Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71640 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
gypsy
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 710



« ตอบ #30 เมื่อ: ตุลาคม 10, 2009, 06:13:38 PM »

หนูจัยใช้น้ำมันมะกอกทาผิวหรอ... Grin Grin

จะได้บอกคนที่บ้านมั่ง....  Grin Grin

ว่า...... Grin Grin

อย่า ...(ทำ)   Lips Sealed

น้ำมันมะพร้าวดีฝ่า ... สีขาว  Grin
ว่า... อย่าทำ Grin Grin

ส่าห์เว้นไว้  Wink
บันทึกการเข้า

ขอโทษที่ไม่ตอบ ขอบคุณที่ทักทาย
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #31 เมื่อ: ตุลาคม 11, 2009, 09:12:07 AM »

หนูจัยใช้น้ำมันมะกอกทาผิวหรอ... Grin Grin

จะได้บอกคนที่บ้านมั่ง....  Grin Grin

ว่า...... Grin Grin

อย่า ...(ทำ)   Lips Sealed

น้ำมันมะพร้าวดีฝ่า ... สีขาว  Grin
ว่า... อย่าทำ Grin Grin

ส่าห์เว้นไว้  Wink

A-rai gun jaaaaaaaaaaa >Cheesy
 Cry nu mai dum na  Shocked Tongue
ราสเบอรี่ :170g:295 B  tee Foodland kha
แบ็คเบอร์รี่ 229บาท บลูเบอรี่229บาท
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #32 เมื่อ: ตุลาคม 12, 2009, 04:36:51 AM »

 Shocked Shocked Shocked Grin
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #33 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2009, 09:31:07 PM »

 Grin
เส้น เลือดขอด (Varicose Veins) หรือ Spider Vein [/color] เป็นหนึ่งในปัญหาที่ทำให้ผู้หญิงกลุ้มใจ แถมยังมีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชาย 3 เท่าเลยทีเดียว!


เส้นเลือดขอดมัก เกิดตามผิวของขาตั้งแต่บริเวณตาตุ่มขึ้นไปจนถึงขาหนี บด้านใน พบบ่อยบริเวณน่อง โดยเฉพาะกับผู้ที่ต้องใช้ขารับน้ำหนักตัวมาก คนอ้วน หญิงตั้งครรภ์ คนที่ต้องยกของหนักเป็นประจำ หรือคนที่ต้องยืนนานๆ เกิดเมื่อถึงวัยชรา เกิดจากกรรมพันธุ์ มีความผิดปกติของหลอดเลือดดำ-แดงที่ขา อักเสบอุดตัน หรือบางคนโชคไม่ดีอาจมีก้อนเนื้องอกในช่องท้อง หรืออุ้งเชิงกรานไปกดหลอดเลือดดำ เป็นต้น


สาเหตุที่ทำให้ เกิดเส้นเลือดขอด ดูเหมือนเส้นเลือดโป่งพองเห็นเป็นสีคล้ำเขียว-แดง และมีความยาวคดเคี้ยวขยุกขยิก เกิดจากการคั่งของเลือดในเส้นเลือดดำบริเวณขา ที่ปกติจะถูกบีบให้ไหลขึ้นสู่หัวใจโดยอาศัยแรงบีบตัว ของกล้ามเนื้อบริเวณขา ภายในหลอดเลือดดำจะมีลิ้นเล็กๆ อยู่ภายในๆ คอยกั้นเป็นช่วงๆ ไม่ให้เลือดย้อนกลับไปที่เท้า แต่เมื่อระบบไหลเวียนของเลือดทำงานไม่สะดวก ทำให้หลอดเลือดของขาขยายตัวกว้างขึ้นพลอยดึงให้ลิ้นถ ่างออก เมื่อลิ้นไม่อาจปิดได้สนิทเลือดก็ทะลักไหลย้อนลงมาคั ่งอยู่ในหลอดเลือดดำของ ขาบริเวณใกล้ผิวหนัง โดยอาการของเส้นเลือดขอดมีตั้งแต่เป็นน้อยๆ ไปจนเรียกว่าระยะรุนแรง คือผิวหนังบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดแตกเป็นแผลอักเสบเ รื้อรังมีน้ำเหลือง รักษาหายยาก และอาจมีเลือดออกรุนแรง


และ หากจะพิจารณาถึงอาชีพของผู้หญิงที่เสี่ยงเกิดเส้นเลื อดขอดก็มักเป็นคุณครู นางพยาบาล แอร์โฮสเตส พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทางและสาวออฟฟิศ ซึ่งด้วยหน้าที่การงานมีรายละเอียดทำให้เข้าข่ายเสี่ ยงดังนี้

 คุณครู หรือที่เราเปรียบเทียบว่าเป็น ?เรือจ้าง? เป็นอาชีพที่ต้องใช้ทักษะทางด้านสมอง กายและใจไปพร้อมๆ กัน นั่นคือการพูด-การเขียนอธิบายและถ่ายทอดความรู้ให้ลูกศิษย์ต้องยืนส อนหน้า ชั้นเป็นเวลาติดต่อกันหลายชั่วโมง ซึ่งอาชีพครูบ้านเราต้องใส่ชุดฟอร์มที่ทางโรงเรียนจั ดให้ หรือไม่ก็ต้องแต่งกายเรียบร้อย ใส่ถุงน่องและรองเท้าส้นสูง อันเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดได้ง่าย


 นางพยาบาล เป็นวิชาชีพที่ต้องใช้ทักษะการบริการทางการแพทย์ไปพร ้อมๆ กับใจที่รักการบริการ ความรับผิดชอบของนางพยาบาลบ้านเรานั้นมีตั้งแต่การเป ็นผู้ช่วยแพทย์ระหว่าง การตรวจรักษา การเดินดูแลพยาบาคนป่วย การเคลื่อนย้ายผู้ป่วย งานเดินเอกสาร ฯลฯ ดังนั้นอาชีพนี้จึงต้องอาศัยความอดทนและคล่องตัวสูง ทำให้เท้าต้องรับน้ำหนักตัวตลอดวัน ดังนั้นจะเห็นได้ว่านางพยาบาลหลายคนใส่ผ้ายืดหรือ support รัดน่องเพื่อป้องกันไว้ก่อน


 แอร์โฮสเตส เป็นอาชีพหนึ่งที่ได้รับความนิยมมากจากสาวๆ ในปัจจุบัน เพราะแรงจูงใจในเรื่องของค่าตอบแทนและโอกาสท่องเที่ย ว แต่อาชีพนางฟ้าก็ต้องแลกกับการยืนและเดินนานๆ เพื่อดูแลผู้โดยสารตลอดชั่วโมงบิน และที่สำคัญยังต้องเผชิญกับภาวะความดันทางอากาศจากกา รขึ้น-ลงเครื่องบินเป็น ประจำ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดมากกว่า อาชีพอื่นๆ ทางป้องกันที่ดีที่สุด คือการเปลี่ยนรองเท้าส้นเตี้ยขณะบริการเสิร์ฟอาหารแก ่ผู้โดยสาร หมั่นเดินไปมาเพื่อเพิ่มระบบหมุนเวียนโลหิต และควรใส่ถุงน่องที่รัดและกระชับใต้เข่า


 พนักงานขายในห้างสรรพสินค้า / พนักงานต้อนรับ การยืนเรียกได้ว่าเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของอาชีพนี ้ก็ว่าได้ เนื่องจากการยืนหมายถึง ความพร้อมและความเต็มใจของพนักงานที่จะให้บริการ เพื่อสร้างความประทับใจแก่ลูกค้า โดยเฉลี่ยแล้วอาจจะต้องยืนติดต่อกันประมาณ 6-8 ชั่วโมงเลยทีเดียว!


 พนักงานเก็บค่าโดยสารรถประจำทาง นอกจากจะต้องสูดดมควันจากท่อไอเสีย และอยู่ในสภาพที่มีคนแออัดตลอดเวลา ก็ยังต้องเดินและยืนเก็บค่าโดยสารตลอดสายครั้งละหลาย ชั่วโมง แถมยังต้องทรงตัวให้ดีเมื่อยามรถจอดหรือเบรกอีกต่างห าก


 สาวออฟฟิศ ฟังดูแล้วเป็นอาชีพที่เสี่ยงเป็นเส้นเลือดขอดน้อยที่ สุด แต่คุณทราบหรือไม่ว่า การที่นั่งโต๊ะนานๆ ด้วยการนั่งไขว่ห้างนี้เอง เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดเส้นเลือดขอด หรือสาวออฟฟิศบางคนชะล่าใจคิดว่าตนเองไม่ต้องยืนเป็น เวลานานๆ ก็ใส่ร้องเท้าส้นสูงรับกับกระแสแฟชั่น แต่กลับลืมไปว่าบางครั้งก็ต้องเดินไปมาเพื่อติดต่อเอ กสารหรือฝ่ายต่างๆ ทำให้เกิดเส้นเลือดขอดแบบไม่รู้ตัวก็มี


ทั้งนี้หากว่าคุณมี เส้นเลือดขอดก็อย่าเพิ่งตระหนก เพราะหากคุณไม่มีอาการปวดหรือบวมร่วมก็อาจไม่จำเป็นต ้องได้รับการรักษา เพียงแค่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและออกกำลังก ายอย่างเหมาะสมก็ ป้องกันและบรรเทาได้ หรือสำหรับคนที่มีอาการปวดก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นมาก จนรักษาไม่ได้ เพราะปัจจุบันเรามีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดและผ่าตัดที่ เหมาะต่ออาการของแต่ละ คน


วิธีป้องกันการเกิดเส้นเลือดขอด

 ถ้าคุณเป็นคนอ้วนควรลดน้ำหนักเป็นอันดับแรก เพื่อลดแรงกดน้ำหนักลงที่เท้าและขา

 หลีกเลี่ยงการยืน หรือการนั่งเฉยๆ หรือนั่งไขว่ขาเป็นเวลานาน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อไม่บีบตัวไล่เลือด ในกรณีที่อาชีพการงานบังคับต้องอาศัยการออกกำลังกายผ ่อนคลายกล้ามเนื้อน่อง และขา โดยการเขย่งปลายเท้าขึ้นและลง หรือการบีบและคลายนิ้วเท้าทุกครึ่งชั่วโมง และพอถึงช่วงที่ได้นั่งพัก ให้ถอดรองเท้าส้นสูงออก นั่งลงบนเก้าอี้ หลังตรงและยกขาขึ้นหนึ่งข้างให้สูงระดับสะโพกและหมุน ข้อเท้าเป็นวงกลมไปมา จากนั้นให้งุ้มเท้าชี้ขึ้นและลง จากนั้นทำสลับอีกข้าง

 หลีกเลี่ยงการใส่ถุงเท้ายาวหรือถุงน่องที่รัดเหนือเข ่า ซึ่งทำให้ระบบหมุนเวียนเลือดไหลไม่สะดวก ในกรณีที่จำเป็นต้องสวมถุงเท้าหรือถุงน่อง ควรเลือกเนื้อผ้าที่มีความยืดหยุ่น และเลือกแบบที่ขอบถุงเท้าหรือถุงน่องรัดห่างใต้เข่าป ระมาณ 2 นิ้ว
การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

ส่วนใหญ่แพทย์แนะนำเพื่อบรรเทาอาการปวด บวมมากกว่าเรื่องของความสวยงาม ซึ่งในกรณีที่เป็นเส้นเลือดขอดไม่มาก สามารถใช้ครีมนวดรักษาหรือบรรเทาได้ แต่กรณีที่มีอาการปวด แพทย์อาจแนะนำให้ฉีดยาเข้าหลอดเลือดดำที่ขอด เพื่อสลายหลอดเลือดที่แข็งตัวและตีบตันให้ไหลเวียนไป สู่หลอดเลือดอื่นบริเวณ รอบๆ ได้ แต่ก็ไม่ใช่วิธีรักษาที่หายขาดภายในครั้งเดียวอาจต้อ งฉีดซ้ำหลายครั้งหาก เป็นมาก และไม่อาจรับประกันได้ว่าจะไม่เกิดขึ้นอีก โดยหลังการรักษาจำเป็นต้องสวมผ้ารัดหรือถุงน่องเพื่อ บีบให้ผนังหลอดเลือด กระชับ จนกว่าบริเวณที่ฉีดยาจะบวมน้อยลง และเวลานอนพักต้องใช้หมอนหนุนยกระดับเข่าให้สูงกว่าส ะโพก และปลายเท้าสูงกว่าระดับเข่า

การรักษาแบบผ่าตัด

เป็นการผ่าตัดในกรณีที่เส้นเลือดขอดเกิดภาวะอุดตันภา ยในหลอดเลือด และอาจส่งผลอันตรายต่ออวัยวะอื่นๆ โดยแพทย์จะให้ยาชาก่อนการผ่าตัดและใช้เครื่องมือเข้า ไปผูกเส้นเลือดที่ขอด แล้วดึงหลอดเลือดดำที่ขอดออกเป็นบางส่วน หรือการผ่าดึงหลอดเลือดดำที่ขอดทั้งเส้น โดยหลังการผ่าตัดจะมีอาการเท้าบวม มีเลือดออกหรือเจ็บแผล และจำเป็นต้องใส่ผ้ารัดหรือถุงน่องพยุงต่อประมาณ 6 ถึง 8 สัปดาห์


การ รักษาเส้นเลือดขอดไม่ว่าจะวิธีใดก็ตาม ไม่สามารถรับประกันว่าจะไม่เกิดเส้นเลือดขอดใหม่ 100% และแพทย์อาจให้การรักษามากกว่า 1 วิธีร่วมกัน เพื่อประสิทธิภาพในการรักษาให้ได้ผลดีมากที่สุด และที่สำคัญบริเวณที่เป็นเส้นเลือดขอดมีอาการปวดหรือ บวม คุณควรไปปรึกษาแพทย์ทันที
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2009, 05:35:40 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #34 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2009, 04:55:17 PM »

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์

 

ใครที่ชอบกินบุฟเฟ่ต์เป็นประจำ วันนี้คงสำราญ เพราะนอกจากอิ่มท้องแล้ว เดลินิวส์ออนไลน์ ยังมีเทคนิคกินบุฟเฟ่ต์อย่างไรให้ได้ประโยชน์มาบอกด้วย
- กินอาหารประเภทเนื้อสัตว์จำพวกเนื้อหมู ไก่ วัว ปลาหมึก ให้น้อยลง และหันมากินเนื้อปลา หรือผัก เพราะเป็นอาหารที่ย่อยง่าย แถมยังปราศจากไขมันและไม่เสี่ยงต่อการเกิดมะเร็ง

- กินอาหารที่ต้มหรือลวก และพยายามกินอาหารประเภทปิ้ง ย่าง ทอด ให้น้อยที่สุด

- หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ และน้ำอัดลมระหว่างทาน เพราะว่าให้พลังงานอาหารที่มาก และต้องใช้เวลานานในการเผาผลาญ ควรเปลี่ยนเป็นน้ำเปล่าหรือน้ำชา

- สังเกตเนื้อสัตว์ก่อนหยิบมารับประทาน หรือปรุง ว่ามีสภาพ รูป สี กลิ่น ต่างไปจากปกติหรือไม่

- เมื่อเห็นว่ากระทะหรือเตาย่างเริ่มไหม้ ควรเปลี่ยนอันใหม่ เพราะสิ่งที่สะสมอยู่บนกระทะ นอกจากจะเป็นสารก่อมะเร็งแล้ว ยังทำให้เนื้อไม่สุกทั่วถึงกัน เนื่องจากคราบไหม้จะปิดกั้นความร้อน ทำให้เนื้อไม่สุกดี

- อย่ารีบกินจนเกินไป อาจฆ่าเวลาด้วยการเดินย่อย หรือคุยสังสรรค์กับเพื่อน เพื่อช่วยย่อยอาหาร

- ออกกำลังกายเผาผลาญพลังงานส่วนเกินจากมื้อนั้น ๆ ด้วยวิธีเบา ๆ เช่น ค่อย ๆ เดิน เพื่อกระตุ้นให้กระเพาะย่อยอาหารได้อย่างมีประสิทธิภ าพ หลังจากกินอาหารแล้ว ห้ามล้มตัวลงนอนในทันที ควรจะนั่งพักสักครู่ หรือทำกิจกรรมเบา ๆ อื่น ๆ ก่อน

- รับประทานอาหารบุฟเฟ่ต์ในร้านที่ไว้วางใจได้ ทั้งความสด สะอาดของอาหาร และความอนามัยของภาชนะ

ลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้ รับรองอิ่มอร่อยและได้ประโยชน์



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 05, 2009, 05:35:09 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #35 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2009, 09:30:25 AM »

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์   สูงสุดของชีวิต









กินฟรี  Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #36 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2009, 05:37:01 AM »

วิธีกินบุฟเฟ่ต์ให้ได้ประโยชน์   สูงสุดของชีวิต









กินฟรี  Grin Grin Grin

   mai mee P' ย่องเบาไปกิงน้ะพี่
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #37 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2009, 06:32:38 PM »




เคล็ดแก้ร้องเท้ากัด...เรื่องเล็กๆ ที่ต้องใส่ใจ

ปัญหาของคนที่ซื้อรองเท้าใหม่หลายคน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้าหนัง รองเท้าผ้าใบ หรือรองเท้าพลาสติก ซึ่งเมื่อถูกรองเท้ากัดจะทำให้เกิดแผล และเดินไม่สะดวก จนเสียบุคลิกภาพอีกด้วย

วิธีแก้ร้องเท้ากัดก็ง่ายๆ โดยการทา ปิโตรเลียมเจล ข้างในรองเท้าคู่ใหม่ ทิ้งไว้ข้ามคืน จากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าให้สะอาดแล้วค่อยสวมใส่ หรือทา น้ำมันมะพร้าว ด้านในรองเท้า สามคืนติดต่อกัน น้ำมันมะพร้าวจะช่วยให้รองเท้าของคุณนุ่มขึ้น หรือใครที่ไม่ชอบความมันล่ะก็ลองฝาน มันฝรั่งดิบ เป็นแผ่นๆ วางไว้ในรองเท้า โดยเฉพาะบริเวณส้นเท้า ทำซ้ำเช่นนี้สองคืน

นอกจากนี้รองเท้าคู่สวยก็อาจทำให้เรามีแผลง่ายๆ โดยการขบเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งวิธีแก้ไขก็คือ ใช้ แป้งข้าวเจ้า ผสมน้ำให้พอข้น ทาบริเวณที่โดนรองเท้ากัด ทิ้งไว้จนแห้ง จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำอุ่น เช็ดให้แห้งจะช่วยลดความเจ็บแสบลงได้ หรืออาจจะใช้ ใบสะเดา สองสามใบผสมกับ ผงขมิ้น และน้ำ บดผสมกันให้กลายเป็นครีมข้น จากนั้นนำมาทาลงบนแผลรองเท้ากัด วิธีนี้จะช่วยลดอาการเจ็บลงได้อย่างมาก อีกทั้งยังช่วยให้แผลแห้ง ส่วนผสมนี้สามารถใช้กับแผลลักษณะเดียวกันที่ส่วนอื่น ของร่างกายได้เช่นกัน


ขอขอบคุณภาพประกอบจาก Getty Images

ขอขอบคุณ : นิตยสาร แม่บ้าน ผู้สนับสนุนเนื้อหา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #38 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 08:15:32 AM »

ก่อนที่โครงสร้างร่างกายจะเสียสมดุล เราควรต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตตัวเองใหม่ ใส่ใจกับตัวเองให้มากขึ้น
>เพื่อให้ร่างกายอยู่ได้อย่างเต็มศักยภาพตลอดอายุขัย ซึ่ง "เพ็ญพิชชากร แสนคำ"
นักกายภาพบำบัดจากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย ซีเคร็ท เชฟ เวลาเนส เซ็นเตอร์ ได้สรุปพฤติกรรมที่
ทำให้โครงสร้างร่างกายเสียสมดุล เอาไว้ 10 ข้อดังนี้
>1. การนั่งไขว่ห้าง จำทำให้น้ำหนักตัวลงที่ก้นข้างใดข้างหนึ่ง เป็นผลให้กระดูก
คดอย่างแน่นอน หรืออาจจะคดแล้วก็ได้โดยที่ไม่รู้ตัว
>2. การนั่งกอดอก ทำให้หลังช่วงบน สะบักและหัวไหล่ ถูกยืดยาวออก หลังช่วงบน
ค่อม และงุ้มไปด้านหน้า ทำให้กระดูกคอยื่นไปด้านหน้า มีผลต่อเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงแขน อาจทำให้มืออ่อนแรง หรือขาได้
นอกจากนี้ยังมีผลต่อหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เพราะถ้ากระดูกคอผิดรูป จะทำให้กล้ามเนื้อคอเกร็ง
และจำกัดการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมอง เป็นสาเหตุของการอาการปวดศีรษะ หรืออาจทำให้เป็นไมเกรนเรื้อรังได้
>3. การนั่งหลังงอ / นั่งหลังค่อม เช่น การอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ติดต่อการนาน ๆ เป็นชั่วโมงจะทำให้กล้ามเนื้อค้าง เกิดการคั่งของกรดแลกติค ทำให้มีอาการเมื่อยล้า ปวดและมีปัญหาเรื่องกระดูกผิดรูปตามมา
>4. การนั่งเบาะเก้าอี้ไม่เต็มก้น การนั่งเก้าอี้ส่วนใหญ่ จะชอบนั่งแบบครึ่ง ๆ ก้น ซึ่งส่งผลทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนัก เพราะฐานในการรับน้ำหนักตัวแคบ แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้านั่งให้เต็มก้น คือเลื่อนให้เข้าในสุดจนติดผนังพิง จะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยและเกิดการรองรับน้ำหนักตัวได้เต็มที่
>5. การยืนพักขาลงน้ำหนักด้วยขาข้างเดียว การยืนที่ถูกต้อง ควรลงน้ำหนักที่ขาทั้งสองข้างเท่า ๆ กันโดยยืนให้ขากว้างเท่าสะโพก จะทำให้เกิดความสมดุลของโครงสร้างร่างกาย ไม่ทำให้กล้ามเนื้อข้างใดข้างหนึ่งต้องทำงานหนักมากเกินไป ในทางตรงกันข้าม หากยืนพักขาหรือลงน้ำหนักขาไม่เท่ากันจะทำให้
กระดูกเชิวกรานบิดเบี้ยว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคด
>6. การยืนแอ่นพุง / หลังค่อม ควรยืนหลังตรง แขม่วท้องเล็กน้อย ขณะยืน เดินหรือนั่ง ให้พยายามแขม่วท้องเล็กน้อย โดยให้มีสติรู้สึกตัวอยู่ตลอด หากเป็นไปได้ควรทำตลอดเวลาเพื่อเป็นการรักษาแนวกระดูกช่วงล่าง ไม่ให้แอ่นและทำให้ไม่ปวดหลัง
>7. การใส่ส้นสูงเกิน 1 นิ้วครึ่ง จะทำให้แนวกระดูกสันหลังช่วงล่างแอ่นมากกว่าปกติ ซึ่งจะนำมาสู่อาการปวดหลัง และการมีโครงสร้างร่างกายที่ผิด
>8. การสะพายกระเป๋าหนักข้างเดียว ไม่ควรสะพายกระเป๋าข้างใดข้างหนึ่งต่อเนื่องกันเป็นเวลานานควรเปลี่ยนเป็นการถือกระเป๋า โดยใช้ร่างกายทั้งสองข้างให้เท่า ๆ กัน อย่าใช้แค่ข้างใดข้างหนึ่งตลอดเพราะจะทำให้ตัวคุณต้องทำงานหนักอยู่เพียงข้างเดียว ส่งผลให้กระดูกสันหลังคดได้
>9. การหิ้วของด้วยนิ้ว การใช้นิ้วหิ้วของหนักบ่อย ๆ จะมีผลทำให้มีพังผืดยึดตามข้อนิ้วมือ เพราะจริง ๆแล้ว กล้ามเนื้อในมือเป็นกล้ามเนื้อมัดเล็ก หน้าที่หลักคือ การใช้หยิบจับโดย ไม่หนัก แต่หากต้องใช้จับหรือหิ้วหนัก ๆ จะทำให้เส้นเอ็นมีการเสียดสี และเกิดพังผืดในที่สุด ยิ่งหากหิ้วหนักมาก ๆ จะทำให้รั้งกล้ามเนื้อมัดอื่น ๆ และเกี่ยวโยงไปถึงกระดูกคอ ทำให้กล้ามเนื้อเกร็งมากกว่าปกติ มีผลต่อการทรุดของกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้
>10. การนอนขดตัว / นอนตัวเอียง    ท่านอนหงายเป็นท่านอนที่ถูกต้องที่สุด ควรนอนให้ศีรษะอยู่ในแนวระนาบ ขนานกับเพดานไม่แหงนหน้า หรือก้มคอมากเกินไป หมอนหนุนศีรษะต้องไม่แข็งหรือนิ่มเกินไป    ควรมีหมอนรองใต้เข่าเพื่อลดความแอ่นของกระดูกสันหลังช่วงล่าง หากจำเป็นต้องนอนตะแคง ให้หาหมอนข้างกายโดยก่ายให้ขาทั้งหมดอยู่บนหมอนข้าง เพื่อรักษาแนวกระดูกให้อยู่ในแนวตรง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 08, 2009, 02:57:26 PM โดย moddang » บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
brabus
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #39 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 08:19:01 AM »

ขอบคุณค่ะ คุณnujai  คุณmoddang คุณNeung99k  Cheesy Cheesy Cheesy
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #40 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2009, 11:13:48 PM »

ขอบคุณค่ะ คุณnujai  คุณmoddang คุณNeung99k  Cheesy Cheesy Cheesy
Cheesyขอบคุณเปลี่ยนเป็น $ดั้ยมั้ยก๊ะ อิ อิ  เทวดา

ยินดีค่ะ Smiley
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #41 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2009, 03:49:52 AM »

ระวังยาแก้ปวด

พล.ต.ต.นพ.นริศ เจนวิริยะ ศัลยแพทย์

ไมเคิล แจคสัน เสียชีวิตเนื่องจากหัวใจวายเมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2552 จากผลการตรวจของพนักงานสืบสวนสอบสวนและแพทย์สรุปได้อ ย่างหนึ่งว่าไมเคิล แจคสัน ใช้ยาแก้ปวดมามาก เป็นเวลานานราว 20 ปี แจคสันก็เหมือนกับดาราหรือคนดังมากหลายที่สหรัฐฯ ที่มักจะเสพติดยาแก้ปวดมาก ตอนแรกอาจจะปวดจริง แต่เมื่อเสพไป ๆ ก็ชักจะติดยา ยาแก้ปวดหลายอย่างที่เป็นยาเสพติด เช่น pethidine(Demoral) , oxycodone ซึ่งต้องซื้อด้วยใบสั่งยา ส่วนยาแก้ปวดแก้ไข้อื่นๆ ที่ไม่ถือว่าอยู่ในกลุ่มยาเสพติดต่างก็ซื้อหาได้ง่าย จากแผงร้านขายยาทั่วไป ยาพวกนี้มีผลข้างเคียงของยาซึ่งอาจจะเป็นอันตรายได้ ไมเคิล แจคสัน เสพอยู่หลายตัว ยาแก้ปวดบางตัวที่เขากินเป็นยาเสพติดที่ต้องซื้อโดยใ บสั่งแพทย์ ซึ่งคงได้รับจากแพทย์ประจำครอบครัวที่อาจออกใบสั่งให ้โดยเกรงใจหรือโดยไม่ทราบว่าคนไข้ของเขามีอาการปวดจร ิงหรือไม่ เพราะอาการปวดอาจจะแกล้งทำกันได้ ไม่มีใครรู้นอกจากตัวคนไข้เอง

เมื่อไมเคิล แจคสัน ตายเรื่องยาแก้ปวดก็ดังขึ้นมา โดยเฉพาะยาตัวหนึ่งที่มีการใช้กันทั่วๆ ไปทั้งโลก ไม่ถือว่าเป็นยาเสพติดคือ พาราเซตามอล (ชื่อตัวยา paracetamol หรือชื่อสารเคมีว่า acetaminophen) ที่คนไทยส่วนมากรู้จักกันดีและเรียกกันติดปากว่า พาราเซ็ต หรือเรียกสั้นๆ หยันๆ เพราะราคาถูกว่า พารา ทางการสหรัฐฯ พบว่าไมเคิล แจคสันใช้ยาตัวนี้มากเหมือนกัน คือใช้ในรูปของยาผสมที่มีชื่อการค้าว่า Percocet และ Vicodin ยานี้มีพาราเซตามอลผสมกับยาเสพติดตัวอื่น ทางองค์การอาหารและยา(อ.ย.) ตื่นตัวขึ้นหลังจากแจคสันตายได้จัดการประชุมอภิปรายห มู่โดยผู้เชี่ยวชาญ 30 กว่าคน ซึ่งลงมติเกือบเอกฉันท์ว่าควรจะมีการลดการใช้ยาตัวนี ้ โดยให้ร้านขายยาตั้งขายตามแผงในขนาดน้อยลง คือแทนที่จะเป็นเม็ดละ 500 มิลลิกรัม ก็ควรลดลงเป็น 325 มิลลิกรัม แนะนำให้ใช้ยาวันละไม่เกิน 4,000 มิลลิกรัมต่อวัน (ยาพาราขนาด 500 มิลลิกรัม ไม่เกิน 8 เม็ด) และยาอื่นที่เป็นยาผสมด้วย พาราเซ็ต เช่น ยาแก้ไข้ แก้หวัด มากขนานที่ผสมกันเป็นสูตรพิเศษของแต่ละบริษัทแต่ละยี ่ห้อ ก็ควรจะยกเลิกผสมกัน ควรแยกกันเป็นยาเดี่ยวๆ ให้หมด เพราะยาผสมเป็นสาเหตุอย่างหนึ่งของการกินยาพาราเซตาม อลเกินขนาด เนื่องจากไม่รู้จึงกินยาแก้หวัดบวกยาพาราแก้ไข้เข้าไ ปด้วย

คนทั่วไปเข้าใจว่ายาพาราเซ็ตเป็นยาไม่อันตราย บางคนกินยามากกว่าที่แพทย์สั่ง บางคนคิดว่าถ้ากินเม็ดหนึ่งดี การกินหลายเม็ดต้องดีกว่า แต่นั่นเป็นความคิดอันตรายเพราะยาเพราเซตามอลขนาดสูง มีพิษต่อตับ ที่สหรัฐฯ มีตัวเลขของคนตับวายจากพิษยาพาราเกินขนาดปีละ 1,600 คน นอกจากนี้มันอาจจะมีผลเสียต่อไตโดยเฉพาะคนที่มีตับหร ือไตไม่ดีเป็นทุนอยู่แล้ว



ที่จริงยาแก้ปวดมีอยู่มากมายหลายกลุ่มหลายขนาน แต่ละขนานก็มีฤทธิ์แก้ปวดมากน้อย และมีผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์แตกต่างกันไป ยาแก้ปวดบางตัวเป็นยาเสพติด เช่น มอร์ฟีน บางตัวเป็นยาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ทั้งหล าย (NSAIDS) ยาต้านอักเสบเหล่านี้ส่วนมากมีผลต่อกระเพาะลำไส้ ทำให้กระเพาะอักเสบหรือเป็นแผลเลือดออกหรือบางรายเกิ ดแผลในกระเพาะหรือลำไส้ทะลุได้

คนกินยาแก้ปวดเหล่านี้หลายคนที่เป็นนักดื่มด้วยนั้น การดื่มเหล้าและกินยาแก้ปวดต้องระวัง เพราะทำให้มีผลเสียจากยาแก้ปวดเพิ่มมากขึ้น ถ้าคุณดื่มเหล้าบ่อยและปริมาณมากไม่ควรกินยาแก้ปวดมา ก ยาแก้ปวดบางอย่าง เช่น พวก NSAIDS มีฤทธิ์ทำให้มีอาการปวดแน่นระคายกระเพาะอาหารมากกว่า ปกติ เหล้ามีฤทธิ์ทำให้คนกินยาแก้ปวดพวกเสพติด เช่น มอร์ฟืนง่วงซึมมากกว่าปกติ คนที่มีอายุมากปกติมีความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยาแ ก้ปวดอยู่แล้ว ถ้ายิ่งไปดื่มเหล้าด้วยยิ่งมีผลข้างเคียงมากขึ้น เช่น ยามีฤทธิ์นานขึ้นกว่าปกติทำให้มีผลข้างเคียงนานขึ้นด ้วย

องค์การอาหารและยาของสหรัฐมีคำแนะนำว่า คนที่กินยาพาราเซตามอล ที่จะมีความเสี่ยงต่อพิษของมันคือ คนที่มีน้ำหนักตัวน้อย คนที่ดื่มแอลกอฮอล์มากกว่าวันละ 3 แก้ว ต้องระวังความเสี่ยงต่อการสูญเสียของตับ แม้จะกินยาพาราเซ็ตขนาดธรรมดาแต่ถ้ากินกับเหล้าก็อาจ จะมีอันตรายทำให้ตับวายได้
ยาแก้ปวดประเภท ต้านความเศร้า ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาเสพติด ไม่ควรกินร่วมกับแอลกอฮอล์เพราะมันจะทำให้ฤทธิ์ของยา เพิ่มขึ้นทำให้ผลข้างเคียงมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และถ้ายาพวกนี้ผสมกับพาราเซตามอลเป็นยาสูตรพิเศษสำหร ับโรคหรืออาการอย่างใดอย่างหนึ่ง (เช่น หวัด) เข้าไปด้วยยิ่งอาจจะทำให้มีพิษต่อตับมากขึ้นเมื่อกิน ร่วมกับแอลกอฮอล์ พวกคนดัง ดารานักร้องทางฟากตะวันตกมักจะใช้ยาเหล่านี้ร่วมกับก ารดื่มเหล้า เราจึงมักจะเห็นดาราคนดังเหล่านั้นมีอันเป็นไปที่ไม่ ปกติบ่อยกว่าคนปกติมากมาย
นอกจากนี้แอลกอฮอล์โดยตัวมันเองทำให้ความดันเลือดสูง ขึ้น แอลกอฮอล์เป็นสารกดระบบประสาททำให้ซึมเศร้ามากขึ้นแล ะอาจจะทำให้เสี่ยงต่ออาการชักมากขึ้น แอลกอฮอล์ทำให้ง่วงมากขึ้นโดยเฉพาะเมื่อใช้กับยาที่ม ีฤทธิ์กดระบบประสาท คนกินเหล้ากับยาแก้ปวดจึงอาจจะขับรถเกิดอุบัติเหตุได ้มากกว่าธรรมดา
นอกจากนี้ยาแก้ปวดหลายตัวมีผลข้างเคียงต่อหัวใจด้วย สมาคมโรคหัวใจอเมริกันได้ให้คำแนะนำเป็นแนวทางไว้ว่า ยาแก้ปวดที่มีผลเสียต่อหัวใจจากน้อยไปหามากมีดังนี้ค ือ พาราเซตามอล แอสไพริน tramadol (จัดเป็นกลุ่มยาเสพติด) แล้วมาถึงกลุ่มยา NSAIDS ที่มีตัวยาดังนี้ naproxen, ibuprofen, ketoprofen, diclofenac, celecoxib
ในโอกาสที่ไมเคิล แจคสัน ราชันแห่งวงการเพลงโลกได้จากไป ทำให้มิตรรักนักเพลงพลโลกหลายล้านคนต้องโศกเศร้าเสีย ใจ แต่ทุกสิ่งที่ผ่านมาแล้วย่อมต้องผ่านไป เราควรจะถือเอาวิกฤตนี้เป็นโอกาส เรียนรู้สิ่งผิดพลาดที่อาจจะเป็นสาเหตุเสริมในการตาย ของแจคสัน คือต้องระมัดระวังในการใช้ยาแก้ปวดให้มากขึ้น
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:49:44 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #42 เมื่อ: พฤศจิกายน 16, 2009, 07:53:05 PM »

ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน



ยาที่ไม่ควรกินคู่กัน (กรุงเทพธุรกิจ)
โดย : นพ.กฤษดา ศิรามพุช

หากคุณมั่นใจว่าผู้ป่วยเลือดจาง ต้องกินอาหารเสริมในกลุ่มธาตุเหล็กให้มาก "คุณคิดผิด" หมอกฤษดาแจกแจงคู่ยา "มิตร-ศัตรู" ให้เข้าใจกันชัด ๆ

"Good things come in pair" ดังวลีฝรั่งนี้ที่บอกว่าของทุกอย่างมีคู่แฝดอยู่เสมอ อาจเป็นแฝดเหมือนหรือแฝดต่างก็ได้ ซึ่งก็พ้องกับทางพระที่ว่า กุสลาธัมมา อกุสลาธัมมา และโลกธรรมแปดที่เล่าถึงคู่แห่งสัจธรรมในโลกนี้ มีสุขแล้วก็มีทุกข์ มีสรรเสริญก็ย่อมมีนินทา มีลาภก็ย่อมมีเสื่อมลาภได้ดังนี้เป็นต้น

ดัง นั้น ในเรื่องของโอสถรักษาโรคก็ย่อมต้องมีคู่แฝดของมัน ที่ต้องมีทั้งแฝดที่ดีและแฝดที่ร้าย คล้ายเทวากับซาตานซึ่งเคยมีกรณีที่ถึงแก่ชีวิตมาแล้ว ซึ่งโดยมากมักเกิดจาก "ความไม่รู้" ในฤทธิ์อันไพศาลของยาแต่ละเม็ดที่กินอยู่ โดยเราจะค่อยมาดูกันไปทีละแฝดครับ

แฝดที่ดี
เสมือน คู่บุญ ยิ่งรู้จักกินให้เสริมกันก็จะยิ่งช่วยเสริมสุขภาพ หรือทำการรักษาโรคให้ท่านได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น และที่จริงก็ควรกินคู่กันเสียด้วย เพราะเรื่องของยาอาหารเสริมนี้มีหลักคือทำงานร่วมกัน โดยกลุ่มที่ควรกินร่วมกันช่วยเสริมให้ดีมีดังต่อไปนี ้ครับ

1) วิตามินซีกับคอลลาเจน จะช่วยกันสร้างเนื้อเยื่อใหม่ให้ใสปิ๊งปั๊งไม่เ่ยวหย่อนย้อย
2) ธาตุเหล็กกับวิตามินซี กินธาตุเหล็กให้ดีดูดซึมเข้าไปใช้ได้ ไม่ใช่กินเข้าไปอย่างไรถ่ายออกมาหน้าตาเหมือนเดิมนั้ น ต้องกินคู่กันอย่างเช่น ถ้าจะกินเลือดหมูให้ได้ธาตุเหล็กก็ควรกินกับผักที่มี วิตามินซีสูงเช่นใบ ตำลึงก็จะดีไม่น้อยครับ
3) แคลเซียมกับแมกนีเซียม แคลเซียมจะดูดซึมได้ดีต้องมี ?ตัวช่วย? พามันเข้าไปได้แก่แมกนีเซียม, วิตามินดีและวิตามินเคด้วยซึ่งอยู่ในแสงแดดและผักเขี ยวจัดตามลำดับ
4) วิตามินเอ,ซีและอี พยายามกินไปด้วยกันเป็นดี หรือสูตรที่ดีคือกินซีเพียงตัวเดียวส่วนเอกับอีนั้นก ินเอาจากผักคะน้าและ ถั่วงสักวันละกำมือ
5) น้ำมันปลา (ไม่ใช่น้ำมันตับปลา) ขอให้เลือกชนิดที่มี ดีเอชเอคู่กับกับอีพีเอ ยิ่งมากหน่อยยิ่งดีอย่างน้อยกินให้ได้ค่า ดีเอชเอ+อีพีเอ = 1,500 มิลลิกรัมต่อวัน โดยมีเคล็ดไว้ว่าถ้าอยากบำรุงสมองต้องเลือกชนิดที่มี ดีเอชเอเด่น แต่ถ้าจะให้บำรุงส่วนอื่นเป็นหลัก เช่นข้ออักเสบให้เลือกชนิดที่มีอีพีเอสูงด้วยครับ

แฝดที่ร้าย

แฝดตัวนี้ถือเป็นระดับ ?ตัวแม่? ที่น่ากลัวกว่าเยอะมากครับ เพราะอาจทำให้เกิดเลือดออกในสมองจนเป็นอัมพาต หรือหัวใจวายแน่นิ่งไปได้ จึงอยากชวนให้ท่านที่รัก มาสนใจในยาที่ไม่ควรกินร่วมกันสักนิดดังนี้ครับ

1) น้ำมันปลากับแอสไพริน คู่ร้ายอันดับแรก โดยน้ำมันปลานี้มีฤทธิ์ช่วยให้เลือดใสไม่หนืดเหนียว ส่วนแอสไพรินก็มีฤทธิ์เดียวกันคือ ช่วยให้ไม่เกิดลิ่มเลือดจับแข็งเป็นก้อนตัน เมื่อกินคู่กันเลยกลายเป็นคู่สังหารพาลให้เลือดไหลพร วดพราดไม่หยุด แม้การกรอฟันเพียงนิดก็อาจทำให้เลือดออกได้ ราวกับผ่าตัดใหญ่แล้วครับ

2) วิตามินอีและอีฟนิ่งพริมโรส มีคนไข้ที่อยากผิวสวยมาหาพร้อมบอกว่ามีคนแนะให้กินวิ ตามินอี แต่บ้างก็ให้เลือกเป็นอีฟนิ่งพริมโรสแทนจะเลือกอย่าง ไรดี จึงได้บอกไปให้เลือกอย่างหนึ่งก็พอ เพราะล้วนแต่มีวิตามินอีทั้งนั้น ซึ่งถ้าได้มากไปอาจทำให้เกิดหัวใจพิบัติแทน

3) แคลเซียมเสริมกับแคลเซียมสด ถ้า ท่านกินงาดำได้วันละ 4 ช้อนโต๊ะ หรือเต้าหู้ขาวแข็งวันละ 3 ขีดก็จะได้แคลเซียมราว 1,000 มิลลิกรัมอยู่แล้ว ซึ่งถ้าไปหาแคลเซียมเม็ดมากินเติมอีก จะทำให้แคลเซียมเกินและไปจับกับหลอดเลือดทำให้ตีบแข็ งได้

4) กาแฟกับแคลเซียม ขอให้เลี่ยงกินแคลเซียมร่วมกับกาแฟ เพราะกาแฟจะไปยับยั้งการดูดซึมแคลเซียม นอกจากนั้นยังไปดึงแคลเซียมออกจากกระดูกอีกด้วย

5) ธาตุเหล็กกับเลือดจางธาลัสซีเมีย เป็นไม้เบื่อไม้เมากันทีเดียว ขอให้ลืมความเชื่อที่ว่าถ้าเลือดจางต้องกินธาตุเหล็ก ไม่เสมอไปครับ หากท่านเป็นเลือดจางชนิดธาลัสซีเมียแล้วไปกินธาตุเหล ็กเสริม จะเท่ากับเติมยาพิษให้กับหัวใจและตับตัวเองครับ

ทั้ง แฝดดีแฝดร้ายนี้ที่จริงมีอีกมาก ซึ่งผมได้เคยเขียนไว้ในหนังสือแล้วและก็ตั้งใจจะเขีย นไว้เรื่อย ๆ เป็นตอนต่อไปในคอลัมน์นี้ แต่สำหรับที่เลือกมาให้เห็นนั้นเป็นตัวอย่างที่พบบ่อ ยหน่อยครับ และท่านจำไปใช้ประโยชน์ได้ทันที

เมื่อ ถึงตอนนี้ขอให้ท่านหยิบยาออกมาสังคายนาแยกวางเป็นชนิ ดไปบนโต๊ะ แล้วจัดเป็นกลุ่มไว้ว่ากลุ่มใดรักษาโรคไหน แล้วบางทีจะเกิดพุทธิปัญญาทีเดียวว่า กินยามากเกินความจำเป็นไปเพียงใด แต่นั่นก็ยังไม่ร้ายเท่ากินยาที่ดันไปเสริมฤทธิ์กันใ ห้เป็นพิษเข้าไปเสียอีก

ดัง นั้น ท่านจะเห็นว่าการกินยานั้นมีข้อหยุมหยิมอยู่มาก เมื่อเทียบกับกินอาหารธรรมชาติที่โอกาสเกิดการผสมกัน เป็นพิษน้อย เพราะมีส่วนประกอบสำคัญอยู่ในปริมาณที่ไม่เข้มข้นมาก เท่ายาเคมี แต่อย่างไรก็ดีคงต้องยึดหลักที่ว่าหูไวตาไวถ้ารู้สึก ว่า "ไม่ใช่" แล้วก็ให้รีบเร่งบอกอย่าปล่อยให้เลยตามเลยไว้นานเลยครับ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:51:55 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #43 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2009, 04:38:54 PM »

นั่งหน้าคอมพ์จนปวดคอ" อย่านิ่งดูดาย
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์19 พฤศจิกายน 2552 18:20 น.




ใครที่รู้ตัวว่ากำลังปวดคอหรือมีความเสี่ยงจะปวดคอจา กการนั่งทำงาน (หรือเล่นเกม) หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์นานเกินไปอย่าได้นิ่งเฉย บทความนี้จะพาคุณไปพบกับทางออกที่จะทำให้คุณสามารถป้ องกันและลดอาการปวดคอที่แสนทรมาน เพื่อให้คุณไม่ต้องประสบชะตากรรมเดียวกับพระเอกภาพยน ตร์เรื่องชัตเตอร์ กดติดวิญญาณ (ใครยังไม่ดู ลองไปหาดูแล้วจะเข้าใจมุกนี้)

ก่อนจะไปเรียนรู้ท่าทางการป้องกันอาการปวดคอ คุณต้องรู้ก่อนว่าต้นเหตุอาการปวดคอนั้นไม่ได้มาจากก ารนั่งหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ แต่จะมาจากทุกกรณีที่ทำให้อิริยาบทของร่างกายเราผิดเ พี้อนไป

อาจารย์ผกาภรณ์ พู่เจริญ อาจารย์ประจำคณะสหเวชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) อธิบายว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดคอนั้น เริ่มที่การมีอิริยาบถไม่ถูกต้อง เช่น หนุนหมอนสูงเกินไป ก้มหรือเงยหน้านานๆ อาจจะทำงานหน้าคอมพิวเตอร์หรือเขียนหนังสืออ่านหนังส ือเป็นเวลานานๆ โดยไม่หยุดพัก แถมการศึกษายังพบว่าอาการปวดคอมีสาเหตุมาจากการเสื่อ มสมรรถภาพของกระดูก ส่งผลทำให้มีอาการปวดร้าวไปยังท้ายทอย แขน กล้ามเนื้อแขนอ่อนแรง

ขณะเดียวกัน อาการปวดคออาจมีสาเหตุมาจากอารมณ์ตึงเครียดซึ่งส่งผล ให้มีการเกร็งของกล้ามเนื้อคอเป็นเวลานาน

?เมื่อเกิดอาการก็ต้องรีบรักษา" อาจารย์บอกว่าจะมีการแบ่งผู้ป่วยออกเป็น 2 ระยะ "คือ 1.ระยะเฉียบพลัน 1 ? 2 ผู้ที่มีอาการปวดคอต้องพยายามพักผ่อนกล้ามเนื้อคอโดย การนอนราบ ใช้น้ำแข็งประคบบริเวณที่เกิดการอักเสบ ใช้เวลาในการประคบประมาณ 15 ? 20 นาที 2.ระยะเรื้อรัง ผู้มีอาการต้องยืดกล้ามเนื้อคอด้วยตัวเอง โดยใช้มือดันศีรษะไปในทิศทางที่หันไม่ได้ช้าๆ จนรู้สึกตึงทำค้างไว้ครั้งละประมาณ 10 วินาทีจำนวน 10 ครั้ง หรือจนอาการดีขึ้น แล้วประคบด้วยถุงน้ำร้อน 15 - 20 นาที หมั่นออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ หากมีอาการปวดมากขึ้น ควรรับการรักษาทางกายภาพบำบัด"

อาจารย์ย้ำว่าทุกคนสามารถป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดค อได้ ด้วยการหลีกเลี่ยงการทำงานในลักษณะก้มหรือเงยหน้าเป็ นเวลานาน และควรเปลี่ยนอิริยาบถบ่อยๆ ไม่นอนหนุนหมอนที่สูงและแข็งเกินไป และออกกำลังกายกล้ามเนื้อคออย่างสม่ำเสมอ

อาจารย์ผกาภรณ์ให้เคล็ดวิชา 4 กระบวนท่าออกกำลังกายเพื่อป้องกันอาการปวดคอ ได้แก่ ท่าก้มและเงยหน้า ท่าหันหน้าซ้ายและขวา ท่าเอียงคอซ้ายขวา และท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ

- ท่าก้มและเงยหน้า จะเริ่มต้นด้วยการนั่งหรือยืนก็ได้ แต่ศีรษะต้องตั้งตรง จากนั้นค่อยๆ ก้มให้คางชิดอก แล้วเงยหน้าขึ้นช้าๆ ให้มากที่สุด ทำท่านี้ 5 ? 10 ครั้ง

- ท่าหันหน้าซ้ายและขวา จะเริ่มต้นด้วยนั่งหรือยืนก็ได้ จากนั้นหันไปทางซ้ายช้าๆ แล้วค่อยๆ หมุนศีรษะกลับมาทางขวา ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง ข้อควรระวังหากมีอาการมึนศีรษะ ตาลายให้หยุดการออกกำลังกายทันที

- ท่าเอียงคอซ้ายขวา จะนั่งหรือยืนก็ได้เหมือนเคย แต่ให้ศีรษะตรง จากนั้นเอียงศีรษะไปทางซ้ายช้าๆ ให้ทิศทางของใบหูจรดไหล่จนรู้สึกตึง ค่อยๆ เอียงศีรษะกลับมาทางขวาทำเช่นเดียวกัน ทำซ้ำประมาณ 5 ? 10 ครั้ง

- ท่าเกร็งกล้ามเนื้อคอ ให้ก้มหน้า วางมือบนหน้าผาก ออกแรงต้านกับการก้มหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง เงยหน้า ประสานมือที่ท้ายทอย ออกแรงต้านกับการเงยหน้า ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง เอียงคอ วางมือที่ด้านข้างซ้ายของศีรษะออกแรงต้านกับการเอียง คอไปด้านซ้าย วางมือด้านขวาของศีรษะแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง หันศีรษะ วางมือซ้ายบนขมับซ้ายออกแรงต้านกับการหันศีรษะไปด้าน ซ้าย วางมือขวาบริเวณขมับขวาแล้วทำเช่นเดียวกัน ครั้งละ 10 วินาที ทำซ้ำ 5 ? 10 ครั้ง การดูแลตัวเองและป้องกันไม่ให้เกิดอาการปวดคอนั้นเป็ นสิ่งที่ควรกระทำก่อนที่จะปล่อยให้อาการปวดคอเกิดขึ้ น


..อย่าลืมว่าสุขภาพดีไม่มีขาย อยากได้ต้องทำเอานะจ้ะ..
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 10:45:25 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #44 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2009, 06:55:24 PM »




โรคอหิวาต์คืนชีพหน้าหนาว ระวังอย่าเปิบเมนูสุก ๆ ดิบ ๆ (มติชน)

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ฤดูหนาว เป็นช่วงที่มีเทศกาลฉลองกันจำนวนมาก มักจะมีปัญหาโรคอุจจาระร่วงเกิดขึ้นเป็นประจำ ที่สำคัญในช่วงฤดูหนาวมีลานเบียร์ ซึ่งนิยมกินกับอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ โรคที่กระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญเป็นพิเศษ ได้แก่ อหิวาตกโรค (Vibrio Cholera) ซึ่งในปีนี้เริ่มพบผู้ป่วยในวงแคบบางพื้นที่ของจังหว ัดปัตตานี ตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม และต่อมาพบแพร่กระจายมาบางพื้นที่ของนราธิวาสและสงขล า ผู้ป่วยส่วนใหญ่เป็นลูกเรือประมงต่างชาติ และสมาชิกในครอบครัว เนื่องจากมีพฤติกรรมกินอาหารสุก ๆ ดิบ ๆ และไม่สะอาด

นอก จากนี้ ยังเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อน ซึ่งมีส่วนทำให้เชื้อโรคมีมากขึ้น และเข้าใกล้ชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะชุมชนชายทะเล การพบผู้ป่วยดังกล่าว เป็นสัญญาณให้ต้องเร่งควบคุมป้องกัน ในระบบความสะอาดของสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อม ได้สั่งการให้สำนักงานสาธารณสุขทุกจังหวัดทั่วประเทศ จัดระบบเฝ้าระวังโรคอหิวาตกโรคเป็นกรณีพิเศษ

นพ.มานิต ธีระตันติกานนท์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า การควบคุมโรคใน 3 จังหวัดข้างต้นนี้ มาตรการสำคัญ คือเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงโดยเฉพาะลูกเรือประมง ผู้ค้าขายอาหารทะเล การเฝ้าระวังการปนเปื้อนเชื้ออหิวาต์ในอาหารทะเล น้ำ น้ำแข็ง จัดให้มีการใช้ส้วมร้อยเปอร์เซ็นต์ เติมคลอรีนในน้ำใช้ให้สูงกว่ามาตรฐานคือ 0.5-1 พีพีเอ็ม (1 ส่วนในล้านส่วน) ให้ความรู้ประชาชนในการป้องกันโรค เน้นความสะอาด กินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือ กินอาหารสุก ห้ามถ่ายอุจจาระลงน้ำ

สำหรับ เมนูที่เสี่ยงต่ออหิวาตกโรคคือ เมนูสุก ๆ ดิบ ๆ ที่นิยมกินแกล้มเหล้าเบียร์ เช่น ลาบ หอยแครงลวกไม่นานพอ จะต้องกินสุกจึงจะปลอดภัย จากการศึกษาทางวิชาการพบว่า เชื้ออหิวาต์เป็นเชื้อที่มีอยู่ในธรรมชาติ อยู่ในน้ำทะเลและน้ำกร่อย โดยเชื้ออหิวาต์ จะเกาะอยู่กับแพลงตอน เมื่อสัตว์ทะเลกินแพลงตอนจึงพบเชื้ออหิวาต์ อาหารต้องผ่านความร้อน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: