Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71950 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 15 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
za_jeed478
บุคคลทั่วไป
« ตอบ #300 เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 01:44:08 PM »

ขอบคุณค่ะ
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #301 เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 09:19:26 PM »

ลูกอนุบาล 1 ไม่ยอมอ่านหนังสือ



ลูกอนุบาล 1 ไม่ยอมอ่านหนังสือ (รักลูก)

Q : น้องกำลังเรียนชั้นอนุบาล 1 เวลากลับมาบ้าน น้องไม่ยอมอ่านหนังสือให้ฟังค่ะ ที่บ้านของเราจะมีตารางตัวอักษรติดไว้ พอถามว่าตัวอักษรอะไรบ้าง น้องไม่ยอมอ่านให้ฟัง คุณแม่เลยไม่รู้ว่าลูกอ่านได้หรือเปล่า คุณครูบอกว่าที่โรงเรียนน้องอ่านตัวอักษรได้ปกติ แต่คุณแม่ก็ก็อยากจะให้น้องอ่านให้ฟังบ้าง พอจะมีวิธีแนะนำบ้างไหมคะ เผื่อว่าถ้าลูกมีปัญหาการเรียนตรงไหน เราจะได้ตามทัน

คุณแม่โอ๋ / กรุงเทพฯ

A : ตามปกติแล้ว เด็ก ๆ ที่ไปโรงเรียนในระยะแรก จะต้องใช้ความพยายามในการปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตแบบใหม่ ที่ไม่มีคุณพ่อคุณแม่หรือพี่เลี้ยงคอยช่วยเหมือนอยู่บ้านมีคุณครูที่เขา เพิ่งรู้จัก เป็นคนดูแล มีเด็กวัยเดียวกัน (ที่ไม่คุ้นเคย) เป็นเพื่อนร่วมห้องมากมาย

สภาพ ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากบ้านสู่โรงเรียนนี้ สำหรับเด็กเล็ก ๆ เขาต้องใช้เวลาในการปรับตัว เด็กส่วนใหญ่มีความเครียดจากการไปโรงเรียนในระยะแรกมากน้อยต่างกันไป และแสดงออกต่างกันไป บางคนร้องไห้เวลาไปโรงเรียน บางคนงอแง เอาแต่ใจมาก บางคนทานอาหารน้อยลง บางคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจาที่โรงเรียน และอีกหลายคนมีลักษณะเช่นลูกคุณแม่ คือไม่อยากเล่าหรือพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่โรงเรียน

กรณี เหล่านี้เป็นสภาพปกติทั่วไปที่เด็กจะหายเองได้ตามกาลเวลา แต่ผู้ใหญ่ต้องทำความเข้าใจกับความรู้สึกของเด็กและอย่าเพิ่งกดดัน โดยเฉพาะกับการอ่านหนังสือ ระยะที่ลูกไปโรงเรียนในช่วงแรก ๆ ขอแนะนำคุณแม่ว่า อย่าไปถามอะไรลูกมากมายเกี่ยวกับที่โรงเรียน ถามแค่ไปโรงเรียนสนุกไหม และถ้าลูกพร้อม เขาจะเล่าให้คุณแม่ฟังเอง

เมื่อ ลูกเริ่มพูดคุย เล่าเรื่องที่โรงเรียนอย่างสนุกสนานมากขึ้น คุณแม่ค่อยลองใช้วิธีต่าง ๆ ชวนลูกทำกิจกรรมเหมือนตอนที่ลูกอยู่โรงเรียน การจะขอให้ลูกวัยอนุบาล 1 อ่านหนังสือให้ฟังโดยขอตรง ๆ อาจจะยากหน่อยค่ะ ลูกคงจะเบื่อไม่อยากทำ แต่ขอแนะนำวิธีดังนี้ค่ะ

ชวนเล่นครูกับนักเรียน

สมมติ ให้ลูกเล่นเป็นครู เราเล่นเป็นนักเรียน ให้ลูกเล่นเขียนกระดาน ตรวจการบ้านแบบคุณครูไปสักระยะ ค่อยขอให้ลูกสอนตัวอักษรที่ติดไว้ข้างฝาให้นักเรียนฟัง ถ้าลูกไม่อยากสอน ก็ใช้วิธีชี้ไปที่พยัญชนะ แล้วคุณแม่ลองอ่านผิด ดูว่าลูกจะแก้ไหม เด็กส่วนใหญ่จะรีบบอกว่าไม่ใช่และรีบบอกสิ่งที่ถูกด้วยสัญชาตญาณของเด็ก แต่ครั้งแรก ๆ ที่ลองวิธีนี้อย่าเพิ่งให้ลูกอ่านทุกตัวนะคะ ลูกจะหมดสนุกไป

อ่านหนังสือให้ลูกฟัง

เมื่อ ลูกอยู่ในอารมณ์ที่ผ่อนคลายค่อยชวนลูกให้อ่านตารางตัวอักษรของคุณแม่ด้วยกัน อย่าให้ลูกอ่านเองเลยค่ะ ไม่ว่าลูกจะอ่านได้หรือไม่ได้ การอ่านไปด้วยกัน จะทำให้ลูกได้ทบทวนความรู้อยู่ดี ลูกก็จะไม่ต้องเครียดหากเขาอ่านบางตัวไมได้ เพราะยิ่งถ้าลูกยังทำไม่ได้หรือยังไม่มั่นใจ เขาจะรู้สึกกดดัน จะยิ่งเครียดเกร็ง เพราะกลัวคุณแม่จะคิดว่าเขาไม่เก่ง ครั้งหน้า เขาจะปฏิเสธไม่ยอมอ่านไปเลย

อย่าง ไรก็ดี เด็ก ๆ วัยอนุบาล 1 ยังไม่ใช่วัยที่สนใจหรือมีความถนัดในการเขียนอ่าน เด็กวัยนี้จะยังสนใจการเล่นการสำรวจ สนใจรูป สิ่งที่มีการเคลื่อนไหวหรือเสียงแปลก ๆ หากเราอยากให้ลูกอ่านหนังสือ จะต้องหาวิธีที่เข้ากับวัย และความสนใจของเขา เช่น หาหนังสือหรือสื่อมีเสียงที่สนุกกว่าตารางตัวอักษรอ่านด้วยกัน เล่นเป็นเกมให้ลูกรู้สึกสนุก แข่งขันกัน มีรางวัลหรือคำชมเชยเพื่อสร้างแรงจูงใจ

การ ชวนลูกอ่านหนังสือในระยะนี้ อย่าทำในลักษณะทดสอบลูกว่าทำได้หรือไม่ แต่ทำในลักษณะทำไปด้วยกัน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับลูก อ่านผิดก็ไม่เป็นไร เอาใหม่อ่านถูกก็ชมเชย เพราะสิ่งสำคัญ คือ เราต้องให้ลูกรู้สึกว่าการฝึกของคุณแม่ จะสร้างความรู้สึกที่ดีแก่การเรียนรู้ของลูก เพราะเมื่อไหร่ที่ลูกขาดความมั่นใจและรู้สึกว่าตัวเองไม่เก่ง ลูกจะปฏิเสธการเรียนรู้ไปอย่างน่าเสียดาย

คุณ แม่อย่ากังวลอะไรไปล่วงหน้านะคะ เพราะถึงแม้วัยอนุบาล 1 จะไม่ใช่วัยที่จะสนใจการอ่านเขียน แต่โดยธรรมชาติเด็ก ๆ จะเริ่มสนใจการเรียนหนังสือเมื่อถึงวัย ประมาณ 5 ขวบ (อนุบาล 2 หรือ 3) และลูกจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วมากในวัยนี้ ถ้าเขามีทัศนคติที่ดีต่อการเรียนรู้

ดัง นั้น ความสำคัญของการเรียนรู้ในวัยอนุบาล 1 คือ ทำให้ลูกรู้สึกสนุกกับการเรียนรู้ รู้สึกมีความมั่นใจ มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ต่าง ๆ ให้ลูกได้มีประสบการณ์หลากหลายได้ฟังนิทานเยอะ ๆ เพื่อสะสมคลังศัพท์และสร้างแรงจูงใจในการอ่าน และที่สำคัญให้ลูกรู้จักสังเกตและสนใจสิ่งต่าง ๆ รอบตัว เพื่อกระตุ้นความคิดและความสนใจใฝ่รู้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #302 เมื่อ: มกราคม 24, 2012, 09:22:29 PM »

Do & Don’t เสริมลูกรักเป็นนักอ่าน




Do & Don’t เสริมลูกรักเป็นนักอ่าน (Mother & Care)

ปีใหม่ 2012 มาส่งเสริมให้ลูกเป็นนักอ่านและเตรียมพร้อมด้วยการอ่านหนังสือให้ลูกฟังกัน อีกรอบค่ะ ส่วนจะอ่านอย่างไร และมีวิธีส่งเสริมมากน้อยแค่ไหน เรามีเทคนิคส่งเสริมลูกได้ง่าย ๆ กับ Do & Don’t ค่ะ

Do

อ่าน นิทานให้ลูกฟังตั้งแต่ลืมตาดูโลก เพื่อสร้างความคุ้นเคยของเสียงคุณแม่หรือคุณพ่อ แม้ลูกจะยังเล็กยังไม่รู้ภาษายังไม่เข้าใจความหมาย แต่ลูกก็สามารถฟังได้ เพราะสมองในส่วนของการได้ยินมีการพัฒนาแล้วนั่นเองค่ะ

Don’t

อย่า คิดว่าลูกยังเล็ก ยังไม่รู้ภาษา แล้วรอให้ลูกโตขึ้น เพราะถึงตอนนั้นอาจสายเกินไปสำหรับการจูงใจให้ลูกหันกลับมาอ่าน เพราะลูกอาจสนใจเรื่องอื่น ห่วงเล่น ห่วงสำรวจ หรือทำสิ่งต่าง ๆ จนไม่สนใจเรื่องการอ่านได้

Do

อ่าน ให้ลูกฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ เปล่งเสียงให้ชัดเจน ทำน้ำเสียงให้เร้าใจ อ่านเว้นจังหวะ ให้ฟังดูสนุกสนานเพื่อเรียกความสนใจจากลูก หรือทำเสียงสัตว์ต่าง ๆ หรือเสียงธรรมชาติ ประกอบ เช่น เสียงสุนัข นก ลมพัด น้ำไหล

Don’t

อย่า อ่านด้วยน้ำเสียงระดับเดียวกัน ไม่มีเสียงสูง ๆ ต่ำ ๆ ไม่อ่านให้ลูกฟังด้วยท่าทีเบื่อหน่าย ฝืนอ่าน ไม่สนุก ไม่สดใส ไม่เต็มใจ เพราะลูกสามารถรับรู้ความรู้สึกที่ไม่ดีในเรื่องของการอ่านได้จากน้ำเสียง ของคุณแม่ค่ะ

Do

ขณะ อ่านให้ทำท่าทางประกอบ หรือหาหุ่นนิ้ว หุ่นมือ ตุ๊กตามาทำท่าทางต่าง ๆ ตามนิทานที่อ่านให้ลูกฟัง โดยให้ลูกได้หยิบสัมผัส เพื่อเพิ่มความสนุก ความน่าสนใจ ทั้งยังช่วยให้ลูกได้ขยับร่างกายเคลื่อนไหวตามได้ด้วย

Don’t

อย่า ห้าม อย่ารำคาญ หรือดุว่าลูกเพื่อให้ลูกอยู่เฉย ๆ หรือนิ่งฟังอย่างเดียว แต่ควรปล่อยให้ลูกวุ่นวายอยู่กับการเอื้อมมือ หยิบจับหุ่นนิ้ว หุ่นมือ ตุ๊กตาบ้าง เพราะการเล่นและการอ่านเป็นสิ่งที่แยกไม่ออกสำหรับเด็กวัยเบบี๋ค่ะ

Do

เปิด เพลงหรือดนตรีเบา ๆ จังหวะช้า ๆ คลอไปด้วย หรือเปลี่ยนน้ำเสียงอ่านธรรมดา ๆ ให้เป็นเพลงสนุก ๆ เพื่อช่วยสร้างบรรยากาศที่ผ่อนคลายขณะอ่านช่วยให้ลูกรู้สึกดี มีอารมณ์ที่สงบนิ่ง มีความพร้อมที่จะรับฟังได้มากขึ้น

Don’t

อ่าน นิทานให้ลูกฟังครั้งละ 10 นาทีก็พอแล้ว โดยเฉพาะในช่วงก่อนนอนหรือหลังกินนม ไม่ควรใช้เวลาอ่านให้ลูกฟังมากไปกว่านี้ เพราะจะทำให้ลูกรู้สึกเบื่อ ไม่อยากฟัง ทำให้นิทานกลายเป็นเรื่องที่ไม่สนุกตามมาได้

Do

ขณะ อ่านให้สบสายตาลูก พูดคุยกับลูก หรือโอบกอดลูกไปด้วย ซึ่งช่วยให้ลูกได้รับรู้ว่าการอ่านเป็นสื่อกลางที่สามารถเชื่อมโยงความรัก และความผูกพันถึงกันได้ ทั้งยังทำให้มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีเกิดขึ้นระหว่างกันได้มากด้วย

Don’t

อย่า ละเลยเรื่องการอ่านนิทานให้ลูกฟังก่อนนอน หรือช่วงไหนก็ได้ที่มีโอกาส เพราะยิ่งอ่านให้ลูกฟังมากเท่าใด ไม่เพียงช่วยปลูกฝังนิสัยรักการอ่านให้ลูก แต่ยังเพิ่มความคุ้นเคย ความรักความผูกพันระหว่างกันได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วยค่ะ ดังนั้นช่วงเวลาดี ๆ หานิทานที่เกี่ยวข้องกับวันปีใหม่มาอ่านให้ลูกฟังได้เลยนะคะ
[/size]
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #303 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 08:20:22 AM »

ระวัง! ใช้ไม้จิ้มฟันแคะเศษอาหาร เสี่ยงเหงือกร่น เสียวฟัน



สธ.เผยผลสำรวจประชาชนอายุ 15-60 ปี ทั่วประเทศ ทั้งเขตเมืองและชนบท พบคนไทยมีปัญหาช่องปากอันดับ 1 คือ ฟันผุ รองลงมามีหินปูน และเสียวฟัน ส่วนพฤติกรรมดูแลช่องปากทั่วไปอันดับ 1 คือใช้ไม้จิ้มฟันแคะเศษอาหารร้อยละ 43 รองลงมาคือใช้น้ำยาบ้วนปาก ชี้ผลเสียไม้จิ้มฟัน หากใช้ประจำทำให้เหงือกร่น ฟันยาวผิดปกติซอกฟันโหว่เป็นโพรง เสียวฟัน วีธีการดูแลความสะอาดช่องปากและฟันคือการแปรงฟันหลังอาหารทุกมื้อ

นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่าผลการสำรวจพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากของประชากรไทยอายุ 15-60 ปี ทั้งเขตเมืองและเขตชนบท ใน 12 จังหวัดทั่วประเทศโดยกรมอนามัย ในช่วงเดือนพฤษภาคม 2554 จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 3,391 คน พบว่า ปัญหาทันตสุขภาพของคนไทย 5 อันดับแรก ได้แก่ ฟันผุร้อยละ 29, มีหินปูนร้อยละ 26, เสียวฟันร้อยละ 22, ปวดฟันร้อยละ 19, ฟันเหลืองร้อยละ 17 และฟันตกกระร้อยละ 1 โดยพฤติกรรมในการแปรงฟันของประชาชนส่วนใหญ่ คือ ร้อยละ 98 แปรงฟันตอนเช้า แปรงก่อนนอนร้อยละ 78 ซึ่งจัดว่าอยู่ในเกณฑ์ดี แต่หลังอาหารกลางวันพบว่ามีการแปรงฟันน้อยมากไม่ถึงร้อยละ 10

นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า การแปรงฟัน พบว่าแปรงฟันถูกวิธี คือ ปัดแปรงขึ้น-ลงร้อยละ 56 และการแปรงไม่ถูกวิธีคือถูไปถูมามีร้อยละ 34 ซึ่งจะทำให้คอฟันสึกเร็วขึ้น นอกจากนี้พบพฤติกรรมใช้ไม้จิ้มฟันแคะเศษอาหารมากถึงร้อยละ 43 รองลงมาคือการใช้น้ำยาบ้วนปากร้อยละ17 และใช้ไหมขัดฟันร้อยละ 4 โดยกระทรวงสาธารณสุข จะเร่งรณรงค์ให้ประชาชนหันมาแปรงฟันหลังอาหารกลางวันให้มากขึ้นและการแปรง ฟันให้ถูกวิธี เพื่อป้องกันปัญหาฟันผุ

ด้าน ทพญ.พวงทอง เล็กเฟื่องฟู ทันตแพทย์เชี่ยวชาญ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การดูแลสุขภาพปากและฟันที่ดีที่สุดคือการแปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และหากมีการดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลระหว่างมื้อควรบ้วนน้ำตาม เลือกใช้แปรงสีฟันที่มีขนาดเหมาะสมกับช่องปาก ขนแปรงควรทำจากไนล่อนและนุ่มปานกลาง แปรงฟันอย่างถูกวิธีคือแปรงขึ้นหรือลงไปตามปลายฟัน แต่หากเศษอาหารติดแน่นในซอกฟันโดยเฉพาะในฟันกรามซึ่งแปรงไม่ถึง ต้องใช้เส้นใยขัดซอกฟันร่วมด้วย การเลือกใช้ยาสีฟันควรผสมฟลูออไรด์ไม่เกินร้อยละ 0.11 โดยน้ำหนัก หรือ 1,100 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม (พีพีเอ็ม) ใช้เวลาแปรงฟัน 2 นาทีขึ้นไป เพื่อให้ฟลูออไรด์สัมผัสกับผิวฟันได้อย่างเต็มที่ ส่วนในเด็กเล็กไม่ควรให้บีบยาสีฟันเอง เพราะหากได้รับฟลูออไรด์มากเกินไปจะทำให้ฟันตกกระได้ สำหรับการใช้น้ำยาบ้วนปาก จะช่วยลดกลิ่นปากได้ แต่ไม่สามารถใช้ทดแทนการแปรงฟันได้ เนื่องจากน้ำยาบ้วนปากไม่สามารถขจัดคราบจุลินทรีย์ที่เกิดขึ้นตลอดเวลาและ เกาะติดอยู่ตามผิวฟันและซอกฟันได้

ส่วนการใช้ไม้จิ้มฟันหลัง อาหาร เพื่อกำจัดเศษอาหาร เป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ไม่ควรใช้ไม้จิ้มฟันดัน หรือแคะอย่างรุนแรง หรือเสียบไม้จิ้มฟันทะลุซอกฟันจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง แล้วหมุนหรืองัด เพราะจะทำให้เกิดปัญหาซอกฟันโหว่เป็นโพรง ฟันห่าง เหงือกร่น คอฟันหรือผิวรากฟันสึก หากมีวัสดุอุดฟันอยู่ ก็อาจทำให้ชำรุด และเกิดปัญหาเสียวฟัน ฟันผุ แนะนำให้ใช้ไม้ครูดฟัน ซึ่งมีลักษณะปลายใช้งานแบนเหมือนใบพาย ปลายเรียวแหลมรูปสามเหลี่ยม เพื่อให้แนบตามซอกฟันและเหงือกได้ดี ซี่งสามารถทำไม้ครูดฟันได้เอง โดยนำไม้จิ้มผลไม้ตัดปลายแหลมออก แล้วใช้ค้อนทุบเบาๆที่ปลายไม้ให้แตกเป็นฝอยฟู ให้เส้นใยไม้ไผ่เรียงกันคล้ายกับพู่กันอันเล็กๆ ใช้สำหรับครูดตามความยาวของฟัน เพื่อเขี่ย ปัดเศษอาหารออก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #304 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 08:22:52 AM »

“มองโลกแง่ดี” แนวคิดสำหรับคนสู้โรค


หากครอบครัวของท่านผู้อ่านมีผู้ป่วยเรื้อรัง ต้องใช้เวลาในการรักษาตัวเป็นเวลานาน เช่น หลอดเลือดหัวใจ ความดันโลหิต อย่ามองข้ามข่าวนี้เชียวค่ะ เพราะมีการวิจัยพบว่า การดูแลให้ผู้ป่วยคิดในแง่บวกเอาไว้เสมอนั้น ช่วยให้การรักษาตัวมีความราบรื่นมากยิ่งขึ้น

การวิจัยนี้ได้ทดสอบกับผู้ป่วยโรคเรื้อรังจำนวน 756 ราย และเผยแพร่ในโลกออนไลน์ผ่าน The Archives of Internal Medicine เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา โดยแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จที่เกิดกับผู้ป่วยที่เข้าร่วมการทดสอบคิดในแง่ บวกว่าสามารถช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ดียิ่งขึ้นได้

ทีมวิจัยจากประเทศอังกฤษ นำโดย ดร.แมรี่ ชาร์ลสัน จาก Weill Cornell Medical College ได้ทดลองให้ผู้ป่วยด้วยโรคเรื้อรังต่าง ๆ เช่น ภูมิแพ้ ความดันโลหิตสูง ฯลฯ “คิดในแง่บวก” ทุกครั้งที่ตื่นนอนตอนเช้า เช่น คิดถึงภาพความสวยงามของพระอาทิตย์ขึ้นพ้นขอบฟ้าในตอนเช้า ตลอดจนภาพเด็กเล็กสวมหมวก!

ผลที่ได้ พบว่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบที่ให้คิดในแง่บวก และดึงภาพอดีตเกี่ยวกับความสำเร็จของตนเองมาใช้นั้นมีการออกกำลัง ขยับร่างกายมากกว่าถึง 55 เปอร์เซ็นต์ แถมยังพบว่า ผู้ป่วยที่คิดในแง่บวกนั้น มีการเดินเฉลี่ย 3.4 ไมล์ต่อสัปดาห์

สำหรับผู้ป่วยในกลุ่มความดันโลหิตสูง พบว่า การคิดในแง่บวกทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้สามารถทำตามแผนการรักษาได้มากถึง 42 เปอร์เซ็นต์

ดร.แมรี่ ชาร์ลสัน เผยว่า ผู้ป่วยจะได้รับการกระตุ้นให้คิดถึงเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตที่ทำให้พวกเขารู้สึกดีเมื่อตื่นนอนในตอนเช้าของแต่ละวัน นอกจากนั้น หากผู้ป่วยพบอุปสรรคในแต่ละวัน ก็จะใช้วิธีให้ผู้ป่วยคิดถึงความสำเร็จต่าง ๆ ในชีวิต เช่น วันที่สำเร็จการศึกษา เพื่อให้ภาพความสำเร็จเหล่านั้น “ช่วย” ให้พวกเขาก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้

“แนวทางที่เรียบง่ายนี้จะช่วยให้ผู้ป่วยมีเครื่องมือชั้นดีในการ เติมเต็มคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองว่า พวกเขาจะทำทุกอย่างที่จำเป็นต้องทำเพื่อเรียกให้สุขภาพที่ดีหวนกลับคืนมา ยกตัวอย่างเช่น วันนี้ฝนตก และทำให้ผู้ป่วยเกิดความรู้สึกไม่อยากออกกำลังกาย การคิดในแง่บวกจะช่วยให้ผู้ป่วยก้าวข้ามอุปสรรคทางความคิด และยอมรับการออกกำลังกายได้ แม้อากาศจะไม่เป็นใจ”

“การคิดในแง่บวกมีผลต่อผู้ป่วยอย่างมาก ทำให้ผู้ป่วยสามารถจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ทำให้สุขภาพของตนเองนั้นแข็งแรง ขึ้น” หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวทิ้งท้าย


เรียบเรียงจากเดลิเมล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #305 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 05:56:27 PM »

เสี่ยวโจวเทียน
วิชาที่คืนความเยาว์วัยด้วยพลังภายในตนเอง
เสี่ยวโจวเทียน เขียนเป็นภาษาจีนว่า "小周天"



“เสี่ยวโจวเทียน” ริเริ่มคิดค้นโดยปรมาจารย์ชิวชู่จี (นักพรตคูชูกี ซึ่งปรากฏอยู่ในอมตะนิยายมังกรหยกของกิมย้ง) ผู้ซึ่งจักรพรรดิเจ็งกิสข่านยกย่องว่าเป็นดั่ง “เทวดา” ท่านได้ตั้งสำนักชื่อ “หลงเหมิน” และถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ลูกศิษย์เท่านั้น จนได้รับการขนานนามว่าเป็น “วิชาลับเฉพาะตลอดกาล” จวบจนลูกศิษย์รุ่นที่สิบสาม นาม อู๋อิงจาว ได้ถ่ายทอดเคล็ดลับวิชานี้ให้แก่ อาจารย์หยาง ศาสตร์ลึกลับนี้จึงเริ่มแพร่หลาย โดยมีการถ่ายทอดให้แก่ลูกศิษย์ ไม่น้อยกว่า 200 คน
                “วิชาลับเสี่ยวโจวเทียน” เป็นการนั่งสมาธิชั้นสูงแบบลัทธิเต๋า เพื่อเพิ่ม “หยวนชี่” หรือ “พลังชีวิต” ให้แก่ตนเอง โดยมีจุดมุ่งหมาย “ฝึกสารจำเป็นให้เปลี่ยนเป็นพลังชี่ ฝึกชี่ให้เปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณ ฝึกจิตวิญญาณคืนสู่ความว่าง ฝึกความว่างเข้าสู่วิถี (นิพพาน) ผลคือ มีอายุยืนยาวโดยไม่แก่ชรา”
เสี่ยวโจวเทียน แปลว่าจักรวาลน้อย เป็นวิชาลับที่มีต้นกำเนิดมากว่า 900 ปี เป็นการโคจรพลังลมปราณให้เส้นเยิ่นม่ายและตู๋ม่ายเชื่อมโยงกัน (ทะลุผ่านเสี่ยวโจวเทียน) เหมือนตอนที่อยู่ในครรภ์มารดา ซึ่งเราหายใจผ่านทางท้องน้อย หรือผ่านทางสะดือ เมื่อเราคลอดออกจากครรภ์มารดาจะมีเสียงร้องไห้ ลิ้นของเราก็จะแยกออกจากเพดาน ทำให้เส้นเยิ่นม่ายและตู๋ม่ายไม่เชื่อมกัน พลังที่วิ่งเป็นวงโคจรถูกตัดขาด การที่เราฝึกเสี่ยวโจวเทียนก็เพื่อทำให้เส้นทั้งสองนี้เชื่อมกัน และเมื่อฝึกจนถึงขั้น “กำเนิดพลัง” เกิดขึ้น 100 วัน (100 ครั้ง) จะรู้สึกว่าอายุย้อนเยาว์วัยได้ถึง 8 ปี
 
                การฝึกเสี่ยวโจวเทียนจะส่งผลให้ร่างกายของเราคืนความหนุ่มสาว ไม่แก่ หรือแก่ช้า สุขภาพจะกลับคืนความแข็งแรง และบำบัดโรคทั้งหลายที่เป็นอยู่
หยวนชี่ของมนุษย์จะค่อย ๆ เพิ่มขึ้นตั้งแต่แรกเกิด จนถึงอายุ 16 ปี พลังชีวิตหรือหยวนชี่จะเต็มเปี่ยม หลังจากอายุ 16 ปี เป็นต้นไป หยวนชี่จะค่อย ๆ ลดลง จะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับวิถีการดำเนินชีวิตของแต่ละบุคคล เมื่อพลังชีวิตถูกใช้หมด ชีวิตก็จะถึงจุดจบ คนที่รู้จักวิธีรักษาสุขภาพ ใช้ชีวิตอย่างถูกต้อง พลังหยวนชี่ถูกใช้อย่างสมดุล จึงมีอายุถึง 90 หรือ 100 ปี ในทางกลับกัน บางคนไม่รักษาสุขภาพ เที่ยวกลางคืน ดื่มเหล้า ใช้ชีวิตอย่างไม่มีขอบเขต การใช้พลังหยวนชี่ก็จะมากกว่าผู้อื่น หยวนชี่จึงหมดเร็ว อายุก็ไม่ยืนยาว

การออกกำลังกายและฝึกชี่กงแบบทั่วไป อาจทำให้ร่างกายแข็งแรง แต่ก็เป็นเพียงการทำให้หยวนชี่หมดช้าลง ไม่สามารถเพิ่มพลังหยวนชี่ เพื่อคืนความเป็นหนุ่มสาวกลับมาได้ นอกจากวิธีเดียวคือการฝึกวิชา “เสี่ยวโจวเทียน”



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #306 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 08:12:32 PM »


อาหารต้านเพลีย  



บำบัดอาการเพลียด้วย “สารอาหารธรรมชาติ” ช่วยบำรุงกำลัง คืนจิตสดใส กายกระปรี้กระเปร่า

“อ่อนเพลีย” เป็นหนึ่งในอาการยอดฮิตของหลาย ๆ คน ไม่เพียงเกิดจากพักผ่อนไม่เพียงพอ ตรากตรำเรียน-ทำงานหนัก เครียด หรือ กังวลเท่านั้น เมื่อใดที่ร่างกายอยู่ในภาวะพร่อง “สารอาหารบางจำพวก” ก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รู้สึก “เหนื่อยล้า” ได้เช่นกัน



สารอาหารแรกคือ “ธาตุเหล็ก” พบมากในเนื้อสัตว์ ทั้งหมู ไก่ กุ้ง หอย ปลา ไข่ ตับ และจากพืช จำพวกผักกาดหอม ฟักทอง ต้นหอม มะเขือพวง ใบขี้เหล็ก มันเทศ เผือก ลูกพรุน ถั่ว ลูกเดือย งา มีความสำคัญในการสร้างเม็ดเลือด เมื่อร่างกายขาดจะทำให้โลหิตจาง อ่อนเพลีย สมาธิสั้น การเรียนรู้ลดลง เลือดนำออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อในร่างกาย และสมองได้น้อยลง



ถัดมาเป็น “แมกนีเซียม” จากเนื้อสัตว์ อาหารทะเล ผักใบเขียว อัลมอนด์ มีความสำคัญต่อการทำงานของกล้ามเนื้อระบบประสาท สมอง และช่วยการทำงานของทริปโตเฟน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนจำเป็นในการเสริมสร้างสารเมลาโตนิน หรือ สารสื่อประสาท ฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับการนอนหลับ วิตกกังวลน้อยลง เมื่อร่างกายขาดจะทำให้เกิดความรู้สึกกล้ามเนื้ออ่อนแรงได้



นอกจากนั้น ยังรวมถึง “วิตามินซี” ซึ่งมีมากในผักตระกูลกะหล่ำ อย่างกะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บรอกโคลี โดยขณะประกอบอาหารไม่ควรต้ม หรือ ผัดนานเกินไป เนื่องจากความร้อนจะทำลายวิตามินซีได้ง่าย นอกจากนั้น ยังพบในมะเขือเทศ ส้ม ฝรั่ง มะละกอ กล้วย สับปะรด ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ เมื่อร่างกายขาดจะมีอาการอ่อนเพลีย ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายลดต่ำลง ทำให้ติดเชื้อไวรัส และแบคทีเรียได้ง่าย



สารอาหารข้างต้นถือเป็นยาชูกำลังชั้นดี รับประทานประจำในปริมาณพอเหมาะ นอกจากจะอิ่มท้อง ยังได้คุณค่าทางโภชนาการด้วย
.

 
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #307 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 08:20:53 PM »

อานิสงส์10 ข้อของการไม่กินเนื้อสัตว์




 
 

1.เป็นที่รักของบรรดาเทพ พรหม ตลอดจนมนุษย์และสัตว์ทั้งหลาย

2.จิตอันเป็นมหาเมตตาย่อมบังเกิดขึ้น

3.สามารถตัดขาดความอาฆาต ดับอารมณ์มโหดเครียดแค้นในใจลงได้

4.ปราศจากโรคภัยร้ายแรงมาเบียดเบียนร่างกาย

5.มีอายุมั่นขวัญยืน

6.ได้รับการปกป้องคุ้มครองจากเทพทั้งปวง

7.ยามหลับนิมิตเห็นแต่สิ่งที่ดีงามเป็นสิริมงคล

8.ย่อมระงับการจองเวร สลายความอาฆาตแค้นซึ่งกันและกัน

9.สามารถดำรงอยู่ในกระแสพระนิพพาน ไม่พลัดหลงตกลงสูอบายภูมิ

10.ทันทีที่ละสังขารจากโลกนี้ จิตจะมุ่งสู่สุคติภพ

เหตุผลดีๆ ที่ไม่ควรกินเนื้อสัตว์

1. ได้รับสารพิษ เนื้อสัตว์ทั้งหลายในปัจจุบันมีการเติมสารเคมีนานาชนิดเพื่อให้เนื้อนุ่ม อร่อยและเก็บได้นาน ผลคือพิษร้ายที่เรากินเข้าไปจะมีการสะสมมากขึ้น เพราะปกติร่างกายต้องใช้เวลา 3-5 วัน กว่าที่เนื้อสัตว์จะถูกขับถ่ายออกมา ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคเส้นเลือดหัวใจตีบตัน โรคตับ โรคลำไส้ โรคเกาต์ ฯลฯ

2. กินมากอ้วนมาก เนื่องจากไขมันที่มีมากในเนื้อ โดยความอ้วนเกิดจากโปรตีนที่มากมายที่ร่างกายไม่ได้ใช้ จึงเปลี่ยนเป็นไขมันเก็บไว้ โทษของไขมันสัตว์ที่มีมากเกินไปจะทำให้เส้นเลือดอุดตัน เส้นเลือดแข็งกระด้างตามมาด้วยโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ

3. ข้อเสื่อม เนื้อสัตว์มีฟอสฟอรัสมากจะไปกระตุ้นต่อมพาราธัยรอยด์ให้หลั่งฮอร์โมนออกมา ฮอร์โมนนี้จะละลายแคลเซียมออกจากกระดูกทั่วร่างกายมาอยู่ในกระแสเลือด แล้วไปจับตัวในที่ที่มีการเคลื่อนไหวให้สึกหรอ ได้แก่ ตามข้อต่างๆ เกิดเป็นโรคข้อกระดูกเสื่อม

4. ก้าวร้าวรุนแรง คล้ายๆ กับข้อ 1 แต่จะส่งผลถึงจิตใจ เพราะเนื้อสัตว์ที่ถูกฆ่าตาย เต็มไปด้วยเลือดที่เป็นพิษและสารพิษอื่นๆ มากมาย โดยเฉพาะกรดในเนื้อมีฤทธิ์กระตุ้นสมอง กระตุ้นหัวใจ และอารมณ์ให้มีความรุนแรง และก้าวร้าวมากขึ้น

5. โรคจากสัตว์ เราไม่มีทางรู้เลยว่าสัตว์บางตัวตายเพราะโรคอะไร มีคำกล่าวที่ว่ากินอะไรก็จะได้แบบนั้น เรากินเนื้อสัตว์ที่มีเชื้อโรค เราก็ย่อมได้รับเชื้อโรคนั้นแน่นอน

6. มีใจเมตตา ถ้าเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์ แล้วจะทำให้จิตเรามีเมตตา จิตใจผ่องใส เนื่องจากเราไม่ได้เบียดเบียนผู้ใดจิตใจจึงสงบ และมีความสุข

7. ผิวพรรณสดใส เมื่อเราลด ละ เลิก เนื้อสัตว์แล้วหันมากินอาหารจำพวกผัก ผลไม้เป็นหลักจะทำให้ร่างกายเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล เพราะเกิดการขับพิษของเสียต่างๆ ออกจากร่างกาย ระบบไหลเวียนโลหิต ระบบย่อยอาหาร ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพทำให้เราสุขภาพดี

8. ละกรรม ตามหลักคำสอนของศาสนาการกินซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็น ของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ไดเป็นผู้ลงมือฆ่าเอง แต่กรรมที่สร้างนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้า ทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลง และยังเป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ

9. สมองไบท์ เมื่อร่างกายสดใส ระบบอวัยวะต่างๆ ทำงานได้อย่างปกติ แน่นอนว่าย่อมส่งผลถึงสมองอย่างไม่ต้องสงสัย นอกจากนี้ หากทานผักผลไม้เป็นประจำจะช่วยเพิ่มความสดชื่น ถ่ายถอนความเหนื่อยล้าของสมอง เมื่อประกอบกับการออกกำลังกาย หายใจเอาอาการบริสุทธิ์ นอนหลับอย่างเพียงพอ จะทำให้สุขภาพดีขึ้น สมองไบท์ขึ้น

10. ร่างกายต้านสารพิษ การไม่กินเนื้อสัตว์แล้วหันมากินพืชผักผลไม้ จะช่วยให้ร่างกายสามารถต้านทางต่อสารพิษต่างๆ มากกว่าคนปกติ ที่สำคัญคือแก่ช้า เนื่องจากในผัก ผลไม้มีพฤกษเคมีนานาชนิด มีสารต้านอนุมูลอิสระที่ส่งเสริมการทำงานของร่างกาย รวมทั้งเสริมสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

เป็น 10 เหตุผลดีๆ ที่น่าจะทำให้คุณลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลงได้


 
 

ขอบคุณ dhammajak.net
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #308 เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 03:38:55 PM »

5 สุดยอดของว่าง อาหารหัวใจ




5 สุดยอดของว่างอาหารหัวใจ

กินไม่เลือกระวังจะสร้างไขมันมาอุดหัวใจ ไปดูกันดีกว่าว่าของว่างอร่อย ๆ ช่วยบำรุงหัวใจมีอะไรบ้าง



แอปเปิ้ล

เป็นความจริงที่ว่าการกินแอปเปิ้ลวันละผลจะช่วยให้คุณห่างไกลจากโรงพยาบาล ในการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แอปเปิ้ลเป็นอันดับสองของผลไม้ที่มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด (รองลงมาจากแครนเบอร์รี่) และยังมีใยอาหารชื่อเพคติน ควรทำปฏิกริยากับไฟโตนิวเทรียนท์อื่น ๆ โดย สารต้านอนุมูลอิสรนะชื่อ Quercetin พบในแอปเปิ้ลจะช่วยป้องกันอนุมูลอิสระที่เป็นบ่อเกิดของโรคหลอดเลือดหัวใจ และภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัว ในขณะที่เพคตินช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล “เลว” แอปเปิ้ลยังมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบอีกด้วย

 Tip: แอปเปิ้ลทุกชนิดดีต่อหัวใจของคุณ แต่แอปเปิ้ลแดงจะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด





บลูเบอร์รี่

เบอร์รี่ชนิดนี้เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (โดยเฉพาะแมงกานีส วิตามินซีและอี) ซึ่งให้การป้องกันในระดับเซลล์เลยทีเดียว นอกจากการช่วยลดคอเลสเตอรอล “เลว” พร้อมกับการเพิ่มคอเลสเตอรอล “ดี” แล้ว ไฟโตนิวเทรียนท์ยังจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดไขมันอุดตันในหลอดเลือดหัวใจ แถมยังช่วยควบคุมระดับความดันโลหิตให้ปกติอีกด้วย

 Tip: บลูเบอร์ รี่ที่ปลูกแบบออร์แกนิกมีสารต้านอนุมูลอิสระสูงสุด หากเป็นไปได้กินทุกวันก็ยิ่งดี ส่วนบลูเบอร์รี่แช่แข็งนั้นมีสารต้านอนุมูลอิสระน้อยลงมา




ดาร์กช็อกโกแลต

การศึกษาตีพิมพ์ในวารสาร British Medical Journal ชี้ว่า มีอาหารเจ็ดกลุ่มที่จะช่วยลดการเกิดโรคหัวใจได้ถึงร้อยละ 75 และหนึ่งในนั้นก็คือดาร์กช็อกโกแลต ซึ่งมีปริมาณโกโก้อยู่สูง โกโก้มีสารจำพวกฟลาวานอยด์ที่ช่วยป้องกันการอุดตันของเส้นเลือดแดงได้ จึงช่วยลดโอกาสเกิดหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก นอกจากนี้ ยังมีรายงานว่าดาร์กช็อกโกแลตช่วยลดความดันโลหิตได้อีกด้วย

 Tip: กินแค่น้อย ๆ ประมาณไม่เกิน 2 ตารางนิ้วต่อครั้ง และเลือกที่มีปริมาณโกโก้เกิน 70%




องุ่น

องุ่นมีสารอาหารปกป้องหัวใจมากมาย ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี บี6 โพแทสเซียม และฟลาวานอยด์ สารอาหารเหล่านี้รวมกันจะช่วยควบคุมความดันโลหิตให้เป็นปกติ ลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยในการสูบฉีดเลือด โดยเฉพาะวิตามินบี6 ซึ่งมีคุณสมบัติต้านอาการอักเสบ ลดโอกาสเกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็งตัวและความดันโลหิต

 Tip: ไม่ว่าจะองุ่นสดหรือองุ่นแช่แข็งก็มีสารอาหารเต็มเปี่ยมเหมือนกัน ถ้าเป็นไปได้กินเมล็ดด้วยนะ




ขอขอบคุณ
(Lisa)
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #309 เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 03:48:36 PM »

‘ตัวเล็ก ๆ’แต่ก็ร้าย!! ‘สัตว์มรณะ’ เมืองไทยภัย‘มีเพียบ’ 



กระแสข่าว “แมงมุมมรณะ” ครึกโครมขึ้นมา หลังจากเกิดเหตุชายวัย 30 คนหนึ่ง ’เสียชีวิต“ อย่างปริศนา โดยผู้เป็นภรรยาบอกว่าสามีของตนถูกแมงมุมสีดำกัดที่ด้านหลังหัวไหล่ก่อนจะเสียชีวิต ทั้ง ๆ ที่มีการไปพบแพทย์แล้ว โดยแพทย์ระบุเบื้องต้นว่าเสียชีวิตจากการถูกพิษเฉียบพลันจากการถูกสัตว์ไม่ทราบชนิดกัด เรื่องนี้ไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นเช่นไรแน่ จะเพราะแมงมุมพิษ แมงมุมแม่ม่ายดำ หรือตัวบึ้ง แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล จะเพราะตัวต่อ หรือผึ้ง ตามที่มีการวิเคราะห์รอยแผล หรือจะเพราะสาเหตุอื่นใด จะอย่างไรนี่ก็ถือเป็นเรื่องร้าย

และน่าจะมีการใช้กระแสช่วงนี้เป็นอุทาหรณ์

ว่า ’สัตว์ตัวเล็ก ๆ ก็อาจทำให้ถึงตายได้!!!!!“

ทั้งนี้ ว่ากันถึง ’ภัยจากสัตว์ตัวเล็ก ๆ“ เช่นพวกแมง แมลง หรืออื่น ๆ ว่ากันในภาพรวมไม่ได้เฉพาะเจาะจงหรือชี้ไปที่กรณีใด ๆ และยังไม่ต้องพูดถึงสัตว์จากต่างประเทศที่อาจมีการลักลอบนำเข้ามาเลี้ยง-มาขายในเมืองไทย ว่ากันเฉพาะสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีอยู่แต่เดิมในเมืองไทย...ที่ ’มีพิษ-มีภัย“ ก็เพียบอยู่แล้ว!! และที่ผ่านมาเจ้าสัตว์ตัวเล็ก ๆ ที่มีพิษมีภัยนี้ก็ทำให้คนไทย ’บาดเจ็บ-ปางตาย-ตาย“ กันแล้วมิใช่น้อย ๆ เลย!!

ประมวลจากที่ “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยนำเสนอไว้ เกี่ยวกับพิษภัยจากสัตว์ที่ตัวไม่ใหญ่ ว่ากันเฉพาะพิษจากการต่อยด้วยเหล็กใน การปล่อยพิษจากการกัด (ไม่รวมงู) การหลั่งน้ำพิษจากลำตัว ก็อาจแบ่งได้ 3 กลุ่ม

กลุ่มแรก เช่น ผึ้ง ผึ้งเลี้ยง ผึ้งหลวง ต่อหัวเสือ แตน หมาร่า มดคันไฟ มดตะนอย ฯลฯ ซึ่งลักษณะพิษมีหลายแบบ แยกได้เป็น2 ลักษณะคือ อาการพิษเฉพาะที่ เช่น ปวด บวม แดง ร้อน เป็นผื่นแพ้ ลมพิษ เกิดรอยไหม้ กรณีที่ถูกต่อยใกล้คอ จมูก ตา อาจมีอาการมากกว่าปกติ และพิษเข้ากระแสโลหิต ทำให้เกิดอาการทั่วร่างกาย เช่น คัน ลมพิษ หลอดเลือดบวม หายใจขัด เป็นลม ความดันโลหิตต่ำ ปวดท้อง

บางกรณีอาการอาจรุนแรงถึงขั้น ’ช็อก“ ’เสียชีวิต“

กลุ่มที่สอง เช่น หนอนบุ้ง หนอนร่าน หนอนบุ้งเป็นตัวอ่อนของผีเสื้อ หลายชนิดมีขนพิษ-สารพิษบริเวณลำตัว ที่พบบ่อยในไทยก็เช่นหนอนผีเสื้อกลางคืน เมื่อสัมผัสถูกขนพิษของหนอนบุ้งจะทำให้เกิดอาการ แสบร้อน เกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนัง จากนั้นจะ บวม ชา เป็นผื่นลมพิษ พิษจะกระจายไปบริเวณข้างเคียง ทำให้เกิดการ อักเสบ บวม เช่นที่ต่อมน้ำเหลือง อาจมีอาการ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน ช็อก ’เป็นอัมพาต“

กรณีที่ขนพิษเข้าไปในลูกตาอาจทำให้ ’ตาบอด“ ได้

กลุ่มที่สาม พวก ด้วง เช่น ด้วงน้ำมัน หรือชื่อพื้นบ้าน ด้วงโสน-ด้วงไฟเดือน จะมีสารพิษ เมื่อสัมผัสจะเกิด ผื่นคันพุพอง ใน 2-3 ชั่วโมง ถ้ากินสารพิษนี้เข้าไปจะ คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย และอาจถึง ’ตาย“ ได้, ด้วงก้นกระดก หรือด้วงก้นงอน มีสารพิษที่ถูกผิวหนังแล้วจะ แสบคัน เป็นตุ่มน้ำใส และเกิดแผลเป็น นอกจากนี้ยังมี แมลงตด ที่ปล่อยสารออกไซด์ของไนโตรเจน เมื่อถูกผิวหนังจะ ไหม้พองเหมือนถูกกรด

จาก 3 กลุ่มที่ว่ามา ขยายความในส่วนของ ต่อ และ แตน มันจะมี ’เหล็กใน“ คล้าย ’เข็มฉีดยาพิษ“ อยู่ที่ส่วนปลายลำตัว ต่อหนึ่งตัวสามารถจะต่อยปล่อยพิษได้หลายครั้งโดยตัวเองไม่ตาย ซึ่งในเมืองไทยมีต่อหลายชนิดซึ่งมักจะเรียกชื่อตามลักษณะการทำรัง ที่อยู่อาศัย พฤติกรรม เช่น ต่อหัวเสือ ต่อป่า ต่อหลวง ต่อรัง ต่อหลุม ต่อนอนวัน ส่วนแตนก็มี อาทิ แตนบัว แตนฝักบัว แตนลิ้นหมา แตนกล้า แตนลาน

ที่ผ่านมานั้น ’ต่อหัวเสือ“ นั้นดูจะขึ้นชื่อมากเรื่องเป็นสัตว์ตัวเล็ก ๆ แต่ก็เป็น ’สัตว์มรณะ“ ที่ทำคนตายไปแล้วไม่น้อย

โดยอาการจากการถูกต่อต่อยจะขึ้นอยู่กับชนิดของต่อ ปริมาณน้ำพิษ จำนวนต่อที่ต่อย จำนวนการถูกต่อย รวมถึงปฏิกิริยาแพ้พิษ-ไม่แพ้พิษ ผู้ที่ไม่แพ้พิษมากเมื่อถูกต่อต่อยก็อาจจะแค่รู้สึกเจ็บและบวม ไม่นานก็จะหายเองได้ ถ้าในรายที่แพ้พิษปานกลางก็จะปวดมากหน่อยตรงบริเวณที่ถูกต่อย และอาจมีอาการหน้ามืด เป็นลม บางกรณีจะมีเหงื่อออกมาก ตัวสั่น หาวบ่อย มีลมพิษขึ้นทั่วตัว คัน เจ็บ และอาจมีไข้

ถ้าใครแพ้พิษต่ออย่างรุนแรง  เมื่อถูกต่อต่อยจะหายใจลำบาก ร่างกายเขียวคล้ำ ความดันโลหิตต่ำ จนทำให้ช็อกหมดสติ ทำให้การไหลเวียนของโลหิตล้มเหลว และอาจจะ ’เสียชีวิต“ ได้!!

ทั้งนี้ นอกจากสัตว์เล็กที่มีพิษมีภัยดังที่ยกตัวอย่างมาข้างต้นแล้ว กับสัตว์ตัวเล็กที่ดูคล้ายเครื่องจักรกลอย่าง “แมงป่อง” และสัตว์ตัวเล็ก ๆ ยาว ๆ ขาเยอะ ๆ อย่าง “ตะขาบ” นี่ก็ต้องกลัว ซึ่งมิใช่ต้องกลัวแค่การปวดสาหัสเมื่อถูกมันกัด และบางรายที่แพ้พิษมากหากไม่ได้รับการช่วยเหลือจากแพทย์อย่างทันท่วงทีอาจถึงตายได้ แต่ยังต้องกลัว “ไวรัส” ด้วย ซึ่งย้อนไปช่วงสงกรานต์ปี 2551 ชายชาว จ.สระแก้วคนหนึ่งต้องเสียชีวิตเพราะ “ไวรัสขึ้นสมอง” หลังจาก “ถูกตะขาบกัดอัณฑะ” ซึ่งนี่ก็ฉายภาพอันตรายของสัตว์ตัวเล็ก ๆ อีกรูปแบบ

“แมงมุมมรณะ” ในไทยมีหรือไม่มี...นั่นก็ว่ากันไป

แต่กับ ’สัตว์มรณะ“ ที่เป็นสัตว์เล็ก ๆ นั้น...มีแน่

รู้เท่าทันและกลัวกันไว้บ้าง...ดีกว่าตายไม่รู้ตัว!!!.

 
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #310 เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 12:48:42 PM »

เหงื่อ ความลับสุขภาพดี ที่คุณยังไม่รู้


โดยทั่วไปแล้ว เราเคยสังเกตกันไหมว่า ความร้อน และ เหงื่อ มักจะมาคู่กันเสมอ ไม่ว่าจะเป็นยามอากาศร้อนอบอ้าว หรือร้อนธรรมดาๆ หรือขณะที่เรากำลังใช้แรงงานกล้ามเนื้ออย่างหนัก หรือแม้แต่อาการตื่นเต้นหวาดกลัวจนเส้นประสาทถูกกระตุ้นมาก ๆ มักจะเห็นเหงื่อผุดพราวขึ้นตามรูขุมขน ซึ่งแท้ที่จริงแล้ว คือทางออกที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมาช่วยเพื่อบรรเทาความร้อน และสร้างความเย็นขึ้นมาทดแทนของร่างกายเรานั่นเอง เพื่อเป็นการปรับสมดุลให้ร่างกายของเราเข้าสู่สภาวะปกติ และที่เรารู้สึกถึงความเย็นได้ ก็เพราะในเหงื่อนั้นประกอบด้วยน้ำเป็นหลัก และแร่ธาตุรองลงมาก็คือคอลไรด์และโพแทสเซียม หรือเกลือ เราจึงรู้ว่า เหงื่อ มีรสเค็ม

ไปทำความรู้จักกับหยาดน้ำเค็ม ๆ ที่พรั่งพรูออกมาจากร่างกายเราว่าคืออะไรและมาจากไหนกันเถอะ

เหงื่อ และกลิ่นของเหงื่อ

         เหงื่อออก เป็นหนึ่งในกลไกตอบโต้ทางธรรมชาติของร่างกายสิ่งมีชีวิตหลายชนิด และกับมนุษย์อย่างเราๆ ที่หลายๆ คนคงอยากให้เกิดน้อยที่สุด เนื่องจากผลที่ตามมาคือ นอกจากจะทำให้เหนียวเหนอะหนะไม่สบายตัวแล้ว กลิ่น ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าอภิรมย์สักเท่าไร แถมเหงื่อของบางคนยังมีกลิ่นแรงเป็นพิเศษเสียด้วย ชนิดที่ทำให้คนรอบตัวที่ไม่คุ้นเคยต้องรีบอุดจมูกแล้วเดินหนี เป็นที่น่ารังเกียจเสียด้วยซ้ำ

ความจริงแล้วเหงื่อของคนเรานั้นไม่มีกลิ่นเลย แต่ที่เราได้กลิ่นนั้น คือเหงื่อนั้น เมื่อผสมกันเข้ากับแบคทีเรียบนผิวหนังเส้นขน รวมทั้งกรดไขมันจากอาหารที่กินเข้าไปนั่นแหละ ทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมาได้

        ทั้งนี้ ต่อมเหงื่อ นั้นมีสองประเภท หากเป็นเหงื่อที่ออกทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณหน้าผาก ฝ่ามือ และฝ่าเท้านั้นจะมาจากต่อมที่เรียกว่า Eccrine ซึ่งเริ่มผลิตเหงื่อตั้งแต่เรายังเป็นเด็กแรกเกิดกันเลยทีเดียว จึงมักไม่ค่อยมีกลิ่นรุนแรงเท่าเหงื่อที่มาจากต่อม Apocrine ที่อยู่ตรงบริเวณรักแร้และซอกขาใกล้ทวารหนักและอวัยวะเพศ ซึ่งจะเริ่มทำงานเมื่อย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ และหากส่องดูกันอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้ว่า มีทั้งกรดไขมันและโปรตีนผสมอยู่ ซึ่งทำให้เหงื่อที่ออกมาเป็นสีเหลืองขุ่นเล็กน้อย และมักเห็นเป็นคราบบนเสื้อผ้าได้ง่าย นี่เองจึงเป็นสาเหตุว่า ทำไมบรรดาผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อและกลิ่นกายต่าง ๆ จึงได้พุ่งเป้าหมายการกำจัดกลิ่นไปที่บริเวณรักแร้กันเป็นพิเศษ นอกจากนี้ ต่อมเหงื่อ ยังมีแทรกอยู่ตามบริเวณรูขุมขน ทั้งบนหนังศรีษะ และตามร่างกายทั่วไปอีกด้วย (พูดได้ว่า ที่ไหนมีขนมาก ที่นั่นมักมีต่อมเหงื่ออยู่มาก) เนื่องจากเหงื่อเป็นของเหลวและมีโพแทสเซียม หากเกิดการเสียดสีอย่างรุนแรงบ่อยๆ จะเกิดการทำลายของชั้นผิวหนัง ขนจึงเป็นทางออกสุดท้ายในการลดแรงเสียดสีดังกล่าว แต่แฟชั่นส่วนใหญ่ของคุณผู้หญิง หากมีการปล่อยขนบริเวณรักแร้ให้เห็น คงดูไม่ดีแน่ๆ

เหงื่อที่ผิดปกติ

          บางคนมีเหงื่อออกมากเกินไปจนเป็นที่น่ารำคาญทั้งผู้เป็นและผู้ใกล้เคียง และทำให้เจ้าตัวเกิดความอับอายอยู่บ่อย ๆ โดยเฉพาะเหงื่อตามฝ่ามือและซอกรักแร้ที่เปียกโชกเป็นวงทั้งวัน สาเหตุนั้นทางการแพทย์เองก็ยังไม่อาจระบุได้อย่างชัดเจนว่ามาจากสาเหตุใด แต่อาจมีที่มาดังต่อไปนี้ และสามารถรักษาได้ด้วยการกินยาหรือการผ่าตัด

                -ความไม่สมดุลของฮอร์โมน เช่น อาการเมโนพอส (Menopause) ในช่วงวัยทอง
                -ต่อมไทรอยด์ทำงานผิดปกติซึ่งทำให้ร่างกายผลิตความร้อนได้สูง
                -ยาที่ใช้บางประเภท
                -อาหารที่มีกาเฟอีนสูง
                -ระบบประสาททำงานหนักจนเกินไป

          รู้ไหมว่า...

              -คนเรามีต่อมเหงื่อกระจายอยู่ทั่วร่างกายถึงประมาณคนละ 2.6 ล้านต่อม
               -เหงื่อที่ออกตรงฝ่ามือและรักแร้นั้นไม่เหมือนกัน และให้กลิ่นแตกต่างกันด้วย
               -หากสังเกตให้ดี แท้จริงแล้วเรามีเหงื่อออกอยู่ตลอดเวลา แม้ในอากาศเย็น
               -หากอากาศร้อนมาก ๆ คนเราอาจเสียเหงื่อได้มากถึงชั่วโมงละ 1 ลิตร ร่างกายจึงต้องการน้ำและเกลือแร่ชดเชย
               -เหงื่อมีรสเค็มเนื่องจากมีแร่ธาตุสำคัญคือ โซเดียมและโพแทสเซียม
               -หากเหงื่อออกมากแล้วไม่รีบดื่มน้ำเข้าไปทดแทน อาจทำให้เป็นลม เกิดปัญหาในระบบไหลเวียนหรือไตวายได้
               -เครื่องจับเท็จสามารถวัดได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของไฟฟ้าสถิตในผิวหนัง และเหงื่อที่ออกเวลาเรากลัวหรือตื่นเต้น



 
 

ขอบคุณ : beautyfullallday.com 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #311 เมื่อ: มกราคม 31, 2012, 12:51:58 PM »

ประโยชน์ของ...ขอบขนมปัง


เคยได้ยินมาว่าส่วนของขนมปังที่มีไฟเบอร์มากที่สุดคือบริเวณขอบขนมปัง ทำให้เกิดความสงสัยว่าขนมปังเวลาอบก็ใช้แป้งอบเป็นก้อนเดียว กันไปเลย แต่เหตุไฉนไฟ เบอร์จึงมีปริมาณสูงแค่บริเวณขอบ


ไม่ใช่ไฟเบอร์ แต่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ เยอรมนี เป็นผู้พบว่าขอบขนมปังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่นๆ ของขนมปัง งานวิจัยของเขามาจากการตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า โพรนีลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนที่เป็นขนมปังขาว 8 เท่า ขณะที่แป้งธรรมดาไม่มีเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่า จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปังผ่านกระบวนการอบมาแล้วเท่านั้น



สารโพรนิลไลซีนเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาล ในขั้นตอนการอบ เรียกว่าปฏิกิริยาเมลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลบนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว และกระ บวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสารให้กลิ่น รสชาติให้ขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ



งานวิจัยบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้ม เช่น ขนมปังโฮลวีท มีสารต้าน อนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว และสารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนหากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็กๆ จะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ หรือเป็นปอนด์ แต่ฮอฟมานน์เตือนว่า ถ้าพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานได้ง่ายๆ เหมือนกัน



ทั้งนี้ วิธีการที่ทำให้ขอบขนมปังมีประโยชน์คือการอบ จากที่กระบวนการอบเป็นการเปลี่ยนสภาพที่ยังดิบให้สุกโดยการใช้ความร้อน ซึ่งทั่วไปแล้วเตาอบ จะมีอุณหภูมิระหว่าง 191-232 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการอบขึ้นอยู่กับขนาดและส่วนผสมของขนมปังแต่ละชนิด ในขณะอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพและทางเคมีในโด คือ

ความร้อนจะแผ่กระจายไปยังโด กระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแรงดัน น้ำกลายเป็นไอและแอลกอฮอล์ขยายตัว ช่วยกันดันโครงร่างของโดให้มี ปริมาตรเพิ่มขึ้น



ขณะเดียวกันความร้อนในช่วงแรกของการอบจะกระตุ้นการทำงานของยีสต์และเอนไซม์ให้เกิดกระบวนการหมักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดก๊าซและแอลกอฮอล์ เสริมขึ้นมา ซึ่งโดยปกติยีสต์จะหยุดการทำงานที่ 43 องศาเซลเซียส และจะตายที่อุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียส เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสตาร์ชจะพองตัวและกลายเป็นเจล ขณะขนมปังสุกนี้ สตาร์ชจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอะมิโลสจะเคลื่อนย้ายออกจากเม็ดสตาร์ช เมื่อทำให้ขนมปังเย็นและทิ้งไว้นาน อะมิโลสจะเปลี่ยนแปลงกลับ มีลักษณะขุ่นเป็นตะกอนขาวอีกครั้ง



ในระหว่างที่สตาร์ชเกิดเจลนั้นจะดึงน้ำจากโดมาทำให้กลูเตนสูญเสียน้ำ เปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เคยยืดหยุ่นกลับแข็งตัวขึ้น ทำให้ได้โครงร่างของเซลล์มีรูพรุน ผนังเซลล์บางเป็นใยเชื่อมติดกัน รูปรีบ้าง กลมบ้าง กระจายอยู่ทั่วไปทั้งก้อนขนมปัง ในขณะเดียวกันเอนไซม์และยีสต์จะค่อยๆ ตายไป เนื่องจากทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้



ส่วนผิวนอกของขนมปังจะเปลี่ยนสีเพราะเกิดคาราเมล เนื่องจากความร้อนทำให้น้ำตาลที่ผิวโดเปลี่ยนสภาพเป็นสีน้ำตาล และการเกิดปฏิกิริยาเมลาร์ด จากน้ำตาลและกรดอะมิโน ให้สารสีน้ำตาลเรียกว่ามิลานอยดิน พร้อมเกิดสารให้กลิ่นรส และสุกในที่สุด โดยเกิดการสูญเสียน้ำหนักของก้อนโด 9-10% เนื่อง จากการระเหยของน้ำและสารอื่นๆ

 
 

ขอบคุณ : learners.in.th
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #312 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 05:41:48 PM »

เกร็ดความรู้ เวลาดื่มน้ำ… ตอนไหนดีที่สุด



ตื่นนอนตอนเช้า 1 แก้ว (400 ซี.ซี.) เพราะเป็นช่วงที่มีความเข้มข้นของเลือดสูง เลือดจะมีลักษณะขาดน้ำ
ตอนสายๆ 2 แก้ว (เวลาประมาณ 9 โมงถึง 10 โมงเช้า) ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีของเสียเกิดขึ้น เพราะร่างกายได้ทำงานไประยะหนึ่งแล้ว ฉะนั้น จึงควรดื่มน้ำเพื่อมาชำระของเสียเหล่านั้นออกไป
ตอนบ่ายๆ 3 แก้ว (เวลาประมาณบ่ายโมงถึงบ่ายสอง)
ตอนเย็น 3 แก้ว (เวลาประมาณ 1 ทุ่มถึง 2 ทุ่ม) ก่อนนอนให้ดื่มน้ำอีก 1 แก้ว เพื่อให้น้ำที่ดื่มไหลเวียนชะล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร ยิ่งถ้าเป็นน้ำอุ่นด้วยแล้วจะยิ่งช่วยให้หลับสบายยิ่งขึ้น


การดื่มน้ำเป็นสิ่งที่ดีต่อร่างกาย และก็ควรดื่มให้ได้อย่างน้อย วันละ 8-10 แก้ว เพื่อสุขภาพที่ดี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #313 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 06:05:08 PM »

น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย



น้ำผลไม้คั้นสด บำรุงอวัยวะภายในทั่วร่างกาย (สุขกายสบายใจ)
เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก

         "น้ำผลไม้คั้นสด"   ควรเป็นสิ่งแรกที่เข้าสู่ร่างกายในตอนเช้า เพราะจะช่วยทำความสะอาดระบบต่าง ๆ ภายในร่างกาย รวมถึงการอุ่นเครื่องให้ร่างกายรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง อีกทั้งร่างกายสามารถดูดซึมคุณค่าจากผลไม้สดได้ง่ายกว่าอีกด้วย ดังนั้นควรดื่มก่อนกินมื้อเช้าประมาณ 10 นาที หรือหากดื่มหลังมื้ออาหารในแต่ละวัน ควรค่อย ๆ จิบน้ำผลไม้และกลั้วไปรอบ ๆ ปากเพื่อเพิ่มเอมไซน์ในอาหารช่วยให้กระเพาะอาหารย่อยได้ดีขึ้น

          หากคุณเริ่มต้นวันด้วยกาแฟรสชาติเข้มข้น มื้อกลางวันดับกระหายด้วยน้ำอัดลม เติมพลังช่วงบ่ายด้วยการจิบชาฝรั่ง ตกเย็นกลับบ้านดื่มน้ำเปล่าเย็น ๆ ให้ชื่นใจหายเหนื่อย ถ้าตลอดทั้งวันคุณมีพฤติกรรมการดื่มลักษณะเช่นนี้ จริงอยู่อาจไม่กระทบต่อสุขภาพในระยะยาว แต่จะดีกว่าไหม ถ้าเปลี่ยนให้ 1 แก้วใน 1 วันเป็นตัวช่วยสะสมความแข็งแรงให้กับอวัยวะภายในได้

          จากผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Journal of Medicines กล่าวถึงเรื่องการดื่มน้ำผลไม้คั้นสดช่วยถนอมสุขภาพสมองให้แข็งแรง ซึ่งมีผลสรุปทางการวิจัยว่าผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากกว่า 3 แก้วใน 1 สัปดาห์มีแนวโน้มความเสี่ยง 76% ห่างไกลจากโรคอัลไซเมอร์ แต่ก็ถือว่าอยู่ในอัตราเสี่ยงระดับต่ำเมื่อเทียบกับผู้ที่ดื่มน้ำผลไม้คั้น สดเพียงอาทิตย์ละ 1 แก้ว หรือไม่ดื่มเลย

          นับว่างานวิจัยนี้มีเหตุผลที่ดีพอในการโน้มน้าวใจให้คนหันมาสนใจเรื่องการ ดื่มน้ำผลไม้คั้นสดมากขึ้น เรามีทางเลือกน้ำผลไม้ใกล้ตัว ที่จะช่วยดูแลอวัยวะภายในของเราให้สุขภาพดีอยู่เสมอมาฝากคุณค่ะ



1.น้ำบีทรูทกระตุ้นสมอง

          สารประกอบไนโตรเจนในเนื้อสีแดงของผลบีทรูท จะช่วยขยายหลอดเลือดและกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตให้ไปเลี้ยงสมองได้ดีขึ้น จากผลการวิจัยล่าสุดของออสเตรเลียพบว่า ผู้ที่ดื่มน้ำบีทรูทคั้นสดทุกเช้ามีระดับความดันโลหิตในสมองที่สดต่ำลง และมีความจำที่ดีขึ้นอีกด้วย


2.น้ำเกรปฟรุตช่วยเผาผลาญไขมัน

          เกรปฟรุตหมายถึงผลไม้รสเปรี้ยว มีคุณสมบัติทางเคมีเป็นฤทธิ์ร้อนจึงช่วยเผาผลาญไขมัน และลดระดับอินซูลินซึ่งเป็นตัวการของน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ในผลการวิจัยของสหรัฐพบว่าผู้ที่จิบน้ำเกรปฟรุตคั้นสดก่อนเมื้ออาหารทุกมื้อ โดยที่ไม่ได้ลดอาหารหรือไดเอ็ทนั้นมีน้ำหนักตัวที่ลดลงมากกว่า 1.5 กิโลกรัม ภายใน 3 เดือน




 3.บำรุงกระดูกด้วยน้ำมะเขือเทศ

          นักวิทยาศาสตร์ชาวแคนนาเดียน พบว่า ไลโคปีนในน้ำมะเขือเทศสดเปรียบเสมือนธนาคารกระดูกที่อุดมไปด้วยแคลเซียมและ ฟอสฟอรัส ซึ่งช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง ดังนั้นหากดื่มน้ำมะเขือเทศคั้นสดวันละแก้วก็จะได้รับแคลเซียมซึ่งเทียบได้ กับการบริโภคผลิตภัณฑ์จากนมเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงวัยสูงอายุ ควรบริโภคน้ำมะเขือเทศคั้นสด 2 แก้วต่อวันในระยะเวลา 4 เดือนขึ้นไป เพื่อช่วยลดอัตราการเป็นโรคกระดูกพรุน




4.บำรุงหัวใจด้วยน้ำส้มคั้น

          สารฟลาโวนอยในผลส้มจะช่วยลดอัตราไขมันเลว (LDL) และเพิ่มอัตราไขมันดี (HDL) ซึ่งส่งผลต่อระดับคอเลสตอรอลในร่างกายลดต่ำลง นักวิทยาศาสตร์ชาวบราซิลได้ ทำการวิจัยพบว่าในน้ำส้มคั้นสด ช่วยลดความดันโลหิต บำรุงระบบการไหลเวียนโลหิตและหลอดเลือด และยังช่วยป้องกันโรคหัวใจอีกด้วย


5.น้ำเลมอนบำรุงตับ ป้องกันนิ่ว

          การดื่มน้ำเลมอนคั้นสดปริมาณ 8 ออนซ์ผสมกับน้ำเปล่าในแต่ละมื้อ ช่วยกระตุ้นให้ตับผลิตน้ำดีได้มากขึ้น ส่งผลให้ระบบย่อยอาหารทำงานปกติตลอดทั้งวัน นอกจากนี้ยังมีผลการวิจัยของศูนย์โรคไตในซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนียเผยว่า ผู้ป่วยติดเชื้อทางเดินปัสสาวะที่ดื่มน้ำเลมอนผสมกับน้ำเปล่าในอัตรา 4.2 เป็นประจำทุกวันจะช่วยลดขนาดก้อนนิ่วในไตได้ โดยมีฤทธิ์เข้าไปละลายก้อนนิ่วในถุงน้ำดีและไตแล้วขับออกมาทางปัสสาวะ รวมทั้งช่วยฆ่าแบคทีเรีย และยังช่วยให้อัตราของกรดฟอสฟอริกในปัสสาวะลดลงจาก 1% เหลือเพียง 0.13% ซึ่งเป็นผลดีต่อร่างกาย




6.น้ำสับปะรดบำรุงข้อต่อ

          จากผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์เป็นบทความในหัวข้อ "Cellular and Molecular Life Sciences" กล่าวไว้ว่า เอนไซม์บรอมิเลน (Bromelain) ช่วยบำรุงข้อต่อในอวัยวะต่าง ๆ และมีฤทธิ์บรรเทาอาการของโรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis) โรคหลอดลมอักเสบ (Bronchitis) โรคไขข้ออักเสบ (Rheumatoid arthritis) และลดอาการเบอร์ไซติส (Bursitis) หรืออาการบวมอักเสบของข้อต่อที่หัวไหล่ได้ โดยจะช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียทำให้อาการไม่เรื้อรัง

          นอกจากนี้ยังกล่าวถึงวิตามินซีที่มีในสับปะรด ช่วยลดความเสี่ยงเป็นโรคเหงือกอักเสบ (Gingivitis) โรคปริทันต์ หรือรำมะนาด (Periodontal disease) อันเป็นโรคที่ส่งผลให้เกิดโรคหัวใจ และโรคลมอัมพาต หรืออาการเส้นเลือดในสมองแตก (Stroke) ได้อีกด้วย

          น้ำผลไม้คั้นสด นับว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีคุณค่าสารอาหารสูงกว่าเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ และยังช่วยสร้างภูมิคุ้มกันโรคต่าง ๆ ให้กับร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย

          ข้อแนะนำเพื่อประโยชน์สูงสุดในการบริโภคคือ ควรดื่มไม่เกิน 1 แก้วต่อวัน (ประมาณ 4 ถึง 8 ออนซ์) โดยไม่เพิ่มความหวานใด ๆ อีก เพราะในผลไม้มีน้ำตาลตามธรรมชาติอยู่แล้ว อีกทั้งให้แคลอรีเพียง 60-80 แคลอรีเท่านั้น ซึ่งถือว่าเหมาะที่จะเป็นตัวช่วยดูแลสุขภาพของเราในทุก ๆ วัน เป็นวิธีง่าย ๆ ที่คุณก็สามารถบำรุงสุขภาพให้ดีขึ้นได้...เดี๋ยวนี้เลย



ขอขอบคุณข้อมูลจาก

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #314 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 07:50:51 PM »

 Cheesyสวัสดีค่ะ

                 สุขภาพดีกันอยู่หรือเปล่าค่ะ ปีใหม่แล้วใส่ใจดูแลกันหน่อยน้ะค่ะ เลือกทานของมีประโยนช์ หลักโภชนาการอาหาร 5 หมู่ วันหนึ่งเราทานอะไรไปบ้าง ตอนเช้าอาหารหลักจำเป็นต้องทาน เลือกที่มีสารอาหารมากๆและดีต่อร่างกาย เช่น น้ำอาร์ซี น้ำข้าวกล้อง, ข้าวแดง ,ข้าวหอมนิล หรือน้ำเต้าหู้ น้ำผัก หรือน้ำผลไม้  หลังจากนั้นจะไปดื่ม กาแฟ ก็ตามสบายค่ะ ถ้าคุณเลือกอะไรไม่ได้ นอกจาก ดื่มกาแฟ ขอ ไม่ใส่น้ำตาล ไม่ใส่ครีมได้ไหม แบล็กค็อฟฟี่ อันนี้ก็ได้เติมน้ำตาลทรายแดง น้ำตาลอ้อย เพื่อสุขภาพ เพิ่มขนมปังไม่ขัดขาวสักชิ้น หรือเป็นแซนวิซ สักชิ้น เน้นขนมปัง ไม่ขัดขาว เลี่ยงน้ำตาลไว้จะดีมากค่ะ อย่าบอกว่าไม่มีเวลาที่จะเลือกหรือที่จะทำน่ะจ้ะ กรุณาเลือกกรุณาทำก่อนที่จะไม่มีเวลาจริงๆ ไว้ให้เลือก ไว้ให้ทำ อิ อิ

                         

                         ด้วยความปราถนาดีค่ะ
  เทวดา                                                                   


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: