น้ำสะอาดอาจจะคิดว่าเป็นเรื่องขำๆ ....
เพราะแค่การก็มีหลักการด้วย แต่หากเพื่อนๆ ลองศึกษาดูให้ดี
บางทีอาจจะขำไม่ออกก็ได้...
เป็นที่ทราบกันดีว่าในร่างกายของคนเรา มีน้ำประกอบอยู่ถึง 3 ใน 4 ส่วน
ดังนั้นการดื่มน้ำ จึงถือเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญต่อเราเป้นอย่างมาก ...
อย่างไรก็ดี การดื่มน้ำให้ถูกวิธี ก็ยิ่งเป็นการเสริมสร้างสุขภาพของเราให้ดียิ่งขึ้นด้วย ...
ดื่มน้ำทุกครั้งที่ร่างกายร้องขอ - คนเราสามารถรับรู้สภาวะที่ร่างกายต้องการน้ำอยู่แล้ว
แต่ทั้งนี้ไม่ควรพรวดพราดดื่มทีละมากๆ
เพราะนั่นจะไปเพิ่มภาระให้ระบบขับถ่ายอย่าง ไต ปอด ม้าม รวมทั้งระบบย่อย
ส่วน ที่เรียนกันมาว่าต้องดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วนั้น
ข้อนี้ทำความเข้าใจกันใหม่ว่า
น้ำในที่นี้หมายรวมถึงปริมาณทั้งหมดที่รับในแต่ละวัน
ไม่ว่าจะเป็นน้ำจากผัก ผลไม้ น้ำแกง น้ำก๋วยเตี๋ยว หรืออื่นๆ
สำหรับ ใครที่ชอบดื่มน้ำเย็นจัดจนเป็นนิสัย
ควรทราบไว้อย่างหนึ่งว่า
การดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ นั้น อวัยวะของเราต้องทำงานเพิ่มขึ้น
เพราะต้องปรับน้ำที่เย็นกว่าให้เท่ากับอุณหภูมิร่างกายก่อนนำไปใช้
ซึ่งส่งผลให้ร่างกายอ่อนแอลง ระบบย่อยอาหารไม่ดี หรือปวดประจำเดือน
ทางที่ดีควรเปลี่ยนไปดื่มน้ำอุ่นๆ เพื่อให้ร่างกายขับเหงื่อ และดื่มตอนที่รู้สึกกระหาย
เพื่อนๆ ที่ชอบดื่มน้ำระหว่างรับประทานอาหาร ประเภทข้าวคำ น้ำคำ ควรเลี่ยงพฤติกรรมนี้อย่างยิ่ง
เพราะทำให้น้ำย่อยเจือจาง ระบบย่อยอาหารทำงานช้าลง ร่างกายจะได้รับสารอาหารไม่เต็มที่
ทั้งนี้ถ้ารู้สึกกระหายจริงๆ ให้แก้ไขด้วยจิบน้ำอุ่น
หรือซดน้ำซุปแก้ฝืดคอแทน แล้วเคี้ยวอาหารช้าๆ ให้ละเอียดก่อนกลืน จะช่วยลดความกระหายน้ำได้
อย่าง ไรก็ตาม หากเพื่อนๆ ต้องการดื่มน้ำให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
แนะนำว่า ควรดื่มตอนที่เพิ่งลุกจากเตียงหมาดๆ
ระหว่างมื้ออาหาร 1 ชั่วโมงก่อนอาหาร
และหลังจากอิ่มแล้วครั่งชั่วโมง
เท่านี่ล่ะ สุขภาพของเราก็จะแข็งแรงและสดชื่นสุดๆ
“เวลาได้กินน้ำเย็น ๆ สักแก้ว
หลังอาหารมันรู้สึกชื่นใจดีใช่มั้ยครับ แต่ว่าน้ำเย็น จะทำให้ไขมันที่
คุณเพิ่งกินเข้าไปจับตัวเป็นไขขึ้นมา ซึ่งจะส่งผลให้การย่อยอาหารช้าลง
ถ้าคราบไขมันทำปฏิกิริยากับกรด มันจะแตกตัวแล้วถูกดูดซึม ไปที่ลำไส้
ไขมันที่แตกตัวนี้จะดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารทั่วไปแล้วจะเคลือบลำไส้เราไว้
ในไม่ช้ามัน ก็จะแปรสภาพเป็นไขมันก้อน ๆ และเป็นบ่อเกิดของมะเร็งในที่สุด
ดังนั้นควรดื่มน้ำอุ่นหลังอาหาร ดีกว่า”
เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์
อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ความจริงการดื่มน้ำเย็นหลังอาหาร
คงไม่เป็นอันตราย ถึงขั้นทำให้ไขมันจับ ตัวเป็นไข เป็นก้อนขนาดนั้น
เพราะปกติอุณหภูมิร่างกายคนเราอยู่ที่ประมาณ 37 องศาเซลเซียส
น้ำที่เราดื่มเข้าไปถึงจะเย็น แต่ร่างกายเราร้อนอยู่แล้ว ก็จะเปลี่ยนให้เป็นน้ำอุ่น ๆ
อยู่ดี ไขมันกว่าจะจับกันเป็นก้อนแข็ง ต้องอาศัยอุณหภูมิเหมือนอยู่ในตู้เย็น 3-4
องศาเซลเซียส
เราควรจะดื่มน้ำเย็นหรือน้ำอุ่นดี ก็ต้องขอเรียนว่า
น้ำเย็นจะช่วยเติมน้ำให้ร่างกายได้ดีกว่าน้ำอุ่น เพราะว่าน้ำเย็นดูดซึมได้เร็วกว่า
ตรงนี้เป็นข้อมูลจากสถาบันวิทยาศาสตร์การกีฬาของสหรัฐ เขาบอกเลยว่า
น้ำที่ควรจะดื่มถ้าอยากให้สดชื่น ออกกำลังกายได้อึดขึ้น
อุณหภูมิควรอยู่ที่ประมาณ 15-22 องศาเซลเซียส หรือง่าย ๆ คือ
ให้ดื่มน้ำที่อุณหภูมิต่ำกว่าอุณหภูมิร่างกาย ไม่มีงานวิจัยฉบับไหนเลย
ที่บอกว่าดื่มน้ำเย็นแล้วจะเป็นมะเร็ง อีเมลในลักษณะนี้มีการส่งต่อกันไปทั่ว
แม้แต่ในต่างประเทศ ดูเหมือนจะเป็น วิชาการ
แต่กลับไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์มารับรอง ทำให้คนกลัวกันมาก
การดื่มน้ำเย็นเป็นผลดีด้วยซ้ำ เพราะ จะช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย
เนื่องจากร่างกายต้องใช้พลังงานในการทำให้น้ำอุ่นขึ้น โดยน้ำ 1 แก้ว
จะช่วยเผาผลาญไขมันประมาณ 9 กิโลแคลอรี ถ้าเราดื่มน้ำ 8 แก้ว
ก็จะเผาผลาญไขมันได้ถึง 70 กิโลแคลอรีเลยทีเดียว
นั่นก็หมายความว่า ยิ่งดื่มน้ำมาก ก็จะยิ่งช่วยลดความอ้วน
แต่ในคนที่กำลังลดความอ้วน ลดปริมาณอาหารแต่ลืมดื่มน้ำ
ต้องระวัง เพราะน้ำหนักจะไม่ลง เพราะน้ำคือตัวช่วยทำให้ไขมันสลายเร็วขึ้นนั่นเอง
ดังนั้นไม่ว่าจะดื่มน้ำเย็น น้ำร้อน หรือน้ำอุณหภูมิปกติ
ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร หลักการ ง่าย ๆ คือ น้ำเย็น ควรดื่มเวลาออกกำลังกาย
จะดูดซึมเร็ว แต่มีข้อห้ามในผู้หญิงที่มีประจำเดือน ไม่ควรดื่มน้ำเย็น
เพราะจะยิ่งทำให้ปวดท้องมากขึ้น ส่วนน้ำอุ่น ควรดื่มเพื่อกระตุ้นลำไส้
ทำให้ลำไส้บีบตัวดี เช่น เวลาท้องเสีย เจ็บคอ เป็นหวัด
นพ.กฤษดา บอกว่า ใครที่ไม่อยากแก่ ต้องดื่มน้ำมาก ๆ
เพื่อให้ผิวหนังชุ่มชื้น เนื่องจากผิวที่แก่เกิดจากการขาดน้ำ
การดื่มน้ำมาก ๆ ยังช่วยทำให้สมองปลอดโปร่ง แต่ถ้าดื่มน้ำน้อย
โดยเฉพาะในผู้ชายอาจทำให้น้ำไปเลี้ยงอสุจิไม่พอ ทำให้อสุจิไม่แข็งแรง
และเซ็กซ์เสื่อมได้