Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 72011 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 27 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #345 เมื่อ: เมษายน 15, 2012, 10:33:29 AM »

กินตามใจแต่ (ยัง) ไม่อ้วน ตามแบบสาวเอเชีย


กินตามใจแต่ (ยัง) ไม่อ้วน ตามแบบสาวเอเชีย

เคย สงสัยมั้ยว่า ทำไมสาวหุ่นปิ๊งหลายคน หรือคนที่ผอมบางกินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน นั่นอาจเป็นเรื่องน่าอิจฉาที่เขาเหล่านั้นมีระบบเผาผลาญดีกว่า แต่สูตรการรักษาหุ่นแบบฉบับของสาวเอเชียเหล่านี้ ก็มีทั้งสูตรลัดและสูตรโกงที่จะช่วยให้คุณรักษารูปร่างได้ โดยไม่จำเป็นต้องจำกัดแคลอรีอยู่ทุกมื้อ ใครจะอยากผอมแบบต้องทนอดอยากไปตลอดจนชีวิตไม่กันล่ะ จริงมั้ย

 1.คิดถึงความผอมเข้าไว้ แล้วคุณจะผอม

หากคุณคิดว่าตัวคุณผอมแล้ว หรือจะต้องผอม อาจใช้เป็นหลักจิตวิทยาให้คุณลดน้ำหนักได้มากกว่า 2 กิโลกรัมภายใน 2 สัปดาห์เลยนะ และโดยธรรมชาติชาวเอเชียจะบริโภคอาหารน้อยกว่าชาวตะวันตกอยู่แล้ว การลดน้ำหนักจึงมักทำได้ง่ายกว่า แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายน้ำหนักที่คุณต้องการลดด้วยนะ

 2.อยู่ห่างของหวานบ้าง

คงเป็นไปได้ยากหากกินแต่ของหวานแสนอร่อยแล้วคุณจะผอม แน่นอนว่าคุณสามารถกินของหวานสุดโปรดได้ แต่บางครั้งคุณก็ควรเลือกหยิบแซนด์วิชเป็นของว่างแทนเค้กหรือคุกกี้บ้าง

 3.เน้นอาหารเอเชีย

หลายเมนูอาหารเอเชีย ไม่ว่าจะเป็นอาหารของชาติเราหรือประเทศเพื่อนบ้านทั้งหลาย มักให้แคลอรีน้อยกว่าอาหารเนื้อ นม ไข่ อย่างอาหารฝรั่ง หากคุณเน้นอาหารเอเชียมากกว่าอาหารฝรั่งเป็นปกติอยู่แล้วในแต่ละวัน คุณก็ยังพอมีลุ้นที่จะไม่เกิดอาการน้ำหนักขึ้นแบบฉุดไม่อยู่

 4.ทำอาหารเอง

เพราะเมื่อคุณลงมือปรุงอาหารด้วยตัวเอง ซึ่งต้องใช้เวลาและผ่านขั้นตอนมากมาย จะทำให้คุณที่รู้สึกหิวในตอนแรก รู้สึกหิวน้อยลงได้ หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการทำอาหาร และเมื่อปรุงอาหารเสร็จ คุณก็จะไม่ตักกินมากจนเกินพอดี หากใครทำอาหารไม่เป็น ก็ขอเข้าไปช่วยเป็นลูกมือหั่นเนื้อหรือล้างผักก็ได้ แล้วพอถึงเวลากินคุณก็จะไม่รู้สึกหิวจัดอีกต่อไป

 5.พยายามอย่าดื่มเบียร์

เบียร์นั้นให้แคลอรีค่อนข้างสูงและต้องใช้เวลานานกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ กว่าจะเริ่มรู้สึกเมา ถึงตอนนั้นคุณอาจซดหมดไปหลายขวดแล้วก็ได้

 6.วิ่งให้ได้สัปดาห์ละ 2 ชั่วโมง

การวิ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้คุณเผาผลาญแคลอรีได้มากที่สุดแล้ว หากคุณหาเวลาวิ่งสัก 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละหนึ่งชั่วโมง มันก็มีส่วนช่วยให้หุ่นคุณคงความเป๊ะและเฟิร์มได้

 7.อย่าหลงเชื่อโฆษณา

อย่ายึดติดอยู่แค่อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีการโฆษณาสรรพคุณไว้ว่าลดน้ำหนักได้ชัวร์ ของอย่างนี้ต้องพึ่งตัวเราเองด้วยนะ

5 เมนูอันตรายที่คุณควรงดถ้าอยากผอม

ใครที่อยากมีหน้าท้องแบนเรียบ หรือคงกล้ามเนื้อซิกซ์แพ็กเอาไว้ นี่คือสิ่งที่คุณควรห้ามใจไว้สักหน่อย

 1.ขนมหรืออาหารจำพวกแป้ง คาร์โบไฮเดรตจากแป้งขาวทั้งหลาย มีแต่จะช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลให้แก่ร่างกายคุณ

 2.เฟรนซ์ฟรายด์และมันฝรั่งแผ่น ที่แม้จะบอกว่าเป็นสูตรไขมันต่ำแล้วก็ตาม ถ้าชอบมันฝรั่ง ควรอบมันฝรั่งกินเองที่บ้านจะดีกว่า

 3.น้ำเชื่อมข้าวโพด ที่มีฟรุกโทสสูงนั้นอันตรายกว่าน้ำตาลทั่วไป เพราะมันจะผ่านกระบวนการในร่างกายในอีกรูปแบบหนึ่ง คือไปผ่านที่ตับก่อนเลย น่ากลัวใช่มั้ยล่ะ

 4.อาหารแช่แข็ง ที่แม้จะระบุว่าเป็นอาหารไดเอ็ตก็ตาม มันอาจมีแคลอรีเท่ากับอาหารบุฟเฟต์มื้อหนึ่งเลยล่ะ

 5.อาหารจานด่วน คุณ ย่อมถูกปลูกฝังมาแล้วว่าฟาสต์ฟู้ดเป็นภัยต่อการไดเอ็ต แล้วมันก็ยังเป็นเช่นนั้นอยู่ เพราะฟาสต์ฟู้ดนั้นอุดมไปด้วยไขมันแปรรูปที่จะไปลดปริมาณคอเลสเตอรอลที่มี ประโยชน์ต่อร่างกาย และเพิ่มคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีแทนด้วย

thanks
(Lisa)


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #346 เมื่อ: เมษายน 16, 2012, 09:13:45 PM »

เมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับ ควรทำอย่างไร



เมื่อเกิดอาการนอนไม่หลับ

น้ำผึ้ง มีสรรพคุณช่วยแก้อาการนอนไม่หลับ โดยใช้ น้ำอุ่น 1แก้ว ตามด้วย น้ำผึ้ง 1 ช้อนผสมน้ำและน้ำผึ้งให้เข้ากัน แล้วดื่มก่อนนอน
อย่านอนผิดเวลาทุกวัน คุณรับประทานอาหารประมาณเวลาเดิม ก็ขอให้เข้า นอน และ ตื่นนอนตามตารางเวลา เดิมเป็น ประจำด้วย
ถ้าเข้านอนแล้ว นอนไม่หลับ ควรลุกออกจากเตียง หากิจกรรมอื่นทำ เช่น อ่านหนังสือคลายเครียด นั่งนิ่งๆสักพัก
งดอาหารหวานทุกชนิดก่อนเวลาเข้านอน เพราะอาหารหวานจะช่วยให้ร่างกายตื่นตัว
กินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง จำพวกถั่วชนิดต่างๆ ผักใบเขียวเข้ม และผลไม้แห้ง จะช่วยให้หลับง่ายขึ้น
….
ยังมีอีกหลายวิธี ลองทำตามวิธีที่คุณถนัดที่สุด อาการนอนหลับ ส่วนใหญ่ จะเกิดจาก เครียดเป็นเวลานาน หรือ นอนไม่พอหลายๆคืนติดต่อกัน ทำให้เกิดอาการเครียด ทำให้นอนไม่หลับได้ ดังนั้น คุณควรหลีกเลี่ยง การอดนอนเป็นเวลานานๆนะคะ


 
 

ขอบคุณ : sakid.com
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #347 เมื่อ: เมษายน 16, 2012, 09:15:59 PM »

วิธีป้องกันโรคร้อนใน ทำร้ายปาก



วิธีป้องกันโรคร้อนใน ทำร้ายปาก (Woman’s Story)

           รู้ไหมคะว่า การอดนอนจะนำพาโรคภายในช่องปากอย่าง "ร้อนใน" มาให้เราได้ เอาเป็นว่าตอนนี้เราไปเรียนรู้วิธีป้องกันโรคร้อนในพร้อม ๆ กันดีกว่าค่ะ...

           "ร้อนใน" สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยอาการร้อนในจะเกิดขึ้นในช่องปาก เริ่มแรกจะมีตุ่มแดงขึ้นมา แล้วจากนั้นก็จะค่อย ๆ กลายเป็นเม็ดสีขาวมีขอบสีแดงนูนออกมา ทำให้เจ็บบริเวณที่เป็นแผล อาการร้อนในมีสาเหตุมาจากการนอนดึก ร่างกายอ่อนเพลีย ความเครียด การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน การมีประจำเดือน การแพ้อาหาร หรืออาจเกิดจากการขาดวิตามิน B 12 ธาตุเหล็กและกรดโฟลิก แต่ก็อย่ากังวลมากเกินไป เพียงแค่เราลองปฏิบัติตามวิธีที่นำมาแนะนำต่อไปนี้

           1.ควรเลี่ยงการตากแดดจัด ๆ เพราะจะทำให้อุณหภูมิของร่างกายสูงขึ้น
           2.ควรทานคือ "วิตามินซี" เพื่อให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายแข็งแรงอยู่เสมอ
           3.ไม่ควรทานอาหารประเภท มัน ๆ ทอด ๆ เพราะจะเพิ่มความร้อนให้ร่างกาย
           4.ควรเลือกกินอาหารที่มีลักษณะเย็น ๆ เช่น ส้ม แตงโม

           ด้วยวิธีง่าย ๆ เพียงเท่านี้เราก็จะสนุกกันได้เต็มที่แล้วล่ะค่ะ ยังไงก็ลองนำไปปฏิบัติดูนะคะ


THANKS


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #348 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 07:23:21 PM »

อาบน้ำคลายเครียด


การอาบน้ำก็เป็นการผ่อนคลายได้อีกวิธีหนึ่ง แล้วถ้าหากเราใช้อุปกรณ์เสริมหรือวิการอาบน้ำที่สามารถช่วยให้ผ่อนคลายและสด ชื่น แล้วยังสวยได้ด้วยเนี่ยก็น่าสนใจใช่มั้ยคะ..

แปรงผิวช่วยระบบหมุนเวียนโลหิต

          ก่อนการอาบน้ำให้ใช้แปรงแห้งถูกตัว จะช่วยกำจัดเซลผิวหนังที่ตายแล้วช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ช่วยให้ต่อมน้ำเหลืองถ่ายเทได้ดียิ่งขึ้น (อาการจะลดน้อยลง) โดยเริ่มถูตัวจากเท้าขึ้นไปถึงบริ้วณหัวใจทำอย่างเบามือและเป็นจังหวะสั้นๆ ทั่วลำตัว

เกลือคลายเครียด

          เกลืออาบน้ำจะช่วยในการคลายเครียดและวิตกกังวลได้ ให้ผสมเกลืออาบน้ำประเภท Oil - Infused กับสบู่เหลว แล้วใช้ขัดตัวระหว่างอาบน้ำ ขัดเบาๆ เป็นรูปวงกลม เม็ดเกลือจะช่วยขัดถูเซลผิวหนังที่ตายแล้วออกไปได้ รวมทั้งช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อด้วย

อาบน้ำอบกลิ่นหอม

          ถ้ามีถังไม้ให้เอามาใช้อบตัวได้เลย ก่อนอื่นเลยต้องปิดห้องน้ำให้มิดชิด อุดทางระบายของถังด้วยแล้วหยิบน้ำมันประเภท Reviving Essential Oil ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งกลิ่นยูคาลิบตัส โรสแมรี่ หรือเป็ปเปอร์มินท์ มาหยดลงในถัง เปิดน้ำฝักบัวอุ่นๆ ให้รดผ่านตัวลงถังไม้   คุณจะรู้สึกสบายตัวสบายเท้า แถมยังสดชื่นโล่งสบายจากกลิ่นหอมของน้ำมันหอมอีกด้วย

อาบน้ำท่ามกลางแสงเทียน

          เพื่อช่วยให้การอาบน้ำชำระร่างกายที่ทำงานเหนื่อยมาทั้งวันมีความสดชื่นมากยิ่ง ขึ้น คุณควรจะมีเทียนไขที่อบกลิ่นน้ำหอมไว้ประจำในห้องน้ำ การอาบน้ำท่ามกลางแสงสลัวโรแมนติก และกลิ่นหอมจากเทียนไข จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น


ที่มา : ladytip.com
http://www.teenrama.com/around/f_old_around55.htm

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #349 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 07:25:07 PM »

วิธีถนอมดวงตาเวลาใช้คอมพิวเตอร์


ถนอม "สายตา" คู่สวย ยามนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์ ด้วยวิธีง่ายๆ

1. เริ่มจาก จอภาพ ควรห่างจากสายตาประมาณ 1 ช่วงแขน และ ตั้งกับโต๊ะที่ไม่สูงหรือต่ำเกินไป หากระยะห่างระหว่างจอกับตาไม่สัมพันธ์กัน จะทำให้รู้สึกเมื่อยล้าและปวดตาได้ นอกจากนี้ ยังส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณไหล่และหลังเกร็ง เนื่องจากท่านั่งไม่สมดุล และต้องก้ม-เงย เป็นเวลานาน

2. ปรับแสงหน้าจอคอมฯ ให้รู้สึกสบายตา โดยดูจากสภาพแวดล้อมในห้องด้วยว่า เมื่อส่องมากระทบจะมีแสงจ้าเกินไปหรือไม่ เพราะแสงที่สว่างมากจะส่งผลเสียต่อตาได้ง่าย อาจทำให้รู้สึกแห้งและแสบตา

3. คลายความล้า โดยหยุดพักทุก 30 นาที มองไปไกล ๆ หรือหลับตาประมาณ 5 นาที จากนั้น อาจเปลี่ยนอิริยาบถยืดเส้นยืดสาย เพื่อลดปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเนื่องจากการใช้คอมฯ เป็นเวลานาน

4. หลังทำงานเสร็จ หลับตา แล้วใช้น้ำเย็นชโลมดวงตา หรือหาผ้าชุบน้ำหมาด ๆ มาปะคบประมาณ 5 นาที จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตา และทำให้เลือดหมุนเวียนมาเลี้ยงดวงตาได้ดี

ลองไปปรับใช้กับคอมพิวเตอร์เครื่องโปรดกันดู เพื่อถนอมดวงตาคู่สวยให้ใสปิ๊ง และทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #350 เมื่อ: เมษายน 19, 2012, 07:34:21 PM »

เคล็ดลับเลือดลมแข็งแรง ต้านอากาศร้อน


เคล็ดลับเลือดลมแข็งแรง ต้านอากาศร้อน ฮึบๆ....

- ไม่ควรทำอะไรเร่งร้อนในวันที่อากาศร้อน ๆ เช่น ไม่ไปเดินช้อปปิ้งขนานใหญ่ เลื่อนวันนัด พักผ่อนหรือไม่ทำอะไรเลย

- ไม่ควรทำงานที่ใช้แรงกายหักโหมจนเหงื่อไหลไคลย้อย ควรออกกำลังกายตอนเช้าตรู่ หรือตอนเย็นเมื่อพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว

- นอนหลับพักผ่อนตอนกลางวัน 15-30 นาทีในที่ร่มหรือในห้องที่มีความเย็น เลือดลมหมุนเวียนดีนั่นเอง

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #351 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 09:25:06 PM »

คลายร้อนด้วยสมุนไพรไทย


ในช่วงหน้าร้อน เป็นช่วงเปลี่ยนอากาศจากหนาวมาเป็นร้อน ร่างกายคนเราอาจไม่สามารถปรับตัวตามสภาพแวดล้อมได้ จึงเกิดภาวะเสียสมดุลและมักจะมีอาการป่วยขึ้นมาได้ บางคนอาจเกิดอาการภาวะขาดน้ำและเกลือแร่จากการเสียเหงื่อในปริมาณมาก และ/หรือจากการทำงานกลางแจ้ง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลียได้
 
วันนี้จึงมีคำแนะนำในการนำสมุนไพรแบบไทยๆ มาคลายร้อนซึ่งง่ายและได้ผลตามภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะในหน้าร้อนนี้ คงไม่มีอะไรดีไปกว่าเครื่องดื่มปรุงจากสมุนไพรช่วยดับกระหายที่มีคุณค่ามาดับร้อนผ่อนกระหาย ซึ่งการดื่มน้ำสะอาดเย็นชื่นใจก็ช่วยดับกระหายคลายร้อนได้ น้ำสมุนไพรเป็นเครื่องดื่มที่ได้จากพืชหลายชนิด เช่น ผัก ผลไม้ และธัญพืชต่างๆ นำมาแปรรูปให้เหมาะสมตามทั้งนี้น้ำสมุนไพรมีประโยชน์แตกต่างกัน เช่น
 
1.มะตูมสุก รสหวานเย็น สรรพคุณแก้ลม แก้เสมหะ แก้มูกเลือด บำรุงไฟธาตุ แก้กระหายน้ำ ขับลม รสฝาด แก้ปวดศีรษะ ตาลาย เจริญอาหาร ลดความดันโลหิตสูง

2.กระเจี๊ยบแดง นอกจากช่วยแก้กระหายน้ำและทำให้สดชื่นแล้ว น้ำกระเจี๊ยบยังช่วยขับปัสสาวะ แก้นิ่ว ช่วยย่อยอาหาร และเป็นยาระบายอ่อนๆ แถมยังช่วยลดไข้และแก้ไอได้อีกด้วย

3.ดอกเก๊กฮวย แก้ร้อนใน กระหายน้ำ ช่วยให้สดชื่น ลดอาการครั่นเนื้อครั่นตัวเพราะอากาศร้อน

4.ใบว่านหางจระเข้ ช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แถมยังช่วยให้ระบบขับถ่ายดีและท้องไม่ผูก น้ำดื่มสมุนไพรชนิดนี้เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนนอนดึกและอ่อนเพลีย

5.น้ำรากบัว เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้ได้มาจากรากบัวต้มกับน้ำ ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย นอกจากนี้ยังมีสรรพคุณแก้ท้องร่วง แก้ร้อนใน ลดไข้ ขับเสมหะ บำรุงกำลัง ช่วยให้เจริญอาหาร

6.น้ำว่านกาบหอย ทำมาจากใบว่านกาบหอย ใช้ดื่มเพื่อแก้ร้อนใน กระหายน้ำ และยังแก้ฟกช้ำภายในได้ด้วย

7.น้ำใบบัวบก เครื่องดื่มสมุนไพรชนิดนี้เป็นที่รู้จักกันดี ช่วงที่อากาศร้อนแบบนี้เกือบทุกคนจะนึกถึงน้ำใบบัวบก น้ำสมุนไพรนี้ได้มาจากใบบัวบกสด มีสรรพคุณแก้เจ็บคอ กระหายน้ำ แก้ช้ำใน โรคปากเปื่อย ปวดศีรษะข้างเดียว ทำให้สดชื่น และยังช่วยลดความดันโลหิตสูง

8.น้ำใบเตย เพิ่มความสดชื่น ช่วยในการบำรุงหัวใจ ลดอาการกระหายน้ำ
 
9.มะนาวผสมน้ำผึ้ง เป็นยาแก้ไอ ละลายเสมหะ แก้ท้องอืด ช่วยขับลม แก้กระหายน้ำ แก้ร้อนใน บำรุงธาตุ แก้เลือดออกตามไรฟัน และถ่ายพยาธิ
 
วิธีการดื่มที่ดี : ควรดื่มแบบจิบช้าๆ และควรดื่มทันทีที่ปรุงเสร็จเพื่อให้ได้คุณค่าทางอาหารและทางยามากกว่าปล่อยทิ้งไว้นานแล้วดื่ม และที่สำคัญแล้วยิ่งอากาศร้อน คุณยิ่งต้องใส่ใจเรื่องของการรับประทานอาหารมากขึ้น เพราะการเลือกรับประทานอาหารในช่วงอากาศร้อนอย่างนี้ ยังช่วยให้คุณ.. ไม่ต้องเสี่ยงต่อโรคท้องร่วงและโรคอาหารเป็นพิษ ที่สำคัญคือ อย่าปล่อยให้จิตใจเราร้อนตามอากาศรอบกายก็แล้วกัน รักษาใจให้เย็นไว้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #352 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 09:09:27 PM »

สะอาดเกินไปทำลายสุขภาพ  

 



 
เตือนแม่บ้านใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรงเกิน เพราะหวั่นเชื้อโรค เสี่ยงส่งผลต่อสุขภาพ         

แม่บ้านที่กลัวเชื้อโรคมักใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง แต่ ดร.ฟริดริช เฮล์ม จากสถาบันสุขศาสตร์และสิ่งแวดล้อมในเมืองฮัมบวร์ก ประเทศเยอรมนีกล่าวเตือนว่า

การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคที่รุนแรงในการล้างห้องน้ำ อ่างล้างหน้า พื้น ฯลฯ จะทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ และน้ำยาทำความสะอาดที่แรงเกินจะส่งผลให้เป็นโรคภูมิแพ้มากขึ้น และภูมิต้านโรคของร่างกายจะไวกับสิ่งแปลกปลอม เช่น ละอองเกสรดอกไม้ ฟาง ผิวแพ้ง่าย และหากใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคบ่อยๆ เชื้อแบคทีเรียก็จะเคยชินกับน้ำยาและไม่สะดุ้งสะเทือนกับน้ำยาฆ่าเชื้อ เช่นเดียวกับการใช้ยาปฎิชีวนะบ่อยๆ ก็จะทำให้เชื้อโรคดื้อยานั่นเอง ข้อแนะนำคือ ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่รุนแรง น้ำยาฆ่าเชื้อโรคมีประโยชน์ในบางกรณี เช่น เมื่อมีคนในครอบครัวป่วยเป็นโรคติดเชื้อที่อันตราย (เช่น ไข้หวัดใหญ่) การทำความสะอาดพื้นและสิ่งสกปรกด้วยผงซักฟอกหรือสบู่ธรรมดาๆ ก็เพียงพอ การทำความสะอาดคราบต่างๆ ในห้องครัวหรือห้องน้ำให้ใช้น้ำส้มสายชูหรือน้ำผสมน้ำส้มสายชู (น้ำส้มสายชูหนึ่งช้อนโต๊ะผสมกับน้ำหนึ่งลิตร) คราบไขมันที่แก้วและกระจกให้ใช้แอลกอฮอล์ที่มีความเข้มข้น 60% ทำความสะอาด หรือผสมกับน้ำ 1:1 ส่วนสำหรับล้างขวด

 
 

ขอบคุณ : หนังสือพิมพ์ดิจิตอล Investor Station
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #353 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2012, 08:34:24 PM »

บิด..โรคที่มากับอากาศร้อน


บิด..โรคที่มากับหน้าร้อน (ไทยโพสต์)

          โรคบิด เป็นโรคประจำถิ่น มักพบในพื้นที่เขตร้อน โดยเฉพาะประเทศไทยมีรายงานผู้ป่วยทั่วทุกภาค เนื่องจากการบริโภคอาหารและน้ำดื่มที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ที่สำคัญคือเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่าย โดยผู้ป่วยได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

          สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ออกโรงเตือนปัญหาโรคบิดในช่วงฤดูร้อนคาบหน้าฝนนี้ว่า บิดเป็นหนึ่งในบรรดาโรคติดต่อจากอาหารและน้ำดื่ม แม้เป็นโรคที่ไม่ร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิต ทว่าอาการเจ็บป่วยก็สร้างความทุกข์ทรมานไม่น้อยเลยทีเดียว ลักษณะอาการคือ ปวดเบ่งที่ทวารหนักคล้ายกับอาการถ่ายอุจจาระไม่สุด ถ่ายออกมาเป็นมูกหรือมูกปนเลือด มีไข้ ปวดท้องแบบเบ่งร่วมด้วย

          โรคบิดสามารถติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือน้ำดื่มที่ไม่สะอาด มีการปนเปื้อนของเชื้อโรค ซึ่งมักพบในอุจจาระของผู้ป่วยหรือผู้ที่เป็นพาหะ โดยมักแสดงอาการหลังการรับเชื้อโรคเพียง 10-100 ตัวเท่านั้น

          รายงานจากสำนักระบาดวิทยา ระบุว่า ปี พ.ศ. 2553 มีคนไทยป่วยเป็นโรคบิดทั้งหมด 14,761 ราย หรือคิดเป็นอัตราส่วน 23.24 ต่อแสนประชากร แต่ไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต สัดส่วนผู้ที่ป่วยเป็นโรคบิดตั้งแต่ปี 2546-2553 มีแนวโน้มลดน้อยลง โดยในปี 2546 มีอัตราป่วย 36.72 ต่อแสนประชากร ลดเหลือ 23.24 ต่อแสนประชากรในปี 2553

          จากการสำรวจข้อมูลแนวโน้มการป่วยด้วยโรคบิดในแต่ละเดือน ในปี 2553 พบว่า ช่วงเดือนพฤษภาคม -สิงหาคม เป็นช่วงที่มีอัตราการเจ็บป่วยสูงมาก และจะลดลงเรื่อย ๆ จนมีอัตราป่วยต่ำที่สุดในรอบปี คือเดือนธันวาคมของทุกปี

          ส่วนภูมิภาคที่พบการกระจายของโรคบิดมากที่สุดในปี 2553 คือ ภาคเหนือ มีอัตราป่วย 56.57 ต่อแสนประชากร รองลงมาคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีอัตราป่วย 23.21 ต่อแสนประชากร ภาคใต้ มีอัตราป่วย 11.77 ต่อแสนประชากร และภาคกลาง มีอัตราป่วย 9.68 ต่อแสนประชากร เมื่อเปรียบเทียบข้อมูลพื้นที่ที่มีจำนวนผู้ป่วยมากที่สุดและน้อยที่สุด พบว่า ภาคเหนือมีสัดส่วนผู้ป่วยมากกว่าภาคกลางถึง 6 เท่า

          สรุปว่า บิดเป็นโรคที่ติดต่อได้ง่ายและมีการแพร่ระบาดในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ปัจจัยสำคัญมาจากอาหารและน้ำดื่มที่ไม่ถูกสุขอนามัยและมีการปนเปื้อนเชื้อ โรค วิธีช่วยให้ห่างไกลจากโรคบิดคือ บริโภคอาหารและน้ำที่สะอาด หลีกเลี่ยงการดื่มน้ำคลองและน้ำดิบ และที่สำคัญ ควบคุมดูแลการกระจายที่มาของเชื้อโรคคือ อุจจาระ โดยการใช้ส้วมที่ถูกสุขลักษณะ



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #354 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 06:40:31 PM »

“หวัดยุคใหม่” หายได้ต้องใช้ยา?



ปฏิเสธไม่ได้ว่า ในยามที่ลูก หรือสมาชิกในครอบครัวไม่สบาย ปวดหัวตัวร้อน มีน้ำมูก รวมถึงมีอาการไอ คนเป็นหัวหน้าครอบครัวอย่างพ่อแม่มักไม่นิ่งนอนใจ ส่วนใหญ่จะรีบพาไปพบแพทย์แผนปัจจุบันโดยด่วน ซึ่งแน่นอนว่า กว่าจะได้กลับบ้าน หลายครอบครัวมักมีของแถมเป็นยาถุงใหญ่ ทั้งยาแก้ปวด ยาลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาลดไข้ ดีไม่ดียังได้รับยาแก้อักเสบมาด้วย

นอกจากรับยาแล้ว คำถามว่าลูกเป็นอะไร ก็เป็นอีกหนึ่งคำถามยอดฮิตที่คนเป็นพ่อแม่ต้องการทราบคำตอบ ซึ่งหากเป็นชื่อโรคที่ร้ายแรง คุณพ่อคุณแม่คงรู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ลูกได้อยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้ เชี่ยวชาญ แต่ถ้าหากว่าคำตอบของโรคที่เด็กเป็นคือ “โรคหวัด” แล้วล่ะก็ การได้รับยาถุงใหญ่ที่มียาสารพัดชนิดตามที่ปรากฏข้างต้นอาจเป็นเรื่องน่า กังวลใจสำหรับผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในแวดวงสาธารณสุขเลยก็เป็นได้
ที่รักษาโรค…ใช่ยาหรือเปล่านะ?

ความจริงอีกด้านของกรณีนี้ คุณหมอทะสึโอะ โยชิซากิ กุมารแพทย์ชาวญี่ปุ่น โรงพยาบาลชินเซไคโทยามา ผู้เขียนหนังสือ “Happy Advice รู้ก่อนหายไว ฉบับโรคภัยไข้เจ็บในเด็ก” ได้กล่าวเอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “สิ่ง ที่อยากให้คุณพ่อคุณแม่ทราบไว้แรกสุดคือ ยาจำพวก ยาแก้ไอ ยาลดน้ำมูก ยาละลายเสมหะ ฯลฯ ไม่ได้รักษาโรคหวัดหรือย่นระยะเวลารักษาแต่อย่างใด เพียงบรรเทาอาการต่าง ๆ อย่างเช่น ไอ มีน้ำมูก หรือมีเสมหะ เท่านั้น”
อย่างไรก็ดี เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคหวัดจำนวนหนึ่งคุ้นเคยกับการไปพบแพทย์ ที่โรงพยาบาล และได้รับยาต่าง ๆ เช่น ยาแก้ไอ ยาลดไข้ ยาแก้หวัดคัดจมูก บางรายอาจได้รับยาแก้ปวด ยาแก้อักเสบกลับมาเพื่อรักษาอาการต่าง ๆ โดยเชื่อว่าการทำเช่นนั้นคือการรักษาที่ถูกวิธีที่สุดแล้ว แต่ถ้าหากลองนึกย้อนถึงการป่วยด้วยโรคหวัดเมื่อ 20 – 30 ปีที่แล้ว ปฏิเสธไม่ได้ว่า หลายคนรวมทั้งทีมงาน Life & Familyหายจากไข้หวัดโดยการดื่มน้ำมาก ๆ นอนพักผ่อนเยอะ ๆ และมีคุณพ่อคุณแม่เช็ดตัวให้อย่างทะนุถนอม สอดคล้องกับคำตอบของคุณหมอทะสึโอะที่ระบุไว้ในหนังสือเล่มดังกล่าวอย่าง ชัดเจนว่า ยาที่แก้หวัดโดยตรงนั้นไม่มี!

“ยาที่แก้หวัดโดยตรงไม่มีหรอกครับ เพราะฉะนั้นถึงจะกินยาพวกนี้ก็ไม่ได้ทำให้หายไข้ หรือย่นระยะเวลารักษาลงครับ วิธีคิดที่ว่า “พอ มีไข้ก็ให้ยาปฏิชีวนะ” เป็นแผลก็ต้องให้สารต้านจุลชีพนั้นไม่ค่อยจะมีผลดี กลับดูจะมีผลร้ายเสียมากกว่า ส่วนแนวคิดที่ว่า “เอาเป็นว่าจ่ายยาปฏิชีวนะไว้ก่อน” นั้นเป็นความคิดที่โบราณ สมัยนี้มีน้อยลงทุกที นอกจากนี้ สาเหตุของไข้หวัดกว่า 80 – 90 เปอร์เซ็นต์ว่ากันว่ามาจากไวรัส และยาปฏิชีวนะนั้นก็ใช้ไม่ได้ผลกับไวรัส ด้วยเหตุนี้ผมจึงไม่ค่อยนิยมความคิดที่ว่า เป็นหวัดแล้วให้ยาปฏิชีวนะทันที”
รู้จักยาปฏิชีวนะกันสักหน่อย

อ้างอิงจากหนังสือ Happy Advice รู้ก่อนหายไว ฉบับโรคภัยไข้เจ็บในเด็ก คุณหมอทะสึโอะกล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ยาปฏิชีวนะ=ยาต้านจุลชีพ=สารต้านจุลชีพ แม้คำศัพท์จะต่างกันแต่ก็คือสิ่งเดียวกัน แต่ถ้าจะพูดให้ถูกต้องกว่านั้น ยาปฏิชีวนะครอบคลุมกว้างกว่ายาต้านจุลชีพและสารต้านจุลชีพครับ ยาต้านจุลชีพเป็นยาที่ใช้ทำลายเชื้อจุลินทรีย์ เช่น แบคทีเรีย ซึ่งไม่เพียงฆ่าเชื้อแบคทีเรียฝ่ายร้ายเท่านั้น แต่มักฆ่าแบคทีเรียฝ่ายดีที่อาศัยอยู่ในร่างกายของเราไปด้วย มีแบคทีเรียฝ่ายดีมากมายอาศัยอยู่ในจมูก คอ ผิวหนัง ลำไส้ ฯลฯ (เรียกว่าแบคทีเรียประจำถิ่น) คอยทำหน้าที่สำคัญ ป้องกันไม่ให้ไวรัสและแบคทีเรียบุกรุกเข้ามาได้ ยาต้านจุลชีพจะส่งผลกระทบถึงแบคทีเรียประจำถิ่นด้วย”

ประโยคด้านบนอาจทำให้ผู้ที่พึ่งพิงการใช้ยาในการรักษาโรคห่อเหี่ยวใจ แต่อย่าลืมว่า สิ่งที่เรียกว่าร่างกายของมนุษย์นั้นก็มี พลังตามธรรมชาติที่สามารถต่อกรกับโรคหวัดได้เช่นกัน นั่นก็คือ อาการมีไข้ มีน้ำมูก ไอ ท้องเสีย อาเจียน นั่นเอง


ขบวนการกู้ชีพเรน เจอร์ ยอดมนุษย์ 5 สีที่เปรียบได้กับ
พลังตามธรรมชาติของร่างกายในการฟื้นตัวจากโรคหวัด (ตัวร้อน ไอ มีน้ำมูก
อาเจียน และท้องเสีย) ขอบคุณภาพประกอบจากหนังสือ
 Happy Advice สำนักพิมพ์รักลูกบุ๊กส์ค่ะ

“การมีไข้ไม่ใช่เรื่องร้ายแรง แต่เป็นปฏิกิริยาตอบสนองของร่างกายเพื่อจะได้ต่อสู้กับสาเหตุของโรค (ไวรัสและแบคทีเรีย) อย่างได้เปรียบ เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ไวรัสและแบคทีเรียก็จะทำงานยากขึ้น”

พร้อมกันนี้ คุณหมอยังได้ยกตัวอย่างกรณีการรักษาของประเทศญี่ปุ่นด้วยว่า “เทียบกับประเทศอื่นแล้ว ที่ญี่ปุ่น อะไร ๆ ก็หันหน้าพึ่งยา หรือจะบอกว่าผู้คนมีแนวโน้มสูงที่หวังจะพึ่งพายามากจนเกินไปก็ได้ ถ้าเป็นผู้ใหญ่มีงานนอกบ้านในบ้านต้องทำ อาจจะต้องกินยาเพื่อจะได้ทำงานได้ แต่ สำหรับเด็กเล็กให้นอนพักผ่อนที่บ้านคือวิธีที่ดีที่สุด กุมารแพทย์หลายคนพูดว่า เราไม่ได้รักษาเด็ก แค่ช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยเพื่อสนับสนุนพลังของเด็กที่พยายามจะหายด้วยตัว เอง (พลังรักษาตัวเองโดยธรรมชาติ) จึงอาจกล่าวได้ว่า พลังรักษาตัวเองโดยธรรมชาติต่อพลังจากยาคือ 9 ต่อ 1″

นอกจากนี้ นายแพทย์ทะสึโอะ โยชิซากิยังเผยกับทีมงาน Life & Family ด้วยว่า ความ เข้าใจที่ผิดพลาดของพ่อแม่เกี่ยวกับการรักษาอาการหวัดในเด็กนั้นยังคงปรากฏ อยู่ในญี่ปุ่น โดยความเชื่อว่าการรักษาโดยใช้ยานั้นยังคงมีอิทธิพลต่อพ่อแม่ผู้ปกครองจำนวน มาก แต่ในฐานะแพทย์แล้ว เขาเชื่อว่า จำนวนของพ่อแม่ที่มีความเข้าใจ และตระหนักถึงความจริงที่ว่า การรักษาโรคหวัดนั้นสามารถรักษาได้ด้วยพลังของตัวเองตามธรรมชาติก็มีจำนวน เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายที่ดี

“อยากให้คุณแม่เข้าใจว่า แผนกเด็กเป็นที่ตรวจเด็ก ๆ ดูว่ามีอาการอะไรของโรคที่รุนแรงหรือไม่น่ะครับ นอกจากนี้การให้เด็กเล็กกินยา ก็มีผลเสียมากกว่าผลดีเสียอีก ที่จริง เด็ก ๆ หายได้ด้วยพลังของตัวเอง เชื่อในพลังของเด็ก ๆ เถอะครับ”

หันกลับมาที่ประเทศไทย แม้ว่าภาพของขวดยา 4 ขวดที่ปรากฏด้านบนของบทความอาจเป็นอีกหนึ่งคำตอบของการเดินทางไปพบกุมาร แพทย์แผนปัจจุบันเพื่อรับการรักษาอาการหวัดในเด็กเล็ก แต่จากความจริงอีกด้านที่วงการแพทย์ในญี่ปุ่นยอมรับ และมีการเผยแพร่อย่างกว้างขวางกับการเชื่อมั่นในพลังการฟื้นตัวตามธรรมชาติ ของเด็ก การค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับ “โรคหวัด” ให้มากขึ้นอาจเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับพ่อแม่ชาวไทยยุคนี้ก็เป็นได้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #355 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 08:43:09 PM »

วิธีป้องกันมะเร็งเบื้องต้น…ทุกคนทำได้/ดร.แพง ชินพงศ์






มะเร็ง เป็นโรคที่ใคร ๆ ต่างก็หวาดกลัว เพราะว่าเมื่อเป็นแล้วมักเกิดอาการเจ็บปวด ทุกข์ทรมาน อีกทั้งอาจมีอาการลุกลามจากอีกที่เป็นอยู่บริเวณหนึ่งไปยังอีกบริเวณหนึ่ง ได้ และส่วนใหญ่มักคิดว่ารักษาไม่หายแน่ ๆ แต่จริง ๆ แล้ว โรคมะเร็งบางชนิดสามารถป้องกันและรักษาให้หายขาดได้ถ้าได้รับการรักษา ตั้งแต่เริ่มเป็นใหม่ ๆ ดังนั้น วันนี้ผู้เขียนจึงมานำเสนอแนวทางในการดูแลสุขภาพตนเองเพื่อลดปัจจัยเสี่ยง จากการเป็นโรคมะเร็ง

1.ตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี เป็นสิ่งจำเป็นมากเพื่อที่จะรู้ว่าเรามีสุขภาพที่สมบูรณ์แข็งแรงอยู่หรือไม่ ส่วนใหญ่คนที่เป็นมะเร็งแล้วรักษาไม่หายหรือรักษาไม่ทันเพราะกว่าผู้ป่วยจะ รู้แน่ว่าตนเป็นโรคมะเร็งก็มีอาการอยู่ในขั้นที่ถือว่ารุนแรงแล้ว บางคนปวดท้องมาตลอดก็คิดเอาเองว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนบ้าง โรคกระเพาะบ้าง ก็ซื้อยามากินเอาเองตามที่เข้าใจไม่ยอมไปพบแพทย์ บางคนปวดหัวก็คิดเอาเองว่าเครียดหรืออาจเป็นไข้นิดหน่อย กินยาแก้ปวดเอาเองก็ได้ แต่จริง ๆ แล้วอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเตือนเราถึงโรคที่ร้ายแรงกว่านั้นเช่นโรค มะเร็งก็ได้ ดังนั้น นอกจากการตรวจร่างกายประจำทุกปีแล้วก็ควรรีบไปพบแพทย์ทุกครั้งเมื่อเกิด อาการเจ็บป่วยหรือมีสิ่งผิดปกติต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น มีตุ่มหรือเนื้องอกเกิดขึ้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรือมีเลือดออกผิด ปกติ จะทำให้เรายังมีเวลาที่จะรักษาอาการได้ไปอีกนาน

2. เลือกรับประทานอาหารที่ช่วยต้านมะเร็ง มีงานวิจัยที่กล่าวถึงอาหารที่มาจากผักและผลไม้หลายชนิดที่มีสารต้านมะเร็งได้ ซึ่งได้แก่

- ผักและผลไม้ บางประเภทมีสารที่ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในการทำลายเซลล์ที่ก่อมะเร็ง สามารถเปลี่ยนเซลล์มะเร็งให้เป็นเซลล์ปกติได้ อีกทั้ง สามารถยับยั้งการเกิดสารมะเร็งในร่างกายและมีสารต้านมะเร็ง ได้แก่คะน้า บล็อกเคอรี่ กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก มะเขือเทศ กระเทียม หัวหอม คึ่นไฉ่ ผักโขม แครอท แอปเปิ้ล ส้ม บีทรูท เห็ดหลินจือ

-ชาเขียว ประกอบด้วยสารคาเทชินและสารเคมีอีกหลายชนิด ซึ่งเป็นสารต่อต้านอนุมูลอิสระในระดับที่สูง จึงช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมถึงลดการเติบโตของมะเร็งได้

-น้ำสะอาด ช่วยทำความสะอาดและขจัดสารพิษสิ่งสกปรกออกจากเซลล์ในร่างกาย ควบคุมสมดุลกรดด่างและยังนำสารอาหารที่มีประโยชน์เข้าสู่เซลล์ด้วย จึงควรดื่มน้ำสะอาดในอุณภูมิปกติให้ได้วันละอย่างน้อย 6 – 8 แก้ว

-ธัญพืชต่างๆ เช่น ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ ข้าวสาลี ช่วยป้องกันมะเร็งในลำไส้ใหญ่ งาดำ มีสารแอนติออกซิแดนท์ที่ช่วยต่อต้านมะเร็ง ลูกเดือย ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเนื้องอกจึงลดการเกิดโรคมะเร็งได้

การหยุดรับประทานเนื้อสัตว์สีแดงและหันมาเลือกรับประทานอาหารที่เป็นพวก ธัญพืชแทน จะทำให้ร่างกายสะอาดและช่วยลดอาการของโรคมะเร็งได้ ผู้เขียนรู้จักคนหลายคนที่เป็นมะเร็งแล้วสามารถหายจากโรคมะเร็งที่เป็นอยู่ ได้โดยการรับประทานอาหารที่เป็นพวกธัญพืช






3.งดสูบบุหรี่และงดดื่มสุรา ทั้งบุหรี่และสุราล้วนให้โทษต่อร่างกาย เพราะในบุหรี่มีสารนิโคตินซึ่งเป็นสารพิษที่สามารถดูดซึมเข้าทางผิวหนังของ ร่างกายได้ อีกทั้งมีน้ำมันดิน ที่ประกอบด้วยสารเคมีหลายชนิดที่มีสารก่อมะเร็ง ดังนั้น การสูบบุหรี่จึงเสี่ยงต่อการทำให้เป็นโรคมะเร็งปอด มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งตับ มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก ส่วนในสุรานั้นมีสารอีทานอล ซึ่งเมื่อเข้าสู่การเผาผลาญของร่างกายที่จะกลายเป็นสารที่ก่อมะเร็ง การ ดื่มสุรานั้นจึงทำให้เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งตับ มะเร็งกระเพาะอาหาร ซึ่งเมื่อมีโทษมากมายเช่นนี้แล้วจึงควรงดให้ขาดให้ได้ทั้งสองอย่าง

4.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายเป็นประจำช่วยทำให้น้ำหนักตัวคงที่และไม่อ้วน เพราะการมีน้ำหนักมากเกินไปเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งมดลูก เพราะไขมันที่เป็นพิษมันฝังอยู่ตามส่วนของร่างกาย นอกจากนี้ เมื่อเราได้ออกกำลังกายจะทำให้การเผาผลาญออกซิเจนของร่างกายสูงขึ้น ซึ่งคณะนักวิจัยมหาวิทยาลัยโคโอปิโอ (Kuopio) พบว่า ผู้ที่ออกกำลังเป็นประจำอย่างน้อยวันละ 30 นาที จะเป็นมะเร็งน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้ปฏิบัติถึงครึ่งต่อครึ่ง

5.ทำจิตใจให้สบาย เมื่อมีความทุกข์ กังวล หรือเครียด ต้องพยายามลดความเครียดและความกังวลให้ได้โดยทำความคิดและจิตใจให้ปลอดโปร่ง ปล่อยวาง มองโลกในมุมที่สดใส แม้ยังไม่มีการยืนยันแน่ชัดว่าความเครียดส่งผลต่อการเกิดโรคมะเร็งโดยตรง หรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือความเครียดจากการเป็นโรคต่าง ๆ อาจยิ่งทำให้ร่างกายหรือโรคนั้นกำเริบขึ้นซึ่งอาจส่งผลให้กลายเป็นมะเร็งต่อ ไปได้


แม้โรคมะเร็งจะเป็นโรคร้ายที่ใคร ๆ ต่างก็หวาดกลัว แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะป้องกันหรือระงับอาการของมันไม่ได้ ผู้เขียนจึงอยากให้ผู้อ่านหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ทำจิตใจให้สบาย แม้บางกรณีอาจหลีกเลี่ยงไม่ได้โดยตรงเพราะอาจมาทางกรรมพันธุ์ แต่อย่างน้อยเมื่อเป็นแล้วเราจะสู้กับมันให้ถึงที่สุด และสามารถฝ่าฟันเอาชนะโรคนี้ให้ได้ในที่สุด ขอเป็นกำลังใจให้ทุกคน

ข้อมูลอ้างอิงThe Anti-Cancer Diet: Foods to Fight Cancer, American Institute for Cancer Research, 1759 R Street, NW, Washington, DC 20009

 

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #356 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 10:25:12 AM »

เคล็ดลับปรับสภาพร่างกาย ไม่เจ็บป่วยหลังออกกำลัง



ออกกำลังกายท่ามกลางสภาพอากาศร้อนอบอ้าว เสี่ยงเจ็บป่วย! อดไม่ได้เพราะเคร่งครัด ต้องรู้หลักปรับสภาพร่างกาย

เพราะสภาพอากาศบ้านเราหนักไปทางร้อน หลายคนบอกกันว่า มีแค่ฤดูร้อนมากกับร้อนน้อย เหตุนี้เอง 'มุมสุขภาพ' จึงนำเคล็ดลับปรับสภาพร่างกายก่อนออกำลังกายมาฝากผู้ที่รักการเอ็กเซอร์ไซส์ เพื่อลดความเสี่ยงการเจ็บป่วยหลังออกกำลัง เช่น ภาวะขาดน้ำ โรคฮีทสโตก หรือโรคลมแดด

โดย ดร.เซดริค ไบรอัน หัวหน้าแผนกวิทยาศาสตร์การกีฬา แห่งสถาบันการออกกำลังกายแห่งสหรัฐอเมริกา หรือ เอซีอี เผยในเอกสารข่าวสุขภาพ ว่า 30 นาที ก่อนออกกำลังกายท่ามกลางสภาพอากาศร้อนอบอ้าว แนะให้ดื่มน้ำมากๆ แม้จะรู้สึกท้องป่องหรืออืดน้ำก็ตาม

การปรับสภาพร่างกายยังไม่หมดแค่นั้น เพราะระหว่างออกกำลัง ทุกๆ 20 นาที ก็ต้องให้ร่างกายได้รับน้ำอย่างน้อย 60ออนซ์ถ้าร่างกายได้รับน้ำเพียงพอ หลังจากออกกำลังกายเสร็จจะไม่รู้สึกกระหายน้ำเลย

ดร.ไบรอัน บอกด้วยว่า น้ำบริสุทธิ์ถือเป็นของเหลวที่ดีที่สุดสำหรับร่างกาย เว้นแต่การออกกำลังกายที่กินเวลาเกิน 1ชั่วโมง ควรเลือกเครื่องดื่มสำหรับนักกีฬาโดยเฉพาะ

นอกจากเรื่องของน้ำแล้ว ชุดที่สวมใส่ไม่ควรเป็นแบบที่ดูดซับเหงื่อหรือกักเก็บความร้อน เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงให้ร่างกายเจ็บป่วยจากความร้อนได้

ผลดีของการปรับสภาพร่างกายเช่นนี้ จะไม่ทำให้อุณหภูมิร่างกายสูง แถมอัตราการเต้นของหัวใจลดลงขณะออกกำลังกาย และลดความเสี่ยงภาวะขาดน้ำ แต่ทางที่ดีที่สุดในการออกกำลังกายในหน้าร้อน ดร.ไบรอัน แนะให้ลดระดับการออกกำลังกายลงบ้าง

อาจเป็นคำแนะนำจากเมืองมะกันแดนไกล แต่ช่างเหมาะเจาะกับสภาพอากาศร้อนๆ ในบ้านเราเสียจริง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #357 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 10:28:02 AM »

321...ออกกำลังสมอง




ในชีวิตประจำวัน ทั้งในคนทำงาน และวัยเรียน ต่างต้องใช้ "สมอง" ในการครุ่นคิดเพื่อให้ได้ผลงาน บางครั้งไม่ได้เป็นเพียงเรื่องงานที่ต้องใช้สมองเท่านั้น ยังมีเรื่องอื่นๆ ทั้งเรื่องส่วนตัว เรื่องชีวิต ที่ต้องใช้สมองคิดเช่นกัน ส่งผลให้ร่างกายเหนื่อยล้าบ้าง เพราะสมองกับร่างกายนั้นเชื่อมโยงกันหากสมองใช้งานมากเกินไป อาจทำให้ร่างกายอ่อนล้า หรืออาจทำให้สมองเสื่อมไปบ้างเพราะฉะนั้นสมองจึงต้องการพักผ่อน และต้องมีความแข็งแรงเช่นกัน



ดังนั้น จึงเป็นที่มาของ "การออกกำลังสมอง" เพราะเซลล์สมองที่แข็งแรงยังส่งผลให้มีความจำ สมาธิ การรับรู้ ที่ดีด้วย รวมทั้งการคิด การแก้ปัญหา การตัดสินใจ และการวางแผนได้ดีขึ้น ที่สำคัญช่วยทำให้สมองฟิตโดยผู้ที่เป็นประธานนักบำบัดอธิบายถึงหลักการออกกำลังสมอง หรือนิวโรบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ ว่า เกิดจากการกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั้ง 5 คือ การได้ยิน ได้มองเห็น การได้กลิ่น การลิ้มรส และการสัมผัส รวมไปถึงส่วนสำคัญส่วนที่ 6 คือ ส่วนอารมณ์ (Emotional Sense) ได้ทำงานเชื่อมโยงกันโดยใช้กิจกรรมในชีวิตประจำวันเดิมของเราเป็นตัวช่วย แต่เปลี่ยนวิธีการไปจากเดิม



วิธีการที่ว่านี้จะเป็นอย่างไร นายสมศักดิ์ คณาประเสริฐกุล นายกสมาคมนักกิจกรรมบำบัด/อาชีวบำบัดแห่งประเทศไทย ได้แนะนำวิธีการออกกำลังสมองว่า



1. ลองเดินถอยหลังแทนการเดินไปข้างหน้าเพียงอย่างเดียว



2. พยายามนับเลขถอยหลัง เช่น 100, 99,98 ... แทนการนับแบบปกติ 1, 2, 3 ....



3. ถ้าเคยชินกับการเขียนด้วยมือขวา ลองใช้มือซ้ายหัดเขียน ถ้าถนัดซ้าย ให้หัดเขียนมือขวา แล้วจะพบว่าในที่สุดสามารถใช้ทั้งมือขวาหรือมือซ้ายเขียนได้ หรือสลับข้างในการหยิบของ



4. หากเป็นพนักงานบัญชีและทำงานกับตัวเลข ลองหัดทำงานในเชิงศิลปะ เช่น ทำสร้อยข้อมือหรือสร้อยคอจากหินสีต่างๆ เพนท์สีลายกระจก ขวด หรือทำเค้กรูปแบบต่างๆ



5. ถ้าทำงานสำนักงานและต้องทำงานกับคอมพิวเตอร์ในห้องเย็นๆ ทั้งวัน หลังเลิกงานควรหากิจกรรมที่กระตุ้นร่างกายให้เคลื่อนไหว เช่น ลีลาศหรือเต้นรำในจังหวะต่างๆ ว่ายน้ำ ดำน้ำ หรือโยคะ เป็นต้น



6. ถ้าทำงานด้านศิลปะอยู่แล้ว ให้หัดเล่นเกมคอมพิวเตอร์ เรียนการใช้ลูกคิดแบบญี่ปุ่น  หรือหัดขับรถโกคาร์ท



7. หากเป็นนักกีฬาอาชีพ ต้องพยายามใช้สมองเพื่อการคิดด้วยการลองเล่นเกมปริศนาอักษรไขว้ (Crossword) หรือเรียนภาษาต่างประเทศเพิ่มเติม



ไม่เพียงแต่สุขภาพกายที่ต้องดูแลสุขภาพสมองก็สำคัญไม่แพ้กัน



ที่มา : หนังสือพิมพ์มติชน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #358 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 08:25:05 PM »

สิ่งที่ร่างกายต้องการ

นม MILK

น้ำมันตับปลา COD   LIVER OIL

เห็ดหอม SHI TA KE

กระเทียม GARLIC

คลอโรฟิว CHLOROPHYLL

ไฟเบอร์ FIBER

รำข้าว RICE BRAN

โยเกิร์ติ YOGURT

น้ำผึ้ง  HONEY

นมผึ้ง  ROYAL YELLY

โฮลวีท WHOLE WHEAT

สาหร่ายทะเล KELP

ไขมันต้องลดก่อนที่จะหมดอารมณ์เซ็กส

ลดอาหารไขมันไม่ใช่เลิกเด็ดขาด

อยากฟิตหุ่นต้องใช้วิตามินบี2

เป็นหนุ่มสาวเสมอด้วยวิตามินอี

สายตาดีกระปรี้กระเปร่า ด้วยเห็ดหูหนู

ควรตัดความเค็มออกจากร่างกาย

นักมังสวิรัติได้แคลเซียมสูง

นอนหลับเพียงพอสุขภาพดีแน่


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กรกฎาคม 10, 2012, 08:27:37 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #359 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 09:17:24 PM »

อดนอน บ่อนทำลายสุขภาพ

ในยุคที่เทคโนโลยีเจริญก้าวหน้า แลงสีเสียงยามราตรีก็ฟู่ฟ่าเกินห้ามใจ ทำให้หลายคนต้องอดหลับอดนอนเพื่อหาความบันเทิงยามดึกให้แก่ตนเอง โดยหารู้ไม่ว่า การอดนอนจะนำไปสู่โรคภัยอีกร้อยแปดพันประการ เช่น



- อยากอาหารอยู่เรื่อยๆ เพราะการหลั่งฮอร์โมนเลปตินลดลงผิดปกติ ระดับความอยากอาหารจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคอ้วนตามมา

- ภูมิคุ้มกันโรคไม่ดี เจ็บป่วยง่าย เพราะเม็ดเลือดขาวทำงานได้ไม่เต็มที่

- เพิ่มความเสี่ยงให้แก่โรคมะเร็งต่างๆ เพราะพักผ่อนไม่เพียงพอ

- นอกจากนี้ยังมีผลข้างเคียงคือ ทำ ให้ใบหย้าโทรมคล้ำ ร่างกายจิตใจห่อเหี่ยว มึนศีระษะบ่อย เกิดริ้วรอยก่อนวัย รู้อย่างนี้แล้วก็ควรจะจัดสรรการนอนให้เร็วและเพียงพอจะดีที่สุด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: