Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 75554 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #165 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2011, 10:41:28 PM »

ผลไม้ต้านมะเร็ง
 


ผลไม้ 10 อันดับแรกที่มีเบต้าแคโรทีนสูงคือ

1. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
2. มะเขือเทศราชินี
3. มะละกอสุก
4. กล้วยไข่
5. มะม่วงยายกล่ำ
6. มะปรางหวาน
7. แคนตาลูปเนื้อเหลือง
8. มะยงชิด
9. มะม่วงเขียวเสวยสุก
10. สับปะรดภูเก็ต

ผลไม้ทั้งหมดนี้มีเนื้อสีเหลืองและสีเหลืองเข้ม


ส่วนผลไม้ที่ไม่มีเบต้าแคโรทีนเลย

1. แก้วมังกร
2. มะขามเทศ
3. มังคุด
4. ลิ้นจี่
5. สาลี่

10 อันดับแรกของผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงคือ

1. ฝรั่งกลมสาลี่
2. ฝรั่งไร้เมล็ด
3. มะขามป้อม
4. มะขามเทศ
5. เงาะโรงเรียน
6. ลูกพลับ
7. สตรอเบอร์รี่
8. มะละกอสุก
9. ส้มโอขาว
10. แตงกวา
11. พุทราแอปเปิล

การศึกษานี้พบผลไม้ที่มีวิตามินอีสูง 10 อันดับแรกคือ

1. ขนุนหนัง
2. มะขามเทศ
3. มะม่วงเขียวเสวยดิบ
4. มะเขือเทศราชินี
5. มะม่วงเขียวเสวยสุก
6. มะม่วงน้ำดอกไม้สุก
7. มะม่วงยายกล่ำสุก
8. แก้วมังกรเนื้อสีชมพู
9. สตรอเบอร์รี่
10. กล้วยไข่

ผลไม้ที่มีเบต้าแคโรทีน วิตามินซี และวิตามินอีน้อยทั้ง 3 ตัว คือ สาลี่ องุ่น และแอปเปิล

ส่วนผลไม้ที่มีสารทั้ง 3 ตัว ค่อนข้างสูงคือ มะเขือเทศราชินี


ทั้งนี้ เบต้าแคโรทีน วิตามินซีและอี เป็นกลุ่มของสารอาหารที่ช่วยกำจัดอนุมูลอิสระที่ก่อให้ร่างกายเกิดการอักเสบ ทำลายเนื้อเยื่อ เกิดต้อกระจกในผู้สูงอายุ โรคมะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด สารทั้ง 3 ตัว โดยเฉพาะ เบต้าแคโรทีนจะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ยับยั้งการก่อกลายพันธุ์ ป้องกันเนื้องอก ลดความเสี่ยงการเป็นต้อกระจก มะเร็งและหัวใจได้ จึงควรรับประทานผลไม้ในปริมาณมากพอสมควรทุกวัน หรืออย่างน้อยวันละ 4 ส่วนของอาหารที่รับประทาน เพื่อสุขภาพที่ดี.


 

ข้อมูลจาก Sanook

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 21, 2011, 10:45:51 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #166 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2011, 10:57:48 PM »

เลือกทานวิตามินให้สมวัย



วันนี้เราจึงมีข้อพิจารณาก่อนเลือกวิตามินที่เหมาะสมให้กับร่างกายมาบอกค่ะ โดยก้รูเริ่มต้นอธิบายว่า การรับทราบถึงความจำเป็นบวกกับกิจกรรม และไลฟ์สไตล์ในแต่ละช่วงวัย ถือเป็นข้อพิจารณาที่ดีต่อการเลือกทานวิตามิน เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดค่ะ


สาวใสวัย 20


 เภสัชกรหญิง ภัชราภรณ์ ปิ่นสอาด จากร้านเพื่อสุขภาพและความงามวัตสัน กล่าวแนะนำทางเลือกด้านวิตามินเสริมสำหรับสาววัย 20 ที่ยังอยู่ในวัยเรียนและวัยเริ่มต้นทำงาน ที่ต้องเตรียมร่างกายให้พร้อม เพื่อรับมือกับงานและกิจกรรมต่าง ๆ ดังนี้

 วิตามินซี มีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย เพราะไม่ใช่แค่เพียงป้องกันการเกิดหวัด แต่ยังช่วยขจัดอนุมูลอิสระที่อาจก่อให้เกิดโรคหลายชนิด นอกจากนั้น วิตามิน ซียังมีส่วนสำคัญในการช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก และการทำงานของระบบประสาท และยังช่วยในการสร้างคอลลาเจน

 เกรพซีด (Grape Seed)  เต็มไปด้วยวิตามินสำคัญ ๆ ทั้งวิตามินเอ ซึ่งมีส่วนช่วยในการมองเห็น และมีบทบาทต่อการสร้างเซลล์ใหม่ วิตามินซี ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เสริมสร้างภูมิต้านทาน และบำรุงผิวพรรณ และวิตามินอี ช่วยเสริมการทำงานของวิตามินเอและซี และปกป้องผิวจากรอยแผลและผิวอักเสบต่าง ๆ นอกจากนั้น สารสกัดจากเมล็ดองุ่นยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ

 แคลเซียม เมื่ออายุ 25 แคลเซียมในร่างกายจะเริ่มเสื่อมลง การเสริมแคลเซียมจึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม แคลเซียมยังเป็นส่วนสำคัญ ที่ช่วยให้ลิ่มเลือดจับตัวได้ดีขึ้น พร้อมกับช่วยการทำงานของกล้ามเนื้อและ การเต้นหัวใจ  และถ้าจะให้ดีควรทานแคลเซียมควบคู่กับวิตามินเค  ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดีขึ้น


สาววัยเลขสาม

วัย 33 ทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความมั่นคงให้กับชีวิตข้างหน้า การโหมงานหนักทำให้เธอรู้สึกได้ถึงความอ่อนล้าของสมองและร่างกาย เภสัชกร หญิงจึงแนะให้มองหาวิตามินมาช่วยเสริมความฟิตของระบบประสาท

 วิตามินบีรวม เสริมความพร้อมของระบบประสาทและสมอง สำหรับคนทำงานหนักด้วยวิตามินบีรวม ทั้ง บี1 บี2 บี3 บี5 บี6 บี7 บี9 และ บี12 เพื่อช่วยเสริมการทำงานของระบบสมองและประสาทส่วนกลาง การทำงานของหัวใจ สร้างเม็ดเลือดแดงและระบบภูมิคุ้มกัน

 สารสกัดใบแปะก๊วย เพิ่มประสิทธิภาพของสมองได้ด้วยสารสกัดจากใบแปะก๊วย ซึ่งมีส่วนช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือดในสมอง ป้องกันการเสื่อมของเซลล์ สมองจากการถูกทำลายด้วยอนุมูลอิสระ อีกทั้งปกป้องเซลล์ประสาทจากการขาดออกซิเจน และยังมีส่วนทำให้ผนังหลอดเลือด แดงยืดหยุ่นและแข็งแรง


สี่สิบยังสวยพริ้ง

เภสัชกรแห่งวัตสันแนะนำตัวช่วยเพื่อชะลอผิวจากการถูกทำลาย

 อีฟเวนนิง พริมโรส ออย (Evening Primrose Oil) เป็นกรดไขมันจำเป็นซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักของเซลล์ผิวหนัง ช่วยป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิว ปรับสภาพผิวที่แห้งกร้านให้ชุ่มชื่น ลดริ้วรอย นอกจากนั้น ยังช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือน และอาการผิดปกติของช่วงหมดประจำเดือนได้ดีอีกด้วย


สง่าแบบสาวเลขห้า

เมื่ออายุมากขึ้นเรื่อย ๆ เภสัชกรหญิงจึงเตือนให้หันมาใส่ใจด้านสุขภาพกันอย่างเต็มที่ ด้วยการรับประทาน

 ฟิช ออย (Fish Oil) เป็นสารประกอบของกรดไขมันกลุ่มของโอเมก้า 3 ที่ร่างกายสร้างเองไม่ได้ ซึ่งมี 2 ชนิด ได้แก่ EPA ที่ช่วยลดไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือด ป้องกันการอุดตันของหลอดเลือด และ DHA ซึ่งช่วยเสริมสร้างพัฒนาการทางสมอง ความจำ ตลอดจนระบบสายตา ฟิชออยสามารถช่วยลดความดันโลหิต และทำให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น และยังบรรเทาอาการปวดข้อรูมาตอยด์และข้อเสื่อมอีกด้วย

ได้เห็นตัวอย่างของสาวต่างวัยต่างความต้องการแบบนี้แล้ว ก็ต้องไม่ลืมที่จะมองหาวิตามินเสริม ที่เหมาะกับความต้องการของร่างกายในแต่ละช่วงอายุ และที่สำคัญไม่ว่าวัยใดก็ตามก็ต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างพอเหมาะ และรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ด้วยจึงจะดีที่สุด


ข้อมูลจาก ไทยโพสต์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #167 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 10:42:03 AM »


6 วิธี รับมือช่วงนั้นของเดือน



สาว ๆ ทั้งหลายได้เห็นหัวข้อนี้แล้วคงจะตาลุกวาว อยากจะรู้วิธีกำจัดอาการต่าง ๆ ในช่วงก่อนและช่วงนั้นของเดือน เรื่องนี้ใครไม่ใช่ผู้หญิงคงไม่รู้หรอกว่า มันทรมานหัวอกลูกผู้หญิงแค่ไหน ลองมาดูกันดีกว่าว่า จะรับมือกับช่วงนั้น ของเดือนได้อย่างไร
 
1. จำวันนั้นของเดือนให้แม่น
 ขั้นแรกต้องกากบาทไว้ในปฏิทินเลยว่า ช่วงนั้นของเดือนคือวันที่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่ จะได้เตรียมมือได้ถูก
 
2. บรรเทาอาการช่วงก่อนวันนั้นของเดือน
 เช่น อาการคลื่นไส้ เจ็บหน้าอก ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้องน้อย ครั่นเนื้อครั่นตัว ตะคริว ฯลฯ ตลอดจนรักษาปริมาณน้ำในร่างกาย ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินบี 6 วิตามินซี วิตามินอี แคลเซียม และแมกนีเซียม และถ้าช่วงนั้นของเดือนต้องสูญเสียเลือดมาก ต้องเพิ่มธาตุเหล็กเข้าไปด้วย
 
3. หลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มกาเฟอีน
 ซึ่งมีส่วนทำให้หน้าอกคัดตึง ปวดศีรษะ และอารมณ์หงุดหงิดง่าย โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ก็จะช่วยทำให้คุณอารมณ์ดีขึ้น
 
4. ฝึกโยคะ
 เพราะจะช่วยลดการปวดศีรษะ ตะคริว และโรคนอนไม่หลับ ลดอาการเกร็งของแผ่นหลัง ท้องน้อย และต้นคอ หรือหมุนและนวดข้อเท้าไปรอบ ก็ช่วยลดการเป็นตะคริวได้
 
5. กินอาหารมื้อเล็ก ๆ แต่กินบ่อย ๆ
 จะช่วยลดอาการอึดอัดช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันการอ่อนเพลียของร่างกายและการปวดศีรษะ
 
6. กินอาหารมีเส้นใยมาก ๆ
 เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว ซึ่งจะช่วยลดการสูญเสียน้ำในร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารจำพวกนม เนย เนื้อสัตว์ เพราะไขมันจะเป็นตัวก่อให้เกิดอาการเจ็บปวดและควรกินพวกธัญพืช ผักใบเขียว และน้ำมันปลา จะช่วยป้องกันความอ่อนเล้าได้
 
ติดตามอ่านเนื้อหาได้จาก นิตยสาร ModernMom
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #168 เมื่อ: พฤษภาคม 26, 2011, 10:49:05 AM »

เด็กทารกแรกเกิดชอบมองอะไรมากที่สุด



เคยสงสัยไหมคะว่าเด็กทารกแรกเกิดเขาสามารถมองเห็นได้ไกลแค่ไหน และเด็กทารกชอบมองอะไรเป็นพิเศษ วันนี้เรามีผลการวิจัยที่จะบอกได้ว่า เด็กทารกแรกเกิดนั้นสามารถมองเห็นได้แค่ไหน และพวกเขาชอบมองอะไรค่ะ
 
หลังจากที่ทารกได้คลอดออกมาแล้ว โดยปกติเด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ในระยะ 1 ฟุต และสามารถจ้องมองสิ่งต่างๆ ค้างได้นานประมาณ 4-10 วินาที แต่การพัฒนาของการมองเห็นของลูกนั้นจะสามารถลำดับขั้นได้ดังนี้
 
ทารกแรกเกิดสามารถจดจำหน้าพ่อแม่ได้ภายใน 4 วันหลังคลอด พออายุ 1 เดือน เด็กทารกจะสามารถมองเห็นสิ่งต่างๆ ได้ในระยะ 15 นิ้ว และมือเริ่มจะขยับเอื้อมไปสัมผัสกับวัตถุที่มองเห็น เมื่อทารกอายุ 3 เดือนเริ่มแยกแยะระยะใกล้ไกลได้และจะสามารถปรับการมองเห็นได้อย่างสมบูรณ์เมื่ออายุ 4 เดือน
 
คำถามยอดฮิต – เด็กทารกชอบมองอะไรมากที่สุด
 
มีผลการวิจัยจาก Dr. Robert Fantz นักวิจัยด้านพฤติกรรมทารก ท่านได้ศึกษาเรื่องเด็กทารกชอบมองอะไรและได้ทดสอบจนได้ผลที่น่าสนใจดังนี้
 
1.เด็กทารกชอบมองใบหน้าของพ่อแม่ที่แสดงออกถึงความรัก ความอ่อนโยน เพราะเวลาที่เด็กทารกมองนั้น เด็กจะมองจ้องที่ดวงตาของพ่อและแม่ เพราะรอยยิ้มและแววตาที่อ่อนโยนของพ่อแม่นั้นสร้างความอบอุ่นใจให้กับทารก
 2.เด็กทารกชอบมองวัตถุที่เคลื่อนไหวมากกว่าวัตถุที่อยู่นิ่งๆ
 3.เด็กทารกชอบมองวัตถุที่มีสีตัดกันชัดเจน เช่น สีดำตัดกับสีขาว
 4.เด็กทารกชอบมองวัตถุ 3 มิติมากกว่า 2 มิติ
 เราจะส่งเสริมพัฒนาระบบการมองเห็นของลูกได้อย่างไร
 
เทคนิคง่ายๆ ที่พ่อแม่สามารถช่วยส่งเสริมพัฒนาการของลูกได้มีดังนี้ค่ะ
 1.พยายามมองที่หน้าลูกบ่อยๆ เพราะดวงตาของคนจะมีขนาดกลมและมีการตัดกันที่ชัดเจนระหว่างตาขาวและตาดำ และที่สำคัญคือดวงตาสามารถกลอกไปมาได้
 2.เปลี่ยนตำแหน่งที่ลูกนอนบ้าง เพื่อให้ทารกได้เห็นสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง
 3.หาภาพใบหน้าพ่อแม่มาวางไว้ใกล้ๆ ที่นอนของลูก เพื่อให้ลูกได้เห็นและจดจำหน้าได้เร็วขึ้น
 4.แขวนวัตถุประเภท 3 มิติ เช่น โมบายไม้ นกกระดาษ ฯลฯ ในจุดที่เด็กทารกสามารถมองเห็นและเอื้อมมือหยิบได้
 5.พยายามเล่นกับลูกบ่อยๆ อาจจะให้ลูกมองตัวเองในกระจกพร้อมกับพูดคุยกับลูกไปด้วย

 
ขอขอบคุณ
 Babytrick

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #169 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2011, 01:18:54 PM »

เคล็ดลับสมุนไพรรักษาโรค


การใช้สมุนไพรเป็นยาบำบัดโรคนั้นอาจใช้ ในรูปยาสมุนไพรเดี่ยวๆ หรือใช้ในรูปตำรับ ยาสมุนไพร ปัจจุบันตำรับยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณที่กระทรวงสาธารณสุขอนุญาตให้ใช้รักษาโรคได้มีทั้งหมด 28 ขนาน เช่น
 
       

          ยาจันทน์ลีลา ใช้แก้ไข้ แก้ตัวร้อน
 
          ยามหานิลแท่งทอง ใช้แก้ไข้ แก้หัด อีสุกอีใส
 
          ยาหอมเทพพิจิตร แก้ลม บำรุงหัวใจ
 
          ยาเหลืองปิดสมุทร แก้ท้องเสีย
 
          ยาประสะมะแว้ง แก้ไอ ขับเสมหะ
 
          ยาตรีหอม แก้ท้องผูกในเด็ก ระบายพิษไข้
 
สมุนไพรที่นิยมใช้เดี่ยวๆ รักษาอาการของโรคที่พบบ่อยๆ ได้แก่
 
          สมุนไพรแก้ไข้ ฟ้าทะลายโจร บอระเพ็ด
 
          สมุนไพรแก้ท้องเสีย กล้วยน้ำว้า ทับทิม ฝรั่งดิบ
 
          สมุนไพรแก้ไอ มะแว้ง ขิง มะนาว
 
          สมุนไพรแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขมิ้นชัน แห้วหมู กระชาย
 
          สมุนไพรช่วยให้นอนหลับ ขี้เหล็ก ดอกบัวหลวง หัวหอมใหญ่
 
          สมุนไพรแก้เชื้อรา กระเทียม ข่า ชุมเห็ดเทศ
 
          สมุนไพรแก้เริม เสลดพังพอนตัวเมียและตัวผู้
 


สูตรสมุนไพรบำรุงผิวหน้า
 
          1.ว่านหางจระเข้ : บำรุงผิว ป้องกันฝ้า ลบรอยจุด      ด่างดำ รักษาสิว
 
          2.แตงกวา : สมานผิว ลบรอยเหี่ยวย่น
 
          3.มะเขือเทศ : สมานผิว ลดรอยเหี่ยวย่น จุดด่างดำ
 
          4.ขมิ้นสด : บำรุงผิวหน้าผุดผ่องสดใสอ่อนวัย  และช่วยให้สิวยุบเร็ว
 
          5.กล้วยน้ำว้าสุก : บำรุงผิวนุ่มเนียนอ่อนวัย
 
          6.หัวไชเท้า : ช่วยลดรอยฝ้าและกระให้จางหาย


สมุนไพรที่มีสารต้านเซลล์มะเร็ง
 
          มะกรูด ผักแขยง ขึ้นฉ่าย บัวบก ผักชีฝรั่ง กระชาย   ข่าใหญ่ มันเทศ ใบมะม่วง มะกอก เบญจมาศ แขนงกะหล่ำ แตงกวา พริกไทย ดีปลี โหระพา กะเพรา ใบตะไคร้ ถั่ว ผักแว่น ผักขวง เพกา ช้าพลู (ชะพลู) ลูกผักชี เร่ว เหงือกปลาหมอ ขมิ้นอ้อย หัวหอมแดง หอมหัวใหญ่ กระเทียม ฯลฯ
 
สมุนไพรที่มีสารแอนตี้ออกซิแดนต์ (วิตามินเอ ซี อี)
 
          วิตามินเอสูง ได้แก่ ใบยอ ใบย่านาง ตำลึง ผักก้ด มะระ กระสัง ผักแพว ผักชีลาว ผักแว่น ผักบุ้ง เหลียงกระเจี๊ยบแดง แมงลัก ชะอม พริกชี้ฟ้าแดง แพงพวย ขี้เหล็ก ฯลฯ
 
          วิตามินซีสูง ได้แก่ มะขามป้อม ฝรั่ง มะปราง ขนุน ละมุด มะละกอ มะกอก ส้ม มะขาม ลูกหว้า พุทรา ฯลฯ
 
          วิตามินอีสูง ได้แก่ พวกธัญพืชต่างๆ เช่น งาดำ ข้าวซ้อมมือ จมูกข้าว ข้าวโพด ฯลฯ
 
          เบตาแคโรทีนสูง ได้แก่  แคร์รอต ฟักทอง แค กะเพรา แพชั่นฟรุต ขี้เหล็ก ผักเชียงดา ยอดฟักข้าว ผักแซ่ว ฯลฯ
 
สมุนไพรไทยและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่แสดงฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเซลล์มะเร็ง
 
          พืชสมุนไพร บวบขม จำปีป่า ปลาไหลเผือก ทองพันชั่ง เจตมูลเพลิงแดง ราชดัด ฝาง แสมสาร ติงตัง ขมิ้นต้น  ฟ้าทะลายโจร กระเทียม ประยงค์ รงทอง ข่อย ขมิ้นชัน แกแล สมอไทย ขันทองพยาบาท
 
          เครือเถาวัลย์ ดองดึง โล่ติ้น เจตมูลเพลิงขาว มังคุด โทงเทง ทับทิม จำปา ไพล ปรู จำปีหลวง พลับพลึง สบู่ดำ แพงพวยฝรั่ง    สีเสียด กะเม็ง สมอพิเภก
 


สมุนไพรกับโรคความดันโลหิตสูง
 
          ในการรักษาโรคความดันโลหิตสูงจะต้องได้รับการควบคุมดูแลจากแพทย์แผนปัจจุบัน และในการนำสมุนไพรมาใช้ใน ผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูงจะต้องระมัดระวัง และจะต้องตรวจวัดความดันโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากแพทย์แผนปัจจุบัน สมุนไพรที่ใช้ขับปัสสาวะมีดังนี้
 
          หญ้าหนวดแมว ในใบของหญ้าหนวดแมวจะมีเกลือโพแทสเซียมปริมาณ 0.7-0.8% ใช้ใบอ่อนเป็นยาขับปัสสาวะที่มีประสิทธิภาพสูง เนื่องจากเกลือโพแทสเซียมในใบอ่อนจะมีปริมาณสูง ตามตำรายาไทยใช้แก้โรคปวดตามสันหลังและเอว ใช้ขับนิ่วและลดความดันโลหิตสูง
 
ข้อควรระวัง
 
          1.เนื่องจากหญ้าหนวดแมวมีเกลือโพแทสเซียมสูงจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ
 
          2.ควรใช้การชง ไม่ควรใช้การต้ม และควรใช้ใบอ่อน เพราะใบแก่จะมีเกลือโพแทสเซียมละลายออกมามาก มีฤทธิ์กดหัวใจ ทำให้หายใจผิดปกติได้
 
          3.ควรใช้ใบตากแห้ง ถ้าใช้ใบสดจะมีอาการคลื่นไส้และหัวใจสั่น
 
          4.ไม่ควรใช้หญ้าหนวดแมวคู่กับยาแอสไพริน เพราะจะทำให้ยามีฤทธิ์ต่อหัวใจมากขึ้น
 
          5.ก่อนการใช้ควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบันและได้รับการดูแลอย่างสม่ำเสมอเพื่อความปลอดภัย
 
          หญ้าคา ในรากหญ้าคามีสารอะรันโดอินและไซลินดริน ทั้งกรดอินทรีย์หลายชนิด ตามตำรับยาไทยใช้เป็นยาขับปัสสาวะ แก้ขัดเบา โดยต้นหญ้าคาสด 40-50 กรัม (น้ำหนักแห้ง 10-15 กรัม) หรือ 1 กำมือ ต้มดื่มก่อนอาหารวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)
 
          หมายเหตุ การใช้สมุนไพรขับปัสสาวะทุกชนิดต้องปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เนื่องจากการใช้ยาขับปัสสาวะเกินขนาดอาจจะเป็นอันตรายต่อผู้ป่วยได้
 




สรรพคุณสมุนไพรที่ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด
 
          1.น้ำมันเมล็ดดอกคำฝอย จากการวิจัยในสัตว์ทดลองและในคนพบว่าน้ำมัน เมล็ดดอกคำฝอยช่วยทำให้ปริมาณคอเลส  เตอรอลในเลือดลดลงและลดการอุดตัน ไขมันในหลอดเลือดได้
 
          2.กระเทียม มีสารอัลลิซินที่มีฤทธิ์ลด ไขมันในหลอดเลือดได้ ซึ่งจะใช้กระเทียม ประมาณ 5-7 กลีบ รับประทานหลังอาหารทุกมื้อ เป็นเวลา 1 เดือน ปริมาณคอเลส เตอรอลในเลือดจะลดลง
 
          3.ถั่วเหลือง ในถั่วเหลืองจะมีกรด อะมิโน เลซิติน และวิตามินอีสูง จะช่วยลดระดับไขมันในหลอดเลือด
 


การปฏิบัติเพื่อป้องกันการเกิดโรคเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ
 
          1.การรับประทานอาหารที่มีไขมันน้อย เช่น ปลา ผัก ผลไม้ อาหาร สมุนไพร ไม่รับประทานอาหารรสเค็มจัด
 
          2.การออกกำลังกายสม่ำเสมอ
 
          3.การพักผ่อนให้เพียงพอ
 
          4.ตรวจร่างกายประจำทุกปี


สรุปรายชื่อสมุนไพรที่ควรใช้ในรูปอาหารกับโรคเบาหวาน ได้แก่
 
          บอระเพ็ด มะระไทย ลูกใต้ใบ หญ้าใต้ใบ มะแว้ง เครือมะแว้ง ต้นตำลึง  ฟ้าทะลายโจร สะตอ ว่านหางจระเข้ แมงลัก อินทนิลน้ำ หอมใหญ่ กระเทียม หญ้าหนวดแมว เตยหอม ฝรั่ง ช้าพลู ขี้เหล็ก สะเดา ผักบุ้ง สักกำแพงเจ็ดชั้น มวกแดง-ขาว ชะเอมไทย รากลำเจียก รากคนทา
 
          หมายเหตุ - การรักษาโรคเบาหวานควรปรึกษาแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะการใช้ยาลดระดับน้ำตาลร่วมกับยาแผนปัจจุบันอาจจะทำให้น้ำตาลลดลงมากเกินไป เป็นอันตรายได้ จึงแนะนำให้ใช้สมุนไพรในรูปของการปรุงอาหารในชีวิตประจำวัน


 
          รายงานการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับสมุนไพรรักษาโรคเอดส์มีการศึกษาเกี่ยวกับสมุนไพรหลายชนิด
 
          โปรตีนจากระหุ่ง แม้ว่าจะมีพิษแต่ก็มีผู้พบว่าส่วนหนึ่งของโปรตีน Ricin ซึ่งเป็นพิษคือ dg A สามารถจับ antibody ของ HIV ซึ่งทำให้ไปยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส โดยมีผลต่อเซลล์ปกติเพียง 1/1,000 ของเซลล์ที่มีไวรัส
 
          การค้นพบนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นในการพบยาที่ป้องกันหรือยืดเวลาในการเกิดโรคเอดส์
 
          Hypericum spp.
 
          พืชสกุลนี้บ้านเรามี บัวทอง (Hyperi cum garrettii Craib) มีผู้สกัดสาร Hypericin และ Pseudohypericin จากพืชนี้ พบว่ามีฤทธิ์ป้องกันการขยายตัวของไวรัสเอดส์
 
          Castanospermun australe
 
          Tyms และคณะได้พบว่าแอลคาลอยด์ 3 ชนิด มีผลยับยั้งเอนไซม์ที่ช่วยให้ไวรัสจับกับ T-cells ซึ่งสำคัญในการสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย และแอลคาลอยด์ที่ให้ผลดีที่สุดคือ Castanospermine จาก Castanospermum australe ไม้ยืนต้นของออสเตรเลีย และสารนี้มีพิษน้อย มีฤทธิ์ข้างเคียง เช่น น้ำหนักลด ท้องเสีย
 
          ยังไม่มีสมุนไพรใดที่ใช้รักษาโรคเอดส์ได้จริงจัง ส่วนใหญ่ยังอยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งบางอย่างก็ทดลองโดยไม่ถูกกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามการศึกษาสมุนไพร ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการจะค้นพบยารักษาโรคนี้

 
 
 
 
ที่มา : หนังสือพิมพ์ประชาชาติธุรกิจ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2011, 10:01:34 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #170 เมื่อ: พฤษภาคม 27, 2011, 01:22:46 PM »

อันตรายทีเกิดจากการรับประทานเห็ดป่า


เห็ดเป็นอาหารที่คนไทยนิยมนำมาใช้ประกอบอาหารต่าง ๆ มากมาย ประกอบกับเห็ดมีคุณค่าทางโภชนาการค่อนข้างสูง จึงมีการเพาะเห็ดจำหน่ายอย่างแพร่หลายทั่วประเทศ เห็ดเหล่านี้ได้แก่ เห็ดฟาง เห็ดนางรม เห็ดเป๋าฮื้อ เห็ดหอม ฯลฯ



นอกจากนี้สภาพภูมิอากาศของประเทศไทยยังเหมาะสมกับการเจริญของเห็ดอีกด้วย ดังนั้นในช่วงฤดูฝนจึงมีเห็ดหลายชนิดขึ้นอยู่ทั่วไปตามธรรมชาติ เรียกกันทั่วไปว่าเห็ดป่า ชาวบ้านก็จะเก็บเห็ดเหล่านี้มารับประทานหรือจำหน่ายในตลาดชนบท โดยเฉพาะประชาชนภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือจะนิยมรับประทานเห็ดป่ากันมาก แต่เห็ดป่ามีหลายชนิด บางชนิดก็รับประทานได้ บางชนิดก็รับประทานไม่ได้ เพราะมีสารพิษที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ในแต่ละปีจึงมักจะมีข่าวอันตรายจากการรับประทานเห็ดมีพิษปรากฏในสื่อมวลชนอยู่เสมอ ๆ ว่าเห็ดที่เป็นอันตรายต่อร่างกายส่วนมากจะอยู่ในสกุลอะมานิตา (Amamita) เป็นเห็ดที่มีความเป็นพิษอย่างรุนแรง เห็ดเหล่านี้มีหลายชนิด แต่ที่พบค่อนข้างมากได้แก่ เห็ดระโงกหิน และเห็ดหัวกรวดครีบเขียวอ่อน เห็ดแต่ละชนิดมีลักษณะสำคัญดังนี้



1. เห็ดระโงกหิน ประชาชนในภาคเหนือเรียกว่าเห็ดไข่ตายซาก จะมีมากในป่าเบญจพรรณ เห็ดมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยว มีสีขาว หมวกเห็ดเป็นรูปครึ่งวงกลมสีขาว กว้าง 5-12 เซนติเมตร ผิวเรียบรูปกระทะคว่ำ ครีบมีสีขาวแต่ไม่ติดกับก้าน มีวงแหวนเป็นแผ่นบางสีขาวห้อยลงมาคล้านม่าน ก้านมีสีขาว โคนก้านเป็นกระเปาะมีผิวเรียบ เห็ดนี้มีสารพิษที่สำคัญ 2 ชนิด ได้แก่ ฟัลโลทอกซิน (phallotoxin) และอะมาโตทอกซิน (amatotoxin) ถ้ารับประทานเห็ดชนิดนี้เข้าไป สารพิษจะเข้าสู่กระแสเลือดและ



ทำให้มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง อาเจียนและอุจจาระร่วง อ่อนเพลีย ใจสั่น ต่อมาเกิดตะคริว ความดันโลหิตต่ำ สารพิษจะทำลายเซลล์ในอวัยวะต่าง ๆ ได้ดี โดยเฉพาะตับ ไต และหัวใจ ทำให้อวัยวะเหล่านี้ทำงานผิดปกติจึงอาจเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ภายใน 4-6 ชั่วโมงภายหลังรับประทานเห็ดนี้เข้าไป



2. เห็ดหัวกรวดครีบเขียวอ่อน มีพบมากตามทุ่งนาหรือสนามหญ้าที่ชุ่มชื้น เห็ดมีลักษณะเป็นดอกเดียว เมื่อดอกเห็ดยังอ่อนจะเป็นก้อนกลม แต่เมื่อเจริญเต็มที่จะบานออกคล้ายร่ม หมวกเห็ดมีสีขาว ขนาดกว้าง 10-20 เซนติเมตร ตรงกลางหมวกเห็ดมีสีน้ำตาลและแตกออกเป็นเกล็ดรูปสี่เหลี่ยมกระจายออกไปถึงกึ่งกลางหมวก มีครีบสีขาว แต่เมื่อแก่จัดจะมีสีเทาอมสีเขียวอ่อน ก้านเป็นรูปทรงกระบอกและโคนก้านใหญ่เป็นกระเปาะเล็กน้อย ใต้หมวกเห็ดมีวงแหวนขนาดใหญ่และหนา ขอบวงแหวนด้านบนมีสีน้ำตาลส่วนด้านล่างมีสีขาว ถ้ารับประทานเข้าไปจะทำให้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หน้ามืด ตาลาย ใจสั่นและอ่อนเพลียและอาจทำให้เสียชีวิตได้



เนื่องจากเห็ดป่าบางชนิดอาจมีอันตรายดังกล่าวแล้ว การรับประทานเห็ดป่าจึงควรระมัดระวังไว้เป็นดีที่สุด เช่น ไม่รับประทานเห็ดที่มีสีสวยหรือสีสันฉูดฉาด (เพราะเห็ดมีพิษส่วนมากจะมีสีสวยหรือสีสันฉูดฉาด) มีกลิ่นหอมฉุน เห็ดที่มีวงแหวน รวมทั้งไม่ควรเก็บเห็ดที่ยังอ่อนหรือมีดอกตูมมารับประทาน เพราะเห็ดในระยะนี้ยังไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นเห็ดชนิดใด เห็ดมีพิษบางชนิดเมื่อยังอ่อน



มีลักษณะคล้ายเห็ดฟาง เช่น มีลักษณะตูมและมีปลายสีขาว ทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดได้ แต่วิธีที่ดีที่สุดก็คือ ไม่ควรรับประทานเห็ดที่ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ทราบว่ามีการนำเห็ดนี้ไปรับประทาน ส่วนประชาชนก็ไม่ควรเก็บเห็ดที่ไม่รู้จักมารับประทาน ควรเลือกเก็บเฉพาะเห็ดที่รู้จักและเคยรับประทานแล้วไม่



เป็นอันตรายต่อร่างกาย จะทำให้มีความปลอดภัยจากอันตรายของเห็ดที่เป็นพิษด้วยครับ




 



 



ที่มา : ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #171 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2011, 10:18:07 AM »

10 อาหารควรเลี่ยงหากปัสสาวะบ่อยเกิน!!

มีผู้อ่านถามถึง อาการปวดปัสสาวะ เข้ามาว่า ในแต่ละวันจะรู้สึกปวดปัสสาวะบ่อยมาก เกือบ ๆ ทุกชั่วโมง รวมทั้งช่วงกลางดึก จนรู้สึกรำคาญ อยากทราบว่าเป็นลักษณะของโรคใด ๆ หรือไม่ และจะมีวิธีอย่างไรบ้างที่ช่วยลดอาการดังกล่าวได้


อาการปวดปัสสาวะ หากเกิดขึ้นบ่อย ๆ หรือราว 2-3 ครั้งต่อชั่วโมง เวลาปวดก็จะกลั้นไม่ค่อยได้ และอาจรู้สึกเจ็บท้องน้อยร่วมด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณของ โรคกระเพาะปัสสาวะไวเกิน หรือ Over Active Bladder (OAB) ซึ่งเป็นภาวะที่ระบบประสาทบริเวณกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะผิดปกติ ทำให้บีบตัวบ่อย และไวกว่ากำหนด ปัจจุบันพบได้ทั้งในผู้หญิง และผู้ชาย สำหรับวิธีรักษานั้น นอกจากจะใช้แนวทางด้านการแพทย์แล้ว ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการรับประทานอาหารควบคู่ไปด้วย เพราะอาหารบางอย่างก่อให้เกิดการระคายเคืองกระเพาะปัสสาวะ และมีฤทธิ์กระตุ้นการขับปัสสาวะ จึงควรหลีกเลี่ยง ซึ่งมีดังต่อไปนี้

ส้ม-ส้มโอ-สับปะรด ช็อคโกแลต ชา-กาแฟ ซอสพริก-วาซาบิ น้ำตาล-น้ำผึ้ง ผลิตภัณฑ์จากมะเขือเทศ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นม-เนยแข็ง เครื่องดื่มชูกำลัง และเครื่องดื่มอัดลม โดยอาจชดเชยด้วยอาหารประเภทอื่นแทน เช่น ผลไม้ ควรเลือกทานเป็นกล้วย-แอปเปิ้ล-ลูกแพร์-เบอร์รี่ ในเครื่องดื่มควรเปลี่ยนเป็นชาสมุนไพรที่ไม่มีคาเฟอีน ส่วนผู้ที่ชอบทานรสจัดอาจใช้กระเทียม หรือวัตถุดิบสมุนไพรที่ให้รสเผ็ดร้อนอย่างอื่นปรุงแทน เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่เข้ารับการรักษากับแพทย์ควรหลีกเลี่ยงอาหารข้างต้นควบคู่ไปด้วย ก็จะช่วยบรรเทาจากอาการดังกล่าวได้.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2011, 11:25:35 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #172 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2011, 10:19:55 AM »

นอนหมอนไม่เหมาะเสียสุขภาพ

ในแต่ละวันคนเราต้องนอนหลับ 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เสมือนเป็นการชาร์จพลังให้กับร่างกาย ทว่าช่วงเวลาแห่งการหลับใหลไม่ราบรื่นเพราะหมอนที่ใช้หนุนไม่เหมาะสม อาจทำให้ตอนตื่นรู้สึกไม่สดชื่น คล้ายกับนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ระหว่างวันจะรู้ง่วงเหงาหาวนอน



นอกจากนี้ยังมีอาการปวดเมื่อยบริเวณคอ อาจเป็นเพราะนอนหมอนที่สูงหรือต่ำเกินไป ทำให้บางคนเกิดอาการปวดต้นคอ เอี้ยวหันคอไม่ได้ และมักเกิดขึ้นหลังจากตื่นนอนตอนเช้า จนเข้าใจว่าเป็นอาการนอนตกหมอน ที่บ้างคนแก้เคล็ดด้วยการนำหมอนเจ้ากรรมนั้นไปตากแดด

ส่วนใหญ่อาการนอนตกหมอนมักทุเลาและหายไปเองราว 2-3 วัน แต่สาเหตุที่แท้จริงนั้นเกิดจากนอนในท่าที่ไม่เหมาะ คอพับ คอแหงนมากเกินไป หรือเคลื่อนไหวคอผิดท่า ซึ่งคนเราจะไม่รู้ตัวเพราะกำลังหลับอยู่ ทำให้เกิดการอักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาทั้งการนอนกรนหรือนอนตกหมอนอยู่ที่การเลือกหมอนให้เหมาะสม และพรุ่งนี้ มุมสุขภาพ เตรียมข้อมูลรอให้ติดตามแล้ว.


ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2011, 11:30:43 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #173 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2011, 10:21:56 AM »

เตือนก่อนสาย 10 หลุมดำเรื่องกิน
เรื่องกินก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิต เพราะฉะนั้นทุกคำที่กินก็ต้องกินอย่างมีสติ ไม่อย่างนั้นโรคภัยไข้เจ็บก็จะคุกคามตามมา




พ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ มี 10 หลุมดำ เกี่ยวกับเรื่องของการกิน ฝากเตือนใจผู้อ่านรักษ์สุขภาพ ให้ใส่ใจกับพฤติกรรมการกินอาหาร

เริ่มจาก "กินเช้าดีแต่...ต้องมีลิมิต" อย่าคิดเน้น แป้ง (Refined carbohydrate) มากไป เช่น ข้าวราดแกงให้เพลาข้าวลงนิด หรือคิดกินเส้นก็เป็นเกาเหลาก็ยังได้ เพราะแป้งมากจะทำให้หิวง่ายก่อนเที่ยง แถมเสี่ยงอ้วนชวนโรคมาอีกพะเรอ

ต่อด้วยหลุมดำที่ 2 "กินแค่พออิ่ม" ด้วยเหตุว่ากระเพาะเป็นอวัยวะเฉื่อยกว่าจะส่งสัญญาณ อิ่ม ไปสมองต้องใช้ราว 15 นาที มีเทคนิกง่ายคือให้ อิ่มก่อนอิ่มแล้วจะสบายท้องดีที่สุดครับ

หลุมถัดไป "ชอบลิ้มก่อนนอน" ขอให้ยามหลับเป็นเวลาพักไส้ ช่วงแรกอาจมีท้องกิ่วนิดๆ แต่ขอให้คิดเถิดครับว่า เพื่อให้สมองได้หลับสนิทแล้วหลั่ง ธาตุนิทรา(Melatonin) กับ ธาตุหนุ่มสาว(Growth hormone) แล้วตื่นมาจะสบายกว่าที่คิด ลองแล้วจะติดใจครับ

หลุมดำที่ 4 เรียกว่า "อย่าย้อนกระเพาะ" ขอให้เลี่ยงอาหารมัน เพราะเป็นอาหารคิดสั้นสำหรับโรคกระเพาะและกรดไหลย้อนครับ สำหรับอาหารเผ็ดยังไม่น่ากลัวเท่า เพราะของทอดและมันเป็นอาหารอร่อยสั้นแต่มันอยู่ในกระเพาะได้ยาวนานกว่าอาหารอื่น ขืนกินบ่อยต้องระวังกรดย้อนศรมาหานะเธอ

ครึ่งทางกับหลุมดำที่ 5 "กินต้องฝึก" นึกหิวเมื่อไรให้ดูว่า หิวจริง หรือ หิวหลอก บ่อยครั้งที่เป็นแค่ อยาก คือหิวแบบสับขาหลอกแต่ออกไปหากินจริง คนไทยชอบกินฉึกฉึก เอ๊ย...จุบจิบ เลยฝากวิธีง่ายไว้ให้ถามตัวเองว่า หิวขนาด กินฝรั่งสดได้สักลูกไหม ซึ่งถ้าใช่ก็หิวจริง วิ่งหาอาหารมากระแทกท้องได้

สำหรับหลุมดำที่ 6 คือ "นึกแต่หวาน" ของน่าทานชวนติดอันดับหนึ่งคือ ของหวาน ครับ คนไทยเป็น โรคติดหวาน(Carbohydrate addiction) กันมาก มีวิธีสังเกตง่ายว่าเมื่อไรกินข้าวเสร็จแล้วอยากหาเหตุกินของหวานล้างปากอีกหรือไม่ ถ้าใช่ก็ค่อยๆ เลิกครับ

ขณะที่หลุมดำเรื่องกินที่ 7 "ทานเน้นมัน(ดี)" ขอให้เลือก ไขมันดี ซึ่งไม่มีพระเอกเพียงคนเดียวครับ ต้องจับใช้ให้หลากหลายน้ำมันพืช,สัตว์ ยกเว้นน้ำมันพราย และอย่าใช้น้ำมันแบบแม่ไม่ปลื้ม คือ ยกขวดเท ให้ใช้ช้อนตักใส่กะทะหรือจะใช้แปรงทาก็ได้

หลุมดำที่ 8 "กินติดปรุง" อย่ายุ่งกับ พวงเครื่องปรุง ทุกครั้งไป เชฟเจ้าอร่อยเขาถือและมันคือสุขภาพที่เสียไปทุกช้อนที่เติมน้ำปลา,น้ำตาล,ซีอิ๊วหวานหรือซอส เพราะยอดของความอร่อยไม่ใช่รสอุมามิอย่างเดียวแต่เกี่ยวกับรสธรรมชาติแท้ๆด้วยครับ

มาถึงหลุมดำที่ 9 "มุ่งกินกาก" หากอยากให้สุขภาพดีจน สุดไส้ แถมได้ ล้างพิษ ไปในตัวขอให้ช่วยกิน เส้นใย(ไฟเบอร์) ซึ่งได้แก่กากทั้งละลายน้ำได้และไม่ได้ เป็นต้นว่ากินผลไม้ก็ให้กินเปลือกด้วย(แต่ช่วยระวังทุเรียนและมังคุด) ให้อย่างน้อยวันหนึ่งได้ผักผลไม้สัก 5 ทัพพีครับ

หลุมดำสุดท้าย "อยากให้หลากหลาย" อย่าปลงใจกับลูกสาวแม่ครัวเจ้าเดียว ขอให้เทียวสลับอาหารให้หลากหลายเพื่อกระจายความเสี่ยง ขอให้เลี่ยงก๋วยเตี๋ยวสามมื้อหรือเช้าข้าวราดแกง กลางวันแกงราดข้าว หรือจะเอากับข้าวบ้านมาทานสักสัปดาห์ละครั้งก็เก๋ดี

ทราบแล้วลองนำไปปรับเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารกันเสียไหม แล้วรอดูสุขภาพของคุณสิ.


takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 30, 2011, 11:37:29 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #174 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 09:01:55 PM »

เคล็ดลับเด็ดๆเพื่อร่างกายฟิตพร้อมจิตแจ่มใส

เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าวิถีชีวิตที่เร่งรีบในสังคมปัจจุบันจะทำให้ทุกคนปรารถนาที่จะมีสุขภาพกายและจิตที่ดี



เราขอแนะนำเคล็ดลับง่ายๆที่จะทำให้คุณได้เป็นเจ้าของร่างกายที่แข็งแรงฟิตเปรี๊ยะราวกับเด็กสาว เพียงคุณเล็งเห็นความสำคัญของปัจจัยพื้นฐานสามประการในการดำรงชีวิตต่อไปนี้ ความฝันของคุณที่จะมีหุ่นสวยสุขภาพดี และจิตใจที่แจ่มใสมีพลังก็จะเป็นความจริง

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายทำให้สมองหลั่งสารเอนโดร์ฟิน หรือที่เรียกกันว่า สารแห่งความสุขออกมา สารนี้ช่วยให้เรามีอารมณ์ที่ดีขึ้น และช่วยผ่อนคลายความเครียด เพราะเอนโดร์ฟินทำหน้าที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียด นอกจากนี้การออกกำลังกาย จะทำให้เกิดการแตกตัวของไขมันซึ่งจะทำให้ร่างกายสร้างแอล ทริปโตเฟน ซึ่งเป็นโมเลกุลที่คล้ายคลึงกับสารเซโรโทนินหรือสารสื่อประสาทที่มีส่วนช่วยให้เรารู้สึกเป็นสุขออกมา การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอยังช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้ทัศนคติที่เรามีต่อตัวเองดีขึ้นอีกด้วย บ่อยครั้งที่เราจะรู้สึกว่าตัวเองดูดีขึ้นหรือสัดส่วนกระชับขึ้นหลังออกกำลังกาย และไม่ว่าการออกกำลังกายแบบแอโรบิก หรือแบบต้านแรงเช่น การยกน้ำหนัก หรือเล่นเวทจะทำให้เรารู้สึกสดใส มีพลังและยังมีร่างกายที่แข็งแรงเป็นของแถม

ทานอาหารที่มีประโยชน์ การรับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสามารถช่วยลดความเครียดได้ แต่อย่าลืมว่าถ้าคุณรับประทานอาหารขณะรีบร้อนหรือรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวสูงเกินไปเช่น เค้ก คุ้กกี้ หรือน้ำอัดลม อาจทำให้คุณรู้สึกเครียดมากขึ้นได้ โดยปกติแล้วเรามักจะเผลอทานอาหารหวานจัดเวลาเครียดโดยคิดว่าสิ่งนี้จะช่วยเพิ่มพลัง แต่ทางที่ดีคุณควรจะหันมารับประทานอาหารที่มีประโยชน์มากกว่า เพราะอาหารสดๆที่ปราศจากสารปรุงแต่งจะช่วยให้ร่างกายทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพมากขึ้น โปรตีนคุณภาพจากปลา ไข่ หรือเต้าหู้ช่วยซ่อมแซมเนื่อเยื่อที่สึกหรอ ผักและผลไม้สดเป็นแหล่งสำคัญของใยอาหารรวมทั้งวิตามินและเกลือแร่ที่สำคัญต่อร่างกาย อาหารนมมี แอล ทริปโตเฟนสูงที่จะช่วยสร้างสารเซโรโทนิน กรดไขมันโอเมกาสามช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งและช่วยแก้อาการซึมเศร้า ดังนั้นอย่าลังเลที่จะทานอาหารดีๆ ที่มีประโยชน์เวลาที่คุณรู้สึกเครียด

นอนพักผ่อนให้เพียงพอ การนอนพักผ่อนให้เพียงพอเป็นหัวใจสำคัญของการมีสุขภาพดี ถ้าเรานอนไม่พอร่างกายจะตกอยู่ในภาวะเครียดเรื้อรัง และร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความเครียดที่เป็นพิษออกมาทำลายสุขภาพ จากการวิจัยพบว่าคนเราควรนอนหลับให้ได้โดยเฉลี่ยวันละ 7 ชั่วโมง


ที่มาข้อมูล : วี สลิม บิวตี้ สปา (Vie Slim Beauty Spa)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2011, 09:19:01 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #175 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 09:06:18 PM »

เครื่องดื่มช่วยย่อย หลังอิ่มมื้อใหญ่
ใกล้ช่วงเทศกาลที่มีวันหยุดต่อเนื่อง หลายๆ คนคงหมายใจจะร่วมประเพณีสงกรานต์ จากนั้นก็คงต้องสังสรรค์ทานเลี้ยงมื้อใหญ่กับญาติสนิทมิตรสหาย ทว่าอาหารปริมาณมาก หากทานอิ่มเกินไป พาลจะเจออาการอาหารไม่ย่อย จุก เสียด แน่น เฟ้อ เล่นงานหลังมื้ออาหารเอาได้


ในวิถีของ มุมสุขภาพ-กินดี ก็คงต้องแนะนำทางแก้ด้วยเครื่องดื่มจากผักและผลไม้ ที่มีสารอาหารสำคัญช่วยย่อย และเสริมประสิทธิภาพระบบย่อยอาหาร ด้วยคุณค่าจากสับปะรด องุ่นเขียว ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย

คุณประโยชน์ของ สับปะรด อันอุดมด้วยวิตามินซี กรดโฟลิก โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม ช่วยย่อยโปรตีน มีเอนไซม์ชื่อ โบรเมลิน ช่วยรักษาสมดุลร่างกาย ส่วน องุ่น มีวิตามินบี1 บี2 และซี รวมถึงฟอสฟอรัส กำมะถัน แคลเซียม เหล็ก กรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก กรดทาร์ทาริก ทำให้องุ่นสามารถเพิ่มความเร็วในกระบวนการเผาผลาญอาหาร และช่วยควบคุมน้ำหนัก ดีต่อเลือดลม

ขณะที่ผักทั้งสามชนิด อย่าง ผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า ขึ้นฉ่าย เป็นส่วนผสมที่มีวิตามิน แต่สรรพคุณเฉพาะตัวนั้น ผักชีฝรั่ง สามารถแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ช่วยขับถ่าย หัวไช้เท้า จะคอยล้างพิษของกระเพาะอาหารและลำไส้ สุดท้าย ขึ้นฉ่าย กินแล้วจะทำให้รู้สึกสบายขึ้น

ส่วนผสมควรเตรีนมตามสัดส่วนต่อไปนี้...

สับปะรด 1 ถ้วย
องุ่นเขียว 1 ถ้วย
ผักชีฝรั่ง ½ ถ้วย
หัวไช้เท้า ½ ถ้วย
ขึ้นฉ่าย ½ ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากเตรียมสับปะรด โดยปอกเปลือกออกให้หมด ส่วนองุ่นเขียวนั้นไม่ต้องเลาะเอาเมล็ดออก สำหรับผักชีฝรั่ง หัวไช้เท้า และขึ้นฉ่าย ให้หั่นหยาบๆ จากนั้นนำส่วนผสมทั้งหมดไปสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วดื่มได้ทันที ถ้าจะให้ดีเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่นได้อีก.[/color]

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2011, 09:11:31 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #176 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 09:21:41 PM »

'แอพริคอต'ผสม'ส้ม' คู่หูต้านหวัด



สภาพอากาศช่วงนี้เปลี่ยนแปลงไว มีผลต่อสุขภาพของบางคนที่ปรับตามไม่ทัน ทำให้ระยะนี้หลายๆ คนป่วยด้วยโรคหวัดกันมาก 'มุมสุขภาพ-กินดี' อยากช่วยให้ผู้อ่านรักษ์สุขภาพรับมือกับความแปรปรวนของอากาศได้ด้วย

เครื่องดื่มสุขภาพ 'น้ำแอพริคอตและน้ำส้ม' ให้ประโยชน์ช่วยคือ แก้โรคหวัด เสริมความแข็งแกร่งของภูมิต้านทาน แถมยังต้านอนุมูลอิสระได้อีก

ขอบอกเล่าถึงสรรพคุณของ 'แอพริคอต' อันอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ต้านความเสื่อมของเซลล์และเนื้อเยื่อ นอกจากนี้ยังมีกรดมาลิก ช่วยทำความสะอาดลำไส้ เคล็ดลับเลือกแอพริคอต ควรใช้ผลสีเข้มๆ เพราะสารอาหารที่กล่าวไปจะอัดแน่นอยู่มาก

ส่วน ส้ม มีวิตามินซี เบต้าแคโรทีน ไบโอฟลาโวนอยด์ สังกะสี โพแทสเซียม และฟอสฟอรัส ดีต่อปอดและไต คุณประโยชน์ของส้มจะช่วยแก้หวัด แก้ไอ เป็นยาระบายอ่อน กระตุ้นให้ร่างกายสดชื่นกระปรี้กระเปร่า ทั้งยังป้องเชื้อรา และเชื้อจุลินทรีย์

ใครอยากดื่มน้ำผลไม้สูตรนี้ให้เตรียม...

แอพริคอต 2 ถ้วย
ส้ม 2 ผล
น้ำแร่หรือน้ำสะอาด 1 ถ้วย

สำหรับขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแอพริคอต แล้วผ่าครึ่งคว้านเมล็ดออก หั่นให้เป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนส้มให้แกะเป็นกลีบแต่ไม่ต้องเลาะเมล็ดออก จากนั้นนำส่วนผสมทั้งสองชนิดสกัดพร้อมกันด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแร่หรือน้ำสะอาดเพื่อเจือจาง ดื่มได้ทันที หรืออยากเพิ่มความเย็นสดชื่นก็สามารถเติมน้ำแข็งได้.


ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2011, 09:57:23 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #177 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 09:23:23 PM »

หลับดีลดเครียด แอปเปิ้ล-บลูเบอร์รี่


หลายๆ คนบอกว่า เมื่อมีเรื่องให้คิดกังวลหรือมีความเครียดแล้วมักจะทำให้นอนไม่หลับ แถมความเครียดตัวร้ายนี่ยังเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ด้วย

มุมสุขภาพ-กินดี วันนี้ นำคุณประโยชน์จากแอปเปิ้ล และบลูเบอร์รี่ มาช่วยลดความเครียด จะได้นอนหลับได้อย่างสบาย เพราะเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแก้วนี้

ว่ากันด้วยเรื่องของสรรพคุณ สำหรับ บลูเบอร์รี่ อุดมด้วยวิตามินบี1 บี2 และบี6 วิตามินซี แคลเซียม แมกนีเซียม โครเมียมกรดไบโอทิน กรดโฟลิก และกรดไฟโตเคมิคอลเอลลาจิก ช่วยรักษาน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับคงที่ หรือลดอาการน้ำตาลในเลือดต่ำ ทำลายพิษจากอนุมูลอิสระ แถมยังป้องกันการเปิดริ้วรอยได้ด้วย

ส่วน แอปเปิ้ล เป็นผลไม้ที่ช่วยลดความตึงเครียด และลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ ในแอปเปิ้ล เป็นแหล่งรวมของวิตามินบี1 บี2 และบี6 โพแทสเซียม แมกนีเซียม เหล็ก กำมะถัน และสารต้านอนุมูลอิสระ

เครื่องดื่มแก้เครียดมีส่วนผสมให้ต้องเตรียมดังต่อไปนี้...

แอปเปิ้ล 2 ถ้วย
บลูเบอร์รี่ 1 ถ้วย
น้ำแร่ 1 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ เริ่มจากการทำความสะอาดแอปเปิ้ล แล้วหั่นเป็นชิ้นขนาดกลาง โดยไม่ต้องเอาแกนออก จากนั้นนำไปสกัดรวมกับบลูเบอร์รี่ด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเติมน้ำแร่ลงไปคนให้เข้ากัน สามารถเติมน้ำแข็งเพิ่มความเย็นสดชื่น ดื่มได้ทันที.[/color]

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2011, 09:44:32 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #178 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2011, 09:25:02 PM »

‘แคนตาลูป’กินดีซ่อมแซมเนื้อเยื่อ


แคนตาลูป พืชตระก้ลแตง บางคนเรียก แตงเทศ, แต่งฝรั่ง หรือแตงคุณหนู เพราะไม่ใช่ผลไม้ไทยแท้ๆ ระหว่างกาเพาะปลูกในบ้านเรา เกษตรกรก็ยังต้องดูแลเอาใจใส่มากเป็นพิเศษ

สำหรับสรรพคุณของแคนตาลูป อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยเกี่ยวข้องกับการซ่อมแซมเนื้อเยื่อโดยเฉพาะ อย่าง วิตามินเอ ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและรักษาสิว วิตามินซี จะทำให้แผลหายเร็ว ส่วนสารอาหารอื่นๆ ที่มีในแคนตาลูป ประกอบด้วย กรดโฟลิก โพแทสเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส โซเดียม แคลเซียม เบต้าแคโรทีน และวิตามินบี1 บี2 และบี6 จัดเป็นผลไม้ที่ล้างพิษได้อย่างอ่อนโยนกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ ช่วยดับร้อน ลดไข้ รักษาการอักเสบของลำไส้ ขับน้ำนม ขับปัสสาวะ

ส่วนเครื่องดื่มสุขภาพจากแคนตาลูป ปรุงดื่มได้ไม่ยาก เพียงแค่เตรียม...

แคนตาลูป 3 ถ้วย
น้ำแข็งป่น 1 ถ้วย

ขั้นตอนในการทำ ให้ล้างทำความสะอาดแคนตาลูป โดยจะปอกเปลือกหรือไม่ปอกก็ได้ หั่นพอหยาบ ไม่ต้องเอาเมล็ดออก จากนั้นนำไปสกัดด้วยเครื่องสกัดน้ำผักและผลไม้ เสร็จแล้วเทใส่แก้วเติมน้ำแข็ง ดื่มทันที.



ทีมเดลินิวส์ออนไลน์
takecareDD@gmail.com

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 02, 2011, 09:46:51 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #179 เมื่อ: มิถุนายน 03, 2011, 01:46:05 PM »

ขอบคุณสำหรับข้อมูลดี ๆ นะคะ Smiley
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: