Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71978 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #315 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 03, 2012, 09:10:33 PM »

เครื่องดื่มยามเช้าที่ดีต่อสุขภาพ



ตื่นเช้ามาเริ่มวันใหม่ให้สดใสกว่าเดิม คงจะดีไม่น้อยถ้าเริ่มต้นด้วยเครื่องดื่มดีๆ สักแก้วเพื่อสุขภาพที่ดี

     นมถั่วเหลือง
        ปัจจุบันนมถั่วเหลืองหาซื้อได้ง่าย และเหมาะสำหรับคนที่รักสุขภาพ เพราะนมถั่วเหลืองเป็นเครื่งดื่มที่ให้โปรตีนที่มีคุณสมบัติเหมือนโปรตีนจากเนื้อสัตว์

     กาแฟ
        กาแฟเป็นเครื่องดื่มยามเช้าของคนทำงาน เพราะกาแฟช่วยกระตุ้นความสดชื่นและความกระปี้กระเปร่าก่อนลงมือทำงาน นอกจากนี้ยังสามารถช่วยลดความเสี่ยงจากการเกิดนิ่วในถุงน้ำดี มะเร็งลำไส้ใหญ่ ลดอาการหอบในผู้ที่เป็นโรคหอบหืด และเป็นผลดีต่อนักกีฬาในการเพิ่มความทนทานและความอึดในกีฬาที่ต้องใช้เวลานาน

    น้ำมะนาว
        ลองหาน้ำมะนาวมาดื่มตอนเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริก มีวิตามินซีที่นอกจากจะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้วยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อน ๆ จากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายได้ดีอีกด้วย
 
     น้ำผักหรือน้ำผลไม้
       เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิด และแร่ธาตุ เช่น โซเดียม โปแตสเซียม สังกะสี นอกจากนั้นในน้ำผักและน้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติ ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อย หายเพลีย ทำให้ร่างกายรู้สึกสดชื่น

     น้ำหวาน
         คนที่นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศีรษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งอาจเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ ควรรับประทานอาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลซึ่งจะสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลนั้นจะถูกดูดซึมได้ดีและง่าย ดังนั้นน้ำหวานจะทำให้จิตใจสงบ คลายอาการเครียดและมึนงงได้อย่างดี

          น้ำขิง
        สำหรับคนที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน ก็ขอแนะนำน้ำขิงร้อน ๆ สักแก้ว เพราะในขิงมีสารเคมีชนิดหนึ่งที่เรียกว่า จินเจอรอล (Gigerol) ที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้รสและกลิ่นพิเศษไม่เหมือนใคร จัดอยู่ในกลุ่มแอลกอฮอล์ที่ไม่ทำให้เรารู้สึกมึนเมา แถมยังแก้อาการเมาได้ดี การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไป ต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไป เพราะขิงจะเสียรสและกลิ่นไปได้


            เริ่มด้วยสิ่งดีๆ ต่อสุขภาพของคุณ สดชื่นไปได้ทั้งวันเลย

 
 

ขอบคุณ : Never-age  
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #316 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2012, 10:00:16 PM »

ดื่มน้ำรักษาโรค


เมื่อเร็วๆนี้ มีคนมากมายส่งเสริมวิธีดื่มน้ำเพื่อให้ร่างกายมีความสมบูรณ์นี้ เป็นแบบนิยมอันดีงามอย่างหนึ่ง ชีวิตดำรงอยู่ได้นอกจากอากาศบริสุทธิ์ก็คือ “น้ำ” น้ำหนักของคนเรา 2 ใน 3 ส่วนเป็นน้ำ จึงมีคนพูดกันว่าคนประกอบด้วยน้ำ อันที่จริง น้ำสามารถปรับอุณหภูมิในร่างกายของคนได้ สามารถทำให้ไตทำงานเป็นปกติ ขับถ่ายสิ่งโสโครกให้ออกจากร่างกายได้ นายแพทย์แนะนำบ่อย ๆ ว่า ดื่มน้ำให้มากทุกวัน เพราะน้ำมีคุณค่าสูงเกี่ยวกับการรักษาโรค


สุขบัญญัติ ๑๐ ประการที่เราท่องกันมาแต่เด็กว่า จะเป็นการดีต่อสุขภาพถ้าเราดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้ว แต่ความเป็นจริงเราอาจจะดื่มน้อยหรือมากกว่านั้น ไม่มีใครมานั่งนับว่าในหนึ่งวันเราดื่มน้ำไปกี่แก้วแล้ว จริงหรือเปล่า


วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ ตามที่ได้ทดลองมาแล้วได้ผล คือตื่นเช้าลุกขึ้น ไม่ต้องล้างหน้า ไม่บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำสุก 5 แก้ว ( ขวดวิสกี้บรรจุได้ 3 แก้ว หรือน้ำหนักของน้ำ 1.26 กก. เท่ากับ 5 ถ้วยแก้ว ) รวดเดียวจะรู้สึกหายใจเหนื่อยอึดอัดไปหน่อย

หลังจากนั้นจะปัสสาวะบ่อย ๆ การปฏิบัติยากลำบากเช่นนี้ หากผู้ที่ไม่มีความเชื่อมั่นอาจเลิกกลางคัน


ผู้ใช้สมองทั้งวันทั้งคืนในธุรกิจการค้า หาเวลาว่างไปออกกำลังกายไม่ได้ทุกเช้า ควรปฏิบัติวิธีดื่มน้ำรักษาโรคแทนการออกกำลังกาย เชื่อมั่นได้ว่าจะต้องปราศจากโรค ชีวิตยั่งยืนไม่ต้องสงสัย


วิธีดื่มน้ำรักษาโรคต่าง ๆ ได้เป็นเรื่องที่ไม่น่าเชื่อ แต่ความเป็นจริงได้ผลอย่างนี้แน่นอน เนื่องจากทำให้ลำไส้ใหญ่ผลิตโลหิต โลหิตใหม่นี้ผลิตขึ้นจากฝอยคล้ายสักหลาด ที่อยู่ในลำไส้ซึ่งทำหน้าที่ดูดธาตุต่าง ๆ จากอาหารมาผลิตให้เป็นเม็ดโลหิต

คนบางส่วนเนื่องจากลำไส้ใหญ่เคลื่อนไหวไม่เต็มที่ เป็นเหตุให้โลหิตจาง มีอาการรู้สึกอ่อนเพลีย และเป็นโรคที่รักษายาก ลำไส้ใหญ่ยาว 8เมตร ทำหน้าที่ดูดสารต่าง ๆ จากอาหาร ถ้าลำไส้สะอาด อาหารที่ได้รับประทานเข้าไปจะผ่านการย่อย แล้วถูกดูดไปผลิตให้เป็นโลหิตใหม่เป็นการเร่งให้เกดดพลังงานในร่างกายสมบูรณ์ขึ้น โรคต่าง ๆ จะหายไปเอง อายุจะยั่งยืน


มหาวิทยาลัยของมณฑลต่าง ๆ ในประเทศจีนได้ผ่านการทดลองจึงได้ประกาศเปิดเผยให้ทราบโดยทั่วกันว่า วิธีดื่มน้ำรักษาโรค สามารถรักษาโรคต่าง ๆ ดังต่อไปนี้คือ ท้องผูก ปวดหัว เวียนศีรษะ โลหิตจาง โรคประสาท ความดันโลหิตสูง อัมพาตทั้งกาย เป็นลมปากเบี้ยว โรคปวดตามข้อ โรคอ้วนพี ปวดในกระดูก เส้นเอ็นปวดเมื่อย หูอื้อ ใจเต้น มือเท้าอ่อนเพลีย โรคไอ โรคหอบหืด หลอดลมอักเสบ วัณโรค เยื่อสมองอักเสบ โรคตับ โรคไต เป็นนิ้ว กรดเปรี้ยวในกระเพาะอาหารมากเกินควร กระเพาะยืด กระเพาะอาหารเป็นแผลเน่าเรื้อรัง โรคบิดโมงหล่อ ( ดากหลุก ) โรคริดสีดวงทวารหนัก โรคเบาหวาน สายตาอ่อน โรคต่าง ๆ ตาออกเลือด สตรีประจำเดือนไม่ปกติ มะเร็งในมดลูก ระดูขาว มะเร็งเต้านม จมูกอักเสบ เจ็บคอ โรคผิวหนังต่าง ๆ


ผู้ดื่มน้ำควรทราบ ดื่มน้ำสุกดีที่สุด หากดื่มน้ำประปาควรใส่ขวดไว้แรมคืนให้ตกตะกอนเสียก่อน ป้องกันไม่ให้ท้องร่วงเวลารับประทานอาหารดื่มน้ำได้ตามปกติ แต่หลังอาหาร 2 ชั่วโมง ไม่ควรดื่มน้ำอีก ก่อนเข้านอนไม่ควรรับประทานอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้ามรับประทานน้ำส้มคั้นและจำพวกแอปเปิ้ล


ผู้ที่มีโรคประจำตัวจะดื่มน้ำทีเดียว 5 แก้ว ไม่ใช่ของง่าย ดื่มน้ำเสร็จแล้ว ทางที่ดีที่สุดใช้กำลังสัก 20 นาที คนไข้ที่นอนอยู่เตียงไม่สามารถลุกขึ้นได้ ดื่มน้ำเสร็จแล้วให้สูดอากาศเข้าปอดให้มาก ๆ และนวดที่บริเวณสะเอวให้น้ำไหลลงสู่ลำไส้ใหญ่ให้สะดวก ดื่มน้ำวันแรกภายในหนึ่งชั่วโมงจะปัสสาวะติดๆ กัน แต่ต่อไปอีก 3 - 4 วัน การถ่ายท้องจะเป็นปกติอีก 7 - 8 วัน ปัสสาวะก็เหลือเพียงครั้งเดียว นับตั้งแต่นั้นร่างกายจะรู้สึกสบาย เวลารับประทานอาหารจะรู้สึกอร่อยเป็นพิเศษ นี่เป็นการแสดงให้เห็นว่า กระเพาะลำไส้ได้ถูกชำระล้างสะอาดแล้ว


แล้วคุณล่ะ อยากจะลองปฏิบัติโดยการดื่มน้ำ 5 แก้วนี้ บ้างหรือไม่ ใครเคยลองปฏิบัติมาแล้ว บอกเล่ากันได้ว่าดีหรือไม่ดีอย่างไร เพื่อประโยชน์แห่งวิถีปฏิบัติแก่บุคคลอื่น



ที่มา http://www.kalathai.com/think/view_hot.php?article_id=19

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #317 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:40:42 AM »

"น้ำตาล" อันตราย! เท่ากับ บุหรี่และเหล้า เชื่อหรือไม่ Huh? 




ในรายงานที่ปรากฎอยู่ในวารสาร Nature นักวิจัยที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตซานฟรานซิสโกระบุว่า

น้ำตาลโดยเฉพาะน้ำตาลปรุงแต่งซึ่งใช้ผสมในน้ำอัดลมและอาหารอีกหลายประเภทนั้น คือสาเหตุสำคัญของโรคอ้วนที่กำลังแพร่ระบาดในหมู่ประชากรอเมริกันและประชากรทั่วโลก

รายงานอีกชิ้นระบุว่าปัจจุบันมีประชากรอเมริกันน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานมากกว่า 2 ใน 3 ในจำนวนนี้ราวครึ่งหนึ่งเป็นโรคอ้วน และประมาณ 80% ของคนที่เป็นโรคอ้วนจะป่วยเป็นโรคเบาหวานหรือมีปัญหาด้านการเผาผลาญอาหารซึ่งมีผลให้อายุสั้นลง


นอกจากนี้รายงานชิ้นหนึ่งของธนาคารโลกบอกด้วยว่าปัจจุบันปัญหาโรคอ้วนเป็นปัญหาใหญ่ในหลายประเทศและเป็นสาเหตุของโรคที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุด เช่นโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคมะเร็งบางประเภท


เวลานี้นักวิทยาศาสตร์ยังคงถกเถียงกันถึงผลกระทบของน้ำตาลและสารให้ความหวานที่มีต่อปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิจัยค่อนข้างมั่นใจคือน้ำตาลที่ปรุงแต่งขึ้นซึ่งมีสารฟรุคโทสในระดับสูง มีผลร้ายต่อสุขภาพมากกว่าน้ำตาลที่สกัดจากธรรมชาติ โดยเฉพาะผลเสียต่อตับ


นักวิจัยหลายคนมองว่าน้ำตาลเป็นสารอันตราย และแนะนำให้เก็บภาษีน้ำตาลเช่นเดียวกับภาษีบุหรี่และภาษีเหล้า รวมทั้งเสนอให้ใช้มาตรการห้ามขายเครื่องดื่มผสมน้ำตาลให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 17 ปี และให้ใช้กฎหมายจำกัดพื้นที่ที่สามารถขายเครื่องดื่มผสมน้ำตาลและขนมขบเคี้ยวอื่นๆโดยไม่ให้อยู่ใกล้เคียงหรือภายในเขตโรงเรียน ส่วนผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้เก็บภาษีน้ำตาลและสารให้ความหวานตั้งแต่ระดับโรงงานผลิต เพื่อให้บริษัทต่างๆจำกัดการใช้สารให้ความหวานในสินค้าของตนให้น้อยลง


อย่างไรก็ตาม นักวิจัยบางคนบอกว่าน้ำตาลนั้นไม่ใช่ตัวการที่แท้จริงของปัญหาโรคอ้วน แต่เป็นเพราะปัจจัยอื่นๆมากกว่า เช่นไขมันอิ่มตัว แป้ง หรือแม้แต่การขาดการออกกำลังกายอย่างเพียงพอ

 
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์มติชน
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #318 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:42:52 AM »

8 อาหารย่อยยากสุด ๆ



8 อาหารย่อยยากสุด ๆ

          ท้องผูก ท้องอืด ท้องเฟ้อ บางทีปัญหาการขับถ่ายอาจเกิดจากอาหารย่อยยากที่เราคาดไม่ถึงก็ได้นะ

1. น้ำมะนาวหรือน้ำส้ม

          เครื่องดื่มที่มีฤทธิ์เป็นกรดอาจทำให้หลอดอาหารระคายเคือง กระตุ้นเซลล์ประสาทให้รู้สึกอักเสบรุนแรงยิ่งขึ้น จนรู้สึกคล้ายกรดไหลย้อน (แต่ความจริงก็แค่ระคายเคือง) แถมปริมาณกรดมากมาย อาจทำให้เกิดปัญหาอื่น สมมติว่าคุณยังไม่ได้กินอะไร แต่ดื่มน้ำส้มไปแก้วใหญ่ ๆ ตอนเช้า กระเพาะอาหารที่เต็มไปด้วยกรดอยู่แล้วก็จะได้รับกรดเพิ่มขึ้นไปอีก ดังนั้น จำนวนที่เพิ่มขึ้นก็อาจจะทำให้คุณปวดกระเพาะได้ ส่วนคนที่ชอบน้ำมะนาวแต่ใส่น้ำเชื่อมข้าวโพดเยอะ ๆ ก็ต้องระวังท้องร่วงด้วยนะ

2. ช็อกโกแลต

          ส่วนใหญ่แล้วปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นแค่เพราะคุณกินช็อกโกแลต แต่เป็นเพราะว่าคุณกินมากเกินไปต่างหาก อย่างราวนี่หนึ่งชิ้นอาจเป็นของว่างเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ดี แต่บราวนี่สามชิ้นหรือช็อกโกแลต ฟองดูนั้นอาจมากไปนิดนึง หากคุณเป็นโรคกรดไหลย้อน (GERD) ช็อกโกแลตอาจเป็นปัญหาสำหรับคุณได้แม้ในปริมาณนิดเดียว นี่เป็นเพราะช็อกโกแลตทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายออก กรดในกระเพาะก็จะไหลย้อนกลับขึ้นมาได้

3. บร็อกโคลี่ และกะหล่ำปลีดิบ

          จริงอยู่ที่ผักเหล่านี้มีทั้งใยอาหารสารอาหาร และก็ดีต่อสุขภาพของคุณมาก ๆ แต่พวกมันก็อาจทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะได้ ทางแก้นั้นง่ายมาก เพียงนำมาปรุงอาหารให้ผ่านความร้อนหรือแม้แต่ลวกเพียงเล็กน้อย ก็จะช่วยสลายสารซัลเฟอร์ที่ทำให้เกิดแก๊สได้แล้ว

4. มันบดและไอศกรีม

          หน้าตาเหมือนเป็นของย่อยง่าย แต่ถ้ากินเข้าไปแล้วรู้สึกกระเพาะปั่นป่วน เริ่มมีอาการท้องอืดมีแก๊สในกระเพาะเยอะ และเริ่มผายลมจนห้ามไม่ได้ นั่นล่ะคือสัญญาณบอกว่าร่างกายของคุณอาจแพ้แล็กโตส และต่อให้คุณปกติดี การกินไอศกรีมหรือมันบดที่มีครีมเยอะ ๆ ก็อาจเป็นปัญหาอยู่ดี เนื่องจากมันมีไขมันสูง และไขมันก็ย่อยยาก จึงอยู่ในกระเพาะอาหารนานกว่าอาหารอื่น ๆ ไงคะ

5. นักเก็ตไก่

          ทุกครั้งที่คุณคลุกอาหารเข้ากับแป้งแล้วนำไปทอด คุณได้เปลี่ยนอาหารชิ้นนั้นให้กลายเป็นของย่อยยากที่สุด โดยของทอดมักจะมันและมีไขมันสูง ซึ่งทำให้มันเป็นปัญหาสำหรับกระเพาะของเรา ยิ่งถ้าคุณมีโรคลำไส้อักเสบร่วมด้วย ของทอดมัน ๆ อาจจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้คุณคลื่นเหียน อาเจียน ดังนั้น สำหรับคนที่ชื่นชอบนักเก็ตจริง ๆ ลองหันมาอบนักเก็ตจะดีกว่าทอด แต่ถ้าจะให้ดีก็ใช้เนื้ออกไก่คลุกแป้งทำดีกว่าซื้อนักเก็ตแช่แข็งมาทอดค่ะ

6. หัวหอมดิบ

          หัวหอมและเพื่อนร่วมก๊วนอย่างกระเทียม ต้นหอม และ Shallot นั้นมีไฟโตนิวเทรียนต์ ซึ่งบางชนิดให้คุณแก่สุขภาพและดีต่อหัวใจของคุณ ส่วนบางชนิดจะทำให้ปวดท้อง จริงอยู่ที่หัวหอมที่ผ่านความร้อน แล้วอาจมีสารดังกล่าวน้อยลง แต่ในขณะเดียวกันความร้อนก็จะสลายสารอาหาร ทำให้คุณค่าของหัวหอมลดลง ถ้าให้ดีจึงควรกินหัวหอมดิบผสมกับหัวหอมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะดีกว่า

7. ถั่ว

          เป็นที่ทราบกันดีกว่าการกินถั่วมากจะทำให้ผายลม สาเหตุเนื่องมาจากเอนไซม์ที่ย่อยถั่วได้นั้น จะพบได้ในเฉพาะแบคทีเรีย ซึ่งมีชีวิตอยู่ในกระเพะอาหาร และถ้าคุณไม่กินถั่วเป็นประจำ คุณอาจมีเอนไซม์ไม่เพียงพอต่อการย่อยถั่ว ผลก็คือจะเกิดแก๊สแล้วท้องก็จะอืด ดังนั้น ก่อนกินถั่วก็ให้ผ่านความร้อนนาน ๆ หรือไม่ก็กินบ่อย ๆ จะได้มีเอนไซม์เตรียมไว้ย่อยถั่วค่ะ

8. หมากฝรั่งปราศจากน้ำตาล

          Sorbitol คือสารชนิดหนึ่งที่มักใช้เป็นส่วนประกอบในขนมหวานสูตรไม่มีน้ำตาล เช่น หมากฝรั่ง ลูกอม มันอาจเป็นสาเหตุของแก๊สในกระเพาะอาหาร ดังนั้น ก่อนจะซื้อหมากฝรั่งมาเคี้ยวก็ลองพลิกฉลากมาดูก่อน หากมี Sorbital มากกว่า 10 กรัม นั่นก็แสดงว่ามันยากต่อการย่อยแน่ ๆ


ขอขอบคุณ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #319 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 09:08:16 AM »

พ่อแม่ต้องระวัง! คอมพิวเตอร์ติดไวรัสผ่านเว็บเกมที่ลูกเล่น







ในโลกไอทีที่กำลังพัฒนารุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เนื่องด้วยผู้เชี่ยวชาญฝ่ายหนึ่งกำลังพัฒนาโปรแกรมต่าง ๆ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อการใช้งานได้สมบูรณ์แบบมากขึ้น แต่ก็ยังมีอีกฝ่ายที่เลือกใช้ความรู้ที่มีในทางตรงกันข้าม สร้างไวรัสสารพัดแบบเพื่อเจาะข้อมูลหรือสร้างความเสียหายให้แก่ระบบการทำงาน ของคอมพิวเตอร์ของผู้เคราะห์ร้าย และบัดนี้นักสร้างไวรัสหรือแฮกเกอร์เหล่านั้น ก็เริ่มเบนเข็มเข้าโจมตีคอมพิวเตอร์ทั้งหลายผ่านทางเว็บไซต์เกมออนไลน์สำหรับเด็ก ๆ แทน ซึ่ง เท่ากับเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้ใช้คอมพิวเตอร์รุ่นใหญ่ด้วย เมื่อเขาอนุญาตให้ลูกหลานใช้คอมพิวเตอร์พีซีสำหรับทำงาน ในการเล่นเกมด้วย

โดยเมื่อปลายเดือนที่ผ่านมามีการสำรวจพบว่า เว็บไซต์เกมเพียงแห่งเดียวทำให้มีผู้ใช้ได้รับความเดือนร้อนจากมัลแวร์ที่ แทรกเข้ามาในระบบคอมพิวเตอร์ถึง 12,600 ราย ตามรายงานโดยเว็บไซต์เดลิเมลของอังกฤษ ที่อ้างอิงข้อมูลจาก Avast บริษัทผลิตแอนตี้ไวรัสจากสาธารณรัฐเช็ก

โดย รายงานเปิดเผยว่า เหล่าแฮกเกอร์ทั้งหลายเริ่มเบนเป้าหมายการโจมตีคอมพิวเตอร์อื่น ๆ โดยการสร้างโทรจัน หรือมัลแวร์ต่าง ๆ แฝงไว้ตามเว็บไซต์สำหรับเล่นเกมออนไลน์ที่หน้าตาไม่น่ามีพิษภัย บ้างก็แฝงตัวเข้ามาในระบบได้ทันทีที่เด็ก ๆ เปิดเล่นเกมนั้น ๆ บ้างก็แฝงตัวมาในรูปของโฆษณา หรือปุ่มกดต่าง ๆ ที่หลอกล่อให้เด็ก ๆ คลิกเข้าไปดู เนื่องจากเด็กมีแนวโน้มว่าจะคลิกปุ่มพวกนี้โดยไม่ยั้งคิดต่างจากผู้ใหญ่ จึงทำให้การปล่อยตัวก่อกวนคอมพิวเตอร์เข้าไปเป็นไปได้โดยง่าย โดยเจ้าตัวก่อกวนอย่างโทรจันหรือมัลแวร์นั้นจะยังคงอยู่แม้จะล็อกออฟ หรือปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ไปแล้ว และกลไกการทำงานของมันสามารถนำพาไปสู่การติดไวรัส หรือความเสียหายต่อระบบคอมพิวเตอร์ที่รุนแรงขึ้นได้

“เกม ส่วนใหญ่จะให้ผู้เล่นคลิกที่ปุ่มนั้นปุ่มนี้ และเมื่อเด็ก ๆ เผลอคลิกตามไป คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นก็เสี่ยงต่อการติดมัลแวร์ที่อาจแฝงมาได้ทันที” นายอองเดร็จ วัลเค็ก ผู้บริหารด้านเทคโนโลยีของ Avast กล่าว

นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า เมื่อปลายเดือนที่ผ่านมาได้วิเคราะห์พบเว็บไซต์เกมที่จั่วหัวด้วยคำว่า “game” หรือ “arcade” เป็นที่แฝงตัวของโทรจันและมัลแวร์ กว่า 60 เว็บไซต์ ในจำนวนนั้นมีเว็บไซต์ CuteArcade.com และ HiddenNinjaGames.com ที่เด็ก ๆ นิยมเข้าไปเล่นรวมอยู่ด้วย ซึ่งชี้ให้เห็นชัดเจนว่าอันตรายแฝงกายอยู่ใกล้แค่เอื้อมเท่านั้น ส่วนวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด คือการอัพเดทเว็บเบราว์เซอร์ รวมถึงโปรแกรมแอนตี้ไรัสที่ใช้อยู่ให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ เพื่อจะได้ตรวจจับสิ่งแปลกปลอมที่แฝงตัวเข้ามาโดยที่เด็ก ๆ รู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้อย่างทันท่วงที

ทราบอย่างนี้แล้วบรรดาผู้ปกครองคงต้องสอดส่องดูแลบุตรหลานในการใช้เวลากับ โลกออนไลน์มากขึ้น ทั้งพฤติกรรมการเข้าเว็บไซต์ และการเล่นเกมออนไลน์ทางอินเทอร์เน็ต แม้หน้าตาของเว็บไซต์เกมนั้นจะดูไม่น่ามีพิษภัยก็ตาม

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #320 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 09:57:24 AM »

สวัสดี วันอาทิตย์ค่ะ



                           วันหยุดไปไหนดีค่ะ สมัยนี้มีสถานที่ท่องเที่ยว ร้านอาหาร แหล่งขาช็อบมีอยู่มากมาย อาหารมีขายตลอด 24 ชม. Shocked  7-11 อยากจะได้อะไรเดินเข้าไปซื้อหาสะดวกจนเหมือนอยู่ข้างบ้าน การดำเนินชีวิตสมัยนี้แตกต่างกว่าสมัยก่อนอย่างมากมาย สมัยก่อนต้องไปตลาด ตลาดคือที่รวมทุกอย่าง รวมทุกอย่างจริงๆ ดูหนังก็ต้องรอมีงานวัดถึงจะได้ดู จังหวัดใกล้ๆ กรุงเทพฯยังใช้ตะเกียงเจ้าพายุ เกิดทันไหมจ้ะ ไปไหนมาไหนมันทุลักทุเล คือทุกอย่างมันไม่ สะดวกสบายเหมือนปัจจุบัน สายใต้เก่าอยู่ตรงไหน ดอนเมือง หมอชิต จำกันได้หรือเปล่า ห้างแรกในประเทศรู้จักกันไหม บางแสนสวยขนาดไหน ไปดูตอนนี้สิ Cry ผู้คนใกล้ชิดกันมากกว่าในปัจจุบัน หมู่บ้านเดียวกันสมัยก่อนรู้จักหน้ากันหมด รู้แบบว่าสามีมีญาติกี่คนแต่งมากี่ครั้ง มีกิ๊กหรือเปล่า  เทวดา อิ อิ ภรรยาดุไหมมีพ่อดุหรือแม่ดุ  ใครเล่นหวยบ้าง คนนี้เป็นเท้าหรือเป็นเจ้า  Huh?     สมัยนี้หน้าก็ไม่มีเวลาที่จะมองกัน หรือ เรื่องของใครก็ของคนนั้น เราไม่เกี่ยว อาจเป็นเพราะว่างานมันรัดตัวจน 24 ชม. ก็ไม่พอ ชีวิตแบบไหนดีกว่ากัน อดีต  Undecided ปัจจุบัน อันนี้ก็ต่างมุมมอง แล้วแต่บุคคลที่จะเลือก ที่จะคิด อย่าทำให้ชีวตเสียคุณภาพไป อย่าทำให้เราเคยชินในความสะดวกสบายนั้น ลองทำให้มันยากส์บ้าง  อย่างเปลี่ยนจากการกินม่าม่ากระป๋องข้างบ้าน เป็นไปเดินตลาดซื้อปลาหรือหมูมาใส่เพิ่มลงไปในม่าม่าบ้าง หรือซื้อผักสดๆผลไม้สดๆ มาเก็บไว้เป็นเสบียงในยามหิว ตัวเราก็ได้สารอาหารเพิ่ม และ ได้อุดหนุนพ่อค้าแม่ค้าที่เค้าตื่นก่อนใครๆๆมานั่งรอเราไปซื้อ  เทวดา

                หนูใจลองหัดเขียน งงหรือป่ะ ขอบคุณที่อ่านน่ะค้ะ เทวดา
                                                    have a good day kha

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #321 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:18:32 PM »

ทำไมเวลาโดนแดดเราถึงตัวดำ




งทราบกันดีอยู่แล้วว่า ในแสงอาทิตย์นั้น มีรังสีอัลตราไวโอเลตอยู่

หากเราได้รับรังสีนี้มากเกินไปจะเป็นอันตรายกับร่างกาย เพราะฉะนั้นธรรมชาติจึงสร้างให้ผิวของเรามี “เม็ดสีเมลานิน” ที่มีสีน้ำตาลอยู่เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายได้รับรังสีอัลตราไวโอเลตมากจนเกินไป

เม็ดสีเมลานินนี้จะเพิ่มขึ้นเมื่อผิวของเราได้รับแสงอาทิตย์มากขึ้นดังนั้น “ทุกครั้งที่ตากแดดนาน ๆ สีผิวของเราจะค่อย ๆ ดำขึ้นจากเม็ดสีเมลานินที่เพิ่มมากขึ้น”
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #322 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:20:24 PM »

ทำไมผมชี้ฟูหลังจากถอดหมวก



โดย ปกติผมของเราจะไม่มีประจุคือมีจำนวนประจุลบและประจุบวกเท่ากัน แต่เมื่อเราถอดหมวก หมวกจะเสียดสีกับเส้นผมทำให้อิเล็กตรอนซึ่งมีประจุลบซึ่งหลุดออกได้ง่าย เคลื่อนที่จากผมไปสู่หมวก ทำให้ขณะนี้ผมของเราเกิดเป็นประจุบวกเกิดขึ้น ซึ่งเมื่อประจุบวกเจอกับประจุบวกจะเกิดการผลักกันดังนั้นเมื่อเราถอดหมวกผมของเราจึงชี้ฟูและตั้งขึ้น เมื่อเราเดินผ่านพรมอิเล็กตรอนจะหลุดออกจากพรมมาสู่เราทำให้ขณะนี้เรามีอิเล็กตรอนที่เกินมา

เมื่อเราจับลูกบิดประตูซึ่งเป็นโลหะอิเล็กตรอนที่มีอยู่ในตัวเราจะเคลื่อนที่ต่อไปยังลูกบิดประตูดังนั้นจึงทำให้เรารู้สึกเหมือนไฟดูด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #323 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:30:05 PM »

ทำไมท้องฟ้าจึงเป็นสีฟ้า




แสง ที่มาจากดวงอาทิตย์ปกติเป็นแสงสีขาวแต่จริงๆ แล้วประกอบด้วยแสงสีต่างๆ หลายสี คือ สีม่วง สีคราม สีน้ำเงิน สีเขียว สีเหลือง สีแสด และสีแดง ซึ่งเราสามารถมองเห็นแสงสีต่างๆ เหล่านี้ตอนเราเห็นรุ้งกินน้ำ แสงจากดวงอาทิตย์เมื่อเคลื่อนที่ผ่านชั้นบรรยากาศของโลก จะวิ่งชนโมเลกุลของก๊าซ ฝุ่นละอองและหยดน้ำ ซึ่งปกติจะทำให้แสงสีฟ้ากระจายตัวไปทั่วท้องฟ้าได้ดีกว่าแสงสีอื่น จึงทำให้เรามองเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้า

ขบวนการที่ทำให้เราเห็นท้องฟ้าเป็นสีฟ้าเรียกว่า เรย์เลห์ สแคตเตอริง (Rayleigh scattering) ซึ่งเรียกตามชื่อของนักฟิสิกส์ที่ชื่อ จอห์น เรย์เลห์ ซึ่งเป็นผู้ที่อธิบายขบวนการนี้เป็นคนแรกในปี ค.ศ. 1870
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #324 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:34:59 PM »

ดื่มชา ห่างไกลโรคหัวใจ
       

แค่เพียงดื่มชาวันละนิด คุณก็จะห่างไกลจากโรคหัวใจได้วันละหน่อย

          ทิ้งความเชื่อผิด ๆ ที่ว่า "ชาจะทำให้เราหิวน้ำ" เพราะงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร European Journal of Clinical Nutrition ชี้ว่า ชาสามารถทำให้เราชุ่มชื้นได้เช่นเดียวกับน้ำ แต่ดีกว่าตรงที่ชามีสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งช่วยป้องกันโรคหัวใจ และโรคมะเร็งบางชนิดได้ โดยนักวิจัยจาก Kings College London พบหลักฐานว่า การดื่มชา 3-4 ถ้วยต่อวัน จะช่วยลดโอกาสเป็นโรคหัวใจได้จริง

          นอกจากนี้ ชายังมีประโยชน์ในการปกป้องเคลือบฟัน และช่วยไม่ให้ฟันผุ เนื่องจากในชามีฟลูออไรด์ อย่างไรก็ตาม ชาอาจทำให้เราดูดซึมธาตุเหล็กได้น้อยลง คนที่เป็นโลหิตจางหรือคนท้องจึงไม่ควรดื่มระหว่างมื้ออาหาร

          ทั้งนี้ สำหรับปริมาณน้ำที่ควรดื่มวันละ 1.5-2 ลิตร นักวิจัยแนะนำว่าจะรวมชาเข้าไปในจำนวนนี้ก็ได้เช่นกัน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #325 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 05, 2012, 08:36:33 PM »

ซูเปอร์มะเขือเทศ ดีเยี่ยมต่อร่างกาย



นักวิทยาศาสตร์จากสหรัฐอเมริกาได้เปิดตัวมะเขือเทศ Super Tomato ชนิดใหม่ในชื่อ ‘Indigo Rose Tomato’ ผลมะเขือเทศที่แปลกตาด้วยสีม่วง เปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ
ตามหลังจากการเปิดตัว ‘Super Broccoli’ ผักบร็อคโคลี่ต้านมะเร็งในประเทศอังกฤษเมื่อปีที่แล้ว นักวิจัยจาก Oregon State University ได้เปิดตัวมะเขือเทศพันธุ์ใหม่ในชื่อ Indigo Rose เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบไปด้วยสาร Anthocyanin หรือสารต้านอนุมูลอิสระ ที่มีผลให้มะเขือเทศพันธุ์นี้มีสีที่ต่างไปด้วยสีม่วงน้ำเงิน
สาร Anthocyanin เป็นที่รู้กันว่า เป็นสารที่ช่วยดูแลและรักษาระบบประสาท อีกทั้งยังช่วยลดความตึงเครียดและรักษาอาการอักเสบได้ ซึ่งมะเขือเทศ Indigo Rose นี้เป็นมะเขือเทศชนิดแรกที่ประกอบด้วยสาร Anthocyanin อีกทั้งยังสามารถปลูกโดยง่ายในสวนหลังบ้าน และมีวางจำหน่ายตามซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป
ถึงแม้ว่าผลบลูเบอร์รี่จะเป็นผลไม้ที่มีสาร Anthocyanin เข้มข้นกว่ามะเขือเทศ แต่ผลวิจัยในประเทศสหรัฐอเมริกาชี้ว่ามะเขือเทศเป็นผักที่มีการบริโภคทุกวัน และมีความนิยมเป็นอันดับ 4 ในบรรดาผักและผลไม้ทั้งหมด โดยเป็นรองเพียงแค่ มันเทศ ผักกาด และผักหัวหอม
ผลมะเขือเทศ Indigo Rose ได้มีการพัฒนาตั้งแต่ช่วงปี 1960 โดยการผสมข้ามพันธุ์ระหว่างมะเขือเทศและมะเขือเทศป่าจากประเทศชิลีและหมู่ เกาะกาลาปากอส
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #326 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 07, 2012, 08:22:12 PM »

ไดเอ็ทไม่ได้สักที อาจเพราะกินมื้อสาย




ไดเอ็ทไม่ได้สักที อาจเพราะกินมื้อสาย (Lisa)

ถ้าอยากกินของว่างแต่กลัวอ้วน ก็ให้รอกินช่วงเวลาอื่นที่ไม่ใช่ในช่วงระหว่างมื้อเช้ากับมื้อกลางวันดีกว่านะ

นั่นเพราะงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร American Dietetic Association เปิดเผยจากการทดลองน้ำหนักว่า กลุ่มตัวอย่างที่กินของว่างมื้อสายอาจลดน้ำหนักได้ถึง 7% ในหนึ่งปีก็จริง แต่ในกลุ่มที่ไม่กินของว่างในมื้อสายนั้นอาจลดน้ำหนักได้ถึง 77% เลยทีเดียว

ทั้ง นี้ นักวิจัยแอนน์ แมคเทียร์แนน จาก Fred Hutchinson Cancer Research Center อธิบายว่า ความอยากอาหารที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาสั้น ๆ ระหว่างสองมื้อนี้ เป็นสัญลักษณ์ของนิสัยการกินที่ไม่ดี คือ ไม่ได้กินเพราะหิว แต่เป็นการกินโดยไม่คิด และในหนึ่งวันคนกลุ่มนี้ก็จะกินของว่างบ่อยครั้งกว่าคนอื่นด้วย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #327 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2012, 08:29:26 PM »

เชอร์รี่..ผลไม้เพิ่มความสุข



สาวๆ รู้หรือไม่ว่า เชอร์รี่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีที่มีมากกว่าส้มถึง 30-80 เท่านั้น

นอกจากจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอความแก่ และช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว เชอร์รี่ยังมีคุณสมบัติช่วยให้สาวๆ ทั้งหลายอารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย


           จากผลงานการวิจัยของมหาวิทยาลัยมิชิแกน ประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าการกินเชอร์รี่มากถึง 20 ผลจะช่วยลดอาการซึมเศร้าได้มากกว่าการกินยา เนื่องจากในผลเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน(Anthocyanin) ซึ่งเป็นเม็ดสีในเชอร์รี่ ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือ ทำให้คนกินมีความสุข

ด้วยเหตุนี้แพทย์ตะวันตกจึงเรียกเชอร์รี่ว่าเป็น แอสไพรินธรรมชาติถ้าเวลาใดที่สาวๆ รู้สึกเครียดหรือเกิดอาการซึมเศร้าก็ลองเปลี่ยนจากการกินยารักษา มาใช้วิธีธรรมชาติบำบัดด้วยการกินเชอร์รี่นะคะ




ที่มา ... WomanPuls
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #328 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2012, 08:30:54 PM »

ฝ้า... ปัญหาคาใจ



ปัญหาฝ้า ซึ่งขึ้นชื่อว่ารักษายาก มาทำความรู้จักกับฝ้าให้ดีเสียก่อนที่จะตัดสินใจทำการรักษาค่ะ

        ฝ้าพบบ่อยในผู้หญิงวัยกลางคน ลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาล พบบริเวณแก้ม จมูก หน้าผาก เหนือริมฝีปากบนและคาง มักเริ่มจากจุดสีน้ำตาล แล้วขยายเป็นปื้น เราสามารถแบ่งชนิดของฝ้าได้เป็น 3 ชนิด

      ฝ้าชนิดตื้น ลักษณะเป็นผื่นสีน้ำตาลเข้มขอบเขตชัด เกิดจากเม็ดสีเมลานินสะสมในชั้นหนังกำพร้ามากผิดปกติ ฝ้าชนิดนี้ค่อนข้างตอบสนองดีต่อการรักษา เนื่องจากเม็ดสีเมลานินอยู่ไม่ลึกในผิวหนัง จึงง่าจต่อการกำจัด
      ฝ้าชนิดลึก ผื่นฝ้าจะเป็นสีน้ำตาลผสมสีเทาเข้ม ขอบเขตไม่ชัด เกิดจากเม็ดสีเมลานินอยู่ในชั้นหนังแท้ มีผลทำให้การรักษาค่อนข้างยาก
      ฝ้าชนิดผสม มีเม็ดสีเมลานินสะสมมากทั้งในชั้นหนังกำพร้าและหนังแท้

  วิธีการรักษา 

         เน้นหลักสำคัญ 2 ประการคือ หลีกเลี่ยงหรือป้องกันปัจจัยที่กระตุ้นให้ฝ้าเป็นมากขึ้น ร่วมกับการพยายามรักษาให้ฝ้านั้นจางลง
         ดังนั้น ผู้ที่มีปัญหาเรื่องฝ้าควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิดหรือยาอื่นๆ ที่อาจทำให้รอยคล้ำนั้นเป็นมากขึ้น การหลีกเลี่ยงแสงแดดก็เป็นสิ่งสำคัญ และจำเป็นต้องใช้ครีมกันแดดอย่างสม่ำเสมอ
         การเลือดครีมกันแดด ควรเลือกที่มีประสิทธิภาพดี ป้องกันได้ทั้ง UVA และ UVB สำหรับค่า SPF(Sun Protection Factor) ควรมีค่าประมาณ 30 หรือสูงกว่า
         ส่วนการรักษาให้ฝ้าจางลงนั้นมีหลายวิธี แต่ละวิธีมีข้อดีและข้อเสีย แตกต่างกันไปดังนี้

       1. การทายา ยาทารักษาฝ้านั้นแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม

          กลุ่มที่เร่งกำจัดเซลล์หนังกำพร้า ทำให้เม็ดสีเมลานินถูกกำจัดออกไปได้เร็วขึ้น เช่น กรดวินามินเอ, ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดผลไม้(AHA)
          กลุ่มที่ลดการสร้างเม็ดสีเมลานิน เช่น ยาไฮโดรควิโนน(Hydroquinone), กรดโคจิค(Kojic acid), วิตามินซี การรักษาต้องใช้เวลา 4-8 สัปดาห์จึงเห็นการเปลี่ยนแปลง และมักได้ผลในกรณีที่เป็นฝ้าชนิดตื้น ข้อควรระวังคืออาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย

       2. วิธีกรอผิวชนิด Microdermabrasion ช่วยเร่งการขจัดเซลล์หนังกำพร้าให้หลุดลอกเร็วขึ้น ได้ผลสำหรับฝ้าที่อยู่ในชั้นตื่นๆ ข้อควรระวัง คือ อาจทำให้ผิวระคายเคืองง่าย นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีของเลเซอร์ และเครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูงมาใช้ ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้รับความสนใจอย่างมากในปัจจุับัน

       3. เครื่องให้กำเนิดแสงความเข้มสูง (Intense Pulsed Light หรือIPL) มีผลให้เม็ดสีเมลานิน ดูดซับแสง ถูกทำลายและมีจำนวนลดลง ทำให้ฝ้านั้นจางลงหรือหายไป ข้อจำกัดของIPL คือมักได้ผล ในกรณีที่เป็นฝ้าชนิดตื้นเท่านั้น

       4. เลเซอร์ C6 แสงเลเซอร์จะทำลายเฉพาะเม็ดสี และมีผลต่อผิวบริเวณข้างเคียงน้อย ทำให้เกิดการแตกสลายของเม็ดสี ทำให้ฝ้านั้นจางลง หรือหายไป ข้อดีคือ ใช้รักษาได้ทั้งเม็ดสีที่อยู่ในชั้นตื้นและลึก เช่น ฝ้า, กระ, กระลึก, ปานดำ และรอยสัก
สำหรับการรักษาฝ้าใช้เวลาในการรักษาทุก 2-4 สัปดาห์ ประมาณ 5-10 ครั้ง

   สาเหตุของการเกิดฝ้า 

         มีปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ปัจจัยเหล่านี้มีผลกระตุ้นการทำงานของเซลล์สร้างเม็ดสี ได้แก่

        แสงแดด เป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุด รังสี UVA และ UVB เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้า และทำให้เป็นฝ้ามากขึ้นได้
        ฮอร์โมน ฝ้าอาจเป็นมากขึ้นในสตรีที่รับประทานยาคุมกำเนิดหรือสตรีที่ตั้งครรภ์ และฝ้ามักจางลงภายหลังหยุดยาคุมกำเนิด หรือหลังคลอด
                 ยาบางชนิด เช่น ยากันชัก อาจทำให้ฝ้ามีสีคล้ำขึ้น
        พันธุกรรม เชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องในการเกิดฝ้า เนื่องจากมีรายงานการเกิดฝ้าในครอบครัวถึงร้อยละ 20-70




ที่มา ... รพ.สินแพทย์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #329 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2012, 08:35:32 PM »

เวลาที่ไม่ควรแปรงฟัน  


แม้ว่าการแปรงฟันเป็นประจำจะเป็นสุขนิสัยที่ดีแต่มีบางเวลาที่ไม่ควรแปรงฟันในทันที

สมาคมทันตกรรมชิคาโก ระบุว่า ไม่ควรแปรงฟันทันทีหลังจากดื่มเครื่องดื่มที่มี ส่วนผสมของโซดาหรือกรด เช่น น้ำอัดลม น้ำส้ม เพราะการแปรงฟันขณะที่มีกรดหลงเหลืออยู่ในปากจะยิ่งกระตุ้นให้ฟันผุง่ายยิ่งขึ้น


วิธีที่ควรทำหลังจากดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้ คือ ดื่มน้ำเปล่าหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายผลิตน้ำลายมากขึ้นซึ่งจะช่วยปรับสมดุลภายในปาก หลังจากนั้นค่อยแปรงฟัน วิธีนี้ใช้กับผู้ที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ซึ่งมักจะมีน้ำย่อยที่มีสถานะเป็นกรดไหลย้อนมาอยู่ในปากได้ด้วย

 
 

ขอบคุณ : pooyingnaka.com
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 20 21 [22] 23 24 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: