Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 75587 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #150 เมื่อ: มีนาคม 30, 2011, 12:50:56 PM »

ยาใส่แผล มีกี่แบบ และใช้อย่างไร ?



ยาที่ใช้ใส่แผลในท้องตลาด ปัจจุบันมีจำหน่ายหลายชนิด ทั้ง ยาเหลือง ยาแดง ทิงเจอร์ แอลกอฮอล์ เป็นต้น การเลือกใช้ยาแต่และชนิดต้องคำนึงถึงลักษณะบาดแผลเป็นหลัก โดยทั่วไปการแบ่งประเภทบาดแผลมีหลายวิธี เช่น แบ่งตามความสะอาดของแผล แบ่งได้เป็น แผลสะอาด หมายถึงแผลที่ไม่มีการติดเชื้อ เช่น แผลมีดบาด แผลผ่าตัด มีโอกาสติดเชื้อต่ำ และ แผลสกปรก หมายถึง แผลเปิดที่มีการมีอาการปวด บวม แดง อาจมีเลือดหรือน้ำเหลืองออกมาบริเวณปากแผล มีโอกาสติดเชื้อสูง รวมถึงบาดทะยัก หากแบ่งประเภทตามระยะเวลาการเกิดแผล แบ่งได้เป็น แผลสด เป็นแผลที่เกิดขึ้นใหม่ๆ เช่น มีดบาด และ แผลเรื้อรัง เป็นแผลที่มีการติดเชื้อ มีการทำลายของเนื้อเยื่อเกิดเป็นเนื้อตาย เป็นหนอง เช่น แผลกดทับ แผลจากการฉายรังสี เป็นต้น

หากมีการบาดเจ็บรุนแรงเลือดออกหรือแผลสกปรกปนเปื้อนม าก ควรพบแพทย์ก่อนเพื่อห้ามเลือดและทำความสะอาดแผลหรือฉ ีดยาป้องกันบาดทะยัก การดูแลบาดแผลจะมีการใช้น้ำยาทำความสะอาดแผลและยาใส่ แผลหลายชนิดแตกต่างกัน ไปตามแต่ประเภทของบาดแผล ดังนี้

น้ำยาล้างแผล ใช้สำหรับทำความสะอาดแผลเบื้องต้นเพื่อชะล้างเชื้อโร คและสิ่งสกปรกให้หลุด ออกไป และช่วยให้แผลอ่อนตัวลงสามารถซึมซับยาใส่แผลได้ดีขึ้ น น้ำยาที่ใช้ได้แก่


น้ำเกลือความเข้มข้น 0.9% นิยมใช้ล้างแผลมากที่สุด ไม่ระคายเคืองต่อเนื้อเยื่อ ไม่ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน ช่วยให้เนื้อเยื่อที่ตายแล้วเกิดความชุ่มชื้นหลุดออก ได้ง่าย

ไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์ความเข้มข้น 3% ใช้สำหรับชะล้างแผลสกปรก มีหนองมากหรือมีเนื้อตาย เมื่อน้ำยาสัมผัสกับแผลจะปล่อยออกซิเจนออกมาเป็นฟองฟ ู่และมีความร้อน ช่วยชะล้างเนื้อตายที่บาดแผลได้

น้ำยาเช็ดรอบแผล ใช้สำหรับเช็ดทำความสะอาดผิวหนังบริเวณรอบๆ แผล เพื่อลดจำนวนเชื้อโรค แต่จะไม่เช็ดไปที่แผลโดยตรงเนื่องจากทำให้แสบ ระคายเคือง และแผลหายช้า ได้แก่ แอลกอฮอล์ 70% ในท้องตลาดจะมี 2 ชนิดคือ เอธิลแอลกอฮอล์ 70% (Ethyl alcohol) และ ไอโซโพรพิลแอลกอฮอล์ 70% (Isopropyl alcohol) ซึ่งมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อไม่ต่างกัน

ยาใส่แผล มีหลายชนิด ใช้หลังจากที่ทำความสะอาดบาดแผลเสร็จแล้ว โดยทั่วไปควรเลือกให้เมาะสมกับประเภทของบาดแผล ได้แก่


ทิงเจอร์ไอโอดีน ความเข้มข้น 2.5% (Tincture iodine 2.5% w/v) ใส่แผลสดหรือแผลถลอก นิยมเช็ดรอบๆ แผล ฆ่าเชื้อโรคได้หลายชนิด แต่มีข้อเสียคือเมื่อทาที่ผิวหนังแล้วตัวทำละลายจะระ เหยไปอย่างรวดเร็ว ตัวยามีความเข้มข้นสูง ทำให้ผิวหนังเกิดไหม้พองได้ ดังนั้น หลังจากใช้น้ำยา 1 นาที ให้เช็ดตามด้วยแอลกอฮอล์ 70% ไม่นิยมใช้กับแผลบริเวณเนื้อเยื่ออ่อนๆ

โพวิโดน-ไอโอดีน ความเข้มข้น 10% (Povidone-Iodine 10% w/v) นิยมใช้ค่อนข้างมาก ใช้เช็ดแผลสด แผลไฟไหม้ แผลถลอก มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคได้ดี ไม่ระคายเคืองต่อผิวหนัง แสบน้อยกว่าทิงเจอร์ไอโอดีน

ทิงเจอร์ไทเมอรอซอล ความเข้มข้น 0.1% (Thimerosal 0.1% w/v) ใช้ใส่แผลสด หรือแผลถลอก ไม่ใช้กับผิวอ่อน และเด็กอ่อน

ยาเหลือง (acriflavin) ใช้กับแผลเรื้อรัง แผลเปื่อย กดทับ ไม่นิยมใช้กับแผลสด

ยาแดง (mercurochrome) เหมาะกับแผลถลอกเล็กน้อย แต่ถ้าเป็นบาดแผลที่ค่อนข้างลึก ยาจะทำให้แผลด้านบนแห้งแต่ด้านล่างยังคงแฉะอยู่ แผลจะหายช้า และเนื่องจากยามีส่วนผสมของสารปรอทหากใช้บ่อยๆ อาจทำให้เกิดพิษจากสารปรอทได้ ปัจจุบันนี้จึงไม่นิยมมากนัก



สำหรับบาดแผลสดที่ไม่ลึกหรือกว้างมาก หากทำความสะอาดแผลอย่างถูกวิธีและปิดผ้าก๊อซเพื่อป้อ งกันเชื้อโรคจากภายนอก แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อโรคใดๆ เนื่องจากแผลจะค่อยๆ สมานตัวและหายได้เอง แต่หากต้องการใช้ยาควรเลือกชนิดที่ระคายเคืองต่อผิวน ้อยที่สุด

กรณีแผลถูกไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกที่ผิวหนังชั้นนอกไม่ รุนแรงมาก แผลมีขนาดเล็ก ให้ล้างแผลด้วยน้ำเย็นหรือใช้ผ้าห่อน้ำแข็งประคบบาดแ ผล เพื่อบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อนและป้องกันไม่ให้ความร ้อนทำลายเนื้อเยื่อมาก ขึ้น ไม่ควรใช้ยาสีฟัน น้ำปลา หรือยาหม่อง ทาแผล เพราะไม่ได้ช่วยบรรเทาความร้อนที่บาดแผลและอาจทำให้เ นื้อเยื่อถูกทำลายมาก ขึ้นด้วย อาจใช้ยาทาเพื่อช่วยบรรเทาอาการปวดแสบปวดร้อน เช่น เจลว่านหางจระเข้ น้ำมันมะกอก หรือขี้ผึ้งวาสลีน ถ้ามีตุ่มน้ำพองเล็กๆ ไม่ควรเจาะออกแต่ให้ทายาฆ่าเชื้อ เช่น โพวิโดนไอโอดีนแล้วปิดด้วยผ้าก๊อซ ตุ่มจะแห้งเองใน 3-7 วัน แล้วหลุดลอกออกมา หากแผลไฟไหม้หรือน้ำร้อนลวกมีความรุนแรงมากหรือกินบร ิเวณกว้างจะมี อันตรายกว่าบาดแผลขนาดเล็ก เสี่ยงต่อการสูญเสียน้ำของร่างกายและติดเชื้อได้ง่าย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อ การรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยต่อไป

นอกจากที่กล่าวมาข้างต้นแล้วยังมียาใส่แผลชนิดอื่นอี กหลายรูปแบบ เช่น ยาครีม ยาขี้ผึ้ง หรือเจลทาแผล ใช้แตกต่างกันตามบริเวณที่เกิดแผลและชนิดและความรุนแ รงของแผล แต่เนื่องจากยาเหล่านี้มีส่วนผสมของตัวยาปฏิชีวนะหลา กหลายชนิด ซึ่งถือเป็นยาอันตราย การเลือกใช้ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรก่อน

โดย : ภญ.เพ็ญนภา ม่วงศรี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #151 เมื่อ: เมษายน 14, 2011, 09:28:17 PM »

“ ไซบูทรามีน ” ภัยจากกาแฟลดความอ้วน



จากที่ได้เห็นการโฆษณากาแฟลดความอ้วนจากหลากหลายทาง ทั้งโทรทัศน์ วิทยุ อินเตอรเน็ต หรือแม้แต่ตามร้านค้าทั่วไป ซึ่งหลายคนก็คงอยากจะลองใช้ดูบ้าง

แต่เมื่อไม่นานมานี้ก็เพิ่งมีข่าวการเข้าจับกุมแหล่งขายกาแฟลดความ อ้วนที่ผสมสารอันตรายหลายยี่ห้อ ซึ่งเมื่อได้นำมาตรวจสอบแล้วก็พบสารไซบูทรามีน (Sibutramine) ผสมอยู่ในตัวผลิตภัณฑ์

สารไซบูทรามีนจัดเป็นยาควบคุมพิเศษที่ใช้ในคลินิก สำหรับลดความอ้วน ซึ่งตอนนี้องค์การอาหารและยาได้ประกาศยกเลิกตำรับยาแล้ว เพราะมีอันตรายที่อาจทำให้หัวใจหยุดเต้นได้ โดยอยู่ระหว่างการเรียกคืนจากร้านขายยา คลินิกและโรงพยาบาลทุกแห่ง ยี่ห้อการค้าในท้องตลาดคือรีดัคทิล (Reductil)

วิธีการสังเกตว่ากาแฟที่กินอยู่ผสมสารไซบูทรามีนหรือไม่ ให้ดูจากการอวดอ้างสรรพคุณ ซึ่งกาแฟกลุ่มนี้จะอวดอ้างสรรพคุณเรื่องรูปร่างดี เมื่อกินเข้าไปเริ่มแรกจะมีอาการใจสั่น หวิวๆ รู้สึกไม่สบายคล้ายจะเป็นลม ตามมาด้วยไม่อยากกินอาหาร โดยอาการจะเกิดภายหลังรับประทานเพียง 1-2 แก้ว ซึ่งอาการใจสั่นจะรุนแรงกว่าการกินกาแฟทั่วๆ ไป หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดกินทันที และส่งตัวอย่างกาแฟให้ อย. เพื่อตรวจสอบและดำเนินคดีต่อไป

ส่วนการกินกาแฟเพื่อลดความอ้วนนั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ให้ความรู้ไว้ว่า ตัวกาแฟไม่สามารถลดความอ้วนได้อยู่แล้ว ฉะนั้น หากมีการอวดอ้างสรรพคุณลดความอ้วนจะต้องมีการผสมสารบางอย่างลงไป และสำหรับการลดความอ้วนที่จำเป็นต้องใช้ยา จะต้องอยู่ภายใต้คำสั่งการดูแลของแพทย์เท่านั้น

หลักในการควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้อ้วน จะต้องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง วันละ 30 นาทีสัปดาห์ละ 3 วัน และปรับพฤติกรรมการกินอาหาร ลดอาหารหวาน มัน เค็ม เพิ่มผักผลไม้ที่รสไม่หวาน กินให้ครบ 5 หมู่แต่พอเพียง ซึ่งจะเป็นการลดความอ้วนตามหลักการแพทย์ที่ถูกต้อง

สาวๆ (หรือหนุ่มๆ) คนไหนที่อยากจะลดหุ่นให้ดูดีตามที่ใจต้องการ ก็ไม่ต้องไปพึ่งพากาแฟเหล่านั้น เพียงแต่กินอาหารให้ถูกสัดส่วน และออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง ก็เพียงพอแล้ว


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #152 เมื่อ: เมษายน 19, 2011, 06:01:49 PM »

10 หลุมดำเรื่องกิน รู้ไว้ก่อนจะสาย!!!


ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร

เริ่มจาก “กินเช้าดีแต่…ต้องมีลิมิต” อย่าคิดเน้น  แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 “กินแค่พออิ่ม” ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ “อิ่ม” ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ “อิ่มก่อนอิ่ม”แล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ

หลุดถัดไป “ชอบลิ้มก่อนนอน” ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง “ธาตุนิทรา(Melatonin)” กับ “ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone)” แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า “อย่าย้อนกระเพาะ” ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 “กินต้องฝึก” นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า “หิวจริง” หรือ “หิวหลอก” บ่อยครั้งที่เป็นแค่ “อยาก” คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย…จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด “กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม” ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้

หลุมดำที่ 6 คือ “นึกแต่หวาน” ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ “ของหวาน” ครับ คนไทยเป็น “โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction)” กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ

หลุมดำเรื่องกินที่ 7 “ทานเน้นมัน(ดี)” ขอให้เลือก “ไขมันดี” ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้

หลุมดำที่ 8 “กินติดปรุง” อย่ายุ่งกับ “พวงเครื่องปรุง” ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ

หลุมดำที่ 9 “มุ่งกินกาก” หากอยากให้สุขภาพดีจน “สุดไส้” แถมได้ “ล้างพิษ” ไปในตัวขอให้ช่วยกิน “เส้นใย(ไฟเบอร์)” ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ

หลุมดำสุดท้าย “อยากให้หลากหลาย” อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อ
กระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี



ข่าวโดย : เดลินิวส์ออนไลน์



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #153 เมื่อ: เมษายน 19, 2011, 07:52:59 PM »

อาบน้ำให้ตุ๊กตา



ใครที่มีตุ๊กตาตัวโปรด กอดทุกวันเข้าก็ชักจะดำ สกปรก ดีไม่ดีมีฝุ่น มีเชื้อโรคมากมายมาสะสม หายใจเข้าไปทีก็จะไม่ดีต่อสุขภาพของตัวเอง หากวันไหนว่าง ๆ ลองเอาตุ๊กตาแสนรักออกมาซักกันดีกว่า

เริ่มแรกให้เตรียมน้ำอุ่นใส่กะละมังขนาดพอ ๆ กับตุ๊กตาที่จะซัก ผสมแชมพูเด็กลงไป แล้วตีแชมพูให้เข้ากับน้ำจนเกิดฟอง ใช้ฟองน้ำหรือผ้านุ่ม ๆ ชุบน้ำแชมพูขึ้นมาถูเบา ๆ ให้ทั่วขนตุ๊กตา ตรงไหนที่มีรอยเปื้อน รอยดำมากก็ให้ใช้แปรงสีฟันขนอ่อน ๆ ถูบริเวณรอยนั้นเบา ๆ เพราะถ้าแรงเกินไปอาจทำให้ขนตุ๊กตาหลุดออกได้

เมื่อซักเสร็จแล้วให้เตรียมน้ำอุ่นอีกกะละมังหนึ่งผส มน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นโปรดเล็กน้อย แล้วนำผ้าหรือฟองน้ำชุบน้ำที่เตรียมไว้บิดให้หมาด ๆ นำไปเช็ดตามขนให้ทั่ว เพื่อซับเอาแชมพูออก แล้วนำผ้าขนหนูแห้ง ๆ เช็ดตามตัวตุ๊กตาจนขนเริ่มแห้ง จึงนำไปผึ่งในที่ร่ม มีลมโกรก ทิ้งไว้จนแห้ง

เท่านี้น้องตุ๊กตาตัวโปรดก็จะกลับมาสะอาด และหอม น่ากอดดังเดิม.




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #154 เมื่อ: เมษายน 19, 2011, 07:57:11 PM »

7 เรื่องต้องรู้ เมื่อคุณคิดจะจัดฟัน




การดัดฟัน...หรือพูดกันให้ถูกต้อง คือ จัดฟัน นี้นอกจากจะทำให้ดูเป็นหนุ่มสาวสุขภาพดี น่ารัก หลายคนคงสงสัยว่าจริง ๆ แล้วมันมีดีตรงไหน และถ้าเราจะจัดฟันบ้าง ต้องทำยังไงบ้าง


1.จัดฟัน...คืออะไร
การ จัดฟัน เป็นวิธีการแก้ปัญหาฟันเรียงตัว และสบฟันผิดปกติ ไม่สวยงาม โดยการใช้เครื่องมือจัดฟันเพื่อเคลื่อนฟันไปยังตำแหน ่งที่เหมาะสม เพื่อประโยชน์ในด้านสุขภาพฟัน และบุคลิกภาพที่ดี การจัดฟันสามารถทำได้ตั้งแต่เด็กจนถึงผู้ใหญ่ แต่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดคือ ประมาณ 10-14 ปี เพราะร่างกายกำลังเจริญเติบโต ฟันจะเคลื่อนที่ได้ง่าย

2.ดียังไง เห็นคนจัดฟันกันจัง
• เพื่อสุขภาพที่ดีของช่องปาก หากมีปัญหาฟันซ้อนเก ฟันยื่น ฯลฯ จะทำให้การทำความสะอาดฟันไม่ทั่วถึง จะเกิดปัญหาฟันผุตามมา เมื่อจัดฟันให้เข้าที่เข้าทางแล้ว ย่อมแปรงฟันได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
• เพื่อให้ฟันทำหน้าที่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
• เพื่อความสวยงาม และบุคลิกภาพที่ดีขึ้น

3.เครื่องมือที่ใช้จัดฟันมีอะไรบ้าง
เครื่องมือจัดฟันมีทั้งแบบถอดได้ และแบบติดแน่นอยู่กับฟัน ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของฟัน และความสะดวกว่าเราเหมาะสมที่จะใช้แบบไหน
• แบบนอกช่องปาก จะมีบางส่วนที่ยื่นออกมานอกช่องปาก โดยผู้รักษาสามารถถอดใส่เองได้
• แบบถอดได้ ผู้รักษาจะถอดและใส่เครื่องมือนี้ได้เอง
• แบบติดแน่นอยู่กับฟัน (Bracket) เครื่องมือนี้จะติดวัสดุที่ผิวฟัน มีทั้งที่เป็นโลหะ พลาสติก และเซรามิค แล้วใช้ลวดคาดผ่านร่องเพื่อดึงให้ฟันเรียงกันเป็นปกต ิ

4.ใช้เวลานานแค่ไหน
โดย ทั่วไปจะใช้เวลาประมาณ 1 ปีครึ่ง - 3 ปี แต่บางคนอาจใช้เวลานานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับความผิดปกติของฟันว่ามากน้อยแค่ไหน ในช่วงเวลาที่รับการรักษา ทันตแพทย์จะนัดคนไข้ทุก 1 เดือน เพื่อปรับเครื่องมือ และตรวจผลการรักษาเป็นระยะ ๆ

5.กว่าจะได้จัดฟัน ต้องผ่านด่านอะไรบ้าง
• ก่อนอื่น ทันตแพทย์จะพิมพ์แบบฟัน เพื่อบันทึกรายละเอียด และตรวจสภาพการสบฟัน นอกจากนี้ จะมีการเอ็กซเรย์ฟัน เพื่อดูโครงสร้างใบหน้า และขากรรไกร
• ตรวจฟันว่าต้องรักษาฟันก่อนหรือไม่ เช่น ถอนฟัน อุดฟัน รักษารากฟัน โรคเหงือก ฯลฯ ซึ่งจำเป็นต้องรักษาก่อนใส่เครื่องมือจัดฟัน เพื่อความแข็งแรง และการจัดฟันมีประสิทธิภาพ
• ฟังคำแนะนำ ข้อควรปฏิบัติต่างๆ แเละตกลงเรื่องราคาค่าจัดฟันกับทันตแพทย์
• ทันตแพทย์จะติดเครื่องมือจัดฟันให้ ในช่วงแรกๆ จะรู้สึกเจ็บบ้าง แต่อาการนี้จะค่อยๆ หายจนเป็นปกติดี ภายใน 1 – 2 สัปดาห์

6.ดูแลยังไง ให้ถูกวิธี
ระหว่างจัดฟัน เราควรดูแลความสะอาดของฟัน และช่องปากให้ดีอยู่เสมอ ควรใช้แปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟันโดยเฉพาะ เพราะฟันที่ถูกติดเครื่องมือแล้ว จะทำความสะอาดยากกว่าเดิม เนื่องจากเศษอาหารจะเข้าไปติดตามร่องต่างๆ ได้ง่าย นอกจากนี้ควรงดรับประทานอาหารบางประเภท เช่น อาหารแข็ง และอาหารเหนียว ๆ อย่างตังเม หรือหมากฝรั่ง และระมัดระวังในการรับประทานของหวาน เพราะฟันจะผุได้ง่าย

7.แพงไหม
การจัดฟันใช้งบประมาณค่อนข้างสูง แต่ผลที่ได้รับก็คุ้มค่า ค่าใช้จ่ายโดยประมาณมีดังนี้
• จัดฟันโดยใช้เครื่องมือแบบถอดได้ 3,000-10,000 บาท
• จัดฟันโดยใช้เครื่องมือติดแน่นแบบโลหะ ประมาณ 30,000-50,000 บาท
• จัดฟันโดยใช้เครื่องมือติดแน่นแบบเซรามิค ประมาณ 40,000-60,000 บาท

การชำระเงินเป็นแบบผ่อนจ่าย โดยแยกออกเป็น:

• ราคาค่าจัดฟันไม่รวม อุด ถอน ขูดหินปูนระหว่างรักษา
• พิมพ์แบบฟันประมาณ 1,000 บาท
• เอ็กซเรย์ 2 ฟิล์ม 800 บาท
• เริ่มติดเครื่องมือจัดฟัน (แบบติดแน่น) ฟันบน 5,000 ฟันล่าง 5,000 ปรับเครื่องมือครั้งแรก 3,000 บาท
• ชำระค่ารักษาในการปรับเครื่องมือเดือนละ1 ครั้งๆ ละประมาณ 1,000 บาท
• รีเทนเนอร์ (Retainer: เครื่องมือที่ใส่หลังจัดฟันเสร็จแล้ว) 2 ชิ้น ฟันบน, ล่าง รวม 4,000 บาท

*ราคาค่าจัดฟันข้างต้นไม่รวม อุด ถอน ขูดหินปูนระหว่างรักษา และราคาทั้งหมดเป็นราคาโดยประมาณ โปรดตรวจสอบกับทางคลินิก หรือโรงพยาบาลที่ท่านรับบริการอีกครั้ง

อย่าลืมว่า การจัดฟันจะสำเร็จได้ผลเต็มที่ ต้องอาศัยความร่วมมือ จากคุณ ๆ เจ้าของฟันด้วยนะ ต้องปฏิบัติตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด มาหาทันตแพทย์ตามนัดเสมอ แล้วฟันของคุณก็จะสวยปิ๊ง จนไม่อยากหุบยิ้มอีกเลยล่ะ




ที่มา : zazana.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #155 เมื่อ: เมษายน 22, 2011, 10:57:59 AM »

อากาศร้อน ๆ อย่างนี้  พักผ่อนบ้างนะจ๊ะ

อยากหม่ำอะไรหร่อย ๆ ทางใต้มั๊ย  เดี๋ยวส่งไปให้เป็นพัสดุเก็บเงินปลายทาง หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ

ล้อเล่นน่า  อยากกินไรมั๊ย  (ยกเว้นเด็ก...)  เด๋วส่งไปให้ Wink
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #156 เมื่อ: เมษายน 23, 2011, 08:36:04 PM »

บำรุงสมองลูกน้อยเมื่อไหร่ดี



เรื่องของ “สมอง” นั้นสำคัญที่สุด โดย เฉพาะกับลูกน้อย ซึ่งปัจจัยสำคัญ “อาหาร” ที่จะช่วยเสริมสร้างพัฒนาการด้านสมองของลูกน้อย

พญ.วรีรัตน์ ยมจินดา กุมารแพทย์ สาขาพัฒนาการ และพฤติกรรมเด็ก รพ.พญาไท 3 บอกว่า สมองของทารกมีการพัฒนาตั้งแต่อยู่ในท้องคุณแม่ ซึ่งจะแบ่งเซลล์เร็วมากในช่วง 3 เดือนสุดท้ายก่อนคลอด ฉะนั้น ต้องเริ่มบำรุงตั้งแต่ในครรภ์และบำรุงต่อเนื่องจนหลังคลอด โดยเฉพาะในช่วง 2 ปีแรก ถ้าลูกได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอและเลี้ยงดูอย่างถูกต้อง จะทำให้สมองมีการพัฒนาดีขึ้น



แน่นอนว่า “นมแม่” นั้นเป็น “อาหารที่ดีที่สุด” กุมารแพทย์ บอกต่อด้วยว่า ในช่วง 4-6 เดือนแรก นมแม่อย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว ทารกที่กินนมแม่อย่างต่อเนื่องเป็นเวลามากกว่า 2 เดือนขึ้นไปจะมีการเจริญเติบโตและมีขนาดสมองที่สมวัย มีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ และเชาวน์ปัญญา การรับรู้ การมองเห็น การใช้กล้ามเนื้อที่แตกต่างจากทารกที่ได้รับนมผสม

นอกเหนือจากนมแม่แล้ว ลองดูอาหารอื่นที่เหมาะสมในแต่ละวัยกันบ้าง

 4 เดือนเลือกข้าวบดละเอียดใส่ไข่แดงต้มสุก สลับกับตับบด น้ำซุป กล้วยน้ำว้าขูด 2 ช้อนชา แล้วค่อยๆ เพิ่มเป็นครึ่งถ้วย

 5 เดือนเพิ่มเนื้อปลาต้มสุกและผักต้มเปื่อยประมาณครึ่งถ้วย ปลาต้มควรยีให้ยุ่ย อย่าให้มีก้างเหลือ ถ้าเด็กแพ้อาหารทะเล เลือกปลาน้ำจืดแทนก็ได้

 6 เดือนเพิ่มเนื้อสัตว์ สับละเอียด รวมทั้งไข่ไก่ และข้าวบดที่หยาบขึ้นเล็กน้อยประมาณ 1 ถ้วย

 7 เดือนลูกสามารถกินผลไม้ได้บ้างแล้ว ควรเลือกผลไม้ย่อยง่าย เช่น กล้วย มะละกอสุก หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ฝึกให้ลูกเคี้ยว แต่ต้องคอยดูแลอย่างใกล้ชิด

 8-9 เดือนลูกเริ่มมีฟันขึ้น 3-4 ซี่ สามารถกินอาหารเนื้อหยาบกว่าเดิมได้ คุณแม่สามารถให้อาหารเสริมได้ 1-2 มื้อ

 10-12 เดือนอาหารเสริมเพิ่มเป็น 3 มื้อ อาหารว่างวันละ 1 มื้อ หลังจากอายุ 6 เดือน จำนวนมื้อของนมแม่จะลดลง เมื่ออายุ 1 ปี อาหารเสริมจะกลายเป็นอาหารมื้อหลัก 3 มื้อ และนมแม่ วันละ 3-4 มื้อ

 1-3 ปีหัดให้กินข้าวสวยหุงนิ่ม เหมือนผู้ใหญ่ได้แล้ว แต่ไม่ควรปรุงรส และควรให้อาหารว่างระหว่างมื้อด้วย เช่น น้ำผลไม้กับแพนเค้ก หรือ เลือกผลไม้ที่ลูกชอบ เช่น มะม่วงสุก ส้ม แอปเปิ้ล ฝรั่ง

อาหารเป็นสิ่งสำคัญต่อการพัฒนาการของลูกน้อยอย่างยิ่ง เลือกให้เหมาะสมเพื่อให้ลูกได้เติบโตขึ้นมาอย่างมีคุณภาพ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 23, 2011, 08:38:27 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #157 เมื่อ: เมษายน 29, 2011, 01:02:04 PM »

ขอบคุณข้อมูลดี ๆจ้า

save ข้อมูลไว้แล้ว  เดี๋ยวจะเอาไว้ใช้กับเจ้าตัวยุ่งคนต่อไปจ้า Grin
บันทึกการเข้า
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #158 เมื่อ: พฤษภาคม 06, 2011, 03:12:06 PM »

เจ้าของบ้านหายไปไหนหลายวัน sleepy
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #159 เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2011, 10:04:48 PM »

อากาศร้อน ๆ อย่างนี้  พักผ่อนบ้างนะจ๊ะ

อยากหม่ำอะไรหร่อย ๆ ทางใต้มั๊ย  เดี๋ยวส่งไปให้เป็นพัสดุเก็บเงินปลายทาง หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ หัวเราะกันนะ

ล้อเล่นน่า  อยากกินไรมั๊ย  (ยกเว้นเด็ก...)  เด๋วส่งไปให้ Wink


Oh my god! I'm so sorry I just saw it Wink

Thanks mak mak Kha ขอบคุณค่ะ

อิ อิ พอดีช่วงนี้ กินกระจาย อ้วนค่ะ Cryและสอบวิชายากส์ ตกมาหลายรอบ Cry Cry Cryเนื่องด้วยจำเวลาผิด วันผิด วิชาผิด Cry แต่ส่งใบเรียนต่อไปเค้ารับให้เรียนต่อค่ะ เทวดา  Blueเครดิทดีชั่ยป่ะ Tongue อิ อิ

ขอที่เป็นในวงเล็บได้ป่ะ Grin อิ อิ

have a good time Kha
 Cheesy
บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #160 เมื่อ: พฤษภาคม 10, 2011, 03:13:29 PM »

สงสัยยุ่งจัด  วันสอบยังจำผิด Cry Cry Cry

ไม่เป็นไร  เดี๋ยวก็จบน่า Wink
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #161 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2011, 12:32:04 PM »

จัดตู้ยาให้ถูก-ดูยาหมดอายุให้เป็น



จัดตู้ยาให้ถูก-ดูยาหมดอายุให้เป็น (กรมประชาสัมพันธ์)
 
          ตู้ยาสามัญประจำบ้าน หรือคลังโอสถขนาดย่อมที่ทุกครัวเรือน ควรมีไว้เพื่อใช้ประโยชน์ยามป่วยไข้ หรือเมื่อเกิดอุบัติเหตุเลือดตกยางออก ซึ่งคุณผู้อ่านควรรู้วิธีการจัดวางตู้ยา และจัดระเบียบตู้ยาอย่างเหมาะสม หากจำเป็นต้องใช้งานจะได้สะดวก ปลอดภัย

 ตำแหน่งที่ตั้งตู้ยา

           ต้องมีอุณหภูมิพอเหมาะ แสงแดดส่องไม่ถึง ไม่ร้อนหรือชื้น ไม่วางในห้องน้ำ และห้องครัว เพื่อป้องกันยาเสื่อมคุณภาพ ที่สำคัญต้องจัดวางให้สูงเกินกว่าที่เด็กจะเอื้อมหยิบถึง

 ฉลากของยา

           นำยาหรือใช้ยาที่มีฉลากระบุรายละเอียดชัดเจนเท่านั้น เช่น ชื่อ ขนาด วัน เดือน ปี ที่ผลิตและหมดอายุ คำเตือน และคำสั่งในการใช้ เช่น ห้ามรับประทาน หรือ ยาใช้ภายนอก

 การจัดวางภายในตู้ยา

           ควรแยกประเภทของยาให้ชัดเจน เช่น ยารับประทาน ยาทา โดยไม่วางปะปนกันเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการหยิบใช้ ส่วนยาชนิดเดียวกันควรวางที่หมดอายุเร็วกว่าไว้ด้านนอกเพื่อหยิบใช้ก่อนหมั่นทำความสะอาดตู้ยา

           ให้มีสภาพพร้อมใช้งานเสมอ ไม่ว่าจะเป็นตัวยา หรืออุปกรณ์ต่าง ๆ โดยเฉพาะดูวันหมดายุ กรณีที่ยาหมดอายุแล้วต้องทิ้งทันที

 สำหรับวิธีการสังเกตยาหมดอายุ หรือเสื่อมคุณภาพ

           ยาเม็ด : เม็ดยาจะแตกร่วน สีซีดจางลง หรือสีเปลี่ยน

           ยาเม็ดเคลือบ : จะมีลักษณะเยิ้ม เหนียว ส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ ส่วน 'ยาเม็ดแคปซูล' แคปซูลจะบวม พองตัว ติดกัน หรืออาจมีราขึ้นบนเปลือกแคปซูล

           ยาน้ำแขวน : อาทิ ยาลดกรด ยาคาลาไมน์ จะเกิดตะกอนจับกันเป็นก้อน นอนก้น แม้เขย่าแรงๆ ก็ไม่กระจายตัว

           ยาน้ำเชื่อม : เกิดตะกอน มีสีและกลิ่นที่เปลี่ยน สุดท้าย

           ยาครีม : จะสังเกตเห็นเนื้อครีมเปลี่ยนสีและมีกลิ่นเหม็น

           วิธีดูแลตู้ยาสามัญประจำบ้านง่าย ๆ แค่นี้ หวังว่า คุณผู้อ่านรักษ์สุขภาพคงไม่มองข้ามนะคะ




 

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #162 เมื่อ: พฤษภาคม 15, 2011, 12:34:17 PM »

เข้านอนกับหมาแมว ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด



เข้านอนกับหมาแมว ไม่ได้ปลอดภัยอย่างที่คิด (Lisa)

          จะทำอย่างไร เมื่อสัตว์เลี้ยงแสนรัก สามารถนำเชื้อโรคที่ติดต่อคนได้มาอยู่ใกล้ ๆ ตัวคุณ

          ศูนย์ควบคุมโรคติดต่อของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า การที่คนเราชอบนำสัตว์เลี้ยงเข้านอนด้วย อาจมีประโยชน์ในเชิง จิตวิทยาก็จริง แต่ในขณะเดียวกันสัตว์เลี้ยงก็นำเชื้อโรคที่ติดต่อคนได้มาอยู่ใกล้ ๆ ตัวคุณ และถึงแม้ว่า โอกาสที่คุณจะไม่สบายจากเชื้อโรคดังกล่าวจะมีต่ำแค่ไหนก็ตาม แต่เด็ก ๆ หรือคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ก็ควรจะตระหนักถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้

          ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่การแชร์ที่นอนร่วมเท่านั้น เคยมีกรณีที่ผู้ชายแข็งแรงเป็นโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เพราะสุนัขเลียปากที่ เป็นแผลร้อนใน เด็กติดกาฬโรคจากการนอนร่วมกับแมวที่มีเห็บอยู่เต็มไปหมด และกรณีอื่น ๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ดี ข่าวนี้ไม่ได้บอกให้คุณเลิกเลี้ยงสัตว์ แต่ให้ตระหนักถึงอันตรายหากคุณเลือกจะนอนข้างมันเสียมากกว่า

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #163 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2011, 10:24:05 PM »

อาหารเผ็ดร้อน ลดความเสี่ยงมะเร็งเต้านม


เชิญสาว ๆ อิ่มอร่อยแบบไม่ต้องกลัวอ้วนกับอาหารเม็กซิกันได้อย่างเต็มที่ เพราะการศึกษาจากวารสารโภชนาการคลินิกของสหรัฐฯ เปิดเผยว่า บรรดาอาหารเผ็ดร้อนจากทางภาคใต้อย่างประเทศเม็กซิโก สามารถลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมได้

  ผลการศึกษา ระบุว่า จำนวนของผู้หญิงที่ใช้วิธีกินอาหารเม็กซิกันเพื่อการไดเอ็ต เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมต่ำกว่าหญิงสาวที่ติดอยู่กับการไดเอ็ทแบบทานแต่ธัญพืช หรือเนื้อแดง

  ดังนั้น เมื่อคุณเริ่มลดน้ำหนักให้ลองเติมพริก และพริกไทยลงในมื้อสำคัญ เพื่อหุ่นที่เพรียวลม แถมลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งเต้านมด้วย

 

ข้อมูลจาก สวยด้วยแพทย์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #164 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2011, 10:37:42 PM »

สุขภาพดี เคล็ดลับอยู่ที่เลือกน้ำมันปรุงอาหาร


สำหรับคนรักสุขภาพ รู้จักเลือกรับประทานอาหารจะทราบกันดีว่าอาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันนั้นมักเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดโรคร้าย....แต่อาหารที่ปรุงด้วยน้ำมันไม่ได้อันตรายอย่างที่คิดหากคุณรู้จักเลือกใช้น้ำมันที่ถูกกับชนิดของอาหารที่จะปรุง


- น้ำมันรำข้าว เหมาะกับการปรุงอาหารทุกประเภทแม้แต่ทอด เพราะมีจุดเกิดควันที่อุณหภูมิสูง ทนความร้อนได้ดี (254 องศาเซลเซียส)มีวิตะมินและสารโอรีซานอลซึ่งช่วยลดโคเรสเตอรอลชนิด LDL และรักษาสภาพของ HDL ด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นไขมันชนิดดีต่อร่างกาย แต่ถ้าทอดแล้วต้องรีบกินเพราะทิ้งไว้ จะไม่อร่อยเท่าทอดด้วยน้ำมันปาล์ม

- น้ำมันมะกอก มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวมากที่สุด เป็นน้ำมันที่มีหลายเกรด และแต่ละเกรด ก็สามารถนำไป ประกอบอาหารได้ดี แตกต่างกันไป เช่น

* Extra Virgin เป็นน้ำมันมะกอกสีค่อนข้างเขียว เหมาะสำหรับอาหารจานเย็นทั่วไป เช่น สลัด
* Pure Olives Oil, Refined Olives Oil น้ำมันมะกอกประเภทนี้ จะผ่านกระบวนการมากกว่าน้ำมันแบบ Extra Virgin

ซึ่ง Pure Olives Oil, Refined Olives Oil จะมีกลิ่นอ่อนกว่า สีจางกว่า เหมาะสำหรับทำอาหารทั่วไป เช่น การผัด สปาเก็ตตี้ กระทะย่าง ยกเว้นการทอดที่ใช้ความร้อนสูง

- น้ำมันถั่วเหลือง เหมาะสำหรับการทำอาหาร แทบทุกประเภท เพราะมีจุดเกิดควันค่อนข้างสูง มีรสเป็นกลาง (Neutral flavour) สามารถนำไปทำน้ำสลัดได้เหมือนกัน เช่น น้ำสลัดญี่ปุ่น แต่อาจจะไม่เหมาะนัก ถ้าสมาชิก ในครอบครัว ไม่ชอบน้ำมันที่มีความเข้มข้น (Heavy texture)

- น้ำมันดอกทานตะวัน เป็นน้ำมันที่มีเนื้อบางเบา และไร้กลิ่น เหมาะสำหรับทำสลัด และการผัด แต่ไม่เหมาะสำหรับ การทอด เพราะมีจุดเกิดควันต่ำ

- น้ำมันดอกคำฝอย มีลักษณะคล้ายน้ำมันดอกทานตะวัน และนำไปประกอบอาหาร ได้เหมือนกับน้ำมันดอกทานตะวัน

- น้ำมันข้าวโพด เป็นน้ำมันที่เหมาะกับ การทอดที่ใช้น้ำมันมาก เพราะทนความร้อนสูงที่สุด

- น้ำมันข้าวโพดส่วนใหญ่ เมื่อเย็นจะไม่มีกลิ่น แต่ถ้าได้รับความร้อนมากขึ้น จะเริ่มมีกลิ่นของข้าวโพดเล็กน้อย

- น้ำมันปาล์ม หรือน้ำมันพืช มักเป็นน้ำมันผสม ระหว่างน้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันปาล์ม น้ำมันมะพร้าว หรือเมล็ดผัก อย่างอื่น ที่มีราคาถูก มีจุดเกิดควันสูง เหมาะสำหรับทำอาหารผัด ทอด หลากชนิด แต่ไม่ดีเลย สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื้อรัง คลอเลสเตอรอล เพราะมีไขมันอิ่มตัวสูงมาก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: