Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 72051 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ไม่สามารถโหลดไฟล์ภาษา 'Aeva.thai-utf8' ได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #240 เมื่อ: กันยายน 28, 2011, 10:45:50 PM »

ผักสมุนไพรช่วยย่อยอาหาร



สำหรับใครที่ชอบเป็นโรคอาหารไม่ย่อย วันนี้คุณไม่้ต้องพึ่งพายาอีกต่อไปเพราะเรามีผักสมุนไพรที่ช่วยย่อยอาหารมาฝากกันค่ะ ยังไงลองเลือกรับประทานกันดูนะคะ

1. กระเทียม
กระเทียมเป็นสมุนไพรที่ดีต่อสุขภาพหลายด้านเมื่อรับประทานเข้าไปสารใน กระเทียมจะช่วยเพิ่มน้ำย่อยและน้ำดี ช่วยในการย่อยอาหารและยังแก้อาการปวดท้องเนื่องจากอาหารไม่ย่อย มีของฝากพิเศษสำหรับคนที่มีอาการจุกเสียดแน่นเนื่องจากอาหารไม่ย่อยอยู่บ่อย ๆ ให้นำกระเทียมปอกเปลือกนำเฉพาะเนื้อใน 5 กลีบ ซอยให้ละเอียดรับประทานกับน้ำหลังมื้ออาหารอาการจะค่อย ๆ หายไป

2. หอมเล็ก
มีฟลาโวนอยด์ (Flavonoid) ไกลโคไซด์ (Glycosides) เพคติน (Pectin) และกลูโคคินิน (Glucokinin) ช่วยย่อยอาหารและทำให้เจริญอาหาร หอมเล็กสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลายชนิดโดยเฉพาะยำต่าง ๆ

3. พริกสด
พริกทุกชนิดไม่ว่าจะเผ็ดมากเผ็ดน้อยก็ช่วยกระตุ้นการหลั่งของน้ำลายให้ออกมา มากซึ่งเอนไซม์ในน้ำลายนี้จะช่วยย่อยสลายแป้งในปาก นอกจากนี้ยังพบว่าพริกขี้หนูรสเผ็ดร้อนช่วยย่อย ช่วยเจริญอาหาร และขับลมได้ดี พริกอยู่ในสำรับไทยหลากหลายเมนูแต่อย่าเผลอกินเผ็ดจนท้องไส้ปั่นป่วนนะคะ

4. ข่า
ข่ามีฤทธิ์ขับน้ำดีจึงช่วยย่อยอาหารเช่นกันวิธีที่ดีที่ทำให้เรากินข่าได้ อร่อยเหมือนผักอื่น ๆ ก็คือ เวลานำข่ามาใส่อาหารให้หั่นข่าเป็นชิ้นเล็ก ๆ

5. ตะไคร้
ตะไคร้มีสารช่วยในการขับน้ำดีมาช่วยย่อย ถ้าจะให้กินตะไคร้สด ๆ ก็คงไม่น่าอร่อยเท่าไหร่แต่ถ้าเป็นน้ำพริกตะไคร้หรือชาตะไคร้ก็อร่อยไม่เบา

6. ใบแมงลัก
ใบแมงลักมีกลิ่นหอมเป็นลักษณะเฉพาะหอมโล่งจมูกและน้ำมันหอมระเหยหอม ๆ นี้เองที่มีฤทธิ์ในการช่วยย่อยอาหารคุยเรื่องใบแมงลักก็คิดถึงแกงเลียงทุกที

7. ใบกะเพรา
มีฤทธิ์ขับน้ำดีออกมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้าไป

สมุนไพร ทั้ง 7 ชนิด นี้ หากเลือกกินอย่างเหมาะสม ก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการย่อยมากวนใจ ทางที่ดีปลูกไว้ในบ้านก็ได้เพราะปลูกง่ายทุกชนิด


 

ขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #241 เมื่อ: กันยายน 28, 2011, 10:55:57 PM »

คุณรู้จักสารต้านอนุมูลอิสระดีพอหรือยัง







สนับสนุนเนื้อหาโดยChat
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #242 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2011, 04:11:58 PM »


โรคข้อเสื่อม

 โรคข้อเสื่อมเกิดในผู้สูงอายุตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป แต่จะพบมากขึ้นเมื่อวัย 60 ปีขึ้นไปถึงร้อยละ 50 โรคข้อเสื่อมเกิดจากกระดูกอ่อนหุ้มปลายของกระดูกทั้งสองด้าน รองรับแรงกระแทกไม่ไหว ทำให้เกิดเสียงกรอบแกรบเวลาเคลื่อนไหว ผู้ป่วยจะรู้สึกได้โดยเฉพาะที่ข้อเข่าและข้อสะโพกมากที่สุด โรคข้อเสื่อสามารถป้องกันได้ด้วยการหลีกเลี่ยงท่านั่งหรือเดินที่เป็นอันตรายกับข้อ เช่น พับเพียง คุกเข่าเป็นเวลานาน หรือเดินขึ้นบันไดโดยไม่หยุดพัก หรืออาจรับประทานยาเม็ดกลูโคซามีนซันเฟสจะเสริมความแข็งแรงของกระดูกอ่อนชะลอการเสื่อมได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #243 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2011, 04:36:51 PM »

ผิวบาง สัญญาณอันตรายที่นำไปสู่ปัญหาผิวไม่รู้จบ

เชื่อว่าคุณผู้หญิงหลายคนมีปัญหาผิว เช่น แสบ แดง คันหรือเป็นผื่นเมื่อถูกแดด หรือบางรายอาจมีฝ้า กระ จุดด่างดำ เกิดขึ้นทั้งที่อายุยังน้อย คุณทราบหรือไม่ว่านี้คือสัญญาณบ่งบอกว่าคุณมีแนวโน้มผิวบาง และอีกไม่นานหากปลอยทิ้งไว้คุณจะพบกับปัญหาผิวที่ยากจะแก้ไข
แล้วคุณรู้หรือไม่ ผิวบาง คืออะไร

ปัญหาผิวบางเกิดได้จากหลายๆ สาเหตุ หากพูดถึงผิวบางจากการใช้ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งแล้ว จะขอกล่าวถึงปัจจัยนอก

ปัจจัยภายนอก คือ การใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้เกิดผิวบาง

ผู้หญิงทุกคนอยากมีผิวหน้ากระจ่างใสแต่ลืมคิดไปว่าผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่ใช้อยู่ทำให้ผิวกระจ่างใสจริงและปลอดภัยหรือไม่ คุณหรือเพื่อนๆข้างกายหลายคน คงเคยพบปัญหาการใช้ไวเทนนิ่งแล้วผิวขาวขึ้นอย่างทันใจ ใครหลายๆคนก็ทักว่าคุณมีหน้าขาวใสขึ้นในช่วงแรก แต่...ไม่นานผิวกลับคล้ำเสียกว่าเดิมซ้ำยังเกิด ฝ้า กระ จุดด่างดำอีกด้วย

คุณรู้หรือไม่...เกิดอะไรขึ้นกับใบหน้าของคุณ

การที่คุณใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสมและไม่ปลอดภัยเพราะมีสารที่เป็นอันตรายอันตรายต่อผิว เนื่องจากมีส่วนผสมของสารที่มีความเป็นกรดมากเกินไป เช่น กรด BHA (Beta Hydroxyl Acid)กรดวิตามินซี กรดวิตามินเอ สารเหล่านี้ช่วยให้หน้าขาวขึ้นจริงในตอนแรกสุดท้ายกลับทำลายผิวหน้าและก่อปัญหาทิ้งไว้อีกด้วย เพราะผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เข้าไปเร่งการผลัดเซลล์ผิว ทำให้การผลัดเซลล์ผิวบริเวณหนังกำพร้าหลุดลอกเร็วและมากกว่าปกติ ส่งผลให้เกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ผิวบางลง ทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่ายและนำไปสู่ปัญหา ผิวไวต่อแสงแดด ซึ่งเมื่อออกแดดจะทำให้เกิด อาการแดง แสบ คันหรือมีผื่น โดยเฉพาะบริเวณโหนกแก้ม และเมื่อ ผิวบางและไวต่อแดดปัญหาที่จะพบต่อมาคือ ฝ้า กระ จุดด่างดำ คล้ำเสียสะสม มากยิ่งขึ้น



ผิวบาง เมื่อถูกแดดจะมีอาการแดง แสบ หรือ คัน
อาจมีผื่นบริเวณที่โดดแดด

ดูแลผิวอย่างไรหากคุณเป็นคนผิวบาง

ทุกๆครั้งของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่ง คุณควรแน่ใจว่าไม่มีส่วนผสมของสารที่ทำให้ผิวบาง เช่น กรดวิตามินซี กรดวิตามินเอ กรด BHA (Beta Hydroxyl Acid) เพราะสารเหล่านี้ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวได้ง่าย เร่งการผลัดเซลล์ผิวบริเวณหนังกำพร้ามากกว่าปกติ ทำให้เกราะปกป้องผิวอ่อนแอ ผิวจึงบางลง ถ้าเริ่มมีจุดด่างดำ กระ ฝ้า ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์กลุ่มไวเทนนนิ่ง ที่ปลอดภัย ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวได้ง่าย ปลอดสารทำให้ผิวบาง และไม่เร่งการผลัดเซลล์ผิวมากกว่าปกติ ไม่เช่นนั้นปัญหาจุดด่างดำ ผิวคล้ำเสียสะสมจะรุนแรงขึ้นและคล้ำเสียกว่าเดิม




ป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดปัญหาผิวบาง

คุณควรแน่ใจว่ากลุ่มผลิตภัณฑ์ไวเทนนิ่งที่คุณใช้ผ่านการทดสอบทางคลีนิกโดยผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังจากสถาบันการวิจัยที่น่าเชื่อถือและทดสอบแล้วว่าได้ผลจริงเหมาะสมกับสภาพผิวนอกจากนี้ต้องตรวจสอบแล้วว่า ส่วนผสมเป็นสารที่ปลอดภัยไร้สารทำให้ผิวบาง ซึ่งสารที่ปลอดภัยได้แก่

สารสกัดจากธรรมชาติที่ไม่ระคายเคืองต่อผิวและสามารถทำงานร่วมกับผิวได้ดี ทั้งนี้ต้องได้รับการพิสูจน์และทดสอบแล้วว่าปลอดภัย ไม่ระคายเคืองต่อผิวและไร้สารทำให้ผิวบาง
สารที่ได้รับการยอมรับหรือใช้ในการรักษาผิวพรรณโดยแพทย์ผิวหนัง
สารที่ทำงานร่วมกับผิวเสมือนเป็นแหล่งอาหารหรือพลังงานให้ผิวทำงานตามกระบวนการธรรมชาติได้อย่างดีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

สารที่ปลอดภัยและเป็นสารอาหารสำคัญต่อผิว เช่น สารอะไรบ้าง
เช่น Licochachone, Panthenol (vitamin B5), Vitamin E Acetate, Ubiquinone, Octadecenedioic Acid เป็นต้น โดยผ่านการพิสูจน์แล้วว่า ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้จึงให้ประสิทธิภาพในการบำรุงและเติมสารอาหารให้กับผิว มีประสิทธิภาพยาวนานและปลอดภัย


ที่มาmsn
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #244 เมื่อ: ตุลาคม 02, 2011, 04:41:45 PM »

มือสวยจากครัว
รู้หรือเปล่าว่า เพียงคุณสาวๆ เดินเข้าครัวก็จะเจอกับเหล่าพันธมิตรความงามที่จะมาเป็นกองหนุนยามผลิตภัณฑ์ดูแลมือหมดไปแบบไม่รู้ตัว

คุณแนะนำสิ่งนี้คุณยังไม่ได้แนะนำแบ่งปัน

แล้วคุณจะรู้ว่าของเหลือใช้จากก้นครัวก็เนรมิตให้มือคุณสวยได้

1. สูตรสครับช่วยให้มือขาวใสด้วยโยเกิร์ตสตรอว์เบอรี่




ส่วนผสม

โยเกิร์ตสตรอว์เบอรี่ 2 1/2 ออนซ์
น้ำตาลอ้อย 1/2 ถ้วย
น้ำมันมะกอก 1 - 1/2 ช้อนโต๊ะ
กลีบกุหลาบ 2 กลีบ

วิธีทำ
ผสมโยเกิร์ตและน้ำมันมะกอกลงไป ฉีกกลีบกุหลาบออกเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วคนให้เข้ากัน ใส่ตู้เย็นจนเริ่มเย็นจากนั้นใส่น้ำตาลอ้อยคนให้เข้ากันแล้วนำไปใช้ขัดผิวทันที ขัดเสร็จทิ้งไว้ 5 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำให้สะอาด ผิวจะนุ่มเนียนขึ้น ให้ทำอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง จะเห็นผลใน 1 เดือน

2. สูตรพอกให้นุ่มเนียนน่าสัมผัสด้วยชอกโกแลต
ส่วนผสม

โกโก้ 1/3 ถ้วย
เฮฟวี่ครีม 3 ช้อนโต๊ะ
แป้งข้าวโอ๊ต 3 ช้อนชา
น้ำผึ้ง 3 ช้อนชา

วิธีทำ
ผสมส่วนผสมทุกอย่างเข้าด้วยกันแล้วคนให้ส่วนผสมข้นจนเป็นเนื้อเดียว นำมาพอกที่มือแล้วห่อด้วยพลาสติก ทิ้งไว้ 10 นาที จากนั้นเช็ดออกด้วยผ้าอุ่นๆ และล้างน้ำเย็นอีกครั้งให้สะอาด ทำอาทิตย์ละ 1 ครั้ง หลังจากสครับผิวทุกครั้ง ผิวมือจะนุ่มเนียนน่าจับ

3. สูตรดูแลหนังกำพร้ารอบเล็บ
ส่วนผสม

น้ำมันมะกอก 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันเมล็ดองุ่น 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันโจโจบาออยล์ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันวิตามินอี 1 ช้อนชา
น้ำมันหอมระเหยสกัดจากทีทรี 1 ช้อนชา
น้ำมันหอมระเหยสกัดจากลาเวนเดอร์ 1 ช้อนชา

วิธีทำ
ผสมส่วนผสมทั้งหมดในภาชนะที่ทึบแสง ให้หลอดหยดน้ำมันลงไปที่หนังกำพร้ารอบเล็บแล้วใช้นิ้วมือนวดให้น้ำมันซึมลงไป ให้ผิวบริเวณนั้นอ่อนนุ่มไม่ฉีกขาดง่าย หากใช้ไม่หมดเก็บไว้ในตู้เย็นใช้ต่อได้



ที่มาข้อมูล : นิตยสาร Hair ฉบับภาษาไทย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #245 เมื่อ: ตุลาคม 03, 2011, 10:39:36 PM »

เครียดหรือเปล่าจ้ะ Huh? :Smiley

ความเครียด (Stress) เป็นปฏิกิริยาของร่างกายที่เกิดขึ้น เมื่อร่างกายถูกกระตุ้น
และมีปฏิกิริยา ตอบโต้เป็น ปฏิกิริยา ทางสรีรวิทยา และจิตวิทยา โดยระบบต่อมไร้ท่อที่หลั่งฮอร์โมน และ ระบบประสาทอัตโนมัติ ทําให้เกิด การเปลี่ยนแปลง ไปทั่วร่างกาย

อาการทางกาย ท้องอืดท้องเฟ้อ ท้องไม่ย่อย ท้องเสียท้องผูก นอนไม่หลับ หลับยากส์ขึ้น เบื่ออาหารหรือกินมากกว่าปกติ ถอนหายใจบ่อย ปวดหัว ไมเกรน รู้สึกเพลีย ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา ตึงคอ

อาการทางจิตใจหงุดหงิดง่าย เบื่อหน่าย วิตกกังวล เหงา สับสน โมโห ไม่มีสมาธิ คิดมาก หมดความสนุกสนาน
 
ทางสังคมทะเลาะกับคนใกล้ชิด ขี้บ่น จู้จี้ ขัดแย้งกับผู้อื่นบ่อย

สำรวจตัวเราเองดูว่า เวลาที่เราเครียดเกิดจากอะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร และเมื่อมี ความเครียดแล้ว เกิดอะไรขึ้นบ้าง อาจได้คำตอบที่ค่อนข้างตรงกันว่า ความเครียด เป็นสภาวะ ที่เกิดขึ้น เมื่อเราประสบเหตุการณ์ที่เรารับรู้ว่า เป็นอันตราย และคุกคามต่อ ความเป็นอยู่ อันดีของเรา ไม่ว่าจะทางร่างกาย หรือจิตใจ และไม่แน่ใจว่าจะมีความสามารถเพียงพอที่จะเผชิญเหตุการณ์นั้นๆได้ หรือที่ตนประสบว่า เป็นเรื่องหนักหนาสาหัสเกินกำลังความสามารถ ที่จะแก้ไขได้ และรู้สึกว่า ตนสูญเสีย  มักเป็นอารมณ์ทางลบ เช่น ความวิตกกังวล ความกลัว ความโกรธ ความเศร้า ความทุกข์ใจ ไม่สบายใจต่าง ๆ หากความเครียด นั้นมีมาก และสะสมอยู่ เป็นเวลานาน โดยไม่ได้ผ่อนคลาย จะส่งผลให้เกิดความเจ็บป่วยที่รุนแรง เช่น เกิดความเจ็บป่วยทางจิต เกิดเป็นโรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคมะเร็ง เป็นต้น

แต่ถ้าบุคคลประเมินว่า เหตุการณ์ที่ตนประสบนั้น ยุ่งยากเป็นปัญหา เกี่ยวข้องกับ ความเป็นอยู่ อันดีของตน น่าจะจัดการได้ เป็น การประเมินว่า เหตุการณ์นั้น ท้าทายความสามารถ ความเครียด ที่เกิดขึ้นจะไม่มากนัก อารมณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กับความรู้สึกท้าทาย มักเป็นอารมณ์ทางบวก เช่น มีความรู้สึกกระตือรือร้น มีพลัง มีความหวัง มีกำลังใจ ความเครียดที่มีไม่มากนัก ช่วยให้บุคคล มีพลังที่จะต่อสู้อุปสรรค เรามักจะหนีความเครียดไม่พ้น ดังนั้น คุณภาพของชีวิต จึงขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการจัดการ กับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ถ้าบุคคลประเมินว่า เหตุการณ์ที่ตนประสบนั้น ยุ่งยากเป็นปัญหา เกี่ยวข้องกับ ความเป็นอยู่ อันดีของตน น่าจะจัดการได้ เป็น การประเมินว่า เหตุการณ์นั้น ท้าทายความสามารถ ความเครียด ที่เกิดขึ้นจะไม่มากนัก อารมณ์ที่เกิดขึ้นควบคู่กับความรู้สึกท้าทาย มักเป็นอารมณ์ทางบวก เช่น มีความรู้สึกกระตือรือร้น มีพลัง มีความหวัง มีกำลังใจ ความเครียดที่มีไม่มากนัก ช่วยให้บุคคล มีพลังที่จะต่อสู้อุปสรรค เรามักจะหนีความเครียดไม่พ้น ดังนั้น คุณภาพของชีวิต จึงขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการจัดการ กับความเครียดอย่างมีประสิทธิภาพ เผชิญความเครียด ผ่อนคลายความเครียดได้ผล ทำอย่างไรให้คลายเครียด รู้เท่าทัน เหตุการณ์ ที่ประสบ เพื่อจะได้ เตรียมที่จะ เผชิญ อย่างมีประสิทธิภาพ เหตุการณ์ที่อาจ ก่อให้เกิดความเครียด ได้แก่ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในชีวิต การสูญเสีย หรือไปไม่ถึงเป้าหมาย ที่วางไว้ หรือไม่แน่ใจว่า ตนจะไปถึงเป้าหมายได้หรือไม่ ทำให้เกิดความคับข้องใจ การไม่สามารถตัดสินใจได้ มีความขัดแย้งในใจ การอยู่ในสภาวะที่กดดัน

รู้เท่าทันว่าตัวเรากำลังเครียดอยู่ในขณะนี้เพื่อจะได้จัดการผ่อนคลายความเครียดลง สังเกตุตัวเราเองว่ามีอาการอย่างไรบ้างเพื่อเราจะได้หาทางแก้ไขผ่อนคลายความเครียดของตนเองอีกด้วย

จัดการความเครียดดังนี้

-ปัญหาทุกปัญหามีทางออกเสมอ มองโลกให้สดใส
-ทุกคนมีคุณค่าและความสามารถ มองหาส่วนดีที่ตนมี สร้างพลังและกำลังใจเมื่อมีปัญหา
-เรียนรู้ประสบการที่เกิดขึ้น เปลียนวิกฤติให้เป็นโอกาส
-พูดคุยกับเพื่อนสนิท ระบายปัญหาไม่เก็บความรู้สึกไว้คนเดียว
-ยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น
-ไม่ตำหนิตัวเอง ความรู้สึกผิดจะทำให้ตนเองไร้ค่าและสิ้นหวัง
-คนที่ประสบปัญหามากกว่าเรา ไม่ใช่มีเราเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ประสบปัญหา
-ดูแลตัวเอง ให้มีสุขภาพแข็งแรง ออกกำลังกาย ทานอาหารที่มีประโยชน์
-ไม่โวยวายใส่ใครหรือดื่มของมึนเมา ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาจะทำให้มีปัญหาเพิ่มขึ้นอีกด้วย
-พยายามทำกิจกรรมให้เสร็จทันกำหนดเป็นอย่างดี
-หาทางผ่อนคลายในกิจกรรมที่ชอบ เช่น ดูหนังฟังเพลง
-ใช้หลักธรรมฝึกจิตใจให้สงบ มีสมาธิ
-ไม่เอาเป็นเอาตายกับชีวิตมากเกินไป
-เรียนรู้ความผิดที่เกิดขึ้น
-ออกไปสังสรรค์กับเพื่อน
-ปรึกษาหารือหรือคำแนะนำกับ คุณครู พ่อแม่ พี่ ญาติมิตร หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานั้นๆ

สรุปความเครียดไม่ใช่สิ่งเลวร้าย เป็นแรงกระตุ้นให้คนมีความกระตือรือร้นในการจัดการกับความเครียดนั้น มีพลังในการดำเนินชีวิต แต่ความเครียดที่มีอยู่มากและสะสมเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการเจ็บป่วยทางร่างกายและทางจิตใจ ดังนั้นจึงควรหาวิธีผ่อนคลาย ความเครียกันดีกว่า


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #246 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 09:09:55 PM »

วิธีทำน้ำสะอาด

1.การกลั่น คือกระบวนการต้มของเหลวให้กลายเป็นไอ และไอควบแน่นให้เป็นของเหลว จะทำให้ได้ของเหลวหรือน้ำที่



2.การกรอง เป็นวิธีที่แยกสารที่ไม่ละลายน้ำออกจากน้ำ โดยผ่านกระดาษกรองหรือวัสดุที่ใช้กรอง เช่น กรวด หิน ดิน ทราย ถ่าน ฯลฯ ในปัจจุบันได้มีการประดิษฐ์เครื่องกรองที่ใช้วัสดุต่าง ๆ กัน เครื่องกรองบางชนิดใช้ไส้กรองซึ่งทำด้วยเซรามิค สารช่วยดูดซับสี เพื่อทำให้น้ำมีความสะอาดมากขึ้น แต่การกรองไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคต่าง ๆ ได้




3.การต้ม เป็นวิธีทำน้ำให้สะอาดที่สะดวกและประหยัด ทำได้ด้วยการนำน้ำใส่กาต้มน้ำหรือภาชนะอื่นที่ทนไฟ แล้วนำน้ำไปผ่านความร้อนด้วยการต้มให้เดือด น้ำที่ต้มแล้วเหมาะแก่การดื่มเพราะผ่านการฆ่าเชื้อโรคด้วยความร้อนแล้ว



4.การตกตะกอน เป็นวิธีการทำน้ำให้สะอาด โดยการใช้สารส้มแกว่งในน้ำจะทำให้สิ่งที่เจือปนอยู่ในน้ำตกตะกอนสามารถนำไปใช้อาบและซักผ้า แต่ไม่เหมาะที่จะนำมาดื่ม เพราะยังไม่ผ่านการฆ่าเชื้อโรค

5.การทำน้ำประปา กระบวนการทำน้ำประปา เริ่มจากสูบน้ำจากแหล่งน้ำจืดเข้าสู่ถังตกตะกอน ขั้นนี้จะเติมปูนขาวเพื่อลดความเป็นกรดในน้ำและใส่สารส้ม เพื่อช่วยให้ตกตะกอนได้ดียิ่งขึ้น แล้วนำไปผ่านการกรองอีกครั้งหนึ่งเพื่อให้น้ำใสมากขึ้น จากนั้นจึงใส่คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรค แล้วจึงส่งไปยังถังเก็บน้ำใสและส่งน้ำไปยังโรงสูบจ่ายน้ำเพื่อส่งน้ำประปาไปบริการประชาชนต่อไป





ที่มา http://ebook.nfe.go.th/ebook/html/019/208.htm
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #247 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 09:14:57 PM »

การควบคุมโรคติดต่อที่อาจเกิดระบาดได้

การทำน้ำให้สะอาด เช่น ใช้สารส้ม และใช้ปูนคลอรีน
การกำจัดอุจจาระ โดยใช้ปูนขาว หรือน้ำยาไลโซล 5% กำจัดกลิ่นและฆ่าเชื้อโรค
กำจัดพาหนะนำโรค เช่น ยุง และแมลงวัน โดยใช้ฆ่าแมลง


โรคต่าง ๆ ที่มักเกิดหลังอุทกภัย

โรคระบบหายใจ เช่น หวัด
โรคติดเชื้อ และปรสิต เช่น การอักเสบมีหนอง โรคฉี่หนู เป็นต้น
โรคผิวหนัง เช่น โรคน้ำกัดน้ำ กลาก เป็นต้น
โรคระบบทางเดินทางอาหาร เช่น โรคอุจจาระร่วง
ภาวะทางจิต เช่น ความเครียด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #248 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 09:21:54 PM »

น้ำสะอาด



อาจจะคิดว่าเป็นเรื่องขำๆ ....
เพราะแค่การก็มีหลักการด้วย แต่หากเพื่อนๆ ลองศึกษาดูให้ดี
บางทีอาจจะขำไม่ออกก็ได้...

เป็นที่ทราบกันดีว่าในร่างกายของคนเรา มีน้ำประกอบอยู่ถึง 3 ใน 4 ส่วน
ดังนั้นการดื่มน้ำ จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญต่อเราเป้นอย่างมาก ...
อย่างไรก็ดี การดื่มน้ำให้ถูกวิธี ก็ยิ่งเป็นการเสริมสร้างสุขภาพของเราให้ดียิ่งขึ้นด้วย ...

ดื่มน้ำทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ - คนเราสามารถรับรู้สภาวะที่ร่างกายต้องการน้ำอยู่แล้ว
แต่ทั้งนี้ไม่ควรพรวดพราดดื่มทีละมากๆ
เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อย

ส่วน ที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น
ข้อนี้ทำความเข้าใจกันใหม่ว่า
น้ำในที่นี้หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว หรืออื่นๆ

สำหรับ ใครที่ชอบดื่มน้ำเย็นจัดจนเป็นนิสัย
ควรทราบไว้อย่างหนึ่งว่า
การดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ นั้น อวัยวะของเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น
เพราะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้
ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน
ทางที่ดีควรเปลี่ยนไปดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย

เพื่อนๆ ที่ชอบดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร ประเภทข้าวคำ น้ำคำ ควรเลี่ยงพฤติกรรมนี้อย่างยิ่ง
เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่
ทั้งนี้ถ้ารู้สึกกระหายจริงๆ ให้แก้ไขด้วยจิบน้ำอุ่น
หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดความกระหายน้ำได้

อย่าง ไรก็ตาม หากเพื่อนๆ ต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ

แนะนำว่า ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ
ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร
และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง
เท่านี่ล่ะ สุขภาพของเราก็จะแข็งแรงและสดชื่นสุดๆ

“เวลาได้กินน้ำเย็น ๆ สักแก้ว
หลังอาหารมันรู้สึกชื่นใจดีใช่มั้ยครับ แต่ว่าน้ำเย็น จะทำให้ไขมันที่
คุณเพิ่งกินเข้าไปจับตัวเป็นไขขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง
ถ้าคราบไขมันทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วถูกดูดซึม ไปที่ลำไส้
ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไปแล้วจะเคลือบลำไส้เราไว้
ในไม่ช้ามัน ก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อน ๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด
ดังนั้นควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหาร ดีกว่า”

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์
อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ความจริงการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร
คงไม่เป็นอันตราย ถึงขั้นทำให้ไขมันจับ ตัวเป็นไข เป็นก้อนขนาดนั้น
เพราะปกติอุณหภูมิร่างกายคนเราอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส
น้ำที่เราดื่มเข้าไปถึงจะเย็น แต่ร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว ก็จะเปลี่ยนให้เป็นน้ำอุ่น ๆ
อยู่ดี ไขมันกว่าจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ต้องอาศัยอุณหภูมิเหมือนอยู่ในตู้เย็น 3-4
องศาเซลเซียส
เราควรจะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดี ก็ต้องขอเรียนว่า
น้ำเย็นจะช่วยเติมน้ำให้ร่างกายได้ดีกว่าน้ำอุ่น เพราะว่าน้ำเย็นดูดซึมได้เร็วกว่า

ตรงนี้เป็นข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาของสหรัฐ เขาบอกเลยว่า
น้ำที่ควรจะดื่มถ้าอยากให้สดชื่น ออกกำลังกายได้อึดขึ้น
อุณหภูมิควรอยู่ที่ประมาณ 15-22 องศาเซลเซียส หรือง่าย ๆ คือ
ให้ดื่มน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีงานวิจัยฉบับไหนเลย
ที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วจะเป็นมะเร็ง อีเมลในลักษณะนี้มีการส่งต่อกันไปทั่ว
แม้แต่ในต่างประเทศ ดูเหมือนจะเป็น วิชาการ
แต่กลับไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มารับรอง ทำให้คนกลัวกันมาก

การดื่มน้ำเย็นเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะ จะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย
เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้น โดยน้ำ 1 แก้ว
จะช่วยเผาผลาญไขมันประมาณ 9 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำ 8 แก้ว
ก็จะเผาผลาญไขมันได้ถึง 70 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว
นั่นก็หมายความว่า ยิ่งดื่มน้ำมาก ก็จะยิ่งช่วยลดความอ้วน
แต่ในคนที่กำลังลดความอ้วน ลดปริมาณอาหารแต่ลืมดื่มน้ำ
ต้องระวัง เพราะน้ำหนักจะไม่ลง เพราะน้ำคือตัวช่วยทำให้ไขมันสลายเร็วขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำเย็น น้ำร้อน หรือน้ำอุณหภูมิปกติ
ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หลักการ ง่าย ๆ คือ น้ำเย็น ควรดื่มเวลาออกกำลังกาย
จะดูดซึมเร็ว แต่มีข้อห้ามในผู้หญิงที่มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำเย็น
เพราะจะยิ่งทำให้ปวดท้องมากขึ้น ส่วนน้ำอุ่น ควรดื่มเพื่อกระตุ้นลำไส้
ทำให้ลำไส้บีบตัวดี เช่น เวลาท้องเสีย เจ็บคอ เป็นหวัด
นพ.กฤษดา บอกว่า ใครที่ไม่อยากแก่ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ
เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่แก่เกิดจากการขาดน้ำ
การดื่มน้ำมาก ๆ ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย
โดยเฉพาะในผู้ชายอาจทำให้น้ำไปเลี้ยงอสุจิไม่พอ ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง
และเซ็กซ์เสื่อมได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #249 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 09:25:49 PM »

เรื่อง: มาดูระบบการทำงานของไต

หลอดเลือดที่ออกจากหัวใจจะตรงมายังไต ซึ่งลำเลียงสารที่มีประโยชน์และของเสียที่ไม่ต้องการออกไป? สารต่างๆ เหล่านี้ จะถูกส่งเข้าหน่วยไต? โดยผ่านไปตามหลอดเลือดฝอย? เพื่อให้หน่วยไตทำหน้าที่กรองก่อน? ข้อมูลจากการทดลองพบว่ามี สารบางอย่างไม่สามารถผ่านเข้าสู่หน่วยไตได้? เช่น เซลล์เม็ดเลือดแดง? สารจำพวกโปรตีนบางชนิด เฮโมโกลบิน? ส่วนสาร ที่ผ่านหน่วยไตได้ เช่น น้ำตาลกลูโคส? กรดอะมีโนและของเสียอื่นๆ เมื่อผ่านเข้าไปแล้ว? จะไหลไปตามท่อของหน่วยไต แร่ธาตุสารบางชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย ?เมื่อผ่านไปตามท่อหน่วยไตจะถูกผนังของหน่วยไตดูดซึม? กลับคืนเข้าสู่หลอด เลือดฝอยใหม่? ส่วนของเสียอื่นๆนั้น? รวมเรียกว่า ?น้ำปัสสาวะ? ของเหลวนี้จะถูกส่งผ่านไปตามหลอดไตตรงเข้าสู่ กระเพาะปัสสาวะนั่นเอง! หากไตไม่สามารถทำงานได้ปกติ? บทบาทหน้าที่ก็จะถูกยกมาให้กับตับแทน ซึ่งตับต้องทำงานหนักขึ้น

สงสารตับ...ตัองแบกภาระหนักอึ้ง

ตับช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกาย ให้เกิดเป็นพลังงาน? ส่วนนี้คือหน้าที่หลักของตับ? หากแต่เมื่อใดก็ตาม ที่ไตผิดปกติตับต้องมาทำหน้าที่ของไต? ทำให้ตับเองไม่สามารถทำหน้าที่หลักได้เต็มที่? จึงเกิดการเผาผลาญไขมันน้อยลง? ทำให้ไขมันถูกสะสมในร่างกายมากขึ้น? ซึ่งมีแต่ผลเสียตามมา? เช่น? คอเรสเตอรอลในเลือดสูง

ร่างกายทุกข์เพราะขาดน้ำ

เมื่ออยู้ในสภาวะขาดน้ำ? ร่างกายจะรับรู้ว่าต้องรักษาความอยู่รอด? ดังนั้นระบบภายในร่างกายจึงสั่งให้กักเก็บน้ำไว้ในที่ว่างพิเศษ ในโพรงเล็กๆ (อยู่ภายนอกเซลล์)? ทำให้เราเกิดอาการบวมที่เท้า? มือ? และ? ขา...เป็นสิ่งที่แย่มากใช่ไหม? จะทำได้ไง? ?เมื่อกลไกมันเป็นเช่นนั้น.........มีตัวช่วยได้คือ? การขับถ่ายปัสสาวะจะช่วยให้ดีขึ้นชั่วคราว?? พอเราดื่มน้ำเข้าไป มากพออาการที่เกิดขึ้นจะหายเป็นปกติไปเอง? ที่นี้รู้แล้วมั๊ยว่าต้องทำอย่างไร?
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #250 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2011, 10:00:19 PM »

วิธีทำน้ำสะอาด แบบฉุกเฉิน


ต้มน้ำด้วยแสงอาทิตย์

ใครจะเชื่อว่าทั้งน้ำที่กำลังท่วม และแสงแดดที่แผดเผา จะกลายสภาพเป็นวัถตุดิบชั้นดี ในการเปลี่ยนน้ำไม่สะอาดให้ปลอดภัย พอจะนำมาอุปโภคได้ โดยกรรมวิธีที่ง่ายเสียเหลือเกิน  เพียงแค่นำขวดน้ำมาทาสีดำครึ่งหนึ่ง จากนั้นกรอกน้ำเข้าไปขวด นำขวดคว่ำแล้วตากแดดจัดๆ
สัก 5-6 ชั่วโมง แต่ทางที่ดีควรใช้สารส้มแกว่งไปในน้ำเสียก่อนจะนำมาตากแดด เพราะความร้อนจากแสงอาทิตย์ จะช่วยฆ่าเชื้อโรคบางชนิดให้ตายได้  แต่ผง และตะกอนก็ไม่ได้หมดไป อีกทั้งไม่รับประกันความปลอดภัย หากจะนำน้ำต้มจากพลังงานแสงอาทิตย์มาดื่มกิน


มะรุม...พืชมากคุณประโยชน์

มะรุม สามารถฆ่าแบคทีเรียในน้ำได้ โดยเริ่มแรกกระเทาะเปลือกนอกของเมล็ดมะรุมออก ให้เหลือเฉพาะเนื้อในสีขาว แล้วบดให้ละเอียด กรองน้ำผสมเมล็ดมะรุมนี้ด้วยผ้าขาวบาง  จากนั้นเทน้ำเมล็ดมะรุมลงไปในแก้วน้ำที่ต้องการให้สะอาด แล้วคนอย่างรวดเร็วเป็นเวลา 30 วินาที
แล้วคนช้าๆ เป็นเวลา 5 นาที  เสร็จแล้วใช้ผ้าคลุมปากแก้ว หรือภาชนะที่ใช้เป็นเวลา 1 ชั่วโมง พอเปิดแก้วเอาเมล็ดมะรุมออกมา ก็จะเห็นน้ำใสสะอาดอยู่ข้างบน น้ำขุ่นอยู่ก้นภาชนะ ซึ่งเชื่อว่าน้ำที่อยู่ข้างบนแก้วคือน้ำสะอาด และมีจำนวนแบคทีเรียลดลง


น้ำสะอาดใน 1 ชั่วโมง

วิธีสุดฮิตที่ได้รับการแนะนำจากอาจารย์คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ถึงขึ้นตอนการทำน้ำให้สะอาดด้วยอุปกรณ์ภายในบ้าน  เริ่มแรกตักน้ำที่ห่างไกลจากสุขา และแหล่งโรงงานแกว่งสารส้มให้สิ่งแปลกปลอมตกตะกอน ทิ้งไว้สัก 30 นาที  จากนั้นเทน้ำใส่ลงภาชนะอีกใบหนึ่ง  หยดสารฆ่าเชื้อคลอรีนตามปริมาณน้ำในถัง น้ำยา 1 หยดต่อน้ำ 1 ลิตร ทิ้งไว้สัก 30 นาทีก่อนนำมาใช้  เพียงแค่นี้ก็ได้น้ำสะอาดที่ใช้ได้เฉพาะอาบน้ำและซักล้างเท่านั้น ไม่เหมาะสำหรับดื่มกินอย่างแน่นอน
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 30, 2011, 10:03:34 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #251 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2011, 08:57:24 PM »

โรคน้ำกัดเท้า ฮ่องกงฟุต กลิ่นเท้า โรคฮิตที่มากับน้ำท่วม

น้ำท่วมทีไรสิ่งที่ตามมาก็คือน้ำท่วมขังที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมน้ำยังสกปรกอีกต่างหาก จะเดินทางไปทำงานแต่ละครั้งก็ต้องเดินลุยน้ำท่วมขังที่เป็น แหล่งรวมของเชื้อโรคต่าง ๆ มากมาย จึงทำให้เท้าของเรามีปัญหากลิ่นเท้า เท้าเปื่อย น้ำกัดเท้า หรือ ฮ่องกงฟุต อย่างแน่นอน แต่ถ้าหากเรารู้วิธีดูแลรักษา และหลีกเลี่ยงที่ถูกวิธีก็จะทำให้เราห่างไกลจากโรคนี้ได้ไม่ยาก

เรามาทำความรู้จัก "โรคน้ำกัดเท้า ฮ่องกงฟุต" วิธีป้องกันและรักษาเบื้องต้นของโรคนี้กันดีกว่า

โรคน้ำกัดเท้าหรือฮ่องกงฟุต เกิดจากเท้าสัมผัสกับน้ำสกปรกซึ่งมีเชื้อราชนิดหนึ่ง (Dermatophytes) ปนอยู่ แล้วไม่ทำความสะอาดทันที ทำให้เท้าอับชื้น เชื้อรานั้นก็จะเติบโตบนผิวหนังที่เท้าทำให้เกิดอาการคัน ระคายเคือง และเป็นแผลพุพองและกลิ่นเท้าตามมา

เท้าที่ติดเชื้อรานี้แล้วจะรักษาให้หายขาดนั้นเป็นไปได้ยาก หากมีอาการคันหรือคาดว่าจะเป็นโรคน้ำกัดเท้า ควรจะรีบปรึกษาแพทย์ ไม่ควรรักษาหรือหาซื้อยามารับประทานเอง อาจจะทำให้เชื้อลุกลามและไม่หายขาดได้ เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์จะทำการเก็บตัวอย่าง ผิวหนังบริเวณที่มีอาการ ไปตรวจ หากพบเชื้อแพทย์จะจ่ายยาทาฆ่าเชื้อรามาให้ ถ้าเป็นมากแพทย์จะให้ยาปฏิชีวนะมาให้ตามลำดับ

เมื่อหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะสัมผัสกับน้ำท่วมแล้ว เมื่อขึ้นจากน้ำควรล้างเท้าด้วยน้ำสะอาดทันที หรือใช้สบู่ยับยั้งแบคทีเรียล้างให้สะอาด เช็ดเท้าให้แห้ง ห้ามใส่รองเท้าหรือถุงเท้าที่เปียกชื้น ถุงเท้าควรใส่แล้วซักไม่ใส่ซ้ำ ๆ ลดอาหารประเภทรสจัด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์

การรักษาเบื้องต้นเมื่อเกิดอาการคันให้นำสารส้มมาทาบาง ๆ วันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ยาที่มีส่วนผสมของยาฆ่าเชื้อรา เช่นไมนาโซล อีคอนนาโซล ทอลนาฟเทด และทราโวเจน จากนั้นจึงไปพบแพทย์

การป้องกันและรักษา ในระยะนี้จึงเป็นเรื่องของจากรักษาความสะอาดและพยายามให้เท้าแห้งมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ มีข้อแนะนำ 10 ประการในการป้องกันและรักษาโรคน้ำกัดเท้าขณะอยู่ในภาวะน้ำท่วม

๑. ควรหลีกเลี่ยงการย่ำน้ำโดยไม่จำเป็น เช่น ท่องน้ำหรือเล่นน้ำเพื่อความสนุก

๒. เมื่อจำเป็นโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรใช้รองเท้าบูทที่ทำด้วยยางกันน้ำ หากน้ำยังล้นเข้าไปในรองเท้าบูท ให้ถอดแล้วเทน้ำในรองเท้าทิ้งเป็นคราวๆ ยังดีกว่าแช่อยู่ตลอด

๓. เมื่อกลับเข้าบ้านให้ล้างเท้าให้สะอาด โดยแช่น้ำและสบู่ ควรเช็ดให้แห้ง โดยเฉพาะบริเวณซอกเท้า

๔. เพื่อให้เท้าแห้งสนิท ให้ใช้แป้งฝุ่นสำหรับโรยตัว โรยที่เท้าและซอกเท้า

๕. หากมีบาดแผลให้ใช้แอลกอฮอล์เช็ดแผล แล้วทาด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่น ทิงเจอร์เบตาดีน

๖. ถ้ามีแผลอักเสบบวมและปวด และบางครั้งรุนแรงจนถึงเป็นไข้ ให้กินยาแก้อักเสบ เช่น ซัลฟา เพนิซิลลิน หรืออีริโทรมัยซิน ติดต่อกันเป็นเวลา ๑ สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายดี

๗. หากสงสัยว่าจะเป็นเชื้อรา แนะนำให้มาตรวจเชื้อที่สถาบันโรคผิวหนัง ถนนราชวิถี การตรวจ ใช้วิธีขูดขุยที่ผิวบริเวณแผลไปตรวจ ไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด

๘. ไม่ควรเริ่มใช้ยาเชื้อราก่อนการพิสูจน์เชื้อ เพราะอาจทำให้เกิดอาการแพ้ อาจเสียเงินและเสียเวลาโดยใช่เหตุ เนื่องจากยาเชื้อราต้องใช้เวลารักษานานและมีราคาแพง

๙. ยารักษาเชื้อราบางชนิด เช่น ขี้ผึ้งวิทฟิลด์ ซึ่งเป็นยาที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย เนื่องจากหาง่ายและราคาถูก มีฤทธิ์ทำให้ผิวลอก หากนำมาใช้ขณะน้ำกัดเท้าจะยิ่งก่อให้เกิดการระคายเคือง เจ็บแสบ และผิวถลอกมากขึ้น จึงไม่ควรนำมาใช้ในระยะนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 31, 2011, 08:59:14 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #252 เมื่อ: ตุลาคม 31, 2011, 09:04:58 PM »

น้ำท่วม6โรคที่มากับน้ำท่วม

1. โรคฉี่หนู ฉี่หนูเป็นโรคระบาดในคนที่ติดต่อมาจากสัตว์ มีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า เลปโตสไปรา (Leptospira sp.) ที่อยู่ในปัสสาวะของสัตว์ ตั้งแต่หนู วัว ควาย ไปจนถึงสัตว์เลี้ยงอย่างสุนัขและแมวเลยทีเดียว โดยคนจะสามารถรับเชื้อฉี่หนูนี้เข้าไปทางบาดแผล หรือผิวหนังที่แช่น้ำเป็นเวลานาน ๆ รวมถึงเยื่อเมือกอย่างตาและปากอีกด้วย

           อาการของโรคฉี่หนู มี 2 แบบ คือแบบไม่รุนแรงจะมีอาการเหมือนเป็นไข้หวัดธรรมดา ปวดหัว ตัวร้อน ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ซึ่งสามารถรักษาให้หายได้หากผู้ป่วยรู้ตัวและรีบไปพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่น ๆ กับอาการรุนแรงที่จะทำให้ตาอักเสบแดง น้ำตาไหล สู้แสงไม่ได้ และเมื่อเชื้อเข้าไปอยู่ในสมองจะทำให้เกิดอาการเพ้อ ไม่รู้สึกตัว และยิ่งไปกว่านั้นหากติดเชื้อทั่วร่างกายจะทำให้เลือดออกในร่างกายจนเสียชีวิต

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคฉี่หนู หลีกเลี่ยงการเดินอยู่ในบริเวณน้ำท่วมขัง การเล่นน้ำ โดยเฉพาะในเด็กที่มักจะสนุกสนานไปกับการย่ำน้ำหรือเล่นน้ำในช่วงน้ำท่วม แต่หากจำเป็นต้องเดินผ่านบริเวณน้ำท่วมอย่างเลี่ยงไม่ได้ ให้รีบเดิน อย่าแช่น้ำจนผิวหนังเปื่อยเพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย และควรใส่รองเท้าบูททุกครั้งเมื่อเดินลุยน้ำ เพื่อป้องกัน ไม่ให้เกิดบาดแผลที่เท้า และป้องกันไม่ให้เชื้อโรคเข้าสู่บาดแผลที่เท้าหรือน่อง ทั้งยังช่วยป้องกันไม่ให้สัตว์ที่หนีน้ำกัดได้ ส่วนในผู้ที่เริ่มมีอาการปวดหัว ตัวร้อน ให้รีบไปพบแพทย์อย่างเร่งด่วน อย่ารอให้อาการหนักเพราะอาจจะรักษาไม่หายและเสียชีวิตก็เป็นได้

          2. อหิวาตกโรค เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Vibrio Cholerae ที่แพร่กระจายอยู่ในน้ำดื่มและอาหาร โดยมีแมลงวันเป็นพาหะนำโรค และแน่นอนว่าโรคนี้แพร่ระบาดได้โดยการกินและดื่มอาหารที่มีแมลงวันตอมและมีเชื้ออหิวาตกโรคปะปนอยู่ รวมทั้งอาหารสุข ๆ ดิบ ๆ ด้วย

           อาการของโรค ผู้ป่วยจะอุจจาระเหลวเป็นน้ำวันละหลายครั้ง แต่ไม่เกินวันละ 1 ลิตร อาจมีอาการปวดท้องหรืออาเจียนได้ ซึ่งถือว่าเป็นอาการในระยะแรกสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 1-5 วัน แต่หากติดเชื้อขั้นรุนแรง ผู้ป่วยจะมีอาการท้องเดิน อุจจาระมากและมีลักษณะอุจจาระเป็นน้ำซาวข้าว มีกลิ่นเหม็นคาว และอุจจาระได้โดยไม่ปวดท้องและไม่รู้สึกตัว สามารถหายได้ภายใน 2-6 วันหากได้รับเกลือแร่และน้ำชดเชยน้ำที่เสียไป แต่หากได้รับไม่พอดีกับที่เสียไปแล้ว ผู้ป่วยก็จะมีอาการหมดแรง หน้ามืด อาจช็อคถึงเสียชีวิตได้

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันอหิวาตกโรค ควรรับประทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ๆ และดื่มน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก รวมถึงรักษาสุขภาพอนามัยด้วยการล้างมือ และภาชนะใส่อาหารให้สะอาดทุกครั้ง แต่ไม่ควรนำน้ำท่วมมาล้าง หรือทำความสะอาดภาชนะ หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยที่เป็นอหิวาตกโรค หรือหากติดเชื้ออหิวาแล้วก็ควรพบแพทย์และรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

          3. ไข้ไทฟอยด์ เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Salmonella Typhi  ที่อยู่ในน้ำและอาหารเช่นเดียวกับอหิวาตกโรค แพร่ระบาดโดยการดื่มน้ำและอาหารที่ปนเปื้อนเชื้อโรค

          อาการของโรค เมื่อได้รับเชื้อนี้เข้าไปจะไม่แสดงอาการทันที แต่จะแสดงอาการหลังจากรับเชื้อประมาณ 1 สัปดาห์ โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดหัว เบื่ออาหาร มีไข้สูงมาก ท้องร่วง บางรายมีผื่นขึ้นตามตัว แน่นท้อง สามารถหายได้เองภายใน 1 เดือน แต่ผู้ป่วยควรจะพบแพทย์หลังจากมีอาการแล้ว เพราะอาจจะเสียชีวิตจากภาวะปอดบวมได้

         การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันไข้ไทฟอยด์ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเชื้อโรคทุกชนิด และนั่นหมายถึงว่า ให้ทานอาหารที่สะอาด อยู่ในภาชนะที่สะอาด รวมถึงล้างมือให้สะอาดก่อนทานทุกครั้ง และควรจะหลีกเลี่ยงอาหารจากร้านค้าข้างถนนที่อยู่ในบริเวณที่ไม่สะอาด เสี่ยงต่อการติดเชื้อ หรืออีกทางหนึ่งคือฉีดวัคซีนป้องกันไข้ไทฟอยด์

          4. โรคตับอักเสบ เป็นภาวะที่มีการอักเสบของเซลล์ตับ ทำให้ตับทำงานผิดปกติ จนทำให้มีอาการเจ็บป่วยได้ และไวรัสตับอักเสบที่มาจากภาวะน้ำท่วม ก็คือไวรัสตับอักเสบชนิดเอ ที่มีสาเหตุมาจากการทานอาหารที่ไม่สะอาด ไม่ทำให้สุก

           อาการของโรค เมื่อแสดงอาการแล้วผู้ป่วยจะมีไข้ต่ำ ๆ เบื่ออาหาร ปวดท้อง ปวดตัวแถวชายโครงขวา และมีปัสสาวะเป็นสีชาแก่ เริ่มมีอาการตัวเหลืองตาเหลืองในสัปดาห์แรก และจะหายเป็นปกติภายใน 2-4 สัปดาห์

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตับอักเสบ คือ ทานอาหารที่สุกและสะอาด ไม่ใช้แก้วน้ำและช้อนร่วมกับผู้อื่น

         5. ตาแดง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีบ ไวรัส Chlamydia trachomatis และ Bacterial Conjunctivitis อาจมาจากภูมิแพ้ หรือสัมผัสสารที่เป็นพิษต่อตา มักเกิดจากการเอามือที่สกปรกไปขยี้หรือสัมผัสดวงตา รวมถึงใช้ผ้าเช็ดตัว หรือผ้าเช็ดหน้าไปสัมผัสกับดวงตา

           อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีอาการคันตาจนหลายรายต้องขยี้บ่อย หรือบางคนแค่เคืองตาเท่านั้น และมีขี้ตามากกว่าปกติ มีลักษณะเป็นหนองและมีสะเก็ดปิดตาตอนเช้า และมองเห็นได้ไม่ชัดเจน ตามัว หรืออาจปวดตา

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคตาแดง ควรล้างมือให้สะอาด ไม่ใช่เครื่องสำอาง ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้าร่วมกับคนอื่น หลีกเลี่ยงการสัมผัสดวงตาในทุกกรณี และอย่าใช้ยาหยอดตาร่วมกับคนอื่น หากเริ่มเคืองตาหรือคันตา ให้รีบปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์

           6. ไข้เลือดออก เกิดจากการติดเชื้อไวรัสที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค มักพบในเด็ก มักระบาดในฤดูฝน ที่มีการแพร่พันธุ์ของยุงลาย

           อาการของโรค ผู้ป่วยจะมีไข้สูงประมาณ 2-7 วัน เบื่ออาหาร อาเจียนออกมามีสีน้ำตาลปนอยู่ ปวดกล้ามเนื้อ ตัวแดง หรืออาจมีผื่นหรือจุดเลือดตามผิวหนัง หากเข้าสู่ภาวะวิกฤตผู้ป่วยจะไข้ลด มือเท้าเย็น ตัวเย็น ชีพจรเต้นเร็ว อาเจียนมาก ปัสสาวะน้อย ทำให้เข้าสู่ภาวะช็อคได้ หากมีอาการควรรีบพบแพทย์อย่างเร่งด่วน

           การปฏิบัติตนเพื่อป้องกันโรคไข้เลือดออก  พยายามอย่าให้ยุงกัดโดยทากันยุงเป็นวิธีที่ดีที่สุด และอย่าปล่อยให้ภาชนะต่าง ๆ ภายในบ้านมีน้ำขังนานเพราะจะเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง หรือหากเป็นไข้เลือดออกแล้วไม่ควรให้ยุงกัดเพราะจะทำให้แพร่เชื้อไปสู่คนใกล้ชิดได้ผ่านยุง

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 30, 2011, 04:34:02 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!