Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 27 28 [29] 30 31 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71859 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #420 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2013, 07:44:12 AM »

***กลเม็ดเคล็ดลับอัพสมองให้ปิ๊งปั๊ง***

เพราะว่าวัยรุ่นอย่างน้องๆ ทั้งหลายต้องใช้สมองในการเรียนหนังสือ
แม้แต่วัยผู้ใหญ่ก็ต้องใช้สมองในการทำงาน ซึ่งสมองเวลาใช้งานหนักๆ
เข้ามันก็เหนื่อยก็ล้า และอาจจะหลงลืมอะไร ความจำก็ไม่ดีเหมือนตอนเป็นเด็ก
ดังนั้นเราจึงได้รวบรวมเคล็ดลับที่ทำให้สมองแล่นปรู๊ดปร๊าดมาฝาก
รับรองเลยว่าถ้าทำตั้งแต่วันนี้ ในอนาคตข้างหน้าคุณจะไม่เฉียดกรายโรคอัลไซเมอร์แน่นอน

1. หากอยากจะจดจำให้แม่น การงีบนอนให้หลับ
โดยเฉพาะเวลากลางวันนาน 90 นาที จะได้ผลดีที่สุด

2. สมองประกอบด้วยน้ำ 85% เซลลสมองก็เหมือนต้นไม้ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง
ถ้าไม่มีน้ำ ต้นไม้ก็เหี่ยว ถ้าไม่อยากให้เซลล์สมองเหี่ยวซึ่งส่งผลให้การส่งข้อมูลช้า
กลายเป็นคนคิดช้าหรือคิดไม่ค่อยออก แต่ละวันจึงควรดื่มน้ำบ่อยๆ

3. นั่งสมาธิวันละ 12 นาที หลังจากตื่นนอนแล้วให้ตั้งสติและ
นั่งสมาธิทุกเช้าวันละ 12 นาที เพื่อให้สมองเข้าสู่ช่วงที่มีคลื่น Theta
ซึ่งเป็นคลื่นที่ผ่อนคลายสุดๆ ทำให้สมองมี Mental Imagery
สามารถจินตนาการเห็นภาพและมีความคิดสร้างสรรค์
ถ้าหากทำไม่ได้ในตอนเช้าก็ให้หัดทำก่อนนอนทุกวัน

4. ใส่ความตั้งใจ การตั้งใจในสิ่งใดก็ตามเหมือนเป็นการตั้งโปรแกรมสมองว่า
นี่คือสิ่งที่ต้องเกิดระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น
ทำให้้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่างๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น
ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน

5. ทุกครั้งที่ ยิ้มหรือหัวเราะ จะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุขหลั่งออกมา
เท่ากับเป็นการกระตุ้นให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อยๆ

6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งใหม่ในที่นี้หมายถึง สิ่งต่างๆ
ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ๆ รู้จักเพื่อนใหม่
อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีทำงานของเขา
เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟินและโดปามีน
ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และสร้างสรรค์ไปเรื่อยๆ
เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์

7. ลับสมองด้วยการเล่นสแคร็บเบิ้ล(เกมต่อคำ)หรือเล่นคิวบิก(ลูกบิด)
เกมอักษรไขว้ เกมลับสมองต่างๆ ทุกวัน

8. ขณะที่เราไม่ให้อภัยตัวเอง โกรธคนอื่น โกรธตัวเอง
ทำให้เปลืองพลังงานสมอง การให้อภัยตัวเองเป็นการลดภาระของสมอง

9. เขียนขอบคุณสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เช่น
ขอบคุณที่มีครอบครัวที่ดี ขอบคุณที่มีสุขภาพที่ดี
ขอบคุณที่มีอาชีพที่ทำให้มีความสุข เป็นต้น เพราะการเขียนเรื่องดีๆ ทำให้สมอง
คิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา
ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์

10. สมองใช้ออกซิเจน 20-25% ของออกซิเจนที่เข้าสู่ร่างกาย
การฝึกหายใจเข้าลึกๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง
ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น
ถ้านั่งทำงานนานๆ อาจหาเวลาเย็น หรือเดินยืดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่
สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20%


ที่มา : womaninfocus.com/by สาระแห่งสุขภาพ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #421 เมื่อ: กรกฎาคม 25, 2013, 07:46:53 AM »

***ปวดท้องตรงไหน เป็นอะไรกันแน่***

อาการปวดท้องมักจะเกิดขึ้นอยู่เสมอแต่ส่วนมากเราจะไม่ค่อยรู้สาเหตุว่าปวดเพราะอะไรทนได้ก็ทน
แค่ถ้าทนไม่ได้ถึงจะกินยาแก้ปวด มูลนิธิหมอชาวบ้านจึงให้คำแนะนำว่า หน้าท้องแข็งเป็นดานกดแล้วเจ็บ
หรือกดแล้วท้องยุบลงไป แต่เจ็บทันทีที่ปล่อยมือ มีไข้ หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียนเป็นเลือด
อุจจาระมีสีดำ ปัสสาวะไม่ออกหรือถ่ายเป็นเลือด หน้าซีด เป็นลม ตัวเย็น เหงื่อออก
ไม่รู้สึกตัว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตัวเหลือง อ่อนเพลีย เหนื่อยง่ายหรือข้อใดข้อหนึ่ง ต้องรีบไปหาหมอทันที

เราสามารถแบ่งบริเวณ ที่ปวดท้องได้เป็น 9 ส่วน คือ

1. ชายโครงขวา คือตับและถุงน้ำดี
อาการที่พบมักจะกดแล้วเจอก้อนแข็งร่วมกับอาการตัวเหลือง ตาเหลือง
ซึ่งสันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า อาจเป็นโรคเกี่ยวกับตับหรือถุงน้ำดี เช่น ตับอักเสบ ฝีในตับ ถุงน้ำดีอักเสบ

2. ใต้ลิ้นปี่คือ กระเพาะอาหาร ตับอ่อน ตับ และกระดูกลิ้นปี่
-ปวดเป็นประจำเวลาหิวหรืออิ่ม อาจเป็นโรคเกี่ยวกับกระเพาะ
-ปวดรุนแรงร่วมกับคลื่นไส้อาเจียน อาจเป็นโรคตับอ่อนอักเสบ
-คลำเจอก้อนเนื้อค่อนข้างแข็งและมีขนาดใหญ่ อาจหมายถึงตับโต
-คลำได้ก้อนสามเหลี่ยมแบนเล็กๆ มักเป็นกระดูกลิ้นปี่

3. ชายโครงขวาคือ ม้าม ซึ่งมักจะคลำเจอก้อนเนื้อบริเวณนี้

4. บั้นเอวขวาคือท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่
-ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติหรือถ่ายเป็นเลือด อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
-ปวดร้าวถึงต้นขา อาจเป็นนิ่วในท่อไต
-ปวดร่วมกับปวดหลัง มีไข้ หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่น อาจเป็นกรวยไตอักเสบ
-คลำเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นไตโตผิดปกติหรือเนื้องอกในลำไส้ใหญ่

5. รอบสะดือคือ ลำไส้เล็ก
มักพบในโรคท้องเดินหรือไส้ติ่งอักเสบ(ก่อนจะย้ายมาปวดท้องน้อยขวา)
แต่ถ้าปวดแบบมีลมในท้อง ก็อาจเป็นเพราะกระเพาะลำไส้ทำงานผิดปกติ

6. บั้นเอวซ้ายคือ ท่อไต ไต ลำไส้ใหญ่(เหมือนข้อ 4)

7. ท้องน้อยขวาคือ ไส้ติ่ง ท่อไต และปีกมดลูก
-ปวดเกร็งเป็นระยะร้าวมาที่ต้นขา อาจเป็นเพราะมีก้อนนิ่วในกรวยไต
-ปวดเสียดตลอดเวลา กดแล้วเจ็บมาก มักเป็นไส้ติ่งอักเสบ
-ปวดร่วมกับมีไข้สูง หนาวสั่น มีตกขาว มักเป็นเพราะปีกมดลูกอักเสบ
-คลำแล้วเจอก้อนเนื้อ อาจเป็นก้อนไส้ติ่งหรือรังไข่ผิดปกติ

8. ท้องน้อยคือ กระเพาะปัสสาวะและมดลูก
-ปวดเวลาถ่ายปัสสาวะหรือถ่ายกะปริดกะปรอย
มักเป็นเพราะกระเพาะปัสสาวะอักเสบ หรือนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
-ปวดเกร็งเวลามีประจำเดือน เป็นอาการปวดประจำเดือน
แต่ในรายที่ปวดเรื้อรังในหญิงแต่งงานแล้วไม่มีบุตร อาจเป็นเนื้องอกในมดลูก

9. ท้องน้อยซ้ายคือ ปีกมดลูกและท่อไต
-ปวดเกร็งเป็นระยะและร้าวมาที่ต้นขา มักเป็นนิ่วในท่อไต
-ปวดร่วมกับมีไข้ หนาวสั่น ตกขาว เป็นเพราะมดลูกอักเสบ
-ปวดร่วมกับถ่ายอุจจาระผิดปกติ อาจเป็นเพราะลำไส้ใหญ่อักเสบ
-คลำพบก้อนร่วมกับอาการท้องผูกเป็นประจำ อาจเป็นเนื้องอกในลำไส้


ที่มา : thaihealth.or.th/by สาระแห่งสุขภาพ



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #422 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2013, 01:08:54 PM »

ไข่



อาหารที่ทำจากไข่ ไม่ว่าจะเป็น ไข่ต้ม ไข่เจียว ไข่ดาว ไข่ลวก ไข่ตุ๋น ไข่พะโล้ ไข่ยัดไส้ และอีกสารพัดเมนูไข่ คงจะคุ้นปากคนไทยเป็นอย่างดี แต่รู้หรือไม่ว่า หากเราปรุงไข่แบบ สุก ๆ ดิบ ๆ โดยเฉพาะ ไข่ดาว ไข่ลวก แทนที่จะได้ประโยชน์อาจเป็นโทษต่อร่างกาย

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.สถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ อธิบายว่า ในไข่ 1 ฟอง ไข่แดงจะเป็นก้อนไขมัน ไม่มีโปรตีน แต่กลับกัน ไข่ขาวจะไม่มีไขมัน มีแต่โปรตีนอย่างเดียว ไข่ที่จำหน่ายอยู่ในท้องตลาด ไม่ว่าเบอร์เล็กหรือเบอร์ใหญ่ สิ่งที่เหมือนกัน ไข่แดง ขนาดเดียวกันหมด แต่ที่ต่างกัน คือไข่ขาว ตรงนี้คนมักจะไม่ค่อยรู้

โทษของไข่ดิบ

มีคนเข้าใจว่าการกินไข่ดินวันละฟองในตอนเช้าจะรักษาเสียงได้ดี ความจริงแล้วการกินไข่ดิบทำให้ร่างกายได้รับธาตุบำรุงจากไข่เพียงครึ่งเดียว

ในไข่ดิบมีโปรตีนที่เป็นปฏิชีวนะอยู่ ถ้าเรากินไข่ดิบบ่อยๆ โปรตีนชนิดปฏิชีวนะที่สะสมอยู่ในร่างกายจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายได้รับ วิตามินB1 นอกจากนั้นถ้าไก่เป็นโรคไข่จะติดตามมาด้วย จึงอาจทำให้ผู้กินไข่ดิบติดโรคได้ จึงควรกินไข่ที่สุกเพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารทั้งหมดได้ ดังนั้น ไม่ควรกินไข่ดิบหรือไข่ครึ่งสุกครึ่งดิบเพื่อความปลอดภัยของ

ร่างกาย ส่วนในการทอดไข่ดาวนั้น ไม่ควรทอดเพียงด้านเดียว ควรพลิกทอดทั้ง 2 ด้าน เพื่อประกันว่าได้ฆ่าเชื้อโรคหมดแล้ว

การกินไข่ดิบ หรือไข่ที่ปรุงสุก ๆ ดิบ ๆเช่น ไข่ดาว ไข่ลวก ถ้าไข่แดงเป็นยางมะตูมอาจจะไม่ค่อยมีปัญหาเท่ากับกินไข่ขาวที่เป็นยางใส ๆ เพราะไข่ขาวจะย่อยยาก เนื่องจากไข่ขาวดิบทั้งหมดเป็น "อัลบูลมิน" ถ้าไม่สุกจะทำให้มีปัญหาเรื่องลำไส้ ไม่ค่อยย่อย ยิ่งถ้าเป็นคนแก่จะไม่มีน้ำย่อยมาย่อย "อัลบูลมิน"

นอกจากนี้การกินแต่ไข่ขาวเพียงอย่างเดียว เพราะกลัวไข่แดงมีคอเลสเตอรอลสูง จะทำให้โปรตีนในไข่ขาวตัวหนึ่ง ชื่อ "อะวิดิน" ไปจับกับ "ไบโอติน" ในร่างกาย ซึ่ง "ไบโอ ติน" เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อเส้นผม และสุขภาพผิว อีกทั้งการกินแต่ไข่ขาวอย่างเดียวร่างกายจะไม่ได้ "ไบโอติน" ที่อยู่ในไข่แดง แถม "อะวิดิน" ก็ไปจับกับไบโอตินอีก สรุปว่าต้องกินทั้งไข่ขาวและไข่แดง ด้วยการปรุงสุกเท่านั้น จะเป็นไข่ไก่ หรือไข่เป็ดก็ได้ ถ้าจะให้ดีควรต้มดีที่สุด เพราะถ้าทอดหรือเจียว เรามักจะทอดกับน้ำมันพืช ซึ่งมีโอเมก้า 6 จะยิ่งไปต้านโอเมก้า 3 ในไข่

ด้าน นายสง่า ดามาพงษ์ นักวิชาการสาธารณสุข 9 กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า การกินไข่สุก ๆ ดิบ ๆ ไม่ได้ให้ประโยชน์เต็มที่ แถมย่อยยาก และอาจมีเชื้อซาโมเนลลา หรือ อี.โคไล ที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร และที่สำคัญอาจจะไม่ปลอดจากเชื้อไข้หวัดนก สรุปว่า กินไข่ดิบ ๆ สุก ๆ ไม่มีประโยชน์ สู้กินไข่สุกไม่ได้

ที่ผ่านมาสังคมไทยกลัวไข่มาก ไม่ทราบเหมือนกันว่าเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด พอพูดถึงไข่ปุ๊บ มองไข่ในเชิงลบ ว่า มีคอเลสเตอรอลสูง จริงอยู่ไข่มีคอเลสเตอรอลสูง แต่ก็มีคุณค่าทางโภชนาการสูงมากด้วย แถมราคาถูกเมื่อเปรียบเทียบกับโปรตีนประเภทอื่น ๆ

ก่อนที่จะกินไข่ ต้องดูก่อนว่า สุขภาพร่างกายของตัวเองเป็นอย่างไร ถ้าไม่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ ไขมันในร่างกายไม่สูง ไม่เป็นเบาหวาน ไม่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ไม่เป็นโรคเรื้อรังอะไร ผู้ใหญ่สามารถกินไข่ได้สัปดาห์ละ 3-4 ฟอง แต่ถ้าไขมันในเลือดสูง มีภาวะโรคอ้วน ต้องให้แพทย์แนะนำ โดยสามารถกินได้สัปดาห์ละ 1 ฟอง หรือกินเฉพาะไข่ขาว ซึ่งไม่มีคอเลส เตอรอล แต่มีโปรตีน ส่วนเด็กอายุตั้งแต่ 1 ขวบ วัยเรียน ไปจนถึงวัยอุดมศึกษา สามารถ รับประทานไข่ ได้วันละ 1 ฟอง สัปดาห์ละ 7 ฟอง เพราะต้องใช้พลัง งานสูง โดยไข่จะมีประโยชน์ต่อการเจริญเติบโตทั้ง ด้านร่างกายและ สติปัญญา

ถามว่ากินไข่อย่างไรเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด โดยหลักง่าย ๆ คือ

1.กินไข่ที่ปรุงสุกเท่านั้น

2.ควรกินไข่ไปพร้อม ๆ กับอาหารหลัก 5 หมู่ ไม่ควรกินไข่อย่างเดียว โดยเฉพาะการกินไข่ร่วมกับผักจะมีไฟเบอร์ช่วยดูดซับคอเลสเตอรอลในไข่ได้ส่วนหนึ่ง

3.ควรกินไข่ในหลากหลายรูปแบบ และหลากหลายเมนู คนที่มีภาวะไขมันในร่างกายสูง ควรหันมากินไข่ต้ม ไข่ตุ๋น แทนไข่เจียวหรือไข่ดาว

4.เมื่อกินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ให้ไขมันสูงในวันเดียวกัน เช่น กินไข่แล้ว ควรหลีกเลี่ยงกินข้าวขาหมู ปลาหมึก กุ้ง

5.กินไข่แล้วออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอจะลดภาวะ เสี่ยงต่อคอเลสเตอรอลสูงได้.

 
 


ขอบคุณ : unigang.com
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: สิงหาคม 01, 2013, 01:12:26 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #423 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2013, 01:11:46 PM »

5 ประโยชน์จากครีมทามือ.



1. กำราบผมชี้ฟู จัดการกับเส้นผมชี้ฟูให้เข้าที่เข้าทาง โดยถูครีมทามือลงบนฝ่ามือเล็กน้อย จากนั้นก็ลูบลงบนเส้นผมเบาๆ เพื่อให้เส้นผมดูเรียบสลวยอยู่ทรง

2. เติมสวยให้ลอนผม ถ้าคุณต้องการให้ลอนผมของคุณดูคมขัดขึ้น ก็ใช้ครีมทามือแทนครีมแต่งผมเพื่อเติมความชุ่มชื้นและช่วยให้ลอนผมดูคมชัดขึ้น

3. ดูแลผนังหุ้มเล็บ แน่นอนว่าคุณใช้ครีมทาทั่วทั้งมืออยู่แล้ว แต่ถ้าคุณมีหนังหุ้มเล็บที่ดูแห้งแตก คุณก็ควรเติมลงไปเป็นพิเศษในบริเวณรอบฐานเล็บแต่ละนิ้ว

4. ต่อสู้กับไฟฟ้าสถิต ไฟฟ้าสถิตจากสภาพอากาศอาจทำให้เสื้อผ้าที่ใส่อยู่เกาะอยู่บนผิวแบบไม่ถูกที่ถูกทาง แก้ปัญหาโดยการทาครีมลงบนฝ่ามือ ลูบลงบนเสื้อผ้าในส่วนที่มีปัญหาหรือหาที่เหมาะ ๆ ทาครีมลงบนเส้นผ้าด้านใน (ที่เสียดสีกับผิวโดยตรงนั่นแหละ)

5. ใช้แทนครีมโกนขน ถ้าครีมโกนขนตามปกติทำให้ผิวของคุณแห้งผากในยามนี้ ก็หันมาใช้ครีมทามือชนิดเข้มข้นแทนซะ แล้วสภาพผิวจะดูดีขึ้นเยอะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #424 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2013, 01:14:09 PM »

คันตาหรือคันนัยน์ตา เป็นอาการที่ทุกคนเคยเป็น เคยคันกันมาแล้วทั้งนั้น เมื่อคันแล้วก็อยากขยี้หัวตา เกาขอบตา อยากเอาลูกตาออกมานอกเบ้าแล้วเกาให้หายคันให้สมอยาก ให้สะใจไปเลย คันตาจะพบมากในเด็กเล็กๆ วัยรุ่น หรือวัยเรียน ผู้ใหญ่ก็เป็นได้ โดยมากมักจะคันบริเวณขอบตา เปลือกตา บางรายเป็นบ่อย เป็นแล้วเป็นอีก บางคนนานๆ เป็นครั้ง อาการคันตานั้นจะคันน้อย คันมาก แล้วแต่คน บางคนขยี้จนเยื่อตาแดง บวม

      ครั้นจะยอมทนอดกลั้นไม่ขยี้ก็จะประสาทกิน เพราะมันคันยุบยิบไปหมดในลูกตา เหมือนมีตัวอะไรเข้าไปเดินไปไต่บริเวณเยื่อตา ขอบตา เปลือกตา หัวตา หรือหางตา แล้วแต่ตำแหน่ง

  คัน...เป็นเพราะเหตุใด     

      คัน เป็นอาการแพ้ที่มีอาการแสดงออกทางเยื่อตา หรือเปลือกตา อย่างหนึ่ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลายๆ อย่างดังต่อไปนี้

     1. เยื่อตาอักเสบ (acute conjunctivitis) การอักเสบเยื่อตาขาว อาจจะเป็นที่เยื่อตาขาวหุ้มลูกตาหรือเยื่อตาที่หุ้มเปลือกตาด้านในก็ได้ การอักเสบชนิดนี้ส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อไวรัส คล้ายกับเป็นหวัดซึ่งมักจะมีอาการคัดจมูก คันรูจมูก คันคอ ทำให้เกิดอาการจาม น้ำมูกไหล หรือไอ เจ็บคอ ส่วนอาการคันตาก็จะมีน้ำตาออกมาหรือน้ำตาไหล ระคายเคือง ร่วมด้วย เหมือนจะให้อาการอักเสบนั้นครื้นเครงสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น

      การอักเสบจากเชื้อแบคทีเรียปรากฏไม่ค่อยมากนัก ส่วนใหญ่ถ้าเป็นจะมีขี้ตาออกมามากกว่าการอักเสบจากเชื้อไวรัส อาการคัน มักจะเริ่มต้นแถวบริเวณหัวตา หรือหางตา หัวตาจะพบบ่อยกว่า เมื่อขยี้สักพักเยื่อตาจะแดงและบวม ถ้าทำซ้ำกันบ่อยๆหลายๆครั้ง ตาจะแดงมากจนเห็นได้ชัด

     2. แพ้บางสิ่งบางอย่าง (allergy) ได้แก่ แพ้อะไรก็ได้ที่กระทบเยื่อตา เพราะภาวะภูมิแพ้มีกันได้ทุกคน บางคนออกมาในรูปของอาการคันตามตัว เป็นผื่นคัน ลมพิษ หรือคันจมูก ไอ จาม หอบหืด หายใจไม่สะดวก แน่นหน้าอก คันตา คันขอบตา คันหนังตา

      2.1 สิ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ง่าย ได้แก่ แพ้ฝุ่น ลม ละอองเกสรดอกไม้ ละอองฟางข้าว ควันไฟ กลิ่นสาบสัตว์เลี้ยง เช่น วัว ควาย แพะ แกะ สุนัข แมว นก กระต่าย หรืออาการแพ้เสื้อผ้า น้ำ อากาศ เช่น ร้อนจัด หนาวจัด ชื้นอับ ห้องปรับอากาศ
      2.2 อาหารบางชนิด เช่น กุ้ง ปู ปลา หน่อไม้ เนื้อวัว เนื้อควาย เนื้อหมู ผักบางอย่าง หรือของหมักดอง เช่น มะม่วงดอง มะยมดอง ผักดอง เป็นต้น
      2.3 บางคนแพ้แม้กระทั่งคน เช่น คนข้างเคียง หรือคนบางคนที่ไม่สบอารมณ์ แพ้กลิ่นคน มีผลทำให้เกิดอาการคันตาขึ้นมาทุกครั้งที่ได้พบบุคคลนั้น การแพ้ลักษณะนี้อาจเป็นเพราะภาวะจิต (psychic) ก็ได้
      2.4 แพ้ฤดูกาล บางคนแพ้เมื่ออากาศร้อนอบอ้าว หรือแพ้ฤดูฝน ฤดูหนาว แล้วแต่ใครจะแพ้ฤดูไหน ที่พบบ่อยๆ คือ ฤดูร้อน อากาศแห้งแล้ง เด็กวัยรุ่นเป็นกันมาก เรียกว่า โรคตาชนิดภูมิแพ้ฤดูร้อน (summer season conjunctivitis หรือ spring catarrhal conjunctivitis) เข้าฤดูนี้ทีไร เด็กคนนี้คือ คนที่เคยแพ้จะเกิดความรู้สึกทรมาน ทุรนทุรายจากการขยี้ตา ขยี้จนเยื่อตาบวมแดง ถ้าขยี้มากเยื่อตาจะคล้ำเป็นสีน้ำตาลเรื่อๆ หรือปนดำไปก็มี (vernal conjunctivitis) พบว่า เยื่อตาจะมีลักษณะเป็นจ้ำๆ เหมือนเปลือกผลมะระหรือเมล็ดข้าวโพดที่เรียงอยู่บนฝักข้าวโพด การขยี้ตาจะทำให้ตาอักเสบมากขึ้นและอาจมีเชื้อแบคทีเรียซ้ำเติม ทำให้มีขี้ตาปนออกมาเมื่อตื่นนอนตอนเช้า เมื่อพ้นฤดูร้อนหรือฤดูแล้งไปแล้ว อาการของโรคนี้จะค่อยๆทุเลาลงหรือหายไป แต่จะกลับเป็นซ้ำอีกเมื่อเข้าฤดูกาลหน้า ก่อความรำคาญแก่ตัวผู้ป่วยและพ่อแม่ญาติพี่น้อง
      2.5 แพ้ยาหยอดตา ยาป้ายตา พบได้บ่อยพอสมควร บางคนแพ้ยาบางชนิด พอหยอดเข้าไปครั้งเดียว ไม่ช้าก็เกิดอาการคันตา ตาแดง ขอบตาเห่อ บวมแดง เป็นผื่นคัน และแสบ ถ้าหยุดยาชนิดนั้นอาการจะค่อยๆ ดีขึ้น เมื่อแพ้ยาชนิดใดหรือสงสัยจะแพ้ยาตัวใดให้รีบหยุดยาแล้วปรึกษาแพทย์ทันทีว่า อาการคันตาที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากการแพ้ยาที่ใช้หรือไม่
      2.6 แพ้เครื่องสำอาง (cosmetic) ได้แก่ พวกสีทาขอบตา เครื่องสำอางประเทืองผิว ครีมรองพื้น แชมพู น้ำยาสระผม หรือแป้งทาหน้า มีผลทำให้คันตาได้
      2.7 อื่นๆ นอกจากที่กล่าวมาแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะเป็นต้นเหตุได้ เช่น เลนส์สัมผัส (contact lens) หนังสือ กลิ่นไอธูปเทียน กลิ่นน้ำครำ น้ำเน่า สเปรย์ฉีดดับกลิ่น ยาฉีดพ่นฆ่ายุง มด ปลวก แมลง เป็นต้น

     3. เริ่มจะเป็นกุ้งยิง (hordeolum) อาการเริ่มจะเป็นฝีที่เปลือกตา หรือที่เรียกว่า กุ้งยิง เริ่มต้นจะมีอาการคันๆ ก่อน ต่อมาทั้งคันและปวดบริเวณขอบตาหรือเปลือกตาด้านเดียวกัน ต่อมาจะเจ็บอย่างเดียว และปวดเจ็บที่ตาบริเวณที่เป็นฝี มีอาการบวมแดง ปวด และเคืองตา

บางรายเป็นบ่อย เริ่มจากเป็นบริเวณเปลือกตาบน ต่อมาอีก 2 สัปดาห์เป็นที่เปลือกตาล่าง สลับตาซ้าย ตาขวา จึงทำให้เกิดอาการคันตาบ่อยๆ



ที่มา...หมอชาวบ้าน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #425 เมื่อ: สิงหาคม 01, 2013, 01:15:34 PM »

เส้นผมของคนเรามีวงจรการงอกใหม่และผลัดผมเก่าออกวนเวียนกันอยู่ภายในช่วง 2 เดือนสำหรับกระบวนทั้งหมดของแต่ละเส้น เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะมีผมร่วงทุกวันแต่สำหรับคนที่ผมมีปัญหาเปราะบาง และขาดหลุดร่วงมากผิดสังเกต แสดงว่าคุณกำลังตกอยู่ในภาวะผมร่วงแล้วล่ะ ซึ่งสาเหตุเกิดจากปัจจัยภายในร่างกายของเรา เช่น


ความดันโลหิตต่ำทำให้เกิดผมร่วงได้เมื่อร่างกายได้รับคุณค่าสารอาหารไม่เพียงพอ

อาหารทอด อาหารเปรี้ยวหรือเผ็ดจัดและการสูบบุหรี่นั้นส่งผลให้ผมร่วงได้  โรคบางชนิดอย่างไทฟอยด์

ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์  รวมทั้งความเครียดความวิตกกังวลทั้งหลายและพันธุกรรมก็มีส่วนเช่นกัน


ทางแก้ จะให้ได้ผลดีที่สุดควรแก้ที่ภายใน ด้วยการรักษาสุขภาพ ส่วนปัจจัยภายนอกควรดูแลไม่ให้เส้นผมได้รับความกระทบกระเทือนรุนแรง เช่นการหวี สาง ยีผมหรือมัดผมแน่นๆ ที่จะทำให้ผมขาดหลุดร่วงได้ง่ายขึ้นทันที


Natural Treatment

คั้นน้ำกะทิ 1-2 ถ้วย ตามความยาวผม นำไปชโลมบนหนังศีรษะและเส้นผมให้ทั่ว ปล่อยทิ้งไว้ 2 ชั่วโมงจนผมเริ่มแห้ง และล้างออกด้วยน้ำเปล่า อย่าเพิ่งใช้แชมพูสระ ปล่อยให้น้ำมันจากน้ำกะทิตกค้างอยู่บนผม 24 ชั่วโมง แล้วค่อยสระผม นอกจากจะช่วยเร่งให้ผมขึ้นแล้วยังทำให้ดกดำ เงางาม คนมีปัญหาผมร่วงลองใช้วิธีนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งสิ
นวดหนังศีรษะด้วยน้ำมันบำรุงผมดีๆ สักสองครั้งต่อสัปดาห์ ใช้นิ้วนวดคลึง อย่าแรงเกินไป เพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตใต้หนังศีรษะ
ใส่หัวหอมลงในแก้วเหล้ารัม ทิ้งไว้ 1 วัน จากนั้นนำหัวหอมออกจากแก้ว ใช้เหล้ารัมที่ได้มานวดหนังศีรษะ จะช่วยรักษาผมร่วงและกระตุ้นให้ผมงอกใหม่
เพื่อผมดกดำเงาเงาม นวดบำรุงด้วยน้ำมันงาหรือน้ำมันมะกอกเป็นประจำ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #426 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2013, 06:50:02 PM »

สาระแห่งสุขภาพ

***เรื่องที่ไม่รู้มาก่อนกับพาราเซตามอล***

ยาพาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) เป็นยาแก้ปวดลดไข้ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายหาซื้อได้ง่าย เป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยเมื่อใช้อย่างถูกวิธี

พาราเซตามอลสามารถบรรเทาปวดจากสาเหตุต่างๆได้หลากหลาย และมักเป็นยาที่นึกถึงเป็นขนานแรกเมื่อมีอาการปวด เมื่อใช้ในรูปแบบยาเดี่ยว พาราเซตามอลมีฤทธิ์ลดอาการปวดจำกัด รักษาได้เพียงอาการปวดขั้นอ่อนถึงปานกลางเท่านั้น

อาการปวดที่ยาพาราเซตามอลใช้ได้ผลน้อยหรือไม่ได้ผล

-อาการปวดขั้นรุนแรง
เช่น ปวดจากแผลผ่าตัดใหญ่ หรือจากมะเร็ง ยาพาราเซตามอลแต่เพียงขนานเดียวไม่สามารถรักษาได้แม้ว่าจะใช้เกินขนาดไปเท่าใดก็ตาม ดังนั้นผู้ป่วยที่มีความปวดระดับดังกล่าวห้ามใช้พาราเซตามอลเกินขนาดที่แนะนำเพื่อหวังผลลดปวดและควรพบแพทย์เพื่อรับยาที่เหมาะสมต่อไป

-อาการปวดที่มีลักษณะอาการแบบแปลกๆ
อาการปวดโทยทั่วไปที่พาราเซตามอลมีผลรักษาเช่น ปวดตื้อ หรือ กดเจ็บ จากเนื้อเยื่อที่มีการอักเสบ หรือปวดศีรษะทั่วไป แต่มีอาการบวดบางแบบที่พบได้ในผู้ป่วยเช่น ปวดแสบปวดร้อน เสียวแปลบเป็นพักๆ ปวดเหมือนเข็มเล็กๆทิ่มแทง ปวดเหมือนไฟช๊อต ปวดร้าวไปที่บริเวณอื่นๆ อาการปวดเหล่านี้อาจบ่งถึงอาการปวดจากการที่เส้นประสาททำงานผิดปกติ ปวดร่วมกับอาการชา ยาพาราเซตามอลมีผลน้อยมากในการรักษาอาการดังกล่าว ผู้ป่วยที่มีอาการปวดเส้นประสาทมักมีอาการเรื้อรังจึงอาจใช้ยาพาราเซตามอลเองเป็นระยะเวลานานซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปกติของตับ หากมีอาการเหล่านี้ควรพบแพทย์เพื่อรับการวินิฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

-อาการปวดศีรษะที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง
การใช้ยาพาราเซตามอลรักษาอาการปวดศีรษะบ่อยๆ โดยเฉพาะการใช้ยามากกว่า 15 วันต่อเดือนประมาณ 2-3 เดือนติดต่อกันจะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิด “โรคปวดศีรษะเหตุใช้ยาเกิน (medication overuse headache)” ดังนั้นผู้ที่อาการปวดศีรษะบ่อยครั้ง เช่นปวดศีรษะไมเกรนมากกว่าเดือนละ 3-4 ครั้ง หรือปวดศีรษะจากความเครียดที่มีลักษณะอาการปวดเหมือนศีรษะถูกบีบรัดมากกว่า 15 วันต่อเดือน ควรปรึกษาบุคคลากรทางการแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่ชัดเจนและอาจจำเป็นต้องรับยาอื่นที่ไม่ใช่พาราเซตามองเพื่อป้องกันอาการปวดศีรษะต่อไป


คำแนะนำการใช้ยาพาราเซตามอลในการระงับปวดให้ปลอดภัย

1.รับประทานยาอย่างเคร่งครัดตามที่ได้รับการแนะนำจากบุคลากรทางการแพทย์ หรือห้ามใช้เกินขนาดที่แนะนำ
-ขนาดยาพาราเซตามอลโดยทั่วไปเมื่อใช้ในการรักษาความปวดเบื้องต้นในผู้ใหญ่คือ 500 มิลลิกรัมครั้งละ 1-2 เม็ด ทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ใน 1 วัน (24 ชั่วโมง) ไม่เกิน 8 เม็ด (4,000 มิลลิกรัม) จากขนาดยาดังกล่าวสังเกตว่าหากรับประทานครั้งละ 2 เม็ดทุก 4 ชั่วโมง จะเท่ากับ 6,000 มิลลิกรัมซึ่งเกิน 4,000 มิลลิกรัม ให้ระมัดระวังการใช้ยาในขนาดสูงดังกว่า ขนาดยาที่แนะนำในผู้ใหญ่นี้ ใช้สำหรับรักษาความปวดเบื้องต้น แนะนำให้รับประทานติดต่อกันไม่เกิน 5-7 วัน หากจำเป็นต้องใช้นานกว่านี้ควรปรึกษาแพทย์

2.หากใช้ยาบางชนิดร่วมด้วยต้องใช้พาราเซตามอลภายใต้การดูแลของแพทย์
-ยาบางชนิดอาจทำให้พิษต่อตับของยาพาราเซตามอลเพิ่มขึ้นเช่น ยารักษาวัณโรค เช่น rifampin หรือยารักษาโรคลมชักเช่น phenytoin, carbamazepine และ phenobarbital หรือการดื่มสุราจัดติดต่อกันเป็นเวลานาน พาราเซตามอลอาจเพิ่มฤทธิ์ของยาบางชนิด เช่น warfarin ซึ่งเป็นยาป้องกันการแข็งตัวของเลือด หากได้รับยาดังกล่าวควรใช้ยาพาราเซตามอลหรือยาแก้ปวดทุกชนิดภายใต้การดูแลของแพทย์

3.ตรวจสอบชื่อสามัญทางยาของยาที่ใช้อยู่ให้ถี่ถ้วนเพื่อป้องกันการได้รับพาราเซตามอลเกินขนาด
ในกรณีที่ผู้ป่วยใช้ยาอยู่หลายขนานให้ทำการตจาวลสอบชื่อสามัญทางยาว่ามี พาราเซตามอล (paracetamol) หรือ อะเซตามิโนเฟน (acetaminophen) อยู่ในยาแต่ละขนานอย่างซ้ำซ้อนหรือไม่ เพราะมียาหลายชื่อการค้าที่มีพาราเซตามอลแฝงอยู่โดยเฉพาะยาสูตรผสมแก้หวัด เช่น Tiffy® Decolgen®, Pharcold® และ Apracur® และยาสูตรผสมแก้ปวด เช่น Norgesic®, Ultracet® และ Tylenol with codeine® การได้รับยาเหล่านี้ซ้ำซ้อนกันหลายชนิดอาจเป็นเหตุให้ได้รับยาพาราเซตามอลเกิดขนาดโดยไม่ตั้งใจได้ หากไม่แน่ใจในขนาดยารวมของพาราเซตามอลที่ใช้ให้ปรึกษาเภสัชกร


ที่มา : คณะเภสัชศาสตร์มหิดล/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #427 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2013, 11:16:14 AM »

สาระแห่งสุขภาพ
***เมื่อชอบกินเค็ม ต้องฝืนใจจึงห่างไกลโรค***

การรับประทานอาหารที่มีรสเค็มนั้น ก่อให้เกิดผลเสียต่อร่างกายในระยะยาวเป็นอย่างมาก

รวมถึงเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งเสริมให้ความดันโลหิตสูงขึ้นอีกด้วย

เนื่องจากจะทำให้ยาลดความดันโลหิตมีประสิทธิภาพด้อยลง หรือผู้ป่วยมีอาการดื้อต่อการรักษานั่นเอง ทำให้ผนังกล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายหนาขึ้น ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงอย่างหนึ่งต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดในอนาคต ทำให้ไตต้องทำงานมากขึ้นและเสื่อมเร็วขึ้น

ส่งผลให้องค์การอนามัยโลกรณรงค์ให้แต่ละประเทศดำเนินการเพื่อลดการรับประทานเค็มในประชากรของตนเอง

โดยการให้คำแนะนำว่าคนทั่วไปไม่ควรบริโภคเกลือเกิน 6 กรัมต่อวัน

เนื่องจากเกลือหรือที่มีชื่อเรียกทางวิทยาศาสตร์ว่า “โซเดียมคลอไรด์” นั้นมีโซเดียมเป็นส่วนประกอบอยู่ร้อยละ 40

ดังนั้น จึงไม่ควรกินโซเดียมเกิน 2.4 กรัม หรือ 2,400 มิลลิกรัมต่อวันนั่นเอง

ทั้งนี้เราสามารถสังเกตปริมาณโซเดียมที่เราได้รับจากอาหารต่างๆ ได้จากฉลากโภชนาการ

ยกตัวอย่างเช่น น้ำปลายี่ห้อหนี่งระบุว่ามีปริมาณโซเดียม 1,600 มิลลิกรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค

หรือ 15 มิลลิลิตร (1 ช้อนโต๊ะ) หมายความว่า

เราไม่ควรกินน้ำปลายี่ห้อดังกล่าวมากกว่า 22.5 มิลลิลิตร (1.5 ช้อนโต๊ะ) ต่อวัน

จึงจะได้รับเกลือโซเดียมไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัมต่อวัน

อย่างไรก็ตามปริมาณโซเดียมที่เราได้รับไม่ได้มาจากน้ำปลาเพียงอย่างเดียว

แต่ยังรวมถึงอาหารต่างๆ ที่เรารับประทานระหว่างวันด้วย

ดังนั้นเราจึงควรบริโภคน้ำปลาในปริมาณที่น้อยกว่า 1.5 ช้อนโต๊ะต่อวัน

เพื่อไม่ให้ร่างกายได้รับปริมาณโซเดียมเกินจากคำแนะนำ

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินให้เค็มน้อยลงไม่ยากอย่างที่คิด

ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความตั้งใจของเราเองเป็นสำคัญ การปรับเปลี่ยนมารับประทานอาหารที่รสชาติจืดลงในช่วงแรกอาจลำบาก

แต่เมื่อลิ้นเกิดความเคยชินแล้วเราก็จะไม่ค่อยรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลง

ลองเลี่ยงอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด เช่น กะปิ ไข่เค็ม ปลาเค็ม เป็นต้น

ที่สำคัญคือ พวกขนมขบเคี้ยวต่างๆ ที่มีส่วนผสมของเกลือค่อนข้างมาก เช่น

มันฝรั่งทอด ข้าวเกรียบ เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจ นั่นคือ

การหันไปเลือกผลิตภัณฑ์และเครื่องปรุงรสที่มีปริมาณโซเดียมต่ำกว่าเดิมที่ถูกผลิตขึ้นมา

เพื่อตอบสนองความต้องการของคนรักสุขภาพโดยเฉพาะนั่นเอง


ที่มา : ศิริราชพยาบาล/by สาระแห่งสุขภาพ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #428 เมื่อ: สิงหาคม 04, 2013, 11:17:35 AM »


สาระแห่งสุขภาพ
***ถ้าแน่นอก ต้องยกออก***

หัวใจของเราเป็นอวัยวะหนึ่งที่ทำงานหนักที่สุดตลอดชีวิต ดังนั้นหากหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจเหล่านี้เกิดการตีบ

หรืออุดตัน หรือมีการหดตัวอย่างรุนแรงและเป็นเวลานาน ก็จะนำไปสู่โรคหัวใจขาดเลือด

กล้ามเนื้อหัวใจตายได้ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจบริเวณนั้นเสียหาย จากการขาดออกซิเจนและสารอาหาร

เมื่อนานเข้าก็เกิดความเสียหายที่ไม่สามารถคืนดีดังเดิมได้ กล้ามเนื้อหัวใจที่ตายจะหยุดทำงาน

ผู้ป่วยอาจเกิดหัวใจวายและหากรุนแรงอาจเสียชีวิต

ดังนั้น โรคหัวใจจึงเป็นโรคที่จำเป็นต้องรับการรักษาอย่างรวดเร็วและทันท่วงที

เมื่อผู้ป่วยรู้สึกว่า มีอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแปลบบริเวณหน้าอก หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ ปวดกรามหรือใจสั่น

โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง เช่น เบาหวาน, ความดันเลือดสูง, ไขมันในเลือดสูง

จึงควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อให้แพทย์สามารถรักษาโดยการเปิดหลอดเลือดหัวใจได้อย่างทันท่วงที

เพื่อให้กล้ามเนื้อหัวใจเสียหายน้อยที่สุด เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้


เมื่อผู้ป่วยเกิดอาการดังกล่าว จึงควรเข้ารับการรักษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญอย่างรวดเร็ว

เพื่อป้องกันความเสียหายของกล้ามเนื้อหัวใจให้ได้มากที่สุด

การรักษา

ในปัจจุบัน การเปิดหลอดเลือดหัวใจทำได้หลายวิธี ขึ้นกับระยะเวลาที่เป็น,

ความพร้อมของสถานบริการ และความรุนแรงของผู้ป่วย

โดยวิธีที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั้งในประเทศไทยและในต่างประเทศ ได้แก่

1. การให้ยาละลายลิ่มเลือด ซึ่งสามารถให้การรักษาได้ทุกแห่ง ถ้าไม่มีข้อห้ามใช้ยา

โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้ป่วยมาถึงแพทย์ ภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังจากเกิดอาการ

และยังให้ผลดีบ้าง ถ้าได้รับยาภายใน 6 ชั่วโมง ปัจจุบันเรามียาละลายลิ่มเลือดตัวใหม่ ชื่อ “ Tenecteplase”

ซึ่งเป็นยาละลายลิ่มเลือดที่ออกฤทธิ์เร็ว มีประสิทธิภาพในการเปิดหลอดเลือดได้ดี

เมื่อเทียบกับยากลุ่มเดิม สามารถลัดเข้าหลอดเลือดดำทันทีไม่ต้องเตรียม

ไม่ต้องเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ทำให้ลดระยะเวลาที่เสียไประหว่างรอการรักษา

2. การขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน ร่วมกับการฝังขดลวดค้ำยัน

ซึ่งเป็นการรักษาที่ดีและได้ผลรวดเร็ว

ซึ่งอาจทำได้เลยตั้งแต่ผู้ป่วยมาถึงหรือมีข้อจำกัดไม่สามารถให้ยาละลายลิ่มเลือดได้

หรือในกรณีที่ให้ยาละลายลิ่มเลือดแล้วผู้ป่วยยังมีอาการเจ็บหน้าอกอยู่

แต่มีข้อจำกัดที่สถานให้บริการจะต้องพร้อม ทั้งห้องตรวจสวนหัวใจ ทีมแพทย์พยาบาล ที่มีความชำนาญ

ส่วนที่สำคัญที่สุดต้องดูแลสุขภาพป้องกันไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม

โดยการรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์และครอบคลุมทุกหมู่ หมั่นออกกำลังกาย

อยู่ในสภาวะแวดล้อมอากาศที่ดี และต้องรู้จักการควบคุมอารมณ์ของตนเอง


ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท/by สาระแห่งสุขภาพ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #429 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2013, 09:31:11 AM »

สาระแห่งสุขภาพ

***อาการย้ำคิดย้ำทำ***

อาการย้ำคิด (Ob session) คือ การมีความคิดหรือความรู้สึกที่เกิดขึ้นเองซ้ำๆ โดยไร้เหตุผล
ซึ่งก่อให้เกิดความกังวลใจ ความไม่สบายใจอย่างมาก เช่น คิดซ้ำๆ ว่าจะทำร้ายหรือทำสิ่งไม่ดีกับคนที่ตนรัก
คิดซ้ำๆ ว่าลบหลู่หรือด่าว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ คิดซ้ำๆ ว่า ลืมปิดแก๊สหรือลืมล็อกประตู เป็นต้น
โดยที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเกิดความคิดเช่นนั้น

อาการย้ำทำ (Com pulsion) คือ พฤติกรรมหรือการกระทำบางอย่างซ้ำๆ เพื่อป้องกันหรือช่วยลดความไม่สบายใจจากความย้ำคิดข้างต้น และเป็นการกระทำที่ตนเองก็รู้สึกได้ว่าไร้เหตุผล ไร้สาระที่จะกระทำ แต่ก็หักห้ามจิตใจไม่ให้ทำไม่ได้ เช่น เช็ก ลูกบิดประตูหรือวาล์วแก๊สซ้ำๆ เพื่อให้แน่ใจว่าปิดเรียบ ร้อยแล้ว ล้างมือซ้ำเพราะคิดว่ามือสกปรก เป็นต้น

ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักไปพบแพทย์ฝ่ายกายมากกว่ามาพบจิตแพทย์โดยตรง อาการที่นำมาพบแพทย์ได้บ่อยๆ เช่น
แผลถลอกที่มือ มือเปื่อย เหงือกอักเสบจากการแปรงฟันบ่อยๆ
ในผู้ป่วยเด็กพ่อแม่อาจพามาตรวจด้วยปัญหาพฤติกรรมซ้ำๆ ของเด็ก

ในผู้ป่วยที่มาพบจิตแพทย์โดยตรงมักมาด้วยอาการย้ำคิดเกี่ยวกับเรื่องความสะอาด ความ เป็นระเบียบเรียบร้อย
พฤติกรรมทางเพศ และพฤติกรรมรุนแรง และอาการย้ำทำ เช่น ตรวจเช็กกลอนประตู
ถามเรื่องเดิมซ้ำซาก ล้างมือ นับสิ่งของ การจัดวางของให้เป็นระเบียบซ้ำๆ
ผู้ป่วยบางรายมาด้วยอาการย้ำคิดหลายๆ เรื่อง หรือย้ำทำหลายๆ พฤติกรรม
ทำให้รบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยอย่างมาก

สาเหตุการเกิดของโรคนี้มีอยู่ 2 ปัจจัยหลักใหญ่ แบ่งเป็น

1.ปัจจัยด้านชีวภาพ พบว่าในผู้ป่วยโรคย้ำคิดย้ำทำมีความ ผิดปรกติของสารสื่อประสาทบางชนิด เช่น
สารซีโรโตนิน การทำงานของสมองส่วนหน้า (frontal lobe) caudate และ cingulum เพิ่มมากกว่าปรกติ
รวมถึงปัจจัยด้านพันธุกรรมก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

2.ปัจจัยด้านจิตใจ ผู้ป่วยอาจมีความขัดแย้งในระดับจิต ใต้สำนึก
และพยายามใช้กลไกทางจิตเพื่อจัดการกับความตึง เครียดในใจ แต่ไม่ได้ผล กลับส่งผลให้เกิดการแสดงออกเป็นอาการดังกล่าว

ลักษณะการดำเนินโรคนั้น ส่วนใหญ่อาการมักเป็นอย่างเฉียบพลัน ร้อยละ 50-70 มีความเครียดนำมาก่อน เช่น
การตั้งครรภ์ ปัญหาทางเพศ ญาติ หรือคนใกล้ชิดตายจากไป

แม้ว่าคนเป็นโรคนี้จะป่วยเรื้อรัง แต่หลังจากได้รับการรักษาแล้ว กว่าร้อยละ 80 ของผู้ป่วย
มีอาการดีขึ้นมากจนใช้ชีวิตได้เกือบปรกติ คงเหลือเพียงร้อยละ 20 เท่านั้นที่อาการคงเดิมหรืออาจแย่ลง

การรักษาที่ดีที่สุดคือ การใช้พฤติกรรมบำบัด ร่วมกับยาแก้โรคย้ำคิดย้ำทำ

1.ยาแก้โรคย้ำคิดย้ำทำ ยาเหล่านี้ช่วยปรับสมดุลของสารสื่อประสาทซีโรโตนินจนเป็นปรกติ ซึ่งหลังจากรักษาอาการเป็นปรกติแล้ว แพทย์ยังต้องให้การรักษาต่อเนื่องเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นอีกระยะหนึ่งจึงหยุดยา

2.พฤติกรรมบำบัด โดยให้ฝึกเผชิญกับสิ่งที่กังวลหรือกลัว (Exposure therapy) อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง
ร่วมกับการพยายามไม่ให้สนใจอาการของโรค และหาวิธีป้องกันการกระทำซ้ำๆ (Response prevention)
ทั้งนี้ ก็เพื่อส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลับไปทำหน้าที่ตามเดิมให้ได้มากที่สุด



ที่มา : ผศ.นพ.สมบัติ ศาสตร์รุ่งภัค/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #430 เมื่อ: สิงหาคม 06, 2013, 09:33:35 AM »


โลกทรรศนะ
สรุปความลับ "พลังจิตใต้สำนึก"
The Top Secret/ทต.สม สุจีรา

1.จิตใต้สำนึก คือฐานข้อมูลของความคิด และความรู้สึกที่เกิดขึ้นซ้ำกันบ่อย ๆ
จนตกตะกอนแล้ว

2.จิตใต้สำนึกไม่ได้เชื่อมต่อกับทวารทั้งห้าคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ดังนั้น

จึงไม่รับรู้ว่า เห็นอะไร ได้ยินอะไร

แต่จะบันทึกเฉพาะส่วนที่เป็นความรู้สึกพร้อมกับภาพในจินตนาการเท่านั้น

3.หากคุณรู้สึกอิจฉาริษยาในความสำเร็จ การได้เลื่อนตำแหน่ง

หรือความร่ำรวยของผู้อื่น จิตใต้สำนึกก็จะเข้าใจว่า คุณไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้

จึงบันดาลให้คุณไม่มีโอกาสได้พบ ดังนั้น

จึงควรร่วมแสดงความยินดีกับผู้อื่นนที่ประสบความสำเร็จ

เพื่อส่งสัญญาณไปยังจิตใต้สำนึกว่า คุณก็ต้องการประสบสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

4.จิตใต้สำนึกจะไม่เข้าใจสมมติบัญญัติของโลก เช่น จำนวนเงิน

แต่จะบันทึกไว้ในรูปของความรู้สึกแทน ดังนั้น

คนที่ทำบุญสิบบาทด้วยความรู้สึกศรัทธาเต็มเปี่ยม

กับคนที่ทำบุญแสนบาทด้วยศรัทธาเท่ากัน ข้อมูลที่บันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกก็จะเท่ากัน

5.จักรวาลมีคลื่นความถี่ ตัวคุณเปรียบเสมือนจอรับภาพ ถ้าต้องการภาพชีวิตแบบไหนก็เพียงแต่ปรับความถี่ของจอรับภาพให้ตรงกับคลื่นความถี่ของจักรวาล

6.จิตใต้สำนึกจะแยกไม่ออกระหว่างภาพในจินตนาการกับภาพจากประสบการณ์จริง ดังนั้น

การที่คุณสร้างจินตนาการภาพในใจขึ้น

ก็เหมือนกับเป็นการบอกให้จิตใต้สำนึกบันทึกภาพนี้ไว้ บันดาลให้เกิดขึ้นจริงต่อไป




7.จิตใต้สำนึกเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึก
ต่างจากจิตสำนึกซึ่งเกี่ยวข้องกับความคิดและสมอง

8.จิตใต้สำนึกจะไม่เข้าใจภาษา แต่จะบันทึกเฉพาะสิ่งที่เป็นความรู้สึก

จึงไม่เข้าใจคำว่า "ไม่" "อย่า" ดังนั้น คุณจึงควรคิดแต่ทางบวก

อย่าไปคิดในสิ่งที่ตัวเองไม่ต้องการ เช่น ไม่ควรคิดว่าฉันไม่อยากอ้วน

แต่ให้เปลี่ยนเป็นรูปร่างในฝันของฉัน คือผมเพรียวแทน

9.เมื่อคุณฝึกพูดบวกคิดบวกจนเป็นนิสัย จิตใต้สำนึกก็จะบันดาลให้สิ่งที่คุณคิดเกิดขึ้นจริง

แล้วจะพบว่าสิ่งดี ๆ เข้ามาสู่ชีวิตคุณมากมายอย่างไม่น่าเชื่อ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #431 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2013, 09:26:58 PM »

หัวเราะปลุกสมองสดชื่น


มีภาษิตจีนว่า "โมโหหนึ่งครั้งจะแก่ขึ้นหนึ่งปี แต่หัวเราะหนึ่งครั้งจะอ่อนเยาว์ลงหนึ่งปี"
สมกับเป็นความรู้ประเทศจีนที่มีมาสี่พันปี



ฝึกสมองไม่ให้เสื่อม
มีภาษิตจีนว่า "โมโหหนึ่งครั้งจะแก่ขึ้นหนึ่งปี แต่หัวเราะหนึ่งครั้งจะอ่อนเยาว์ลงหนึ่งปี"
สมกับเป็นความรู้ประเทศจีนที่มีมาสี่พันปี ซึ่งได้มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับเรื่องนี้ด้วย
เวลาที่เรานึกโมโหขึ้นมา จะเกิดอนุมูลอิสระของออกซิเจนเป็นจำนวนมาก





ในขณะเดียวกันจะเกิดการหลั่งฮอร์โมนที่อันตราย ส่งผลให้เซลล์ประสาทส่วนใหญ่ตายไป
ซึ่งหมายความว่าจะทำให้สมองแก่ชราขึ้น และในทางกลับกัน
การส่งเสียงหัวเราะออกมาเป็นการกระตุ้นสมองและประสาท ทำให้เกิดการหลั่งสารเบต้าเอ็นโดรฟิน
ซึ่งทำให้เซลล์สมองทำงานได้อย่างกระปรี้กระเปร่า




การหัวเราะนั้นนอกจากจะทำให้อ่อนเยาว์ลงแล้วยังช่วยทำให้สมองสดใสอีกด้วย
มีคุณหมอจำนวนมากยอมรับว่าการหัวเราะมีผลดีต่อร่างกาย
โดยมีโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอเมริกาได้สร้าง "ห้องสำหรับหัวเราะโดยเฉพาะ"
ขึ้น ในญี่ปุ่นเองก็มีคุณหมอที่สนับสนุนให้คนไข้มาแสดงมุกตลกของตนให้คนอื่นได้ดูกัน
โดยเรียกว่า "วิธีบำบัดด้วยอารมณ์ขัน"





ฉะนั้นคนที่ "ปกติไม่มีเรื่องให้หัวเราะ" "ไม่ถนัดค้นหาอะไรน่าสนใจในชีวิตประจำวัน"
ลองพยายามสร้าง "โอกาสหัวเราะ" กันดูสักหน่อย เช่น ลองซื้อ CD หรือ DVD ตลกมาหลายๆ แผ่น
แล้วลองดูว่าชอบอันไหนมากที่สุด





เพราะสื่อประเภทนี้ผู้ดูสามารถหัวเราะเสียงดังไปกับเรื่องตลกเมื่อไหร่ก็ได้
แม้จะไม่หัวเราะเสียงดัง แค่ยิ้มออกมาก็เพียงพอเช่นกัน[





คนที่ชอบดูหนัง ก็ลองหาหนังตลกที่ขำมากๆ มาดู เช่น หนังเงียบอย่าง ชาร์ลี แชปลินยุคแรกๆ
หรือบัสเตอร์ คีตัน หนังตลกดีๆ นั้นไม่ว่าดูกี่ครั้งก็อดหัวเราะไม่ได้
ลองหาหนังตลกที่เป็นสุดยอดของตัวเองดู
ทั้งๆ ที่รู้ว่ามีเนื้อหาอย่างไร แต่กลับหัวเราะที่เดิมๆ ซ้ำๆ เสมอ
หนังแบบนี้จะมีประโยชน์อย่างมากเวลาเรารู้สึกซึมเศร้า




อาบน้ำให้สมองสดใส
ลงไปแช่ในอ่างน้ำร้อน ให้ร่างกายอุ่นจนถึงข้างใน พลางพูดว่า
"วันนี้ทำงานเสร็จไปอีกวัน เฮ้อ เหนื่อยจัง" พออาบเสร็จก็ดื่มเครื่องดื่มเย็นๆ
หรือเครื่องดื่มเกลือแร่ เพื่อเพิ่มความสุข
การอาบน้ำมีแต่การให้ "ความรู้สึกสบาย" ติดต่อกัน โดยพื้นฐานแล้ว
"ความรู้สึกสบาย" นี้ดีต่อสมองเช่นกัน ฉะนั้นการผ่อนคลายด้วยการอาบน้ำจึงดีต่อสมองด้วย
แต่การอาบน้ำแล้วรู้สึกสบายนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติ มีวิธีอาบน้ำแล้วสมองกระปรี้กระเปร่ามาแนะนำกัน




ก่อนอื่นให้แช่ตัวลงในน้ำร้อนที่มีอุณหภูมิไม่สูงมาก พอร่างกายชินกับความร้อน ให้ค่อยๆ
ใส่น้ำร้อนเพิ่มจนรู้สึกร้อนและพอร่างกายรู้สึกอบอุ่นเพียงพอ ให้ออกจากอ่าง
ใช้ฝักบัวอาบน้ำเย็นให้ทั่วตัว 30 วินาทีถึง 1 นาทีเพื่อกระตุ้นร่างกาย
ต่อไปให้อุ่นร่างกายด้วยการแช่น้ำร้อนอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงค่อยอาบน้ำเย็นปิดท้าย
การกระตุ้นแบบนี้จะทำให้เส้นเลือดฝอยยืดหยุ่น ส่งผลให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น
นอกจากนี้ การอาบน้ำเย็นยังทำให้ระบบภูมิคุ้มกันตื่นตัว
และยังกระตุ้นสมองส่วนที่ยังไม่ค่อยได้ใช้อีกด้วย





เป็นวิธีการอาบน้ำที่มีแต่ได้กับได้ แต่วิธีการนี้จะทำให้หัวใจทำงานหนัก
ไม่เหมาะกับคนที่เป็นโรคหัวใจและควรทำในปริมาณที่พอดี ไม่ทำให้ร่างกายทำงานหนักเกินไป
โดยไม่อดทนแช่น้ำร้อนจัดหรืออาบน้ำเย็นจัดมากจนเกินไป
เรียบเรียงจากหนังสือ "สารพัดวิธีฝึกนิสัยบริหารสมอง"
Copyright @2009 by Kawade Shobo Shinsha, Japan
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #432 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2013, 08:14:23 PM »

สัญญาณบอกกินอาหารไม่เหมาะสม

อาหารที่เรากินทุกวันนี้ ล้วนแต่ส่งผลต่อสุขภาพ

1. ผมไม่เงางาม ถ้าถึงขนาดที่คุณจัดทรงไม่ได้เลยต้องถือว่ารุนแรงแล้วค่ะ ทั้งนี้เป็นผลจากการขาดโปรตีนและธาตุเหล็ก จะเห็นชัดเจนในกลุ่มคนที่เป็นมังสวิรัติหรือคนที่จำกัดอาหารอย่างมาก ลองกินอาหารให้มีส่วนผสมของธาตุอาหารอย่างเหมาะสม เน้นอาหารที่มีกากใย พร้อมไปกับการออกกำลังกาย

สำหรับคนที่เป็นมังสวิรัติต้องได้สารอาหารจากพืชผัก ข้าวและถั่ว ในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อที่จะได้โปรตีนทดแทนจากโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่ขาดไปและเพิ่มเติมด้วย กะหล่ำดอกและผลไม้เปลือกแข็ง เช่น เกาลัด ถั่วแขกและถั่วเหลือง ซึ่งดุดมไปด้วยไบโอติน สำหรับคนที่จำกัดอาหาร แม้ว่าจะอยากผอมแค่ไหนก็ไม่ควรอดอาหารจนเกินไปค่ะ ลองใช้วิธีฉลาดๆจำกัดอาหารแต่พอเพียง เพิ่มการออกกำลังกายอีกหน่อย

2. ผิวหนังส่ออาการคุณเริ่มมีอาการคันที่ผิวหนัง หรือลอกเป็นขุย แม้จะไม่ใช่ช่วงหน้าหนาวบ้างไหมคะ อาการอย่างนี้อาจเป็นลักษณะของการขาดวิตามิน A ซึ่งผักและผลไม้ที่มีสีเหลือง สีส้มหรือสีเขียวเข้ม ล้วนแต่อุดมไปด้วยวิตามิน A เพียงพอที่จะทำให้ผิวคุณเป็นปกติ แต่ไม่แนะนำให้กินวิตามิน A เสริมที่อยู่ในรูปแบบเม็ด เพราะการได้รับวิตามิน A โดยตรงมากเกินไปจะเป็นอันตรายได้ค่ะ

3. ข้อต่อมีเสียงดังหรือปวดบริเวณข้อต่อ อาการอย่างนี้อย่าเพิ่งไปโทษโรงข้ออักเสบ เพราะอาจเป็นไปได้ว่าคุณกินปลาน้อยเกินไป กระไขมันประเภทโอเมก้า-3 ที่พบมากในปลา อย่างปลาแซลมอน ปลาทูน่า จะทำให้ข้อต่อของคุณเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น ซึ่งจะช่วยให้กระแสโลหิตไหวเลียนดีขึ้น ลดอาการบวมและปวดบริเวณข้อต่อ

4. ผายลมบ่อย เป็นเรื่องจริงที่ไฟเบอร์มีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ถ้ากินมากเกินไปหรือได้รับสารอาหารประเภทนี้เร็วเกินไป เช่น กินถั่วหรือไม้จำพวกที่มีฝัก เช่น กระถิน ทองหลาง ร่างกายของคุณก็จะผลิตแก๊สตามออกมามากกว่าอาหารที่ย่อยง่ายตามปกติ

5. ท้องผูก เป็นอีกอาการหนึ่งที่บอกถึงการรับประมาณอาหารอย่างไม่เหมาะสม คุณต้องได้สารอาหารพวกไฟเบอร์หรือกาหารที่มีกากใย เช่น ผักผลไม้ต่างๆ อย่างน้อยวันละ 25 กรัม และดื่มน้ำให้มากขึ้นด้วยวิธีแก้ปัญหานี้ง่ายๆ คือ ค่อยๆเพิ่มสารอาหารพวกไฟเบอร์อย่างช้าๆ ถ้าคุณเคยกินแค่เพียงวันละ 10 กรัม อย่าเพิ่มเป็น 25 กรัมในวันรุ่งขึ้น ในสัปดาห์แรกเพิ่มแค่เพียง 5 กรัม แล้วสัปดาห์ต่อมาค่อยเพิ่มอีก 5 กรัม

6. หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจของคนเราเป็นกล้ามเนื้อที่มีการบีบตัวมากกว่า 100,000 ครั้งต่อวัน แต่คงไม่สามารถทำงานอย่างสมบูรณ์แบบได้ตลอดเวลา ซึ่งถ้าอยู่ๆคุณรู้สึกว่าหัวใจเต้นเร็วกว่าปกติหรือเต้นๆหยุดๆโดนไม่มี เหตุผล ถ้ามีอาการเจ็บปวดหรือหน้ามืด เวียนศีรษะด้วย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที แต่ถ้าแพทย์พบว่าไม่มีอะไรผิดปกติ แต่คุณก็ยังรู้สึกว่ามีอาการหัวใจเต้นผิดปกติในบางครั้ง คุณอาจจะขาดสารอาหารพวกแมกนีเซียม หรือ โปแตสเซียมสำหรับโปแตสเซียม ให้ดื่มน้ำส้มวันละ 2-3 แก้ว ช่วงอาหารเช้าให้เพิ่มกล้วยเข้าไปในส่วนหนึ่งของเมนู สำหรับแมกนีเซียมให้ทานอาหารว่างที่เป็นพวกเม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดทานตะวัน หรือเมล็ดฟักทองและผักโขม เป็นอีกตัวหนึ่งที่มีแร่ธาตุช่วยในการทำงานของหัวใจ

7. ขี้ลืม อาจเป็นได้ว่าคุณขาดวิตามิน B ในการศึกษาที่ USDA Human Nutrition Research Center in Boston นักวิจัยพบว่าผู้ชายที่มีระดับของวิตามิน B6 B12 และ B9(โฟเลต)สูงในเลือด จะมีความทรงจำที่ดีกว่า จากการทดสอบพบว่าสารอาหารพวกนี้ช่วยให้สมองทำงานได้เต็มที่ และยังช่วยควบคุม homocysteine ซึ่งเป็นกรดอะมิโนชนิดหนึ่งที่อยู่ในร่างกาย ซึ่งเป็นตัวขัดขวางการที่เลือดจะไปหล่อเลี้ยงสมองถั่วเป็นอาหารที่อุดมไป ด้วยวิตามิน B6 และโฟเลตมากที่สุด และไม่ต้องกังวลกับการขาดวิตามิน B12 เพราะมีมากในเนื้อสัตว์และอาหารทะเล

8. Sperm น้อยลงไปมาก ถ้าคุณกำลังพยายามที่จะมีลูก และมีปัญหาเรื่องระดับของสเปิร์มต่ำกว่าปกติ อาจเป็นไปได้ว่าคุณขาดวิตามิน C ซึ่งเป็นตัวสำคัญในการกระตุ้มการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาพบว่าวิตามิน C ยังช่วยในการรักษาปริมาณและความสมบูรณ์ของตัวสเปิร์มด้วย Earl Dawson, Ph.D., ที่ University of Texas Medical Branch ที่ Galveston แนะนำว่าให้ผู้ชายดื่มน้ำส้มอย่างน้อยวันละประมาณ 1 ลิตรทุกวัน โดยบอกว่าวิตามิน C มีส่วนช่วยป้องกันสเปิร์มจากอันตรายและความเสียหายในทุกๆด้าน

9. ปวดเหงือก ถ้าการเจ็บปวดเกิดจากการอักเสบ ก่อให้เกิดความเจ็บปวดและปัญหาของเหงือก แสดงว่าปากของคุณกำลังต้องการแบคทีเรียที่มีประโยชน์ ให้มาช่วยจัดการกับแบคทีเรียในปากที่มีอันตราย ให้กินโยเกิร์ตที่มีแบคทีเรียที่เราต้องการเป็นอาหารว่างในช่วงเช้าของทุก วัน

10. กระดูกแตก ถ้าคุณกระดูกแตกมากกว่า 2-3 ครั้งตั้งแต่โตเป็นผู้ใหญ่ อาจเป็นไปได้ว่ากระดูกของคุณอยู่ในภาวะอ่อนแอ อาจมีสาเหตุมากจากการขาดวิตามิน D และแคลเซียม ซึ่งเป็นตัวประกอบที่สำคัญในการสร้างกระดูก ผู้ชายก็ต้องการแคลเซียมมากเหมือนๆผู้หญิง เพราะผู้ชายมักจะกินเนื้อมากกว่า ซึ่งอุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ยิ่งร่างกายได้รับฟอสฟอรัสมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องการแคลเซียมมากขึ้นเท่านั้น อาหารที่อุดมไปด้วยแคลเซียม ได้แก่ ปลาเล็กปลาน้อย กุ้งแห้ง โยเกิร์ต นมและเนยแข็ง ( ไขมันต่ำได้ก็ดี )
ลอง สังเกตร่างกายตัวเองบ่อยๆนะคะ เพราะอย่างไรเสีย หากเราดูแลตัวเองได้ดีก็ไม่ต้องถึงมือคุณหมอให้ยุ่งยากเปล่าๆ ไหนจะเสียทั้งเงิน เสียทั้งเวลาด้วย ไม่คุ้มกันแน่ๆ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #433 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2013, 09:38:48 AM »

คุมน้ำตาลเพื่อ 'ดวงตา'


ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ ถ้าไม่ อยากสูญเสียดวงตาไปเพราะโรคเบาหวาน


ควรดูแลควบคุมน้ำตาลเสียแต่เนิ่นๆ นี่คือข้อเท็จจริงที่ผู้ป่วย และคนที่ยังไม่ป่วยเป็นโรคเบาหวานควรรู้


เพราะทุกวันนี้ โรคเรื้อรังดังกล่าวมีตัวเลขเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ และอันตรายอย่างหนึ่งสำหรับคนเป็นโรคเบาหวานก็คือ อาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็นจนถึงขั้นตาบอด ซึ่งจะทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถดำเนินชีวิตตามปกติได้


อธิบดีกรมการแพทย์ นายแพทย์สุพรรณ ศรีธรรมมา ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่าปัจจุบัน พบผู้ป่วยเบาหวานร้อยละ 20 เป็นโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตา จึงจำเป็นต้องให้ความรู้ที่ถูกต้อง ในการดูแลตนเอง ทั้งนี้องค์การอนามัยโลก และ สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติ ได้กำหนดให้วันที่ 14 พฤศจิกายน ของทุกปี เป็นวันเบาหวานโลก ซึ่งในปี 2556 กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และศูนย์เบาหวานศิริราช จัดกิจกรรมรณรงค์งานวันเบาหวานโลกพร้อมกันทั่วประเทศ


สำหรับในปีนี้ได้กำหนดประเด็นรณรงค์ คือ "การให้ความรู้และการป้องกันโรคเบาหวาน" และได้กำหนดคำขวัญที่ใช้ในการรณรงค์ คือ "พิทักษ์อนาคตไทย พ้นภัยเบาหวาน"


ปัจจุบันโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังซึ่งเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญ ในศตวรรษที่ 21 พบผู้ป่วยโรคเบาหวานทั่วโลก 371 ล้านคน และคาดว่าปี พ.ศ.2573 จะมีผู้ป่วยโรคเบาหวานถึง 500 ล้านคน สำหรับประเทศไทย ปี 2555 พบผู้เสียชีวิตจากโรคเบาหวานทั้งหมด 7,749 คน หรือเฉลี่ยวันละ 22 คน คิดเป็นอัตราตายด้วยโรคเบาหวาน 12.06 ต่อแสนประชากร และมีผู้ป่วยโรคเบาหวานเข้าพักรักษาตัวในโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 674,826 ครั้ง คิดเป็นอัตราป่วยด้วยโรคเบาหวาน เท่ากับ 1,050.05 ต่อแสนประชากร เนื่องจากสภาวะความเป็นอยู่และวิถีชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น


แม้ว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะสามารถใช้ชีวิตอยู่สังคมได้อย่างปกติหากได้รับ การรักษาอย่างต่อเนื่อง แต่ผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมักพบภาวะแทรกซ้อนตามระบบ และอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ได้แก่ หลอดเลือดสมอง และหัวใจ ตา ไต และเท้า ดังนั้นการตรวจคัดกรองเพื่อค้นหา และวินิจฉัยภาวะแทรกซ้อนต่างๆ จากโรคเบาหวาน จึงเป็นงานที่สำคัญอย่างยิ่งในการดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวานตั้งแต่ระยะแรก ก่อนที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง

จนเป็นเหตุ ให้ผู้ป่วยสูญเสียอวัยวะหรือเสียชีวิต สำหรับภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญจาก โรคเบาหวานที่ผู้ป่วยควรจะได้รับการตรวจคัดกรอง คือ โรคเบาหวานเข้าจอประสาทตา ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียการมองเห็นเป็นอันดับสองรองจากต้อกระจก โดยเฉลี่ยพบว่าโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาเกิดขึ้นประมาณร้อยละ 20 ของผู้ป่วยเบาหวาน ซึ่งผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานมาเป็นระยะเวลา 15 ปีจะพบว่าเป็นโรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาได้ถึงร้อยละ 80 โดยผู้ป่วยประมาณร้อยละ 2 มีภาวะตาบอด และร้อยละ 10 เกิดการสูญเสียการมองเห็นขั้นรุนแรง เนื่องจากผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานทำให้เกิดความผิดปกติของหลอดเลือดในจอตา

อธิบดีกรมการแพทย์กล่าวเพิ่มเติมว่า โรคเบาหวานเข้าจอประสาทตาสามารถป้องกันได้ ถ้าวินิจฉัยได้เร็ว ดังนั้นผู้ป่วยจำเป็นต้อง ได้รับการตรวจตาเป็นระยะ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือบ่อยกว่านั้น ตามความรุนแรงของภาวะเบาหวานขึ้นจอตา และควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันทีที่มีอาการผิดปกติเกี่ยวกับการมองเห็น ที่สำคัญผู้ป่วยจะต้องควบคุมระดับน้ำตาล ความดันโลหิต และไขมัน ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอและหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่โดยเด็ดขาด


"โรคเบาหวาน เข้าจอประสาทตา ซึ่งเป็นสาเหตุของการสูญเสียการมองเห็นเป็นอันดับสอง รองจากต้อกระจก"
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #434 เมื่อ: ธันวาคม 18, 2013, 04:54:35 PM »

ปวดเมื่อย..นั่งผิดหลักหักโหมงาน

สัญญาณอันตราย 'ออฟฟิศ ซินโดรม'

พฤติกรรมการนั่ง ทำงานที่ไม่เหมาะสม นับว่าเป็นปัจจัย เสี่ยงที่นำไปสู่การเป็นโรคออฟฟิศ ซินโดรม ได้ง่าย??

เมื่อเอ่ยถึง โรคออฟฟิศ ซินโดรม หลายคนคงคิ้วชนกัน ทั้ง ๆ ที่ความจริงแล้วเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรม ที่อยู่ใกล้ตัวเราโดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนทำงานในออฟฟิศ ที่แสดงอาการออกมาด้วยการปวดเมื่อยอวัยวะต่าง ๆ ทั้ง ไหล่ บ่า แขน ขา เอว ต้นคอ รวมทั้งอาการกล้ามเนื้ออักเสบ

นพ.มนต์ทณัฐ โรจนา ศรีรัตน์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านไคโรแพรคติก อธิบายถึงอาการปวดทั้งหลายที่กล่าวมาข้างต้นว่า โดยปกติลักษณะโครงสร้างของคนเรา ถ้าดูจากทาง ด้านหน้า ศีรษะ ไหล่ เอว เข่า ข้อเท้าด้านซ้ายและขวา จะต้องมีความสมดุลเท่ากัน หากมองจาก ด้านข้าง สิ่งที่จะดู คือ ใบหู ไหล่ ลำตัว เอว เข่า และข้อเท้า โดยทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ก็จะต้องมีความสมดุลเท่ากัน

ตามหลักการโครงสร้างคนเราไม่สามารถที่จะพยุงตนเองอยู่ได้ด้วยกระดูกเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยในส่วนของกล้ามเนื้อ เส้นเอ็นยึด เพื่อพยุงโครงสร้างของร่างกายให้อยู่ในแนวระดับปกติที่ถูกต้อง ซึ่งมาตรฐานของโครงสร้างคนเรามีลักษณะ ไม่แตกต่างกัน ถ้าโครงสร้างอยู่ในแนวระดับที่ผิดนั้นหมายถึง มีความผิดปกติเกิดขึ้น

“เมื่อมองดูแนวของ กระดูกสันหลัง ด้านหน้าจะต้องเรียงตัวในแนวระดับตรง หากมองด้านข้างจะเห็นเป็นคลื่นอยู่ 4 คลื่น คือ ต้นคอ หลังตอนบน เอว และหลังตอนล่าง แต่ละช่วงจะมีการเว้าอยู่ที่ 63 องศา หรือบวก ลบ ไม่เกิน 5 นั่นคือ ลักษณะ โครงสร้างของกระดูกที่สมดุลและเท่ากัน

เมื่อไรก็ตามที่แนวโครงสร้างจุดใดจุดหนึ่งมีปัญหา ร่างกายของคนเราจะมีการปรับแนวโครงสร้างเข้าสู่ความสมดุล ให้ได้ เช่น ถ้าเรามีแนวของหลังที่แอ่นมากกว่าปกติ สิ่งที่จะตามมา คือ หลังตอนบนจะค่อมมากกว่าปกติ เพื่อให้ได้ สมดุลซึ่งกันและกัน” 

โครงสร้างที่สูญเสียความ สมดุลที่ถูกต้องไป สิ่งที่เกิดขึ้น คือ จะมีภาวะการทำงานที่มากเกินไปของตัวข้อเกิดขึ้น ข้อจะแบกภาระน้ำหนัก มากขึ้น รวมทั้งเรื่องของการทำงานที่หนักเกินไปตลอดเวลาของกล้ามเนื้อ ที่จะต้องพยุงน้ำหนักที่ถูกถ่วง หรือตกไปอยู่ในตำแหน่งที่ผิดปกติเป็นเวลานาน ทั้ง 2 ลักษณะนี้ เมื่อนานวันเข้าการทำงานหนักเกินไปจะก่อให้เกิดการเสื่อมสภาพของโครงสร้างกระดูก

โดยส่วนใหญ่ ถ้าพูดถึงลักษณะการทำงานที่ผิดปกติ ลักษณะท่าทางความผิดปกติของคนเรา ไม่ว่าจะเป็น ท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน การก้ม การหยิบของที่สูง ที่ทำให้โครงสร้างผิดจากสมดุลซึ่งจะกระทบในส่วนแรก คือ การขยับในตัวข้อ ต่อมา คือ กล้ามเนื้อ ที่มีภาวะหดเกร็งมากเกินไป

ฉะนั้น กล้ามเนื้อที่ผิดปกติจะเกิดขึ้นใน 2 ลักษณะ คือ ใช้มากเกินไปกับไม่ได้ใช้ ซึ่งจะส่งผลในรูปของอาการปวดเป็นอาการแรกที่แสดง ออกมา หากเพิกเฉย โดยที่ไม่มีการดูแลรักษา อาการปวดในส่วนนั้นจะพัฒนามากขึ้น คือ เป็นบ่อยขึ้น

ในส่วนของแนวโครงสร้างถ้ามีการพลิกอยู่ในท่าที่ผิดรูปอยู่เรื่อย ๆ บ่อยครั้ง การขยับของตัวข้อก็จะผิดปกติตามไปด้วย เมื่อไรที่ตัวข้อมีความผิดปกติจะส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพของ ตัวข้อเกิดขึ้น ข้อจะสูญเสียความมั่นคงและความแข็งแรง ผิวเปลือกนอกของตัวข้อ นานวันเข้าก็จะส่งผลในเรื่องของข้อกระดูกเสื่อม



โรคออฟฟิศ ซินโดรม เกิดจากการที่ร่างกายทำท่าเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานานทั้งวันและทุกวัน ซึ่งการปฏิบัติหรือมีพฤติกรรมอย่างนี้ทำให้เกิดสภาวะการทำงานหนักเกินไปขึ้นกับร่างกาย เพราะการอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนาน ๆ ทุกวัน ทำให้โครงสร้างร่างกาย ซึ่งก็คือ โครงสร้างกระดูก และกล้ามเนื้อจะถูกฝืน แต่สภาพร่างกายของคนเราสามารถเรียนรู้ที่จะปรับไปตามการใช้งานเสมอ ดังนั้น โครงสร้างกระดูกและกล้ามเนื้อจะค่อย ๆ พัฒนาตัวเองเพื่อรองรับการใช้งานนั้น ๆ ให้ง่ายที่สุด จนเมื่อนานเข้า โครงสร้างส่วนนั้นจะอยู่ผิดรูปในที่สุด และส่งผลให้กล้ามเนื้อและกระดูกส่วนนั้นจะต้องทำงานหนักตลอดเวลาจนเกิดสภาวะที่ทำงานหนักเกินไป

เห็นได้ชัด คือ คนที่นั่งทำงานในออฟฟิศที่ต้องนั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานนาน ๆ มักจะห่อไหล่ นั่งหลังโกง และหลายคนมักจะโน้มตัวไปจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์ กระดูกและกล้ามเนื้อของไหล่ หลัง และคอก็จะค่อย ๆ พัฒนาตัวเอง คือ กระดูกไหล่จะห่อเข้ามา กระดูกหลังจะงอ กระดูกคอจะยื่นไปข้างหน้าแบบถาวรเพื่อให้รองรับกับการใช้งานที่เราต้องการได้อย่างสะดวก นานวันเข้าก็จะอยู่ผิดรูป และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อจะเสียสมดุล รวมทั้ง กระดูกและกล้ามเนื้อส่วนเหล่านั้นจะต้องทำงานหนักตลอดเวลา หากทิ้งไว้นาน ๆ อาจนำไปสู่ภาวะกระดูกเสื่อมจนขยับร่างกายส่วนนั้นไม่ได้สะดวก หรือในที่สุดมีการพัฒนาจนเป็นเรื่องโรคข้อกระดูกเสื่อมได้

เมื่อมีอาการเหล่านี้ การพบหมอตั้งแต่เนิ่น ๆ คือวิธี ที่ดีที่สุด หากมีอาการไม่มากนักการรักษาทำได้โดยการฟื้นฟูกลไกการทำงานของร่างกาย ให้กลับสู่สภาวะปกติ ด้วยการจัดแนวกระดูกสันหลังปรับโครงสร้างร่างกายให้สมดุล ฝึกการบริหารร่างกายที่เหมาะสมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อต่าง ๆ ให้ช่วยมาพยุงหรือมาทดแทนในส่วนที่ผิดปกติ แต่ถ้าอาการปวดมีภาวะที่รุนแรง เช่น กระดูกข้อมีการเลื่อนออกจากกัน กล้ามเนื้ออ่อนแรง อย่างเฉียบพลัน ขยับแขน ขาไม่ได้ รวมทั้งมีภาวะของระบบประสาทเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ไม่สามารถควบคุมระบบขับถ่ายได้ ถ้าเข้าข่าย ภาวะเหล่านี้การรักษาควรจะเป็นการผ่าตัด

ในแง่ของการฟื้นฟู โดยการจัด ปรับโครงสร้าง จะเป็นการแก้ปัญหาได้ค่อนข้างดี เพราะ มีงานวิจัยพบว่า การจัด ปรับโครงสร้าง รวมทั้ง การออกกำลังกายอย่างถูกต้อง เป็นวิธีที่ช่วยในเรื่องของการรักษาอาการปวดต่าง ๆ ทั้ง คอ หลัง ได้ผลดี ไม่ต่างจากการใช้ยา อีกทั้งยังเป็นการรักษาในระยะยาวที่ได้ผลค่อนข้างดีมากด้วย


การป้องกันสามารถทำได้ การดูแลตนเอง หลีกเสี่ยง ปัจจัยความเสี่ยงต่าง ๆ เมื่อต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิว เตอร์ ควรนั่งบนเก้าอี้ที่มีพนักพิง เวลานั่งต้องนั่งหลังชิดเบาะ อย่าให้เท้าลอยขึ้นมา ความสูงของโต๊ะกับเก้าอี้ เวลาที่วางแขนควรจะต้องเป็น 90 องศา รวมทั้ง เวลานั่ง ช่วงขาท่อนบนกับขาท่อนล่างควรจะเป็น 90 องศา เช่นกัน และควรนั่งทำงาน ในท่าเดิม ๆ ไม่เกิน 1-2 ชม. จะต้องเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง

ตลอดจนมีการพัฒนาความแข็งแรงของกระดูกและข้อให้ดีขึ้นด้วยการออกกำลังกายให้ถูกต้องเหมาะสม เพราะ การออกกำลังกายเป็นกุญแจสำคัญ ซึ่งตรงนี้ต้องทำต่อเนื่อง ตลอดจึงจะได้ผล

ใส่ใจในสุขภาพ หมั่นสังเกตตัวเองและออกกำลังกายอย่างเหมาะสม เพื่อรักษาภาวะสมดุลของร่างกายไว้ให้ยั่งยืนตลอดไป.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 27 28 [29] 30 31 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: