jainu
|
|
« ตอบ #510 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2016, 09:37:01 AM » |
|
หลอดเลือดดี ชีวีเป็นสุข
หลอดเลือดแดงแข็ง เป็นโรคแห่งความเสื่อมที่ยอดฮิต ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง หมายถึงภาวะที่มีตะกรันของไขมันไปเกาะจับที่เยื่อบุภายในของหลอดเลือดแดงทั่วร่างกาย ทีละน้อยๆ และค่อยๆ หนาตัวขึ้น ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งและรูของหลอดเลือดแดงตีบแคบมากขึ้นเป็นลำดับ กินเวลานับ 5-10 ปีหรือสิบๆ ปีขึ้นไป รูหลอดเลือดแดงนั้นก็จะตีบตัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆ ได้น้อยลงมาก ทำให้อวัยวะที่หลอดเลือดแดงไปเลี้ยงนั้นขาดเลือดไปเลี้ยง
- เกิดโรคต่างๆ ขึ้น ที่สำคัญ คือ หลอดเลือดหัวใจ และหลอดเลือดสมอง
- หากหลอดเลือดหัวใจตีบตัน ก็จะกลายเป็นโรคหัวใจขาดเลือด มีอาการเจ็บจุกที่ยอดอก (ลิ้นปี่) และร้าวขึ้นคอ ขากรรไกรหรือต้นแขน และถ้าเกิดมีเกล็ดเลือดจับเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดหัวใจ ก็จะมีอาการเจ็บหน้าอกรุนแรง หัวใจวายกะทันหัน เรียกว่า “โรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน” ซึ่งเป็นสาเหตุของการตายเฉียบพลัน
- หากหลอดเลือดสมองตีบตัน จะทำให้กลายเป็นโรคอัมพฤกษ์ (แขนขาซีกหนึ่งอ่อนแรงชั่วคราว) ความจำเสื่อม วิงเวียนเห็นบ้านหมุน และถ้าเกิดมีเกล็ดเลือดจับเป็นลิ่มเลือดไปอุดตันหลอดเลือดสมอง ก็จะมีอาการเป็นโรคลมอัมพาตเฉียบพลัน ซึ่งทำให้พิการ หรือเสียชีวิตได้
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง ที่สำคัญ คือ โรคเรื้อรังประจำตัว (เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ) พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม (สูบบุหรี่ ดื่มสุราจัด ขาดการออกกำลังกาย อารมณ์เครียด) และภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถควบคุมหรือแก้ไขได้ นอกจากนี้ ยังอาจมีปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้ คือ พันธุกรรม และความเสื่อมตามสังขาร
ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
1. พันธุกรรม มีญาติสายตรงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจหรือสมอง ก่อนอายุ 55 ปี (ในญาติผู้ชาย) หรือ 65 ปี (ในญาติผู้หญิง)
2. ความเสื่อมตามสังขาร ผู้ชายอายุมากกว่า 55 ปี หรือผู้หญิงอายุมากกว่า 65 ปี เสี่ยงต่อมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (มีตะกรันไขมันพอกที่เยื่อบุภายในผนังหลอดเลือด จนท่อตีบ)
3. มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน แล้วไม่ได้ดูแลรักษาอย่างจริงจัง หรือเป็นโดยไม่รู้ตัวมานานเพราะไม่เคยตรวจสุขภาพ
4. มีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนมักเกิดจากการบริโภคเกิน และ/หรือขาดการออกกำลังกาย
5. มีพฤติกรรมเสี่ยง ได้แก่ สูบบุหรี่ ขาดการออกกำลังกาย อารมณ์เครียด* ดื่มสุราจัด** เสพยาบ้า (แอมเฟทามีน) หรือโคเคน** หมายเหตุ *เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดหัวใจ **เสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมอง
การป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจและสมอง
1. ถ้ามีโรคเรื้อรังประจำตัว (ได้แก่ เบาหวาน ความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูงหรือผิดปกติ) ควรหาทางควบคุมให้กลับสู่ภาวะปกติโดยการดูแลรักษาอย่างจริงจังตั้งแต่แรก
2. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ได้แก่ ดัชนีมวลกาย 18.5-23 และสัดส่วนเส้นรอบเอวต่อส่วนสูงไม่เกิน 0.5 (เช่น สูง 160 ซม. เส้นรอบเอว (วัดผ่านสะดือ ขณะหายใจออก) ไม่ควรเกิน 80 ซม.)
3. อย่าสูบบุหรี่ดื่มสุราจัด หรือเสพยาเสพติด
4. ออกกำลังกายเป็นประจำ
5. บริโภคอาหารให้เหมาะสม ตามหลัก “ธงโภชนาการ” (ภาพประกอบ)โดยเน้นกินผัก ผลไม้ เมล็ดธัญพืช ถั่วต่างๆ ปลา ลดเนื้อแดง ไขมัน น้ำตาล และเกลือ
6. หาทางจัดการและป้องกันความเครียด ปัจจัยเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่เกิดมีอยู่ในหมู่คนทั่วไป ดังนั้นโรคที่เกิดจากภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง (ที่สำคัญ ได้แก่ โรคหัวใจ โรคอัมพาต) จึงเป็นสาเหตุของการเจ็บป่วย การพิการ และการตายของคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในคนวัยกลางคนขึ้นไป และในคนที่เป็นเบาหวานหรือความดันเลือดสูง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #511 เมื่อ: กรกฎาคม 16, 2016, 09:42:49 AM » |
|
อยากเล่าประสบการณ์ เรื่องเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน ของผม นพ.สุทธิศักดิ์ วุฒิพันธ์เรืองชัย (แพทย์ หูคอจมูก อายุ61ปี)
เผื่อญาติใครมีอาการคล้ายๆกัน จะได้ตระหนัก และเข้ารับการรักษาได้ทันเวลา ไม่ให้เกิดอาการช็อค จากหัวใจขาดเลือด นานเกินจนมีกล้ามเนื้อห้วใจตาย หรือเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน
วันนี้วันจันทร์11กค.2559 ผมตื่นสาย 8.00น. รีบไปรพ.นพรัตน เพื่อจะไปทำผ่าตัด ให้ผู้ป่วย3ราย ได้เอาโจ๊กที่ภรรยาซื้อมาจาก รร.หลานต้นข้าว ไปกินบนรถ ตอนติดไฟแดง
8.15ขณะผ่านนิด้าสักพัก รู้สึกเหนื่อยเหมือนจะเป็นลม ทำให้อยากไอ และต้องไอหลายๆครั้ง และอยากอาเจียน อาเจียนออกมา2-3ครั้งเป็นน้ำ ปนน้ำลายไม่มาก ปากแห้งมากเหมือนขาดน้ำมานาน ดื่มน้ำไป ก็ไม่หยุดปากแห้ง ความรู้สึก เหมือนอึดอัดทนอยู่ท่าเดิมไม่ได้ อยากจอดรถ เปลี่ยนท่า ไปนอน อ่อนเพลียมาก คล้ายจะช็อค แต่ไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเลย เลยคิดว่าอาหารเป็นพิษ ขณะขับรถอยู่ ระหว่างทางเหนื่อยตลอดเวลา อยากจอดรถนอนพัก ได้โทรบอกคุณพยาบาลรัดเกล้า ให้เตรียมบัตรตรวจของผมไปไว้ที่ห้องฉุกเฉิน และโทรยกเลิกผ่าตัด และให้หมอ หูคอจมูก อีกท่าน ดูแลผู้ป่วยทั้ง3รายแทน เพราะผมคิดว่าน่าจะมีภาวะช็อค จากอะไรก็ไม่รู้ ที่ไม่คิดว่าเป็นช็อคจากหัวใจขาดเลือดเพราะไม่ปวดเจ็บหน้าอก หรือแน่น หรือปวดร้าวไปที่กรามซ้าย หรือแขนเลย แต่อาการคล้ายอึดอัด ต้องปลดสายรัดหน้าอกของรถออกและปลดกระดุมเสื้อ ปลดตะขอกางเกงและคลายเข็มขัดออก รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ยังรู้สึกอ่อนเพลียมากอยากฟุบหลับ พอไปถึงหน้ารพ.นพรัตน์ ซึ่งกำลังทำสะพานข้าม และรถติดมาก ผมเองคิดว่าจะไปยูเทิร์น กลับมาคงนานเกินไป จึงเปิดไฟกระพริบฉุกเฉินของรถ และขอตัดรถที่สวนทางเลี้ยวเข้าหน้ารพ. รถที่สวนก็ใจดีให้ผมเลี้ยวเข้ารพ.ได้ เมื่อเข้ารพ. ก็จอดรถข้างตึกฉุกเฉิน ตอน7.30น.และเดินอย่างอ่อนแรงไปที่ตึก เมื่อพบคุณพยาบาลติ๊ก กานต์ดา ตุลาธร หัวหน้าเวรวันนั้น ก็บอกอาการว่าผมคล้ายกำลังช็อค ทางพยาบาลได้ซักประวัติ อย่างกระชับ ถามเรื่องเจ็บแน่นหน้าอกแต่ผมก็ไม่มีอาการเลย มีแต่เหนื่อยเพลีย อยากอาเจียน ไม่มีเวียนศีรษะ ไม่มีเบาหวาน ความดัน มีไขมันสูงเล็กน้อย(คุณแม่ ผมเสียชีวิต จากเส้นเลือดหัวใจอุดตัน ตอนอายุ75ปี และมีไตวายหลังกล้ามเนื้อหัวใจตาย) และทางรพ.ได้ให้การรักษาพยาบาลทันที วัดความดัน ชีพจร ให้น้ำเกลือ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(EKG) และ ก็รีบนำผล ไปให้แพทย์ประจำห้องฉุกเฉินดู พบว่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจ มีคลื่นQ wave ในLead 3 และST elevation ,Q wave เล็กๆในlead 2.,aVF ST depress ในlead V4-6 มีT หัวกลับที่V2 V3 ให้การวินิจฉัย ว่ากล้ามเนื้อหัวใจด้านล่างขาดเลือดเฉียบพลัน ได้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจคุณหมอธัญญ์ และหัวหน้าอายุรกรรม คุณหมอเฉลิมพลซึ่งรีบมาดู และให้การรักษาทันที ขอขอบคุณมากครับ
ให้เคี้ยวaspirin1เม็ด กินclopidrogel 8เม็ด และติดต่อรพ.รามคำแหง ที่ผมทำงานอยู่ และไม่ไกลจากรพ.นพรัตน ทางรพ.รามคำแหงที่มีความพร้อมห้องcardiac cath lab ทีมงาน และแพทย์โรคหัวใจ และแพทย์หัตถการทางเส้นเลือดหัวใจ สามารถทำงานรักษาคนไข้หัวใจฉุกเฉินได้ทันที ขณะอยู่รพ. ผมยังรู้สึกเหนื่อย แต่ไม่เจ็บหน้าอก ไม่อยากจะพูด ไม่อยากลืมตา อยากนอนพักนิ่งๆ คุณหมอธัญญ์ ได้ทำการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ(Echo cardiogram) ไม่พบกล้ามเนื้อหัวใจตาย แต่หมอคิดว่าได้รับยาละลายลิ่มเลือดได้เร็ว ทำให้ไม่มีภาวะหัวใจขาดเลือด
และรพ.นพรัตน์ได้ติดต่อรพ.รามคำแหง และย้ายผมจากรพ.นพรัตน์ขึ้นรถรพ.ไปรพ.รามคำแหง ถึงตอน10.00น.
เมื่อถึงรพ.รามคำแหง ได้ขึ้นไปที่CCU(Cardiac care unit)ชั้น3 ตึกเอ ที่ทีมงานได้เตรียมพร้อมอยู่แล้ว ทางรพ.รามคำแหงได้ให้ยา Brilinta90mg. 2 เม็ด และทำEKGคลื่นไฟฟ้าหัวใจใหม่ ก็ยืนยันว่า มีกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ได้ส่งผมเข้าCardiac cath lab
ตอน10.15น. เพื่อทำการ ตรวจสวนเข้าเส้นเลือดหัวใจ โดยใช้ยาชาเฉพาะที่ พบว่ามีเส้นเลือดหัวใจข้างขวา(right coronary artery ที่เลี้ยงหัวใจด้านขวา)ตีบ90% 2 ตำแหน่ง และเส้นเลือดแดง(left anterior ascending artery)ข้างซ้ายตีบ70% คุณหมอวิชัย และ คุณหมออุทัย ก็อธิบาย ว่าตรวจพบอะไร จะต้องขยายเส้นเลือดโดยใช้บัลลูน และใส่stent คาไว้ และเนื่องจากเส้นเลือดซ้ายยังไม่ตีบแคบมาก รออีกระยะ ค่อยมาทำภายหลัง
ขณะทำ ผมยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ แต่ไม่มาก ตอนฉีดสารทึบแสงเข้าเส้นเลือด รู้สึกแขนขาหนา คล้ายจะเป็นตะคริว เมื่อขยายด้วยบัลลูน รู้สึกหนักที่หัวใจเล็กน้อย เมื่อขยายจุดแรกที่เส้นเลือดขนาดค่อนข้างใหญ่ด้วยstent แบบสลายตัวได้ในภายหลัง หลังทำจุดนี้ ก็ไม่รู้สึกดีขึ้นเท่าไหร่ การขยายส่วนที่ส่วนใกล้ปลายเส้นเลือดแดงข้างขวา ขนาดค่อนข้างแคบ หมอทำอย่างระมัด ระวัง ใช้เวลาสอด และขยายนานกว่าเล็กน้อย แต่ขณะทำ ผมรู้สึกแน่นตึง ตรงหัวใจพอควร สักครู่ เมื่อคุณหมอวิชัย และคุณหมออุทัย ทำใส่ stentแบบธรรมดา เสร็จ ผมก็รูสึกทันทีว่าดีขึ้น ไม่ค่อยอึดอัดอีก
เมื่อเสร็จแล้ว 11.40น.ได้ออกมาอยู่ที่CCU ห้องเดิม รู้สึกสบายขึ้นมาก กินอาหารกลางวันได้ พูดได้ สบาย ไม่รู้สึกอึดอัดหรือเหนื่อยอีกเลย ตั้งแต่12.30 น.
ผมอาจจะโชคดี ที่ได้รับการรักษาเร็ว ได้ยาละลายลิ่มเลือด ที่นพรัตน์ และทำหัตถการสวนบัลลูนเส้นเลือด และคาท่อถ่างเส้นเลือดได้เร็ว เพราะแพทย์ที่ดู ชำนาญเฉพาะด้านเส้นเลือดหัวใจ ทำให้เข้าใจว่า อาการอึดอัด เหนื่อย อยากอาเจียน เป็นอาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ เกิดหลังโรคเส้นเลือดหัวใจขาดเลือด อุดตัน เฉียบพลัน (แต่กล้ามเนื้อหัวใจยังไม่ทันขาดเลือดจนกล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งทำให้ไม่ปวดแน่นหนักหน้าอก และอาการปวดร้าวไปแขนซ้าย กรามซ้ายตามที่พวกเรารู้หรือเล่าเรียนมา) และรู้ว่า มันไม่ใช่โรคกระเพาะ หรือ อาหารเป็นพิษ ซึ่งถ้าแพทย์ที่ดูแล ไม่คิดถึง เพราะมันไม่เหมือนในตำราแพทย์ ที่พวกเราเรียนกันมา จะรักษาทางด้านอื่นไป ทำให้ โอกาสที่จะได้ยาละลายลิ่มเลือด หรือขยายเส้นเลือดทำได้ช้า หรือไม่มีโอกาสได้ทำ เนื่องจาก เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตาย จะทำให้เกิดภาวะช็อค เลือดไปเลี้ยงที่ไต จะลดลง ทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ การฉีดสีเข้าเส้นเลือด เป็นไอโอดีนเข้มข้น ทำให้ไตทำงานหนักมากๆ จนเกิดไตวายได้ เมื่อไตวาย จึงทำการสวนหัวใจใส่ท่อstentไม่ได้ หรือต้องล้างไตไปด้วยขณะทำ เพื่อไม่ให้ไตเสียถาวร
ขอขอบคุณ คนขับรถที่เมตตาหยุด ให้รถผมเลี้ยวเข้านพรัตน์ ไปรับการรักษาได้ทัน เจ้าหน้าที่ แพทย์ คุณหมอธัญญ์ คุณหมอเฉลิมพล รพ.นพรัตน คุณหมอวิชัย และหมออุทัย และทีมงานCCU Cardiac cath centre รพ.รามคำแหงมากครับ
(แก้ไขครั้งที่2 11กค.2559)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #512 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2016, 03:20:05 PM » |
|
โรคถุงลมปอดโป่งพอง โรคนี้จะเป็นเรื้อรังตลอดชีวิต และจำเป็นต้องพบแพทย์และใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง ผู้ป่วยมักจะเสียชีวิตจากภาวะการหายใจล้มเหลว ปอดอักเสบ หรือปอดทะลุ โดยเฉลี่ย ผู้ป่วยมีอัตราตายมากกว่าร้อยละ 50 ใน 10 ปี หลังจากที่ได้รับการวินิจฉัย การป้องกันที่สำคัญคือ "ไม่สูบบุหรี่" หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่มีมลพิษในอากาศ ในระยะที่เริ่มเป็นหากเลิกบุหรี่ได้เด็ดขาดก็มักจะได้ผลดี โรคจะไม่ลุกลามมากขึ้น แต่ถ้ายังสูบบุหรี่ต่อไปก็จะลุกลามจนถึงระยะรุนแรง และเกิดภาวะแทรกซ้อนต่างๆ รายละเอียด :>> http://bit.ly/1wVXLOQ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #514 เมื่อ: ธันวาคม 06, 2016, 09:01:12 AM » |
|
คู่มือรถทุกคันจะบอกว่า เมื่อขึ้นรถแล้วให้ลดกระจกลงก่อนเปิดแอร์เพื่อถ่ายเทความร้อนในตัวรถออกไป ทำไมถึงบอกอย่างนั้น?
ไม่น่าแปลกใจที่ปัจจุบันมีคนตายด้วยมะเร็งมากขึ้น
เวลาขึ้นรถ อย่าเพิ่งรีบเปิดแอร์ทันที ให้ลดกระจกลงเพื่อให้ความร้อนระบายออกไป อย่างน้อยสัก 2-3 นาทีถึงค่อยเปิดแอร์ เพราะอุปกรณ์พลาสติกในรถ เมื่อโดนความร้อนสะสมในรถจะมีการปล่อยสารเบนซีน ที่เป็นสารก่อมะเร็งออกมา มีผลต่อสุขภาพ กระดูก และลดปริมาณเม็ดเลือดขาว ในระยะยาวจะทำให้เป็นลิวคีเมีย และเพิ่มโอกาสเป็นมะเร็งชนิดอื่นๆ นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุทำให้หญิงตั้งครรภ์แท้งบุตรได้ ระดับสารเบนซีนในที่ร่มที่รับได้คิอ 50 ม.ก. ต่อตารางฟุต
รถที่จอดในที่ร่มแต่ปิดหน้าต่าง จะมีสารเบนซีน 400-800 ม.ก. คือ 8 เท่าของระดับที่รับได้ แต่หากจอดรถกลางแจ้ง ที่มีอุณหภูมิ 60 องศาฟาเรนไฮต์ ระดับสารเบนซีนจะขึ้นไปถึง 2000-4000 ม.ก. คือ 40 เท่าของระดับที่รับได้
ใครที่ขึ้นรถแล้วไม่เปิดหน้าต่าง จะหายใจเอาสารพิษของเบนซีนเข้าไปจำนวนมาก ซึ่งจะทำลายตับ ไต และยากจะขับออก
บทความนี้ตบท้ายว่า เมื่อใครสักคนแบ่งปันสิ่งดีๆ ให้คุณและคุณได้รับประโยชน์จากมัน คุณก็ต้องมีสำนึกที่ดีที่ต้องแบ่งปัน ต่อให้ผู้อื่นเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #515 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 04, 2017, 02:55:36 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #516 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 15, 2017, 09:46:55 PM » |
|
โรคติดสุรา
สุราและเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม เป็นสารเสพติด เป็นพิษต่อสุขภาพ ทำให้เกิดโรคเกือบทุกระบบของร่างกาย นอกจากนั้นพฤติกรรมของผู้ดื่มสุรา ยังก่อให้เกิดอันตรายทั้งต่อตนเองและผู้อื่น สุราและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เมื่อดื่มเป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลายาวนาน ทำให้เกิดอาการเสพติด เป็นโรคติดสุรา
อาการของคนเป็นโรคติดสุรา
1. มีความต้องการดื่มสุราตลอดเวลา
2. เมื่อดื่มสุราแล้ว ไม่สามารถควบคุมตนเองให้หยุดดื่มได้
3. เมื่อหยุดดื่มสุราจะมีอาการทั้งร่างกายและจิตใจ ได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน เหงื่อออก ใจสั่น หงุดหงิด สับสน
4. ต้องเพิ่มปริมาณการดื่มสุรามากขึ้นเรื่อยๆ
ผลการดื่มสุรา
1. เมื่อดื่มสุรา แอลกอฮอล์จะถูกดูดซึมเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือด ร่างกายจะมีกลไกในการกำจัดแอลกอฮอล์ออกจากร่างกาย โดยขับออกทางการหายใจ เหงื่อ และปัสสาวะ ประมาณ 2-10 % ส่วนที่เหลือจะถูกสลายที่ตับ
2. การที่ตับมีหน้าที่สลายแอลกอฮอล์ ทำให้ตับใช้ ตับใช้แอลกอฮอล์เป็นแหล่งพลังงานแทนการใช้ไขมัน เกิดการสะสมไขมันในตับและในกระแสเลือด ทำให้ไขมันในเลือดสูง และเป็นโรคตับแข็ง
3. เมื่อเริ่มดื่มสุราจำนวนน้อย ผู้ดื่มจะรู้สึกครึกครื้น สนุกสนานช่างพูด เพราะแอลกอฮอล์ทำให้มีการเพิ่มขึ้นของสารสื่อประสาท
4. เมื่อดื่มปริมาณมากขึ้น แอลกอฮอล์จะกดการทำงานของระบบประสาท ทำให้ง่วง สับสน ทรงตัวลำบาก เดินเซ ความดันโลหิตสูง ใจสั่น
5. เมื่อปริมาณแอลกอฮอล์มากขึ้น จนถึงระดับกดการทำงานของสมอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเซลล์ก้านสมอง ซึ่งควบคุมการทำงานของหัวใจและการหายใจ ผู้ดื่มอาจหมดสติ หรือถึงขั้นเสียชีวิตได้
พิษสุราต่อร่างกาย สุรามีผลเสียต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย นำสู่การเกิดเป็นโรค และเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ดังนี้
1. ระบบประสาท สุราเป็นพิษต่อระบบประสาททั้งระบบ ตั้งแต่การทำงานของเซลล์สมองไปจนถึงปลายเส้นประสาท คนติดสุราจะมีอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน ขึ้นกับพยาธิสภาพที่ถูกสุราทำลาย ได้แก่ ความจำเสื่อม ความคิดเลอะเลือน สับสน ประสาทหลอน นอนหลับไม่สนิท เสียสมดุลการทรงตัว เดินเซ หกล้มง่าย มีอาการเหน็บชา ชาปลายมือปลายเท้า
2. ระบบทางเดินอาหาร เยื่อบุทางเดินอาหารถูกแอลกอฮอล์ทำลาย เกิดการอักเสบ เป็นแผลในกระเพาะอาหาร มีอาการถ่ายอุจจาระเป็นเลือด อาเจียนเป็นเลือด มีคนไข้ที่เป็นพิษสุราเรื้อรัง มาโรงพยาบาลด้วยอาการอาเจียนเป็นเลือด ซึ่งเป็นภาวะวิกฤตฉุกเฉินที่เป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต
3. ตับและตับอ่อน แอลกอฮอล์ทำให้ตับทำงานหนัก มีอาการตับอักเสบ มีไขมันไขมันแทรกตามเซลล์ของตับ เกิดภาวะตับแข็ง แอลกอฮอล์ทำให้ตับอ่อนอักเสบ ทำให้เป็นไข้ ปวดท้อง
4. ระบบหัวใจและหลอดเลือด แอลกอฮอล์กระตุ้นทำให้หัวใจเต้นเร็ว ประกอบกับผู้ติดสุรา มักขาดวิตามินบี 1 ทำให้สมรรถภาพการทำงานกล้ามเนื้อหัวใจลดลง แอลกอฮอล์ทำให้ไขมันในกระแสเลือดสูง ส่งผลให้หลอดเลือดตีบแคบแข็งตัว เกิดภาวะความดันโลหิตสูง จากปัจจัยต่างๆ ดังกล่าว คนติดสุราจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้เกิดความพิการที่รุนแรงและเสี่ยงต่อการเสียชีวิต
5. ระบบเลือด แอลกอฮอล์มีผลต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง การสร้างเม็ดเลือดขาวลดลง ทำให้ภูมิต้านทานลดต่ำลง รวมทั้งประสิทธิภาพการทำงานของเกล็ดเลือดลดลง มีผลต่อการแข็งตัวของเลือด เมื่อเกิดภาวะเลือดออก เช่น อาเจียนเป็นเลือด เลือดจึงหยุดยากกว่าปกติ
6. ระบบสืบพันธุ์ การดื่มสุราในระยะแรก อาจมีความต้องการทางเพศเพิ่มขึ้น แต่เมื่อเป็นโรคติดสุรา ความต้องการทางเพศจะลดลง ลูกอัณฑะอาจมีขนาดเล็กลง ในหญิงตั้งครรภ์ สุรามีผลต่อการแท้งลูก ทำให้คลอดก่อนกำหนด รวมทั้งทารกมีมีโอกาสพิการแต่กำเนิดมากกว่าคนปกติ
7. มะเร็ง คนที่เป็นโรคติดสุรา มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนปกติหลายเท่า นอกจากนั้นคนดื่มสุรามักมีพฤติกรรมชอบสูบบุหรี่ ทำให้มีโอกาสเป็นมะเร็งจากพิษภัยบุหรี่เพิ่มขึ้น คนติดสุรามีโอกาสเป็นมะเร็งในอวัยวะต่างๆ มะเร็งที่พบมาก ได้แก่ มะเร็งหลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ตับ และตับอ่อน ไม่มีคำว่าสายสำหรับผู้ที่มีความมุ่งมั่น ไม่ว่าจะเป็นนักดื่มระดับไหน
สามารถเลิกดื่มสุราได้ โทร. 1413 ได้ตลอดเวลา 24 ชั่วโมง
https://www.facebook.com/folkdoctorthailand/posts/10155084353897028:0
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #517 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2017, 08:55:28 AM » |
|
อาหาร 20 อย่างที่สามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก แคลอรี่ต่ำและช่วยระบบเผาพลาญในช่วงลดน้ำหนัก หลายๆคนอาจจะคิดว่า กินอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำๆเข้าไว้ จะได้ไม่อ้วน แต่ความจริงนอกจากอาหารแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังควรรับประทานอาหารที่มีส่วนช่วยในระบบการเผาผลาญของร่างกายประกอบด้วย
ในบทความนี้ผมก็มี อาหาร 20 อย่างที่สามารถรับประทานได้ในช่วงลดน้ำหนัก ซึ่งนอกจากจะมีอาหารที่มีแคลอรี่ต่ำแล้ว ยังมีอาหารจำพวกที่ช่วยในเรื่องระบบเผาผลาญ และฮอร์โมนของร่างกายอีกด้วยครับ
1. ไข่ 2. ผักใบเขียว 3. แซลม่อน 4. ผักตระกูลกะหล่ำ 5. เนื้อไม่ติดมัน และอกไก่ 6. มันฝรั่งต้ม 7. ทูน่า 8. พืชตระกูลถั่ว 9. ซุป 10. เนยแข็งคอทเทจ (cottage cheese) 11. อโวคาโด้ 12. น้ำส้มสายชูที่หมักจากแอปเปิ้ล (apple cider vinegar) 13. ถั่วกินเล่น 14. โฮลเกรน 15. พริก 16. ผลไม้ 17. เกรปฟรุต 18. เมล็ดเจีย 19. น้ำมันมะพร้าว 20. โยเกิร์ต ข้อมูลจาก: Business Insider ที่มา: http://www.wegointer.com/2014/10/best-foods-for-trying-to-lose-weight
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #518 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 20, 2017, 10:51:46 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #520 เมื่อ: มีนาคม 16, 2017, 09:16:25 PM » |
|
สมคิด ลวางกูรLike Page 6 November 2013 · รูปที่โพสต์ สาเหตุที่ป่วย...เพราะ...โง่... เพื่อนรักที่เป็นผู้บริหารที่กสิกรไทย...แวะมาหา... เป็นเพื่อนรุ่นน้อง...เคยบริหารห้างสรรพสินค้ามาด้วยกัน... ไม่ได้เจอกันนานมาก...ก็คุยกันอย่างสนุกสนาน...ออกรสออกชาติ... สักครู่เพื่อนบอกว่า...พี่...ผมมีเรื่องจะปรึกษา... ผมเบื่อ...ผมไม่อยากอยู่...ผมไม่รู้ว่าจะมีชีวิตอยู่ไปเพื่ออะไร... อ้าว...เฮ้ย...ทำไมถึงคิดยังงี้วะ...? เพื่อนผมคนนี้...เป็นคนที่เก่งมาก...ความเชื่อมั่นในตัวเองเกินร้อย... เป็นคนเก่งระดับที่...บริษัทต่างๆไล่ล่าตัว... แต่วันนี้...มันอยากตาย... ผมบอกมันว่า...เป็นโรคซึมเศร้าแล้ว... ลาออกจากงานด่วน...ออกจากสภาพแวดล้อมเดิมๆ... ไปหาที่อยู่ใหม่...ไปหาเพื่อนใหม่...ไปหาสภาพแวดล้อมใหม่...ที่ชอบ... ถึงจะแก้ปัญหาได้... พี่รู้ได้ยังไง...ว่าผมเป็นอะไร...? กูนั่งมองสภาพงานมา 10 กว่าปีแล้ว... กูรู้ว่า...วันหนึ่งจะต้องมีวันนี้...แต่กูไม่คิดว่ามันจะมาเร็วขนาดนี้... เพื่อนผมเป็น...คนคุมระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด... ทุกคน...ทุกแผนก...ทุกฝ่าย...ก็เอาปัญหามาประเคนให้ทุกวัน.... ปัญหากองท่วมหัว...ทำไม่ทัน... ขอคนเพิ่ม...ก็ไม่ได้...ขอเครื่องมือที่มันทันสมัยเพิ่ม...ก็ไม่ได้... กลับถูกด่า...หาว่าผลาญแต่เงิน... แก้ปัญหาให้ไม่ทันใจมัน...ทุกคนก็รุมด่า...รุมประณาม...เหยียดหยาม... ว่า...ไม่ได้เรื่อง...เฮงซวย...ไม่เอาอ่าว...ไม่มีฝีมือ... ยิ่งตำแหน่งใหญ่ขึ้น...ความรับผิดชอบมากขึ้น...กว้างขึ้น... เสียงด่าก็ทวีจำนวนขึ้น...รุนแรงมากขึ้น...ลึกซึ้งและเจ็บปวดขึ้น... มันกระหน่ำด่าอย่างสาดเสียเทเสียมา 15 ปี...ติดต่อกัน... ความเก่ง...ความเชื่อมั่นในตัวเองที่เคยมีเกินร้อย... ค่อยๆหดหายไปทีละน้อยๆ...จนหมด...แล้วค่อยๆติดลบ... จนในที่สุด...ขาดความเชื่อมั่นอย่างรุนแรง... คิดว่ากูไม่ได้เรื่อง...กูไม่เอาอ่าว...กูไม่มีฝีมือ...กูเฮงซวย...กูไร้ค่า... เพราะคำด่าเหล่านี้มันก้องอยู่ในหู...วันละ 24 ชม...ทุกวัน... ติดต่อกันมา 15 ปีแล้ว...มันด่าจนตัวเองเชื่อว่าสิ่งที่เขาด่า...คือคุณสมบัติของเรา... มันพยายามรักษา...กินยาอยู่นาน...อาการขึ้นๆลงๆ... กินยาเสร็จ...ดีขึ้น...ยาหมดฤทธิ์...เป็นอีก... กินยาอีก...ดีขึ้น...ยาหมดฤทธิ์...เลวเหมือนเดิม... รักษามานานวัน...นอกจากจากไม่หายแล้ว...อาการเริ่มหนักขึ้นเรื่อยๆ... จนในที่สุดเบื่อชีวิต...เลยแวะมาหาผม... ผมบอกว่า...การรักษาด้วยยา...เป็นการรักษาที่ปลายเหตุ...มันไม่มีทางหาย... เหตุที่ทำให้เกิดอาการป่วย...มันเกิดใหม่ทุกวัน...เกิดเพิ่มทุกวัน... เราพยายามตักออก...พยายามตักทิ้ง...แต่ตักไม่ทัน... ของเก่ายังตักทิ้งไม่หมด...ขยะใหม่เพิ่มเข้ามาอีกแล้ว... แถมเพิ่มเยอะขึ้น...แล้วเพิ่มไม่หยุด...เพิ่มต่อเนื่องทุกวัน... วิธีแก้ปัญหา...คือ...ต้องหยุดเพิ่มปัญหา...หยุดเพิ่มขยะ...เข้ามาในชีวิต... พอหยุดการเพิ่มได้แล้ว...ขยะไม่ไหลเข้าได้แล้ว... ก็รีบตักขยะเก่าออก...ให้เร็วที่สุด... พอขยะออกหมดแล้ว...ร่างกายจิตใจปกติแล้ว... ก็เติมภูมิต้านทานความเครียดเข้าไป...ด้วยการปฏิบัติธรรม... ฟังคำแนะนำผมจบ...เพื่อนรีบไปลาออกจากงาน... เดินทางไปอยู่กับพี่สาวที่ออสเตรเลีย 3 เดือน... ขยะหมด...ร่างกายจิตใจดีขึ้นเป็นปกติ... กลับมาเมืองไทย...ไปปฏิบัติธรรม...10 วัน... ออกจากปฏิบัติธรรม...กลับมาขอบคุณผมที่บ้าน...หน้าตาสดชื่นมาก... ผมก็ดีใจ...ที่ได้เพื่อนคนเดิมกลับมา... พอเพื่อนกลับไปแล้ว...ผมก็กลับมานั่งคิดถึงตัวเอง... ผมเขียนหนังสือไม่ได้มา 10 ปีแล้ว... ผมเขียนหนังสือ 5 ปี...31 เล่ม...หลังจากนั้น...เขียนหนังสือไม่ได้อีกเลย... เบื่อชีวิต...ซังกะตาย...ไม่อยากทำอะไรทั้งสิ้น... เงินก็ไม่เอา...ความสำเร็จก็ไม่เอา...ความท้าทายก็ไม่เอา...ไม่อยากมีชีวิตอยู่... กูไม่เคยเป็นอย่างนี้นี่หว่า...นี่กูเป็นอะไรวะ...? อ้าว...นี่กูเป็นโรคซึมเศร้าเหมือนมันเลยนี่หว่า...? นี่ถ้าไม่ให้คำปรึกษามัน...ก็ไม่รู้นะเนี่ยว่า...กูก็ป่วย... แล้วที่สำคัญ...มันรุนแรงมากถึงขนาดที่...ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว... แล้วทำไมกูถึงซึมเศร้าวะเนี่ย...? ทั้งๆที่...ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มาก...โด่งดัง...มีชื่อเสียง... ไปไหนมีคนเคารพ...กราบใหว้...เชื่อถือ...ศรัทธา... ผมมาจาก...บ้านนอก...เด็กวัด...กำพร้า...ยากจนขนาดต้องแย่งหมากิน... พอมาอยู่กรุงเทพ...ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่มาก...โด่งดัง...มีชื่อเสียง... การดำเนินชีวิต...และสภาพแวดล้อม...มันเปลี่ยน... ผมต้องพูด...ในสิ่งที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากพูด... ผมต้องอยู่...ในสถานที่ที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากอยู่... ผมต้องกิน...ในสิ่งที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากกิน... ผมต้องทำ...ในสิ่งที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากทำ... ผมต้องคุย...กับคนที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากคุยด้วย... ผมต้องอยู่...กับคนที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากอยู่... ผมต้องอยู่...ในสภาพแวดล้อมที่...ผมไม่ชอบและไม่อยากอยู่... ผมต้องทนรับสภาพแบบนี้...10 ปีเต็มๆ... โดยผมพยายามบอกตัวเองว่า...ผมกำลังพยายามปรับตัว... แล้วผมก็เป็นโรคซึมเศร้า...โรคกลดไหลย้อน...โรคเครียด...โรคภูมิแพ้... และอีกหลายสิบโรค...ที่ยังหาสาเหตุไม่เจอ... ตอนนี้แทบจะหยิบอะไรใส่ปากไม่ได้...แพ้หมดทุกอย่าง... ตาบวม...ปากบวม...เป็นผื่น...จาม...คออักเสบ...ท้องเสีย... ก็เริ่มทำการรักษา...หมดเงินไป...นับแสน... วันหนึ่ง...อ่านบทสัมภาษณ์ของหมอ...ในหนังสือพิมพ์... รู้เลยว่า...ตัวเองโง่...และเดินมาผิดทางเสียแล้ว... ลองมาดูครับว่า...คุณหมอให้สัมภาษณ์เรื่องอะไร...?<span style="font-size:18px;">อารมณ์…คือตัวกำหนดสุขภาพ... อวัยวะทั่วร่ายก
.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #521 เมื่อ: เมษายน 17, 2017, 03:11:47 PM » |
|
http://www.goodlifeupdate.com/53316/dont-miss/cp-egg/เลิกเชื่อผิดๆ !! อ.สง่า ดามาพงษ์ ชี้ ผู้สูงวัยกินไข่ได้ทุกวัน ไม่รู้นานเท่าไหร่แล้ว ที่ ‘ไข่’ กลายเป็นอาหารต้องห้ามสำหรับผู้สูงวัยและกลุ่มคนรักสุขภาพ เพราะ “เขาบอกกันมาว่า” ไข่เป็นอาหารที่ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง บางคนถึงกับแยกกินเฉพาะไข่ขาว และเขี่ยไข่แดงทิ้ง เพราะเกลียดกลัวคอเลสเตอรอลที่ซุกซ่อนอยู่ในนั้น ทำให้พลาดคุณค่าของไข่แดงไปอย่างน่าเสียดาย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ ที่ปรึกษากรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ออกมาเฉลยให้ฟังว่า ทั้งหมดล้วนเป็นความเข้าใจแบบผิดๆ
อาจารย์สง่า อธิบายว่า ในปัจจุบันไม่มีงานวิจัยในโลกชิ้นใดที่ออกมายืนยันว่า การกินไข่ทำให้คอเลสเตอรอลในเลือดสูง ความจริงแล้ว ภาวะคลอเลสเตอรอลสูงเกิดมาจากการกินอาหารมัน กินหวานจัด กินผักน้อย กินแป้งเยอะ และขี้เกียจออกกำลังกาย หากแก้ไขพฤติกรรมเหล่านี้ได้ ก็ห่างไกลจากความเสี่ยงแล้ว ดังนั้น ไม่ว่าจะอายุมากเท่าใด ก็สามารถกินไข่วันละฟองได้แบบปลอดภัยหายห่วง โดยอาจารย์สง่ายืนยันว่า นอกจากไข่จะมีโปรตีนสูงแล้ว ยังมีเลซิทิน โคลีน และวิตามินบี 12 อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งหาได้ยากจากอาหารชนิดอื่นๆ
นอกจากนี้ อาจารย์สง่า ยังแนะนำว่า วัยสูงอายุเป็นช่วงวัยที่ระบบต่างๆ ในร่างกายกำลังเสื่อมถอย เพราะร่างกายหยุดสร้างเซลล์ต่างๆ ที่เคยสร้างเมื่อสมัยเป็นหนุ่มเป็นสาว เหตุนี้ผู้สูงอายุจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันในการกินอาหารที่มีคุณภาพให้มากขึ้น คือ เลือกกินอาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหารที่มีโปรตีน วิตามิน แร่ธาตุ รวมไปถึงไขมัน โดยเฉพาะโอเมก้าสาม ซึ่งเป็นกรดไขมันไม่อิ่มตัว และเป็นกรดไขมันที่ร่างกายขาดไม่ได้ โดยโอเมก้าสามนี้เอง ก่อให้เกิดประโยชน์มากกับผู้สูงวัย เนื่องจากมีส่วนช่วยให้ระบบต่างๆ ในร่างกายทำงานได้ดีขึ้น โดยเฉพาะหัวใจและสมอง นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยหลายชิ้นยืนยันว่า หากใครได้กินอาหารที่มีโอเมก้าสามสัปดาห์ละ 3-4 วัน ก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้อีกด้วย
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนอาจเริ่มสงสัยว่า จะไปหาโอเมก้าสามได้จากที่ไหน อาจารย์สง่า อธิบายว่า โอเมก้าสามสามารถหาได้จากอาหารทะเล โดยเฉพาะทะเลน้ำลึก และระยะหลังพบว่า โอเมก้าสามสามารถหาได้จากปลาน้ำจืดด้วย แต่ก็ยังมีปริมาณน้อยกว่า แต่การหาปลาทะลน้ำลึกกินทุกวัน ก็อาจจะฟังดูเป็นเรื่องเป็นไปได้ยากสักหน่อย เพราะนอกจากมีราคาแพงแล้ว ยังไม่สามารถหากินได้ทุกมื้อ ดังนั้น อาจารย์สง่า จึงแนะนำว่า การกินไข่ที่มีส่วนผสมของโอเมก้าสาม ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง จะทำให้ผู้สูงอายุหรือคนทั่วๆไป เข้าถึงโอเมก้าสามได้
ในเมื่อจุดเริ่มต้นของสุขภาพดี เริ่มต้นได้ง่ายๆ ด้วยการกินไข่แค่วันละฟอง…ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มกินไข่กันตั้งแต่วันนี้นะคะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #522 เมื่อ: เมษายน 25, 2017, 02:29:36 PM » |
|
จะคงความฟิตไว้อย่างไรเมื่อเกิดการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ปัญหาที่นักกีฬาหลายคนวิตกกังวล เมื่อมีการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา คือ หากต้องหยุดพักเป็นเวลานาน เมื่อกลับมาเล่นอีกครั้ง ต้องมาเริ่มต้นสร้างความฟิตใหม่ บางคนอาจพาลหมดสนุก และไม่อยากเล่นกีฬาอีกเลย ปกติแล้วเมื่อเกิดการบาดเจ็บ คำแนะนำแรกที่จะได้รับคือ ให้หยุดพัก เพื่อให้ส่วนที่บาดเจ็บได้รับการพักฟื้น เมื่อหยุดพักไปนานๆ โดยไม่ได้ออกกำลังกายเลย จะทำให้ความฟิต ความทนทานของหัวใจ ปอด ต่อการออกกำลังกาย (Cardiovascular fitness) ลดลง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลามากขึ้นเพื่อที่จะกลับมาเล่นกีฬาได้เหมือนเดิม
ทางเลือกที่ดีอีกทางหนึ่งที่จะช่วยคงความฟิตของเราไว้ได้ คือ การพักโดยการออกกำลังกายส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องไว้ก่อน เช่น นักวิ่งเมื่อเกิดการบาดเจ็บบริเวณขา ก็ออกกำลังกายโดยใช้แขนแทน มีจักรยานที่ปั่นด้วยการใช้แขน เรียกว่า Arm Ergometer ก็สามารถออกกำลังแขนโดยปั่นให้ได้ระดับชีพจรที่เหมาะสม เพื่อคงสภาพความทนทาน ระบบไหลเวียน/ปอด ให้ไกล้เคียงเดิม เมื่ออาการบาดเจ็บดีขึ้นก็สามารถกลับไปวิ่งหรือออกกำลังกายได้โดยไม่เหนื่อยง่าย ไม่ต้องเสียเวลาสร้างและฟื้นฟูสภาพยาวนานเกินไป
ในระหว่างการฟื้นฟูก็สามารถใช้อุปกรณ์ประคองต่างๆ ได้ เช่น ที่ประคองเข่า ข้อเท้า ประคองส่วนที่บาดเจ็บและยังไม่แข็งแรงได้ นอกจากนี้ ยังสามารถออกกำลังกายที่ลดแรงกระทำต่อบริเวณที่บาดเจ็บ ด้วยการออกกำลังกายในน้ำ ว่ายน้ำ หรือบางคนไม่ชอบว่ายน้ำ หรือว่ายน้ำไม่เป็น ปัจจุบันก็มีทางเลือกในการออกกำลังกายในน้ำมากขึ้น ทั้งธาราบำบัด (Hydrotherapy), การออกกำลังกายด้วยลู่วิ่งในน้ำ (Aquatic treadmill) หรือปั่นจักรยานในน้ำ(Aquatic bike) ซึ่งก็เป็นตัวเลือกที่ดีให้กับนักกีฬาเพื่อช่วยฟื้นฟูให้กลับมาออกกำลังกาย และเล่นกีฬาได้โดยเร็วที่สุด
บทความโดย นพ.ประวิทย์ จำรูญธเนศกุล สอบถามเพิ่มเติม สถาบันเวชศาสตร์การกีฬาและออกกำลังกายกรุงเทพ โรงพยาบาลกรุงเทพ https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/health-tips/fit-for-play-after-injury
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #523 เมื่อ: เมษายน 25, 2017, 02:33:59 PM » |
|
LOVE HORMONE มากกว่าคำว่ารักคำว่า “ความรัก : LOVE” เป็นคำสั้นๆที่อยู่คู่กับมนุษย์มายาวนาน ทุกๆคนต้องมีประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความรัก ในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็น รักแฟน รักแรกพบ รักเค้าข้างเดียว รักเล่นๆ รักจริงหวังแต่ง คำถามที่น่าสนใจคือแล้วคำว่าความรักเนี่ยมันเป็นยังไงกันแน่ ทำไมเราเจอคนบางคนที่เราชอบแล้วถึงใจสั่น ประหม่า พูดผิดพูดถูก หรือทำไมคู่แต่งงานหลายต่อหลายคู่ที่อยู่ด้วยกันมานานแต่ก็ยังรักกันหวานชื่น จริงๆแล้วมีความลับอะไรซ่อนอยู่ในคำง่ายๆคำนี้ “LOVE”
นพ.สุริยา ธีรธรรมากุล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลกรุงเทพ ให้ข้อมูลว่าในทางการแพทย์นั้น ได้มีความพยายามในการหาคำอธิบายพฤติกรรมของมนุษย์เมื่อเกิดความรัก จนได้พบว่าในร่างกายมีฮอร์โมนหลายต่อหลายตัวทำงานร่วมกันอย่างเป็นระบบในแต่ละขั้นตอนของความรัก ไม่ว่าจะเป็นอะดรีนาลีน (Adrenalin) ทำให้ใจเต้นเร็ว หน้าแดง ฮอร์โมนเพศทั้ง เทสโทสเทอโรนและเอสโตรเจน (Testosterone & Estrogen) ทำให้เกิดตัณหาและความอยาก ฮอร์โมนซีโรโตนีน (Serotonin) ทำให้เกิดอารมณ์ซึม เศร้า เหงา แต่ฮอร์โมนที่ถือเป็นพระเอกของความรักจนได้ชื่อว่า LOVE HORMONE นั้นต้องยกให้กับ ออกซิโตซิน (Oxytocin) เนื่องจากฮอร์โมนตัวอื่นๆนั้นทำหน้าที่ในช่วงแรกๆที่เรามีอาการเพ้อ ฝัน กินไม่ได้ นอนไม่หลับ ละเมอถึงคนที่เรารัก แต่ฮอร์โมนที่ทำให้เราเกิดความผูกพัน อยากอยู่ร่วมกับคนรักและสร้างครอบครัวนั้น มาจากผลของออกซิโตซิน
ออกซิโตซิน (Oxytocin) คือฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมอง หน้าที่หลักๆที่รู้กันอย่างแพร่หลายคือ มันเป็นฮอร์โมนที่จำเป็นสำหรับการคลอดลูกและให้นมบุตร นอกจากนี้ยังทำให้เกิดสายใยผูกพันที่ยิ่งใหญ่ของแม่และลูก แต่ยังมีความลับที่สำคัญของออกซิโตซินคือมันเป็นฮอร์โมนที่ทำให้เกิดความผูกพันกับคนอื่นด้วยเช่นเดียวกัน การกอด สัมผัสมือหรือการมีเซ็กส์จะทำให้สมองหลั่งออกซิโตซินมากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือ เราจะรู้สึกผูกพัน รัก เข้าอกเข้าใจคู่ชีวิตมากขึ้น มีความรักเดียวใจเดียว ด้วยเหตุนี้ ออกซิโตซิน จึงได้รับเกียรติให้มีชื่อเล่นมากมายว่า LOVE HORMONE, HUG HORMONE หรือ TRUST HORMONE.
นอกจากนี้ การที่ร่างกายเราหลั่ง Love hormone ออกมายังทำให้เกิดประโยชน์อย่างอื่นอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นการลดความเครียด มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น และมีความโรแมนติกมากขึ้นด้วย
ยังมีฮอร์โมนที่ออกฤทธิคล้ายคลึงกับ ออกซิโตซิน ด้วยได้แก่ เอนดอร์ฟิน (Endorphin) หรือ ฮอร์โมนแห่งความสุข : HAPPY HORMONE
เอนดอร์ฟิน นั้นเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากต่อมใต้สมองเช่นกัน และยังเป็นฮอร์โมนที่ไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้เหมือนฮอร์โมนชนิดอื่น ต้องให้ร่างกายสร้างและหลั่งสารนี้เอง โดยเอนดอร์ฟินจะทำให้ร่างกายเกิดความสุข ความผ่อนคลาย ลดความเครียด ลดอาการปวด ทำให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ ชะลอความเสื่อมของร่างกาย ดังนั้นเมื่อเรามีความรัก จะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งทั้งฮอร์โมนออกซิโตซินและ เอนดอร์ฟินออกมา ทำให้เกิดความสุขนั่นเอง https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/health-tips/love-hormone
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #524 เมื่อ: เมษายน 25, 2017, 02:36:48 PM » |
|
ฟื้นฟูร่างกายหลังวิ่งมาราธอนการวิ่งมาราธอนนั้นทุกคนอาจเตรียมตัวก่อนการวิ่งครั้งนี้กันมากพอสมควรเลยที่เดียว...แต่คุณรู้หรือไม่ว่าการดูแลตนเองหลังการวิ่งก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน
เพราะระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำสุดหลังการวิ่งหรือออกกำลังกายอย่างหนัก ต่อมหมวกไตจะสร้างฮอร์โมนความเครียดเพิ่มขึ้น และมีปฏิกิริยาการสร้างอนุมูลอิสระ ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันลดลง ทำให้ติดโรคได้ง่าย จึงควรให้ความสำคัญกับการพักผ่อนและรับประทานอาหารที่มีประโยชน์อย่างเพียงพอ
สิ่งที่ควรทำหลังวิ่งเสร็จ •หากมีส่วนใดร่างกายบาดเจ็บ หรือปวดช้ำบวม ก็ควรใช้น้ำเย็นหรือน้ำแข็งประคบช่วยลดการอักเสบ ประมาณ ๑๕ นาที ทำสลับไปทุก ๒-๓ ชั่วโมงไปจนครบหนึ่งวัน •เมื่อกลับบ้านก็ควรอาบน้ำให้ร่างกายสะอาด หรือแช่ตัวลงในอ่างน้ำอุ่น เพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายหลังจากการวิ่ง
หลังจากจากการวิ่งมาราธอน อย่างที่บอกแล้วว่าร่างกายจะมีภูมิคุ้มกันลดลง ควรระมัดระวังการออกไปอยู่ในที่ที่มีคนจำนวนมากเพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อเพิ่มเติม และหากต้องการออกซ้อม หรือไปวิ่งมาราธอนอีกครั้ง อาจเว้นระยะสัก ๑-๒ สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้มีโอกาสซ่อมแซมส่วนที่ถูกทำลายไปในระหว่างการออกกำลังกายอย่างหนักด้วย https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/health-tips/fit-for-marathon
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|