Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 72000 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 17 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #285 เมื่อ: ธันวาคม 27, 2011, 09:23:30 PM »

เคล็ดลับแก้เมาค้างรับเทศกาล


เคล็ดลับแก้เมาค้างรับเทศกาล

          เสียงเพลงแห่งการเฉลิมฉลองเริ่มมีให้ได้ยินถี่มากขึ้นแล้ว ในช่วงเวลาแห่งการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ทั้งของฝรั่งและแบบไทย ๆ วันนี้จึงมีเคล็ดลับแก้ "เมาค้าง" อันเนื่องมาจากการเฉลิมฉลองมาฝาก

          สาเหตุหลักของอาการเมาค้าง คือร่างกายขาดน้ำ แอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยับยั้งการผลิตฮอร์โมนวาโซเพรส ซึ่งช่วยรักษาระดับน้ำในร่างกาย เมื่อฮอร์โมนตัวนี้ลดลง คนเราก็ถ่ายปัสสาวะบ่อยขึ้น

          ต่อไปนี้เป็นเคล็ดลับในการเยียวยาอาการ ซึ่งคำแนะนำนั้นไม่ใช่ "จังซี้มันต้องถอน!"

           อย่ากินน้ำส้ม เพราะกรดจะไปสร้างความปั่นป่วนในกระเพาะ และอย่ากินเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น กาแฟ เพราะจะยิ่งทำให้ถ่ายเบามากขึ้น ร่างกายจะสูญเสียน้ำหนักเข้าไปอีก

            กินโจ๊ก หรือขนมปังโฮลวีต เพราะอาหารพวกนี้จะปลดปล่อยพลังงานอย่างต่อเนื่อง จึงช่วยฟื้นฟูระดับน้ำตาลในเลือด กล้วยก็ช่วยเสริมพลังงานเช่นกัน

           ก่อนเข้านอน และเมื่อตื่นนอนจงดื่มน้ำมาก ๆ และเติมผงเกลือแร่ลงไปด้วย แอลกอฮอล์ทำให้น้ำตาลในเลือดลดลง ร่างกายตอบสนองด้วยการผลิตอินซูลิน ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดตกวูบ เราจึงเกิดอาการปวดหัว ใจหวิวและหิว ผงเกลือแร่จะช่วยให้มีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น รวมทั้งมีเกลือแร่ต่าง ๆ

           อย่ากินของทอด ของมัน เพราะไขมันในปริมาณมากจะทำให้ท้องไส้ปั่นป่วน

           กินยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดหัว แต่ไม่ควรกินยาไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน ซึ่งจะทำให้เกิดอาการคลื่นเหียนและอาหารไม่ย่อย

          แต่ถ้าไม่อยากเมาค้าง ก็อย่าดื่มจะดีที่สุดค่ะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #286 เมื่อ: ธันวาคม 31, 2011, 10:06:31 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #287 เมื่อ: มกราคม 03, 2012, 08:31:58 PM »

แพทย์แผนไทยแนะอาหารรับมือหนาว



          อธิบดีกรมแพทย์แผนไทย แนะการรับประทานอาหาร และออกกำลังกาย รับหน้าหนาว ให้สุขภาพแข็งแรง

          น.พ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก แนะการดูแลสุขภาพในช่วงฤดูหนาว ว่า ทฤษฎีการแพทย์แผนจีน ระบุว่า ช่วงฤดูหนาว คนจะเจ็บป่วยง่าย โดยการแพทย์แผนจีน ได้ให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลของร่างกายให้มีการเปลี่ยนแปลงคล้อยตามธรรมชาติจะช่วยให้มีอายุยืนยาว สุขภาพแข็งแรง

         
                     ซึ่งการดูแลสุขภาพหน้าหนาวเบื้องต้น คือ ควรดื่มน้ำ 3 แก้ว

                             แก้วแรกช่วงเช้า เวลา 05.00 น. - 07.00 น. จะช่วยการขับถ่าย

                             แก้วที่ 2 ดื่มเวลา 15.00 น. - 17.00 น. จะช่วยล้างกระเพาะปัสสาวะ

                            แก้วที่ 3 ดื่มก่อนนอน 1 ชั่วโมง ช่วยการนอนหลับ

          ให้ปรับอารมณ์จิตใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน เนื่องจากฤดูหนาว ควรรักษาพลังหยินของไต เดินรับแสงอาทิตย์ และหายใจให้ลึก ๆ เวลาที่เหมาะสม คือเวลาช่วง 14.00 น. - 15.00 น. ควรเดินออกกำลังกาย ควรรับประทานเนื้อสัตว์ เช่น เนื้อวัว เนื้อไก่ กุ้ง ควรรับประทานผัก ประเภท ถั่วเหลือง กระเทียม หอมใหญ่ กุยช่าย คะน้า เมล็ดสน หัวไช้เท้า ควรรับประทานผลไม้ เช่น เกาลัด ส้มเขียวหวาน ส้มโอ น้ำนม หรืออาหารที่ควรรับประทาน เช่น โจ๊กงาดำ โจ๊กกระดูกสันหลังหมู ตังถั่งเช่า (ตุ๋นเป็ด) น้ำพุทรา เป็นต้น


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #288 เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 05:16:12 PM »

โรคที่มักพบในช่วงฤดูหนาว

โรคที่มักพบในช่วงฤดูนี้

1.ปอดบวม : มีไข้สูง ไอมาก หายใจหอบ หรือหายใจแรง ควรไปพบแพทย์ด่วน ป้องกันได้โดย ล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่ หลีกเลี่ยงสถานที่ที่มีคนแออัด และไม่อยู่ใกล้ผู้ป่วย

2.หัด : มีไข้ น้ำมูกไหล ไอ ตาแดง ผื่นขึ้นกระจายไปทั่ว และจางหายเอง บางรายอาจมีปอดบวม ท้องร่วง ช่องหูอักเสบ หรือเชื้อสมองอักเสบด้วยทำให้เสียชีวิตได้ ป้องกันโดย การฉีดวัคซีน เด็กควรได้รับการฉีดวัคซีนหัด 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 ตอนอายุ 9-12 เดือน ส่วนครั้งที่ 2 อายุ 6-7 ขวบ

3.หัดเยอรมัน : เกิดจากเชื้อไวรัส ติดต่อได้ง่ายผ่านการสัมผัสเสมหะน้ำมูก หรือน้ำลายของผู้ติดเชื้อ หากสตรีมีครรภ์ติดเชื้อหัดเยอรมันภายใน 3 เดือนแรก ของการตั้งครรภ์ มีโอกาสสูงที่ทารกจะมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด อย่างเช่น หูหนวก ปัญญาอ่อน อาการของหัดเยอรมันอาจทำให้มีไข้ และออกผื่นหัด บางรายมีโรคแทรกซ้อน อย่างเช่น ข้ออักเสบ สมองอักเสบ ในเด็กเล็กจะมีอาการเล็กน้อย แต่สำหรับผู้ใหญ่แล้วอาการอาจจะมีอยู่ ประมาณ 1-5 วัน จึงควรหยุดงานประมาณ หนึ่งสัปดาห์ด้วย การป้องกันจะเป็นการรับวัคซีนรวม MMR ซึ่งจะช่วยป้องกันโรคหัด หัดเยอรมัน และคางทูม

4.อีสุกอีใส : ติดต่อจากการสัมผัสโดยตรง หรือการหายใจเอาละอองเสมหะ น้ำมูก และน้ำลาย หรือจากการสัมผัสตุ่มพองใสบนผิวหนังของผู้ป่วย และการใช้ภาชนะ หรือของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วย วิธีป้องกัน เหมือนกับไข้หวัดและหัด คือไม่เข้าใกล้ผู้ป่วย

5.ท้องร่วง : ท้องร่วงช่วงหน้าหนาวมักเกิดขึ้นกับเด็กอายุต่ำกว่า 2 ขวบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภัยน้ำท่วมในปีนี้ โรคท้องร่วงจึงเป็นอีกภัยหนึ่งสำหรับคนทุกเพศทุกวัย โดยเกิดจากเชื้อไวรัสที่ติดต่อผ่านการดื่มน้ำ หรือกินอาหารที่มีเชื้อปนเปื้อน นอกจากนี้ อาจติดต่อผ่านทางน้ำมูกหรือน้ำลาย ไม่เฉพาะทางอาหารเท่านั้น


 
ที่มา  Samitivej Club
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #289 เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 08:01:15 PM »

ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์



ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ด้วยอาหาร 9 ชนิด (modernmom)


ช่วงนี้คุณผู้หญิงมีอาการหลง ๆ ลืม ๆ บ้างหรือเปล่าคะ ถ้ามีนั่นคือสัญญาณเบื้องต้นของโรคอัลไซเมอร์ อย่าเพิ่งตกใจไปค่ะ เพราะโรคนี้ป้องกันได้ด้วยการรับประทานอาหารเหล่านี้ค่ะ

 1.น้ำมันสลัด ที่อุดมไปด้วยวิตามิน E จะช่วยป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง

 2.เนื้อปลา DHA ช่วยในการทำงานของเซลล์ประสาท

 3.ผักใบเขียว เป็นแหล่งของกรดโฟเลตช่วยลดระดับของกรดอะมิโนชนิด Homocysteine สาเหตุของการเสื่อมสภาพของเซลล์

 4.อะโวคาโด มีวิตามิน E สูงป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง และช่วยบำรุงผิว

 5.เมล็ดทานตะวัน อุดมไปด้วยวิตามิน E ป้องกันการเสื่อมสลายของเซลล์สมอง


 6.ถั่วงและเนยถั่ว แหล่งของไขมันที่ดี และเต็มไปด้วยวิตามิน E ช่วยให้หัวใจและสมองมีสุขภาพดีและทำงานอย่างถูกต้อง

 7.ไวน์แดง หากดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคอัลไซเมอร์

 8.ผลเบอร์รี่ ช่วยกำจัดสารพิษของโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียความจำ

 9.ธัญพืชไม่ขัดสี ลดปัจจัยเสี่ยงของหลอดเลือด ซึ่งอาจมีบทบาทในการเกิดโรคจากสมอง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #290 เมื่อ: มกราคม 04, 2012, 08:27:24 PM »

ดูสิจ้ะว่าอันไหนอ้วนกว่ากัน Shocked








































« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 04, 2012, 08:30:22 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #291 เมื่อ: มกราคม 06, 2012, 06:41:56 PM »

8 หัวใจพาครอบครัวไทยมีสุขรับปี 2012


การก้าวผ่านช่วงเวลาส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ของคืนวันที่ 31 ธันวาคม มาสู่วันที่ 1 มกราคม เป็นอีกหนึ่งเวลาพิเศษของชีวิต ไม่เฉพาะภาพของการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่และสวยงามตระการตาทั่วทุกมุมโลก แต่หลายคนยึดเอาวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ตนเองจะกลับตัวกลับใจ ละทิ้งนิสัยเดิม ๆ ความเคยชินเดิม ๆ ไปสู่สิ่งใหม่ที่ดีกว่า หรือใช้โอกาสนี้หาแนวทางพัฒนาตนเองให้ดียิ่งกว่าเดิม

เมื่อวันขึ้นปีใหม่มีพลัง และสามารถพามนุษย์เราไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในหลาย ๆ ด้านได้เช่นนี้ จึงเป็นโอกาสดีที่ทีมงาน Life & Family จะขอรวบรวม 8 คุณลักษณะที่น่า “เปลี่ยนแปลง” เพื่อให้ปี พ.ศ. 2555 นี้เป็นปีใหม่ที่ดีกว่าเดิมสำหรับทุกครอบครัว เริ่มจาก

1. มีน้ำใจ

จากเหตุการณ์มหาอุทกภัย 2554 ที่ “น้องน้ำ” ถล่มประเทศไทยเสียยับเยิน หลายครอบครัวต้องอพยพหนีน้ำเป็นเดือน ๆ บ้านเรือนเสียหายเป็นจำนวนมาก ส่วนพืชพันธุ์ทางการเกษตรก็จมอยู่ใต้น้ำส่งผลให้เกษตรกรขาดทุนย่อยยับ แม้กระทั่งนิคมอุตสาหกรรมก็ไม่รอด การผลิตต่าง ๆ ต้องหยุดชะงัก สินค้าขาดตลาด เกิดความขาดแคลนไปถ้วนทั่ว แต่ในห้วงแห่งความเลวร้ายดังกล่าว ก็มีสิ่งที่เปรียบเหมือนน้ำทิพย์เยียวยาประเทศไทยปรากฏออกมา นั่นก็คือ ความมีน้ำใจ ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่คนไทยมอบให้แก่กันในยามวิกฤติ และคงปฏิเสธไม่ได้ว่า ความมีน้ำใจนี่เอง ที่เป็นสิ่งสำคัญ อันดับต้น ๆ ของการมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขบนโลกใบนี้ หากในทุก ๆ วัน เรามีน้ำใจแก่กัน ต่อให้ภายภาคหน้ามนุษย์ต้องเจอภัยพิบัติจากธรรมชาติ หรือจากการกระทำของมนุษย์เองอีกสักกี่ครั้ง เราก็ยังสามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างแข็งแกร่ง

2. ไม่ยุ่งอบายมุข

หากมนุษย์ไม่เดินเข้าบ่อนการพนัน ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ มนุษย์ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้ ยังสามารถยิ้ม สามารถทำงาน และอยู่กับคนที่รักได้ แต่บ่อนการพนันนั้นตรงกันข้าม ถ้าไม่มีมนุษย์เดินเข้าไป หรือสุราเมรัยถ้าไม่มีมนุษย์คนไหนไปเสพ มันจะอยู่ไม่รอด ดังนั้น ที่ผ่านมา ธุรกิจสีดำเหล่านี้จึงพยายามทำตัวให้สนิทชิดเชื้อกับเรา ๆ ท่าน ๆ อยู่ตลอด

แต่เป็นที่ทราบกันดีว่า ยาเสพติด ล็อตเตอรี่เสี่ยงโชค ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยให้คุณกับใคร ผู้เสพต้องเสียทั้งเงิน ทั้งสุขภาพ ไม่เพียงเท่านั้น มีการวิจัยพบว่า เด็กที่พ่อแม่ผู้ปกครองติดยาเสพติดเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายร่างกาย หรือตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงมากกว่าเด็กทั่วไปอีกด้วย

อบายมุขนอกจากจะทำให้เสียสุขภาพกายและสุขภาพใจแล้ว ยังทำให้ความยากจนมาเยือนได้เร็วกว่าใคร แถมยังนำเราไปสู่การก่ออาชญากรรมประเภทต่าง ๆ เช่น ลักขโมย โกหก ได้อีกด้วย ดังนั้น หากเราสามารถหลีกเลี่ยงอบายมุขได้ ความสุขก็สามารถมาเยือนตัวเราและครอบครัวได้ง่ายมากขึ้นนั่นเอง




3. รุกทำความดี

เด็ก ๆ ชอบ และมีฮีโร่ที่เขาโปรดปราน และฮีโร่ในฝันของเด็ก ๆ ก็มักเป็นผู้ผดุงความยุติธรรม เป็นคนดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น ดังนั้น ในฐานะพ่อแม่ ผู้ให้การดูแลครอบครัว การที่พ่อแม่ทำความดีให้ลูก ๆ ดูเปรียบเหมือนเราได้ช่วยสร้างรูปแบบของฮีโร่ให้เกิดขึ้นในใจของเด็ก ๆ และถือเป็นอีกหนึ่งวัคซีนความรักที่พ่อแม่สามารถทำให้ลูกได้โดยไม่ต้องเสีย ค่าใช้จ่ายอีกด้วย

4. ลี้ความฟุ่มเฟือย

หากครอบครัวไทยใช้จ่ายอย่างพอดี ปัญหาหนี้คงไม่เกิด แต่หากย้อนมองอดีต 5 – 10 ปีที่ผ่านมา เราพบว่า มันไม่เป็นเช่นนั้นเลย ส่วนหนึ่งคงต้องยอมรับว่า เพราะกลไกต่าง ๆ ของประเทศไทยหละหลวม ขาดการควบคุมที่ดี มีการปล่อยปละละเลยกันมากเกินไป จึงทำให้ภาคธุรกิจสบช่อง หาทางจูงใจให้คนไทยนำเงินออกมาใช้จ่ายอย่างสุรุ่ยสุร่าย

สำหรับผู้มีครอบครัวแล้วทุกท่าน นิสัยฟุ่มเฟือยไม่สามารถช่วยคุณรักษาครอบครัวให้มั่นคงได้อย่างแน่นอน การรู้จักอดออม และใช้จ่ายอย่างพอดีต่างหากที่ครอบครัวควรยึดเอาไว้ให้มั่น แนวทางที่จะช่วยให้ครอบครัวไกลห่างจากความฟุ่มเฟือย ยกตัวอย่างเช่น การทำบัญชีรายรับรายจ่าย การทำอาหารรับประทานด้วยตัวเอง การนำของเก่ามารีไซเคิล รวมถึงการจัดเก็บข้าวของให้เป็นระเบียบ (หลายครอบครัวเก็บของไม่เป็นระเบียบ พอถึงคราวจะใช้ก็หาไม่เจอ ทำให้ต้องซื้อของเข้าบ้านบ่อย ๆ และถือเป็นความฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่งเช่นกัน) หรือหากจะซื้อของเข้าบ้านก็ควรเลือกที่คุณภาพ ตรงกับความต้องการใช้งาน และมีความทนทาน ไม่ควรซื้อเพราะเห็นว่าถูก กำลังลดราคา หรือโดนป้าย Sale กระตุ้นให้ต้องรีบซื้อ

นอกจากนั้น การใช้ยานพาหนะในชีวิตประจำวันก็เกี่ยวข้องด้วยเช่นกัน ขับรถไปทางเดียวกัน ไปด้วยกันจะประหยัดน้ำมันมากกว่า หรือหากไปซื้อของใกล้ ๆ บ้านก็ใช้จักรยานแทนจะได้ออกกำลังกายด้วย

สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ หลายครอบครัวทราบดี และปฏิบัติมานาน แต่สำหรับครอบครัวที่มองข้ามหรือฟุ่มเฟือยจนเคยชิน ปีหน้าฟ้าใหม่ก็เป็นโอกาสดีที่จะลองเปลี่ยนไปสู่ความเรียบง่าย ซึ่งเราเชื่อว่าการใช้ชีวิตแต่พอดีนั้นไม่ได้ทำให้คุณสูญเสียสิ่งใดไป แต่มันอาจทำให้คุณ “ได้รับ” สิ่งดี ๆ ตอบแทนกลับมาโดยที่คุณไม่คาดฝันก็เป็นได้

5. ถึงเหนื่อยก็อดทน

ปฏิเสธไม่ได้ว่าชีวิตครอบครัวเป็นชีวิตที่เหนื่อย ยิ่งมีลูกด้วยแล้วยิ่งเหนื่อยกว่าเดิมเป็นหลายเท่า คนเป็นพ่อแม่ในยุคนี้จึงต้องอดทนให้มาก เพราะความอดทนนั้นจะช่วยให้คุณพ่อคุณแม่ก้าวผ่านความเหนื่อยยากต่าง ๆ ร่วมกันได้ ความอดทนยังมีประโยชน์ต่อครอบครัวในอีกหลายด้าน ยกตัวอย่างเช่น ความอดทนต่อความโกรธจะช่วยให้คู่สามีภรรยาลดการทะเลาะเบาะแว้ง ต่อปากต่อคำซึ่งกันและกันได้ ความอดทนต่อความโลภ ช่วยให้ครอบครัวสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ต้องคดโกงผู้อื่น ความอดทนต่อความหลง จะช่วยลดปัญหานอกใจ มีกิ๊ก มีชู้ เหล่านี้เป็นต้น




6. มองตนในแง่บวก

หากจะมีของขวัญชิ้นเยี่ยมสักชิ้นที่คนเราสามารถมอบให้กับตัวเองได้ใน ปีใหม่ที่จะมาถึง การมองตัวเองในแง่บวกก็คงเป็นของขวัญชิ้นนั้น เพราะใน 365 วันที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อคุณแม่ หรือลูก ๆ ล้วนต้องเจอเรื่องราวที่ทำให้หดหู่ ท้อแท้กันมาบ้างไม่มากก็น้อย พ่อแม่ที่เป็นคนทำงานก็อาจเคยโดนเจ้านายต่อว่าทำให้จิตตก หรือมีสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ทำให้รู้สึกว่า ตนเองไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ส่วนลูก ๆ เองก็มีการเรียนการสอบที่คอยฉุดให้ท้อแท้

มาถึงปีใหม่นี้ คงเป็นอีกหนึ่งช่วงเวลาดี ๆ ที่จะชวนสมาชิกในครอบครัวเติมพลังด้วย “มุมมองในแง่บวก” เสียที วิธีการก็ไม่ยาก สามารถลองทำด้วยตัวเองได้ เช่น

- การเขียนข้อดีของตนเองลงบนกระดาษ หมั่นอ่านทุก ๆ วัน
- การพูดจาในแง่ดีกับตัวเองและผู้อื่น
- พยายามมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวเราในแง่ดี แม้จะรู้สึกแย่มาก ๆ ก็ตาม
- พยายามสร้างสิ่งแวดล้อมดี ๆ ให้เกิดขึ้นรอบตัว เช่น เขียนข้อความดี ๆ ให้กำลังใจตัวเองแปะไว้ที่บอร์ด ปลูกต้นไม้เพิ่มความสดชื่น เหล่านี้เป็นต้น

7. อำนวยความสะดวกแก่ผู้อื่น

ที่ผ่านมา มนุษย์เราเห็นแก่ตัวกันมามาก ยิ่งในสังคมเมืองยุคทุนนิยม ยิ่งเปิดโอกาสให้คนมือยาวเข้ามาสาวผลประโยชน์ไปเป็นของตัวได้อย่างไม่ต้อง เกรงใจ ต่างคนจึงต่างพยายามช่วงชิงทรัพยากรมาไว้กับตัวให้มากที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงคนอ่อนแอกว่าที่ยืนแทรกอยู่ตามมุมต่าง ๆ ใครมีพวกมาก ยิ่งคึกคะนอง ใครมีเงินมาก ยิ่งทรงอิทธิพล

ปีใหม่นี้ จึงอาจเป็นโอกาสดีให้เราเลือกที่จะมีชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากสิ่งที่กล่าวมา ข้างต้น หากลองอ่อนน้อมถ่อมตัว อุทิศตัวเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นกันดูบ้าง เราอาจพบว่ามีสิ่งดี ๆ งอกงามขึ้นในใจก็เป็นได้ ยกตัวอย่างการ อำนวยความสะดวกแก่ผู้อื่น เช่น การขับรถยนต์บนท้องถนน หากเราแบ่งปันกันใช้ ใครเปิดไฟขอทางก็ให้ทางไป จะปีใหม่หรือสงกรานต์ก็ไม่ต้องกลัวอุบัติเหตุหรือเสียชีวิต แถมยังไม่ต้องให้รัฐบาลนำเงินภาษีของประชาชนมารณรงค์การขับรถในช่วงเทศกาล อีกด้วย

จุดมุ่งหมายของข้อนี้ไม่มีอะไรมาก ขอเพียงแค่ก่อนจะทำสิ่งใด ให้เราให้ความสำคัญกับคนรอบ ๆ ตัวเท่า ๆ กับให้ความสำคัญกับตัวเราเอง เท่านี้ เราก็เป็นอีกหนึ่งพลังที่จะช่วยดึงความสุขกลับคืนมาได้แล้ว

8. ยืนด้วยรอยยิ้ม

เพราะการยิ้มนั้นช่วยลดความเครียด แถมช่วยเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเราจากโกรธ น้อยใจ หรือรู้สึกแย่ ให้ดีขึ้นได้ ในปีที่ผ่านมา เชื่อว่าคงมีหลายท่านที่เจอเรื่องเครียดแล้วระบายออกมาในรูปแบบของความ รุนแรง ทั้งการด่าทอ ทะเลาะเบาะแว้ง ร้องไห้ หรือกอดขวดสุรา ปีใหม่นี้ลองเปลี่ยนมายิ้มกับทุกเรื่องแย่ในชีวิต คุณอาจได้พบปีมะโรงที่ต่างจากปีเถาะโดยสิ้นเชิงก็เป็นได้

ทีมงานเชื่อว่า พฤติกรรมนำสุขทั้ง 8 ข้อที่เราได้รวบรวมมาฝากท่านผู้อ่านนั้นจะเป็นอีกหนึ่งฐานรากของการสร้าง สิ่งแวดล้อมที่เหมาะกับการเติบโตของอนาคตของชาติ หรือก็คือลูก ๆ หลาน ๆ ของเราได้เป็นอย่างดี เพราะบนแผ่นดินที่คนมีน้ำใจให้แก่กัน ช่วยเหลือกันและกัน มองโลกในแง่ดี มีความอดทน และไม่หลงใหลในอบายมุขนั้นย่อมมีความสงบร่มเย็น และสามารถเป็น “แผ่นดิน” ที่เหมาะสำหรับพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ให้ถึงจุดสูงสุดได้อย่างไม่ต้องสงสัย


สวัสดีปีใหม่ค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:49:21 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #292 เมื่อ: มกราคม 06, 2012, 06:51:42 PM »

มาสร้างบรรยากาศให้ลูกวัยแรกเกิดกับ A-Z



A-Z Home Sweet Home (Mother & Care)
เรื่อง : ไวท์เดซี่

คำว่า “บ้าน คือ วิมานของเรา” หรือ “ไม่มีที่ไหนสุขใจเท่าบ้านเรา” เป็นคำที่เราต่างยิ้มรับและเห็นด้วย เพราะบ้านเป็นที่ที่สร้างความทรงจำดี ๆ และมีความทรงจำอันน่าประทับใจเกิดขึ้นมากมายที่บ้าน ดังนั้นมาจัดบ้านตกแต่งบ้านให้ดูสดใสสวยงาม เพื่อสร้างบรรยากาศที่ดีให้ลูกรู้สึกประทับใจตั้งแต่วัยแรกเกิดกับ A-Z กันค่ะ

A.Air-conditioner เครื่องปรับอากาศ

ถ้าจำเป็นต้องใช้ แอร์ควรล้างที่กรองฝุ่นทุกสัปดาห์ เพื่อกันเชื้อโรคหมักหมม ติดตั้งพัดลมดูดอากาศช่วยเพิ่มออกซิเจนให้หมุนเวียนอยู่ในห้อง รวมทั้งปรับอุณหภูมิไม่ให้ร้อนหรือเย็นจนเกินไปอยู่ที่ 25-27 องศาก็พอค่ะ

B.Bathroom ห้องน้ำ

จัดห้องน้ำให้อากาศ ถ่ายเทดี มีแสงธรรมชาติส่องถึง เพิ่มความปลอดภัยในห้องน้ำ ด้วยการเลือกใช้วัสดุปูพื้นผิวพอหยาบป้องกันการลื่นล้ม เก็บสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อลูกให้มิดชิด และหมั่นขัดพื้นให้สะอาดอยู่เสมอ

C.Carpet พรมปูพื้น

เลือกพรมที่ทนทาน ผิวเรียบทำความสะอาดง่าย มีลวดลายในตัว ส่วนผิวหยาบจะเก็บฝุ่น ทำความสะอาดยาก อย่าใช้พรมสีเข้มหรืออ่อนมาก เพราะเวลาเปื้อนจะเห็นรอยชัด ควรดูดฝุ่นทำความสะอาดเสมอด้วย

D.Downstairs ชั้นล่าง

ควรจัดชั้นล่างให้ ปลอดภัยสำหรับลูก โดยทำประตูลูกกรงกั้นหัวบันไดไว้เสมอ เพื่อป้องกันลูกปีนป่ายขึ้นบน โดยเฉพาะลูกวัยหัดคลานหรือหัดเดิน ซึ่งอาจทำให้เกิดอุบัติเหตุพลาดพลั้งตกลงมาจนรับบาดเจ็บได้

E.Explore สำรวจ

สำรวจทุกซอกทุกมุม ของบ้านให้ปลอดภัยที่สุดสำหรับลูก เพราะบ้านนอกจากจะเป็นวิมานอันแสนสุขของลูกแล้ว แต่ยังมีผลการวิจัยพบว่าบ้านเป็นสถานที่ที่ก่อให้เกิดอันตรายกับลูกวัยเด็ก เล็กได้มากที่สุดเช่นกัน

F.Floor พื้นบ้าน

การใช้วัสดุปูพื้น บ้านมีให้เลือกมากมายทั้งไม้ กระเบื้องเซรามิกไม้ลามิเนต กระเบื้องยาง หินอ่อน หินขัด พรม ปาร์เกต์ นอกจากความสวยงามแล้ว ต้องคำนึงถึงความปลอดภัย ควรเลือกชนิดที่ไม่ทำให้เกิดการลื่นล้มด้วย

G.Garage โรงจอดรถ

ควรจัดให้มีพื้นที่ กว้างพอเพื่อให้ขนย้ายสิ่งของลงจากรถได้ง่าย และสะดวกขึ้น ยิ่งมีก๊อกน้ำด้วย ยิ่งช่วยให้ล้างรถได้เลย นอกจากนี้ควรทำความสะอาดง่าย ไม่ควรอยู่ต่ำกว่าถนน รวมทั้งมีที่ระบายอากาศ ที่ระบายน้ำด้วย

H.Hall ห้องโถง

ห้องโถงถือเป็นด่าน แรกของทางเข้าบ้าน เป็นจุดพักเหนื่อยหรือตรวจเครื่องแต่งกายก่อนออกจากบ้านได้ จึงควรจัดให้มีแสงธรรมชาติเข้ามา เพื่อประหยัดไฟฟ้า และควรใช้สีของผนังเป็นสีอ่อน ๆ ให้ดูโปร่งใส สะอาดตา

I.Indoor ในบ้าน

ในบ้านควรจัดตกแต่ง ด้วยโทนสีอ่อนสบายตา คุณแม่ควรเตรียมห้องลูกไว้ตั้งแต่แรกเกิด เพราะเด็กมักมีของมาก ถ้าไม่มีพื้นที่พอให้จัดมุมใดมุมหนึ่งในห้องนอนแม่ให้ลูกนอน กินนม อาบน้ำเปลี่ยนผ้าอ้อม และแต่งตัว

J.Jasmine ดอกมะลิ

หาต้นดอก มะลิมาสร้างบรรยากาศให้บ้านหอมกรุ่น ชวนลูกปลูกมะลิ หมั่นคอยรดน้ำและพรวนดิน เมื่อออกดอกบานสวยก็ชวนกันเก็บร้อยเป็นพวงมาลัยแบบง่าย ๆ บูชาพระหรือจัดใส่แจกันประดับบ้านก็ได้นะคะ

K.Kitchen ห้องครัว

จัดห้องครัวให้ ปลอดภัย วางข้าวของเครื่องใช้ให้สูงพ้นมือลูก เพราะห้องครัวเป็นที่ที่มักเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นการหุงต้ม ทอดอาหาร และมีของมีคม ของแหลม ๆ เช่น มีด ส้อม ที่อาจบาดลูกได้ถ้าเล่นไม่ระวัง

L.Living room ห้องนั่งเล่น

ห้องนั่งเล่นที่ที่ คนในครอบครัวมักจะใช้เวลาอยู่ร่วมกันเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นนอกจากจะตกแต่งให้ดูสวยงามแล้วควรทำให้ปลอดภัยด้วย และจัดวางข้าวของเครื่องประดับตกแต่งห้องที่มีค่าให้พ้นมือลูกด้วยเช่นกัน

M.Mirror กระจก

กระจกเงา กระจกฝ้า กระจกใส ที่แกะลายสวยงาม ช่วยแต่งบ้านให้เกิดความกว้าง ไม่รู้สึกอึดอัดทั้งยังช่วยกั้นแบ่งสัดส่วนบ้านได้ แต่ควรติดสติ๊กเกอร์ให้ลูกเห็นชัดเจน เพราะกระจกจะใสดูว่าง ๆ จนลูกอาจวิ่งเข้ามาชนได้

N.Night table โต๊ะหัวเตียง

มีทั้งชนิดลอยตัว เคลื่อนย้ายได้ และที่ยึดติดกับเตียงหรือผนัง เลือกที่ไม่สูงหรือต่ำกว่าเตียงมาก เวลาเอื้อมหยิบของจะได้สะดวกมีโคมไฟแสงนุ่ม ๆ มีลิ้นชักเก็บของใช้จำเป็น เช่น ไฟฉาย เทียนไข เบอร์โทรโรงพยาบาล

O.Orchid กล้วยไม้

การปลูกกล้วยไม้ ตระก้ลหวายที่เลี้ยงง่าย โตเร็ว ออกดอกทั้งปี ช่วยแต่งบ้านสวยได้ เพราะมีหลากสีทั้งม่วง ชมพู ขาว และพัฒนาเป็นไม้กระถาง บางพันธุ์ ก็มีกลิ่นหอม เช่น หวายดอกสีเหลืองปากสีแดงหรืออุไรวรรณ

P.Porch ระเบียง

ระเบียงบ้านเป็น ส่วนต่อเชื่อมตัวบ้านกับนอกบ้าน ถ้าจัดแต่งสวยงามก็กลายเป็นจุดพักผ่อนยามแดดร่มลมตก หรือชมจันทร์ยามค่ำคืน แต่ประตูเข้าออกระเบียงต้องปิดมิดชิด เผื่อลูกซุกซนออกมาเล่นแล้วพลัดตกได้ค่ะ

Q.Quassia ดอกประทัดจีน

เรียกอีกชื่อว่า ประทัดเล็ก เป็นไม้พุ่มเตี้ยที่แปลกกว่าไม้ทั่วไป คือออกดอกเป็นหลอดเล็กสีแดง ส้ม หรือชมพู ใบเป็นเส้นยาว มีแผ่นใบเกาะตามข้อลำต้น ทนแล้งได้ดี ซึ่งคุณแม่ปลูกเป็นดอกไม้ แต่งบ้านให้ดูสวยงามได้ดี

R.Roof หลังคา

หลังคาช่วยตกแต่ง บ้านให้ดูดีได้หลังคาที่ดีต้องกันแดดกันฝนได้โดยไม่มีการรั่วซึม มีความทนทาน เมื่อลมพัดแรงต้องมั่นคงมีการเกาะยึดที่ดี สีไม่ซีด มีอายุการใช้งานสูง เมื่อซื้อหลังคาต้องคำนึงรางน้ำควบคู่กันด้วย

S.Switch ที่เปิดปิดไฟ

ที่เปิดปิดไฟ หรือที่เสียบปลั๊กไฟ ควรออกแบบให้สูงพ้นมือเด็ก ถ้าอยู่ต่ำควรมีที่ครอบปลั๊กไฟกันลูกใช้มือแหย่ ควรถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิดเมื่อใช้เสร็จ เพราะถ้าลูกไปกดปุ่มสวิตช์ไฟเล่นจะได้ไม่เกิดอันตราย

T.Table โต๊ะ

โต๊ะมีหลายชนิดหลาย แบบหลายขนาด เลือกใช้ให้เหมาะสมกับจำนวนคนในบ้าน และที่ที่จะใช้งาน ทั้งแบบกลม แบบสี่เหลี่ยมที่ใช้วางอาหาร หรือโต๊ะบิวท์อินที่ประหยัดพื้นที่ใช้งาน รวมทั้งโต๊ะญี่ปุ่นให้เจ้าตัวเล็กค่ะ

U.Upstairs ชั้นบน

ชั้นบนเป็นชั้นที่ มีบันไดเชื่อมต่อ ซึ่งต้องระวังเรื่องความปลอดภัยควรมีประตูกั้นหัวบันไดและที่ปลายบันได เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกคลานขึ้นหรือคลานลงจนอาจตกลงมาได้ รวมทั้งไม่วางสิ่งของไว้ตามชั้นบันไดด้วย

V.Vase แจกัน

แจกันประดับดอกไม้ สวย ๆ ช่วยแต่งบ้านให้ดูมีบรรยากาศสวยงาม คุณแม่สามารถทำกิจกรรมกับลูกโดยชวนลูกจัดแจกันดอกไม้บูชาพระ หรือถ้าไม่มีดอกไม้ ลองมาหาผักสดที่มีใบสวย ๆ มาปักแจกันก็ดูเก๋ไปอีกแบบค่ะ

W.Window หน้าต่าง

หน้าต่างสร้าง เสน่ห์ให้บ้านน่ามองได้ ด้วยผ้าม่านลูกไม้โปร่งหรือผ้าสวย ๆ หน้าต่างชั้นบนของบ้านควรมีลูกกรงกั้น ป้องกันลูกปีนและตกลงมา ไม่ควรวางเครื่องเรือนใกล้ เพราะลูกอาจปีนขึ้นไปแล้วพลัดตกลงมาได้

X.Xylograph การแกะสลักไม้

บ้านที่มีการแกะ สลักไม้ประดับเป็นบางจุด เช่น เชิงชาย ลูกกรงบานประตู หัวเสา ประตูรั้วจะช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้บ้านน่ามอง แต่ต้องระวังปลวกที่ทำให้บ้านเสียหายได้ จึงควรทาน้ำยากันปลวกกับบ้านส่วนที่เป็นไม้ให้ดี

Y.Yard สนาม

สนามเขียว ๆ หน้าบ้านที่ตกแต่งดูแลอย่างสวยงาม นอกจากจะช่วยให้บ้านดูโล่งสบายตาแล้วยังช่วยให้ลูกมีที่วิ่งเล่นออกกำลังได้ แต่ควรดูแลความปลอดภัยให้ดี อย่าให้มีเศษแก้ว หนาม หรืออื่น ๆ ที่เป็นอันตรายต่อลูก

Z.Zebu วัวชนิดเขาสั้น

วัวเป็นสัตว์ที่ เลี้ยงลูกด้วยนมมีหลายสายพันธ์ทั่วโลก เช่น วัวเนื้อ วัวนม วัวแดง จามรีหรือแย๊ก กระทิง หรือวัวป่าที่ควรอนุรักษ์ เพราะใกล้จะสูญพันธ์ลองหาภาพโปสเตอร์สัตว์สวย ๆ ประดับผนังบ้านให้ลูกเรียนรู้กันเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:50:31 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #293 เมื่อ: มกราคม 06, 2012, 07:37:35 PM »

ปรุงอาหารให้ปลอดภัย สำหรับลูกน้อย




ปรุงอาหารให้ปลอดภัย (รักลูก)

นอกจากจะได้คุณค่าทางโภชนาการที่ครบถ้วนแล้ว การปรุงอาหารให้ลูกยังช่วยคุณพ่อคุณแม่ประหยัดรายจ่ายของครอบครัวอีกด้วย ซึ่งมีขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้ค่ะ

การ เลือกส่วนผสม ต้องเริ่มต้นด้วย ส่วนผสมที่มีคุณภาพ ซึ่งควรเป็นอาหารสดใหม่ แต่หากไม่สามารถหาได้ คุณพ่อคุณแม่ก็ยังคงสามารถใช้อาหารแช่แข็งหรืออาหารกระป๋องได้ค่ะ เพียงแต่จะมีข้อควรระวังดังนี้

ควรระวังผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมดิบที่ไม่ได้ผ่านขั้นตอนของการพาสเจอร์ไรส์ เพราะอาจมีแบคทีเรียปนเปื้อนอยู่

น้ำ ผึ้ง ถึงจะมีที่มาจากธรรมชาติ แต่ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดสารพิษจากแบคทีเรีย Botulism ซึ่งเป็นอันตราย อย่างยิ่ง จะทำให้อ่อนเพลีย อาเจียน ท้องร่วง หรือท้องผูกอย่างรุนแรงได้

ระวังอาหารกระป๋องบางชนิด ซึ่ง อาจมีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายซ่อนอยู่

อาหารกระป๋องที่ไม่ติดฉลาก เป็นสนิม บุบเบี้ยว มีรอยรั่ว หรือหมดอายุแล้ว

การเตรียมอาหาร เนื่องจากเด็กทารกมีภูมิต้านทานต่ำกว่าผู้ใหญ่ ดังนั้น ก่อนการปรุงอาหารทุกครั้ง ควรปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้อย่างระมัดระวังค่ะ

ล้างมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการจัดเตรียมอาหารให้สะอาด

ใช้เขียงแยกต่างหาก สำหรับเนื้อสัตว์และอาหารที่ไม่ใช่เนื้อสัตว์ เพื่อหลีกเลี่ยงการปนเปื้อน

ล้างผักและผลไม้ให้ทั่วถึง แม้ว่าจะต้องปอกเปลือกผลไม้ชนิดนั้นก็ตาม แต่ก็ต้องล้างให้สะอาด ด้วยน้ำที่ไหลจากก๊อกโดยตรง

เก็บเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์นมไว้ ในช่องแช่แข็งทันทีหลังจากที่ซื้อมาแล้ว

การ ปรุงอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ควรใช้อุณหภูมิไม่ต่ำกว่า 70 องศาเซลเซียส ส่วนเนื้อปลาต้องไม่ต่ำกว่า 60 องศาเซลเซียส และสัตว์ปีกทั้งหมด ต้องไม่ต่ำกว่า 75 องศาเซลเซียส

วิธีจัดการกับอาหารของลูกน้อย

ทิ้งอาหารที่เหลือในจานของลูกเสมอ

ไม่ควรป้อนอาหารที่ปรุงสุกแล้วทิ้งไว้นานเกิน 2 ชั่วโมง ให้กับลูก

ไม่ควรเก็บอาหารพวกเนื้อสัตว์ เนื้อปลา หรือไข่ ไว้ในตู้เย็นนานเกิน 24 ชั่วโมง และ 48 ชั่วโมงสำหรับผักและผลไม้

ควรอุ่นอาหารแช่แข็งที่อุณหภูมิ 75 องศาเซลเซียส

ไม่ละลายอาหารแช่แข็งของเบบี้ในน้ำอุณหภูมิปกติ

วิธี การเก็บอาหารย่างปลอดภัย ควรเก็บด้วยการบรรจุในภาชนะที่มีวันที่กำกับไว้ ซึ่งคุณพ่อคุณแม่สามารถเก็บไว้ในช่องแช่แข็งได้นานถึง 1 เดือน

แม้ว่าจะดูยุ่งยากไปบ้าง แต่เพื่อสุขอนามัยที่ดีของลูกน้อย ดังนั้นวิธีการบางอย่างจึงไม่ควรละเลยค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:51:58 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #294 เมื่อ: มกราคม 07, 2012, 08:22:04 PM »

สุขภาพตาม 12 ราศี



 

ราศีเมษ

อาการปวดศีรษะและโรคไมเกรน เป็นโรคที่ชาวเมษควรระวัง เพราะตามการเดินทางของดวงดาวจะมีอิทธิพลปกคลุมร่างกายส่วนศีรษะทั้งหมด ยิ่งประกอบกับความที่เป็นคนคิดมาก เครียดจัด ไม่ยอมทานอาหารตรงตามเวลา อาการปวดหัวจึงมักจะมาเยี่ยมเยียนอยู่เป็นประจำ โรคหวัดและไซนัสอักเสบ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาสุขภาพของชาวเมษ จึงควรดื่มน้ำหัวบีต แครอท และชาสมุนไพรคาโมมายล์เป็นประจำ



ราศีพฤษภ

ด้วยความที่เป็นคนทานเก่ง ชอบกินจุบจิบตลอดเวลาทำให้ปัญหาใหญ่เป็นเรื่องรูปร่าง ซึ่งพอคิดจะลดก็มักตบะแตก ไม่เคยสำเร็จสักที เพราะฉะนั้นจึงควรนำความมุ่งมั่น ความดันทุรังที่เป็นนิสัยพื้นฐานประจำตัวมาปรับใช้ให้เป็นประโยชน์กับการลด น้ำหนัก ซึ่งถ้าทำได้เชื่อว่า คาวหน้าส่องกระจกคุณอาจจะตะลึงคิดว่านางฟ้าแปลงกายมาอยู่ตรงหน้า ปัญหาเรื่องคอ เป็นอีกปัญหาสำคัญของชาวพฤษภ ยิ่งเมื่ออยู่ในที่เย็นหรือเกิดอาการเครียดจัดจะปวดเมื่อยตามคอได้ง่าย ซึ่งวิธีแก้คือใช้มือนวดเบาๆใต้ติ่งหู ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่ปกติ ก็เป็นอีกโรคที่มักมาก่อกวนชาวราศีนี้ทำให้ระบบการเผาผลาญของร่างกายทำงาน ไม่ปกติ ควรทานปลาหรืออาหารที่มีไอโอดีนเยอะๆ


ราศีเมถุน

ชาวราศีเมถุนมีจุดอ่อนอยู่ที่หลังและไหล่ ทำให้มักเกิดอาการตึงเส้นเอ็นบริเวณข้อมือบ่อยๆ ยิ่งถ้าต้องนั่งทำงานหรืออยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ เพราะฉะนั้นจึงควรหาอุปกรณ์เสริม เช่น หาเบาะนิ่มๆมารองข้อมือเวลาใช้คอมพิวเตอร์ หรือเก้าอี้ที่นั่งสบายมีพนักตรงปรับระดับอย่างพอเหมาะกับโต๊ะทำงาน นอนไม่หลับ ถือเป็นโรคที่รุนแรงสำหรับชาวราศีนี้ เพราะไม่ใช่แค่หลับ ๆตื่นๆ แต่จะถึงขั้นตาค้าง สมองทำงานตลอดเวลา จนร่างกายทรุดโทรมอ่อนเพลีย วิธีแก้คือลด ละ เลิก เครื่องดื่มกระตุ้นร่างกายทั้งหลาย โรคหลอดลมอักเสบ หวัดลงปอด หืด ปอดอักเสบ ถุงลมโป่งพองและโรคที่เกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ ซึ่งอากาศบริสุทธิ์และการออกกำลังกายเป็นประจำจะช่วยสร้างเกราะป้องกันได้


ราศีกรกฎ

อาการต่างๆ ก่อนมีประจำเดือน ไม่ว่าจะเป็นปวดท้อง อารมณ์แปรปรวนหงุดหงิดง่าย เป็นโรคที่มักเกิดกับชาวกรกฎ ด้วยสาเหตุที่ดาวเคราะห์ประจำราศีเป็นดวงจันทร์ และร่างกายมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงส่งผลให้หน้าอก เต้านมและต่อมน้ำนมมักเกิดอาการผิดปกติ จึงควรทานวิตามินและอาหารเสริมเป็นประจำ อีกทั้งโรคกระเพาะ ลำไส้อักเสบและโรคที่เกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร จึงควรใส่ใจในพฤติกรรมการทานให้มาก


ราศีสิงห์

ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อหลังและส่วนต่างๆ ของร่างกาย เนื่องจากนิสัยดื้อรั้น ชอบทำทุกอย่างด้วยตนเอง ไม่ยอมยืดหยุ่น ทำให้ร่างกายเมื่อยล้าและเคล็ดขัดยอกอยู่บ่อยๆ ชาวราศีสิงห์มักมีน้ำหนักตัวมากเกินพอดี เพราะพอเครียดก็มักระบายออกกับมันฝรั่ง ไอศกรีม หรือขนมหวานทั้งหลาย ทำให้เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดตีบ ซึ่งหากยังเลิกการทานเพื่อระบายความเครียดไม่ได้ควรเปลี่ยนมาทานผัก ผลไม้ หรือมันฝรั่งทอดปราศจากเกลือและไขมันต่ำแทน


ราศีกันย์

ด้วยความที่เป็นคนร่าเริง ชอบทำกิจกรรม ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ ทำให้โรคต่างไม่ค่อยมารุมเร้ากวนใจคุณมากนัก แต่สำหรับโรคนอนไม่หลับถือเป็นกรณียกเว้น คุณมักจะตื่นกลางดึกแล้วนอนไม่หลับอยู่บ่อยๆ ลองอาบน้ำอุ่นจัดก่อนนอน หลีกเลี่ยงอาหารมื้อหนักหลังสี่โมงเย็น หรือดื่มนมและน้ำผึ้งอุ่นๆ ก่อนนอน


ราศีตุลย์

จากนิสัยที่คุณเป็นคนชอบทานของหวานและอาหารมันๆ เป็นประจำ แต่ไม่ยอมออกกำลังกาย ส่งผลให้ไตทำงานหนักมากกว่าปกติ จึงควรดูแลไตเป็นพิเศษ โดยดื่มน้ำวันละ6-8แก้ว หลีกเลี่ยงอาหารพวกเนื้อ ปลา เป็ด ไก่ แล้วแทนที่ด้วยผักผลไม้สีเขียวและสีเหลือง รับรองถ้าทำตามไตคุณจะยิ้มระรื่นเลยทีเดียว เนื่องจากผิวหนัง และไตของชาวราศีนี้อยู่ใต้อิทธิพลของดาวศุกร์ จึงมักส่งผลให้ไขมันและส่วนเกินที่ถูกขับออกมาจากไตถูกปลดปล่อยทางร่างกาย ผิวหนังเป็นเหงื่อและสิว การดูแลใบหน้าให้สะอาดจึงเป็นสิ่งที่ชาวตุลควรใส่ใจให้มากเป็นพิเศษ


ราศีพิจิก

ชาวราศีพิจิกมีนิสัยชอบกลั้นการขับถ่ายๆ ไว้นานๆ แถมยังชอบอาหารที่มีไขมันสูงแบบที่เห็นเป็นไม่ได้ต้องวิ่งเข้าหาทันที ทำให้โรคท้องผูกมักมาเยือนบ่อยๆ จนบางครั้งอาจเรื้อรั้งไปถึงริดสีดวงทวาร ทางที่ดีควรปรับเปลี่ยนกิจวัตรประจำวัน และทำระบบขับถ่ายให้เป็นกิจวัตร


ราศีธนู

ด้วยความที่เป็นคนทุ่มเทเต็มที่กับเรื่องกิน เรื่องดื่มเป็นพิเศษ ทำให้ชาวราศีนี้มีโอกาสเป็นโรคตับอักเสบ โรคตับแข็งและโรคพิษสุราเรื้อรังมากกว่าชาวราศีอื่น เพราะฉะนั้นเลิกดื่มซะเถอะ ราศีธนูหมายถึงร่างกายส่วนตับและถุงน้ำดี ทำให้ชาวราศีธนูมีโอกาสเป็นโรคนิ่วในถุงน้ำดีสูง ซึ่งโรคนี้มักทำให้คุณเกิดอาการปวดท้องประมาณ 15 นาทีถึง 1 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารเสร็จ ถ้าอยากให้อาการดีขึ้นลองทานอาหารประเภทโปรตีน คาร์โบไฮเดรต หรือวิตามินเสริมที่ช่วยให้เกิดการดูดย่อยไขมันได้ดี


ราศีมังกร

ลักษณะและบุคลิกที่ดูก้าวร้าวของคนราศีนี้ มักส่งผลมาจากลักษณะทางกายภาพของส่วนกระดูกและข้อต่อที่ไม่ค่อยมีความ ยืดหยุ่น ทำให้เมื่อยิ่งแก่ตัว หรือเริ่มเข้าสู่ช่วงครึ่งหลังของชีวิต จะเป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อและกระดูก ทางที่ดีควรบริโภคแคลเซียม วิตามินดีและออกกำลังกายเป็นประจำ แต่จะให้เจ๋งกว่าควรรีบทำก่อนอายุ 35 ไม่งั้นจะสายเกินแก้ โรคข้ออักเสบ เป็นโรคที่ก่อให้เกิดความอ่อนเพลีย ทรมานและเจ็บปวดมากที่สุดโรคหนึ่งสำหรับชาวราศีมังกร เพราะไม่สามารถรักษาได้โดยตรง ทำได้เพียงให้ยาลดอักเสบและบวมตามข้อเท่านั้น ดังนั้นการเลือกอาหารบริโภค ฝึกโยคะ ทำสมาธิ สร้างจินตนาการจะเป็นตัวช่วยในการบรรเทาปวดอีกวิธีที่ยอดเยี่ยมทีเดียว


ราศีกุมภ์

โรคข้อเท้าบวม ข้อเท้าเคล็ด หลอดเลือด (ดำ) ขอด จากทิศทางของดวงดาวทำให้ชาวราศีกุมภ์มักมีอาการบวมที่ข้อเท้า หรือบริเวณต่ำกว่าหัวเข่าลงมา ดังนั้นจึงควรนวดขาทุกวัน ตั้งแต่นิ้วเท้าจนถึงต้นขาด้วยน้ำมันวิตามินอี หรือน้ำมันหอมระเหยมะนาวผสมกับลาเวนเดอร์ เพื่อบริหารให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น


ราศีมีน

ชาวราศีมีนมักมีระบบต่อมน้ำเหลืองทำหน้าที่หลักในระบบภูมิคุ้มกันของร่าง กาย ทำให้มีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับระบบต่อมน้ำเหลือง ได้มาก แต่ทางแก้ไม่ยาก แค่ดื่มน้ำ สมุนไพร ชาและเครื่องดื่มบำรุงร่างกาย จากการที่โหมงานหนัก ชอบคิดมากในเรื่องไม่เป็นเรื่อง ทำให้ชาวราศีมีนจะรู้สึกเหนื่อยอ่อนและเวียนศีรษะอยู่บ่อยๆซึ่งเป็นส่วน หนึ่งของภาวะเลือดจางและขาดธาตุเหล็ก แต่เพียงแค่รับประทานอาหารทดแทนธาตุเหล็ก เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดแดงก็จะบำบัดได้มาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:52:40 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #295 เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 09:20:06 PM »

12 เรื่องอยู่ให้ห่าง หากรักสุขภาพ



12 เรื่องอยู่ให้ห่าง หากรักสุขภาพ

          รู้จักวิธีรักษาสุขภาพกันไปแล้ว มาดูกันว่าอะไรจะทำร้ายร่างกายของเราได้บ้าง จะบอกให้ก็ได้ว่าเรื่องใกล้ตัวก็มีส่วนเยอะนะ

1.ดื่มกาเฟอีนมากเกินไป

          ชาหรือกาแฟสักแก้วไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าถึงขนาดกลายเป็นลูกค้าประจำของร้านกาแฟ คุณอาจดื่มมากเกินไปแล้ว กาเฟอีนที่มากเกินไปจะกระตุ้นต่อมอะดรีนัลให้อยู่ในสภาวะเปิดสวิตช์ตลอดเวลา ทำให้คุณรู้สึกกระสับกระส่าย อาจนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ และปวดท้อง แถมกาแฟยังอาจมีแคลอรีสูงด้วยนะถ้าคุณใส่นมมากเกินไป

2.ไปฟิตเนส แต่ปกติยังเอื่อยเฉื่อย

          ก็ดีอยู่หรอกนะที่คุณออกกำลังสัปดาห์ละ 3 ชั่วโมง แต่โดยรวมแล้วลองเทียบกับเวลาทั้งหมด 168 ชั่วโมงสิ! เรื่องน่าสนใจอยู่ที่ครั้งหนึ่ง University of Maastricht เคยมีการศึกษา ซึ่งพบว่าคนที่เข้าฟิตเนสเบิร์นแคลอรีน้อยกว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์กระฉับกระเฉงอีกนะ

3.ชอบกินข้าวนอกบ้าน

          เพราะการกินข้าวตามร้านอาหารมักจะมีปริมาณที่มากเกินพอดี สารอาหารมักจะไม่ได้ตามสัดส่วน และเครื่องปรุงที่ใช้มักไม่ดีต่อสุขภาพนัก

4.ดื่มหนัก

          จริงอยู่ที่มีไกด์ไลน์ว่าดื่มวันละหนึ่งดริ๊งก์ดีต่อหัวใจ แต่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ดื่มในวันปกติ และเอาจำนวนดริ๊งก์ไปทบกันในวันหยุด นี่จะทำให้ตับของเราอยู่ในภาวะเครียด เพราะมันสามารถเผาผลาญแอลกอฮอล์ได้เพียงหนึ่งหน่วยต่อชั่วโมงเท่านั้น ในระยะยาวก็อาจเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เส้นเลือดในสมองแตก มะเร็งบางชนิด และสุขภาพกระดูก ก็จะย่ำแย่ลงด้วย

 5.สูบบุหรี่เพื่อเข้าสังคม

          คุณอาจคิดว่าบุหรี่ตัวเดียวในยามเข้าสังคมไม่เป็นอะไร แต่คุณกำลังเสี่ยงเสพติดนิโคติน ซึ่งจะใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้นในการเข้าไปยังสมองของคุณ แต่ผลของมัน เช่น เพิ่มการทำงานของระบบประสาท เร่งอัตราชีพจร เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด และทำให้หลอดเลือดแคบลง ทั้งหมดนี้อาจอยู่ได้นานถึงหนึ่งวัน

6.ใช้ขวดพลาสติกใส่น้ำซ้ำ ๆ

          การดื่มน้ำเป็นเรื่องที่ดี แต่การใช้ขวดพลาสติกซ้ำ ๆ ไม่ฉลาดเสียเลย ในขณะที่ยังมีข้อสงสัยกันอยู่ว่าอาจมีสารเคมีละลายออกมาจากขวด PET หรือไม่ ทาง University of Calgary ก็เคยพบว่ามีแบคทีเรียอยู่ในตัวอย่างน้ำจากขวดที่เคยใช้แล้วของนักศึกษา ถ้าคุณคิดจะนำขวดมาใช้จริง ๆ ก็ล้างโดยใช้น้ำสบู่และทำให้แห้งสนิทก่อนดีกว่า

7.ไม่ยอมตรวจตัวเอง

          สำหรับสาว ๆ ก็คือไม่ตรวจคลำเต้านม ส่วนหนุ่ม ๆ ก็คือไม่คลำอัณฑะ ทั้งที่กิจวัตรง่าย ๆ เหล่านี้อาจจะช่วยชีวิตคุณได้ เพียงแค่ใช้มือวนเบา ๆ เป็นวงกลมที่หน้าอกแต่ละข้างหาสิ่งผิดปกติตั้งแต่บริเวณใต้รักแร้จนถึงหน้าอกทั้งหมด และยืนเท้าสะเอวมองในกระจก เพื่อดูว่าร่างกายสมมาตรกันรึเปล่า จำไว้ว่าหากเราพบมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ ก็อาจรักษาได้

8.สะสมความเครียด

          เพราะความเครียดนั้นมีความเกี่ยวพันกับโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เช่นเดียว กับภูมิคุ้มกันที่ตกต่ำ และน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น เคยมีการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอพบว่า คนที่เครียดจากการแต่งงาน แผลจะหายช้ากว่าคนที่ความสุขถึง 60%

9.คิดว่า "ไขมันต่ำ" แปลว่า "แคลอรีต่ำ"

          "ไขมันต่ำ" ไม่ได้แปลว่า "ไขมันน้อย" เพียงแต่ว่าไขมันในอาหารนั้นน้อยกว่าเวอร์ชั่นปกติเท่านั้นล่ะ สมมติว่าเดิมทีมีไขมันอยู่ 20 กรัม พอลดลงมาก็เหลือ 15 กรัม (ก็ไม่ได้น้อยเท่าไหร่นะ) อีกประการหนึ่งก็คือ รสชาติที่เสียไปมักจะถูกแทนที่ด้วยน้ำตาล และแคลอรีก็ยังสูงอยู่ดี

10.โต๊ะทำงานไม่เหมาะสม

          ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้ไม่ได้ความสูง หน้าจอคอมพิวเตอร์กะพริบ หรือโต๊ะ ทำให้กระดูกสันหลังและคอของคุณต้องบิดอยู่ตลอดเวลา ระดับสายตาของคุณควรอยู่ที่จุดของจอคอมพิวเตอร์ ส่วนเท้าวางราบกับพื้น และแขนทำมุมโดยมีโต๊ะรองรับไว้

11.มีเซ็กซ์ที่ไม่ได้ป้องกัน

          ดูเหมือนว่าคนเรามีคู่นอนหลายคนมากขึ้น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ จึงแพร่ระบาดหนัก ไม่ว่าจะเป็นหนองในแท้หรือเทียม ซิฟิ เช่นเดียวกับโรคเอดส์ ทั้งที่ทางป้องกันนั้นง่ายแสนง่าย ก็คือการใส่ถุงยางอนามัยยังไงล่ะ

12.ไม่อ่านฉลาก

          ฉลากข้างผลิตภัณฑ์อาหารจะบอกแคลอรี ปริมาณไขมัน ปริมาณโซเดียม เครื่องปรุง และส่วนผสม การซื้อของเพียงแค่มันติดป้ายว่า "ทำจากธรรมชาติ" หรือ "ช่วยลดคอเลสเตอรอล" ไม่ใช่ความคิดที่ดีเลย




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:53:51 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #296 เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 09:30:08 PM »

ซ่อมสุขภาพ สำรวจระบบภูมิคุ้มกันของคุณเสียแต่เนิ่น ๆ


ซ่อมสุขภาพ สำรวจระบบภูมิคุ้มกันของคุณเสียแต่เนิ่น ๆ (อาหารและสุขภาพ)
แหล่งความรู้ จากหนังสือ Boost Your Immune System โดย Patrick Holford และ Jennifer Meek ในปี 2010

          ร่างกายของคุณเองที่รู้จักมาตั้งแต่เกิดนั้น ถามจริง ๆ..ว่ารู้จักกันจริงหรือเปล่า แล้วคุณเคยรับฟังเสียงเล็ก ๆ ของร่างกายที่กระซิบบอกอะไรแก่คุณหรือไม่..หรือต้องรอให้ตะโกนบอกพร้อม ๆ กับโรคร้าย ๆ ที่พาติดตามมาด้วยอย่างนั้นหรือเปล่า

          คนแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกัน ทั้งทางร่างกาย, การโภชนาการ และอารมณ์ที่หลากหลาย รวมไปถึงวิธีส่งสัญญาณเตือนของร่างกายเมื่อเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น เช่น มีการเตือนเมื่อร่างกายเริ่มสะสมสารพิษมากเกินไป หรือมีสารอาหารอย่างหนึ่งอย่างใดไม่เพียงพอ, กำลังอยู่ในสภาวะเครียด, นอนหลับพักผ่อนหรือออกกำลังน้อยไป หรือแม้แต่กำลังถูกคุกคามด้วยไวรัสหรือแบคทีเรีย...เมื่อร่างกายเตือนแล้วปัญหาอยู่ที่ว่า ตัวคุณเองนั้นรับฟังและเข้าใจเสียงเตือนเหล่านั้นหรือไม่

          เป็นเรื่องสำคัญที่คุณควรทราบเมื่อสุขภาพเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปแม้แต่เพียงเล็กน้อย ระบบภูมิคุ้มกันของคุณจะเป็นผู้กระซิบบอก การรับทราบอาการเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ จะทำให้คุณแก้ไขได้ทันก่อนที่จะมีปัญหามากขึ้น โดยลองใช้รายการตรวจเช็คสัญญาณเตือนเริ่มต้นที่จะกล่าวต่อไปนี้ หากสัญญาณเตือนยิ่งมีมากก็แสดงว่าถึงเวลาที่คุณต้องเอาใจใส่และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันอย่างจริงจังแล้ว



สัญญาณเตือนว่าระบบภูมิคุ้มกันกำลังเริ่มมีปัญหา

          ให้สังเกตว่ามีการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ในร่างกายหรือไม่

           ผม : ร่วง, หยาบ, แห้งหรือมันขึ้น, สี, ผมร่วงแล้วไม่ขึ้นมาใหม่..?

           ศีรษะ : ปวดมึน ๆ, รู้สึกเจ็บศีรษะเมื่อมีการเคลื่อนไหว, รู้สึกร้อนผ่าวหรือเหมือนเลือดพุ่งขึ้นหัว, รู้สึกลอย ๆ โหวง ๆ, งงหัว, เวียนหัว..?

           ตา : ตาขาวเหลือง, ตาแดง, คันตา, เหมือนมีอะไรแทงตา, ขุ่นมัวไม่สดใส, เมื่อกรอกตาไปมารู้สึกว่าเจ็บ, น้ำตาไหล, การมองเห็นเปลี่ยนไป, เหนื่อยล้า..?

           หู : คัน, ปวด, มีเสียงในหู, ได้ยินเสียงเบากว่าความจริง, ผิวลอกเป็นแผ่น ๆ..?

           จมูก : น้ำมูกไหล, คัน, อักเสบ, คัดจมูก, หายใจลำบาก, ไม่ได้กลิ่น, จาม..?

           ปาก : ขมปากขมคอ, ไม่รู้รสอาหาร, หายใจมีกลิ่น, ลิ้นเป็นฝ้าหนา, ปากเปื่อย, มีเลือดออกจากเหงือก, ฟันไม่แข็งแรง, เจ็บลิ้น, กลืนอาหารยาก, มีน้ำลายในปากมากหรือน้อยกว่าปกติ..?

           คอ : ติดขัดหรือเจ็บเวลาเคลื่อนไหว..?

           ลำคอ : เจ็บคอ, รู้สึกเจ็บเวลากลืน, มีอาการบวมที่ต่อมต่าง ๆ ในลำคอ..?

           ทางเดินอาหาร : อาหารไม่ย่อย, มีแก๊ส, รู้สึกร้อน, ท้องบวม, เจ็บ, ท้องผูก, ท้องเสีย..?

           กล้ามเนื้อ : อ่อนแอ, ปวด, เมื่อยตึง, เป็นเหน็บคล้ายเข็มแทงจี๊ด ๆ, ไม่มีแรง, เครียดตึง, บาดเจ็บได้ง่าย..?

           ข้อต่อ : ติดขัด, อ่อนแอ, ปวด, บวม, สั่น..?

           ผิว : ผื่นแดง, สีเปลี่ยน, จุดด่างดำ, แห้ง, เป็นแผ่น, มีตุ่มไผหรือขนที่ผิวหนังเกิดขึ้นมาใหม่หรือของที่มีอยู่เดิมมีการเปลี่ยนแปลง, หมองคล้ำ, หย่อนยาน, ตึงแน่น, บวม, มีกลิ่นตัว..?

           เล็บ : แข็ง, เปราะ, มีจุดขาว, สีซีด, หักง่าย..?

           ระดับพลังงาน : สูงเกินไป, ต่ำเกินไป, ไม่สม่ำเสมอ, ไฮเปอร์แอคทีฟ, ขึ้นอยู่กับอาหารที่รับประทาน, ต้องใช้กาแฟหรือสิ่งกระตุ้นต่าง ๆ..?

           การนอนหลับ : ไม่สนิท, นอนมากเกินไป, พักผ่อนไม่พอ, เหงื่อออกมาก, หลับแบบผวาตื่น..?

           สถานะทางจิตใจ : ไม่มีสมาธิ, ความจำไม่ดี, ไม่ค่อยมีความสนใจ, ลืมง่าย..?

           ความอยากอาหาร : ถึงเวลาจะหิวจัด, เบื่อไม่อยากอาหาร, กินจุ..?

           อารมณ์ : เครียดเก็บกด, เศร้า, ขึ้น ๆ ลง ๆ, โมโหง่าย, รำคาญใจ, หงุดหงิด, เป็นทุกข์



ระบบภูมิคุ้มกันช่วยสุขภาพของเราได้อย่างไร

          มีโรคมากมายที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อโรคทั้งแบคทีเรีย, ไวรัส, เชื้อรา และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ที่แอบซ่อนอยู่ทั้งภายในร่างกาย และจากสิ่งแวดล้อมภายนอกร่างกาย ที่คอยรอโอกาสเข้ามาทำร้ายในช่วงเวลาที่อ่อนแอ นั้นคือส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ร่างกายก็ยังมีระบบที่คอยจัดการกับมัน นั่นคือกองทัพของเซลล์ภูมิคุ้มกัน ที่มีหน้าที่จดจำผู้รุกรานเหล่านั้น จากนั้นก็นำกำลังเข้าจู่โจม ซึ่งเราหวังว่าการจู่โจมที่ได้ผลจะสามารถทำลายผู้รุกรานเหล่านั้นลงได้ก่อนที่จะมาทำลายเรา

          แต่ถ้าระบบภูมิคุ้มกันของคนบางคนที่ทำงานหนักเกินไป, ไม่มีประสิทธิภาพหรือขาดการบำรุงดูแล ทำให้การทำงานมักได้ไม่ดีเท่าที่ควร ซึ่งก็หมายถึงร่างกายของผู้นั้นได้เกิดโรคขึ้น ผลกระทบจากโรคจะเป็นได้นานเท่าไรนั้น ผลกระทบจากโรคจะเป็นได้นานเท่าไรนั้น ขึ้นอยู่กับระบบภูมิคุ้มกันจะใช้เวลานานเท่าไรที่จะสามารถต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะกลับคืนมา

          การทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอยู่ในระดับสูงถึงขีดสุดได้นั้นสามารถกระทำได้ ทำให้เราหลีกเลี่ยงจากการเกิดโรคต่าง ๆ ขึ้น หรือถ้ามีโรคอยู่แล้วก็จะทำให้การต่อสู้ของระบบภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งขึ้น อาหารของโรคไม่ร้ายแรงขึ้นและหายได้เร็วขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันนี้ยังทำลายเซลมะเร็งได้อีกด้วย ตามปกติร่างกายของทุกคนมีการผลิตเซลล์มะเร็งที่ผิดปกตินี้ด้วยกันทั้งนั้น แต่ร่างกายสามารถควบคุมเอาไว้ได้ หากมีระบบภูมิคุ้มกันที่ทำงานได้รวดเร็วจนกวาดเก็บเซลมะเร็งได้ทัน ก่อนที่จะก่อปัญหาขึ้นมาได้

          ตราบใดที่ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้อย่างถูกต้อง ก็จะไม่มีปัญหากับเรื่องภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง ซึ่งเรื่องนี้จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อระบบทำงานผิดพลาดและไม่สามารถจดจำได้อีกแล้ว ทำให้ไปจู่โจมเซลปกติของร่างกายเช่นเดียวกับการจู่โจมศัตรู




ตรวจดูความแข็งแรงของระบบภูมิคุ้มกัน

          การสำรวจสัญญาณ, อาการ และการดำเนินชีวิตต่อไปนี้ จะทำให้ทราบว่าระบบภูมิคุ้มกันของคุณมีความแข็งแรงมากน้อยเพียงไร

          เมื่อคุณตอบคำถามว่าใช่ ก็ให้คะแนนตัวเอง 1 แต้มได้เลยค่ะ

          สุขภาพ

           คุณเป็นหวัดมากกว่าปีละสามครั้ง?
           เมื่อมีการติดเชื้อ (เป็นหวัดและติดเชื้ออื่น ๆ) แล้วหายยาก?
           คุณมักเป็นเชื้อราในช่องปาก หรือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ?
           คุณรับประทานยาปฏิชีวนะปีละสองครั้งหรือมากกว่า?
           ในปีที่แล้วมาคุณมีการสูญเสียอย่างมากมาย ที่ทำให้มีอาการเครียดมาก ๆ?
           มีคนในครอบครัวมีประวัติเป็นมะเร็ง?
           คุณกำลังรับประทานยาเพื่อควบคุมโรคอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เป็นประจำ?
           คุณมีโรคเกี่ยวกับการอักเสบเรื้อรังอยู่ เช่น ผื่นคัน, หอบหืด, ข้ออักเสบ, ความดันสูง, เบาหวาน?
           คุณมีปัญหาภูมิแพ้?
           คุณเป็นโรคแพ้เกสรดอกไม้ หรือละอองฟาง?

          การรับประทานอาหาร

           คุณดื่มของมึนเมามากกว่าหนึ่งแก้วต่อวัน?
           คุณดื่มน้ำน้อยกว่าหนึ่งลิตรต่อวัน?
           คุณรับประทานน้ำตาลมากกว่าหนึ่งช้อนโต๊ะต่อวัน?
           คุณแทบจะไม่รับประทานผักและผลไม้สด?
           คุณแทบจะไม่รับประทานอาหารเสริมเลย?
           คุณรับประทานอาหารสำเร็จรูป, อาหารที่ผ่านขบวนการ และอาการที่มีการขัดสีเป็นประจำ?
           คุณยังต้องการสิ่งกระตุ้น เช่น ชา, กาแฟ หรือบุหรี่ ตอนตื่นนอน หรือช่วงพักระหว่างวันทำงาน เพื่อให้สดใสทำงานได้?
           คุณมักจะรู้สึกงัวเงีย หรือง่วงนอนในระหว่างวัน หรือหลังรับประทานอาหาร?
           คุณรับประทานเนื้อสัตว์มากกว่าห้าครั้งในหนึ่งสัปดาห์?
           คุณรับประทานของว่างสำเร็จรูปหรือขนมถุง เป็นอาหารว่างหรือแทนมื้ออาหารบ่อย ๆ?

          การดำเนินชีวิต

           คุณใช้เวลาอยู่ในแสงธรรมชาติน้อยกว่าวันละหนึ่งชั่วโมง?
           คุณออกกำลังกายน้อยเกินไป?
           งานของคุณทำให้ต้องนั่งติดอยู่กันโต๊ะทำงาน?
           คุณสูบบุหรี่?
           คุณอาศัยหรือทำงานอยู่ในที่ ๆ มีควันบุหรี่?
           คุณมักนอนหลับไม่สนิท หรือสะดุ้งตื่นด้วยใจระทึก?
           คุณกำลังไม่สบายใจหรือผิดหวัง ต่อสิ่งที่ได้ตั้งความหวังไว้อย่างสูงของชีวิต?
           คุณเป็นคนหงุดหงิดง่าย, โมโหง่าย, โกรธง่าย, เป็นทุกข์ หรือขี้รำคาญ?
           คุณมีน้ำหนักเกินเกณฑ์?
           เมื่อคุณเครียดคุณชอบกิน?

ตรวจคะแนนกันค่ะ

           20 คะแนนขึ้นไป คุณต้องพิจารณาเปลี่ยนแปลงตัวเองขนานใหญ่ค่ะ ทั้งการรับประทานอาหาร และการดำเนินชีวิต ถ้าต้องการให้ระบบภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้นเพื่อให้มีร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง บางทีคุณอาจจำเป็นที่ต้องปรึกษานักโภชนาการในเรื่องนี้ เพื่อเร่งระบบภูมิคุ้มกันให้มีกำลังได้เร็วขึ้น

           10 ถึง 19 คะแนน คะแนนคุณอยู่ระหว่างกึ่งกลาง ตรวจดูนะคะว่าข้อไหนที่ตอบว่า "ใช่" ให้รีบแก้ไขเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นไปในทางตรงกันข้าม คุณจะได้แข็งแรงขึ้น

           คะแนนน้อยกว่า 10 คุณทำได้ดีแล้วค่ะ และดูเหมือนว่ามีระดับภูมิคุ้มกันในร่างกายได้อย่างเหมาะสม และก็เช่นกันค่ะ ข้อไหนที่ตอบว่า "ใช่" ก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเช่นกัน


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:56:08 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #297 เมื่อ: มกราคม 19, 2012, 09:41:19 PM »

6 สถานที่แฝงเชื้อโรคที่คุณคาดไม่ถึง


สาเหตุหนึ่งที่ทำให้คุณป่วยก็คือการไปสัมผัสสิ่งสกปรก และมาสัมผัสกับใบหน้า ทำให้เชื้อโรคเข้าไปสู่ร่างกายของคุณ ผ่านทางดวงตา จมูก หรือปาก นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการล้างมือจึงช่วยป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด

          แล้วรู้ไหมว่า สถานที่ไหนที่มีความเสี่ยงของเชื้อโรคมากที่สุด ลองอ่านเรื่องราวต่อไปนี้ แล้วคุณจะต้องเซอร์ไพรส์ เมื่อรู้ว่า ทั้ง 6 จุดเหล่านี้มีแบคทีเรียจำนวนมากแฝงเร้นอยู่



1.ในเครื่องซักผ้า

          ก่อนจะเทผ้าลงในเครื่องซักผ้า ก็ต้องแยกผ้าขาว ผ้าสีออกเสียก่อนใช่มั้ยล่ะ แต่หากจะซักผ้าในครั้งต่อไป ขอให้คัดแยกผ้าที่เกี่ยวข้องกับการประกอบอาหาร เช่น ผ้าปูโต๊ะ ผ้าเช็ดมือในห้องครัว ผ้ากันเปื้อน ออกจากพวกชุดชั้นใน และผ้าขนหนูในห้องน้ำด้วยนะ ทำไมนะหรือ?

          "คนส่วนใหญ่มักจะซักผ้ารวม ๆ กันในน้ำเย็น หรือน้ำค่อนข้างอุ่น ซึ่งจะช่วยกำจัดแบคทีเรียไปได้ประมาณ 80% เท่านั้น" ศาสตราจารย์ ชาร์ลีส เจอร์บา แห่งภาควิชาจุลชีววิทยา มหาวิทยาลัยเอริโซนา บอก

          น้ำสกปรกที่ถูกล้างออกมาจากการซักผ้ายังสามารถแพร่เชื้อโรคต่อไปได้อีก โดยมันจะเกาะอยู่ตามพื้น และผนังโดยรอบของเครื่องซักผ้า เพื่อรอแพร่เชื้อในการซักครั้งต่อไป

          แก้ไขซะ : คัดแยกเสื้อผ้าที่คิดว่าน่าจะมีเชื้อโรคสะสมอยู่มาก เช่น ผ้ากันเปื้อน ผ้าเช็ดโต๊ะ ผ้าขี้ริ้ว มาซักด้วยน้ำร้อน และใช้ไดร์เป่าให้แห้งซะ ทำอย่างนี้เดือนละครั้ง จะช่วยขจัดสิ่งปนเปื้อนให้ออกไปได้มากกว่าการซักด้วยน้ำธรรมดา หรือโยนลงเครื่องซักผ้า



 2.ในห้องครัว

                   อย่าบอกนะว่าในห้องครัวของคุณไม่มี "ฟองน้ำ" เพราะหลังจากคุณทำอาหารเสร็จแล้วก็ได้เวลาที่คุณจะคว้าฟองน้ำออกมาล้างจาน ตบท้ายด้วยการเช็ดทำความสะอาดตามเคาน์เตอร์ที่ทำอาหาร แต่ขอให้หยุดก่อนค่ะ!!! เพราะสิ่งสกปรกที่คุณใช้ฟองน้ำเช็ดนั่นแหละ มีเชื้อโรคตัวร้ายอย่าง "ซัลโมเนลลา" ซึ่งอยู่ทนเอามาก ๆ เป็นสาเหตุของอาการไม่พึงประสงค์กับระบบทางเดินอาหาร


          "คุณสมบัติของฟองน้ำ ที่มีรูพรุน มีซอกหลืบ แถมยังเปียกชื้น ทำให้ "ฟองน้ำ" กลายเป็น "ซูเปอร์คอนโด" ของเชื้อแบคทีเรีย" เอลิซาเบธ สก็อตต์ ผู้ก่อตั้งศูนย์สุขอนามัยและสุขภาพแห่งครัวเรือนและชุมชน ของวิทยาลัยซิมมอนส์ ในบอสตัน บอก และย้ำด้วยว่า ดีไม่ดีในฟองน้ำยังมีแบคทีเรียซุกซ่อนมากกว่าฝาชักโครกอีกต่างหาก

          เช่นนั้นแล้ว หากคุณใช้ฟองน้ำอันเดิมเช็ดจานชาม หรือทำความสะอาดเคาน์เตอร์ นั่นหมายความว่า คุณอาจจะกำลังแพร่เชื้อโรคในพื้นที่รอบ ๆ ต่อไปอีก

           แก้ไขซะ : อย่านำฟองน้ำล้างจานมาใช้รวมกับฟองน้ำที่ทำความสะอาดเคาน์เตอร์ โดยฟองน้ำล้างจานนั้น เมื่อใช้เสร็จแล้วก็นำไปล้างให้สะอาด (อาจล้างในเครื่องล้างจานก็ได้ ถ้าที่บ้านมี) แล้วนำไปใส่ไว้ในไมโครเวฟ อบด้วยอุณหภูมิสูงสัก 1 นาที

          สำหรับการทำความสะอาดเคาน์เตอร์นั้น พอล ดอว์สัน ผู้เชี่ยวชาญด้านฟู้ดซายน์ แห่งมหาวิทยาลัยเคลมสัน แนะนำว่า ให้ใช้ผ้าขนหนู หรือผลิตภัณฑ์สำหรับเช็ดพื้นผิวอเนกประสงค์โดยเฉพาะมาทำความสะอาดแทนการใช้ฟองน้ำจะดีกว่า



3.ในซูเปอร์มาร์เก็ต

          สังเกตไหมว่า รถเข็นบางคันที่เราใช้เข็นขณะเดินเลือกซื้อของในซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีที่นั่งพลาสติกให้เด็ก ๆ เข้าไปนั่งอยู่ในรถ รวมทั้งที่ราวจับรถเข็นก็มีพลาสติกบาง ๆ ห่อหุ้มอยู่ แต่ ดร.เจอร์บา บอกว่า "ในที่นั่งรถเข็นนั่นแหละที่พบเชื้อ อี.โคไล ปนเปื้อนมากกว่าชักโครกเสียอีก" ซึ่งเชื้อโรคก็มาจากทั้งอาหาร รวมทั้งในตัวเด็ก ๆ ที่เข้าไปนั่งในรถ นั่นเพราะรถเข็นแทบจะไม่เคยได้รับการทำความสะอาดเลย

          แล้วไม่ใช่แค่รถเข็นนะ เพราะเวลาที่เราไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ตรงหน้าจอของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือแม้กระทั่งจุดที่รูดบัตรเครดิตจ่ายเงินก็พบเชื้ออี.โคไล ปนเปื้อนอยู่เช่นกัน ซึ่งเชื้อเหล่านี้ก็มาจากการที่พนักงานหยิบจับอาหาร โดยเฉพาะพวกเนื้อสัตว์ แล้วมากดหน้าจอเพื่อคิดเงินนั่นแหละ

          ยังไม่หมดค่ะ เพราะสำหรับคนที่ถือถุงผ้าไปช้อปปิ้ง ถุงผ้าของคุณก็เป็นจุดที่เต็มไปด้วยแบคทีเรียเช่นกัน ซึ่งหากก่อนหน้านั้น คุณนำถุงผ้าใบเดียวกันนี้ไปใส่อาหารสด เช่น เนื้อสัตว์ หรืออาหารสดที่บรรจุเป็นแพคไว้ แล้วไม่ได้นำกลับมาซัก มีหรือที่เชื้อโรคจะไม่ติดอยู่ที่ถุงผ้าด้วย

          "ผลการสำรวจบอกว่า มีคนแค่ 3% เท่านั้น ที่เคยซักถุงผ้าของตัวเอง และคนกว่าครึ่ง ใช้ถุงผ้าบรรจุของหลายอย่าง ทั้งที่ไม่ได้ซัก" ดร.เจอร์บา บอกและย้ำว่า "มันก็เหมือนกับคุณกำลังนำอาหารที่ซื้อมาเหล่านั้นใส่ลงในกางเกงในที่สกปรกแล้วถือกลับมานั่นแหละ"

           แก้ไขซะ : เช็ดทำความสะอาดที่จับรถเข็น รวมทั้งที่นั่งเด็กในรถเข็นด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดอเนกประสงค์ ซึ่งหาซื้อได้ทั่วไปในซูเปอร์มาร์เก็ต ก่อนจะเข็นรถไปช้อปปิ้งได้อย่างสบายใจ อ้อ...และหลังเดินออกจากซูเปอร์มาร์เก็ตแล้ว อย่าลืมล้างมือด้วยเจลล้างมือ เพื่อทำความสะอาด และเมื่อกลับบ้านอย่าลืมนำถุงผ้าที่ใช้แล้วซักทำความสะอาดให้เรียบร้อยด้วยล่ะ

          ถึงตอนนี้คุณอาจสงสัยว่า แล้ว "เงิน" ที่ใช้จ่ายกันในซูเปอร์มาร์เก็ตล่ะ ไม่ใช่แหล่งแพร่เชื้อโรคหรือ? ดร.เจอร์บา บอกว่า แม้ว่าเงินจะผ่านมาหลายต่อหลายมือแล้วก็ตาม แต่โอกาสที่คุณจะได้รับเชื้อโรคนั้นมีน้อย อย่างเช่นในธนบัตร เชื้อโรคจะติดในรูพรุนของเส้นไฟเบอร์ที่ผลิตมาเป็นธนบัตร และไม่ส่งผ่านมายังมือของคุณได้ง่ายนัก นอกจากนี้ เหรียญที่ทำจากนิกเกิล และทองแดง ยังมีคุณสมบัติต้านทานต่อเชื้อโรคอีก จึงมีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อได้ต่ำ




4.ในห้องน้ำ

          ผู้อำนวยการศูนย์ควบคุมการติดเชื้อ มหาวิทยาลัย ศูนย์การแพทย์พิตส์เบิร์ก บอกว่า ต้องล้างมือให้นานเท่า ๆ กับการร้องเพลง "แฮปปี้เบิร์ดเดย์" มือของเราจึงจะสะอาด ปลอดเชื้อโรคได้จริง ๆ แต่อย่างไรก็ตาม ที่ต้องระวังคือ "ก๊อกน้ำ" ก็ไม่ใช่จุดที่ปลอดเชื้อ

          เพราะการที่มือสัมผัสก๊อกน้ำบ่อย ๆ ทำให้ก๊อกน้ำเป็นจุดที่เปียกชื้น ซึ่งทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตได้ดี โดยจากการศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า สถานที่เปียกชื้นอย่างเช่นที่ก๊อกน้ำในบ้าน เป็นจุดที่ซูเปอร์แบคทีเรียอย่าง MRSA ซึ่งเป็นสาเหตุของอาการผิวหนังติดเชื้ออาศัยอยู่

          นอกจากก๊อกน้ำแล้ว ผ้าขนหนู ผ้าเช็ดหน้าในห้องน้ำ ก็เป็นจุดที่แบคทีเรีย อี.โคไล เจริญเติบโตได้ดีเช่นกัน โดยได้รับเชื้อโรคจากมือของเรา และจากละอองน้ำในยามที่เรากดชักโครก

           แก้ไขซะ : ก่อนจะกดชักโครกทุกครั้ง ควรปิดฝานั่งชักโครกเสียก่อน เพื่อไม่ให้ละอองน้ำสกปรกกระจายสู่อากาศ นอกจากนี้ ยังควรฆ่าเชื้อโรคก๊อกน้ำทุกวัน ส่วนผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้านั้น ก็ควรเปลี่ยนบ่อย ๆ เท่าที่จะทำได้ ส่วนผ้าเช็ดเท้าก็ควรเปลี่ยนทุก ๆ สามวัน

          แล้วแปรงสีฟันล่ะ เป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคหรือเปล่า? "แน่นอน ในแปรงสีฟันเต็มไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย แต่โอกาสที่จะแพร่สู่คนอื่นมีน้อยมาก เพราะต่างคนต่างใช้แปรงสีฟันของตัวเอง โดยมีหลักฐานเพียงเล็กน้อยที่บอกว่า เชื้อโรคบนแปรงสีฟันสามารถทำให้คุณป่วยได้" ดร.อบิเกล ซาลเยอร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ บอก แต่ถึงกระนั้น เก็บแปรงสีฟันในที่ที่แห้งตลอดเวลาจะช่วยป้องกันเชื้อโรคได้เช่นกัน

          Tip : เมื่อคุณใช้ห้องน้ำสาธารณะ ให้เลือกเข้าห้องที่อยู่ด้านในสุด เพราะเป็นห้องที่คนเข้าน้อยกว่าห้องกลาง ๆ จึงเสี่ยงต่อเชื้อโรคได้น้อยกว่า



5.ใต้กระเป๋า และเป้

          เมื่อคุณกลับถึงบ้านและวางกระเป๋าบนพื้น หรือโยนบนเตียง คุณเคยย้อนกลับไปคิดไหมว่า ระหว่างวันนั้น คุณได้วางกระเป๋าไว้ที่ไหนบ้าง ในรถเข็นร้านขายของ บนโต๊ะอาหาร หรือบนพื้น?

          งานนี้ต้องระวังให้ดี เพราะงานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่า แบคทีเรียจำพวก อี.โคไล นั้น ติดอยู่ใต้กระเป๋ามากถึง 18% ดังนั้นแล้ว เราจึงไม่ควรวางกระเป๋าบนพื้นเด็ดขาด รวมทั้งไม่ควรวางกระเป๋าไว้บนพื้นที่ที่คุณจะนำอาหารมานั่งรับประทานด้วยเช่นกัน



6.รีโมตทีวี
 
          แน่นอน ทุก ๆ คน ต้องสัมผัสรีโมตทีวีเพื่อเปลี่ยนช่อง และคงมีน้อยคนนักที่จะทำความสะอาดมันเป็นประจำ ดังนั้นแล้ว เพื่อไม่ให้รีโมตกลายเป็นแหล่งแพร่เชื้อโรคอันร้ายกาจ อย่าลืมใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรค เช็ดทำความสะอาดรีโมตเป็นประจำเสียด้วย


          เห็นไหมว่า ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่เป็นจุดเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่หลายคนไม่เคยคำนึงถึงมาก่อนเลย ถ้าใครพลาดไปแล้ว ก็ยังมีเวลาเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อสุขภาพดีที่รอคุณอยู่นะคะ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 21, 2012, 08:59:11 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #298 เมื่อ: มกราคม 21, 2012, 09:19:41 AM »

อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้


อาหารที่ช่วยลด ความอยากอาหารได้

ถ้าคุณรู้สึกว่า การควบคุมตัวเองไม่ให้หยิบช็อกโกแลต หรือคุกกี้รับประทานนั้นเป็นเรื่องแสนยาก รวมทั้งอาการอยากอาหารไม่หยุดหย่อน การรับประทานอาหารที่จะแนะนำนี้  รองท้องหรือระหว่างมื้อ จะช่วยลดความอยากอาหารได้มากขึ้นค่ะ

ถั่ว




แบบที่มีชื่อว่า Pine nute ช่วยระงับฮอรโมนความอยากอาหาร ที่ชื่อว่า Cholecystokinin (CKK) ดังนั้นจึงแนะนำว่า ให้โรยในสลัด พาสต้าโฮลวีท หรืออาหารที่รับประทานเข้าไป แต่ถ้าหาถั่วชนิดนี้ไม่ได้ ใช้ "อัลมอนด์" แทนได้ เพราะมีปฎิกิริยาขัดขวางการดูดซึงไขมันในร่างกาย ช่วยให้ลดน้ำหนักได้

อาหารร้อน



เช่น ซุป และน้ำชา ด้วยอุณหภูมิที่สูงทำให้ความอยากอาหารลดต่ำลง ดังนั้น ก่อนมื้อหนัก ควรรับประทานซุป หรือน้ำชา ถ้าได้จิบชาเขียวร้อน บอกกันว่า จะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญให้ดียิ่งขึ้นด้วยค่ะ

แอปเปิ้ล



มีไฟเบอร์มากกว่าพืช องุ่น และส้มเสียอีก ซึ่งไฟเบอร์ช่วยทำให้รู้สึกอิ่ม ป้องกันการรับประทานมากจนเกินพอดี เพราะฉะนั้นจึงมีคำแนะนำให้รับประทานแอปเปิ้ลก่อนมื้อค่ำค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #299 เมื่อ: มกราคม 23, 2012, 02:27:10 PM »

ตะคริวกิน




การ เป็นตะคริวไม่มีอันตรายถึงชีวิต เว้นแต่เป็นตะคริวระหว่างว่ายน้ำ หรือขับรถ แต่ทางที่ดีควรรู้จักและรู้วิธีป้องกันไว้เพื่อความปลอดภัย

    นานาสาเหตุของตะคริว

         สาเหตุการเกิดตะคริวยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าเมื่อร่างกายขาดน้ำ หรือออกแรงมากเกินไป ก็มักจะเกิดตะคริว เพราะทำให้เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ส่งผลให้เซลล์ทำงานผิดปกติตามไปด้วย โดยการปรวนแปรของเกลือแร่เกิดขึ้นได้เพราะร่างกายมีปริมาณเกลือแร่น้อยเกิน ไปหรือมากเกินไป ซึ่งเกลือแร่ที่ส่งผลต่อการเป็นตะคริวก็ได้แก่ โซเดียม แมกนีเซียม โพแทสเซียม

รวมถึงยังพบว่า การไม่ขยับเขยื้อนร่างกายเป็นเวลานานๆ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งอยู่กับที่ หรือการนอนอยู่บนเตียง ก็ทำให้เป็นตะคริวได้เช่นกัน

นอกจากนี้โรคบางอย่างก็อาจทำให้เป็นตะคริวได้ เช่น เบาหวาน พาร์กินสัน ไทรอยด์ ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำ โลหิตจาง โรคในระบบต่อมไร้ท่อ และยาบางชนิด ยกตัวอย่างเช่น ยาขับปัสสาวะ ยาลดไขมันในเลือด ยาลดความดันโลหิตบางชนิด เป็นต้น

ตะคริวที่มักพบในผู้สูงอายุ

หลักๆ จะมีด้วยกัน 3 ชนิด ได้แก่

          ตะคริวขา

        ซึ่งเป็นตะคริวที่เกิดขึ้นบ่อยๆ โดยยังไม่รู้สาเหตุแน่ชัด แต่พบว่ากล้ามเนื้อบริเวณลำขามีการหดตัวอย่างแรงและทันที มักเป็นช่วงสั้นๆ คือไม่ถึง 1 นาทีอาการก็หายไป ยกเว้นบางทีที่อาจจะเป็นอยู่หลายนาทีได้เหมือนกัน ตะคริวขามักเกิดระหว่างการออกกำลังกายทั่วๆ ไป ซึ่งผู้ที่มีน้ำหนักมากยิ่งมีโอกาสการเป็นตะคริวขาสูง

         ตะคริวแดด

         มักเกิดกับผู้ที่เสียเหงื่อมากๆ เช่น ผู้ที่อยู่ท่ามกลางอากาศร้อน (มักเป็นในช่วง 2-3 วันแรก สำหรับผู้ที่เริ่มทำงานกลางแจ้ง โดยไม่เคยทำมาก่อน) หรือผู้ที่ออกกำลังกายหนักๆ โดยอาจเกิดขึ้นในระหว่างออกกำลังกาย หรือหลังจากออกกำลังกายเสร็จแล้ว 2-3 ชั่วโมงก็ได้ ตะคริวมักเกิดบริเวณน่อง ต้นขา และไหล่ สามารถป้องกันได้โดยการได้รับเกลือแร่ที่เพียงพอ จากอาหารหรือน้ำดื่มเกลือ แต่ไม่ควรรับประทานเกลืออัดเม็ด เพราะอาจระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและอาจทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน

          ตะคริวกลางคืน

          แน่นอนว่ามักเกิดขึ้นในเวลากลางคืนขณะนอนหลับ โดยมีโอกาสเกิดขึ้นบริเวณหลังเท้าได้ด้วย อาการตะคริวจะกินเวลา 2-3 วินาที แต่บางรายอาจกินเวลานานกว่านั้น เช่น เป็นนานถึง 10 นาที ซึ่งในกรณีนี้จะมีอาการปวดด้วย ส่วนสาเหตุก็ยังไม่ทราบแน่ชัด แต่พบว่าการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป การยืนหรือนั่งนานๆ ภาวะร่างกายขาดน้ำ รวมถึงการวางขาที่ไม่เหมาะสมระหว่างนั่งก็ทำให้เกิดตะคริวขาระหว่างนอนได้ นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน พาร์กินสัน ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ โลหิตจาง ไทรอยด์ โรคเกี่ยวกับระบบต่อมไร้ท่อ ก็อาจทำให้เป็นตะคริวขาตอนกลางคืนได้เช่นกัน แต่พบน้อย โดยอาการจะดีขึ้นหากได้เดินหรือเคลื่อนไหว

    10 วิธีป้องกันตะคริว 

         ผู้สูงอายุสามารถป้องกันตะคริวไม่ให้เกิดขึ้นได้ ดังนี้

1. ดื่มน้ำ 6-8 แก้วทุกวัน เพื่อป้องกันภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งนำไปสู่การเป็นตะคริว

2. ยืด เหยียดขาระหว่างวัน และเวลากลางคืน

3. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพราะตะคริวมักเกิดกับผู้ที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายและผู้ที่ร่างกายอ่อนแอ โดยอาจออกกำลังกายเบาๆ ที่ได้ขยับขาประมาณ 2-3 นาทีก่อนนอน เช่น การปั่นจักรยาน

4. เวลาห่มผ้าอย่าให้ผ้าตึงเกินไป ควรห่มแบบหลวมๆ ไว้ ผ้าห่มจะได้ไม่ไปกดขาและเท้า ซึ่งส่งผลให้เลือดไปเลี้ยงขาไม่สะดวก

5. ระหว่างออกกำลังกายควรดื่มน้ำและเกลือแร่ทดแทนให้เพียงพอ

6. ควรพักผ่อนให้เพียงพอ

7. รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เช่น ปลา เต้าหู้ หรืออาหารที่มีแมกนีเซียม เป็นต้น

8. ฝึกยืดกล้ามเนื้อบ่อยๆ เช่น หากต้องการป้องกันตะคริวที่น่องให้กระดกเท้าขึ้นลง หรือเอาปลายนิ้วมือแตะปลายเท้า

9. หลีกเลี่ยงอากาศเย็น เพราะจะยิ่งทำให้กล้ามเนื้อหดเกร็ง

10. สวมรองเท้าที่เหมาะสมและอาจใส่ถุงเท้าตอนนอนเพื่อป้องกันการเกร็งเท้า

  ทำอย่างไรเมื่อตะคริวมาเยือน
เมื่อเป็นตะคริวแล้ว วิธีปัดเป่าให้ตะคริวหายไปอาจทำได้โดย

1. เดินหรือขยับขา

2. เหยียดขาไปตรงๆ และกระดกเท้าให้ปลายเท้าหันเข้าหาลำตัว ห้ามกระตุกหรือกระชากอย่างรุนแรงและเร็ว เพราะกล้ามเนื้ออาจจะฉีกขาดได้หรือทำให้เจ็บ หรืออาจจะดึงนิ้วเท้าเข้าหาลำตัว (คล้ายการหักนิ้ว) โดยอาจจะทำจนกระทั่งตะคริวหายไป

3. อาบน้ำอุ่น ซึ่งจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัว

ท่าออกกำลังกายคลายตะคริว

        ท่าออกกำลังกายไม้ตายที่จะช่วยบำบัดตะคริวกินขาตอนกลางคืน สามารถทำได้ที่บ้านทุกวัน โดยมีวิธีการ ง่ายๆ ดังนี้

1. เริ่มจากให้ยืนห่างจากฝาผนัง โดยให้ฝ่ามือสามารถแตะผนังได้อย่างสุดแขน

2. ระหว่างที่ยืน เอาฝ่ามือแปะลงบนผนัง จากนั้นค่อยๆ เคลื่อนฝ่ามือทั้งสองข้างไต่ผนังให้สูงขึ้นเรื่อยๆ จนรู้สึกว่าน่องและแขนตึง จากนั้นค้างไว้ 30 วินาที

3. ทำซ้ำประมาณ 2-3 ครั้ง

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: