jainu
|
|
« ตอบ #525 เมื่อ: พฤษภาคม 18, 2017, 01:09:46 PM » |
|
หมอเขียว-ตอบปัญหากายใจ ๒
21 hrs · รูปที่โพสต์
คำตอบที่ ๕๖ #โรคความดันโลหิตสูง เกิดจากร่างกายร้อนมาก ๆ แล้วพิษร้อนนั้นยังฝังอยู่ในกระแสเลือด เมื่อพิษร้อนนั้นฝังอยู่ในกระแสเลือดมาก ทำให้ระบบประสาทสั่งงานให้หัวใจบีบตัวเพื่อที่จะเอาพิษร้อนนั้นออกไปจากร่างกาย พอมีการบีบตัวแรง ๆ ก็ทำให้พิษร้อนนั้นกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นและพิษร้อนกระจายไปทั่วเซลล์ พอพิษจะออกก็จะมีการระบายออกไปที่ผิวหนัง ที่ไต ที่ตับ ทุกที่ของร่างกายที่จะสามารถระบายออกได้ พอมีการบีบตัวแรง ๆ เข้า ความดับก็ขึ้นพอความดันขึ้นมาก ๆ ก็จะทำให้เส้นเลือดในสมองแตกตาย
#หมอแผนปัจจุบันก็จะแก้ด้วยการให้กินยากดประสาทเอาไว้เพื่อไม่ให้สมองไม่สามารถงานให้หัวใจบีบพิษร้อนออกได้ แต่พิษร้อนก็ยังอยู่ในร่างกายเหมือนเก่า พอนานเข้า ๆ ก็จะเกิดอาการดื้อยา แพทย์ก็จะให้ยาตัวใหม่ที่แรงขึ้นกว่าเก่าเพื่อไม่ให้หัวใจบีบพิษร้อนออก การแก้เมื่อไม่ได้แก้ไขที่ต้นเหตุ ความร้อนก็เพิ่มขึ้น ๆ #ร่างกายรับรู้ว่าหากไม่ดันพิษร้อนนี้ออกจะเป็นอันตราย ทำให้เกิดการต่อต้านต่อยานั้นอีก ก็เกิดการดื้อยาชนิดใหม่ที่แรงกว่าเดิมอีก เป็นอยู่อย่างนี้ สุดท้ายก็ทำให้เส้นเลือดในสมองแตกตาย พิษร้อนที่อยู่ทั่วร่างกายได้เผาร่างกายทำให้ทุกส่วนในร่างกายเกิดความเสื่อมโทรมขึ้นเพราะว่ากินยาความดับไปกดไว้ และยาที่กินเข้าไปนี้ก็จะเป็นพิษต่อตับ ไต และตัวยาเองก็เป็นพิษอยู่แล้วที่ไปกดสมองไว้ทำให้สมองเสื่อม กดหัวใจ หัวใจก็เสื่อม #เมื่อยาเขาไปในอวัยวะใดก็ทำให้อวัยวะนั้นเสื่อม เผาทำลายทุกอวัยวะให้เสื่อม ให้แย่ คนไข้ที่เป็นความดันโลหิตสูงจะมีการระบายพิษออกที่ไตมากที่สุด สังเกตได้จาก ปัจสาวะจะร้อนมาก นั้นคือความร้อนได้ระบายออกทางไตมาก และยาก็ระบายออกที่ไต เมื่อทุกอย่างระบายออกไปที่ไตสุดท้ายคนไข้ความดันโลหิตสูงก็จะไตวาย ในที่สุด แต่หากไตไม่วายเส้นเลือดในสมองก็จะแตก หรือร้ายกว่านั้นก็จะเป็นมะเร็งในที่สุด เพราะมะเร็งจะมีจุดเริ่มจากที่ร่างกายมีความร้อนสะสมนั้นเอง
#แพทย์วิถีพุทธจะแก้ด้วยการใส่ความเย็นเข้าไปเพื่อลดความร้อนในร่างกายโดยการปฏิบัติตัวตามหลักยา 9 เม็ด นั้นเอง เมื่อมีการถอนพิษร้อนออก ความร้อนเมื่ออยู่ในระดับที่พอดีสมองก็จะผ่อนคลาย หัวใจก็จะบีบตัวตามปรกติ ความดับก็จะเป็นปรกติ หากความดันเพิ่มสูงขึ้นจะทำให้สมองเสื่อมลงได้ เพราะว่าความดันที่เพิ่มขึ้นทุก 1 มิลิเมตรคือความเสื่อมของสมอง ระบบประสาท และหลอดเลือด ดร.ใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว) นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์วิถีธรรม วิชชาธิการบดี สถาบันวิชชาราม หมายเหตุ: 1.อัพเดทตารางกิจกรรมตารางกิจกรรม www.morkeaw.net ตารางค่ายแพทย์วิถีธรรม ประจำปี 2560 http://www.morkeaw.n...e-course60.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #526 เมื่อ: พฤษภาคม 22, 2017, 03:22:41 PM » |
|
#อาหารล้างพิษร้อน-ถอนพิษเร็ว อาหารสุขภาพหมอเขียวใครๆก็ทานได้ ๑. ดื่มน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น คุ้มครองเซลล์ หรือน้ำผักผลไม้ปั่น ฟื้นฟูเซลล์ ๒.ผลไม้ ฤทธิ์เย็น ๓.ผักสด กับส้มตำสุขภาพ ๔.ข้าวหุงถั่วเขียว ๕.ผักลวก ๗.เกลือ พริก กระเทียม (ปรับสมดุล ตามร่างกาย) ๘.น้ำแกงจืดล้างคอ เพจ อาหารสุขภาพหมอเขียวใครๆก็ทานได้ https://www.facebook.com/groups/morkeawfood/ หมายเหตุ: 1.อัพเดทตารางกิจกรรมตารางกิจกรรม www.morkeaw.net ตารางค่ายแพทย์วิถีธรรม ประจำปี 2560 http://www.morkeaw.net/k-table-course60.html — with พิมพ์เพชรบุญ เชื้้อสุวรรณ์.
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #527 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2017, 10:42:18 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #528 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2017, 06:00:04 AM » |
|
10 ความลับของอาหารที่คุณไม่ควรมองข้าม! คุณรู้จักอาหารที่ทานอยู่ทุกวันมากน้อยแค่ไหน? Wongnai ขอเปิดโปง 10 ความลับของอาหาร! ที่คุณเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต! โปรดตามมาดูกันชัดๆ ทีละข้อกันเลย!
WONGNAI.COM
10 ความลับของอาหารที่คุณไม่ควรมองข้าม!
คุณรู้จักอาหารที่ทานอยู่ทุกวันมากน้อยแค่ไหน? Wongnai ขอเปิดโปง 10 ความลับของอาหาร! ที่คุณเข้าใจผิดมาตลอดชีวิต! โปรดตามมาดูกันชัดๆ ทีละข้อกันเลย!
[Ad] · 10 พ.ค. 2017 · โดย จิ๋วหิวโซ
Wongnai พาคุณมาดูกันว่าความลับของอาหาร! ที่ถูกซุกซ่อนไว้ใต้คำโฆษณาอันเย้ายวน อาจทำให้หลายคนเข้าใจและบริโภคอาหารแบบผิดๆ แต่! วันนี้เราจะพามาล้วงความลับของอาหาร ว่าสิ่งที่เรารู้มาตลอดนั้นมันถูกหรือผิด? สไลด์หน้าจอตามมาดูกันที่ละข้อเลยดีกว่าค่ะ
1ดื่มน้ำอัดลมแบบไร้น้ำตาล ยิ่งอยากทานของหวานมากขึ้น!
การดื่มน้ำอัดลมที่ใช้น้ำตาลเทียมหรือสารให้ความหวาน ไม่ได้ช่วยในการไดเอต แต่กลับทำให้อยากทานของหวานมากขึ้น! เพราะยังไงสมองก็จะสั่งให้เราหาน้ำตาลจากแหล่งอาหารอย่างอื่นเพิ่มขึ้นอยู่ดี!
2 กินอาหารมื้อดึกยังไงก็อ้วน!
ไม่ว่าเราจะทานอาหารตอนไหน ยังไงปริมาณแคลอรีก็เท่าเดิม! คนที่ทานอาหารดึกๆ แล้วอ้วนขึ้น เป็นเพราะร่างกายได้รับปริมาณแคลอรีมากเกินว่าที่ร่างกายต้องการใน 1 วัน โดยประเภทอาหารที่คนส่วนใหญ่ทานกันในมื้อดึกก็มันจะเป็นขนมขบเคี้ยว ที่มีทั้งแคลอรีส่วนเกินที่ทำให้เราอ้วนขึ้น! แถมยังมีคุณค่าทางอาหารต่ำ! และปัญหาที่ตามมาของคนที่ทานอาหารดึกๆ คือ หลับไม่สบายเพราะมีอาการแน่นท้อง อาหารย่อยไม่ทัน หรือกรดไหลย้อน และผลสุดท้ายการนอนหลับไม่สนิทก็มีส่วนทำให้อ้วนได้อีกด้วย
3โยเกิร์ตช่วยทำให้พุงยุบ!
การพักผ่อนไม่เพียงพอและความเครียด จะทำให้แบคทีเรียในลำไส้ขาดสมดุลและทำลายระบบย่อยอาหารของเรา เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดแก๊สจนท้องป่อง ซึ่งโยเกิร์ตหรือนมที่มี Probiotics จะช่วยปรับให้ลำไส้มีสภาพที่เหมาะสม ทำให้มีการย่อยอาหารอย่างมีประสิทธิภาพ และยังทำให้แบคทีเรียที่ดีมีจำนวนมากขึ้น และลดจำนวนแบคทีเรียที่ไม่ดีลงได้อีกด้วย แค่ทานโยเกิร์ตก็ช่วยให้พุงยุบ เป็นสาวเอวเอสแล้วละค่ะ 4 ผลไม้สดกับผลไม้ปั่นพลังงานเท่ากัน! แต่ประโยชน์ต่างกัน!
ผลไม้สด 1 จานกับผลไม้ปั่น 1 แก้วให้พลังงาน 150 แคลอรีเท่ากันก็จริงค่ะ แต่ต่างกันที่ผลไม้สดเมื่อเราทานเข้าไป ร่างกายจะต้องใช้พลังงานเพิ่มขึ้น! เริ่มตั้งแต่การเคี้ยว การย่อย รวมทั้งการดูดซึม และยิ่งผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง ก็ต้องใช้พลังงานในการย่อยมากกว่าผลไม้ปั่นด้วยค่ะ แถมไม่ต้องเสี่ยงกับสารปรุงแต่งที่อยู่ในน้ำผลไม้ปั่นอีกด้วยนะ
5อาหาร Fat-free ควรอ่านฉลากก่อนซื้อ!
อาหาร Fat-free ไม่ใช่ Calorie-free นะคะ เพราะอาหารที่ไร้ไขมันก็มักจะไร้รสชาติและรสสัมผัส ซึ่งผู้ผลิตบางรายจึงเพิ่มความอร่อยด้วยการเติมส่วนประกอบอื่นๆ เข้าไปชดเชย เช่น น้ำตาล แป้ง เกลือ และสารเคมีต่างๆ สุดท้ายก็คือแคลอรีที่เพิ่มขึ้น แต่ก็มีบางยี่ห้อที่ Fat-free จริงๆ และไม่หลอกผู้บริโภค อย่างเช่น อาหารยี่ห้อออร์แกนิก ที่มักจะแอบอยู่มุมๆ ตู้เย็นในซูเปอร์มาร์เก็ตค่ะ ยังไงก็ควรอ่านฉลากก่อนซื้อให้ดี ระวังจะเป็นอาหาร Fat-free แบบปลอมๆ นะคะ 6ผักจากสวนสดกว่าผักในซูเปอร์!
ถ้าคิดว่าผักในซูเปอร์มาร์เก็ตจะสดและมีคุณค่าทางอาหารสูงกว่าผักการสวนที่เก็บสดๆ ใกล้บ้านล่ะก็ คุณคิดผิดค่ะ! เพราะกระบวนการในการขนส่ง การเก็บสินค้าเข้าสต็อก เป็นกระบวนการที่ทำให้อาหารสูญเสียคุณค่า แม้ภายนอกจะดูสด แต่การถูกตัดออกจากต้นในแปลงปลูกเป็นเวลานานๆ จะทำให้กระบวนการผลิตสารอาหารถูกยับยั้ง กว่าจะมาถึงมือผู้บริโภค สารอาหารบางอย่างก็ลดปริมาณลงไปพอสมควร ดังนั้นการเก็บผักจากสวนใกล้บ้านรับประทานก็ยังมีคุณค่ามากกว่าการเดินไปช็อปในห้างนะคะ
7‘No Trans Fat’ ไม่ได้แปลว่าไม่มีไขมัน!
ผลิตภัณฑ์อาหารที่แปะป้าย ‘No Trans Fat’ นั้น ตามกฎหมายการบริโภคสามารถมี Trans Fat ได้ในปริมาณ 0-0.5 กรัม นั่นหมายความว่า ‘No Trans Fat’ ไม่ได้มีความหมายตรงไปตรงมาตามที่ตาเห็นค่ะ และอาหารบางอย่างก็นำลูกเล่นนี้มาใช้กับผู้บริโภค ซึ่งไขมันทรานส์ที่พบในอาหารไม่ได้ปลอดภัยต่อสุขภาพของเราเอาเสียเลย!
8กาแฟ ‘Decaf’ มีคาเฟอีนผสมอยู่!
Decaffeinated Coffee หรือกาแฟที่ออกตัวว่าไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีน แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว กาแฟ Decaf ก็ยังมีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่ดี ซึ่งในกาแฟ Decaf เอสเพรสโซ่ 1 แก้ว สามารถมีคาเฟอีนได้มากถึง 16 มิลลิกรัม ส่วนในกาแฟ Decaf ลาเต้ที่ผสมจากเอสเพรสโซ 2 ช็อต จะมีปริมาณคาเฟอีนพอๆ กับน้ำอัดลมถึง 1 กระป๋องเลยทีเดียว
9น้ำอัดลมมีแคลอรีและน้ำตาลมากกว่าน้ำผลไม้!
น้ำแอปเปิ้ลขนาด 8 ออนซ์ ให้พลังงาน 115 แคลอรี เมื่อเทียบกับน้ำอัดลมมีพลังงานเพียง 95 แคลอรี และในน้ำองุ่น 1 แก้วมีประมาณน้ำตาล 9 กรัมเท่ากับน้ำอัดลม แต่น้ำตาลในน้ำผลไม้ก็เป็นน้ำตาลจากธรรมชาติ ไม่ใช่น้ำตาลสังเคราะห์เหมือนในน้ำอัดลมหรือน้ำหวานหลายชนิด หรือแม้แต่ชาเองก็มีปริมาณน้ำตาลมากว่าน้ำตาลที่มีอยู่ในผลไม้อีกด้วย
10ลดกรดในกระเพาะด้วยยาที่มีฤทธิ์เป็นด่าง!
เมื่อมีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย อาการแสบร้อนกลางอกทำให้เรื่องกินต้องสะดุด เพราะมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป! ต้องจัดการด้วยยาที่มีฤทธิ์เป็นด่างอย่าง ยาลดกรด ที่ช่วยลดกรดส่วนเกินในกระเพาะอาหาร จึงทำให้ฤทธิ์ของกรดในกระเพาะเจือจางลงและทำยังทำให้รู้สึกสบายท้องมากขึ้น! ช่วยทำให้อาการเหล่านี้มาเป็นอุปสรรคในการกินของเรา เพียงแค่ฉีกซองและเทลงในน้ำ ยกขึ้นดื่มไม่นานอาหารแน่นท้องก็หายไป!
ถ้ารู้ความลับของอาหารที่ Wongnai นำมาเสนอให้คุณรู้กันไปแล้ว! ต่อจากนี้ก็ไม่พลาดในการบริโภคอาหารแล้วล่ะ แถมยังไม่ต้องกังวลในเรื่องการกินอีกต่อไป ทำให้เราสนุกกับการกินอย่างฉลาดมากยิ่งขึ้น ถึงแม้จะจัดเต็มกันจนแน่นท้องเราก็ไม่กลัว เพราะมียา บรรเทาอาการแน่นท้อง ท้องอืด ด้วยยาลดกรด จัดเต็มยังไงก็ไม่อึดอัดแล้วล่ะค่ะ อ่านต่อได้ที่ https://www.wongnai....out-food?ref=ct
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #529 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2017, 06:00:53 AM » |
|
การดูแลโรคท้องอืดเบื้องต้นด้วยตนเอง
จากสาเหตุต่างๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว ถ้าพบต้นเหตุและสามารถขจัดหรือหลีกเลี่ยงเสียได้ อาการท้อง อืดก็จะทุเลาหรือหายได้ ซึ่งมีวิธีการดูแลรักษาง่ายๆ ดังนี้ 1. การหลีกเลี่ยงสาเหตุ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินอาหาร ด้วยการรักษาสุขลักษณะการกินอาหารที่ดี เริ่มตั้งแต่การเลือกชนิดของอาหารที่ไม่มีปัญหาเรื่องท้องอืด อุปนิสัยการกินอาหาร และหลีกเลี่ยงการกินลม เช่น o ควรหลีกเลี่ยงการกินอาหารผิดเวลา ด้วยการกินอาหารให้ตรงเวลา o หลีกเลี่ยงการกินอาหารรสจัด มีไขมันสูง ย่อยยาก มีกากใยมากๆ นม เนย และประเภทโปรตีนสูง o หลีกเลี่ยงการ " รีบกิน" การรีบเร่งกินอาหาร หรือเคี้ยวไม่ละเอียด ด้วยการกินช้าๆ พร้อมทั้งเคี้ยวและคลุกเคล้าอาหารให้เข้ากันดี ก่อนกลืนอาหาร o ไม่ควรกินอาหารจนอิ่มมากเกินไป ควรลดปริมาณอาหารแต่ละมื้อลง และแบ่งเป็นมื้อย่อยๆ แต่กินบ่อยๆ แทนl หลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ ไม่ควรนอนราบทันที เพราะการนอนราบ ส่งผลให้ระดับของกระเพาะอาหารและหลอดอาหารจะอยู่ในระนาบเดียวกัน และอาจทำให้ กรดไหลจากกระเพาะอาหารย้อนกลับเข้าสู่หลอดอาหาร ได้ เกิดการระคายเคือง และหลอดอาหารอักเสบได้ o หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เหล้า เบียร์ น้ำอัดลม โซดา เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน (กาแฟ ชา) และ "การกินหรือกลืนลมลงท้อง " เช่น การพูดมากๆ การกลืน น้ำลายบ่อยๆ การเคี้ยวหมากฝรั่ง การดูดลูกอมหรืออมยิ้ม การดูดนม ของเหลว หรือน้ำผ่านหลอด การดื่มน้ำจากขวดปากแคบ ด้วยการดื่มน้ำจากแก้วแทนการใช้หลอดดูด o หลีกเลี่ยงการใช้ยากลุ่ม NSAIDs (เอ็นเสด) ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้ยากลุ่มนี้ ควรปรึกษาแพทย์นอกจากนี้ ควรรักษาสุขภาวะที่ดี ด้วยการออกกำลังกาย ผ่อนคลายความตึงเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
2. ยาขับลม แก้ท้องอืดยาที่ใช้รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ มีมากมาย เช่น ยาธาตุน้ำแดง ยาธาตุน้ำขาว ยาขับลม ไดเมทิโคน ไซเมทิโคน ก๊าสเนป ยาลดกรด โซดามิ้นต์ เมโทรโคลพาไมด์ ดอมเพอริโดน เป็นต้น ยาเหล่านี้จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ได้ผลดี
3. สมุนไพรไทยสมุนไพรไทยหลายชนิด ซึ่งรวมถึง " ยาหอม " จะช่วยบรรเทาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ได้ผลดี เช่น ขิง น้ำขิง ขมิ้นชัน กานพลู ชะพลู พริกไทย กะเพรา ดีปลี กระเทียม เปล้าน้อย ลูกกระวาน เกล็ดสะระแหน่ เป็นต้น
ยาขับลม แก้ท้องอืดแก๊สในกระเพาะ - บทความสุขภาพ โดยมูลนิธิหมอชาวบ้าน อ่านบทความเต็ม
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #531 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2018, 01:37:14 PM » |
|
วิตามินซี มีคุณสมบัติต่อต้านอนุมูลอิสระร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้เอง แต่ได้จากผักและผลไม้ วิตามินซีนี้มีความสำคัญดังนี้ 1. ช่วยในการสร้างคอลลาเจน ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่เป็นส่วนประกอบของกระดูก กระดูกอ่อน กล้ามเนื้อ และหลอดเลือด 2. ช่วยรักษาหลอดเลือดฝอย กระดูก และฟันให้แข็งแรง 3. ช่วยในกระบวนการสมานแผลให้หายได้เร็ว 4. ช่วยในการสร้างสารสำคัญในร่างกายของเรา เช่น อีพิเนฟริน คอร์ติโคสตีรอยด์ เป็นต้น นอกจากนี้ วิตามินซียังช่วยให้การดูดซึมของธาตุเหล็กจากทางเดินอาหารได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย รายละเอียด :>> http://bit.ly/WIGoUd
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #532 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2018, 01:42:54 PM » |
|
Report post Posted February 14 หมอเขียว แฟนคลับ shared หมอเขียว-ตอบปัญหากายใจ ๒'s photo. 13 hrs · หมอเขียว-ตอบปัญหากายใจ ๒Like Page 18 May 2017 · คำตอบที่ ๖๑ #โรคมะเร็ง คนตายด้วยโรคมะเร็งเป็นอันดับ 1 ของโลกรวมทั้งประเทศไทยด้วย แม้กระทั่งแพทย์เองหากเป็นโรคมะเร็งส่วนใหญ่ก็ตายเหมือนกัน แต่ก็เป็นที่น่าประหลาดใจว่า ผู้ป่วยมะเร็งส่วนใหญ่ทั่วไป ไม่ได้ฉุกคิดว่า แพทย์เองนั้นเมื่อเป็นมะเร็ง ส่วนใหญ่ก็ยังเอาตัวเองไม่รอด แก้ปัญหาตัวเองยังไม่ได้ ตายด้วยมะเร็งเช่นเดียวกับประชาชน แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังไปรักษากับคนที่เมื่อเขาเป็นมะเร็งแล้ว เขาก็ยังรักษาตัวเองไม่หาย
#สาเหตุที่แพทย์แผนปัจจุบันหรือผู้ป่วยมะเร็งไม่สามารถรักษาโรคนี้ให้หายได้ เพราะว่ายังไม่รู้จักโรคนี้อย่างถ่องแท้ จึงทำให้ไม่สามารถรักษาโรคนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ถ้าหากมีความใจกว้างที่จะศึกษาเรียนรู้ข้อมูลข้อคิดเห็นจากศาสตร์อื่นเพิ่มเติมก็จะเข้าใจมะเร็งได้ชัดขึ้น
#มะเร็งเกิดได้อย่างไร ตามหลักการแพทย์ทางเลือกวิถีพุทธ (บุญนิยม) เชื่อว่า มะเร็งเกิดจากความไม่สมดุล และยุคนี้ส่วนใหญ่ เป็นความไม่สมดุลแบบร้อนเกินด้วย ต้นเหตุ ๙ สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดทุกโรค รวมถึงมะเร็งด้วย ได้แก่
1 มีความเครียด 2 กินอาหารไม่ถูกหลัก 3 กายบริหารไม่ถูกต้อง 4 รับแต่มลพิษ 5 แก้พิษไม่เป็น สัมผัสเครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องอิเลกทรอนิกส์ เกินความสมดุล
#สิ่งเหล่านี้ก็จะทำให้เกิดสภาวะร้อนเกินในร่างกายเมื่อมีความร้อนเกิดขึ้นก็มีกลไกลอยู่ตัวหนึ่ง คือเมื่อมีความร้อนอยู่มาก ๆ ก็จะมีการเผาเนื้อเยื้อให้แข็ง แข็งคล้ายๆ กับเนื้อที่เราเอาไปต้ม หรือเอาไปย่าง เนื้อต่างๆ เมื่อโดนความร้อนจะมีความแข็งขึ้น จากเนื้อนิ่มๆ เมื่อโดนความร้อนก็จะแข็งขึ้น โดยสัจจะเมื่อมันแข็งขึ้น เมื่อมันเผาถึงรอบหนึ่งเลือดลมก็จะไม่สามารถเข้าไปเลี้ยงเซลล์ไม่ได้ อาหารเข้าไม่ได้ ของเสียออกไม่ได้เซลล์ตัวนั้นก็จะแข็งแล้วก็ตาย พอเซลล์จะเริ่มเสื่อมแล้วก็ตายก็จะไม่สามารถทำหน้าที่ได้
#เพราะเลือดไม่สามารถไหลเวียนได้ เมื่อไหลเวียนไม่ได้ร่างกายก็จะมีกลไกผลิตเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาแทนพอผลิตเซลล์ใหม่ขึ้นมาแทนที่ แต่ความร้อนก็ยังอยู่เหมือนเก่า ในเมื่อความร้อนยังอยู่เหมือนเดิมเซลล์ที่ผลิตขึ้นมาใหม่ๆ ยังไม่ทันแข็งแรงดีก็จะถูกเผาให้แข็งอีก และถูกแปะไว้อีก ด้วยความร้อนที่มีอยู่พอถูกเผาก็แข็งแปะไว้อีกร่างกายก็จะผลิตเนื้อเยื้อใหม่ขึ้นมาแทนอีก ซ้ำแล้วซ้ำอีก อยู่อย่างนี้ก็ทำให้เนื้อเยื้อตรงจุดเดิมมีการงอกออกมาเรื่อยๆ โตขึ้นๆ จึงกลายเป็นเนื้องอก
#แต่ถ้ามันงอกไม่หยุดงอกอยู่ตลอดเวลาจนกลายเป็นมะเร็ง หรือใครที่กินอาหารร้อนๆ แต่ร่างกายทำการขับความร้อนออกไปไม่หมดความร้อนนั้นก็จะไปกองกันนานเข้าๆ ก็จะกลายเป็นมะเร็ง ของผัดของทอดจะเป็นอาหารที่ทำให้เกิดมะเร็งได้ดีมากทีเดียว คนที่ไม่มีความสมดุลในร่างกายมีแต่การซับพิษเข้าร่างกายตลอดเวลาก็จะทำให้มีก้อนตามที่ต่างๆ ตามร่างกาย แต่ถ้าเราไม่เครียดไม่เร่งผลมากจนเกินไปและเร่งภาคเพียรปฏิบัติ การหายก็จะเร็วขึ้น ก้อนต่างๆ
#เกิดขึ้นมาจากเหตุปัจจัย 2 ปัจจัย คือ
1. ธาตุอาหารที่ร่างกายไม่รับแล้วร่างกายก็จะทำการขับสิ่งเหล่านี้ไปกองไว้ที่ใดที่หนึ่งทำให้เกิดการเผาให้แข็ง 2. เนื้อเยื่อที่มันแข็งตาย การที่มีไขมันเกินในร่างกายมากจนร่างกายขับไขมันเหล่านั้นไปกองอยู่ในร่างกายที่ใดที่หนึ่งก็จะกลายเป็นก้อนมะเร็งได้ #พ่อท่านเล่าให้ฟังว่าจริงแล้ว ร่างกายมนุษย์ประกอบด้วย อุตุ พีชะ จิตตะ กรรมมะ ชีวิตมนุษย์นี้ประกอบด้วย 5 ส่วน แต่ส่วนที่เป็นร่างกายนี้มันคือพีชะ โดยธรรมชาติของพืชก็จะรับเอาสารที่มันต้องการเท่านั้นส่วนสารที่มันไม่ต้องการก็จะไม่เอา หากเราใส่สิ่งที่มันต้องการเข้าไปมันก็จะรับแล้วดูดเข้าไป แต่สารบางอย่างที่ มันไม่ต้องการก็จะไม่ดูดไม่รับเข้าไป
#ซึ่งสิ่งที่มันไม่ต้องการก็จะค้างเอาไว้และขับออก ๆ ไปกองเอาไว้ที่ใดที่หนึ่ง เมื่อมีมากขึ้นก็ทำให้เลือดลมไหลเวียนไม่สะดวกและไปเบียดเนื้อเยื่อ ก็เลยทำให้เนื้อเยื้อนั้นตาย ทำให้ร่างกายผลิตเนื้อเยื่อใหม่ขึ้นมาแทน เซลล์มะเร็งเกินขึ้นจาก 2 สาเหตุหลักๆ คือ การที่เรามีธาตุอาหารที่ร่างกายไม่รับมีมากจนเกินไปแล้วกองรวมกันไม่สามารถถ่ายเทออกได้ และ เนื้อเยื้อที่มันแข็งตาย ที่ถูกเผาตายอยู่เรื่อยๆ กองรวมกัน นานๆ เข้าก็จะทำให้กลายเป็นมะเร็ง
#ส่วนมะเร็งอีกแบบหนึ่งคือร่างกายร้อนมากแล้วต่างกายไม่สามารถผลิตเนื้อเยื้อขึ้นมาแทนได้ความร้อนนั้นได้เผาเนื้อเยื้อนั้นให้เปื่อยจนเน่าไปเรื่อยๆ จนเหม็น
#มะเร็งอีกแบบหนึ่งคือ ความร้อนได้เผาเนื้อเยื่อนั้นให้ผิดรูปไปก็จะเป็นมะเร็งอีกแบบหนึ่ง
#แต่การแก้ก็เหมือนกันทั้งสิ้นนั้นก็คือการที่ต้องถอนพิษร้อนนั้นออก ด้วยยา 9 เม็ดตามแบบแพทย์วิถีพุทธ หากเราถอนพิษร้อนด้วยยา 9 เม็ด อะไรจะเกิดขึ้น สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือว่าเช่นเรากินน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็น หรือการกินอาหารที่มีฤทธิ์เย็น อะไรต่างๆ แต่หลักการใหญ่ที่เรารู้ก็คือร่างกายมีความร้อนมากเกินไป
#เราก็ใส่ความเย็นเข้าไปเพื่อที่จะไปลดความร้อนลงสิ่งที่จะเกิดขึ้น คือร่างกายเย็นลงเช่นหากเรากินน้ำสมุนไพรฤทธิ์เย็นเข้าไปความเย็นก็จะเคลื่อนเข้าไปที่เซลล์ความร้อนก็จะเคลื่อนออกมาตามหลักการเคลื่อนของพลังงาน ทำให้เซลล์เย็นลงมันจะเกิดผลอยู่ 3 เรื่อง คือ 1. เซลล์เย็นลง 2 .เซลล์จะอ่อนตัวจากเซลล์ที่แข็งมันจะอ่อนตัวลงเป็นไปตามสัจจะของมัน เช่นหากเราทำงานมากๆ กล้ามเนื้อก็จะร้อนแข็งแกร่งค้างร้อน หรือหากเรามีความเครียดมากๆ จะเห็นได้ว่าบริเวณบ่า และคอ มีความแข็งก็เพราะความร้อนเผานั้นเอง #แต่พอเราผ่อนคลายไม่เครียดความตึงแข็งต่าง ๆ ก็จะลดลง คลายตัวลง 3. เม็ดเลือดขาวจะแข็งแรงขี้นเพราะว่าเม็ดเลือดขาวนั้นไม่ถูกความร้อนเผาก็จะแข็งแรงขึ้น เมื่อใดที่เม็ดเลือดขาวแข็งแรงมันก็จะไปโอบสลายเซลล์มะเร็งซึ่งเป็นหน้าที่หลักของเม็ดเลือกขาวในการสลายเชื้อโรค สลายเซลล์มะเร็ง อยู่แล้วที่จะทำลายสิ่งแปลกปลอมในร่างกาย โดยขบวนการฟาโตซีส เม็ดเลือดขาวที่เรียกว่าแมคโครฟาด
#โดยการเข้าไปโอบเซลล์มะเร็งแล้วหลั่งสารทำลายเซลล์มะเร็งออกมาแล้วส่งเซลล์เหล่านั้นโดยแปรสภาพเป็น ของเสียต่างๆ เช่นเป็นน้ำเมือก เป็นน้ำเหลือง เป็นขี้ไคล เป็นอุจจาระ เป็นปัสสาวะ ขี้หู ขี้ตา ขี้จมูก ขี้ปาก ทุกๆ อย่าง ในร่างกาย ทางระบายพิษปกติของร่างกาย จะระบายสารพัดทิศทางที่สามารถระบายได้ พอพิษสามารถระบายออกได้เซลล์มะเร็งก็จะเล็กลงๆ สุดท้ายมะเร็งก็หายไปในที่สุด
#เราจึงพบคนไข้มากมายที่มารักษาในแบบนี้พบว่าเนื้อที่เป็นก้อนแข็ง ๆ จะอ่อนตัวลง ยุบตัวลงเล็กลงจากก้อนแข็งๆ มันอ่อนตัวลง มันยุบลงเราเจอคนไข้จำนวนมากที่ปฏิบัติตัวแล้วเกิดผลทีดีขึ้น ภายในระยะเวลา 5 วันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงให้เห็นได้จึงทำให้เราพบว่ามะเร็งสามารถทำให้หายได้หากคุณทำได้ถูกต้อง
#บางท่านอาจสงสัยว่าก่อนที่จะมารักษาเหตุใดเม็ดเลือดขาวถึงไม่ไปกินเซลล์มะเร็ง ก็จะมีเหตุผลอยู่ 3 เรื่อง 1 ร่างกายร้อน 2 เนื้อเยื้อมีความแข็งมากเกินไป 3 ตัวเม็ดเลือดขาวเองก็ไม่แข็งแรงพอที่จะทำการโอบสลายเซลล์มะเร็งเพราะโดนความร้อนเผาอยู่ตลอดเวลาจึงทำให้ไม่มีกำลังพอที่สลายอะไรได้ #ส่วนจะเร็วจะช้าก็ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนั้น ๆ หากปฏิบัติได้ดีมากก็จะหายเร็วมาก มากปฏิบัติได้เท่าไหร่ก็จะหายเร็วเท่านั้น โดยปกติหมอแผนปัจจุบันไม่รู้วิธีที่จะทำให้เม็ดเลือดขาวแข็งแรง โดยที่หมอแผนปัจจุบันก็ทราบว่าเม็ดเลือดขาวเป็นตัวกินเซลล์มะเร็ง แต่แพทย์แผนพุทธรู้วิธีนี้ จึงทำให้สามารถรักษาโรคมะเร็งได้ #การแก้ไขโรคมะเร็งตามแนวทางของแพทย์แผนปัจจุบันคือการผ่าตัด การทำเคมีบำบัด
# การผ่าตัดคือการผ่าตัดเอาเนื้อส่วนที่เป็นมะเร็งออกไป แต่ก้อนมะเร็งไม่ได้เป็นต้นเหตุของมะเร็ง แต่ต้นเหตุของมะเร็งนั้นคือพฤติกรรมการก่อมะเร็ง เพราะฉะนั้นหากมีการตัดเนื้อส่วนที่เป็นมะเร็งออกมะเร็งก็จะกลับมาโดยค่าเฉลี่ยภายในระยะเวลา 5 ปี หลังจากที่คุณตัดเนื้อส่วนนั้นไป นี้คือค่าเฉลี่ยนของหมอแผนปัจจุบันที่มีการเก็บข้อมูลกันมา แต่ปัจจุบันนี้มะเร็งจะกลับมาเร็วกว่า 5 ปี ด้วยซ้ำไป เมื่อตัดออกไปแล้วหมอมักจะให้คนไข้กินอาหารบำรุงร่างกายมากๆ ซึ่งนี้ก็ยิ่งทำให้มะเร็งกลับมาเร็วขึ้นไปอีก
#- การฉายแสง เขาจะตีกรอบและฉายแสงลงไป โดยใช้แสงกัมมันตภาพรังสี กัมมันตภาพรังสีส่วนใหญ่จะใช้ในการทำระเบิดปรมาณู แต่มีการนำแสงชนิดนี้มาฆ่าเซลล์มะเร็งเมื่อมีการฉายแสงลงไปเซลล์มะเร็วก็จะตายอย่างแน่นอนแต่พลังงานความร้อนมันไม่ได้อยู่กับที่โดยหลักปฏิบัติพลังงานความร้อนจะกระจายไปทั่วโดยคนไข้จะมีอาการออกร้อนไปทั้งตัว ปากเปื่อย ปากพอง ปวดท้องคลื่นไส้ อาเจียน เวียนหัว ผมร่วง ดำไปทั้งตัว ไหม้ไปทั้งตัว
#นั้นแปลว่าความร้อนได้ขยายไปทั่งทั้งร่ายกาย แต่แพทย์พยามบอกกับคนไข้ความมีการตีกรอบในการฉายแสงเอาไว้แล้ว ซึ่งนั้นไม่เป็นความจริงเลยโดยแพทย์และพยาบาลเองเมื่อเตรียมตัวจะฉายแสงก็จะหาที่หลบเพื่อไม่ให้ตัวเองโดนแสงนั้นๆ หากแสงนั้นไม่กระจายจริงอย่างที่แพทย์บอกทำไมทั้งแพทย์และพยาบาลไม่ยืนอยู่เป็นเพื่อนคนไข้ด้วยกัน #เพราะแพทย์เองก็ทราบว่าแสงนั้นไม่อยู่กับที่มันจะกระจายไปทั่วบริเวณ และกระจายไปทั่วตัวคนไข้ด้วยเช่นกัน ในศูนย์มะเร็งจะเต็มไปด้วยแสงที่เป็นอันตราย แม้กระทั้งเจ้าหน้าที่ศูนย์มะเร็งเองก็ป่วยเยอะมากป่วยด้วยโรคที่มีมีสภาวะร้อนเกินเช่น ป่วยเป็นโรคเบาหวาน ความดัน มะเร็ง หรือไทรอยด์เป็นพิษ เป็นต้น
#- การทำเคมีบำบัด คือการฉีดสารพิษเข้าไป ซึ่งสารพิษนั้นมีฤทธิ์ร้อน ซึ่งมีฤทธิ์ร้อนมากขนาดทำให้เส้นเลือดไหม้จนดำ ออกร้อนตามเนื้อตัว บางคนออกอาการปากเปื่อย ผอม ผมร่วง คลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว ดำไหม้ไปทั้งตัว สารพัดที่จะทรมาน ทุรนทุราย เกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ เป็นเช่นนั้น มันร้อนมากเพราะเขาหมายต้องการฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย ใช้ความร้อนมากขนาดนี้ โดยมีการออกกฎ ระเบียบมาว่า ห้ามให้คนผสมยานั้น เป็นผู้ฉีดยา ต้องแบ่งกันทำงาน
#โดยมีคนหนึ่งผสมยา และมีอีกคนหนึ่งเป็นผู้ฉีดยา เพื่อว่าจะได้มีการกระจายพิษกันออกไป คนละเล็กคนละน้อย แต่คนที่ได้รับพิษมากที่สุดก็คือคนที่โดนฉีดยา โดยแพทย์หมายที่จะนำความร้อนนั้นไปฆ่าเซลล์มะเร็งให้ตาย แต่คุณคิดหรือไม่ว่า พลังงานหรือยาที่เข้าไปจะเข้าไปฆ่าแต่เฉพาะเซลล์มะเร็งอย่างเดียว ความจริงก็คือ มันเข้าไปทำลายทุกเซลล์ด้วย โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาว
#เซลล์เม็ดเลือดขาวจะลดลงมากมาย ตายเกือบหมด และจะเกิดอะไรขึ้นสำหรับคนที่ฉายแสงและทำเคมีบำบัด แสงและเคมีบำบัดมันร้อนมากร้อนขนาดอย่างที่ว่าสามารถทำให้คนตายได้ บางครั้งการฉีดยาครั้งเดียวก็สามารถทำให้คนตายได้ในบางคน หรือร้อนขนาดที่นำมาทำระเบิดฆ่าคนให้ตายได้หลายล้านคนในเวลาเดียวแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือ จะเกิดมะเร็งใหม่ที่ร้ายกว่าเกิดในอีกไม่นาน
#หลังจากที่คุณฉายแสงและเคมีบำบัดเพราะว่าพิษร้อนที่ใส่เข้าไปใหม่นั้น ที่หมายจะฆ่าเซลล์มะเร็งนั้นให้ตายเป็นพิษร้อนที่ดุร้ายยิ่งกว่าพิษที่ก่อให้เกิดมะเร็งเสียอีก ร้ายกว่าเดิมหลายหมื่นเท่าก็ว่าได้ เพราะว่าการกินอาหารเป็นพิษนั้นไม่ได้ทำให้ตายในทันที แต่การโดยเคมีนั้นสามารถทำให้ตายได้ในทันที เพราะฉะนั้นมะเร็งที่จะเกิดขึ้นใหม่ก็จะร้ายกว่าเกิดเพราะพิษที่ใส่เข้าไปนั้นร้ายกว่าเกินหลายเท่าตัว #และอีกอย่างหนึ่งพิษเก่าที่มีอยู่ก็ไม่ได้มีการแก้ไข หนำซ้ำยังมีการเพิ่มพิษใหม่เข้าไปอีก และพฤติกรรมก็มีการทำอยู่เหมือนเก่า ทำให้มีการเกิดพิษขึ้นเป็น 2 เท่า ถามว่าทำไมถึงเกิดมะเร็งใหม่ ก็เพราะว่า 1 ต้นเหตุที่ทำให้เกิดมันร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม 2 เม็ดเลือดขาวมันถูกฆ่าจากการทำเคมีบำบัดและฉายแสง ซึ่งเม็ดเลือดขาวมีหน้าที่กินเชื้อโรคในร่างกาย กินเซลล์มะเร็ง
#คุณต้องการรักษามะเร็งแต่ตัวคุณกลับไปฆ่าสิ่งที่รักษาตัวที่สามารถฆ่าเซลล์มะเร็ง แล้ว จะถือเป็นการรักษาได้อย่างไร แม้กระทั่งตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ยังไม่สามารถอธิบายได้ การผ่าตัดยังพอรับได้เพราะไม่มีการใส่พิษเพิ่มเข้าไปในร่างกาย 3 ทำให้เซลล์ต่างๆ ในต่างกายตายไปด้วย เพราะการฉีดยาเข้าไปได้มีการทำลายเซลล์ในร่างการเพิ่มขึ้น
#เมื่อเซลล์หลายส่วนในร่างกายตายลงไป ธรรมชาติของเซลล์ ร่างกายมนุษย์เวลามันตายไปก็จะมีเม็ดเลือดขาวคอยทำลายเซลล์ที่ตาย เพราะฉะนั้นร่างกายมนุษย์ทุกคนนั้นมีเซลล์มะเร็งอยู่แล้ว เซลล์ของคนเรานั้นผิดปรกติอยู่ตลอดเวลา หากคนเรามีเม็ดเลือดขาวที่ไม่แข็งแรงแล้วไซ้มะเร็งก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคน #แต่ในกรณีนี้มันต่างกันเพราะเซลล์ได้มีการถูกทำลายโดยเคมี เมื่อเซลล์หลายส่วนในร่างกายตายลงก็ไม่มีเม็ดเลือดขาวไปกินมะเร็ง มะเร็งใหม่ที่เกิดจากการเผาของเคมีที่ผิดรูปกว่าเดิมเม็ดเลือดขาวก็มีมีปัญญาไปกินก็เลยทำให้มะเร็วแบบเดิมที่มีอยู่ก่อนแล้วก็ยังคงอยู่ที่เพิ่มมะเร็งใหม่ ขึ้นมาอีก ทำให้รักษายากที่สุด หรือไม่สามารถรักษาได้อีกเลย
ดร.ใจเพชร กล้าจน(หมอเขียว) นักวิชาการสาธารณสุขชำนาญการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์วิถีธรรม วิชชาธิการบดี สถาบันวิชชาราม หมายเหตุ: 1.อัพเดทตารางกิจกรรมตารางกิจกรรม www.morkeaw.net ตารางค่ายแพทย์วิถีธรรม ประจำปี 2560 http://www.morkeaw.net/k-table-course60.html
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #533 เมื่อ: พฤษภาคม 04, 2018, 11:15:59 AM » |
|
สุดยอดวิธียืดอายุ 10 อวัยวะ ทำด่วน เราเคยชินกับความรู้ที่ว่า อวัยวะจะเสื่อมไปตามกาลเวลา วิธียืดอายุอวัยวะมีร้อยแปดพันประการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ ดร.โรแนน แฟคโทรา แห่งสถาบันการแพทย์ Cleveland Clinic ประเทศอเมริกา เด็ดยอดวิธียืดอายุอวัยวะต่างๆไว้ในนิตยสาร Timesดังนี้
1.สมอง
Fact: หลังอายุ 70 ปี จะเริ่มพบความผิดปกติที่เกิดจากความเสื่อมของสมอง ซึ่งมักเกิด้นอย่างช้าๆไม่ได้เกิดขึ้นฉับพลันในคราวเดียว
How-to (1)นิวโรเบิกส์ เอ็กเซอร์ไซส์ (Neurobics Exercise)หรือการทำกิจกรรมที่ต้องใช้มือทั้ง 2 ข้าง ทำงานประสานกัน เช่น ทำสวน เย็บผ้า ทำกับข้าว ช่วยให้สมองทั้งซีกซ้ายและขวาได้รับการกระตุ้นและทำงานไปพร้อมกัน (2)กินปลาทะเล ถั่วเปลือกแข็ง และธัญพืช แหล่งสุดยอดอาหารบำรุงเป็นประจำ (3)ฝึกเจริญสติก่อนนอน ใช้วิธีกำหนดรู้ลมหายใจ เช้าออก จนกว่าจะหลับ ช่วยลดความเครียดและทำให้สมองปลอดโปร่งในวันรุ่งขึ้น
2.ดวงตา
Fact: หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆปี ดวงตา จอประสาทตา เลนส์จะเสื่อมลง ในอัตราที่ไม่สม่ำเสมอ ขึ้นอยู่กับรูปแบบกิจกรรมในการใช้ชีวิตประจำวัน
How-to: (1)สวมแว่นกันแดด ก่อนทำกิจกรรมกลางแจ้งทุกครั้ง (2)ผู้ที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์ ควรพักสายตา ทุกๆ 45 นาที อย่างน้อย 5 - 10 นาที (3)งดใช้โทรศัพท์มือถือหรือแท็บแล็ตก่อนนอน
3.หู
Fact: หลังอายุ 60 ปี การได้ยินจะค่อยๆลดลงทุกปี และทุกๆ 1 ใน 3 คนมีปัญหาเรื่องการได้ยินเมื่อเข้าสู่วัยนี้
How-to: (1)หลีกเลี่ยงการทำงานหรืออาศัยอยู่ในที่ๆมีเสียงดัง หากจำเป็นต้องใส่เครื่องป้องกัน (2)งดสั่งน้ำมูกแรงๆ หรือ กลั้นจาม เพราะอาจทำให้เยื่อแก้หูมีปัญหา (3)งดแคะหูเอง เพราะขี้หูเป็นขี้ผึ้งรักษาความชุ่มชื้นตามธรรมชาติ การแคะหูทำให้เกิดการอักแสบและเยื่อแก้วหูฉีกขาดได้
4.ปอด
Fact: หลังอายุ 30 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆปี ประสิทธิภาพการทำงานของปอดจะลดลงราวร้อยละ 1
How-to: (1)ว่ายน้ำ หรือ วิ่ง อย่างน้อยวันละ 45 นาที - 1 ชั่วโมง (2)ใช้สมุนไทยปรับธาตุ จิบยาตรีผลา ก่อนอาหารเช้า-เย็น ครั้งละ 1 แก้ว มีสรรพคุณช่วยปรับธาตุ บำรุงปอด แก้ไอ ลดเสมหะได้ (3)หลีกเลี่ยง ควันธูป ควันจากการประกอบอาหาร ฝุ่นขนาดเล็ก และสารเคมีที่มีไอระเหยต่างๆ
5.หัวใจ
Fact: หลังอายุ65 ปี จะเริ่มมีโอกาศเป็นโรคหัวใจ เนื่องจากกล้ามเนื้อหัวใจที่ลดลงสวนทางกับอัตราการหนาของผนังหัวใจที่เพิ่มขึ้นเมื่ออายุ 20 - 30 ปี เฉลี่ยทุกๆ 10 ปี อัตราการสูบฉีดโลหิตสูงสุดจะลดลงราวร้อยละ 10
How-to (1)งดอาหารหวาน มัน เค็ม รักษาตวามดันโลหิตและน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ (2)ว่ายน้ำ เดิน วิ่ง โยคะ ร่วมถึงการยกน้ำหนัก ช่วยให้หัวใจทำงานอย่างต่อเนื่อง กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง (3)ปลูกต้นไม้ ไปทำกิจกรรมในสวนสาธารณะ หรือมีสวัตว์เลี้ยง ผู้ที่มีงานอดิเรกเหล่านี้ มีความเสี่ยงโรคหัวใจน้อยกว่าคนทั่วไป
6.ไต
Fact: หลังอายุ 50 ปี ไตจะเริ่มเสื่อมลงที่ละน้อยๆ จนคุณแทบไม่รู้สึก
How-to (1)ดื่มน้ำให้เพียงพอ สถาบันการแพทย์แห่งสหรัฐอเมริกา (Institute of Medicine:IOM) ระบุว่า ผู้ชายอายุ 19 ปีขึ้นไปต้องดื่มน้ำถึง 13 แก้วต่อวัน ขณะที่ผู้หญิงวัยเดียวกันต้องการน้ำวันละ 9 แก้ว (2)งดปรุงแต่งรสอาหารโดยไม่จำเป็น ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล เกลือ หรือซอสต่างๆ (3)ควบคุมน้ำหนักตัว และความดันโลหิตไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐาน
7.ลำไส้
Fact: หลังอายุ 60 ปี ปุ่มเล็กๆ ที่ทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารได้น้อยลงตามวัยไปด้วย
How-to (1)ย่อยง่าย กินปลา ถั่ว เห็ด รวมถึงผักผลไม้ให้มากขึ้น หลีกเลี่ยงอาหารทอด (2)กินโยเกิร์ต 1 ถ้วยทุกวัน เสริมโปรไบโอติก เพิ่มแบคทีเรียดีในลำไส้ (3) ฝึกโยคะ 4 ท่า ช่วยระบบย่อยทุกเช้าหลังตื่นนอน ดังนี้ ท่าแมว ท่าสุขนัข ท่าสามเหลี่ยม ท่าสะพาน และปิกท้ายด้วยท่าพักศพ ครั้งละ 3-5 ลมหายใจ แต่ละท่าทำ 5 ครั้ง นับเป็น 1 เช็ต
8.ผิวหนัง
Fact: หลังอายุ 18 ปี ต่อจากนั้น ทุกๆปี คอลลาเจนและอิลาสตินในผิวหนังจะลดลงประมาณร้อยละ 1
How-to (1)ทาครีมกันแดด ที่มีส่วนผสมของ ไทเทเนียมหรือสังกะสีเป็นประจำ (2)กินถั่วเปลือกแข็ง ผลไม้ตระกูลส้ม และเบอร์รี่เป็นประจำ (3)มาร์คหน้าด้วย โยเกิร์ตผสมข้าวโอ๊ต หรือใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้ เพื่อฟื้นฟูผิวหลังออกแดดเสมอ
9.กระดูก
Fact: หลังอายุ 35 ปี ต่อจากนั้นทุกๆ ปี ความหนาแน่นของมวลกระดูกจะลดลงราวร้อยละ 1 และจะมีอัตราลดลงเร็วขึ้นเมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำดือน(ในเพศหญิง)
็How-to (1)ยกน้ำหนัก หรือ กระโดดขึ้น-ลง วันละ 20 ครั้ง วันละ 2 เซ็ต (2)เพิ่มเมนูไทยๆ เปี่ยมแคลเซียม เช่น น้ำพริกกะปิปลาทูทอดกับผักสด อย่างน้อย 3-4 มื้อต่อสัปดาห์ (3)ระวังการใช้ยาสเตียรอย์และยาลูกกลอนที่มีผลทำให้กระดูกพรุน
10.กล้ามเนื้อ
Fact: หลังอายุ 40 ปี ต่อจากนั้นทุกๆปี มวลกล้ามเนื้อจะลดลงและเปลี่ยนเป็นไขมัน อัตรานั้นไม่สม่ำเสมอขึ้นอยู่กับรูปแบบการใช้ชีวิตประจำวัน How-to: (1) : วิดพื้น สวอท และยกน้ำหนักแต่ละท่าทำ 15- 20 ครั้ง นับเป็น 1 เซ็ต ทำทุกวันอย่างน้อยครั้งละ 2 เซ็ต
สุดท้าย การกินอาหารที่มีสารแอนติออกซิเดนท์สูง เช่น ผักหลากสี ผลไม้รสเปรี้ยว รสฝาดขมช่วยชะลอกระบวนการเสื่อมของเซล์ตามปกติได้ การนอนหลับให้เพียงพอ ทำสมาธิ และหาโอกาสออกไปพักผ่อนท่ามกลางธรรมชาติ เพื่อลดความเครียด 9ตัวการเร่งกระบวนการเสื่อมของเซล์) เท่านี้ก็ช่วยยืดอายุให้อวัยวะต่างๆ ได้เช่นกัน
ที่มา : ขอขอบคุณ รศ.ดร. ภญ.อรพรรณ มาตังคสมบัติ อดีต คณบดีคณะเภสัชศาตร์ มหาวิทยาลัยหิดล
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤษภาคม 19, 2018, 10:34:27 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #534 เมื่อ: พฤษภาคม 19, 2018, 11:04:24 AM » |
|
เลือกผลไม้อย่างไร ให้ปลอดภัย ห่างไกลจากโรคอ้วน
นานๆครั้ง ลำไย สัปปะรด มะม่วง กล้วย องุ่น ขนุน น้อยหน่า ละมุด
กินได้
ฝรั่ง แอปเปิ้ล แตงโม สาลี่ แก้วมังกร ชมพู่
หลีกเลี่ยง
มะขามหวาน อะโวคาโด ทุเรียน ผลไม้ตากแห้งที่มา : รศ. นพ. สุเทพ อุดมแสวงทรัพย์ www.chuldlongkornhospital.go.th02-256-4000
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #535 เมื่อ: พฤษภาคม 23, 2018, 09:14:50 AM » |
|
http://www.lovefitt.com/เครื่องคำนวณหาค่าดัชนีมวลกาย-bmi/ การหาค่าดัชนีมวลกาย (Body Mass Index : BMI)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #539 เมื่อ: ตุลาคม 01, 2018, 07:52:05 PM » |
|
“วิ่งแล้วเจ็บเข่า ทำอย่างไรดี”
ปัจจุบัน “การวิ่ง” นับเป็นเทรนด์การออกกำลังกายที่คนหันมาให้ความสนใจกันเป็นอย่างมาก เพราะไม่ต้องมีอุปกรณ์อะไรมาก แค่รองเท้าวิ่งดีๆ สักคู่ ชุดออกกำลังกาย ร่างกายที่พร้อม แค่นี้ก็ไปวิ่งได้แล้ว จะวิ่งบนลู่ วิ่งในสวนสาธารณะ วิ่งตามงานต่างๆ ก็แล้วแต่ความชอบใจของแต่ละคน
การวิ่งนั้นมีประโยชน์ต่อร่างกายเรามากมาย อาทิ ช่วยให้การทำงานของหัวใจ ปอด การหายใจดีขึ้น เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ทำให้ส่วนต่างๆ ของร่างกายทำงานได้ดีขึ้น ช่วยให้อารมณ์ดี สุขภาพจิตดีขึ้น เป็นต้น แม้ว่าการวิ่งจะมีประโยชน์ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น แต่หากวิ่งไม่ถูกวิธี หรือวิ่งมากเกินไปก็อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะการปวดเข่า ปัจจัยที่ทำให้ปวดเข่า ที่พบบ่อย มีดังนี้
• เคยมีอาการบาดเจ็บมาก่อนในรอบ 12 เดือนที่ผ่านมา • มีมุมของขาคอดเข้าไปข้างใน • วิ่งมากกว่า 64 กิโลเมตรต่อสัปดาห์ • วิ่งสัปดาห์ละครั้ง • วิ่งมากกว่าหรือเท่ากับ 3 ครั้งต่อสัปดาห์
นอกจากนี้คนที่มีน้ำหนักตัวเกิน ขาดความรู้ ประสบการณ์ในการวิ่ง ใส่รองเท้าวิ่งที่ไม่มีประสิทธิภาพ วิ่งบนพื้นคอนกรีต ปัจจัยเหล่านี้ก็ทำให้คุณมีโอกาสเกิดอาการปวดเข่าจากการวิ่งได้เช่นกัน
อาการบาดเจ็บจากการวิ่งที่พบบ่อยมากที่สุด มีดังนี้
• เอ็นสะบ้าอักเสบ • ข้อสะบ้าอักเสบ • Iliotibial band syndrome
1.เอ็นสะบ้าอักเสบ (Jumper’s Knee) อาการของเอ็นสะบ้าอักเสบ คนไข้จะมีอาการเจ็บบริเวณปลายกระดูกสะบ้า และมักเกิดกับกีฬาที่ต้องมีการกระโดด
ปัจจัยเสี่ยง • น้ำหนักตัวมากเกินไป • กล้ามเนื้อต้นขาไม่แข็งแรง • เท้าแบน • การฝึกวิ่งที่มากเกินไป • การวิ่งบนพื้นแข็ง • สภาพรองเท้าไม่ดี หากวิ่งไปได้ 400 กิโลเมตรแล้ว ควรต้องเปลี่ยนรองเท้าวิ่ง
การรักษา • ลดปริมาณการวิ่งลง • เปลี่ยนไปออกกำลังกายแบบอื่นบ้าง เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ • ยืดกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้าและด้านหลัง • ฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า โดยการยืนย่อ • ในกรณีที่เท้าแบน ควรมีการเสริมรองเท้า • การทำกายภาพบำบัดด้วยการอัลตราซาวนด์ • การฉีดเกล็ดเลือดเข้มข้นบริเวณเอ็นสะบ้าที่อักเสบ จะกระตุ้นให้มีการซ่อมแซมตนเอง วิธีนี้ก็เป็นการรักษาที่ได้ ผลดี
2. ข้อสะบ้าอักเสบ (Runner’s Knee)
อาการ คนไข้จะมีอาการเจ็บที่หน้าเข่า โดยเฉพาะเวลาขึ้น-ลงบันได จะมีเสียงกรอบแกรบ
สาเหตุ เกิดจากกล้ามเนื้อต้นขาด้านในไม่แข็งแรง ทำให้การเคลื่อนที่ของสะบ้าไม่สมดุล และทำให้ข้อสะบ้าเกิดการอักเสบ หรือการที่กล้ามเนื้อสะโพกไม่แข็งแรง หรือมีปัญหาเรื่องเท้าแบน
การรักษา • ถ้าเจ็บมากๆ ก็จะให้ยากิน เพื่อบรรเทาอาการ • การใช้เทปกาวติดบริเวณสะบ้า เพื่อพยุงสะบ้าไว้ กรณีนี้จะช่วยแก้ไขได้เพียงชั่วคราว • เสริมรองเท้า กรณีที่เท้าผิดรูป • หลีกเลี่ยงการนั่งขัดสมาธิ พับเพียบ นั่งยอง • การฝึกกล้ามเนื้อต้นขา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาด้านในและกล้ามเนื้อสะโพก เช่น นอนหงาย นำลูกบอลมาหนีบไว้ระหว่างขา แล้วเกร็งไว้ เพื่อให้กล้ามเนื้อต้นขาด้านในออกแรง, นำผ้ารองใต้เข่าด้านใน จากนั้นเอาเข่ากดลงไปที่พื้นเตียง เป็นต้น
3.iliotibial band syndrome อาการ คนไข้จะมีอาการเจ็บบริเวณปุ่มกระดูกข้างเข่าด้านนอก เหนือข้อเข่าขึ้นมาเล็กน้อย
สาเหตุ การกดและเสียดสีระหว่างปุ่มกระดูกกับเอ็น iliotibial band
การรักษา เบื้องต้นควรหยุดวิ่ง จากนั้นจึงทำการประคบเย็น ตามด้วยการกินยา หรือในบางรายที่เป็นรุนแรงจะมีการฉีดยาสเตรียรอยด์ นอกจากนี้ควรมีการยืดเส้นเอ็น iliotibial band โดยการยืนตรง กางขา มือเท้าเอว เอียงตัวแล้วก้มเฉียงไปด้าน ข้าง ควรทำทั้งก่อนและหลังวิ่ง, นอนตะแคง กางขาซ้ายหรือขวา ยกขึ้นสูงแล้วค้างไว้ 10 วินาที
เคล็ด (ไม่) ลับฉบับนัก (อยาก) วิ่ง
ก่อนจะจบบทความเรื่องนี้ เราก็มีเคล็ดลับเล็กๆ น้อยๆ มาฝากนักวิ่งมือใหม่กันจ้า @ วิ่งในแบบตัวเอง ไม่ต้องแข่งขันกับใคร โดยวางแผนการซ้อมวิ่งให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของเรา ไม่หักโหมหรือน้อยเกินไป จะช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บจากการวิ่งได้ทางหนึ่ง @ หากเกิดอาการบาดเจ็บจากการวิ่ง ต้องหยุดวิ่ง และพักทันที ไม่ควรฝืนวิ่งต่อ เพราะจะทำให้อาการบาดเจ็บทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก @ ออกกำลังกายให้หลากหลาย เช่น ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำ เพื่อเป็นการบริหารกล้ามเนื้อมัดอื่นๆ ของร่างกายบ้าง และควรฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเฉพาะจุด จะช่วยให้วิ่งได้ดีขึ้น @ เมื่อหายจากอาการบาดเจ็บ จึงกลับมาวิ่งใหม่ จะทำให้มีความสุขในการออกกำลังกาย จะเห็นได้ว่า “การวิ่ง” นั้นดีต่อสุขภาพมากมาย ขอแค่มีความตั้งใจ และจริงจังในการวิ่ง ไม่ว่าคุณหรือใครก็มีสุขภาพที่ดีได้ง่ายๆ แค่เริ่ม “วิ่ง”
แหล่งข้อมูล นพ.ชัชวาล เลิศบุษยานุกูล ศัลยแพทย์กระดูกและข้อ ศูนย์การแพทย์สมเด็จพระเทพรัตน์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|