Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34 35 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71808 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 13 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #480 เมื่อ: กรกฎาคม 06, 2015, 09:39:10 AM »

พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ หรือรองช้ำ (Plantar Fasciitis)
คือภาวะที่มีการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้า เป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง ส่วนใหญ่พบในผู้มีอายุอยู่ระหว่าง 40 – 70 ปี โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย และส่วนใหญ่มีน้ำหนักตัวเกินกว่ามาตรฐาน

สาเหตุ

มีการอักเสบของพังผืดใต้ฝ่าเท้าสืบเนื่องมาจากการบาดเจ็บของพังผืดบริเวณจุดเกาะที่กระดูกส้นเท้า โดยการบาดเจ็บนี้มักจะเป็นการบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆ ที่สะสมมานาน มักพบร่วมกับการมีเอ็นร้อยหวายตึง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากการใส่รองเท้าส้นสูงเป็นประจำ การขาดการออกกำลังกาย หรือการออกกำลังกายอย่างไม่เหมาะสม

อาการและอาการแสดง

ส่วนใหญ่มีอาการปวดใต้ส้นเท้า อาการปวดจะเป็นมากในชวงเช้าโดยเฉพาะก้าวแรกที่ลงจากเตียง หรือเมื่อยืนลงน้ำหนักหลังจากนั่งเป็นระยะเวลานาน เมื่อเดินไประยะหนึ่งอาการมักจะดีขึ้น หากการอักเสบรุนแรงขึ้นอาการปวดอาจเป็นมากขึ้นหลังจากยืนหรือเดินมากได้ ตรวจร่างกายพบจุดกดเจ็บบริเวณ ใต้ส้นเท้าค่อนมาทางด้านใน อาจมีอาการบวมหรือแดงของผิวหนังร่วมด้วย เมื่อกระดกนิ้วเท้าขึ้นอาจทำให้มีอาการปวดตามแนวพังผืดฝ่าเท้าไปจนถึงส้นเท้าได้

การรักษา

1.การแช่เท้าในน้ำอุ่นจะช่วยให้สบายขึ้น
2.การรับประทานหรือทายาต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เพื่อลดการอักเสบ
3.การทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวดและอาการอักเสบ เช่น การทำอัลตราซาวด์ เป็นต้น
4.การออกกำลังเพื่อยืดเอ็นร้อยหวาย โดยทำวันละ 2 – 3 รอบ ๆ ละ 10 – 15 ครั้ง

การยืดเอ็นร้อยหวาย (ท่าที่ 1):
ผู้ป่วยยืยหันหน้าเข้าหากำแพงใช้มือยันกำแพงไว้ วางเท้าที่ต้องการยืดเอ็นร้อยหวายไว้ข้างหลัง งอข้อศอกพร้อมกับ ย่อเข่าด้านหน้าลงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยขาด้านหลังเหยียดตึงและส้นเท้าติดพื้นตลอดเวลา ย่อลงจนรู้สึกว่าน่องด้านหลังตึงแล้วค้างไว้นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง

การยืดเอ็นร้อยหวาย (ท่าที่ 2):
ผู้ป่วยนั่งเหยียดขาข้างที่ต้องการยืดเอ็นร้อยหวาย ใช้ผ้าคล้องที่ปลายเท้าไว้ แล้วดึงเข้าหาตัวจนรู้สึกว่าน่องด้านหลังตึง ค้างไว้นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง

การยืดเอ็นร้อยหวาย (ท่าที่ 3):
ผู้ป่วยยืนบนขอบพื้นต่างระดับ โน้มตัวไปข้างหน้าจนรู้สึกว่าน่องด้านหลังตึง ค้างไว้นับ 1 – 10 ถือเป็น 1 ครั้ง

5. การฉีดยาสเตียรอยด์ตรงตำแหน่งที่ปวดโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ วิธีนี้จะลดการอักเสบได้ดี แต่ไม่ควรทำมากกว่า 2 – 3 ครั้งต่อปี เพราะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเอ็นขาด
6. การเลือกใช้รองเท้าที่เหมาะสม คือมีส้นเล็กน้อย (สูงประมาณ 1 – 1.5 นิ้ว) เพื่อเป็นการถ่ายเทน้ำหนักตัวจากส้นเท้าไปยังฝ่าเท้า ส่วนหน้าซึ่งจะช่วยให้อาการปวดลดลง
7.การปรับรองเท้าให้เหมาะสม เพื่อช่วยลดอาการปวด โดยการใช้อุปกรณ์เสริมบริเวณอุ้งเท้าด้านใน และบริเวณส้นเท้าโดยใช้วัสดุที่มีความยืดหยุ่นที่เหมาะสมเพื่อกระจายและลดแรงกระแทกบริเวณส้นเท้าและเป็นการถ่ายน้ำหนักไปยังฝ่าเท้าส่วนหน้า

การป้องกัน
การออกกำลังเพื่อยืดเอ็นร้อยหวายอย่างสม่ำเสมอและการเลือกใส่รองเท้าที่เหมาะสม จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรค และช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำได้

อ.พญ.กุลภา ศรีสวัสดิ์
อ.พญ.นวพร ชัชวาลพาณิชย์
คลินิกสุขภาพเท้า ภาควิชาเวชศาสตร์ฟื้นฟู
คณะแพทยศาสต์ศิริราชพยาบาล
http://www.footfriends.co.th



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #481 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2015, 03:37:01 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #482 เมื่อ: สิงหาคม 05, 2015, 09:45:38 PM »

05:04 Busaba "มณีเวช"
ท่าบริหารช่วยแก้ไหล่ติด
นิ้วล๊อค ปวดหลัง
เพียงวันละ 10-20 นาที
ทำ 1 เดือนทุกวันหาย



https://www.youtube.com/watch?feature=player_embedded&v=SD44HEbvU5M

เพื่อนๆ ลองดู ท่ามณีเวชนี่ ได้รับการยอมรับในเรื่อง
การคลายกล้ามเนื้อ
ได้ดีมากเลย

21:14 ทดลองแล้วครับเช้านี้ท่านั่งอึ 35 องศา สุดยอดเลย( แชร์ต่อเอาบุญนะครับ)
ช่วยให้สบายท้องกว่าที่เคยมาทั้งชีวิต
http://health.mthai....care/11664.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #483 เมื่อ: สิงหาคม 31, 2015, 10:45:10 AM »

07:45 Busaba อาการเวียนหัวแบบบ้านหมุน
อาจเป็นเพราะ มีหินในหู มีวิธีแก้ไข ดังนี้ http://variety.teene...rain/71079.html
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #484 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2015, 08:13:05 PM »









●●การนั่งทับกระเป๋าเงินทำให้ปวดหลัง + มีอาการปวดแบบ ไซติก้าได้ ‪#‎สาระนิดๆหน่อยๆ‬
อาการปวดแบบ ไซติก้า (Sciatica)
เป็นอาการที่พบได้บ่อย เกิดจากมีการไปกดทับเส้นประสาท Sciatic nerve ซึ่งเป็นเส้นประสาทเส้นใหญ่ที่วิ่งจากบริเวณหลัง (ด้านล่าง) ลงมาที่ขาทั้งสองข้าง อาการที่พบได้ในผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีอาการดังนี้

- มีอาการปวดที่เอวด้านหลังถึงก้นและขา จะมีอาการปวดมากเวลานั่ง
- มีอาการปวดร้าวเหมือนมีความร้อน หรือมีอาการ วิ่งลงมาที่ขา
- มีอาการอ่อนแรง ปวดแบบชาๆ และมีการเคลื่อนไหวของขาและเท้าลำบาก
- มีอาการปวดแบบต่อเนื่องนานๆ ที่ด้านใดด้านหนึ่งของหลังถึงก้น
- มีอาการปวดร้าววิ่งลงมาทำให้มีความยากลำบากในการยืนขึ้น
อาการปวดแบบ Sciatica Pain มักพบว่าเกิดจากปัญหาของหมอนรองกระดูกสันหลัง อาทิเช่น
มีหมอนรองกระดูกสันหลังแตกไปกดทับรากประสาทที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว เป็นต้น ผู้ป่วยที่มีอาการปวดแบบ Sciatica Pain นี้ จะมีลักษณะที่ชัดเจน กล่าวคือ มีอาการปวดร้าวจากบริเวณหลังไปสะโพก และไปที่บริเวณของ ขาทั้ง 2 ข้าง หรือข้างเดียว หรือขาข้างใดข้างหนึ่ง อาการปวดจะเป็นรุนแรง ในบางครั้งจะเป็นรุนแรงมากจนไม่สามารถจะเดินได้ อาการปวดมักสัมพันธ์กับอริยาบทนั่งหรือยืน ผู้ป่วยมักกล่าวว่าอาการปวด อาจจะเป็นรุนแรงตอนเช้าหลังตื่นนอน หรือนั่งนานๆ ไม่สามารถลุกขึ้นจากเก้าอี้หรือไม่สามารถลุกออกจากรถยนต์ที่นั่งอยู่เป็นเวลานานๆ ได้ เนื่องจากมีอาการปวดสะโพกร้าวลงไปตามด้านหลังของขาอย่างรุนแรง
ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการป่วยแบบ Sciatic นี้ อาจจะเกิดจากปัญหาอื่นๆ ได้ ที่ไม่ใช่เกิดจากหมอนรองกระดูกทับเส้น อาทิเช่น มีการกดทับที่บริเวณกล้ามเนื้อสะโพกหรือเกิดการกดทับจากการหนีบของกล้ามเนื้อ โดยเฉพาะกล้ามเนื้อที่พบบ่อยที่เป็นปัญหาคือกล้ามเนื้อ Piriformis ซึ่งอยู่บริเวณสะโพก ก่อให้เกิดอาการปวดในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน คือ อาการปวดร้าวจากสะโพกไปตามเส้นประสาทลงไปถึงปลายเท้า
นั้นเมื่อผู้ป่วยมีอาการปวดร้าวตามเส้นประสาท Sciatic จึงมีความจำเป็นที่จะต้องตรวจจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวินิจฉัยแยกโรค ระหว่างโรคของกระดูกสันหลัง หรือหมอนรองกระดูกสันหลังและโรคกล้ามเนื้อต่างๆ ที่อาจไปเบียดกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการปวดได้ในลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
ที่มา :http://smartsme.tv/m/breaking_detail.php?id=6706
Jackie Neo Silverray
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #485 เมื่อ: พฤศจิกายน 04, 2015, 06:50:28 PM »

รู้ทันมะเร็ง : เลิกกินปลาน้ำจืดดิบ ลดมะเร็งท่อน้ำดี

รู้ทันมะเร็ง : เลิกกินปลาน้ำจืดดิบ ลดมะเร็งท่อน้ำดี : นพ.วีรวุฒิ อิ่มสำราญ




ภาพผู้ป่วยสูงอายุชาวอีสานมาโรงพยาบาลด้วยอาการตัวเหลืองตาเหลือง คันตามตัว เบื่ออาหาร ท้องมาน ที่เคยพบเห็นเป็นประจำในทุกโรงพยาบาล จนแพทย์แทบไม่ต้องตรวจเพิ่มเติมก็บอกได้ว่าเป็นมะเร็งท่อน้ำดีระยะลุกลามนั้น ต่อไปคงจะลดน้อยลงไป เพราะทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมแรงร่วมใจกันมากขึ้น ที่สำคัญคือพี่น้องประชาชนต้องช่วยกันปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภค คือต้องเลิกกินปลาน้ำจืดมีเกล็ดดิบหรือสุกๆ ดิบๆ อย่างจริงจังกันเสียที สำหรับคนที่เลิกกินได้เป็นเรื่องเป็นราวแล้ว แต่อาจมีการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับแอบแฝงอยู่ จากสถิติพบว่ามีคนไทยประมาณ 8 ล้านคนที่ติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ ก็ต้องรับประทานยาถ่ายพยาธิให้เป็นเรื่องเป็นราวตามคำแนะนำของแพทย์ จะได้กำจัดต้นตอของสาเหตุที่ทำให้เกิดเซลล์ท่อน้ำดีอักเสบเรื้อรัง จนเซลล์ปกติกลายเป็นเซลล์มะเร็งในที่สุด นอกจากนั้นต้องหลีกเลี่ยงสารก่อมะเร็งพวกไนโตรซามีนจากอาหารหมักดองพวกปลาร้า น้ำปลาร้าที่ชอบใส่กันในการปรุงอาหารอีกด้วย

 

        ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเรื่องหลักๆ ของการป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งท่อน้ำดี แต่การที่จะเอาชนะมะเร็งท่อน้ำดีได้นั้น ต้องพยายามหาวิถีทางที่จะคัดกรองค้นหาโรคมะเร็งในระยะเริ่มต้นให้ได้แต่เนิ่นๆ เพื่อให้ผู้ป่วยหายขาดจากโรคได้สูง ไม่ใช่ปล่อยให้เป็นมากๆ มีอาการอย่างที่ว่าแล้วค่อยมาพบแพทย์ แม้ว่าในวงการวิชาการด้านระบาดวิทยาโรคมะเร็งยังไม่มีคำแนะนำให้ทำการคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีในระดับประชากร เนื่องจากยังไม่มีความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข พูดง่ายๆ คือ ลงทุนลงแรงไปตรวจค้นหามะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้นด้วยวิธีการต่างๆ แต่จำนวนผู้ป่วยที่ค้นหาได้นั้น ได้จำนวนไม่มากพอ แตกต่างจากการทำการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก มะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนักที่ทำในระดับประชากรแล้ว มีหลักฐานชัดเจนว่าคุ้มค่ากับทุนที่ลงไป อย่างไรก็ตาม หลายภาคส่วนที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานในส่วนกลางและในพื้นที่เองก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เนื่องจากปัญหาโรคมะเร็งท่อน้ำดีเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญในบ้านเรา เพราะประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งท่อน้ำดีสูงที่สุดในโลก โดยเฉพาะในภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ โดยเพศชายพบ 87.7 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ส่วนเพศหญิงพบน้อยกว่าคือ 36.3 คนต่อประชากรหนึ่งแสนคน ปัจจุบันจึงเกิดโครงการตรวจคัดกรองมะเร็งท่อน้ำดีระยะเริ่มต้นในหลายพื้นที่ของภาคอีสาน โดยเน้นการตรวจค้นไปที่กลุ่มเป้าหมายหลักคือ อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปที่มีประวัติอย่างใดอย่างหนึ่งเช่น เคยติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับ เคยได้รับการรักษาโรคพยาธิใบไม้ตับ เคยกินปลาน้ำจืดดิบหรือสุกๆ ดิบๆ ด้วยวิธีการทำอัลตร้าซาวด์ดูท่อน้ำดี ตับและอวัยวะช่องท้องส่วนบนว่าเริ่มมีความผิดปกติหรือไม่ ถ้าเริ่มมีความผิดปกติของท่อน้ำดีแต่ยังไม่ชัดเจน ก็มีการเฝ้าระวังด้วยการติดตาม นัดมาตรวจเป็นระยะทุก 6 เดือน แต่ถ้าสงสัยมากหรือมีความผิดปกติชัดเจน ก็ต่อ ด้วยการตรวจละเอียดมากยิ่งขึ้นและรีบผ่าตัดรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ก็มีโอกาสหายขาดสูง

 

        ในหลายพื้นที่ที่ยังขาดรังสีแพทย์ที่สามารถทำอัลตร้าซาวด์ได้อย่างชำนาญ เค้าก็ใช้วิธีการฝึกอบรมแพทย์ทั่วไปและพยาบาลให้มีทักษะและความรู้ในการทำอัลตร้าซาวด์เบื้องต้นได้อย่างถูกต้อง นอกจากนั้นยังใช้ระบบไอทีในการส่งต่อผลการทำอัลตร้าซาวด์ เพื่อขอคำปรึกษากับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในกรณีที่ไม่แน่ใจ นับเป็นอีกโครงการดีๆ ที่น่าชื่นชมในความร่วมมือ เพื่อเอาชนะมะเร็งท่อน้ำดีในบ้านเราครับ

 


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #486 เมื่อ: พฤศจิกายน 13, 2015, 09:19:07 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #487 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2015, 08:09:18 PM »

15 อาหารฟื้นฟูสุขภาพที่ควรลอง



© Food and Drink/REX 
โยเกิร์ต
จากผลการวิจันล่าสุดแนะนำว่าโปรไบโอติกในโยเกิร์ตสามารถช่วยลดกลุ่มอาการไข้หวัด เช่น น้ำมูกไหล หรือคันหูคันตา และยังช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกัน โยเกิร์ตช่วยให้คุณฟื้นฟูร่างกายแบบไม่มีสารตกค้างต่างจากยา




© Food and Drink/REX 
อโวคาโด
หนึ่งในวิธีธรรมชาติที่ใช้ลดคลอเรสเตอรอล จากผลการวิจัยโดยศูนย์โรคหัวใจ สหรัฐอเมริกา ผู้ป่วยกลุ่มตัวอย่างที่มีคลอเรสเตอรอลที่ไม่ดีอยู่มากเกินไป หรือมีสาร แอลดีแอลเข้มข้นน้อยเกินไป อาการดีขึ้นหลังรับประทานอโวคาโดเป้นประจำ




© REX/Food and Drink 
ไข่
มื้ออาหารที่มีไข่ 4 ฟองต่ออาทิตย์ช่วยลดอาหารเป็นพิษ จากการศึกษาวิจัยของศูนย์อาหาร สหรัฐอเมริกา ผู้ชายที่รับประทานไข่จะมีโอกาสอาหารเป้นพิษน้อยกว่ากลุ่มที่ไม่รับประทานถึง 38%




© WestEnd61/REX 
น้ำผึ้ง
น้ำผึ้งช่วยรักษาโรคหลายโรค ตั้งแต่น้ำมูกไหล ไปจนถึงอาการคันศีรษะที่เกิดจากรังแค




© Food and Drink/REX 
พรุน
ลูกพรุนตากแห้งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของกระดูกตามการวิจัยของมหาวิทยาลัยฟลอริดา




© Food and Drink/REX 
ยีสต์ธรรมชาติ
ช่วยเพิ่มวิตามิน บีคอมเพล็กซ์ลบ และ โครเมียมสู่อาหารประจำวันของคุณช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จากการศึกษาโครเมียมในยีสต์ช่วยเรื่องการเพิ่มของกลูโคลสในเลือดอย่างรวดเร็ว




© Design Pics Inc/REX 
แซลมอน
โอเมก้า 3 ในแซลมอนช่วยให้ผมและผิวของคุณนุ่มลื่นขึ้น




© David Papazian/Corbis 
ซุปไก่
อาหารช่วยฟื้นฟูนี้เป็นที่รู้จักกันมายาวนานว่าช่วยรักษาไข้หวัด ผลการศึกษาแสดงว่าฤทธิ์ต้านการอักเสบของน้ำซุปจะช่วยในการล้างจมูกและทำให้ลำคอผ่อนคลาย




© WestEnd61/REX 
วอลนัท
วอลนัทมีโอเมกา 3 ปริมาณมาก ซึ่งสามารถช่วยเรื่องอัลไซเมอร์ได้จากการศึกษาของสถาบันการวิจัยนิวยอร์ก และเซโรโทนินที่มีอยู่มากมายยังช่วยทำให้อารมณ์ดีอีกด้วย




© Food and Drink/REX 
ควินัว
ควินัวที่เปี่ยมไปด้วยโปรตีนเป้นแหล่งแมกนีเซียมที่ช่วยเรื่องหลอดเลือด และ ช่วยป้องกันไมเกรน




© ImageBroker/REX 
คอทเทจ ชีส
คอทเทจชีสสักถ้วยอาจช่วยให้คุณนอนได้สบายขึ้นเพราะโพรไบโอที่มีอยู่ปริมาณมาก และยังกรดอะมิโนที่ช่วยให้ง่วงนอน ศูนย์วิจัยการนอนหลับแห่งชาติสหรัฐอเมริกากล่าวว่า"พรไบโอในอาหารและคาโบไฮเดรตช่วยให้สมองเข้าถึงกรดอะมิโนได้ง่ายขึ้น ดังนั้นพยายามรับประทานชีสและแครกเกอร์หรือขนมปัง




© Food and Drink/REX 
ข้าวโอ๊ต
ธัญพืชชนิดนี้ช่วยลดครอเลสเตอรอล




© iStock/Getty Images 
ป็อบคอร์น
ดูเป็นวิธีที่เรียบง่ายและน่าอร่อยที่จะบริโภคไฟเบอร์ ป็อบคอร์นช่วยบรรเทาอาการท้องผูกโดยไม่มีผลข้างเคียงเหมือนยาระบาย




© iStock/Getty Images 
ซาดีน
ปลาซาดีนมีโอเมก้า 3 สูงมาก ช่วยให้สมองของคุณดีเพราะเป็นที่รู้กันว่าโอเมก้า 3 ช่วยเรื่องความจำ และการทำงานของสมอง ซาดีนยังเป็นแหล่งแคลเซียม วิตามิน ดี วิตามิน บี 12  ฟอสฟอรัส และ เซเลเ




© iStock/Getty Images 
ดาร์กช็อคโกแลต
งานวิจัยล่าสุดจากสวิสเซอร์แลนด์ที่ตีพิมพ์ในหนังสือของสาขาโรคหัวใจวิทยาลัยในอเมริกา พบว่าช็อกโกแลตช่วยเรื่องความเครียด การวิจัยทำในคนสองกลุ่มที่พบความเครียด กลุ่มที่ได้รับช็อกโกแลตมาล่วงหน้ามีสารที่ก่อให้เกิดความเครียดต่ำกว่า และสารต่อต้านอนุมูลอิสระในช็อกโกแลตยังช่วยเรื่องโรคหัวใจ และลดความเสี่ยงโรคมะเร็งอีกด้วย


msn
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #488 เมื่อ: ธันวาคม 24, 2015, 10:07:22 PM »

11 วิธี มีอายุยืนยาวอย่างคนญี่ปุ่น




1. เติมพลังด้วยอาหารคุณภาพดี
 ควรดูแลตัวเองในการรับประทานอาหารให้หลากหลาย เช่น ธัญพืชไม่ขัดสี ผักและผลไม้สด เนื้อไม่ติดมัน ปลา
สัตว์ปีก ไข่ ถั่วและผลิตภัณฑ์จากนม เลือกรับประทานอาหารที่ไม่ผ่านกระบวนการแปรรูปและดื่มน้ำสะอาดอย่างเพียงพอตลอดวัน

2. ขยับร่างกาย
 การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอมีประโยชน์ต่อหนทางสู่อายุที่ยืนยาว เช่น ช่วยให้สุขภาพหัวใจและปอดแข็งแรง
ลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและช่วยจัดการกับความเครียด ตามที่ Dr. Maoshing Ni ผู้เขียน Secrets of Longevity: Hundreds of ways to be 100 กล่าวไว้ว่า ผู้ที่มีอายุยืนมากกว่า 100ปี ส่วนใหญ่จะเดิน
อย่างน้อย 30 นาทีทุกวันและงานวิจัยสนับสนุนว่าการเดินสามารถลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและโรคหลอดเลือดสมอง

3. ลดความเครียด
 ความเครียดเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ถ้าหากคุณสามารถดูแลตัวเองในการลดความเครียดได้ คุณก็จะสามารถเพิ่มพลังให้กับชีวิต ทำสิ่งต่างๆ ได้มากขึ้นและลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรัง

4. ป้องกันจากอนุมูลอิสระ
 สารต้านอนุมูลอิสระ เช่น วิตามินเอ วิตามินซี และวิตามินอี สามารถปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ โดยมีการศึกษาในประเทศอิตาลีพบว่าผู้ที่อายุยืนกว่า 100ปี มีระดับของวิตามินเอและวิตามินอีสูง ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญสู่อายุยืน

5. เพิ่มพลังสมอง
 กันการเสื่อมถอยของการเรียนรู้และคงไว้ซึ่งความเฉียบคมของสมองสามารถทำได้ด้วยการบริหารสมอง เช่น การเล่นเกมส์
ที่เกี่ยวกับการวางแผนและความจำ เช่น หมากรุก และ ซูโดโกะ หรืออาจลองทำกิจกรรมที่ทดสอบความรู้ด้านคำศัพท์ เช่น อักษรไขว้ เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ เช่น ภาษาต่างประเทศ หรือหัดเล่นเครื่องดนตรี

6. ดูแลหัวใจ
 โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตในลำดับต้นๆ ของคนไทยรองจากโรคมะเร็งและอุบัติเหตุ แต่โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นโรคที่ส่วนใหญ่แล้วสามารถป้องกันได้ การดูแลสุขภาพหัวใจให้แข็งแรงด้วยอาหารที่มีประโยชน์และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะขจัดปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูงและอาหารแปรรูป

7. รับแสงอาทิตย์
 ผลจากศึกษาล่าสุดจากสหรัฐอเมริกาพบว่าการได้รับแสงแดดวันละ 15 นาทีช่วยให้อายุยืนได้เนื่องจากป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามินดี การเพิ่มระดับวิตามินดีในร่างกายจะช่วยให้หัวใจแข็งแรง อีกทั้งการรับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหารวิตามินดีก็มีส่วนช่วยป้องกันโรคกระดูกพรุนและโรคอื่นๆ บางโรค

8. เพิ่มภูมิต้านทาน
 เมื่ออายุมากขึ้นภูมิต้านทานจะเริ่มลดลง ทำให้มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายขึ้น การเลือกรับประทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เช่น กีวี ผักที่มีสีแดงและสีเหลือง บรอคโคลี รวมทั้งธาตุสังกะสีที่พบมากในหอยนางรม ถั่ววอลนัท และธัญพืชไม่ขัดสี จะช่วยเสริมสร้างภูมิต้านทานของร่างกายและยังมีสารต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย

9. ทำงานอาสา
 จากงานวิจัยล่าสุดพบว่า การมีส่วนร่วมในงานอาสาสมัครสามารถเสริมสร้างสุขภาพที่ดีได้ ผลการวิจัยแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมโยงกันอย่างมากระหว่างการทำงานอาสาสมัครและสุขภาพ โดยผู้ที่ทำงานอาสาสมัครจะมีอัตราการเสียชีวิตที่ต่ำกว่า และมีความสามารถในการทำงานสูงกว่า และมีอัตราการเกิดโรคซึมเศร้าในวัยชราต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้ทำงานอาสาสมัคร

10. เล่นกับสัตว์เลี้ยง
Australian Companion Animal Council Inc. ระบุว่าสัตว์เลี้ยงเป็นเพื่อนที่ดี ส่งเสริมให้เกิดการออกกำลังกาย และเพิ่มปฏิสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้าง การมีสัตว์เลี้ยงอาจช่วยลดจำนวนครั้งที่ไปพบแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปและอาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด

11. หัวเราะดังๆ
 การหัวเราะช่วยให้สุขภาพทั้งร่างกาย อารมณ์ ลดความเครียด จิตวิญญาณ และจิตใจดีขึ้น ลองพูดคุยเรื่องสนุกสนานกับเพื่อนๆ หรือคนในครอบครัวถึงเรื่องที่ทำให้คุณได้หัวเราะดังๆ เพื่อมุ่งสู่หนทางอายุยืนถึง 100ปี การหัวเราะดังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในธรรมชาติที่ดีอย่างหนึง



11 วิธีข้างต้นนี้ทำไม่ยากเลยใช่มั้ยละคะ การรับประทานอาหารเสริมก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนที่ไม่มีเวลาดูแลตัวเองอย่างเต็มที่ เริ่มต้นดูแลตัวเองตั้งแต่วันนี้เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาวนะคะ

เพื่อให้ได้รับสารอาหารที่ครบถ้วน แนะนำให้ทานอาหารเสริมวิตามินรวมและเกลือแร่รวมครบถ้วนตามความต้องการของร่างกายในแต่ละวันนะคะ


https://www.blackmores.co.th/เคล็ด-ไม่-ลับกับสุขภาพ/33-11-วิธี-มีอายุยืนยาวอย่างคนญี่ปุ่น?utm_source=taboola&utm_medium=msn-thailand
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #489 เมื่อ: ธันวาคม 30, 2015, 11:21:15 PM »

'วัฏจักรเท้าเบาหวาน' คุมน้ำตาลไม่ดี ตัดเท้าทิ้งเรื่อยๆ
เดลินิวส์



© สนับสนุนโดย Daily News

จากข้อมูลปี 2557 พบคนไทยป่วยเป็นโรคเบาหวานที่ 1,081 ต่อแสนประชากร เสียชีวิตอยู่ที่ 17.5 ต่อแสนประชากร และมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น นอกจากนี้โรคเบาหวานยังก่อโรคก่อภาวะแทรกซ้อนตามมา โดยในปี 2558 พบว่าก่อให้เกิดโรคไต 7.9% โรคตา 2.4% โรคหัวใจ 1% และโรคหลอดเลือดสมอง 0.6% ทำให้กระทรวงสาธารณสุขเร่งหาทางป้องกัน รักษา ล่าสุด จับมือกับโรงพยาบาลศิริราช “พัฒนาเครือข่ายการดูแลเท้าเบาหวานของไทย”

ซึ่งข้อสงสัยทำไมจึงต้องเน้นเรื่องการดูแลสุขภาพเท้าเป็นหลักนั้น ทางด้าน รศ.พญ.กุลภา ศรีสวัสดิ์ รองประธานศูนย์เบาหวาน ผู้ประสานงานทีมดูแลเท้าเบาหวาน โรงพยาบาลศิริราช ระบุว่า หากผู้ป่วยเบาหวานควบคุมภาวะน้ำตาลไม่ดี จะมีโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่อ 3 ระบบในร่างกาย คือ ตา ไต และเท้า ซึ่งงานวิจัยของกรมการแพทย์ระยะหลัง ๆ พบภาวะแทรกซ้อนที่เท้าจากเบาหวานเป็นอันดับ 1

นั่นเป็นเพราะเกิดภาวะปลายประสาทเสื่อมปลายเท้า และหลอดเลือดปลายเท้าอุดตันสิ่งที่ทำให้เลือดไปเลี้ยงปลายเท้าไม่พอ พอปลายเท้าชาจึงเกิดแผลที่เท้าโดยไม่รู้ตัว และเนื่องจากไม่เจ็บจึงไม่ค่อยสนใจ ซึ่งการที่เลือดไปเลี้ยงที่เท้าไม่พอ ทำให้แผลหายช้า ไม่หาย เมื่อเดินไปที่ต่าง ๆ ก็ทำให้แผลติดเชื้อและลงเอยด้วยการถูกตัดขา ส่วนใหญ่มักถูกตัดที่นิ้วเท้าก่อน แผลหายกลับไปใช้ชีวิต เป็นแผลต้องตัดข้อเท้า และตัดไล่ระดับขึ้นมาเรื่อย ๆ

“เมื่อปี2557 สมาพันธ์เบาหวานนานาชาติกลุ่มเท้าเบาหวานรายงานว่าทุก ๆ 30 วินาทีมีคนเป็นเบาหวานถูกตัดเท้า1 คน แต่กลางปี2558 พบว่าทุก ๆ20 วินาที มีคนเป็นเบาหวานถูกตัดเท้า1 คน และมีงานวิจัยจากต่างประเทศพบว่าคนที่เป็นเบาหวานต้องตัดขาไปแล้วครั้งหนึ่ง ภายใน3 ปี มักถูกตัดซ้ำที่ขาข้างเดิม มีอัตราการเสียชีวิต50% และภายใน5 ปี มีโอกาสจะถูกตัดขาอีกข้างถึง68% เป็นเพราะทนแบกรับน้ำหนัก ทำให้มีโอกาสบาดเจ็บซ้ำซ้อน เป็นแผลขึ้นมาง่าย”

เมื่อปี 2546 ที่โรงพยาบาลศิริราชมีผู้ป่วยถูกตัดขา 1.3% ต่อมาในปี 2551 มีผู้ถูกตัดขาเพิ่มขึ้นเป็น 1.9% สอดคล้องกับสหพันธ์เบาหวานนานาชาติที่พบว่าอัตราการถูกตัดขาเพิ่มขึ้น และเหมือนกันทั้งโลก ปัจจุบันยังไม่มีตัวเลขโดยสรุปแต่เมื่อดูตามตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นแล้วถือว่าน่าเป็นห่วง

รศ.พญ.กุลภา บอกว่า หลังจากที่ถูกตัดขา นอกจากความพิการแล้วผลกระทบยังมีมากกว่านั้น เนื่องจากผู้ที่ถูกตัดขาส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ เป็นคนน้ำหนักตัวมาก การใส่ขาเทียมที่น้ำหนักค่อนข้างหนักจึงกลายเป็นปัญหาในการพาตัวเองและเท้าไปด้วยกัน เพราะคนเป็นเบาหวานมักจะมีโรคหัวใจและหลอดเลือดร่วมด้วย จะทำให้หัวใจก็ไม่แข็งแรง เหนื่อยง่าย เลยพานไม่อยากเคลื่อนตัวไปไหน ความกระตือรือร้นที่จะทำอะไรก็น้อยลง

“เมื่ออยู่กับบ้านเบื่อ ๆ เนื่องจากการอยู่นิ่ง ๆ กับที่ไม่ได้ออกกำลังกาย ไม่ได้ขยับเขยื้อน จะทำให้เกิดโรคอีกกลุ่มหนึ่งขึ้นคือกลุ่มอาการที่มีผลต่อทุกอวัยวะในร่างกายมีศักยภาพที่ถดถอย เริ่มออกกำลังกายน้อยลง ไม่แข็งแรง การทำงานของหัวใจไม่แข็งแรง ระบบการขับถ่าย น้ำคัดหลั่งน้อยลง มีโอกาสเกิดปอดอุดตัน และมักพบเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ”

นี่เป็นข้อมูลที่ทำให้เห็นแล้วว่า เรื่องการป้องกันก่อนเกิดโรคนั้นให้ผลดีมากกว่าการรักษาอย่างแน่นอน คนที่ป่วยเป็นเบาหวานแล้วก็ต้องคุมน้ำตาลให้ดี ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน งดอาหาร หวาน มัน เค็ม เพราะล้วนแล้วแต่เป็นผลให้เกิดโรคเบาหวานตามมา ไม่สูบบุหรี่ และตรวจสุขภาพเท้าเป็นประจำ

ส่วนคนที่ยังไม่เป็นโรค ก็ต้องดูแลสุขภาพให้ดี ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดอาหารหวาน มัน เค็มตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด ถ้าทำได้แม้คุณจะอยู่ในครอบครัวเป็นโรคเบาหวานมาก่อน ก็สามารถห่างไกลจากโรคนี้ได้.

อภิวรรณ เสาเวียง


msn-com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #490 เมื่อ: มกราคม 17, 2016, 10:07:08 AM »

10 ข้อคิดพิชิตสะเก็ดเงิน
เดลินิวส์


© สนับสนุนโดย Daily News

จากสถิติของสถาบันโรคผิวหนัง พบ ว่าโรคสะเก็ดเงิน มีผู้ป่วยมากติดอันดับ 1 ใน 10 ของโรคผิวหนังที่พบบ่อย และอยู่ใน 3 อันดับแรกของโรคที่มีความรุนแรงต้องนอนโรงพยาบาล คิดเป็นร้อยละ 32.8

ทั้งนี้ นพ.จักรพงษ์ ชุณหเสวี อาจารย์แพทย์เฉพาะทางด้านโรคผิวหนัง หัวหน้างานพัฒนาสู่ความเป็นเลิศ (CoE) สะเก็ดเงิน สถาบันโรคผิวหนัง ระบุว่า เนื่องจากตัวโรคจะมีลักษณะเป็นการอักเสบของผิวหนัง ที่แสดงออกมาให้เห็นภายนอกในลักษณะเป็นผื่น ปื้น นูนแดง และปกคลุมด้วยสะเก็ดสีเทาเงิน ดังนั้น นอกจากจะสร้างความเจ็บปวดทางกายแล้ว ยังเกิดผล

กระทบต่อจิตใจ และขาดความมั่นใจในการใช้ชีวิตในสังคม

“ผู้ป่วยบางรายมีปัญหาซึมเศร้า มีความเครียดเรื้อรัง ไม่กล้าเข้าสังคม มีผล กระทบต่อการเรียน การทำงาน นำมาสู่ปัญหาพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม เช่น ติดสุรา สูบบุหรี่ มีความคิดฆ่าตัวตาย เป็นต้น”

นอกจากนี้ ผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงินยังพบโรคร่วมอื่นๆ ได้ เช่น กลุ่มโรคเมตาบอลิกซินโดรม (metabolic syndrome) และกลุ่มโรคคาร์ดิโอวาสคูลาร์ (cardiovascular) ภาวะข้ออักเสบสะเก็ดเงิน เป็นเหตุให้ผู้ป่วยเสียค่ารักษาพยาบาลเยอะ ทั้งค่ายา ค่านอนโรงพยาบาล ค่าฉายแสง ค่าเดินทางมาโรงพยาบาล แถมยังขาดรายได้จากการต้องหยุดงาน ตกงาน อีก มีแต่เสียกับเสีย

นพ.จักรพงษ์ บอกว่า ปัจจุบันแม้คนจะมีความรู้เรื่องโรคมากขึ้น แต่ยังขาดความตระหนักในการดูแลตัวเองอยู่มาก ดังนั้นจึงอยากจะมอบความรู้เบาๆ เรื่องการกิน การอยู่ เป็นของขวัญปีใหม่ เพื่อให้ผู้ป่วยรู้วิธีดูแล รักษา ป้องกันตัวเองจะได้มีคุณภาพชีวิตดีขึ้น

1. ห้ามตามใจปาก เลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริก ไขมันสูง ทานอาหารแบบคนรักสุขภาพ เช่น ปลานึ่ง-ต้ม อาจจะเน้นที่ ปลาดุก ปลาช่อน ปลาทู ที่มีน้ำมันปลา เยอะ ๆ งดของทอด ทานผักผลไม้หลากสี และเลือกอาหารที่ผ่านการปรุงแต่งแต่น้อย หรือที่มักเรียกกันว่า “กินคลีน”

2. งดสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ทั้งหลาย โดยเด็ดขาด

3. นอนหลับ พักผ่อนให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงความเครียด และอย่าพยายามปลีกตัวจากสังคม

4. ออกไปสูดอากาศให้ผื่นสะเก็ดเงินได้โดนแดดบ้าง โดยขอให้เป็นช่วงแดดอ่อนๆ อย่างตอนเช้าๆ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ในช่วงเวลาเช้า

5. ออกกำลังกายเบา ๆ ควบคุมแคลอรี และลดพุง เพราะความอ้วน หรือไขมันเกินจะทำให้โรครุนแรง หรือมีโรคแทรกซ้อนตามมา

6. อย่าแกะ อย่าเกาผื่นโดยเด็ดขาด แต่ควรทายา ทานยา ฉีดยา ตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ

7. หากจะทานยาหรือทายาใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง เพราะยาบางอย่างอาจทำให้ผื่นเห่อขึ้นมาได้

8. เฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น อาการปวดข้อ ตามตำแหน่งต่าง ๆ ของร่างกาย

9. หากมีคนในครอบครัวเป็นโรคสะเก็ดเงิน ต้องเฝ้าระวังบุตรหลาน ถ้ามีผื่นที่ไม่แน่ใจให้รีบมาปรึกษาแพทย์

10. มาตรวจรักษาตามนัด และอย่าหลงเชื่อคำโฆษณาต่างๆ ยาหม้อ ยาฉีดราคาถูกๆ เข็มละไม่กี่ร้อย ซึ่งจะเป็นคนละตัวกับยาฉีดชีวโมเลกุลที่ผู้เชี่ยวชาญใช้ ดังนั้นอย่าเชื่อเด็ดขาด เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่ายานั้นมีส่วนผสมของอะไรบ้าง แต่ส่วนมากมักพบการลักลอบผสมสเตียรอยด์ ซึ่งเป็นอันตรายกับร่างกาย มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เมื่อหยุดฉีดจะทำให้ผื่นเห่อได้รุนแรง แทนที่จะรักษาให้หายขาดกลับยากขึ้นไปอีก

เอาเป็นว่าถ้าปฏิบัติตาม 10 ข้อคิดนี้ ก็พิชิตสะเก็ดเงินได้ ผื่นก็จะดี สุขภาพจิตก็ดี ผู้ป่วยก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นตามมา.

อภิวรรณ เสาเวียง : รายงาน


msn-com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #491 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 27, 2016, 10:51:09 AM »

พลิกความเชื่อเดิม! “B17” รักษา “มะเร็ง” ที่แท้ “ยาพิษ” ในรูปวิตามิน

มติชน (Matichon)

[size=12.5pt]เคยสงสัยมั้ยว่าวิตามินบีทั้งหลายแหล่มีถึงบีเท่าไหร่แล้วบีอื่นๆ ที่ไม่ค่อยได้ยินชื่อ อย่างวิตามินบี 4 วิตามินบี 8 วิตามินบี 11 มีมั้ย ทำไมไม่ค่อยมีคนเอ่ยถึง

มาได้ยินอีกทีก็วิตามินบี 17 ซึ่งแพทย์ทางเลือกอ้างว่าสามารถรักษาโรคมะเร็งได้!

ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะยุคนี้เป็นยุคของข้อมูลที่หลากล้นท่วมท้นในโซเชียล ซึ่งถ้าไม่ใช่นักวิชาการหรือผู้ศึกษาเฉพาะทางจริงๆ อาจหลงทางได้ ประกอบกับร้านขายวิตามินทั้งหลายมีอยู่เกลื่อน โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ซึ่งมีไม่น้อยที่ไม่ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา และอีกไม่น้อยที่พูดความจริงเพียงครึ่งเดียว บอกแต่ข้อดี แต่อุบข้อเสียไว้ประเด็นของวิตามินบี 17 เป็นประเด็นสำคัญ เพราะสรรพคุณที่เอ่ยอ้างว่า

"ฆ่าเซลล์มะเร็งได้ และไม่มีผลต่อเซลล์ปกติ"

อาจสร้างความหวังกับใครหลายๆ คนโดยไม่ทราบถึง "อันตราย"
ที่รออยู่เบื้องหน้า

"บี 17" ไม่ใช่วิตามิน

แค่เอ่ยคำว่า "วิตามิน" นักวิชาการรวมทั้งคนในแวดวง คนที่สนใจด้านโภชนาการจะทราบดีว่าเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต่อร่างกาย ส่วนมากร่างกายจะได้รับสารอาหารที่รับประทาน แต่บางชนิดร่างกายก็สามารถสังเคราะห์ขึ้นเองได้จากแบคทีเรียในลำไส้ เช่น วิตามินบี 5 ฉะนั้น ในคนที่ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ แพทย์หรือนักโภชนาการจึงแนะนำให้รับประทานในรูปแบบเม็ดวิตามินเป็นอาหารเสริมสำหรับ "วิตามินบี 17" นั้น

ผศ.ดร.ทพญ.ดุลยพร ตราชูธรรม อาจารย์ประจำหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

บอกว่า ต้องอธิบายก่อนว่า ที่เรียกกันว่า "วิตามินบี 17" ในความเป็นจริงไม่ใช่ "วิตามิน" แต่เป็นสารชนิดหนึ่งชื่อ "อะมิกดาลิน" (amygdalin) ซึ่งสกัดได้จาก "เมล็ด" ในผลแอปริคอต ผลไม้สีส้มผลกลม มีร่องกลางผล คล้ายลูกท้อแต่ขนาดเล็กกว่าที่มาของชื่อวิตามินบี 17 มาจากความเชื่อดั้งเดิมในสายแพทย์ทางเลือกที่เริ่มจากข้อสันนิษฐานว่าการขาดสารตัวอะมิกดาลินเป็นผลให้เกิดมะเร็ง โดยมีการทดลองวิจัยในหนูทดลองและในคน ซึ่งเป็นการทำวิจัยในจำนวนไม่มากนัก พบว่าเมื่อให้สารชนิดนี้แล้วผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น จึงเชื่อว่าสารอะมิกดาลินนี้เป็นทางเลือกในการรักษามะเร็ง (บางชนิด) และเป็นที่มาของการเรียกชื่อสารชนิดนี้ว่า "วิตามินบี 17""

มีการศึกษามาตั้งแต่ปี 1970 โดยสายแพทย์ทางเลือกยกประเด็นนี้ขึ้นมา เนื่องจากมีการศึกษาการใช้วิตามินบี 17 ร่วมกับเอ็นไซม์ของตับอ่อน ร่วมกับการควบคุมอาหาร มีการทำในคนจำนวน
น้อยๆ บังเอิญผลออกมาดี จึงเชื่อว่าร่างกายคนไข้อาจจะขาดวิตามินบี 17 ก็ได้ เมื่อได้รับเข้าไปจึงช่วยให้ร่างกายคนไข้ดีขึ้น และเป็นที่มาของการตั้งชื่อ "วิตามินบี 17"

ทั้งนี้ คุณหมอดุลยพรย้ำว่า การจะใช้คำว่า "วิตามิน" นั้น ต้องได้รับการพิสูจน์ได้รับการยอมรับว่าสารชนิดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับร่างกาย หมายความว่าร่างกายจะขาดมิได้ตัวอย่างเช่น การขาดวิตามินบี 1 เป็นเวลานานๆ มีผลทำให้ถึงกับเสียชีวิต ดังในกรณีที่มีข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่าลูกเรือประมง 2 ราย ที่จังหวัดระนอง ซึ่งออกเรือหาปลากลางทะเลนานกว่า 9 เดือนถึงกับเสียชีวิต โดยสาเหตุหลักมาจากร่างกายขาดวิตามินบี 1


เปิดตัว "วิตามินบี" ตระกูลนี้มีใครบ้าง


แล้ววิตามินบีที่เราได้ยินชื่อ วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบีรวม วิตามินบี 12 จริงๆ แล้วมีเรียง
ลำดับตัวเลขครบทุกตัวหรือไม่ แล้วมีถึงบีเท่าไหร่

คำตอบคือ มีถึงแค่บี 12

วิตามินแต่ละชนิดจะทำหน้าที่สอดรับกันและจำเป็นต่อร่างกายทุกตัว เพื่อเป็นการง่ายจึงมีการรวมกันเป็น "วิตามินบีรวม" กล่าวคือ มีตั้งแต่

วิตามินบี 1

ไทอะมีน (Thiamine) ที่เราท่องจำกันว่าป้องกันโรคเหน็บชา
วิตามินบี 2

ไรโบฟลาวิน (Riboflavin) ช่วยในการเจริญเติบโต เมื่อขาดจะกลายเป็นคนแคระแกร็น จำเป็นต่อเอ็นไซม์และกระบวนการเมตาบอลิซึมของสารอาหารต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะไขมัน ป้องกันไขมันอุดตันในเส้นเลือด อันเป็นสาเหตุให้เส้นเลือดแข็งตัว เมื่อก่อนเรียกว่าวิตามินจี

วิตามินบี 3

คือไนอะซิน (Niacin ย่อมาจาก Nicotinic acid vitamin) มีอีกชื่อว่าวิตามิน PP ช่วยให้ร่างกายได้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรต ลดคอเลสเตอรอล ไขมัน ควบคุมน้ำตาลในเลือด ขยายหลอดเลือดเล็กๆ จะช่วยการไหลเวียนเลือด กำจัดสารก่อแพ้ฮีสตามีนที่จะทำให้เกิดอาการคัน บรรเทาอาการข้ออักเสบ บรรเทาอาการโรคซึมเศร้าได้ ฯลฯ

วิตามินบี 5
คือกรดแพนโทเทนิก (pantothenic acid) ช่วยในสุขภาพของผิวหนังและประสาท เสริมการป้องกันโรค สร้างภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อโรค รวมทั้งช่วยละลายพิษจากยาปฏิชีวนะ ขับพิษออกจากร่างกาย ช่วยเผาผลาญโปรตีน คาร์โบไฮเดรต ไขมัน เพื่อสร้างพลังงาน ฯลฯ

วิตามินบี 6

ไพริดอกซิน (Pyridoxin) เสริมภูมิคุ้มกัน สร้างการเจริญเติบโตให้กับร่างกาย วิตามินบี 7 ไบโอติน (Biotin) มีส่วนสำคัญในการเผาผลาญไขมันและโปรตีน และการสังเคราะห์กรดแอสคอร์บิกเพื่อช่วยรักษาสุขภาพผิวพรรณ เส้นผม และเล็บ

วิตามินบี 9

กรดโฟลิก (Folic acid) หรือโฟเลต ช่วยเสริมสร้างสุขภาพของร่างกาย ถ้าขาดไปจะทำให้ร่างกายผลิตเม็ดเลือดแดงไม่สมบูรณ์ และตัวสุดท้ายคือ วิตามินบี 12 โคบาลามิน (Cyanocobalamin) เชื่อมโยงไปถึงความผิดปกติของสมองและระบบประสาทด้วย

...เหล่านี้คือคุณสมบัติคร่าวๆ ของวิตามินแต่ละชนิดที่จำเป็นสำหรับร่างกาย
"วิตามินทั้ง 8 ตัวนี้เป็นวิตามินบีที่ได้รับการยอมรับและพิสูจน์แล้วว่าจำเป็นต่อร่างกาย ถ้าขาดแล้วจะเกิดโรคตามมา

แต่ก็ยังมีวิตามินบีอื่นๆ ที่ขาดหายไป เช่น วิตามินบี 4 วิตามินบี 8 วิตามินบี 10 วิตามินบี 11 วิตามินบี 15 วิตามินบี 16 และวิตามินบี 17 พวกนี้เป็นกลุ่มของวิตามินบีที่มีคนเสนอมาว่า มัน "อาจจะ" มีความจำเป็นต่อร่างกาย แต่ว่าเอาเข้าจริงๆ พอมีงานวิจัยพยายามทดสอบ ปรากฏว่ามันไม่ได้มีความจำเป็นต่อร่างกาย และขาดแล้วก็ไม่ได้ก่อผลเสียอะไร ตอนหลังวิตามินเหล่านี้จึงหายไป และจริงๆ ก็ไม่ควรจะเรียกมันว่าเป็นวิตามินด้วย"
แอปริคอต


รักษามะเร็งได้ เป็นแค่ข้อมูลเก่า


ถ้าเข้าไปสืบค้นข้อมูล โดยใช้คำว่า "วิตามินบี 17" จะพบสรรพคุณที่เอ่ยอ้างว่า "รักษามะเร็งได้"ผศ.ดร.ทพญ.ดุลยพร อธิบายให้ฟังว่า ว่ากันในแง่ของการวิจัยก็ดี ในสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกาก็ดี ผลของการรักษาโรคมะเร็ง มีแค่ในระดับห้องปฏิบัติการทั้งนี้ ผลเท่าที่ได้ศึกษากับตัวรายงานวิจัยก็ดี รวมทั้งข้อแนะนำของสถาบันมะเร็งแห่งชาติในอเมริกาและยุโรป บอกว่า วิตามินบี 17 อันดับแรก มันไม่ใช่วิตามิน เพราะมันไม่มีบทบาท ไม่ใช่สิ่งจำเป็นต่อร่างกาย ประการที่ 2 งานวิจัยที่บอกว่ารักษามะเร็งได้ มีแค่ในงานวิจัยระดับห้องปฏิบัติการ คือระดับเซลล์ ที่พบว่ามันฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่งานวิจัยในสัตว์ทดลองและงานวิจัยในคนยังไม่ยืนยัน


ที่สำคัญอีกอย่างคือ งานวิจัยในคนเท่าที่มีการศึกษาพบว่า "มันอาจจะส่งผลข้างเคียง" ได้ด้วย เนื่องจากอะมิกดาลิน ลักษณะเป็นสารกลุ่ม ไซยาโนเจนีติก กลัยโคไซด์ (Cyanogenetic Glycosides) คือเป็นกลุ่มที่องค์ประกอบมีส่วนของน้ำตาลและสารพิษจำพวกไซยาไนด์ เมื่อเรากินเข้าไป แบคทีเรียในลำไส้จะไปย่อยสารตัวนี้แล้วปล่อยไซยาไนด์ออกมา"ฉะนั้น ที่เจอในคนคือมันจะก่อผลข้างเคียงได้ ก็คืออาจจะทำให้เกิดพิษไซยาไนด์ได้ โดยสรุปที่ว่าผลดีต่อร่างกายยังไม่ชัดเจน แต่ผลเสียมีอยู่ โดยเฉพาะถ้ารับประทานร่วมกับถั่วอัลมอนด์ในปริมาณมากๆ หรือรับประทานร่วมกับพืชผักที่มีเอ็นไซม์เบต้ากลูโคสิเดส พวกลูกพีช แครอต เซลเลอรี่ ถ้ารับประทานร่วมกับอะมิกดาลินจะเป็นผลเสีย คือจะเกิดพิษไซยาไนด์ได้ง่าย รวมถึงถ้ารับประทานร่วมกับ
วิตามินซีสูง จะเป็นการทำให้พิษของไซยาไนด์ปรากฏมากขึ้น"


พิษของไซยาไนด์ ถ้ามีในระดับอ่อนๆ จะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนและเกิดภาวะไซโนยาซีส คือตัวจะเขียวเป็นจ้ำๆ เพราะปริมาณออกซิเจนในเม็ดเลือดแดงจะลดลง เนื่องจากตัวไซยาไนด์เข้าไปแทนที่ ทำให้ความดันตก และตับอาจจะถูกทำลาย รวมถึงระบบประสาทอาจจะถูกทำลาย และลงท้ายผู้ป่วยอาจจะโคม่า ไปจนถึงเสียชีวิตเลยทีเดียว ถ้ารับประทานในปริมาณมากๆอย่างไรก็ตาม คุณหมอดุลยพรบอกว่า โดยปกติแล้วเรากินเฉพาะเนื้อของผลแอปริคอตจึงไม่ส่งผลอันตรายแต่อย่างใด เพราะพิษนั้นอยู่ที่ "เมล็ด" ซึ่งปริมาณส่งผลถึงกับเสียชีวิตนั้นจะอยู่ที่ 50 เมล็ด
เมล็ดแอปริคอต ภาพจากบทความใน reset.com ที่ Daud Scott รายงานว่า เอฟดีเอ "ห้าม" การใช้บี 17 ในฐานะยารักษามะเร็ง


ความจริงที่ไม่ได้รับการชี้แจง


"ในเว็บไซต์ของสถาบันมะเร็งแห่งชาติของอเมริกา หรือในยุโรป หรือเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (เอฟดีเอ) มีการกล่าวถึงวิตามินบี 17 นี้ โดยจะเขียนเป็นคำเตือนเลยว่า "ไม่ควรใช้" เพราะอาจจะเกิดผลเสียตามมา

ส่วนประเทศที่มีขายคือเม็กซิโกกับจีนก็ยังจัดอยู่ในส่วนของแพทย์ทางเลือกหรือในระดับงานวิจัย แต่ในระดับนำมาใช้รักษายังไม่อนุญาต

ขณะที่ในบ้านเราการให้ข้อมูลพวกนี้ยังน้อยอยู่ เชื่อว่าในอนาคตน่าจะมีการทำดาต้าเบสออกมา เพราะถ้าประชาชนเข้าไปค้นในข้อมูลเดียวกันอาจจะไม่เข้าใจ ซึ่งแม้จะฆ่าเซลล์มะเร็งได้ แต่มันก็
ฆ่าเซลล์ปกติได้เหมือนกัน ฉะนั้น ถ้าเอามาใช้กับคน ยังไม่รับรองว่ารักษามะเร็งได้หรือเปล่า แต่จะส่งผลเสียกับเนื้อเยื่อปกติ ฉะนั้น ยังไม่ควรทดลองใช้ฉะนั้น ใครที่เข้าไปค้นข้อมูลแล้วพบว่าวิตามินบี 17 รักษามะเร็งได้ นั่นเป็นเพียงข้อมูลเก่า หลังจากพบว่าไม่ผ่านเรื่องความปลอดภัย การวิจัยจึงจบลง แต่ยังไม่ค่อยมีการอัพเดตข้อมูลตรงนี

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #492 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 29, 2016, 09:18:22 AM »

มะเร็งรังไข่ อาการเป็นอย่างไร รู้ไว้ เฝ้าระวัง สังเกตตัวเอง

  มะเร็งรังไข่ อาการร้ายแรงไหม อีกหนึ่งภัยเงียบที่สาว ๆ พึงระวัง และควรหมั่นเช็กสุขภาพตัวเองก่อนจะสายเกินไป

          นอกจากโรคมะเร็งเต้านม และมะเร็งปากมดลูกแล้ว สาว ๆ ทุกคนก็ควรต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากโรคมะเร็งรังไข่ด้วยนะคะ เพราะภัยเงียบนี้ก็ถือว่าเป็นโรคที่มีอัตราเสี่ยงต่อการเสียชีวิตมากอันดับต้น ๆ ในบรรดาโรคมะเร็งอวัยวะสืบพันธุ์ผู้หญิง เพราะเรามักไม่ค่อยตรวจเจอมะเร็งรังไข่ในระยะต้น ๆ แต่มารู้ตัวอีกทีก็พบว่าเป็นมะเร็งรังไข่ในระยะท้าย ๆ แล้ว
     
          ฉะนั้นก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป สาว ๆ มาศึกษาความเป็นไปของโรคมะเร็งรังไข่กันให้ครบถ้วนเลยดีกว่า


 รังไข่คืออะไร มีหน้าที่สำคัญอย่างไรในร่างกายผู้หญิง ?
   
          รังไข่ คือ อวัยวะเพศอย่างหนึ่งของผู้หญิง มีลักษณะคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ มีขนาดทั่วไปประมาณ 2-3 เซนติเมตร จะอยู่ข้างปีกมดลูกทั้งสองข้าง หน้าที่หลัก ๆ คือ ผลิตไข่สำหรับผสมกับเชื้อของเพศชายจนกลายเป็นตัวอ่อนฝังอยู่ในโพรงมดลูก อีกหน้าที่สำคัญคือผลิตฮอร์โมนเพศหญิง

 มะเร็งรังไข่ มีกี่ชนิด
     
          เราสามารถจำแนกชนิดของมะเร็งรังไข่ตามตำแหน่งเริ่มต้นของเซลล์มะเร็งได้ 3 กลุ่ม คือ

            1. Epithelial Tumors : มะเร็งเยื่อบุผิวรังไข่ จุดเริ่มต้นที่เซลล์เยื่อบุผิวรังไข่และช่องท้อง เป็นกลุ่มที่พบได้บ่อยที่สุดประมาณ 90% ของมะเร็งรังไข่

            2. Germ Cell Tumors : มะเร็งฟองไข่ จุดเริ่มต้นของก้อนเนื้องอกที่เกิดจากเซลล์สืบพันธุ์ต้นกำเนิด พบได้ร้อยละ 5-10 ของมะเร็งรังไข่ มักพบในผู้หญิงอายุต่ำกว่า 20 ปี

            3. Sex Cord-Stromal Tumors : มะเร็งเนื้อรังไข่ จุดเริ่มต้นที่เนื้อเยื่อเกี่ยวกันของรังไข่ ซึ่งผลิตฮอร์โมนเพศหญิง โอกาสพบน้อยมาก

          ทั้ง 3 กลุ่มข้างต้นยังสามารถแพร่กระจายไปยังพื้นที่อื่น ๆ ของร่างกายที่เรียกว่าเป็นมะเร็งรังไข่ระยะแพร่กระจายได้ด้วย


 มะเร็งรังไข่ เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง

          สาเหตุของโรคมะเร็งรังไข่อาจยังไม่ทราบแน่ชัด แต่ก็พบเหตุส่งเสริมที่อาจจะทำให้เกิดมะเร็งรังไข่ได้ดังต่อไปนี้

           1. สภาพแวดล้อม เช่น สารเคมี อาหาร เนื่องจากพบว่าในประเทศอุตสาหกรรมมีผู้ป่วยเป็นมะเร็งรังไข่มากกว่าประเทศเกษตรกรรม

           2. สตรีที่ไม่มีบุตร หรือมีบุตรน้อย

           3. ผู้ที่เคยเป็นมะเร็งที่เต้านม มะเร็งปากมดลูก และมะเร็งระบบทางเดินอาหาร โอกาสเป็นมะเร็งรังไข่อาจมีมากกว่าคนปกติ
 มะเร็งรังไข่ ใครเสี่ยงบ้าง ?
   
          นอกจากปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุของโรคมะเร็งรังไข่แล้ว ยังมีปัจจัยเสี่ยงต่อไปนี้ที่อาจเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งรังไข่ให้คุณสาว ๆ ได้ด้วย คือ

 1. อายุ
   
          2 ใน 3 ของผู้ป่วยมะเร็งไข่ มีอายุเฉลี่ย 55 ปี หรือมากกว่า แต่ก็สามารถพบมะเร็งรังไข่ในเด็กหญิงก่อนหรือหลังวัย 10 ขวบ ได้เช่นกัน

 2. ประวัติครอบครัว
   
          โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีแม่ พี่สาว น้องสาว ยาย ป้า หรือน้า เป็นมะเร็งรังไข่ จะมีความเสี่ยงการเป็นมะเร็งรังไข่สูงขึ้น

 3. การกลายพันธุ์ทางพันธุกรรม (Genetic Mutations)
   
          ในผู้ที่พบการกลายพันธุ์ของ 1 ใน 2 ยีนมะเร็งเต้านม BRCA1 และ BRCA2 มีความเสี่ยงการเกิดมะเร็งรังไข่สูงขึ้น

 4. รอยโรคมะเร็งเต้านม, ลำไส้ใหญ่ หรือเยื่อบุโพรงมดลูก
   
          ผู้หญิงที่เป็นมะเร็งดังกล่าวอย่างใดอย่างหนึ่ง มีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนาเป็นมะเร็งรังไข่ได้

 5. การคลอดบุตร
   
          ผู้หญิงที่มีการคลอดบุตรอย่างน้อย 1 คน โดยเฉพาะอย่างยิ่งก่อนอายุ 30 ปี มีความเสี่ยงมะเร็งรังไข่น้อยกว่าผู้หญิงที่มีบุตรหลายคน และการให้นมบุตร พบว่ามีความเสี่ยงมะเร็งรังไข่น้อยลง

 6. โรคอ้วน

          ผู้หญิงที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) อยู่ที่ 30 หรือสูงกว่า อาจมีความเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่มากขึ้น

 7. การใช้ฮอร์โมนทดแทน (HRT)
     
          บางการศึกษามีการเชื่อมโยงระหว่างฮอร์โมนทดแทน (HRT) และมะเร็งรังไข่ ซึ่งความเสี่ยงนี้ดูเหมือนจะมากสำหรับผู้หญิงที่ใช้เอสโตรเจนเพียงอย่างเดียวนานกว่า 5 ปี แต่ต้องทำการศึกษามากกว่านี้


 มะเร็งรังไข่ อาการเป็นอย่างไร เช็กได้จากสัญญาณอะไรบ้าง ?
     
          อย่างที่บอกว่ามะเร็งรังไข่จะตรวจพบได้ค่อนข้างยาก จนกระทั่งมารู้ตัวอีกทีก็เจอมะเร็งรังไข่ในระยะลึก ๆ แล้ว ดังนั้นสาว ๆ ต้องหมั่นเช็กอาการของตัวเองให้ดี โดยเฉพาะหากมีอาการต่อไปนี้ ให้สงสัยไว้ก่อนเลย

          - ท้องอืดเป็นประจำ

          - มีก้อนในช่องท้องหรือช่องเชิงกราน จึงอาจทำให้เกิดอาการแน่นหรือปวดท้อง

          - ก้อนเนื้ออาจกดเบียดลำไส้ใหญ่ส่วนปลาย ทำให้รู้สึกปวดถ่วง ถ่ายอุจจาระไม่สะดวกหรือลำบาก

          - เมื่อก้อนมะเร็งโตขึ้น จะกดเบียดกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ถ่ายปัสสาวะบ่อยและขัด

          - เมื่อเซลล์มะเร็งมีการกระจายไปในช่องท้อง อาจทำให้เกิดน้ำในช่องท้อง ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนอ้วนขึ้นได้ ท้องโตขึ้นกว่าเดิม

          - เบื่ออาหาร ผอมแห้ง น้ำหนักลด

          - อาจมีประจำเดือนผิดปกติ บางรายอาจพบการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย เช่น มีเสียงห้าว มีหนวด หรือขนขึ้นตามลำตัวคล้ายผู้ชายได้ เนื่องจากผลของมะเร็งรังไข่ที่ทำให้ร่างกายมีการผลิตฮอร์โมนที่ผิดปกติไป

          - ในบางรายอาจไม่มีการแสดงอาการเลย แพทย์อาจตรวจพบโดยบังเอิญว่ามีก้อนในท้องน้อย


 มะเร็งรังไข่ วินิจฉัยและตรวจหาได้อย่างไร
     
          หากสงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งรังไข่ สามารถเข้ารับการตรวจวินิจฉัยมะเร็งรังไข่ได้ตามนี้

 1. ตรวจภายใน (Pelvic Exam)
   
          ตรวจบริเวณช่องท้องและช่องเชิงกรานเพื่อหาก้อน โดยมีการนำเทคโนโลยีการถ่ายภาพเข้ามาช่วยให้การตรวจละเอียดชัดเจนขึ้น

 2. การทำแปปสเมียร์

          จากในช่องคลอดส่วนบนทางด้านหลัง ซึ่งอาจพบเซลล์มะเร็งได้

 3. Transvaginal ultrasound
   
          ตรวจโดยใช้หัวตรวจชนิดเรียวยาวใส่เข้าไปในช่องคลอด สามารถดูมดลูก และสิ่งผิดปกติที่อยู่หลังมดลูก

 4. ตรวจ CA-125
   
          หากระดับ CA-125 สูงเกินปกติ อาจบ่งชี้ถึงการเป็นมะเร็งรังไข่ แต่ก็มีโรคอื่นด้วยเช่นกันที่ CA-125 สูงได้จึงต้องทำการตรวจเพิ่มเติม

 5. CT scan
   
          เพื่อดูภาพละเอียดภายในร่างกาย

 6. Barium enema
   
          เป็นการเอกซเรย์ทางเดินอาหารส่วนล่างด้วยการสวนสารทึบรังสีทางทวาร

 7. Intravenous pyelogram
   
          เป็นการเอกซเรย์ดูไต ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ

 8. การผ่าตัดเปิดช่องท้อง
   
          วิธีนี้จะทำการตัดชิ้นเนื้อเพื่อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา นับเป็นการวินิจฉัยโรคที่แม่นยำที่สุด ทำให้ทราบชนิดและระยะของมะเร็งได้
 

 มะเร็งรังไข่ ระยะแรก-ระยะสุดท้าย อาการถึงขั้นไหน

           มะเร็งรังไข่ระยะแรก หรือระยะที่ 1 : เซลล์มะเร็งยังอยู่ภายในรังไข่ 1 หรือ 2 ข้าง

           มะเร็งรังไข่ระยะที่ 2 : เซลล์มะเร็งกระจายจากรังไข่สู่อวัยวะในช่องเชิงกราน เช่น ท่อนำไข่ หรือมดลูก

           มะเร็งรังไข่ระยะที่ 3 : เซลล์มะเร็งกระจายจากรังไข่และช่องเชิงกราน ไปยังช่องท้องหรือต่อมน้ำเหลืองใกล้เคียง

           มะเร็งรังไข่ระยะสุดท้าย หรือระยะที่ 4 : เซลล์มะเร็งกระจายจากรังไข่ไปยังอวัยวะที่ไกลออกไป เช่น ตับ ปอด
 มะเร็งรังไข่ รักษาได้ด้วยวิธีไหน

          การรักษามะเร็งรังไข่ต้องดูด้วยว่าคนไข้มีอาการอยู่ในระยะไหน เพราะโดยส่วนมากจะทำการรักษาไปตามอาการของคนไข้ ซึ่งก็ต้องแล้วแต่การพิจารณาของแพทย์ผู้ทำการรักษาด้วย ซึ่งการรักษามะเร็งรังไข่มีวิธีดังต่อไปนี้ค่ะ

 1. การผ่าตัด
   
          อาจมีการผ่าตัดตั้งแต่แรกเพื่อดูระยะหรือการลุกลามของมะเร็ง ในกรณีผ่าตัดเพื่อการรักษา แพทย์จะตัดเนื้องอกออกให้มากที่สุด โดยจะพยายามให้เหลือเนื้องอกขนาดไม่เกิน 1 เซนติเมตร ซึ่งการผ่าตัดจะส่งผลให้ผู้ป่วยไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก และจะเข้าสู่ภาวะหมดประจำเดือน
   
          สำหรับกรณีที่ผู้ป่วยยังต้องการมีบุตรอีก แพทย์จะตัดเอาเฉพาะรังไข่และท่อนำไข่ด้านที่เป็นมะเร็งออก การให้เคมีบำบัดและรังสีรักษาจะใช้เมื่อมีการกลับมาเป็นซ้ำหลังจากผ่าตัด
   
          โดยหลังจากรักษาต้องนัดตรวจติดตามอย่างน้อยทุก 6 เดือนสำหรับช่วง 5 ปีแรก นอกจากนี้ถ้าตรวจพบว่ามีการลุกลามของมะเร็งออกนอกรังไข่ตั้งแต่การตรวจพบมะเร็งครั้งแรก แพทย์จะทำการผ่าตัดเอาส่วนที่เป็นมะเร็งออกให้มากที่สุด ถ้ามะเร็งกระจายไปตามผนังช่องท้องหรืออวัยวะอื่นหลังผ่าตัด ผู้ป่วยต้องได้รับยาเคมีบำบัด แต่ถ้ายังไม่มีการกระจายไปส่วนดังกล่าว หลังผ่าตัดผู้ป่วยต้องตรวจติดตามอย่างใกล้ชิด

 2. รังสีรักษา
   
          ในที่นี้จะมีทั้งการฉายรังสีจากภายนอกร่างกาย และการฝังแร่ในร่างกาย โดยการพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นกับระยะของโรคและชนิดของมะเร็ง

 3. เคมีบำบัด
   
          แพทย์อาจให้ยาเคมีทางช่องที่มีอวัยวะภายในช่องท้อง (peritoneal cavity) อย่างไรก็ตาม การพิจารณาวิธีการรักษาขึ้นกับระยะและชนิดของมะเร็งด้วยนะคะ
 วิธีการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยมะเร็งรังไข่ ควรทำอย่างไร
   
          สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการทำคีโม อาจมีอาการเบื่ออาหารและคลื่นไส้ อารมณ์ไม่แจ่มใส ดังนั้นควรดูแลสุขภาพด้วยการหมั่นตรวจเช็กร่างกายประจำปี หรือมาตามแพทย์นัดทุกครั้งเพื่อติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด


 การป้องกันมะเร็งรังไข่
   
          เนื่องจากรังไข่เป็นอวัยวะภายใน ซึ่งอาจตรวจเช็กความผิดปกติได้ยาก ดังนั้นทางที่ดีที่สุดในการป้องกันโรคคือควรหมั่นตรวจภายในด้วยคลื่นความถี่สูง อย่างน้อยปีละครั้ง

          ซึ่งนอกจากการตรวจภายในปีละครั้งแล้ว สาว ๆ ยังสามารถป้องกันมะเร็งรังไข่ด้วยการทานอาหารที่มีประโยชน์ด้านต้านมะเร็งรังไข่ตามต์ต่อไปนี้ได้ด้วยนะคะ
 อาหารป้องกันมะเร็งรังไข่

 1. แครอท
   
          แครอท หรือจะเป็นผักสีเหลือง สีส้มอื่น ๆ เช่น พริกหยวกสีเหลือง ล้วนเต็มเปี่ยมด้วยสารแคโรทีนอยด์ ซึ่งจากรายงานของAmerican Cancer Society พบว่า การรับประทานอาหารที่มีสารแคโรทีนอยด์สัปดาห์ละ 2 ถ้วยครึ่ง จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้

 2. มะเขือเทศ
   
          มะเขือเทศสีแดง ประกอบไปด้วยสารไลโคปีน ที่เป็นแคโรทีนอยด์ชนิดหนึ่ง จะไปช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระ ที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ ซึ่งถ้าหากสาว ๆ ไม่ชอบทานมะเขือเทศสด ก็สามารถทานซอสมะเขือเทศได้เช่นกัน

 3. ขึ้นฉ่ายฝรั่ง
   
          ผลการศึกษาของมาร์กาเร็ต เก็ทส์ จากศูนย์สุขภาพฮาร์วาร์ด บอกให้เรารู้ว่า ขึ้นฉ่ายฝรั่ง อาจจะสามารถป้องกันมะเร็งรังไข่ได้ เพราะเป็นพืชที่มีสารฟลาโวนอยด์ที่เรียกว่า เอพิจินิน ซึ่งจะช่วยกำจัดสารอนุมูลอิสระซึ่งเป็นสาเหตุให้เกิดโรคมะเร็ง

 4. ไวน์แดง
   
          ไวน์แดงมีสารเอพิจินินที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระเช่นเดียวกับขึ้นฉ่ายฝรั่ง แต่ได้ยินอย่างนี้ ใช่ว่าคุณสาว ๆ จะดื่มไวน์แดงได้ไม่อั้นนะคะ เพราะหากดื่มมากเกินไปก็อาจไปเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ได้เสียอีก ทางที่ดีที่สุดคือ ดื่มไวน์แดงเพียงครั้งละ 1 แก้ว 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ก็พอแล้ว

 5. พาร์สลีย์
   
          ผักอีกชนิดหนึ่งที่นิยมนำมาตกแต่งจานอาหาร ก็มีสารเอพิจินินเช่นเดียวกับขึ้นฉ่ายฝรั่งและไวน์แดงค่ะ โดยหากคุณสาว ๆ จะรับประทาน ก็ควรเลือกทานพาร์สลีย์สด เพราะพาร์สลีย์สดจะมีสารแอนติออกซิแดนท์สูงกว่าพาร์สลีย์แห้ง

 6. บรอกโคลี
   
          บรอกโคลีก็เป็นผักชนิดหนึ่งที่มีสารฟลาโวนอยด์สูง และเชื่อกันว่า สารฟลาโวนอยด์ในบรอกโคลีนี่แหละที่จะช่วยต่อต้านการอักเสบ และต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี แต่หากคิดไม่ออกว่าจะนำบรอกโคลีไปทำอาหารอะไรดี เราขอแนะนำซุปบรอกโคลี หรือบรอกโคลีต้ม ก็ดูท่าจะอร่อยไม่น้อย

 7. เคล
   
          เคล คือ กะหล่ำปลีชนิดหนึ่งที่มีสีเขียวเข้ม นอกจากจะช่วยล้างพิษให้ร่างกายของคุณสาว ๆ และป้องกันปัญหาในระบบทางเดินอาหารแล้ว เคล ยังช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งรังไข่ได้อีกด้วย

 8. ชาเขียว
   
          ชาเขียวในที่นี้หมายถึงชาเขียวจริง ๆ ที่ไม่ใช่ชาเขียวขวดที่วางขายอยู่ทั่วไปนะคะ โดยการดื่มชาเขียววันละ 1 ถ้วย จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งรังไข่ได้ เพราะในชาเขียวมีสารโพลีฟีนอล ซึ่งจะช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ แถมยังสามารถขจัดเซลล์มะเร็งได้อย่างมหัศจรรย์ เพราะฉะนั้น อย่าดื่มชาเขียวเพียงถ้วยเดียว คุณสาว ๆ สามารถดื่มชาเขียวได้มากเท่าที่ต้องการ เพราะหากดื่มมากก็จะยิ่งลดโอกาสเสี่ยงมะเร็งรังไข่น้อยลงตามไปด้วย

          นอกจากนี้ ผลการศึกษาจาก ซี.บินเนส ที่ตีพิมพ์ใน the Journal of Clinical Nutrition ยังระบุด้วยว่า หากผู้หญิงที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งรังไข่ หันมาดื่มชาเขียวอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย จะมีอัตราการรอดชีวิตสูงกว่าผู้หญิงที่ไม่ได้ดื่มชาเขียวเลย
ทาแป้งจุดซ่อนเร้น เสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่ ?
   
          แป้งเด็กบางชนิดอาจมีสารทัลคัม (Talcum Powder) ซึ่งผลิตมาจากการนำหินทัลคัมมาโม่ละเอียด เสร็จแล้วกรองเอาสิ่งแปลกปลอมและฆ่าเชื้อ อบแห้ง จนมาเป็นแป้งฝุ่น ซึ่งเจ้าแร่หินทัลคัมชนิดนี้ไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ธรรมชาติ จึงอาจทำให้เกิดการสะสมจนก่อให้เกิดอันตราย โดยเฉพาะสาว ๆ ที่ชอบใช้แป้งฝุ่นทาลดความอับชื้นบริเวณน้องสาว ฝุ่นแป้งและสารทัลคัมอาจเล็ดลอดเข้าไปในช่องคลอด มดลูก ท่อนำไข่ และช่องท้อง ซึ่งก็มีงานวิจัยเตือนว่าอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคมะเร็งรังไข่เพิ่มขึ้นได้ถึง 3 เท่า !
   
          ขณะเดียวกันในต่างประเทศยังมีการฟ้องร้องคดีดังกล่าวด้วย โดยพบว่าหญิงชาวอเมริกัน วัย 62 ปี เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งรังไข่ หลังเธอใช้แป้งฝุ่นทาบริเวณอวัยวะเพศมานานกว่า 35 ปี ทำให้ทางครอบครัวยื่นฟ้องต่อศาลประจำรัฐมิสซูรี และทางคณะลูกขุนได้ตัดสินให้บริษัทผู้ผลิตแป้งเด็กยี่ห้อดังรายดังกล่าว จ่ายค่าเสียหายจำนวน 72 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 2,500 ล้านบาทให้ครอบครัวของผู้เสียชีวิตด้วย (อ่านข่าว หญิงทาแป้งจุดซ่อนเร้นเป็นมะเร็งรังไข่เสียชีวิต ศาลสั่งบริษัทแป้งเด็กยี่ห้อดังจ่าย 2 พันล้าน)

          และแม้ว่าแป้งฝุ่นบางตัวอาจไม่มีสารทัลคัม แต่เราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าแป้งฝุ่นที่เราใช้กันประจำมีสารทัลคัมหรือไม่ ดังนั้นการหลีกเลี่ยงไม่โรยแป้งบริเวณจุดซ่อนเร้นก็น่าจะปลอดภัยและสบายใจมากกว่าจริงไหมคะ

          โรคมะเร็งรังไข่แม้จะแฝงไปด้วยภัยเงียบที่ตรวจพบได้ยาก ทว่าหากเราหมั่นตรวจเช็กสุขภาพและดูแลตัวเองอย่างดีอยู่เสมอ โอกาสจะเกิดโรคกับร่างกายก็น่าจะลดลงไปด้วยนะคะ


ขอขอบคุณข้อมูลจาก



- สถาบันมะเร็งแห่งชาติ
- คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล
- American Cancer Society
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #493 เมื่อ: มีนาคม 02, 2016, 09:55:45 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=x3jNIaQygck

สุขภาพดีง่าย ไม่ต้องใช้เงิน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #494 เมื่อ: มีนาคม 08, 2016, 04:10:46 PM »

เจ็บหน้าอก-เจ็บหัวใจ
 อาการเจ็บหน้าอกนี้พบได้บ่อยๆ และเกือบทั้งหมดมักจะไม่ใช่โรคหัวใจ แต่ก็ทำให้คนที่เป็นรู้สึกวิตกกังวลได้ง่ายเนื่องจากกลัวว่าจะเป็นโรคหัวใจ เพราะแยกแยะไม่ได้ว่าแบบไหนเป็นอาการเจ็บอกแบบธรรมดาไม่มีอันตรายหรือว่าเป็นสัญญาณ บ่งบอกความผิดปกติของหัวใจกันแน่
รายละเอียด :>>
http://bit.ly/1ml9P52



บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 31 32 [33] 34 35 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: