Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 32 33 [34] 35 36 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71810 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 14 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #495 เมื่อ: มีนาคม 16, 2016, 10:10:37 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #496 เมื่อ: มีนาคม 19, 2016, 10:21:05 AM »

โรคตับ 15 อาการชี้ชัด บ่งบอกว่าตับไม่สบายอยู่

   โรคตับ อาการแสดงชัดว่าเราเสี่ยงที่ตับจะไม่สบาย เช็กไว้ให้รู้ก่อนสาย โอกาสหายจากโรคก็มากกว่า

          ความเสี่ยงโรคตับมีอยู่ในตัวเราทุกคนค่ะ ไม่ได้จำกัดเฉพาะคนที่ดื่มเหล้าเป็นประจำเท่านั้น เพราะหน้าที่ของตับคือช่วยคัดกรองทั้งสารอาหารและช่วยกำจัดของเสียไปในคราวเดียวกัน ซึ่งภาระนี้ก็หนักหนาสาหัสใช่ย่อย แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่าตับของเรายังสบายดีอยู่ หรือมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับเครื่องในส่วนสำคัญส่วนนี้ซะแล้ว เอาเป็นว่ามาเช็กอาการโรคตับเบื้องต้นจาก 15 สัญญาณเหล่านี้กันเลย

1. ตาเหลือง

          เพราะเลือดมีปริมาณบิลิรูบิน (Bilirubin) มากเกินไป จากการที่ตับทำงานได้ไม่สมบูรณ์ ทำให้บิลิรูบินคั่งอยู่ในกระแสเลือด และมีโอกาสเข้าไปจับตัวกับเนื้อเยื่อต่าง ๆ ก่อให้เกิดอาการตาขาวกลายเป็นสีเหลือง หรือหากอาการหนักมากตัวก็อาจเป็นสีเหลืองไปด้วย

2. ตาขาวมีเส้นเลือดปรากฏ

          เมื่อตับทำงานบกพร่อง หรือทำงานหนักเงินไป อาจส่งสัญญาณมาถึงร่างกาย ทำให้มีอาการตาแดง มีเส้นเลือดขึ้นในตาขาวอย่างชัดเจน แม้จะไม่ได้ใช้งานสายตามากเลยก็ตาม

3. น้ำตาคลอตลอดเวลา

          ตามศาสตร์แพทย์แผนจีน จะถือเอาว่าตับเป็นหน้าต่างของดวงตา ฉะนั้นหากเกิดความผิดปกติต่อดวงตา เช่น จู่ ๆ ก็มีน้ำตาคลอตลอดเวลา โดยที่ไม่ได้เกิดจากความรู้สึกใด ๆ หรือไม่มีปัจจัยเร้าอย่างฝุ่นมาทำให้ดวงตาระคายเคือง แบบนี้อาจแปลได้ว่าตับกำลังส่งสัญญาณร้องขอความช่วยเหลือจากคุณอยู่

4. หน้าคล้ำ หมอง

          หากตับทำงานได้ไม่เป็นปกติ ไม่สามารถขับสารพิษออกจากร่างกายได้อย่างที่ควรจะเป็น อาจมีอาการใบหน้าหมองคล้ำไม่ผ่องใสให้เห็นกันบ้าง โดยเฉพาะหากมีเส้นเลือดปูดโปนขึ้นมาระหว่างคิ้วหรือขมับ อาการนี้ค่อนข้างชัดว่าใช่

5. หลอดเลือดดำใต้โคนลิ้นขอด

          หากหลอดเลือดดำ 2 เส้นบริเวณใต้โคนลิ้นมีลักษณะคล้ำผิดปกติ โป่งพอง หรือคดงอผิดรูป อาจเป็นไปได้ว่าระบบหมุนเวียนเลือดกำลังมีปัญหา ที่อาจมีต้นตอมาจากการทำงานบกพร่องของตับ

6. เล็บเปราะหักง่าย

          เมื่อตับทำงานได้ไม่เต็มที่ แสดงว่าร่างกายเราอาจได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอไปด้วย เพราะอย่าลืมว่าตับจะช่วยคัดกรองสารอาหารเพื่อป้อนเข้าสู่ร่างกายอีกที ด้วยเหตุนี้ในผู้ป่วยโรคตับอาจมีอาการเล็บเปราะ หักง่ายด้วย

7. ผิวบอบช้ำง่าย

          ตับทำงานได้ไม่ดี การหมุนเวียนของเลือดก็ย่อมมีปัญหา ซึ่งจุดนี้อาจทำให้เส้นเลือดเปราะบางไม่แข็งแรง จนกลายเป็นคนที่มีผิวบอบบางช้ำง่าย โดนอะไรนิดหน่อยก็เป็นรอยช้ำ หรือมีเลือดออกง่ายผิดปกติ

8. เลือดออกที่เหงือก

          ดูคล้าย ๆ โรคเหงือกที่เกิดจากปัญหาสุขภาพฟัน แต่หากพบทันตแพทย์แล้วยังรักษาไม่หาย นั่นอาจแปลได้ว่าตับกำลังมีปัญหา โดยอาจมีภาวะตับอักเสบหรือเป็นโรคตับแข็ง

10. ปวดท้องโดยไม่ทราบสาเหตุ

          อาการปวดท้องแบบระบุตำแหน่งได้ไม่ชัด หรือมีอาการปวดท้องบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุ อาจเป็นสัญญาณเตือนว่าตับกำลังมีปัญหา มีความเสี่ยงโรคมะเร็งในท่อน้ำดีและมะเร็งตับได้

11. ปัสสาวะเป็นสีคล้ำ

          แม้จะดื่มน้ำมากแล้วแต่ปัสสาวะก็ยังมีสีคล้ำ แบบนี้ให้สังเกตตัวเองให้ดีว่ามีอาการบ่งชี้อื่น ๆ เช่น ตาเหลือง ผิวเหลือง ร่วมด้วยหรือเปล่า

12. ผิวแห้ง คันตามเนื้อตามตัว

          เมื่อผิวขาดความชุ่มชื้นและสารอาหารจากการที่ตับทำงานได้ไม่เต็มที่ ก็อาจทำให้เกิดอาการผิวแห้งตึง นำมาซึ่งอาการคันตามเนื้อตามตัวเป็นลำดับต่อไป

13. ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย

          เมื่อตับมีประสิทธิภาพการทำงานลดลง ระบบเผาผลาญของเราจะลดลงไปด้วย ส่งผลให้อาหารที่กินเข้าไปไม่ย่อย ก่อให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้

14. ท้องโต เท้าบวม

          เพราะการดูดซึมของตับลดประสิทธิภาพลง จึงทำให้มีอาการท้องบวม ขาบวม และหากมีไข้เรื้อรังร่วมด้วย อันนี้ส่อสัญญาณอันตรายมากขึ้น ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยให้ชัดเจน

15. บุคลิกภาพหรือไลฟ์สไตล์เปลี่ยนไป

          ในบางรายอาจมีอาการขี้หลงขี้ลืมง่ายขึ้น ไม่มีสติ เปลี่ยนเวลานอน หรือดูไม่เหมือนคนเดิมได้ นั่นเพราะมีสารพิษตกค้างอยู่ในร่างกายจนเลือดไหลเวียนไม่ดี ออกซิเจนที่มีในร่างกายก็น้อยลง ส่งผลให้เกิดความผิดปกติต่อบุคลิกภาพและการดำเนินชีวิตในบางส่วน

          อาการส่อสัญญาณโรคตับดังกล่าวอาจเป็นเพียงข้อสังเกตในเบื้องต้นเท่านั้น แต่หากไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความเสี่ยงโรคตับมากน้อยแค่ไหน แนะนำให้ไปตรวจกับแพทย์โดยตรงจะดีกว่านะคะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก
ชมรมฟื้นฟูสุขภาพผู้ป่วยโรคมะเร็ง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #497 เมื่อ: มีนาคม 24, 2016, 04:16:45 PM »

อยากตายช้าต้องเครียดแบบไม่เครียด

http://thailandinves...stressless/คลิป
คนที่มีความเครียดมาก ๆ ในช่วงปีก่อนหน้า มีความเสี่ยง 43 เปอร์เซ็นต์ที่จะเสียชีวิต แต่นั่นเป็นจริงเฉพาะคนที่เชื่อว่าความเครียดนั้นเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณ คนที่เจอกับความเครียดมากๆ แต่ไม่ได้มองว่าความเครียดอันตราย มีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะตาย ที่จริงแล้วพวกเขามีความเสี่ยงในการตายน้อยที่สุดเปรียบเทียบกับคนอื่นๆ ในงานวิจัย ซึ่งรวมถึงคนที่มีความเครียดน้อยด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #498 เมื่อ: มีนาคม 31, 2016, 11:43:27 AM »





https://www.youtube.com/watch?v=L7zAGVGYtrQ&feature=share
https://www.youtube....Q&feature=share

59032703-ความสัมพันธ์ของพลังสมดุล

เผยแพร่เมื่อ 27 มี.ค. 2016


จัดทำโดย
มูลนิธิแพทย์วิถีธรรมแห่งประเทศไทย
ศูนย์เรียนรู้สุขภาพตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #499 เมื่อ: มีนาคม 31, 2016, 07:48:50 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #500 เมื่อ: เมษายน 22, 2016, 08:45:25 PM »



อาหารกำหนดชะตาชีวิต
อาหารนี่แหละเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิต หลักการง่ายๆ ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ รับประทานผักผลไม้ให้มากๆ หลายคนต่างรู้ดี แต่กลับบริโภคตามใจปาก ถ้าไม่ป่วยก็ไม่รู้ซึ้ง ดังนั้น มารู้จักการบริโภคอาหาร เพื่อป้องกันการเจ็บไข้ได้ป่วย ถ้ากินน้อยจะตายยาก กินมากจะตายง่าย คุณจะเลือกแบบไหน

ชีวิตของคุณ ถูกกำหนดโดยอาหารที่คุณกิน ถังขยะหน้าบ้านบอกได้ว่า คุณทิ้งอะไรลงไป กินอะไรเข้าไป ชีวิตคุณจะเป็นอย่างไรต่อไป เราเอง คนที่ประสบปัญหาการรับประทานอาหารดีเกินไป แพงเกินไป มากเกินไป สุดท้ายผลลัพธ์ที่ได้ ก็คือ น้ำหนักตัวที่เกินมา โรคภัยไข้เจ็บที่ไม่ต้องการ ทุกอย่างน่าจะแก้ไขได้ทัน หากวันนี้ เราหันมาใส่ใจสุขภาพ เพราะอาหารนั้น สามารถกำหนดชะตาชีวิตของเราได้ อย่างน้อย ถ้าอยากมีสุขภาพกาย-ใจ ดี ผิวพรรณผ่องใสจากข้างใน เลือดลมเดินดี ไม่มีโรค โดยไม่ต้องอาศัยครีมหน้าเด้ง หรือยาลดความอ้วน หรือทำมาหาเลี้ยงหมอทุกเดือน ขั้นแรกต้องเป็นหมอดูแลเรื่อง อาหารการกินของตัวเราเองก่อน

1. ลองเช็คตัวเองซิว่า ตอนนี้สุขภาพเป็นอย่างไร
ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้นในตอนเช้า เราลุกจากเตียงเหมือนติดสปริงหรือเปล่า? ลุกขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นมีชีวิตชีวาหรือไม่ ถ้าเสียงนาฬิกาปลุกดัง เรายังไม่ลืมตา เอามือไปกดแล้วนอนต่อ เพราะลุกไม่ไหว จนนาฬิกาปลุกตัวที่สองดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่า ต้องกลับมาดูแลตัวเอง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดำรงชีวิตเสียใหม่ เริ่มต้นจากการกิน
จำ ไว้ว่า ถ้าเรากินน้อย จะตายยาก กินมากตายง่าย และอาหารที่เรากินทุกวันนี้
อาหาร ที่เสียหรือบูดเน่าง่าย กินแล้วตายยาก
อาหาร ที่บูดเน่ายากๆ ใส่สารกันบูด กินแล้วตายง่าย
คนจีนโบราณ เขาบอกว่า ตอนเช้าให้กินอย่างราชา กลางวันกินอย่างคนธรรมดา ตอนเย็นให้กินอย่างยาจก เพราะใกล้จะนอนแล้ว เป็นหลักดำรงชีวิตเพื่อสุขภาพ แต่คนเราในปัจจุบันปฏิบัติกลับกัน ตอนเช้าไม่กินเลย กาแฟถ้วยเดียวแล้วรีบออกจากบ้าน พักกลางวัน 1 ชั่วโมงต้องรีบกิน มื้อเย็นไว้นัดเพื่อนฝูง กินมื้อใหญ่ เพราะเก็บกดมาทั้งวัน แล้วกลับบ้านไปนอนอืด ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจว่า ทำไมจึงมีสถาบันเสริมความงามลดน้ำหนัก ฟิตเนส ฯลฯ เกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด

2. เริ่มต้นจากการทำใจ
ไม่จำเป็นต้องไปถือศีลกินเจ เคร่งจนวันหนึ่งตบะแตก เพียงแค่เริ่มต้นจากการค่อยๆ ลดสัตว์ใหญ่ ที่เราโปรดปราณ เช่น เนื้อวัว-ควาย ถ้าทำได้แล้ว ก็ลดเนื้อไก่-เป็ด ลดเนื้อปลาลงไปตามลำดับ หากทำใจไม่ได้ ก็อนุญาตให้หม่ำปลาต่อไป ตามด้วยผักผลไม้มากๆ เริ่มจากกินสัตว์ที่ตัวเล็กลงไปเรื่อยๆ ขอให้คิดว่า
“กิน หมูดีกว่ากินวัว กินไก่ดีกว่ากินหมู กินปลาดีกว่ากินไก่ ทำได้ดังนี้ สุขภาพเรา ก็จะดีขึ้นไปเรื่อยๆ”

3. คลอโรฟิลล์ในร่างกายมนุษย์
ผักผลไม้สังเคราะห์แสงจากดวงอาทิตย์ สีเขียวคือคลอโรฟิลล์ มนุษย์เองก็มีคลอโรฟิลล์ หากร่างกายสมบูรณ์สะอาดจากข้างใน หากมีสิ่งแปลกปลอม สารพิษต่างๆ ในร่างกายจะเกิดปฏิกิริยาต่อต้าน และขับออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่มีการเก็บสะสม แล้วทำอย่างไรให้ร่างกายของเรามีคลอโรฟิลล์?
“ถ้า เราไม่กินสีเขียวๆ ของพืชผักผลไม้เลย ชีวิตคุณสั้นแน่ เพราะในนั้นมีคลอโรฟิลล์ มีคุณสมบัติในการฟอก เลือด สังเกตเลือดของคนที่ไม่บริโภคเนื้อสัตว์ สี ของเลือดจะสวย ใส ไม่ข้น เหมือนคนที่กินเนื้อสัตว์ เพราะเลือดมีสภาวะเป็นด่าง
http://www.kkuhuso7.com/index.php

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #501 เมื่อ: เมษายน 25, 2016, 01:27:48 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=sB4lXUhRfMU&feature=youtu.be

บริหารนิ้วมือค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #502 เมื่อ: เมษายน 28, 2016, 08:11:05 PM »

.หวัดดี...ฉันคือ "ตับ" ของคุณ ...........อนุญาตให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด ? คุณจะรับฟังไหม ?..

หวัดดี...ฉันคือ "ตับ" ของคุณ

...........อนุญาตให้ฉันเล่าให้คุณฟังว่า ฉันรักคุณมากเท่าใด ?

คุณจะรับฟังไหม ?

...........มี 9 ข้อ ดังนี้...

........ 1. ฉันสะสมธาตุเหล็กสำรองรวมทั้งวิตามิน และ แร่ธาตุ ต่างๆ ที่คุณต้องการ

...หากไม่มีฉัน คุณก็จะไม่มีเรี่ยวแรงที่อยู่ต่อไป

........ 2. ฉันผลิตน้ำย่อย สำหรับย่อยอาหารให้คุณ




หากไม่มีฉัน คุณก็สูญเสียอาหาร จนไม่มีอะไรเหลืออยู่

........ 3. ฉันทำหน้าที่ล้างพิษของพวกสารเคมีที่คุณมอบให้ฉัน
ไม่ว่าจะเป็น แอลกอฮอล์ เบียร์ ไวน์ ยาต่างๆ(ที่มีและไม่มีใบสั่งของแพทย์)
รวมทั้งบรรดาสิ่งผิดกฏหมายทั้งหลาย
หากไม่มีฉันแล้ว นิสัยไม่ดีของคุณ ก็จะฆ่าคุณไปแล้ว

........ 4. ฉันเก็บพลังงานเหมือนแบตเตอรี่ โดยสะสมน้ำตาล(คาร์โบไฮเดรท,กลูโคส และ ไขมัน)
ไว้ให้คุณเมื่อคุณต้องการมัน

หากไม่มีฉัน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะลดลงต่ำมาก จนทำให้คุณล้มพับไป
........ 5. ฉันสร้างเลือดให้ระบบต่างๆ ของคุณ ก่อนที่คุณจะเกิดเสียอีก
หากไม่มีฉันแล้ว ก็คงจะไม่มีคุณอยู่ที่นี่

........ 6. ฉันผลิตโปรทีนใหม่ที่ร่างกายของคุณต้องการเพื่อการมีสุขภาพดีและเจริญเติบโต
หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็จะไม่เจริญเติบโตอย่างที่ควร

........ 7. ฉันกลั่นกรองสารพิษจากอากาศ ไอเสียรถยนต์ และสารเคมี ที่คุณหายใจเข้าไป
หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็จะเหมือนถูกวางยาพิษโดยมลภาวะเหล่านั้น

........ 8. ฉันผลิตสารทำให้เลือดแข็งตัว ถ้าคุณบังเอิญไปโดนอะไรบาด
หากไม่มีฉันแล้ว คุณจะต้องตายเพราะเลือดไหลไม่หยุด

........ 9. ฉันคอยต่อสู้ป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆ โจมตีคุณ ไม่ว่าจะเชื้อหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่
อะไรก็ตาม ฉันจะน็อคมันให้ตายหมด หรือ ไม่ก็ทำให้มันอ่อนแรงลง
หากไม่มีฉันแล้ว คุณก็เหมือนเป้านิ่ง รอให้สารพัดโรคโจมตี

........ดูซิว่า ฉันรักคุณแค่ไหน....

..........แล้วคุณล่ะ รักฉันบ้างไหม Huh?

ขอให้ฉันบอกวิธีง่ายๆ ที่จะ รักฉัน (ตับ) ของคุณ
* ... อย่ากดฉัน ให้ต้องจมลงในน้ำเบียร์ แอลกอฮอล์ หรือ ไวน์ เลย
สำหรับบางคนแล้ว เพียงแก้วเดียว ก็ทำให้ฉันเป็นแผลเป็นไปตลอดชีวิต

* ... ระวังบรรดา "ยา" ทั้งหลาย
ยาทุกอย่างมาจากสารเคมี และเมื่อคุณเอามันมนผสมกันเข้า โดยไม่มีคำแนะนำจากแพทย์
มันก็กลายเป็นยาพิษที่สามารถทำลายฉันได้อย่างดีทีเดียวละ
ฉันเป็นแผลเป็นง่าย เมื่อเป็นแล้ว เป็นอย่างถาวรเสียด้วย
บางครั้งยาก็เป็นสิ่งจำเป็น แต่การกินยาเกินความจำเป็น เป็นนิสัยไม่ดี
บรรดาสารเคมีเหล่านั้น สามารถทำลายตับได้

* ... จงระวังบรรดากระป๋องสเปรย์ทั้งหลาย
จำไว้ว่า ฉันจะต้องล้างพิษทุกอย่างที่คุณหายใจเอาเข้าไปด้วย
ดังนั้นเวลาคุณทำความสะอาดอะไรด้วยพวกสเปรย์

* ... ระวังว่าคุณหายใจเอาอะไรเข้าไป ต้องให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก หรือสวมหน้ากากด้วย
อันตรายเพิ่มเป็นสองเท่า สำหรับพวกสเปรย์ฆ่าแมลง ฆ่าเชื้อรา สี และสารเคมี

* ... ระวังว่าอะไรโดนผิวหนังคุณด้วย ยาฆ่าแมลงที่คุณฉีดต้นไม้ พุ่มไม้นั้น
สามารถผ่านผิวหนังของคุณเข้ามาโจมตีฉันได้ด้วย
ป้องกันผิวหนังของคุณโดยการ...สวมถุงมือ ใส่เสื้อแขนยาว หมวก หน้ากากทุกครั้ง ที่คุณฉีดยาฆ่าแมลง

* ... คำเตือน
.................ฉันไม่สามารถ และ ไม่บอกคุณด้วยว่าฉันประสพกับปัญหา
.................จนกระทั่งเกือบจะถึงวาระสุดท้ายของทั้งฉันและคุณเสียแล้ว
.................จงจำไว้ว่า ฉันไม่ใช่ประเภทขี้บ่น
.................ให้ฉันทำงานหนักเกินไปโดยอัด ยา แอลกอฮล์ และ บรรดาอาหารขยะ
สามารถทำร้ายฉันได้!

.................นี่อาจเป็นการเตือนครั้งเดียวที่คุณจะได้รับ
ดอกไม้ โปรดฟังคำแนะนำฟรี
................พาฉันไปให้คุณหมอตรวจ
................การตรวจเลือด สามารถบอกปัญหาบางอย่างได้
................ถ้าฉันยังอ่อนนุ่ม และไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ แสดงว่าฉันยังดีอยู่
................ถ้าคุณหมอสงสัย การอัลตร้าเซาวนด์ หรือ ซีที แสกน ช่วยได้
................อายุของฉัน กับอายุของคุณ ขึ้นอยู่กับว่า คุณดูแลฉันดีแค่ไหน

คราวนี้คุณรู้แล้วละซี ว่า ฉันรักคุณแค่ไหน ?
..........ได้โปรดดูแลฉันหน่อยด้วยความรักและผูกพัน เลิฟ
จาก เพื่อนร่วมชีวิตผู้สงบเงียบ และคู่รักนิรันดร ของ คุณ...
fbbbb


http://www.gold2gold.com/webboard/index.php?action=post;topic=161.495;num_replies=501
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #503 เมื่อ: พฤษภาคม 21, 2016, 05:17:19 PM »

กระดูกทับเส้น รักษาได้ด้วยตัวเอง2



https://www.youtube.com/watch?v=krjVCxB1lLw

กระดูกทับเส้น รักษาได้ด้วยตัวเอง3



https://www.youtube.com/watch?v=DGeHaLlqHxA


กระดูกทับเส้นประสาท หายขาดด้วยท่ามหัศจรรย์ !!!

https://www.youtube.com/watch?v=C4ueqBbF6Ik
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #504 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2016, 06:59:38 PM »

กินพืชผักมากๆ ดี แต่อาจมีปัญหาถ้ากินไม่เป็น


โพสโดย thanyaporn เมื่อ 1 ธันวาคม 2553 00:00

“ระยะหลายเดือนมานี้ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร ทำอะไรก็รู้สึกเหนื่อยง่ายอยู่เรื่อย มีคนบอกว่าระวังเป็นโรคเบาหวาน หรือไม่ก็โรคไทรอยด์เป็นพิษ ไม่ทราบว่าดิฉันจะเป็นโรคพวกนี้หรือเปล่า?” หญิงสาววัยใกล้ ๔๐ ปีมาขอคำปรึกษาจากผม
 ผมกวาดตาดู ก็ไม่เห็นอาการคอโต คอพอก หรือตาโปน ซึ่งเป็นอาการของโรคไทรอยด์ คลำดูต่อมไทรอยด์ก็ไม่โต ชีพจรก็เป็นปกติ ถ้าเป็นไทรอยด์เป็นพิษมักเต้นมากกว่านาทีละ ๑๒๐-๑๔๐ ครั้งขึ้นไป และมักมีอาการน้ำหนักลดฮวบฮาบ สอบถามดูก็ไม่มี

   ส่วนอาการของเบาหวาน ได้แก่ อาการปัสสาวะบ่อยและออกทีละมากๆ กระหายน้ำบ่อย หิวข้าวบ่อย น้ำหนักลดสอบถามดูก็ไม่มี
 ความผิดปกติที่เห็นได้ชัดก็คือ ใบหน้าซีดเหลือง หญิงสาวเล่าว่า มีคนใกล้ชิดทักเรื่องนี้มานานแล้วแต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ

 เมื่อตรวจดูสีของเยื่อบุตาล่าง ริมฝีปาก ลิ้น ฝ่ามือ และเล็บ ก็พบว่า ซีดเผือดกว่าปกติ จึงคิดว่าน่าจะมีภาวะซีด-โลหิตจาง ซึ่งทำให้มีอาการเหนื่อยง่ายได้
 ผมเคยรู้จักเธอมานานแล้ว รู้ว่าเธอเป็นนักมังสวิรัติ จึงถามว่า กินเคร่งขนาดไหน กินนม กินไข่ หรือไม่
 เธอตอบว่า เป็นนักมังสวิรัติประเภทที่ยังกินนม กินไข่ได้ แต่นับระยะร่วมปีมาแล้วที่ไม่ได้ใส่ใจกินนมและไข่เหมือนเมื่อก่อน กินแต่พืชผักและเมล็ดธัญพืชเป็นหลัก
 ผมจึงบอกเธอว่า อาการเหนื่อยง่ายไม่น่าเกิดจากโรคเบาหวานหรือไทรอยด์ แต่น่าจะเกิดจากโลหิตจาง จากภาวะขาดธาตุเหล็กเสียมากกว่า

   เพื่อความสบายใจของเธอ จึงได้ตรวจเลือดพิสูจน์ตามคำขอร้องของเธอ ก็พบว่าเป็นโลหิตจางค่อนข้างมาก คือระดับความเข้มของเม็ดเลือดแดง (ที่เรียกว่า “เฮโมโกลบิน”) นั้นลดเหลือ ๖ กรัม% ไม่ถึงครึ่งของคนปกติ (ที่มีค่า ๑๒–๑๕ กรัม%) และลักษณะของเม็ดเลือดแดงที่ตรวจพบก็ชี้ชัดว่า เกิดจากภาวะขาดธาตุเหล็ก จึงได้ให้ยาบำรุงโลหิตที่เข้าธาตุเหล็ก ได้แก่ ยาเม็ดเฟอร์รัสฟูมาเรต ให้เธอกิน ๒ สัปดาห์ต่อมาเธอมีเรี่ยวแรงขึ้น หน้าตามีเลือดฝาดมากขึ้น จึงให้เธอกินต่อเนื่องไปนาน ๖ เดือน เพื่อสะสมธาตุเหล็กไว้ในร่างกายที่พร่องมานานให้เพียงพอ

 ในปัจจุบันมีผู้คนจำนวนมากที่สนใจหันมาบริโภคอาหารสุขภาพ ตามหลักที่เรียกว่า “มังสวิรัติ” “แม็กโครไบโอติก” หรือ “ชีวจิต” ซึ่งงดการบริโภคเนื้อสัตว์ เน้นกินพืชผัก เมล็ดธัญพืช บางส่วนยังแนะนำให้กินนม กินไข่ หรือกินเนื้อปลาได้

   บ่อยครั้งที่พบคนหนุ่มสาวที่กินไม่ถูกสัดส่วน คือถือเคร่งกินแต่พืชผักเป็นส่วนใหญ่ จะมีหน้าตาซีดเหลือง ตรวจเลือดก็พบว่าเป็นโรคโลหิตจางเพราะขาดธาตุเหล็ก
 ผู้สูงอายุบางท่านเบื่อกินเนื้อสัตว์ กินแต่พืชผักเป็นประจำ ก็เกิดโรคนี้ได้เช่นเดียวกัน

 เคยมีคุณยายอยู่ที่ต่างจังหวัดท่านหนึ่ง หลังจากหายจากไข้หวัดใหญ่ ก็รู้สึกเบื่อเนื้อสัตว์ กินแต่ผักจิ้มน้ำพริก ต่อมาก็มีอาการอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไปให้หมอแถวบ้านให้ “เลือดเทียม” (หมายถึงน้ำเกลือผสมวิตามินซี ออกเป็นสีเหลือง คล้ายเลือดเทียมหรือพลาสมาเทียม) ๒ ขวด หมดเงินไปเป็นพันบาทก็ไม่ดีขึ้น เมื่อแพทย์ที่โรงพยาบาลตรวจดูก็พบว่า เป็นโรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก และให้ยาเม็ดบำรุงโลหิต (ราคาเม็ดละไม่กี่สตางค์) ก็ดีขึ้นทันตาเห็น คุณยายท่านนี้ เที่ยวบอกใครต่อใครว่า เจอหมอเทวดาเข้าให้แล้ว เนื่องจากรู้สึกทึ่งที่ใช้ “เลือดเทียม” ราคาแพงไม่หาย แต่มาหายด้วยยาราคาไม่กี่สตางค์ คุณยายหารู้ไม่ว่า โรคจะหายหรือไม่ขึ้นกับการวินิจฉัยที่ถูกต้อง และให้การเยียวยาให้ถูกกับสาเหตุ ไม่ได้ขึ้นกับราคาของยาแต่อย่างใด
 บางท่านอาจสงสัยว่าผักใบเขียวใบเหลืองล้วนมีธาตุเหล็ก ทำไมกินแต่ผักจึงขาดธาตุเหล็กได้เล่า?

ก็ขออธิบายเพิ่มเติมว่า ในกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดงของคนเรานั้น ต้องมีองค์ประกอบต่อไปนี้ครบถ้วน ได้แก่

 ๑. มีไขกระดูกที่ปกติ ซึ่งเป็นโรงงานสร้างเม็ดเลือด ไม่เป็นโรคหรือบกพร่อง ร่วมกับมีพันธุกรรมในการสร้างเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างปกติ (มีโรคทางพันธุกรรม เช่น โรคทาลัสซีเมีย ที่สร้างเม็ดเลือดแดงที่มีรูปร่างผิดปกติ ถูกทำลายได้ง่าย จนเกิดภาวะซีดผิดปกติ ซึ่งมักจะมีอาการซีดเหลือง และขี้โรคมาตั้งแต่เล็ก)

 ๒. มีธาตุเหล็กและโปรตีนที่เพียงพอ เป็นวัตถุดิบที่ไขกระดูกนำไปสร้างเม็ดเลือดแดง

 ๓. มีกรดโฟลิก (วิตามินบี ๙) ในการเร่งให้ไขกระดูกทำหน้าที่สร้างเม็ดเลือดแดง วิตามินชนิดนี้มีมากในพืชผัก (เช่น ผักใบเขียว แครอต แคนตาลูป ส้ม) โอกาสที่ร่างกายจะขาดสารนี้น้อยมาก

 ๔. มีวิตามินบี ๑๒ (มีมากใน เนื้อ นม ไข่ ปู ปลา ตับ ไต มีน้อยในพืชผัก) และฮอร์โมนอีริโทรพอยเอทิน (erythropoietin) ที่ไตผลิตเป็นตัวกระตุ้นหรือตัวเร่งกระบวนการสร้างเม็ดเลือดแดง (ถ้าไตวายเช่นในผู้ป่วยเบาหวาน ไตสร้างฮอร์โมนดังกล่าวไม่ได้ ก็ทำให้โลหิตจางได้)

 ผู้ที่กินแต่พืชผัก อาจขาดวิตามินบี ๑๒ และธาตุเหล็ก ที่ขาดธาตุเหล็กก็เพราะลำไส้จะดูดซึมธาตุเหล็กในพืชผักได้น้อย แต่จะดูดซึมธาตุเหล็กจาก เนื้อ นม ไข่ ได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกินข้าวกับผัก ข้าวจะมีสารที่ชื่อว่าไฟเทต (phytate) ขัดขวางการดูดซึมธาตุเหล็กในผักอีกด้วย

 ดังนั้นถ้ากินแต่พืชผัก ไม่กิน เนื้อ นม ไข่ ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก (และอาจรวมทั้งวิตามินบี ๑๒)
 ดังนั้นท่านที่สนใจกินอาหารมังสวิรัติ แม็กโครไบโอติก หรือชีวจิต จึงควรกินอาหารประเภท นม ไข่ เนื้อปลา ในสัดส่วนที่พอเพียงร่วมด้วย
 หากเกรงว่าจะกินได้ไม่ครบ หรือกินแล้วมีภาวะโลหิตจาง ก็ควรกินยาธาตุเหล็กและวิตามินบีรวมเสริมด้วย จึงจะปลอดภัย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #505 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2016, 07:10:47 PM »



เคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนอาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน
 

โพสโดย somsak เมื่อ 1 ธันวาคม 2549 00:00

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์แผนจีนอาหาร 10 อย่างที่ไม่ควรกินมากเกิน

บรรดาอาหารสารพัดชนิดที่มีให้หาซื้อกันได้อย่างเสรีนั้น มีคุณประโยชน์แตกต่างกัน อีกทั้งปริมาณที่กินเข้าไปด้วย นั่นคือ ไม่มากเกิน ไม่น้อยเกิน แต่ควรกินอยู่ด้วยความพอดี ยึดทางสายกลางเป็นหลัก

เคล็ดลับการดูแลสุขภาพตามศาสตร์แพทย์จีน ว่าด้วยเรื่องอาหารการกิน 10 อย่าง ที่ไม่ควรกินมากเกิน มีดังนี้

1. ไข่เยี่ยวม้า ไข่เยี่ยวม้ามีส่วนประกอบของตะกั่วการกินไข่เยี่ยวม้าปริมาณมากๆ และบ่อยๆ อาจเกิดพิษจากสารตะกั่ว นอกจากนั้นยังทำให้การดูดซึมแคลเซียมลดน้อยลง เกิดภาวะขาดแคลเซียม ทำให้กระดูกผุได้

2. ปาท่องโก๋  กระบวนการทำปาท่องโก๋มีการใช้สารส้มเป็นส่วน ประกอบ และในสารส้มมีส่วนประกอบของตะกั่วการกินปาท่องโก๋ทุกวันจะทำให้ไตทำงานหนักในการขับสารตะกั่ว ซึ่งเป็นพิษต่อสมองและเซลล์ประสาท ทำให้เสื่อมเร็ว เป็นโรคความจำเสื่อมนอกจากนี้ย้งทำให้คอแห้ง เจ็บคอโดยเฉพาะคนที่ร้อนในง่าย

3. เนื้อย่าง  ประเภทต่างๆเนื้อที่ถูกรม ย่างไฟ จะเกิดสารเบนโซไพริน  ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง

4. ผักดอง การกินผักดอง หรือของหมักเกลือนานๆ จะเกิดการสะสมของเกลือโซเดียม ทำให้หัวใจทำงานหนัก เกิดโรคความดันเลือดสูง และโรคหัวใจได้ง่ายนอกจากของหมักดองยังมีสารก่อมะเร็ง แอมโมเนียมไนไตรต์

5. ตับหมู  ตับหมู 1 กิโลกรัม มีโคเลสเตอรอลมากกว่า 400 มิลลิกรัม การกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลปริมาณสูงมากๆ นานๆ จะทำ ให้หลอดเลือดแข็งตัว มีความเสี่ยง ต่อโรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดทางสมอง รวมถึงโรคมะเร็งด้วย

6. ผักขม, ผักปวยเล้ง ผักขม, ผักปวยเล้งมีสารอาหารอุดมสมบูรณ์ แต่มีกรดออกซาเลตมาก จะทำให้มีการขับสังกะสีและแคลเซียมออกจากร่างกายมาก เกิดภาวะขาดแคลนแคลเซียมและสังกะสี

7. บะหมี่สำเร็จรูป บะหมี่สำเร็จรูปหลายชนิดมีสารกันบูด สารปรุงแต่งรสที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกายการกินบะหมี่สำเร็จรูปบ่อยๆ จะทำให้ขาดสารอาหารและเกิดการสะสมสารพิษในร่างกาย

8. เมล็ดทานตะวัน เมล็ดทานตะวันมีส่วนประกอบของกรดไขมันไม่อิ่มตัว การกินเมล็ดทานตะวันปริมาณมาก จะทำให้ระบบเมตาบอลิซึมของไขมันผิดปกติ ทำให้มีการสะสมไขมันที่ตับได้ เป็นอันตรายต่ออวัยวะตับ

9. เต้าหู้หมัก, เต้าหู้ยี้ กระบวนการหมักเต้าหู้ มีโอกาสปนเปื้อนเชื้อโรคได้ง่ายนอกจากนี้ ยังมีสารย่อยสลายโปรตีน ไฮโดรเจนซัลไฟล์ ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย

10. ผงชูรส คนเราไม่ควรกินผงชูรสเกินกว่า 6 กรัมต่อวัน จะทำให้กรดกลูตามิกในเลือดสูง ซึ่งมีผลต่อการทำงานของ ประจุแคลเซียมและแมกนีเซียม เกิดอาการปวดศีรษะ ใจสั่น คลื่นไส้ นอกจากนี้ มีผลเสียต่ออวัยวะสืบพันธุ์ด้วย

ที่กล่าวมาเป็นภูมิปัญญาโบราณ ความเชื่อที่สืบทอดปฏิบัติกันมา ปัจจุบันมีการนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์มาอธิบายมากขึ้น i
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #506 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2016, 04:22:05 PM »

13 สัญญาณอันตรายของโรคมะเร็งที่คุณคาดไม่ถึง/ ดร. สุพาพร เทพยสุวรรณ


5 มิถุนายน 2559 10:29 น. (แก้ไขล่าสุด 5 มิถุนายน 2559 13:45 น.) 
 
        โรคมะเร็งเป็นโรคที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน แต่หากเราทราบสาเหตุตั้งแต่เนิ่น ๆ เราก็สามารถหาทางแก้ไขได้ทันท่วงที เราลองดูกันซิว่าอาการที่เราคาดไม่ถึงเกี่ยวกับโรคมะเร็งมีอะไรบ้าง

        1. มีการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวหนัง ที่ผิวหนังมีจุดใหม่ที่เกิดขึ้น มีไฝที่มีขนาด รูปร่าง สีที่โตขึ้น หรือมีการเปลี่ยนแปลง นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็งผิวหนัง หากเรามีจุดแปลก ๆ เกิดขึ้นบนผิวหนัง ควรไปพบแพทย์ผิวหนังทันทีเพือตรวจสอบ วิธีการตรวจแพทย์จะตรวจสอบโดยการตัดชิ้นเนื้อเล็ก ๆ เรียกว่าทำ biopsy เพื่อตรวจสอบเชื้อมะเร็ง

        2. ไอเรื้อรัง อาการไอส่วนใหญ่มักเกิดจากโพรงจมูกอักเสบ ภูมิแพ้ โรคกรดไหลย้อน, หรือการติดเชื้อ และจะหายได้เอง แต่หากอาการไอเรื้อรัง หรือเริ่มมีอาการไอเป็นเลือด โดยเฉพาะหากเราสูบบุหรี่ด้วย นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคมะเร็ง ควรรีบไปหาแพทย์ โดยแพทย์จะตรวจเนื้อเยื่อ หรือใช้วิธีเอกซเรย์หาเชื้อมะเร็งที่ปอด

        3. หน้าอกเปลี่ยน เป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจดูก้อนเนื้อ ดูสภาพหัวนม สี ที่มีความแดงขึ้น หนาขึ้น เจ็บหรือมีอาการที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นต้น คุณหมอจะแนะนำให้ทำแมมโมแกรม เอ็มอาร์ไอ หรือตรวจชิ้นเนื้อ

        4. ท้องอืด เราอาจมีอาการอิ่มแน่นท้อง หรือท้องอืดได้ หลังจากทานอาหารเมื่อเกิดความเครียด แต่หากมีน้ำหนักลดลง หรือปวดหลัง เราควรจะไปพบแพทย์ อาการท้องอืดที่เป็นประจำ ในผู้หญิงอาจจะเป็นสัญญาณของมะเร็งรังไข่ โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจสอบภายในเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง

        5. มีปัญหาเมื่อเวลาปัสสาวะ ผู้ชายจำนวนมากมีปัญหาเรื่องระบบการถ่ายปัสสาวะเมื่ออายุมากขึ้น อาการที่พบบ่อย เช่น ไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้ ปัสสาวะบ่อย ๆ หรือมีปัสสาวะเล็ด โดยปกติมักเป็นสัญญาณของต่อมลูกหมากที่โตขึ้น แต่นั่นอาจหมายถึงการเป็นมะเร็งที่ต่อมลูกหมากด้วย ดังนั้นควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจสอบและตรวจเลือดที่เรียกว่า PSA test

        6. ต่อมน้ำเหลืองโต ต่อมน้ำเหลืองของคนปกติจะมีก้อนเล็กๆ รูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว อยู่ที่บริเวณคอและรักแร้ ของร่างกาย ต่อมน้ำเหลืองนี้จะช่วยต่อสู้กับเชื้อโรค เมื่อเป็นหวัดและเกิดการอักเสบ แต่หากมีอาการต่อมน้ำเหลืองผิดปกติเช่น เจ็บ โตขึ้น หรือมีปัญหาเรื่องการกลืนอาหารร่วมด้วยควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อค้นหาปัญหาที่แท้จริง

        7. มีเลือดออกหลังจากการเข้าห้องน้ำ เมื่อเราเข้าห้องน้ำและพบว่ามีเลือดออกหลังจากการทำธุระ นั่นเป็นสัญญาณแล้วว่าเราควรไปพบแพทย์ โดยเลือดที่ออกอาจมาจากการบวม หรือ อักเสบของเส้นเลือดดำ ที่เรียกว่า เป็นริดสีดวง แต่มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งลำไส้ได้ เลือดที่ปนมากับปัสสาวะอาจจากการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะและอาจจะหมายถึงการเป็นมะเร็งที่ไต หรือกระเพาะปัสสาวะได้

        8. ลูกอัณฑะที่โตขึ้น หากเราสังเกตว่ามีก้อน หรืออาการบวมที่บริเวณลูกอัณฑะ เราไม่ควรมองข้าม ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ก้อนเนื้อที่แม้จะไม่เจ็บปวดแต่ก็อาจเป็นสัญญาณของมะเร็งลูกอัณฑะได้ ผู้ชายบางคนอาจมีความรู้สึกหนักที่บริเวณต่ำกว่าสะดือ บริเวณถุงอัณฑะ หรือมีความรู้สึกว่าลูกอัณฑะใหญ่ขึ้น แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะทำการทดสอบและตรวจสอบบริเวณนั้น ทำการเอกซเรย์ เพื่อค้นหาเนื้องอกหรืออาจจะเป็นปัญหาอื่นๆต่อไป

        9. มีปัญหาเรื่องการกลืน เมื่อเราเป็นหวัด โรคกรดไหลย้อน หรือทานยาบางประเภท อาจทำให้กลืนลำบากได้ แต่ในกรณีที่ไม่ดีขึ้น หรือทานยาช่วยลดกรดแล้วยังไม่ช่วยให้ดีขึ้น ควรไปปรึกษาแพทย์ ปัญหาเรื่องการกลืนอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งในลำคอ ช่องลม ระหว่างปาก และกระเพาะ ซึ่งเรียกว่า มะเร็งหลอดลมได้ แพทย์จะทำการตรวจสอบ อาจทำการกลืนแป้งแบเรียมเพื่อช่วยในการเอกซเรย์ ให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น

        10. มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดการมีเลือดออกที่ผิดปกติ ที่ไม่ใช่การมีประจำเดือน อาจมาจากหลายสาเหตุเช่นจากเนื้อเยื่อ หรือการทานยาคุมกำเนิดบางประเภท แต่เราควรไปพบแพทย์ หากมีอาการเลือดออกที่ไม่ใช่ประจำเดือน หลังจากการมีเพศสัมพันธ์ หรือการมีเลือดออกที่ผิดปกติอื่น ๆ นั่นอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งมดลูก มะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งช่องคลอดได้ ควรปรึกษาแพทย์และบอกถึงอาการการมีเลือดออกหลังจากหมดประจำเดือนแล้วด้วย เพราะนั่นคืออาการที่ผิดปกติซึ่งต้องรับการรักษาอย่างทันท่วงที

        11. มีปัญหาบริเวณปาก อาการมีกลิ่นปาก หรือเป็นแผลในปากที่มีสีแดง และมีอาการเจ็บภายในปาก ซึ่งไม่หายภายในหนึ่งหรือสองสัปดาห์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นพวกที่สูบบุหรี่ ควรไปพบแพทย์ทันที เพราะนั่นอาจเป็นสัญญาณของมะเร็งช่องปาก อาการผิดปกติอีกอย่างซึ่งสามารถจะดูได้ คือ มีก้อนที่บริเวณแก้ม บริเวณปาก หรือมีปัญหาในการเคี้ยวของช่วงฟันกราม

        12. น้ำหนักลด อาการผอมอาจเกิดขึ้นเมื่อเรารับประทานอาหารน้อยหรือการออกกำลังกาย แต่คงไม่ปกติแน่นอนหากเรามีน้ำหนักที่ลดลงไป 10 กิโลกรัมโดยไม่ได้ออกกำลังกายเพราะนั่นเป็นสัญญาณแรกของการเป็นมะเร็งปอด ช่องท้อง ตับอ่อนหรือหลอดอาหารได้

        13. มีไข้ การมีไข้ไม่ใช่สัญญาณที่เลวร้ายเสมอไป เพราะเป็นสัญญาณของการต่อสู้กับเชื้อโรค หรือเกิดจากผลกระทบของการใช้ยาบางชนิด แต่หากไม่หายหรือไม่สามารถค้นหาสาเหตุได้ นั่นอาจจะเป็นสัญญาณของมะเร็งเม็ดเลือดเช่น โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองหรือมะเร็งในเม็ดเลือดขาวเป็นต้น

        14. กรดไหลย้อน หรืออาหารไม่ย่อย คนปกติส่วนใหญ่มักมีอาการกรดไหลย้อน หรือ แน่นจุกเสียดบริเวณท้องได้ในบางครั้ง เพราะการทานอาหารไม่ถูกต้องหรือความเครียด แต่หากเราเปลี่ยนนิสัยการกินแล้ว แต่ระบบการย่อยอาหารนั้นยังทำงานได้ไม่ดี แพทย์อาจตรวจสอบดูถึงสาเหตุว่าเราเป็นอะไรเพราะนั่นอาจจะเป็นสัญญาณของมะเร็งที่กระเพาะอาหาร

        15. เหนื่อยง่าย อาจมีสาเหตุหลายอย่าง แต่อาการผิดปกติ เหนื่อยอ่อนล้าที่น่าสงสัย อาจเป็นอาการเริ่มต้นของมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งลำไส้หรือมะเร็งกระเพาะอาหาร เพราะการสูญเสียเลือดภายในที่เรามองไม่เห็นทำให้เราเหนื่อยอ่อนไม่มีแรง หากพักผ่อนแล้วไม่ช่วยอะไร ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
       
        อาการที่น่าสงสัยเหล่านี้ สามารถเป็นอาการของโรคมะเร็งได้ ดังนั้น กันไว้ดีกว่าแก้ หากพบว่าตนเองหรือคนใกล้ตัวมีอาการเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที ขอเป็นกำลังใจให้ทุกครอบครัวเสมอค่ะ
       
        ข้อมูลอ้างอิง
        Webmd.com
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #507 เมื่อ: มิถุนายน 05, 2016, 04:26:12 PM »

ใช้คอมพิวเตอร์นาน ๆ เสี่ยงกล้ามเนื้อบาดเจ็บเรื้อรัง

โดย MGR Online   /   4 มิถุนายน 2559 11:19 น.



นพ.ภัทร จุลศิริ
         ศัลยแพทย์โรคกระดูกและข้อเท้า
         โรงพยาบาลเวชธานี
       
        ในช่วงชีวิตของทุกคน คงจะเคยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อกันมาบ้าง ไม่ว่าทั้งหลังเล่นกีฬา ยกของ หรือนั่งทำงานเป็นระยะเวลานาน ๆ หลายคนก็จะมีวิธีในการรักษาต่าง ๆ กันไป เช่น ทนเอา, ทายา, ไปนวด หรือแม้กระทั่งมาพบแพทย์ได้ให้ยามาทาน ส่วนใหญ่อาการก็จะหายไป แต่อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะรักษาอย่างเต็มที่แล้วบางรายยังคงปวดอยู่นิด ๆ พอรำคาญบางทีก็ไม่ได้ดีขึ้น แสดงว่าคุณอาจเป็นกล้ามเนื้อบาดเจ็บเรื้อรัง
       
        อาการกล้ามเนื้อบาดเจ็บเรื้อรัง ที่พบได้บ่อย มีด้วยกันอยู่ 2 สาเหตุหลัก ๆ ได้แก่
        1. การเกิดกล้ามเนื้อฉีกขาดหลังการออกกำลังกาย พอซ่อมแซมก็เกิดแผลเป็นในชั้นกล้ามเนื้อ ให้ลองคิดเหมือนฉีดวัคซีนปลูกฝีแล้วมีแผลเป็นแข็ง ๆ ซึ่งกล้ามเนื้อบริเวณนั้นก็จะเสียความยืดหยุ่นไป ไม่สามารถหดตัวได้อย่างเต็มที่และเป็นจุดอ่อนให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ
       
        2. กล้ามเนื้อขมวดเป็นปม มักเกิดจากการทำงานในท่าหนึ่งนาน ๆ กล้ามเนื้อส่วนนั้นเลยหดตัวค้าง ทำให้เกิดอาการปวดได้ แถมการปวดนี้จะสามารถทำให้รู้สึกปวดบริเวณอื่นได้ เช่น ในคนที่ต้องทำงานคอมพิวเตอร์ หรืองานออฟฟิศ ไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง กล้ามเนื้อสะบักหลังต้องเกร็งตัวเพื่อพยุงแขนในท่าพิมพ์คีย์บอร์ด พอนาน ๆ เข้าจุดกล้ามเนื้อก็ขาดเลือด ขาดอาหารไปเลี้ยง เลยเกร็งตัวค้าง เกิดอาการปวดสะบักหลังร้าวไปท้ายทอยได้ โรคนี้ก็จะคลำก้อนได้บริเวณที่เจ็บ หรือถ้าไปนวด หมอนวดแผนไทยก็จะบอกว่าเส้นจม
       
        ทั้งนี้ เห็นได้ว่า โรคที่สองจะแตกต่างจากกล้ามเนื้อฉีกขาด ตรงที่กล้ามเนื้อยังสมบูรณดีอยู่แต่ขาดเลือดไปเลี้ยงที่เพียงพอ ไม่มีแผลเป็นในกล้ามเนื้อ อย่างไรก็ตาม อาการที่เกิดขึ้นก็คือปวดกล้ามเนื้อเหมือนกัน
       
        ในการรักษานอกจากการทานยา,นวดยา การกายภาพด้วยตนเองเพื่อให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นที่ดี แต่เมื่อทำทุกอย่างแล้วไม่ดีขึ้น การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นเพื่อเร่งการซ่อมแซมก็เป็นอีกวิธีหนึ่งในการรักษา เกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet rich plasma (PRP)) เป็นเทคโนโลยีที่นำเลือดตัวเองมาปั่นให้ข้นขึ้นแล้วดูดมาเฉพาะเกล็ดเลือดที่สามารถช่วยส่งสารเคมีกระตุ้นการซ่อมแซมได้ เหมือนตอนเรามีแผลเลือดออก เกล็ดเลือดก็จะมาประสานกันช่วยหยุดเลือดและส่งสัญญาณให้ร่างกายเร่งการซ่อมแซมแผลนั้น สารเคมีในเกล็ดเลือดจะไปช่วยกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้เข้ามากำจัดของเสีย หรือสิ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน หลังจากนั้น จะไปเรียก stem cell หรือเซลล์ตั้งต้น มาแบ่งตัวเป็นเป็นเนื้อเยื่อที่ถูกต้อง สร้างคอลลาเจน กระตุ้นให้เลือดมาเลี้ยง ทำให้ความผิดปกตินั้นดีขึ้น กล้ามเนื้อเกิดการซ่อมแซมจนเป็นปกติ
       
        ขั้นตอนการฉีดเกล็ดเลือด จะมีการเจาะเลือดเราไปปั่น แล้วนำเอาเกล็ดเลือดเข้มข้นมาฉีดจุดที่บาดเจ็บ โดยจะต้องให้ตรงจุดเพื่อผลการรักษาที่ดี การรักษาใช้เวลาประมาณ 15 - 20 นาที คนไข้สามารถกลับบ้านได้เลย โดยไม่ต้องนอนโรงพยาบาล หลังฉีดอาจจะมีอาการปวดมากขึ้นได้ เนื่องจากเม็ดเลือดขาวกำลังกำจัดของเสีย จึงควรกินยาพาราเซตามอลแก้ปวด และประคบเย็นช่วย ซึ่งอาการจะเริ่มดีขึ้นในช่วง 1 - 3 สัปดาห์
       
        อย่างไรก็ตาม แพทย์ก็ยังคิดว่าการรักษาโรคทุกอย่าง ต้องรักษาที่ต้นเหตุเพื่อผลที่ดีและหายขาด ฉะนั้น ไม่ใช่ฉีดยาอย่างเดียวแล้วจะหายสนิท ควรจะปรับเปลี่ยนพฤติกรรม, ท่าทางในการทำงาน, ยืดและเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อควบคู่กันไปด้วย
       
        ติดตาม Facebook Fanpage ของ “Quality of Life” ได้ที่
       


http://www.manager.co.th/QOL/ViewNews.aspx?NewsID=9590000055741
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #508 เมื่อ: มิถุนายน 09, 2016, 02:34:05 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=Dvh6aRTxX-o

โยคะ41 คลายปวดสะบักซ้ายขวา


https://www.youtube.com/watch?v=ESHyYroPrXw

Thara Massage : นวดแก้อาการบ่าแข็งเป็นก้อน

https://www.youtube.com/watch?v=430sls8Ylwo

นวดรักษา ปวดคอ/ บ่า/ สะบัก 1
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #509 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2016, 12:42:51 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=aq5Ow2GMQ5s

ท่ากายบริหารเพื่อยืดกล้ามเนื้อ
เว็บไซต์หมอชาวบ้าน www.doctor.or.th เฟชบุ๊คwww.facebook.com/folkdoctorthailand
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 32 33 [34] 35 36 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: