด ว่า

ชนิดที่ 5 -SARS เริ่มการแพร่ ตอนไอ แล้วมีไข้ กระจายจากการไอ ทางอากาศเป็นหลัก
ชนิดที่ 6 - Mers เมอร์ส เริ่มการแพร่ ตอนไอ แล้วมีไข้ การกระจายจากการไอ ทางอากาศ
ชนิดที่ 7- Covid-19 เริ่มจากมีไข้แล้วถึงไอ การกระจายทางละอองฝอยในระยะ 1-2 เมตร

        เรื่องที่คุณหมอเน้นมากๆ คือ การล้างมือ ต้องถี่มากๆครับ เพราะ มีที่ติดจากมือจับผ้าปิดปากซึ่งอยู่ใกล้ตา ที่เป็นจุดเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายที่สุดครับ
คุณหมอบอก ล้างมือให้บ่อยๆ สำคัญกว่า การใช้ mask อีกครับ

   1.ถ้าใช้แอลกอฮอล์ฉีดล้างมือได้จะดีกว่า .. ฉีดแล้ว อย่าเอากระดาษเช็ด .. ให้มันแห้งเอง

   2.แนะนำ เวลาจะล้างมือ ( ถ้าทำได้ ) ให้ล้างมือด้วย”ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน”ก่อน อย่างน้อย 20 วินาทีเพราะ ไวรัสตัวนี้ มีเปลือกเป็นไขมัน .... จะทำลายเปลือกไวรัส และ ล้างน้ำสะอาดนานๆหน่อย เพื่อชะล้างไวรัส

  3. หลังจากข้อ1,2 แล้ว ค่อยล้างมือด้วยสบู่โฟม เผื่อป้องกันมือแห้ง

### ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน จะช่วยฆ่าเชื้อไวรัสได้ เพราะ จะไปทำลายเปลือกหุ้มไขมันของเชื้อไวรัสนี้ ....
*****ช่วยกันแชร์ เผยแพร่ด้วย .. ขอบคุณครับ
Credit : Facebook Yong Poovorawan
ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ
หัวหน้าศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ด้านไวรัสวิทยา
คณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ


Thank you very much
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #575 เมื่อ: มีนาคม 21, 2020, 09:32:58 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=ytpAQ3Mc4no

630224 จะมีวิธีการใดที่จะป้องกันตัวจากเชื้อโควิด ๑๙ ได้อย่างไร
หมอเขียว แพทย์วิถีธรรม
จัดทำโดย
มูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย
ศูนย์เรียนรู้สุขภาพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
สวนป่านาบุญ ๑
ดอนตาล จังหวัดมุกดาหาร


มาเป็นหมอดูแลตัวเองกันเถอะ

https://www.youtube.com/watch?v=KPqs-ByjOWc

ขอบคุณค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มีนาคม 21, 2020, 09:35:58 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #576 เมื่อ: มีนาคม 21, 2020, 09:49:17 PM »

เพิ่งได้รับ:
ส่งต่อประกาศของประธานสภากาชาดเมืองฉางโจว ทุกท่านโปรดจำไว้ว่า:
   น้ำตาลแดง, ขิงสด , ต้นกระเทียมใหญ่ตัดเอาเฉพาะส่วนสีขาว หัวกระเทียม (ใส่มากหน่อย), ต้มน้ำดื่มทุกวัน ก่อนที่โรคระบาดจะหมดไป การติดเชื้อไวรัสแทบจะเป็นศูนย์!
แบ่งปันและส่งต่อด้วยกัน!
นี่คือประสบการณ์ของนายแพทย์จีนหนานหยางตามการบันทึกเสียงดังต่อไปนี้:
ตอนนี้เรากล่าวถึงอู่ฮั่นก็จะหนักใจมาก แต่จากประสบการณ์ส่วนตัวของผม จะทำให้คุณมีความสบายใจ
วันที่ 22 เดือน 12 ผมกลับจากอู่ฮั่นไปที่หนานหยาง ในวันถัดไป, เกิดมีอาการไข้ขึ้น, ผมใช้ยาแผนปัจจุบันและยาต้านไวรัส, เห็นผลไม่ชัดเจน, สามารถควบคุม, แต่ไม่สามารถรักษา. ในคืนที่แปด, ไข้ขึ้นสูงพร้อมกับไอ, เสมหะมีเลือดปน ผมรู้ว่าเวลานี้อาการร้ายแรงมากแล้ว ด้วยความร้อนใจ ผมจำได้ว่าครูของผมเคยบอกสูตรยาไว้ให้ โดยใช้กระเทียม 8 หัว ตีให้แตก เติมน้ำ 7 แก้วแล้วต้ม หลังจากการต้มเดือดแล้วสองนาที ผมดื่มน้ำกระเทียมสองถ้วยพร้อมกับกาก จากนั้นก็เข้านอน เช้าวันถัดไปผมตื่นขึ้นมาโดยไม่มีไข้, ไอได้บรรเทา, เสมหะก็กลายเป็นสีขาวปกติ. ตอนนี้, ผมดื่มน้ำกระเทียมวันละสองครั้ง ดื่มทั้งครอบครัว, หลังจากอาการปกติแล้ว ผมดื่มวันละเพียงครั้งเดียว มันอัศจรรย์มาก ตอนนี้เพื่อนบ้านของผมก็พากันดื่มน้ำกระเทียมกัน ผมได้แนะนำสูตรยานี้ให้เพื่อนอู่ฮั่นพวกเขายังแนะนำให้เพื่อนในซินเจียง, ผลตอบรับทั่วไปดีมาก.
 
เพิ่มเติม:
ทำไมยาของผมใช้ต้มด้วยกระเทียม ขิง และหอม, ด้วยเหตุผลที่ปรากฏชัดเจน, เวลาฉุกเฉินอมกลืนแผ่นกระเทียมไว้, ได้ผลรวดเร็วกว่ายากระตุ้นหัวใจ, ชาวบ้านทั่วไปมีวิธีในการรักษาตนเอง. ยาจีนสมุนไพรอยู่คู่ชาวบ้านมายาวนาน ตาชั่งเล็กๆไม่แพ้ตาชั่งใหญ่ ยาสมุนไพรธรรมดานี่แหละรักษาโรคร้าย. ฟ้าคุ้มครองชาวจีนเพราะเรามีแพทย์แผนจีน ร่วมฟันฝ่าต่อสู้ไวรัสไปด้วยกันในยามยาก.                 

ยินดีแบ่งปัน!


Thank you very much
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #577 เมื่อ: เมษายน 02, 2020, 08:39:57 PM »

นำมาจาก
https://th-th.facebook.com/pg/mothersspiritualmuseum/posts/

หมอเขียว แฟนคลับ อยู่ที่ ภูผาฟ้าน้ำ
28 มีนาคม เวลา 23:44 น. ·
#ตอนที่ ๕
#COVID-19 เป็นโรคร้อนเกิน อาการภาวะร้อนเกิน เช่น ไอ มีเสมหะ ไข้ขึ้นสูง เป็นต้น วัดอุณหภูมิได้เลยว่าร้อนหรือเปล่า วัดแบบปรอทหรือแบบยิงเลเซอร์ ถ้าร่างกายร้อน 37.5 c ชัดเจนว่า COVID-19 เป็นร้อนเกิน

HIV(เอดส์) เวลาเชื้อลงก็เป็นร้อนเกิน หนองเต็มตัว (ฟังต่อ)

#ช่วงที่ ๑
https://youtu.be/pgT8BAAVthI

#ช่วงที่ ๒
https://youtu.be/dxIzVzkLpE0
#ควรปรับสมดุลร้อนเย็นให้เป็น เช่น การลดทานเนื้อสัตว์ที่มีกรด ใช้ถั่วแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เช่น ถั่วหลากหลายชนิด ควรทานอาหารที่มีฤทธิ์เย็นให้มาก
ลด.. #โปรตีน #ไขมัน #พืชผัก #ผลไม้ = #ฤทธิ์ร้อน
เพิ่ม..#โปรตีน #ไขมัน #พืชผัก #ผลไม้ = #ฤทธิ์เย็น
✔️
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #578 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2020, 11:05:21 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=7p5ujHMPpK8&feature=youtu.be

ทำ 3 ท่านี้ จะช่วยท่านโบกมือลาเลิกกินยาเลย
โบกมือลาหลายโรค ทั้ง
-เบาหวาน
-ความดัน
-ระบบทางเดินอาหาร
-ระบบขับถ่าย
-โรคปวดหลัง
-ปวดเข่า
-ต่อมลูกหมาก
-กรดไหลย้อน

ทั้งหมดนี้เป็นผลงาน วิจัยของอาจารย์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ง่ายๆ แต่ได้สุขภาพดี


https://youtu.be/7p5ujHMPpK8

GoodMorningFamilyNews - สมาธิบำบัด [28-10-57]
•27 ต.ค. 2014
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #579 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2020, 06:17:16 PM »

นพ.นิธิ มหานนท์

ความจริงที่ไม่เหมือนเดิม

วันก่อนคุยกับลูกชายเรื่องโควิด 19 เขามีเพื่อนที่ทำธุรกิจถามมาว่าเมื่อไหร่ถึงจะกลับไปทำธุรกิจได้เหมือนก่อนที่จะมีโรคระบาดนี้มา ผมค่อยๆอธิบายไป พอจบลูกชาย บอกว่าให้รีบเขียนและโพสต์ทันทีเพราะทุกคนควรเข้าใจด้วย ก่อนหน้านี้ คิดจะเขียนเรื่องนี้มาสักสองสามอาทิตย์แล้ว แต่กลัวคนตื่นเต้นกันเกินเหตุเลยไม่ได้เล่าสู่กันฟังตั้งแต่ตอนนั้น

ไวรัสชนิดนี้เป็น RNA virus ครับ เป็นกลุ่มที่หวังพึ่งวัคซีนไม่ได้มาก ที่เป็นข่าวกันให้ตื่นเต้นติดตามกันใกล้ชิด ส่วนหนึ่งมาจากบริษัทยา ส่วนหนึ่งเป็นเรื่องการเมือง โหมข่าวเรื่องวัคซีนกันไปเพื่อหวังผลในสิ่งที่ตัวเองจะได้ประโยชน์

ไวรัสประเภทนี้กลายพันธุ์ง่ายกว่าไวรัสประเภทอื่น(ถ้ามนุษยชาติโชคดีมันก็จะกลายพันธุ์ไปเป็นชนิดว่านอนสอนง่าย แต่ถ้าโชคไม่ดีนักมันก็กลายพันธุ์เป็นดุขึ้นท้าทายวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ต่อไป) มันเป็นประเภทเดียวกับไข้หวัดธรรมดา ที่ทุกคนเคยเป็นกันอยู่ตลอดปีตลอดชาติบ่อยบ้างห่างบ้าง ลองคิดง่ายๆครับว่า ถ้าทำวัคซีนได้ง่ายๆ ทำไมเราจึงไม่เคยมีวัคซีนป้องกันหวัดธรรมดาและที่เป็นข่าวทำๆ กันอยู่ทดลองวัคซีนสำหรับโควิด 19 ตอนนี้ ไม่ว่าจะประเทศไหนบริษัทใด อย่างเก่งแค่ตรวจดูได้หลังฉีดว่ามีภูมิคุ้มกันขึ้นไหม แต่ไม่เคยมีการออกแบบวิจัยให้เห็นผลในสัตว์ว่าวัคซีนจะป้องกันการติดเชื้อได้หรือไม่ (ยิ่งในคนไม่ต้องพูดถึงเลยถึงจะมีการลองใช้ในคนแล้วก็ตาม) อันนี้ต้องเข้าใจว่า การมีภูมิคุ้มกันไม่ได้หมายความว่าจะป้องกันติดโรคได้ ยังยาวนานอีกหลายปี และถึงแม้จะพิสูจน์ได้ว่าป้องกันการติดเชื้อได้ แต่จะป้องกันไปได้นานแค่ไหนก็ยังไม่มีใครรู้(เรากำลังเร่งขบวนการผลิตวัคซีนเพื่อป้องกันโรคที่ปกติต้องใช้เวลา 5-6 ปี ให้สั้นเหลือไม่กี่เดือน!!!มันจะเป็นไปได้อย่างไร)

และยิ่งไปกว่านั้น ลองคิดดูว่าวัคซีนจะให้ดีแค่ไหนก็ป้องกันโรคได้ไม่เกิน 90% ป้องกันได้นานแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ถ้ามีคนจะเดินทางเข้ามาเมืองไทย 100 คนฉีดวัคซีนทุกคน จะรู้ได้อย่างไรว่าใครอยู่กลุ่ม 90 คนที่ป้องกันโรคได้แล้ว ไม่ใช่ อีก 10 คนที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ยังไงๆก็ต้องมีการควบคุมดูแลในที่เฉพาะ 14 วัน(ซึ่งก็ไม่ได้การันตี100%)อยู่ดี การเดินทางไปมาหาสู่กันคงยากลำบากไม่อีกพัก จนกว่าเรามีการตรวจหาเชื้อในตัวคนได้ “เร็ว” “ไว (sensitive)สูง” และได้ทันทีที่คนได้รับเชื้อก่อนที่คนๆนั้นจะแสดงอาการ ที่สำคัญการตรวจนี้ต้องราคาถูก คนทั่วไปทำได้เอง ซึ่งผมคาดว่าอีกไม่นานน่าจะมีทางเป็นไปได้ และเมื่อร่วมกับยาต้านไวรัสที่ดี...ก็ Happy ending ครับ

ดังนั้นเราต้องอยู่กันแบบนี้ไปอีกระยะหนึ่ง ผมคิดว่าน่าจะ 5-6 ปี และในช่วงจากนี้ไปสถานการณ์คงค่อยๆปรับตัวดีขึ้น แต่คนที่หวังว่าทุกอย่างธุรกิจต่างๆจะกลับไปเหมือนเดิมอีกครึ่งปีหรือหนึ่งปีเพราะจะมีวัคซีนนั้น คงต้องเปลี่ยนความคิด ทุกคนทุกภาคส่วนต้องรีบออกแบบปรับรูปแบบธุรกิจ (business model) การทำมาหากินกันใหม่ล่ะครับ ตัวอย่างเช่นธุรกิจที่ต้องพึ่งพาอาศัย”คน”ต่างชาติและการท่องเที่ยวเดินทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งธุรกิจที่เป็นสถานที่ที่มีความเสี่ยงหรือพฤติกรรมทั้งการบ้านการเมืองที่มีความเสี่ยงในการแพร่กระจายโรค ต้องปรับคิดใหม่ทำใหม่อาศัยเทคโนโลยีใหม่ๆมาช่วยจะดีกว่าที่จะเป็นจุดบาปจุดแพร่กระจายการระบาดแบบ super spreader ให้ประเทศเรา

ที่ผมว่าสถานการณ์อาจค่อยๆดีขึ้น เพราะความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เช่นเรื่องการดูแลรักษาพยาบาลที่เคยเล่าไปแล้ว ผมคาดว่าอีกไม่นานคงมียาต้านไวรัสเฉพาะชนิดนี้ออกมา และที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เราอยู่กับเจ้าเชื้อโรคตัวน้อยนิด ตัวนี้ได้อย่างสบายๆ และอย่ากล่าวข้างต้นก็คือเราต้องมีวิธีตรวจที่ง่าย รู้ผลเร็ว ราคาถูก มีแพร่หลาย และคนทั่วไปสามารถทำเองได้เหมือนเทสต์ตรวจว่าผู้หญิงตั้งครรภ์หรือไม่น่ะครับ  ถ้ามีการตรวจที่ไว (sensitive)มากกว่านี้ ใกล้ๆ 100% เมื่อคนๆหนึ่งได้รับเชื้อ เชื้อมันเข้าทางทางเดินหายใจ เราตรวจพบทันทีในวันที่ได้รับเชื้อ เมื่อรู้ผล ถ้ามียาก็ใช้ยาทันทีไม่ต้องรอให้มีอาการ(หรือปล่อยให้ไม่มีอาการแต่แพร่เชื้อได้) ถ้ายังไม่มียาก็กักกันตัวเองไม่ไปแพร่ให้คนรอบเรารัก หรือแพร่ทำกรรมให้คนอื่นๆที่ไม่รู้จัก

และในขณะที่สิ่งต่างๆที่จะช่วยให้เราอยู่กับเจ้าโควิดได้ กำลังค่อยทะยอยเกิดขึ้นมานั้นสิ่งที่ควรทำและพึ่งได้ดีที่สุดคือการป้องกันด้วยการ”อยู่อย่างสะอาด” และ”เลี่ยงที่อโคจร” ที่อโคจรหมายถึงที่ที่มีคนแออัด และอากาศไม่ถ่ายเท เช่นผับ บาร์ อาคารปรับอากาศ อยู่อย่างสะอาดคือการล้างมือให้บ่อย ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร ไม่ใช้มือจับอาหารเข้าปาก ใส่หน้ากากอนามัย เมื่อไปที่ชุมชนกลับเข้าบ้านก็อาบน้ำสระผมเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนอื่น เป็นต้น

การระบาดของโรคโรคใดโรคหนึ่งนั้นไม่ใช่แค่เรื่องทางการแพทย์เท่านั้นพฤติกรรมมนุษย์ในสังคมเป็นหลักที่สำคัญมาก การจะคุมการระบาดใดๆนั้นต้องอาศัยความร่วมมือและความพอดีของทางวิทยาศาสตร์และมนุษย์วิทยา ทั้งจากประชาชนและภาครัฐด้วย ถ้าเศรษฐกิจแย่สุขภาพคนในสังคมก็แย่ภูมิต้านทานทั้งคนและสังคมต่ำก็เกิดโรคระบาดได้เป็นวงกว้าง เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนเป็นโรคหลุดรั่วเข้าไปในสังคมประเทศไทย ไม่ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม (แม้แต่ในเวียดนามขณะนี้ที่ไม่มีคนติดเชื้อในประเทศเกือบร้อยวันอยู่ๆก็มีคนติดเชื้อและยังหาไม่ได้แน่ชัดว่าคนที่ตั้งต้นแพร่ระลอกสองนั้นรับเชื้อมาจากไหน...คือโรคมันอาจจะหลบอยู่แล้วรอวันดีคืนร้ายเจอจุดอ่อนแอค่อยแสดงตัว) แต่ถ้าคนส่วนใหญ่ในสังคมยังประพฤติด้วยความเข้าใจในความจำเป็นมีวินัยในการใส่หน้ากากอนามัย ในการรักษาระยะห่าง ในการรักษาความสะอาดแล้วโอกาสแพร่กระจายกันอย่างมากและกว้างขวางก็จะไม่เกิดขึ้นครับ

 นิธิ มหานนท์  10 สิงหาคม 2563
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #580 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2020, 06:23:39 PM »


กลอนพระราชทาน
สมเด็จพระเทพ รัตนราชสุดาฯ


 อายุมาก             อย่าคิดมาก    ให้มากเรื่อง
 คิดให้เปลือง          เวลา            ยิ่งมีน้อย
 อายุมาก             ต้องเริงร่า       อย่าเหม่อลอย
 ต้องหมั่นคอย        ปล่อยวาง       บ้างจะดี
 อายุมาก             ต้องคิดบวก     อยู่เสมอ
 คงได้เจอ             ความสงบ       ความสุขศรี
 อายุมาก             ไม่ต้องหวัง      ความมั่งมี
 เป็นเศรษฐี           ดีไม่ดี           จะตายไว
 อายุมาก             มีเมตตา         เป็นที่ตั้ง
อยู่ยืนยั้ง              ให้ผู้คน         ได้กราบไหว้
อายุมาก              ถูกเบื่อบ้าง      ไม่เป็นไร
ถึงยังไง                เขาเบื่อได้       ไม่กี่ปี
 อายุมาก             อยากอะไร      หากินได้
ดื่มกินไป              กับเพื่อน         ให้สุขี
 ร้องเพลงบ้าง        เต้นรำบ้าง     เพลิดเพลินดี
 ชุบชีวี               ให้สดใส         วัยชรา..

ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อนขอเดชะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 15, 2020, 09:45:12 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #581 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2020, 04:38:04 PM »

ไขมันพอกตับ

ไขมันพอกตับ คือ สิ่งที่คนไทยป็นกันเยอะมาก ไม่ใช่เพราะกินเหล้าหรือแอลกอฮอล์เยอะ เพียงเรื่องเดียว

นั่นคือสิ่งที่เข้าใจผิด หลายคนเลยถามผมว่า ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลย ทำไมเป็นไขมันพอกตับ

เพราะไขมันพอกตับ ไม่ได้มาจากแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่มาจากน้ำตาลฟรุกโตส และ น้ำตาลอุตสาหกรรม ที่เรียกว่า high fructose corn syrup ซึ่งมีอยู่ในอาหารมากกว่า 70% ที่คนยุคนี้กินทุกวัน ซึ่งหนักกว่า  การดื่มแอลกอฮอล์ด้วยซ้ำ

เพราะ ข้อเท็จจริงพบว่า คนที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลย ก็มีไขมันพอกตับ อาการนี้ เค้าเรียกว่า nonalcohol fatty liver คือ พวกที่เป็นไขมันพอกตับ โดยที่ไม่มีแอลกอฮอล์มาเกี่ยวข้อง

ไขมันพอกตับนั้น เป็นสัญญาณของโรคหัวใจ และ หลอดเลือดตีบตัน นะครับ และ คำพูดที่ว่า ออกกำลังกายเยอะๆ จะทำให้ไขมันพอกตับหาย ก็ไม่จริงนะครับ

กี่คนแล้วครับ ที่ออกกำลังกายมาก ออกกำลังกายมาเป็นสิบปี แต่ไขมันก็ยังพอกตับอยู่ วิธีเดียวคือ เลิกกินอาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตส และ high fructose corn syrup เลิกกินน้ำตาล เลิกดื่มน้ำผลไม้กล่อง  เลิกโดยเด็ดขาดสัก 6-8 เดือน ระหว่าง 6-8 เดือนนั้น ร่างกายจะกำจัดไขมันพอกตับ ออกได้เองครับ ยา หรืออาหารเสริมใดๆ ก็ช่วยไม่ได้นะครับ

ขนมและเครื่องดื่ม ประเภท ขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ น้ำอัดลม ชานม ชาไข่มุก พวกเครื่องดื่มอร่อยๆ ที่มีรสหวานทั้งหลาย น้ำหวาน ของหวาน คุ้กกี้ แคร็กเกอร์ โดนัท ขนมขบเคี้ยว รวมถึง การกินผลไม้หวานๆ ที่กินคราวละมากๆ ก็เป็นต้นเหตุให้มีไขมันพอกตับด้วย  ควรจะเลิกกินของหวาน ให้ได้ครับ ถ้าไม่อยากให้มี ไขมันพอกตับ

นักโภชนาการ ม.มหิดล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #582 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2020, 06:49:30 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=clxTkVpeEjc&feature=youtu.be
[Beat Q&A] ดูแลอวัยวะอย่างไร ให้ภูมิต้านทานแข็งแรง
330,618 views•Apr 4, 2020
ดู ดู ดู***
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #583 เมื่อ: ตุลาคม 15, 2020, 09:39:54 PM »

https://www.nstda.or.th/sci2pub/y-blue-mt-pest-easy-test/
https://mahidol.ac.th/th/2020/y-blue/
https://www.thaipr.net/health/1029845
https://www.nstda.or.th/sci2pub/y-blue-mt-pest-easy-test/

คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Y-blue (Surface protein contamination kit) และชุดทดสอบสารตกค้างสารเคมีจำกัดแมลงในผักและผลไม้ หรือ MT Pest easy test (MT Pesticide test for vegetables and fruits)เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องความสะอาดและปลอดภัยของอาหารในราคาที่จับต้องได้ เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลิตขึ้นเองได้ในประเทศ นอกจากนี้ยังมีประสิทธิภาพสูง

ผลิตภัณฑ์ Y-blue สามารถใช้ทดสอบได้ทั้งโปรตีนพืช และสัตว์ ซึ่งก่อนวางตลาดได้มีการทดสอบผลิตภัณฑ์ ทั้งในห้องปฏิบัติการ และใช้จริงในโรงงานอุตสาหกรรมอาหาร พบว่าได้ผลเป็นที่น่าพอใจ สะอาดและปลอดภัยตามมาตรฐาน และคาดว่าจะสามารถทำส่วนแบ่งทางการตลาดในระดับประเทศ และขยายผลสู่ระดับอาเซียนได้ต่อไปในอนาคต

ด้าน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.อมรา อภิลักษณ์ ภาควิชาเคมีคลินิก คณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของผลงานนวัตกรรม MT Pest easy test กล่าวว่า ชุดทดสอบที่คิดค้นขึ้นนี้สามารถตรวจสารตกค้างสารเคมีจำกัดแมลงในผักและผลไม้ได้อย่างรวดเร็วภาวในเวลา 45 นาที พร้อมด้วยอุปกรณ์และคู่มือใช้งานที่เข้าใจง่าย

ผู้บริโภคทั่วไปสามารถใช้ MT Pest Easy Test ทดสอบสารตกค้างสารเคมีจำกัดแมลงในผักและผลไม้ได้ด้วยตนเอง โดยเริ่มจากการเตรียมตัวอย่างด้วยการสับผักหรือผลไม้ที่ต้องการทดสอบให้ละเอียด แล้วใส่ในหลอดเตรียมตัวอย่างเพื่อสกัดยาฆ่าแมลงออกจากผักและผลไม้

เมื่อปฏิบัติตามขั้นตอนที่แนะนำในคู่มือที่แนบมากับผลิตภัณฑ์จนครบถ้วนแล้ว จะสามารถทราบผลได้ทันที ด้วยการเทียบสีที่ได้จากการทดสอบ โดยสีเข้ม หมายถึง ผักหรือผลไม้ที่นำมาทดสอบนั้นมีความปลอดภัย สีจาง หมายถึง มีสารเคมีกำจัดแมลงในระดับที่ไม่ปลอดภัย และสีขาว หมายถึง มีสารสารเคมีกำจัดแมลงในระดับที่เป็นอันตราย โดยสามารถทดสอบผักและผลไม้ได้ทุกชนิดในราคาไม่ถึง 100 บาทต่อการทดสอบ 1 ตัวอย่าง

ทั้ง Y-blue และ MT Pest Easy Test เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคที่ใส่ใจในเรื่องอาหารสะอาดและปลอดภัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทศกาลกินผัก หรือเทศกาลกินเจที่จะถึงนี้ ผู้สนใจติดต่อได้ที่ www.mt.mahidol.ac.th หรือเฟซบุ๊กคณะเทคนิคการแพทย์ มหาวิทยาลัยมหิดล


ขอขอบคุณเวปไซด์ที่มีข่าวคุณภาพมาประชาสัมพันธ์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #584 เมื่อ: ตุลาคม 29, 2020, 10:32:41 PM »

https://www.facebook.com/Infectious1234/
โพสต์เพจ Infectious ง่ายนิดเดียว สถานการณ์การระบาดของ โรค มือเท้าและปาก ที่เริ่มกลับมาระบาด โดยระบุว่า ช่วงนี้เริ่มกลับมาระบาด โรคมือเท้าและปาก RSV ก็ยังระบาด โดยในศูนย์เด็กเล็ก อนุบาล ประถมก็เจอ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 37 38 [39] 40 41 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: