Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71912 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 10 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #360 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 11:06:42 AM »

ขอบคุณนู๋จัย  ข้อมูลดี มาก ๆ เลยค่ะ

โดยเฉพาะ วิธีรักษาหวัดด้วยตัวน้องเอง

อะไร ๆ ก็จะไปหาหมอท่าเดียว

สงสัยต้องคิดใหม่ทำใหม่ซะแล้ว
บันทึกการเข้า
อุ๊
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 1778



« ตอบ #361 เมื่อ: กรกฎาคม 18, 2012, 11:07:23 AM »

ขอวิธีเพิ่มน้ำหนักให้พี่อุ๊หน่อยซี   ช่วงนี้ผอมเอา  ผอมเอา Embarrassed Kiss Cry
บันทึกการเข้า
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #362 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 10:52:36 AM »

ขอวิธีเพิ่มน้ำหนักให้พี่อุ๊หน่อยซี   ช่วงนี้ผอมเอา  ผอมเอา Embarrassed Kiss Cry



สวัสดีจ่ะ คุงแม่คนสวย รอก่อนน้ะ เดี๋ยวจัดให้ ว่าเเต่จะลดน้ำหนักทัมงัยดีง่ะ Tongue

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #363 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:10:33 PM »

โรคกระเพาะอาหาร


อาการ

โรคกระเพาะอาหารทั้งชนิดที่เป็นแผลและไม่เป็นแผล อาการจะคล้ายคลึงกัน คือมีอาการปวดจุกแน่นใต้ลิ้นปี่ เหนือสะดือ ปวดใต้ชายโครงซ้าย บางรายปวดแน่นถึงหน้าอก อาการมักเป็นๆหายๆ และสัมพันธ์กับมื้ออาหาร อาจปวดก่อนอาหารเวลาหิว ปวดหลังอาหารเวลาอิ่ม และอาการจะดีขึ้นได้เมื่อได้รับประทานอาหารเมื่อโรครุนแรงขึ้นอาจมี อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายอุจจาระดำ หรือเบื่ออาหาร น้ำหนักลด





อาการเตือนที่สำคัญที่ต้องพบแพทย์

เบื่ออาหาร น้ำหนักลด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ ซึ่งบ่งชี้ว่าอาจเป็นแผลหรือมีเลือดออก หรืออาจเป็นเนื้องอก มะเร็งกระเพาะอาหารได้

ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร

1. เชื้อโรคแบคทีเรีย ชื่อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลโร ซึ่งจะติดต่อได้จากการกินอาหาร หรือ ดื่มน้ำที่ไม่สะอาดปนเปื้อนเชื้อโรคเหล่านี้ เชื้อโรคดังกล่าวนี้ ทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหารและมะเร็งบางชนิดของกระเพาะอาหารได้

2. ยาแก้ปวดข้อ ปวดกระดูก (Aspirin และ NSAID) ทำให้มีโอกาสเป็นแผลกระเพาะอาหารหรืออักเสบมากขึ้น การหายของแผลช้า)

3. การสูบบุหรี่ ทำให้อัตราการเป็นแผลกระเพาะอาหารเพิ่มขึ้น แผลหายช้า เป็นใหม่ได้ง่าย ทำให้การตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาได้ผลไม่ดี

4. เหล้า

5. ภาวะเครียด รับประทานอาหารเผ็ด หรือไม่ตรงเวลา

6. ติดเชื้อทางเดินอาหาร เช่น ท้องเสีย อาหารเป็นพิษ

7. ยารักษาสิว อาจทำให้เกิดแผลในหลอดอาหาร หรือโรคกระเพาะอาหารได้

อาการปวดท้องที่ควรพบแพทย์ทันที เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม (Alarming Symptom)

1. ถ่ายดำหรือถ่ายมีเลือดปน

2. น้ำหนักลด

3. ตัวซีด เหลือง (ดีซ่าน)

4. ปวดรุนแรงนานเป็นชั่วโมง

5. มีอาเจียนรุนแรงติดต่อกัน หรืออาเจียนมีเลือดปน

6. เจ็บหรือกลืนลำบาก

7. มีประวัติครอบครัวป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหาร

8. คลำก้อนในท้องได้ หรือต่อมน้ำเหลืองโต

 

แนวทางการรักษา

ในผู้ป่วยที่มีอาการปวดจุกแน่นท้อง จุกเสียด ลมเรอ แสบท้อง มานานไม่เกิน 2 สัปดาห์ และไม่มีอาการเตือนที่สำคัญ มีแนวทางรักษา ดังนี้

1. รับประทานยาลดกรดในกระเพาะอาหาร

2. งดบุหรี่ งดเหล้า งดอาหารรสเผ็ด รับประทานอาหารให้ตรงเวลา

3. ออกกำลังกาย

4. งดกินยาแก้ปวดข้อ ปวดกระดูกโดยไม่จำเป็น

แต่ถ้าอาการไม่ดีขึ้นหลังปฎิบัติตามข้างต้น หรือ อาการเป็นมานานกว่า 1 เดือน หรือมีอาการเตือนที่สำคัญตั้งแต่ต้น จำเป็นต้องได้รับการวินิจฉัยเพิ่มเติม คือ “การส่องกล้องกระเพาะอาหาร”

ถ้าไม่มีแผลในกระเพาะอาหาร

ให้ปฎิบัติตามดังกล่าวข้างต้น อาจต้องรับประทานยานาน 4 สัปดาห์

ถ้ามีแผลในกระเพาะอาหาร

1. ต้องตัดชิ้นเนื้อจากแผล เพื่อตรวจหาว่าเป็นมะเร็งหรือไม่

2. ต้องตัดชิ้นเนื้อจากส่วนล่างของกระเพาะอาหารเพื่อดูว่ามีเชื้อโรคเฮลิโคแบ คเตอร์ ไพโลไรหรือไม่ ถ้ามีเชื้อโรคดังกล่าวร่วมกับมีแผล ต้องให้ยากำจัดเชื้อโรค 2 สัปดาห์ และให้ยารักษาแผลอีก 4-6 สัปดาห์

การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร นอกจากดูว่ามีแผล เนื้องอก และมะเร็งหรือไม่ ยังสามารถฉีดยาหรือห้ามเลือดด้วยวิธีต่างๆผ่านการส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร ในผู้ป่วยที่มีเลือดออกจากกระเพาะอาหาร และสามารถติดตามดูการหายของแผลได้

การป้องกันโรคกระเพาะอาหาร

1. รักษาสุขอนามัย รับประทานอาหารและน้ำดื่มที่สะอาด เพื่อลดอัตราการติดเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ไพโลไร ที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหารและมะเร็งบางชนิดของกระเพาะอาหาร

2. งดกินยาแก้ปวดข้อ ปวดกระดูก โดยไม่จำเป็น

3. งดบุหรี่ งดเหล้า งดเผ็ด รับประทานอาหารให้ตรงเวลา ออกกำลังกายคลายเครียด

 

สนับสนุนข้อมูลโดย
นพ. จีรวัส ศิลาสุวรรณ
อายุรแพทย์ระบบทางเดินอาหารและตับ
โรงพยาบาลพญาไท 2
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #364 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:12:31 PM »

โรควูบ




น.พ.กิตติ ตระกูลรัตนาวงศ์ อายุรแพทย์ โรควูบ เป็นโรคที่พบบ่อย เกิดได้ทุกเพศ ทุกวัย และโดยมากเป็นผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคหัวใจ

สาเหตุ เกิดขึ้นเพราะความไม่สมดุลของประสาทอัตโนมัติ อาการแสดง หน้ามืด หมดสติ เกิดขึ้นขณะยืน เช่น บนรถเมล์ ในห้องน้ำ อาจมีอาการอื่นประกอบ เช่น เหงื่อออก ตัวซีด อาเจียน ตัวโรคเองไม่มีอันตราย หรือเสียชีวิต ไม่ปรากฏว่า ทำให้หัวใจหยุดเต้นเหมือนที่พบในโรคไหลตาย หรือหัวใจวาย แต่การล้มหมดสติ อาจทำให้ได้รับอันตรายจากศีรษะ กระแทก กระดูกหักหรือตกน้ำ

การวินิจฉัย สามารถตรวจยืนยันแยกโรค โดยใช้การตรวจ TILT TEST (การทำให้เป็นลมเหมือนที่เกิดขึ้นจริง) แต่ทำในห้องปฏิบัติการ การรักษา การใช้ยารักษาและแนะนำการปฏิบัติตน ทำให้ผู้ป่วยโรคนี้ มีความมั่นใจ ใช้ชีวิตได้เหมือนคนปกติทั่วไป

การปฏิบัติตนเมื่อเริ่มมีอาการ ให้หาที่พักเกาะยึดไว้ และซอยเท้า เพื่อให้เลือดกลับสู่หัวใจได้มากขึ้น ถ้ายังมีอาการ ให้นั่งลง ถ้ายังไม่ดีขึ้นให้นอนราบ พบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #365 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:17:42 PM »

จิตแพทย์แนะ 4 ทักษะ เอาชนะ “ภาวะจิตตก”



เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า คนเราแต่ละคนมีจิตใจแข็งแรงไม่เท่ากัน ทำให้ความสามารถในการรับความกดดันในชีวิตไม่เท่ากัน ยิ่งโดยเฉพาะปัจจุบันระดับความเครียดที่เกิดขึ้นมีสูงมาก ทั้งเรื่องงาน ความรัก หรือปัญหาครอบครัว ซึ่งคนที่ประสบภาวะเครียดบ่อย ๆ เป็นระยะเวลายาวนาน บางครั้งก็ทำให้เกิดอาการอ่อนล้าทางด้านจิตใจ หรือสภาวะที่เรียกกันคุ้นปากว่า “จิตตก” ได้

เรื่องนี้ นพ.ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย กรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ อธิบายคำว่า “จิตตก” ในทางการแพทย์ว่า เป็นคำที่ใช้พูดกันเพื่อบรรยายอาการของคนที่ประสบกับความเครียด ความกดดัน เป็นระยะเวลายาวนาน หรืออาจจะเกิดจากความกดดันที่เกิดขึ้นในระยะที่ไม่ยาวนาน แต่มีความรุนแรงสูง โดยจะมีอาการเกิดขึ้นเป็นลำดับ เบื้องต้นมักจะเกิดจากการคาดว่า เกรงว่า สิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้น จะมีความเสียหายเกิดขึ้น คิดว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ คิดว่าจะล้มเหลว ทำให้เกิดอาการวิตกกังวล ซึ่งได้แก่อาการใจสั่น เหงื่อออก หายใจไม่อิ่ม นอนไม่หลับ ระบบทางเดินอาหาร ระบบย่อยอาหารปั่นป่วน เป็นต้น

ส่วนระยะถัดมา เมื่อทราบถึงผลของเหตุการณ์แล้วว่าไม่ได้ผลอย่างที่คิด ไม่สำเร็จ ก็จะเกิดอาการผิดหวัง ท้อแท้ ซึมเศร้า ซึ่งได้แก่ อาการเบื่ออาหาร นอนไม่หลับ ไม่มีสมาธิ คิดช้า ไม่มีกำลังใจ รู้สึกตัวเองไร้คุณค่า ในรายที่อาการรุนแรง อาจจะมีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากฆ่าตัวตาย ในบางรายที่มีอาการรุนแรงก็อาจจะมีอาการทางจิตร่วมด้วย เช่น หูแว่ว ประสาทหลอน หวาดระแวง ซึ่งสามารถก่อให้เกิดอันตรายได้ทั้งกับตนเอง และผู้อื่น

นพ.ไกรสิทธิ์ ให้ข้อสังเกตว่า เนื่องจากคนเราไม่สามารถรู้ได้ว่าภาวะจิตตกจะเกิดขึ้นกับเราหรือไม่ เมื่อไร ทางที่ดีจึงควรทำความรู้จักวิธีการรับมือกับภาวะจิตตกเพื่อเป็นการป้องกัน เอาไว้ เช่น การเพิ่มภูมิคุ้มกันโดยการลดระดับความเครียดในแต่ละวันไม่ให้เกิดการสะสม พยายามหาเวลาเพื่อพักกายและพักใจ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักจะหลงลืมไป การพักกายและพักใจ ได้แก่ การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ นอกจากนี้ในแต่ละวัน ควรที่จะมีเวลาออกกำลังกายเพื่อยืดเส้นยืดสายลดความเครียด และช่วยให้ฮอร์โมนเอ็นโดรฟินส์ในสมองซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยให้คนเรารู้สึก ผ่อนคลาย มีความสุขหลั่งออกมา




นอกจากการพักกายที่มีความสำคัญแล้ว การพักใจก็ควรทำเป็นประจำด้วย ถ้าทำได้ทุกวันก็จะเป็นการดี การทำให้ใจได้พัก โดยการทำงานอดิเรกที่ชอบทำแล้วมีความสุข สมองได้พักผ่อน เพื่อช่วยให้อารมณ์ลบในแต่ละวันได้ถูกถ่ายเทออกไป ไม่สะสม จิตใจก็จะผ่องใส สามารถรับแรงกดดันในชีวิตได้ดีขึ้น เกิดภาวะจิตตกได้ยากขึ้น

สำหรับคนที่ตกอยู่ในภาวะจิตตก จิตแพทย์ท่านนี้ ได้ให้แนะเทคนิคเอาชนะภาวะจิตตกไว้ 4 ทักษะ ดังต่อไปนี้

1. ความเชื่อมั่นว่าจะผ่านพ้นปัญหาไปได้ ส่วนจะช้าหรือเร็วก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง การเชื่อมั่นว่าปัญหาจะมีทางออกในที่สุด จะช่วยให้มีกำลังใจต่อสู้ต่อไปได้

2. ความสามารถมองเห็นข้อดีหรือข้อบวกของสิ่งที่เกิดขึ้น เพื่อนำมาเป็นกำลังใจให้ต่อสู้ต่อไปได้ สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน จึงจะทำได้ดี

3. การมองปัญหาและการวางแผนแก้ไขแบบเป็นขั้นตอน แล้วจัดการแก้ไขไปทีละขั้นทีละเปลาะ การทำการแก้ไขได้สำเร็จทีละขั้นจะช่วยให้เกิดความมั่นใจว่าจะแก้ปัญหาได้สำเร็จในที่สุด

4. สำหรับคนที่พยายามแก้ปัญหาด้วยตัวเองแล้วยังไม่สำเร็จ อาจจะต้องอาศัยตัวช่วย คือ ความช่วยเหลือจากคนรอบข้าง ได้แก่ เพื่อนสนิทหรือญาติผู้ใหญ่ ในการช่วยมองปัญหา ให้คำปรึกษาแนะนำ

นพ.ไกรสิทธิ์ ทิ้งท้ายว่า ในบางรายถ้าประสบกับปัญหาที่ใหญ่และหนักหนามาก หลังรับความช่วยเหลือจากคนรอบข้างแล้วยังไม่ดีขึ้น และอาจมีอาการวิตกกังวลหรือซึมเศร้า จนไม่สามารถรับผิดชอบหน้าที่การงานได้ ก็อาจจำเป็นต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เช่น นักจิตวิทยา หรือ จิตแพทย์ เพื่อช่วยเหลือให้ต่อสู้กับปัญหาและผ่านวิกฤติไปได้ และหวังว่าคนไทยทุกคนจะไม่ต้องประสบกับภาวะจิตตก ถ้าจะต้องพบก็ขอให้รับมือได้ และที่สำคัญในทุกๆ วันก็อย่าลืมที่จะมีเวลาสำหรับพักกายและพักใจด้วย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #366 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:21:19 PM »



“มือเท้าปาก”แพร่ไว ผู้ปกครองต้องรู้ให้ทัน''


กลาย เป็นข่าวใหญ่ครึกโครมที่กำลังสร้างความหวาดวิตกให้กับทุกคนเป็นอย่างมาก สำหรับโรคระบาดอย่าง “โรคมือเท้าปาก” ที่มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นและแพร่กระจายรวดเร็ว วันนี้ ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ จะพาไปรู้จักเจ้าโรคนี้ และวิธีในการป้องกันภัยร้ายของมันไม่ให้ระบาดไปสู่ลูกหลานหรือคนที่คุณรัก


โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคติดต่อที่พบบ่อยในเด็กโดยเฉพาะเด็กวัยเรียน โดยมีการระบาดช่วงฤดูฝน โดยมีสาเหตุเกิดจากการติดเชื้อไวรัสกลุ่ม เอนเทอโรไวรัส (enterovirus) ประกอบด้วยหลายสายพันธุ์ย่อย ที่พบบ่อยได้แก่สายพันธุ์คอกแซกกีไวรัส (coxackie virus) A16, A5, A9, A10, B1, and B3 สายพันธุ์เอนเทอโรไวรัส 71 (human enterovirus 71, HEV71) และ สายพันธุ์ไวรัสเริม (herpes simplex viruses, HSV)

โรคมือ เท้า ปาก ติดต่อจาก”คนสู่คน” ด้วยการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อไวรัสที่ออกมาทาง น้ำลาย น้ำมูก หรืออุจจาระของผู้ป่วย นอกจากนี้การไอ จาม รดกันสามารถแพร่กระจายเชื้อได้เช่นกัน หลังจากเชื้อไวรัสเข้าสู่ ร่างกายแล้วจะมีการเพิ่มจำนวนเชื้อภายในลำคอและต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง และมีการเพิ่มปริมาณเชื้อภายในระบบทางเดินอาหารส่วนล่างลงมา หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะเข้าสู่กระแสเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ ได้แก่ กระพุ้งแก้ม ผิวหนังบริเวณมือ และเท้า โดยเชื้อโรคใช้เวลาฟักตัว ประมาณ 72 ชั่วโมง ก่อนที่จะทำให้เกิดอาการ หลังจากนั้นเชื้อไวรัสจะถูกกำจัดออกมาจากลำไส้พร้อมกับอุจจาระ โดยอาจตรวจพบเชื้อไวรัสในอุจจาระได้นาน 6 – 8 สัปดาห์

โรคมือ เท้า ปาก เกิดขึ้นได้ทั่วโลกโดยพบบ่อยในช่วงฤดูร้อนและช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ แต่ประเทศเขตร้อนนั้นช่วงฤดูที่ระบาดไม่แน่นอน สำหรับประเทศไทยมักพบการระบาดในช่วงฤดูฝน โดยพบการติดเชื้อได้ทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยเฉพาะเด็กที่อายุน้อยกว่า 5 ปี สถานที่ที่พบการติดเชื้อได้บ่อยมักเป็นสถานที่ที่มีเด็กเล็กอยู่รวมกันจำนวน มาก เช่น โรงเรียนอนุบาล เป็นต้น

อาการของโรคมือ เท้า ปาก ในระยะเริ่มแรก คือ จะมี ไข้ต่ำ ปวดเมื่อยตามตัว เบื่ออาหาร ปวดท้อง เจ็บภายในช่องปาก ต่อมาจะเริ่มมีแผลในปาก และผิวหนังตามลำดับ ส่วนมากจะพบบริเวณมือ และเท้า บางครั้งอาจพบบริเวณก้นเด็กได้ ลักษณะเฉพาะของแผลในช่องปาก คือบริเวณฐานของแผลเป็นสีเหลืองและล้อมรอบด้วยวงสีแดง ส่วนมากเกิดที่บริเวณริมฝีปาก หรือเยื่อบุช่องปาก แต่บางครั้งแผลอาจเกิดขึ้นบริเวณลิ้น เพดานปาก ลิ้นไก่ ทอนซิล หรือเหงือกได้ โรคนี้มักไม่พบผื่นบริเวณรอบริมฝีปาก แผลในช่องปากจะมีอาการเจ็บมากในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีจะมีอาการป่วยได้บ่อยที่สุด

สำหรับผื่นผิวหนังส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นบริเวณหลังมือ และหลังเท้า แต่บางรายอาจพบผื่นที่ฝ่ามือ ฝ่าเท้าได้เช่นกัน ผื่นอาจจะคันหรือไม่ก็ได้ โดยจะเริ่มจากผื่นแดงนูน และเปลี่ยนเป็นผื่นตุ่มน้ำที่มีสีแดงอยู่บริเวณฐานอย่างรวดเร็ว ในเด็กทารกผื่นลักษณะนี้อาจเกิดบริเวณลำตัว ต้นขา และก้น ได้เช่นกัน ผื่นแดงนี้ส่วนมากจะหายได้เองภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์

การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น ต้องทำอย่างไรบ้าง?

■ ดูแลรักษาตามอาการ เช่น การเช็ดตัวลดไข้ การให้ยาลดไข้ การให้ยาตามอาการ เช่น ยาชาป้ายแผลในปาก

■ ประเมินภาวะร่างกายขาดน้ำ ซึ่งมีความสำคัญมากสำหรับผู้ป่วยเด็ก การประเมินว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่สามารถประเมินได้จาก อัตราการเต้นชีพจร ความยืดหยุ่นของผิวหนัง ความแห้งของตา ปริมาณน้ำตาขณะที่เด็กร้องไห้ ความแห้งของเยื่อบุช่องปาก รวมถึงประเมินจากปริมาณและความถี่ของปัสสาวะ

สังเกตุอาการแทรกซ้อน

■ การติดเชื้อที่ผิวหนัง พบได้บ่อยที่สุด
■ เกิดภาวะขาดน้ำ เนื่องจากดื่มน้อยลง จากการเจ็บแผลในช่องปาก
■ ส่วนน้อยอาจเกิดอาการแทรกซ้อนของระบบประสาท และระบบไหลเวียนโลหิต

หากบุตรหลานมีอาการป่วย ควรทำอย่างไร ?

ควรแยกเด็กป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อแพร่ไปยังเด็กคนอื่น ผู้ปกครองควรรีบพาเด็กไปพบแพทย์ และรักษาตัวที่บ้านอย่างน้อย 5 – 7 วัน หรือจนกว่าจะหายเป็นปกติ ระหว่างนี้ควรสังเกตอาการผิดปกติที่อาจเกิดขึ้น แต่หากเด็กมีอาการแทรกซ้อน เช่น ไข้สูง ซึม อาเจียน หอบ ต้องรีบพากลับไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลทันที

ไม่ควรพาเด็กไปสถานที่แออัด เช่น สนามเด็กเล่น สระว่ายน้ำ ตลาด และห้างสรรพสินค้า ควรให้เด็กอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก ควรใช้ผ้าปิดจมูกปากขณะไอจาม และระมัดระวังการไอจามรดกัน ผู้ดูแลเด็กต้องหมั่นล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังจากสัมผัสน้ำมูก น้ำลาย หรืออุจจาระของเด็กที่ป่วย

หากมีเด็กป่วยจำนวนมากในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรทำอย่างไร ?

มาตรการช่วงที่เกิดโรคระบาดต้องเน้นการสกัดกั้นการแพร่กระจายของ เชื้อ ซึ่งอาจจำเป็นต้องประกาศเขตติดโรคและปิดสถานที่ที่มีการระบาด เช่น สถานรับเลี้ยงเด็กอ่อน โรงเรียนเด็กเล็ก อาจรวมถึงสระว่ายน้ำ และสถานที่แออัดอื่นๆ ทั้งนี้เพื่อหลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับเด็กป่วย และควรเน้นการล้างมือบ่อยๆ รวมทั้งการใช้น้ำยาฆ่าเชื้อในโรงพยาบาลและบ้านเรือนที่มีผู้ป่วย ผู้บริหารโรงเรียนหรือผู้จัดการสถานรับเลี้ยงเด็ก ควรดำเนินการดังนี้

- แจ้งการระบาดไปที่หน่วยงานบริการสาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อให้เจ้าหน้าที่ไปสอบสวนการระบาด ให้ความรู้ และคำแนะนำ

- เผยแพร่คำแนะนำ เรื่องโรคมือ เท้า ปาก แก่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียน รวมทั้งส่งเสริมพฤติกรรมอนามัยที่ช่วยป้องกันโรคติดต่อ โดยเฉพาะการล้างมือและการรักษาสุขอนามัยของสภาพแวดล้อมและควรแยกของใช้ไม่ ให้ปะปนกัน เช่น แก้วน้ำ ช้อนอาหาร ฯลฯ

- เฝ้าระวังโดยตรวจเด็กทุกคน หากพบผู้ที่มีอาการโรคมือ เท้า ปาก ต้องรีบแยกและให้หยุดเรียนประมาณ 2 สัปดาห์ หรือจนกว่าจะหายป่วย เพื่อป้องกันไม่ให้แพร่เชื้อไปยังเด็กคนอื่น

- ควรรีบพาเด็กป่วยไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาโดยเร็ว และดูแลเด็กอย่างใกล้ชิด

- พิจารณาปิดห้องเรียนที่มีเด็กป่วย กรณีที่มีเด็กป่วยหลายห้องหรือหลายชั้นเรียนควรปิดโรงเรียนชั่วคราวอย่างน้อย 5 – 7 วัน

- หากพบการระบาดของโรคมือ เท้า ปาก หรือ มีผู้ป่วยติดเชื้อเอนเทอโรไวรัส 71 อยู่ภายในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก แนะนำให้ปิดชั้นเรียนที่มีเด็กป่วยมากกว่า 2 คน หากมีการป่วยกระจายในหลายชั้นเรียนแนะนำให้ปิดโรงเรียนเป็นเวลา 5 วัน พร้อมทำความสะอาดอุปกรณ์รับประทานอาหาร ของเล่นเด็ก ห้องน้ำ สระว่ายน้ำและให้มั่นใจว่าน้ำมีระดับคลอรีนที่ไม่ต่ำกว่ามาตรฐาน

- ทำความสะอาดสถานที่เพื่อฆ่าเชื้อโรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณห้องน้ำ สระว่ายน้ำ โรงครัว โรงอาหาร บริเวณที่เล่นของเด็ก สนามเด็กเล่น โดยใช้สารละลายเจือจางของน้ำยาฟอกขาวผสมในอัตราส่วน 20 มิลลิลิตรต่อน้ำ 1 ลิตร หรือใช้น้ำยาทำความสะอาดที่ใช้ตามบ้านเรือน แล้วเช็ดด้วยน้ำสะอาด

- ทำความสะอาดของเล่นและเครื่องใช้ของเด็กด้วยการซักล้างแล้วผึ่งแดดให้แห้ง

- ไม่ควรใช้เครื่องปรับอากาศ แต่แนะนำให้ระบายอากาศโดยการเปิดประตู หน้าต่าง ผ้าม่าน ให้แสงแดดส่องได้ทั่วถึง

ถ้าพบอาการดังที่กล่าวมาขั้นต้นควรรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์โดย ด่วน เพื่อเป็นการร่วมกันยับยั้งการแพร่ระบาดของโรคมือ เท้า ปาก ไม่ให้ลุกลาม สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมโทร. 1719

ศูนย์วิจัยสุขภาพกรุงเทพ เครือโรงพยาบาลกรุงเทพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #367 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:31:32 PM »

กุหลาบเพื่อสุขภาพ

กุหลาบแสนสวย ราชินีแห่งดอกไม้นอกจากจะมีสีสันสวยงาม กลิ่นหอมรัญจวนใจแล้ว ดอกกุหลาบยังมีประโยชน์กับสุขภาพอีกมากมายโดยเฉพาะดอกกุหลาบมอญ



ชื่อกุหลาบมอญ บ่งบอกที่มาว่า แรกเริ่มคงนำมาจากเมืองมอญ และหลักฐานหนึ่งเชื่อกันว่า เป็นดอกไม้ที่ทรงโปรดของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พระองค์ท่านทรงนำกลับมาหลังจากเสร็จสงครามที่เมืองมอญ กุหลาบมอญนี้เข้าใจว่าเป็นของทวีปเอเชียภาคตะวันออก มีปลูกในอินเดียมานานมากก่อนที่จะมีปลูกในเมืองไทย

ลักษณะดอกกุหลาบมอญค่อนข้างกลม กลีบดอกเรียงซ้อนกันหลายชั้นมีลักษณะปลายแหลมเรียว ส่วนสีของดอกกุหลาบมอญจะมีสีชมพูอ่อน สีชมพูเข้ม สีขาว ออกดอกชูช่อตลอดทั้งปี
วิธีการทำชากุหลาบ ไว้ดื่มเองที่บ้าน สาวๆ ควรเก็บดอกกุหลาบที่กำลังบานสะพรั่งและนำมาเด็ดเป็นกลีบๆ อย่างเบามือ หลังจากนั้นทำความสะอาดด้วยการล้างน้ำสักรอบ แล้วนำไปตากแดด เพื่อให้กลีบดอกแห้งได้ที จากนั้นควรนำเก็บเข้ามาใส่ขวดโหลให้มิดชิด

วิธีการชงชาก็ทำได้ง่ายๆ ไม่ยากเช่นกัน ต้มน้ำให้เดือดทิ้งไว้สักครู่ให้น้ำพออุ่นๆ แล้วค่อยใส่กลีบกุหลาบแห้งลงไป เพราะถ้าใส่กลีบกุหลาบตอนน้ำเดือดจัดๆ อาจทำให้ชากุหลาบของเรามีรสชาติขมและเหม็นเขียวได้

ชากุหลาบนอกจากจะหอมสดชื่นแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพของเราไม่น้อย ถ้าดื่มเป็นประจำทุกวันจะทำให้นอนหลับง่าย ผิวพรรณสดใส ช่วยปรับฮอร์โมนให้สมดุลสำหรับสาวๆ ที่มีปัญหาเรื่องประจำเดือน แถมยังช่วยกระตุ้นระบบประสาท และสมองเราให้แจ่มใสด้วยนะคะ

นอกจากจะนำมาทำเป็นชากุหลาบเอา ไว้ดื่มให้ชื่นใจแล้ว กุหลาบมอญยังสามารถนำมาทำเป็นอาหารรสแซ่บจัดจ้านด้วยการยำได้อีกด้วย แหม… นอกจากจะให้ความสวยงามแล้วยังสารพัดประโยชน์ สงสัยต้องลองนำมาปลูกไว้ที่บ้านบ้างแล้วละคะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #368 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2012, 08:40:43 PM »

อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา โรคของสาวกลัวอ้วน


ฉันกลัวอ้วน!!! (e-magazine)

สื่อต่าง ๆ ในทุกวันนี้ที่ล้วนแล้วแต่มีหญิงสาวเอวบางร่างน้อย ซึ่งก็ทำเอาวัยรุ่นสมัยใหม่อยากจะมีหุ่นไซส์ sss กับเขาบ้าง และ นั่นเองที่ทำให้สาว ๆ หลายคนเลือกที่จะไม่รับประทานอาหาร หรือรับประทานแล้วพยายามเอาออกด้วยสารพัดวิธีที่อันตราย จนเป็นที่มาของ โรคกลัวอ้วน หรือ อะนอเร็กเซีย เนอร์โวซา (Anorexia Nervosa)

 รู้จักกับโรคกลัวอ้วน

โรค กลัวอ้วน (Anorexia Nervosa) เป็นภาวะที่บุคคลปฏิเสธที่จะรับประทานอาหารเพื่อคงน้ำหนักไว้ในระดับปกติ โดยมีทัศนคติที่ผิดต่อรูปร่าง และน้ำหนักตัวผิดปกติ คนที่เป็นโรคนี้ จะเป็นคนที่กลัวอ้วน กลัวเอามาก ๆ เห็นน้ำหนักตัวเองเป็นศัตรู ปฏิเสธอาหารอย่างมากจนผ่ายผอม

ในสังคมปัจจุบันสนใจน้ำหนักตัว ไม่ต้องการอ้วน ไม่ต้องการหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน คาดว่ามีผู้ป่วยโรคกลัวอ้วนเสียจนผอมเกินไปราวร้อยละ 0.5-1.8 ของประชากร มีผู้ป่วยรายใหม่เกิดขึ้นราว 5-10 รายต่อประชากร 1 แสนคน พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายหลายเท่า ในผู้ป่วยทั้งหมดจะเป็นผู้ชาย ไม่เกินร้อยละ 5-10

อาการของโรคมักเริ่มตอนวัยรุ่น โดยเฉลี่ยจะเริ่มเป็นเมื่ออายุ 17 ปี มีบ้างที่เป็นตอนเรียนมัธยมต้น หรือตอนโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว พบมากในประเทศอุตสาหกรรม หรือประเทศที่เจริญแล้ว ประเทศด้อยพัฒนาจะพบน้อยกว่า

 สาเหตุ

ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งมาจากปัจจัยทางพันธุกรรม ผู้ป่วยมักเป็นวัยรุ่นที่เป็นเด็กดี หรือเด็กตัวอย่าง ส่วนใหญ่มักมีบุคลิกภาพที่สมบูรณ์แบบ ย้ำคิดย้ำทำ ขาดทักษะในการใช้ชีวิตในสังคม มีความเป็นตัวของตัวเอง มีปัญหาความขัดแย้งในจิตใจเรื่องความเป็นตัวของตัวเอง รู้สึกไม่มีค่า มักทำตามความคาดหวังของผู้อื่นเพื่อให้ผู้อื่นยอมรับ

นอกจากนี้ ยังเกิดจากการมองภาพตนเองบิดเบือน มองเห็นสัดส่วนร่างกายอ้วนไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อ้วน มักปฏิเสธว่าไม่หิว ไม่ป่วย บอกว่าสบายดี มักแยกแยะความหิวไม่ได้ บางรายพบปัจจัยที่เกี่ยวกับครอบครัว ถูกเลี้ยงดูแบบใกล้ชิด หรือปกป้องมากเกินไป

ปัจจัย ทางสังคมที่สำคัญ ได้แก่ ค่านิยมยึดติดอยู่กับความผอมบาง ต้องการสวย เชื่อว่าผู้หญิงผอม คือ แฟชั่น คิดว่าคนอ้วนเป็นคนที่ดูแลตนเองไม่ดี หรือคิดว่าคุณค่าวัยรุ่นขึ้นอยู่กับรูปร่างหน้าตาที่น่ารักหรือหุ่นดี

การที่วัยรุ่นมีวิกฤติของชีวิต เช่น ความต้องการเป็นตัวของตัวเอง ค่านิยม สัมพันธภาพกับผู้อื่น บางครั้งอาจเกิดความขัดแย้งกับบิดามารดา โดยเฉพาะการมีสัมพันธภาพกับเพื่อนต่างเพศ

อาการ

ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นนักเรียน หรือนักศึกษาสาวที่ขยันเรียน มีความรับผิดชอบสูง ผลการเรียนดี เป็นคนค่อนข้าง “สมบูรณ์แบบ” บิดามารดามักประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานสูง ผู้ป่วยมักไม่ชอบงานสังคมสังสรรค์นัก

ผู้ ป่วยส่วนใหญ่จะมีน้ำหนักตัวต่ำกว่ามาตรฐานราว 15% เช่น ควรหนัก 60 กิโลกรัม ก็หนักเพียง 50 กิโลกรัม หรือควรหนัก 50 กิโลกรัม ก็เหลือแค่ 42 กิโลกรัม หรือน้อยกว่าเป็นต้น

โรคนี้ถือเป็นความผิดปกติทางจิตใจชนิดหนึ่ง โดยมีความเชื่อผิดเกี่ยวกับน้ำหนักและรูปร่างตัวเอง บางคนยังเชื่อว่า น้ำหนักมากเกินไป ทั้ง ๆ ที่ความจริงอยู่ในขั้นผอมแห้ง บางคนเชื่อว่าอวัยวะบางส่วนของตัวอ้วนไป ความคิดเต็มไปด้วยเรื่องเกี่ยวกับอาหาร น้ำหนักตัว และการควบคุมอาหาร ในที่สุดเมื่อสนใจแต่เรื่องพวกนี้ ก็จะไม่มีเวลาสนใจเรื่องอื่น ทำให้การเรียน การทำงาน และมนุษยสัมพันธ์แย่ลง

ผู้ ป่วยจะกลัวมาก ๆ เกี่ยวกับการที่น้ำหนักเพิ่มขึ้น และที่แปลกคือ เมื่อยิ่งผอม น้ำหนักลด กลับยิ่งกลัวมากขึ้นไปอีก ความกลัวน้ำหนักเพิ่มนั้น มากเสียยิ่งกว่ากลัวตายจากการปฏิเสธอาหาร แทนที่จะรู้สึกผ่อนคลายหรือเบาใจ เมื่อน้ำหนักลดลงได้เขากลับกลัวมากขึ้นไปอีก

จะพบอาการไม่มีประจำเดือนได้บ่อยในผู้ป่วยโรคนี้ สาเหตุเกิดจากความเครียดอย่างรุนแรงจากการอดอาหาร ทำให้ฮอร์โมนของสมองที่ควบคุมการมีประจำเดือนลดลง การอดอาหารยังไปกดการหลั่งของฮอร์โมนเพศ ทำให้ขาดความสนใจทางเพศ การพัฒนาทางเพศจะล่าช้าในผู้ป่วยพวกนี้ สาเหตุอาจมาจากหลายปัจจัย เช่น ผู้ป่วยมักแยกตัวจากสังคม เพราะขาดความเชื่อมั่น นับถือตัวเองและกลัวว่าเมื่อเข้าสังคมแล้วจะดำเนินชีวิตอย่างที่ทำอยู่ไม่ ได้

ผู้ป่วยมักมี ความประพฤติแบบย้ำคิด-ย้ำทำร่วมด้วย ชีวิตประจำวันเต็มไปด้วยพิธีรีตอง ส่วนตัวอาจนับเมล็ดข้าวที่รับประทาน คำนวณพลังงานที่ได้จากอาหาร ชั่งน้ำหนัก วัดสัดส่วนของร่างกาย ผู้ ป่วยโรคนี้จะปฏิเสธความเจ็บป่วยของตัวเองไม่ยอมรับว่าป่วย ทำให้รักษาลำบาก คิดว่าความคิดตนเองถูกต้อง ส่วนคนอื่นต่างหากที่เพี้ยนไป

การรักษา

 ประเมินว่าผู้ป่วยมีโรคอื่นร่วมด้วยหรือไม่ และมีโรคแทรกซ้อนอะไรบ้าง

 เป้าหมายเบื้องต้นในการรักษาคือ ป้องกันไม่ให้ผู้ป่วยเสียชีวิตจากการอดอาหาร ผู้ป่วย และครอบครัว จะได้รับคำแนะนำและอธิบายถึงแผนการรักษา

 นักกำหนดอาหาร นักโภชนาการ นักจิตวิทยา และจิตแพทย์ ล้วนมีความสำคัญในการร่วมทีมรักษา เริ่มแรกต้องค่อย ๆ เพิ่มอาหาร เพื่อป้องกันกระเพาะขยายตัว ป้องกันการบวมและหัวใจล้มเหลว

 บางกรณีต้องรับผู้ป่วยไว้รักษาในโรงพยาบาล เช่น ผู้ป่วยที่น้ำหนักลดมากกว่าร้อยละ 30 ของน้ำหนักปกติ ผู้ป่วยที่มีความคิดฆ่าตัวตาย ผู้ป่วยที่ติดยาระบาย หรือยาขับปัสสาวะและกรณีที่รักษาแบบผู้ป่วยนอกแล้วไม่ได้ผล

 การรักษาในโรงพยาบาลจะใช้เวลาประมาณ 10-12 สัปดาห์ จึงจะเพียงพอสำหรับการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ ก่อนให้ผู้ป่วยกลับบ้าน ควรลองปล่อยผู้ป่วยกลับบ้านเฉพาะวันหยุดดูก่อน เพื่อปรับตัวสักระยะหนึ่ง เมื่อกลับบ้านได้แล้วยังต้องนัดกลับมาติดตามการรักษาไปอีกเป็นเดือน หรือเป็นปีทีเดียว เพื่อป้องกันการกลับเป็นซ้ำ

 เริ่มการรักษาทางจิตตั้งแต่แรก และติดตามไปเรื่อย ๆ จนผู้ป่วยปกติ

 พฤติกรรมบำบัดมีส่วนในการรักษามาก ทั้งวิธีให้รางวัลและลงโทษ

 ในผู้ป่วยอายุน้อยการใช้วิธีครอบครัวบำบัดจะได้ผลดีมาก ต้องระลึกเสมอว่าโรคนี้มีผลกระทบต่อครอบครัวทั้งหมด การให้คำปรึกษาแก่ครอบครัวเพื่อแก้ปัญหาในสิ่งแวดล้อมของครอบครัว จะช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวได้เร็วขึ้น

 การดูแลและวิธีแก้ไข

 เสริมให้วัยรุ่นมีความเชื่อมั่นในตนเอง

 เสริมพลังอำนาจในตนเองให้รู้สึกว่าสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้

 เรียนรู้ที่จะเคารพตนเอง เชื่อว่าตนเองเป็นอิสระ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับพ่อแม่ ครอบครัว หรือสังคมเท่านั้น

 รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และครบ 5 หมู่

 ส่งเสริมทักษะในการใช้ชีวิตในสังคมร่วมกับผู้อื่น


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #369 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2012, 09:12:20 PM »

ขอวิธีเพิ่มน้ำหนักให้พี่อุ๊หน่อยซี   ช่วงนี้ผอมเอา  ผอมเอา Embarrassed Kiss Cry



 Cheesy มีแต่คน อยากกกกก ผอมอันนี้คุงแม่อยากอ้วน มาม่ะเอาน้ำหนักนู๋จัยป่ายสัก ห้าโล Grin


แนะนำ ให้ใช้เนยแทนน้ำมัน กล้วยทุกชนิด ทานน้ำผึ้งก่อนนอน  ชีสสสสสสแผ่นกินเล่นหารสที่ถูกจัยคุงแม่  ถ้าชอบไก่ย่าง เลือกกิงตูดไก่ค่ะนานมาแล้วเป็นของชอบมั่กมากค่ะ ข้าวสวย บ้าง ข้าวเหนียวบ้าง ข้าวต้มบ้าง ราดหน้า เส้นหญ่ายยย ไม่ใหญ่ไม่กิน ทุกอย่างทานให้สบายท้อง อย่าลืมดื่มน้ำเยอะด้วยค่ะ อีกอย่างของทอดและกะทิ ทานได้ค่ะแต่ไม่ใช่ทานมาก เพราะบางคนจะร้อนในและทำให้้ไม่อยากอาหารด้วย เคยทานโยเกิตร์ไหมค่ะ ทานซะน้ะผสมลูกเกดเมทะนี กิ่งพะโยมลงไป เอ้ยยย!!!มั่ยชั่ยย ลูกเกดแห้งๆหวานๆลงไปด้วยแล้วอย่าให้ใครแย่งหม่ำล่ะ จริงๆอาหารคุงลูกก็ทำให้คุงแม่จ่ำหม่ำได้ อย่างไข่ลวกสุกหน่อย2 ฟอง ตับบดกับฟักทอง  น้ำส้ม ทุกเช้า กลางวันข้าวผัดไข่แครอท  กล้วยบวชชี คุ้กกี้ น้ำแดง เย็น สุกี้รวมมิตร สลิ่มน้ำกระทิ เค้ก หรือ ชิปฟ่อน น้ำผึ้งหรือน้ำตะไคร้ หารูปอาหารน่ากินมาดู เพื่อกระตุ้นให้หิวด้วยค่ะ 



ไม่อ้วนเดี๋ยวเเนะนำใหม่จ้ะ คิดถึงน้ะค่ะ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 04, 2012, 08:28:20 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #370 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2012, 08:30:47 PM »

รูปของกินน่าอร่อย กระตุ้นฮอร์โมนอยากอาหาร



ที่ เป็นเช่นนั่น เพราะจากการทดลองกับอาสาสมัครหลายรายที่ได้ดูรูปอาหารอันน่าลิ้มลอง โดยระหว่างนั้น นักวิจัยทำการตรวจวัดระดับฮอร์โมนควบคุมความอยากอาหาร หรือที่เรียกว่า ‘เกรลิน’ ผลที่ได้ปรากฏว่า ระดับฮอร์โมนชนิดดังกล่าวเพิ่มขึ้นทันทีเมื่อคนๆนั้นเห็นรูปอาหารยั่วน้ำลาย

ผลการศึกษาเรื่องนี้ ทำให้นักวิจัยทราบเป็นครั้งแรกว่า ฮอร์โมนเกรลินนั้นสามารถเพิ่มขึ้นจากปัจจัยภายนอกร่างกายด้วย

พลัง ของรูปอาหารที่สุดแสนจะน่ารับประทาน เช่น รูปเค้กที่ตัดแบ่งเป็นชิ้นสามเหลี่ยมอวดความอวบแน่นของแต่ละชั้นเค้ก สามารถทำให้ผู้ที่ได้เห็นรูปเค้กนี้ไปหาเค้กมารับประทานได้เลย ทั้งๆ ที่อิ่มท้องอยู่แล้ว

ด้วยความเป็นห่วง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคอ้วน หรือกำลังต้องการควบคุมน้ำหนัก นักวิจัยเตือนให้หลีกเลี่ยงการดูรูปอาหาร รวมทั้งอย่าเดินไปเฉียดใกล้ห้องครัว หรือร้านอาหาร ร้านขนม เพราะกลิ่นหอมของอาหารก็ยั่วน้ำลายและกระตุ้นฮอร์โมนเกรลินได้เช่นกัน

 

ที่มาข้อมูล : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #371 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2012, 08:32:06 PM »

อย่ามัวเหนียมอาย มะเร็งปากมดลูกจะถามหา


อย่ามัวเหนียมอาย มะเร็งปากมดลูกจะถามหา (e-magazine)

“มะเร็ง ปากมดลูก” เป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดของมะเร็งในผู้หญิงไทย ในแต่ละปีมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ในประเทศไทยประมาณ 10,000 คนต่อปี หรือวันละ 27 ราย และซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งต้องเสียชีวิตลง มีประมาณการว่าในทุก ๆ 2 นาที มีผู้หญิงทั่วโลกเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูก 1 คน และมีผู้หญิงไทยเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกเฉลี่ย 5,000 รายต่อปี

แพทย์หญิงเพชรรัตน์ ปิตะหงษ์นันท์ แพทย์ประจำแผนกสูติ-นรีเวชกรรม โรงพยาบาลเซนต์หลุยส์ให้ข้อมูลว่า “มะเร็งปากมดลูก” ถือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ติดจากชายสู่หญิง หญิงสู่ชาย ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพันธุกรรมแต่อย่างใด และเป็นมะเร็งที่เกิดขึ้นได้กับผู้หญิงทุกคน พบได้ในกลุ่มอายุ 15-59 ปี

สาเหตุหลักมาจากการติดเชื้อฮิวแมนแพปปิลโลมาไวรัส (HPV: Human Papilloma Virus) คือ ไวรัสชนิดหนึ่งที่พบได้โดยทั่วไป และมีกว่าร้อยชนิด โดยแบ่งได้เป็นสองกลุ่มคือ ชนิดที่ก่อมะเร็ง และชนิดที่ไม่ก่อมะเร็ง

ชนิด ที่ก่อมะเร็ง สายพันธุ์หลักคือ HPV ชนิด 16 และ 18 ซึ่งเป็นเชื้อชนิดก่อมะเร็งที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกถึงร้อยละ 70 และยังก่อให้เกิดมะเร็งชนิดอื่น ๆ ได้แก่ มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก และอีกกลุ่มคือชนิดที่ไม่ก่อมะเร็ง สายพันธุ์หลักคือ เอช พี วี ชนิด 6 และ 11 ซึ่งเป็นชนิดที่ทำให้เกิดโรคหูดของอวัยวะเพศ (หรือที่เรียกกันทั่วไปว่าหูดหงอนไก่) ถึงร้อยละ 90

แพทย์หญิงเพชรรัตน์ กล่าวต่อไปว่า ถึงแม้ว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ทราบถึงความร้ายแรงของโรคเหล่านี้ แต่ผู้หญิงบางคนก็อายที่จะพบแพทย์และตรวจภายใน จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะให้ผู้หญิงทุกคนหันมาใส่ใจตนเองเพื่อที่จะปกป้องตน เองให้ห่างไกลจากโรคนี้ ซึ่งโชคดีที่ยุควิทยาการล้ำหน้านี้ทำให้มีวัคซีนป้องกันไวรัส HPV

การฉีดวัคซีนป้องกันจะมีประสิทธิภาพสูงสูดคือ ช่วงก่อนมีเพศสัมพันธ์ ฉีดให้กับผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 9 ปีขึ้นไป แต่ก็มิได้หมายความว่าผู้หญิงที่ผ่านการมีเพศสัมพันธ์มาแล้วจะรับวัคซีนป้องกัน HPV ไม่ได้ เพราะวัคซีนยังคงมีประโยชน์อยู่ เนื่องจากวัคซีนจะสามารถป้องกันไวรัส HPV ในสายพันธ์ที่ไม่เคยติดมาก่อน และเป็นเรื่องที่น่ายินดีคือ วัคซีน นี้ก็สามารถฉีดให้ผู้ชายได้ด้วยเพื่อป้องกันโรคมะเร็งอวัยวะเพศชาย มะเร็งทวารหนัก และโรคหูดหงอนไก่ สำคัญมากที่ต้องฉีดให้ครบ 3 เข็มภายในระยะเวลา 6 เดือน โดยฉีดเข้ากล้ามเนื้อต้นแขน

นอกจากนี้ ยังมีความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับเชื้อ HPV รวมไปถึงมะเร็งปากมดลูกบางประการ เช่น ถุงยางอนามัยช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้ทุกชนิด ก็น่าจะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด เพราะความจริงแล้ว การแพร่ หรือติดเชื้อ HPV นั้นเกิดขึ้นได้โดยเพียงการสัมผัส ฉะนั้นหนึ่งในวิธีการป้องกันเชื้อ HPV รวมไปถึงมะเร็งปากมดลูกที่นอกเหนือการรับวัคซีน คือ การรักเดียวใจเดียวไม่เปลี่ยน หรือมีคู่นอนบ่อย ๆ ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้

 Did You Know?

ปัจจุบันวัคซีนมีการเก็บผลการศึกษาประสิทธิภาพในระยะยาวมากกว่า 7 ปี ในประเทศแถบแสกนดิเนเวียน พบว่า วัคซีนมีประสิทธิภาพและมีความปลอดภัยสูง ในหลายประเทศ เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปานามา และมาเลเซีย ได้บรรจุการฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส เป็นวัคซีนพื้นฐานและฉีดฟรีให้เด็กหญิงอายุ 12-13 ปีทุกคน พบว่าทำให้อัตราระบาดลดลง นอกจากนี้องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ออกคำแนะนำให้พิจารณาการให้วัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกเป็น national immunization
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #372 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2012, 08:36:38 PM »

ต้อหิน อันตรายกว่าที่คุณคิด


และอีกหนึ่งโรคซึ่งเกี่ยวกับดวงตาที่นับว่าอันตรายและหลายคนมองข้ามคงหนีไม่พ้น “โรคต้อหิน” ที่เราควรรู้จักเพื่อตั้งรับในวันข้างหน้า

เป็น โรคที่มีการทำลายของเส้นประสาทตาจากหลายสาเหตุซึ่งความดันตาสูงเป็นสาเหตุ ที่สำคัญอย่างหนึ่งทำให้ลานสายตาเสียไปหรือแคบลงเรื่อยๆ ส่วนใหญ่พบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป แต่อาจพบได้ในคนที่มีอายุต่ำกว่านี้ หรือเป็นมาตั้งแต่กำเนิดก็ได้และมักเป็นกับตาทั้งสองข้าง

โดยปกติคน เรามีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ภายในลูกตาน้ำหล่อเลี้ยงนี้ถูกสร้างขึ้นภายในลูกตา และถูกขับออกมาภายนอกลูกตา การสร้างและการขับออกนี้ต้องสมดุลกันความดันลูกตาจึงปกติ ถ้าเกิดการเสียสมดุล เช่น มีการสร้างมากผิดปกติหรือการขับออกน้อยกว่าปกติจะทำให้ความดันลูกตาสูงขึ้น สาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากการไหลออกของน้ำหล่อเลี้ยงน้อยกว่าปกติทำให้มีการ คั่งของน้ำอยู่ภายในลูกตา ตาจะแข็งราวกับหิน จึงเรียกว่า ต้อหิน

ความดันลูกตา

ความ ดันลูกตาที่สูงผิดปกตินี้จะไปกดประสาทตาซึ่งอยู่ทางด้านหลังของลูกตา ทำให้ประสาทตาเสื่อมและต่อไปจะทำให้ตามัว ทิ้งไว้โดยไม่ได้รับการรักษาตาจะบอดไปในที่สุด แม้ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาจนความดันลูกตามาเป็นปกติ แต่สายตาที่เสียไปแล้วจากโรคต้อหินไม่สามารถกลับคืนมาดีเหมือนเดิมได้ จึงจัดว่าโรคต้อหิน เป็นโรคตาที่ร้ายแรงมากโรคหนึ่ง

ประเภทของต้อหิน

- ต้อหินชนิดเฉียบพลัน

เกิด จากความดันลูกตาที่ขึ้นสูงทันที่ย ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดตามาก ปวดศีรษะ ตามัวอย่างรวดเร็ว อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย ถ้าไม่ได้รับการรักษาอาการจะเป็นมากขึ้นตามลำดับ มักเกิดกับผู้ที่มีอายุ 45 ปีขึ้นไป

- ต้อหินชนิดเรื้อรังแบบมุมเปิด

โรค จะดำเนินไปอย่างช้าๆ ความดันตาขึ้นทีละน้อยจึงไม่มีอาการเจ็บปวด มักเป็นกับตาทั้งสองข้าง โดยในระยะแรกๆ จะไม่มีอาการผิดปกติ ต่อเมื่อโรคดำเนินไปมาก ประสาทตาถูกทำลายไปเรื่อยๆ ทำให้ลานสายตาแคบลง ผู้ป่วยจึงสังเกตและมาพบแพทย์ ถ้ามาช้าเกินไปสายตาอาจบอดสนิทได้

-ต้อหินชนิดเรื้อรังแบบมุดปิด

ตอ หินชนิดนี้มักจะไม่มีอาการ โรคจะดำเนินไปทีละน้อย มุมม่านตาปิดเป็นหย่อมๆ ความดันตาจะค่อยๆสูงขึ้น ตรวจขั้วประสาทตาพบว่าขั้วประสาทตาบุ๋มจากต้อหิน และลานสายตาแคบลง

ดังนั้น ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปจึงควรได้รับการตรวจตาและวัดความดันลูกตาจากจักษุแพทย์เพื่อจะได้ ตรวจพบโรคนี้แต่เนิ่นๆ โดยเฉพาะผู้ที่ญาติพี่น้องในครอบครัวเป็นต้อหิน จะมีโอกาสเป็นต้อหินมากกว่าคนทั่วไป เพราะโรคนี้มีส่วนเกี่ยวข้องทางพันธุกรรมด้วย ต้อหินส่วนใหญ่เป็นโรคที่เกิดขึ้นเองแต่มีต้อหินในผู้ป่วยบางรายเกิดจากการ ซื้อยาหยอดตาบางชนิดมาใช้เอง เช่น ยาหยอดตาที่มี คอร์ติโคสเตอรอยด์ประกอบอยู่ ใช้ในการรักษาการอักเสบได้ดีแต่มีโทษทำให้เกิดโรคแทรกซ้อน คือ ต้อหินได้ถ้าหยอดยานี้ติดต่อกันหลายๆขวด ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย จึงไม่ควรซื้อยาหยอดตามาใช้เอง ควรใช้ยาเฉพาะที่จักษุแพทย์สั่งให้เท่านั้น




การรักษาต้อหิน

การใช้ยา
การยิงแสงเลเซอร์
การผ่าตัด
การ เลือกวิธีรักษาวิธีใดนั้น ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค โดยอยู่ในดุลยพินิจของจักษุแพทย์ผู้รักษาว่าใช้วิธีใดจึงจะได้ผลดีที่สุดต่อ ผู้ป่วย เมื่อตาข้างที่เป็นต้อหินได้รับการรักษาแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการป้องกันตาอีกข้างหนึ่งไม่ให้เป็นด้วย เนื่องจากต้อหินมักเป็นกับตาทั้งสองข้าง การป้องกันทำได้โดย หยอดตา ยิงแสงเลเซอร์ หรือผ่าตัดเพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้จนกระทั่งเป็นต้อหินแล้วค่อยมารักษาสายตาที่ เสียไปแล้วมักไม่กลับคืนมา การป้องกันนั้นเป็นเพียงแต่ควบคุมความดันลูกตาให้เป็นปกติ ทำให้สายตาไม่เสียไปมากกว่าที่ได้เสียไปแล้ว

การใช้ยาหยอดตาในการ รักษาต้อหินเป็นวิธีที่ได้ผลและนิยมมากที่สุด โดยปัจจุบันนี้มียาหยอดตารักษาต้อหินหลายผลิตภัณฑ์ ที่พบว่าได้ผลดีในการลดความดันในลูกตาคือ กลุ่มอนุพันธ์พรอสตาแกลนดินซึ่งยาในกลุ่มนี้จะให้ความสะดวกต่อผู้ป่วยมาก ขึ้น เนื่องจากส่วนใหญ่หยอดเพียงครั้งละ 1 หยด วันละ 1 ครั้ง ในตอนเย็นหรือก่อนนอน ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นคือ อาจพบอาการตาแดงในบางราย แต่สามารถหายและจางลงได้เองหรือเมื่อใช้ยาไปสักช่วงเวลาหนึ่งอาการตาแดงจะ เกิดน้อยลง

ยาลดความดันในลูกตากลุ่มอนุพันธ์พรอสตาแกลนดิน บางชนิดยังให้ความสะดวกต่อผู้ป่วยมากขึ้นเพราะมีความคงตัวสูง สามารถเก็บรักษาที่อุณหภูมิห้องได้โดยไม่จำเป็นต้องแช่เย็นให้ยุ่งยากอีกต่อ ไป นอกจากนี้การให้ความรู้และรายละเอียดการรักษาแก่ผู้ป่วยและญาติเป็นการเพิ่ม ความร่วมมือในการรักษา โดยหลักการควรใช้ยาน้อยชนิดที่สุดในการรักษา แต่ถ้ายาชนิดใดชนิดหนึ่งไม่สามารถลดความดันตาได้อยู่ในระดับที่จักษุแพทย์ ต้องการก็สามารถใช้ยาอื่นที่มีผลในการลดความดันตาร่วมด้วย การใช้ยา 2 ชนิดร่วมกัน ให้เว้นระยะในการหยอดยาห่างกันประมาณ 5 นาที หรืออาจใช้ยา 2 ชนิดที่ผสมอยู่ในขวดเดียวกัน (Fixed Combination) ซึ่งอาจเพิ่มความร่วมมือในการรักษาของผู้ป่วยอย่างไรก็ตามผู้ป่วยควรอ่าน ฉลากยาทุกครั้งว่าท่านได้รับยาชนิดใดมาเพื่อประโยชน์สูงสุดในการรักษาและควบ คุมโรคต่อไป




ที่มาข้อมูล : www.e-magazine.info

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #373 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2012, 11:36:31 AM »

วัยทองมาเร็ว…ดีต่อหัวใจนะเออ


นี่เป็นข่าวดีที่ทำให้วัยทองสำหรับผู้หญิงเรากลายเป็นเรื่องเบาใจอีกประการหนึ่ง

นั่นก็คือการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้จากมหาวิทยาลัยนอร์ธเวสเทิร์น ร่วมกับ Brigham and Women’s Hospital เปิดเผยในวารสาร Menopause ว่า ยิ่งคุณมีวัยทองเร็วเท่าไหร่นั้น ความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจ สโตรก หรือแม้แต่โอกาสเสียชีวิตก็จะน้อยลงด้วย

โดยการวิจัยดังกล่าว ศึกษาข้อมูลจากหญิงมากกว่า 60,000 คน ปรากฎว่า คนที่เข้าสู่อาการวัยทองช้า (คือ มีอาการร้อนวูบวาบ เหงื่อแตกกลางดึก) จะมีโอกาสหัวใจวายมากกว่าคนที่เข้าสู่วัยทองเร็วกว่าถึงร้อยละ 32 เช่นเดียวกับสถิติการเสียชีวิต ที่พบว่า ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทองช้าจะมีโอกาสเสียชีวิตมากกว่าคนเข้าสู่วัยทองเร็ว ถึงร้อยละ 29

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่านักวิจัยยังไม่ทราบว่า วัยทองกับหัวใจวายเกี่ยวข้องกันอย่างไร แต่ก็นับได้ว่านี่เป็นข่าวดีทำให้สาวใหญ่หายใจหายคอกันโล่งขึ้นเยอะเลยนะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #374 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2012, 12:08:53 PM »

รู้ไว้ใช่ว่า…ภาวะปัสสาวะเล็ดราดในสตรีวัยทอง

ภาวะปัสสาวะเล็ดราดในสตรีวัยทอง (ไทยโพสต์)

ปัญหา ของสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่า “วัยทอง” มีหลายประการด้วยกัน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงได้

ภาวะปัสสาวะเล็ดราดเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่หนักอกหนักใจสำหรับสตรีหลาย ๆ คน เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.สุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน หน่วยเวชศาสตร์อุ้งเชิงกรานสตรีและการผ่าตัดสร้างเสริม ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความรู้ว่า “ภาวะ ปัสสาวะเล็ดราด กลั้นไม่อยู่ ควบคุมไม่ได้ หรือที่เรียกว่าอาการช้ำรั่วนั้น เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในกลุ่มโรคระบบทางเดินปัสสาวะ มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบในผู้หญิง 25% ทั่วโลก ในต่างประเทศพบได้ประมาณร้อยละ 6 ของประชากร อาการดังกล่าวพบได้ในทุกกลุ่มอายุ ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ”

สำหรับประเทศไทยมีอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 20 ของผู้หญิงตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ถึงวัยหมดประจำเดือน ปัสสาวะ เล็ดราดอาจจะเป็นแค่เพียงหยดซึมเป็นช่วง ๆ หรือตลอดเวลา หรือราดจนเปื้อนเสื้อผ้าภายใน โดยที่ผู้ป่วยไม่สามารถจะควบคุมหรือกลั้นเอาไว้ได้ บางท่านต้องใช้แผ่นรองซับปัสสาวะหรือสวมใส่ถุงเก็บปัสสาวะ สภาพดังกล่าวส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง เสียสุขภาพพลานามัย ต้องเฝ้าระวังดูแลรักษาตนเอง รวมทั้งเสียสุขภาพจิตที่ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามความต้องการ

ทั้งนี้ ภาวะปัสสาวะเล็ดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

 1.ไอ จามปัสสาวะเล็ด ภาวะนี้ สตรีจะมีปัสสาวะเวลามีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเช่นเวลาไอ จาม หรือออกกำลังกาย สาเหตุเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะเสื่อม ไม่สามารถปิดเวลามีความดันในกระเพาะปัสสาวะเพิ่ม ส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนตัวลงจากการคลอดบุตร การผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน หรือภาวะขาดฮอร์โมนในวัยทอง สำหรับอาการดังกล่าวนี้แพทย์จะสามารถตรวจภายในเพื่อพิจารณาความรุนแรงของ อาการ

การรักษา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก อาจเริ่มด้วยการฝึกหัดบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยวิธีที่ถูกต้องอย่าง เคร่งครัด เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน จะช่วยรักษาอาการที่ไม่รุนแรงมากนักให้หายขาดได้ การฝึกทำทุกวัน วันละ 20 นาที โดยสามารถไปปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลตามโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ การฝึกหัดดังกล่าวมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จาม และเหมาะสมที่จะใช้กับสตรีทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือภายหลังคลอดบุตร

ในกรณีที่เป็นมากอาจต้องใช้การผ่าตัดรักษา โดยการใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ซึ่งมีแผลเล็ก สามารถผ่าตัดและกลับบ้านได้ในวันเดียว

 2.กระเพาะปัสสาวะไวเกิน คือ อาการปวดปัสสาวะบ่อยในเวลากลางวันหรือกลางคืน ปวดแล้วต้องรีบเข้าห้องน้ำ หากไปไม่ทันอาจมีปัสสาวะราดได้ การรักษาภาวะนี้ทำได้โดยการใช้ยารับประทานและพฤติกรรมบำบัด รวมทั้งการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การควบคุมน้ำหนัก ระวังอย่าให้ท้องผูก งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม ที่ทำให้ปัสสาวะบ่อย

 และ 3.กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ได้ดีจากโรคทางระบบประสาทหรือเบาหวาน หรือภาวะปัสสาวะคั่งค้างทำให้ปัสสาวะลำบาก ไม่สุด อาจมีปัสสาวะเล็ดหลังปัสสาวะหลังถ่ายเรียบร้อยแล้ว โดยปัสสาวะเล็ดราดมักพบในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทองที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหลังคลอดบุตรแล้ว การรักษาจะทำโดยการรักษาตามสาเหตุ หรือถ้าระบบประสาทเสียไป อาจต้องสวนปัสสาวะด้วยตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการคั่งของปัสสาวะ

นอก จากนั้น อาการปัสสาวะเล็ดราดของสตรีวัยทอง อาจมีปัญหาจากการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย ปวดแสบ เล็ดราด หรือขัดกะปริดกะปรอย เนื่องมาจากการอักเสบติดเชื้อ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์ หรืออั้นปัสสาวะไว้มากจนเกินไป การอักเสบนี้รักษาและป้องกันได้โดยพยายามถ่ายปัสสาวะทิ้งทันทีเมื่อปวด ปัสสาวะเต็มที่

ในรายที่ดื่มน้ำน้อย และมีโอกาสเสี่ยงต่อการอักเสบดังที่กล่าวข้างต้น ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อให้ปัสสาวะมากขึ้นในช่วงที่มีการอักเสบ หลีกเลี่ยงภาวะไอได้ ในรายที่มีปัสสาวะเล็ดเล็กน้อย หรืออยู่ในระหว่างรอการรักษา อาจใช้แผ่นซึมซับปัสสาวะช่วยลดความไม่สบายตัวในการดำเนินชีวิตประจำวันได้

นพ.สุ วิทย์ฝากทิ้งท้ายถึงสตรีวัยทอง ว่า “สตรีวัยทองควรดูแลรักษาสุขภาพตนเองเป็นประจำ โดยการได้รับอาหารครบทุกหมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและเหมาะสมกับวัย เพื่อทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกแข็งแรง การไหลเวียนโลหิตดีขึ้น คบค้าสมาคมกับเพื่อนฝูง ฝึกสมาธิ เพื่อทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส ไม่เครียด พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้สุขภาพแข็งแรง เป็นการป้องกันการเกิดภาวะปัสสาวะเล็ด เพราะถึงแม้ว่าภาวะปัสสาวะเล็ดจะ ไม่อันตราย แต่ก็ลดคุณภาพชีวิตประจำวันของเราไปได้มาก หากมีอาการดังกล่าวให้รีบปรึกษาแพทย์ และเริ่มต้นตรวจรักษาไปทีละขั้นตอน เพราะภาวะปัสสาวะเล็ดนั้นสามารถรักษาได้ และไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัวหรือน่าอับอาย หากคุณผู้หญิงมีความรู้ความเข้าใจ และพร้อมจะรับมือกับปัญหาได้อย่างถูกต้อง ก็จะสามารถใช้ชีวิตทุกวันด้วยความมั่นใจได้ครับ”

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 23 24 [25] 26 27 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: