Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 36 37 [38] 39 40 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เพื่อสุขภาพ  (อ่าน 71730 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #555 เมื่อ: มีนาคม 31, 2019, 10:24:15 AM »

https://med.mahidol.ac.th/ramachannel/guide/hot_health_clips/0033

ดร.วนะพร ทองโฉม นักวิชาการโภชนาการ ฝ่ายโภชนาการ
ชานมไข่มุก เหตุผลที่ไม่ควรกินชานมไข่มุก (บ่อย ๆ)
ดูคลิปนี้ แล้วคุณจะรู้ว่าทำไมเราถึงไม่ควรกินชานมไข่มุกบ่อย ๆ ไม่ว่าคุณจะชอบและติดในรสชาติของ ชา นม ไข่มุก ขนาดไหนก็ตาม !!

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #556 เมื่อ: เมษายน 04, 2019, 10:38:19 PM »

https://www.doctor.or.th/article/detail/13622

โรคกรดไหลย้อนมั่วๆ

โพสโดย admin เมื่อ 9 กันยายน 2555 20:39
ปัจจุบันยาลดกรดในกระเพาะอาหารขายดีเป็นเทน้ำเทท่า ส่วนใหญ่มีการโฆษณากันอย่างแพร่หลาย  พร้อมกันนั้นก็เกิดโรคกรดไหลย้อนแพร่ระบาดไปทั่ว แม้แต่ชาวบ้านที่ห่างไกลความเจริญก็พบว่ามีไม่น้อยที่ต้องกินยาลดกรดอย่างแรงเป็นประจำ เพราะแพทย์สั่งให้และบอกว่าเป็นโรคนี้ แต่พอให้ผู้ป่วยอธิบายว่าโรคกรดไหลย้อนคืออะไรและมีอาการอย่างไร ทำไมต้องกินยาแบบนี้ ตัวผู้ป่วยเองก็มักจะตอบไม่ได้

โรคกรดไหลย้อน (GERD) คือ ภาวะที่มีน้ำย่อยในกระเพาะอาหารซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรดไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร ทำให้มีอาการแสบร้อนหน้าอกหรือจุกเสียดลิ้นปี่ แสบคอ บางครั้งมีอาการท้องอืดท้องเฟ้อ หรือคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

โรคนี้ไม่ใช่โรคใหม่ ไม่ใช่โรคติดเชื้อ แต่เหตุใดจึงมีการแพร่ระบาดไปทั่วโลกยิ่งกว่าไข้หวัดนกและโรคซาร์สเสียอีก ในทรรศนะของผู้เขียนคิดว่าส่วนหนึ่งอาจเป็นเรื่องของการตลาดที่ผ่านการจัดการอย่างแยบยลของบริษัทยา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อขายยาลดกรดอย่างแรงกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งราคาก็แรงตามไปด้วย)

เริ่มจากบริษัทยาขนาดใหญ่ร่วมมือกับสถาบันทางการแพทย์และแพทย์ที่มีชื่อเสียง ทำการวิจัยและเผยแพร่ความรู้ไปสู่แพทย์ทั่วโลกโดยกระทำการหลายอย่าง เช่น รายงานผลการวิจัย การเขียนบทความทางวิชาการ การประชุมวิชาการ การอบรมเพิ่มเติมความรู้ และการทุ่มแจกตัวอย่างยาให้แพทย์นำไปใช้ฟรี (แต่มักจะคิดเงินจากผู้ป่วย)

หลังจากครอบงำความคิดของแพทย์ส่วนใหญ่ได้แล้ว ก็ถึงเวลาที่จะปั่นหัวประชาชนทั่วไปให้รู้จักโรคนี้ ซึ่งก็เหมือนกับพวกหนังเร่ขายยาสมัยก่อน คือ ขู่ให้กลัวโรคแล้วเสนอยาที่ใช้รักษา เมื่อการตลาดของบริษัทยาเป็นเช่นนี้ โรคนี้จึงกลายเป็นโรคฮิตอีกโรคหนึ่งเพราะคนส่วนใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดอาการแบบนี้ ทำให้ยากลุ่มลดกรดอย่างแรงจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มยาขายดีหรือ Best seller (เรื่องลึกๆ ของธุรกิจยา ผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากหนังสือ “กระชากหน้ากากธุรกิจยาข้ามชาติ” โดย Dr. Marcia Angell จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์หมอชาวบ้าน ซึ่งจะตีแผ่เล่ห์เหลี่ยมและอุบายอันซับซ้อนแยบยลของบริษัทยา ซึ่งมุ่งผลประโยชน์ทางธุรกิจโดยไม่คำนึงว่าผู้บริโภคจะตกเป็นเหยื่อ)

ทีนี้มาดูว่า ความจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับโรคกรดไหลย้อน
ภาวะที่เกิดกรดหรือน้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมายังหลอดอาหารจนทำให้ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อนนั้นพบได้น้อยมาก เพราะธรรมชาติได้กำหนดวิธีการป้องกันที่ดีไม่ให้กรดและน้ำย่อยในกระเพาะสามารถไหลย้อนขึ้นมาข้างบนได้

แต่บางครั้งกรณีเกิดธาตุพิการอาหารไม่ย่อย เช่นจากการกินอาหารย่อยยากหรือเคี้ยวไม่ละเอียด ทำให้ท้องขึ้นอืดเฟ้อ เรอเหม็นเปรี้ยว จะเกิดแรงดันในกระเพาะเพิ่มสูงขึ้น ร่วมกับมีการขย้อน ทำให้น้ำย่อยที่มีกรดไหลย้อนขึ้นมา เกิดอาการแสบร้อนบริเวณหน้าอก และถ้าขย้อนขึ้นมาถึงคอก็จะรู้สึกเปรี้ยวหรือแสบคอเล็กน้อย ถ้ารุนแรงกว่านั้นก็จะอาเจียน สภาพเช่นนี้มักจะเป็นกันแทบทุกคนเพียงแต่ว่าไม่ได้เป็นบ่อย แต่ถ้าอาการอย่างนี้เกิดขึ้นบ่อยๆ (โดยเฉพาะถ้าไม่มีอาการของธาตุพิการอาหารไม่ย่อย) จึงจะเรียกว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน ผู้ที่เป็นโรคนี้อาจเกิดจากความผิดปกติของหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างหรือเป็นผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่างๆ

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้คือ ผู้ป่วยอ้วนลงพุง ผู้ที่กินอาหารครั้งละมากๆ ชอบกินอาหารมันๆ (เช่น ของทอด ข้าวมันไก่ ข้าวขาหมู หรือขนมที่มีกะทิ)
นอกจากนี้ อาจเกิดขึ้นกับผู้ที่กินอาหารเสร็จใหม่ๆ แล้วรีบนอน ผู้ที่ชอบดื่มน้ำอัดลม ดื่มสุรา หรือสูบบุหรี่ สำหรับผู้ที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงและเกิดอาการดังกล่าวข้างต้นนานๆ ครั้ง (ไม่บ่อย) ก็ไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยยาลดกรดอย่างแรง

โรคกรดไหลย้อนมั่วๆ อีกแบบหนึ่งก็คือ ผู้ป่วยที่มักจะเจ็บคอบ่อยๆ เสียงแหบ ชอบกระแอมหรือเค้นขากเสมหะในคอเป็นประจำ ไอบ่อยๆ (โดยที่ไม่มีอาการแสบร้อนหน้าอก หรือเรอเปรี้ยวในคอเป็นประจำ) บางครั้งไปพบแพทย์ก็บอกว่าคอแดง กล่องเสียงอักเสบแดง ซึ่งอันที่จริงการแยกแยะสีมันไม่ง่ายขนาดใช้ตาดูแล้วบอกได้แม่นยำ เพราะตามธรรมชาติในลำคอคนปกติทั่วไปก็มีสีชมพูอมแดงอยู่แล้ว (ยกเว้นเป็นโรคโลหิตจางมากหรือใกล้เสียชีวิตสีจะซีด)

ผู้ป่วยบางคนได้ยาแก้อักเสบมากิน บางคนได้ยาลดกรดที่ใช้รักษากรดไหลย้อน โดยผู้ป่วยกลุ่มนี้มีมากจนทำให้ยาลดกรดอย่างแรงขายดีเกินควร เพราะผู้ป่วยมักคิดว่าต้องใช้ยาเป็นประจำ และหลายครั้งที่แพทย์สั่งยากลุ่มนี้ให้ใช้อย่างต่อเนื่อง

สิ่งที่ควรตระหนักคือ อันตรายจากยาจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว เพราะธรรมชาติของร่างกายนั้นมีการสร้างกรดในกระเพาะอาหารเพื่อช่วยย่อยอาหาร ฆ่าเชื้อโรค และทำลายสิ่งที่อาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น เชื้อโรคต่างๆ พยาธิ สารพิษ สารก่อมะเร็ง เป็นต้น

การใช้ยาลดกรดอย่างแรงเป็นประจำทำให้ไม่มีกรดในกระเพาะอาหาร จึงเป็นความเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ ตามมา
ในทางการแพทย์ การที่ไม่มีกรดจะทำให้ระบบย่อยอาหารแปรปรวนเกิดธาตุพิการอาหารไม่ย่อยท้องอืดท้องเฟ้อได้ง่าย ดังนั้น ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาลดกรดอย่างแรงต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน


ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 389-050
นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 389
เดือน/ปี: กันยายน 2554
คอลัมน์: คุยกับ หมอ 3 บาท
นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.พินิจ ลิ้มสุคนธ์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #557 เมื่อ: เมษายน 04, 2019, 10:42:27 PM »

https://www.doctor.or.th/article/detail/5899
บทความสุขภาพน่ารู้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #558 เมื่อ: เมษายน 15, 2019, 07:36:45 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=sADAUlKrJDk
เสวนาเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย 1/3


https://www.youtube.com/watch?v=D8yaf2BxilM
เสวนาเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย 2/3


https://www.youtube.com/watch?v=YBsLLGln08Q
เสวนาเรื่องเวชศาสตร์ชะลอวัย 3/3

ขอขอบคุณ คุณPakdee ไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #559 เมื่อ: กันยายน 27, 2019, 08:11:24 PM »

https://www.naewna.com/likesara/442686
เตือนกันไว้!แอลกอออล์และยา5 อย่างทำเสี่ยงหยุดหายใจ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #560 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2019, 09:53:42 PM »

“ฉันเป็นโรคสมองเสื่อมแล้วหรือยัง”

(ตัดตอนมาจาก blog ของหมอสันต์ ใจยอดศิลป์ ค่ะ)

     วงการแพทย์วินิจฉัยและจัดชั้นโรคสมองเสื่อมเป็นสามระดับคือ เล็กน้อย ปานกลาง รุนแรง ด้วยการใช้คะแนนการทำงานของสมอง แต่คนทั่วไปมีโอกาสน้อยมากที่จะได้รับการวินิจฉัยดังกล่าวอย่างจบสิ้นกระบวนความ เพราะเป็นการวินิจฉัยที่สิ้นเปลืองเวลาพอสมควร ดังนั้นผมแนะนำให้ท่านผู้อ่านวินิจฉัยตัวเองด้วยเกณฑ์ง่ายๆที่เชื่อถือได้ดังนี้

     1. โรคสมองเสื่อมระดับเล็กน้อย (MCI) วินิจฉัยเอาจากการที่คนใกล้ชิดทักว่าเราขี้ลืม ซึ่งตัวหมอสันต์เองก็ถูกวินิจฉัยว่าเป็นสมองเสื่อมระดับนี้ไปแล้วเรียบร้อย

     2. โรคสมองเสื่อมระดับปานกลาง ให้วินิจฉัยเอาจากเกณฑ์ความสามารถในการทำกิจวัตรสำคัญประจำวัน (instrumental activity daily living - IADL) เจ็ดอย่าง หมายความว่ากิจกรรมเจ็ดอย่างต่อไปนี้ หากท่านไม่สามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านวินิจฉัยตัวเองได้เลยว่าเป็นสมองเสื่อมระดับปานกลางแล้ว กิจกรรมเจ็ดอย่างนั้นคือ

     2.1 อยู่คนเดียวได้ (independence) พูดง่ายๆว่าทนเหงาได้ อยู่คนเดียวแล้วมีความสุข มีทักษะที่จะสื่อสารกับคนอื่น (communication skill) ได้เอง เช่นพูดโทรศัพท์ ส่งอีเมล เล่นไลน์ เฟซ เป็นต้น

     2.2 ขนส่งตัวเองได้ (Transportation) ไปไหนมาไหนได้ในรูปแบบต่างๆด้วยตนเองตามความเหมาะสม เช่นขับรถเอง ปั่นจักรยานเอง เดินไปตลาดเอง

     2.3 เตรียมอาหารเองได้ (Preparing meals) เริ่มตั้งแต่การวางแผน จะกินอะไรบ้าง จะซื้ออะไร ขนของเข้าตู้เย็น หั่นหอม ซอยกระเทียม หุง ต้ม

     2.4 ช้อปปิ้งเองได้ (shopping) จะซื้อของกินของใช้อะไรเข้าบ้านบ้าง ตัดสินใจเองได้

     2.5 จัดการที่อยู่ของตัวเองได้ (housework) ซักผ้า กวาดพื้น ถูพื้น ดูดฝุ่น เอาขยะไปเท เอาสัมภารกไปทิ้ง

     2.6 บริหารยาตัวเองได้ (Managing medications) ตัวเองกินยาอะไรอยู่บ้าง แต่ละตัวกินเพื่ออะไร ขนาดที่ต้องกินเท่าไหร่ กินวันละกี่ครั้ง กินเมื่อใด มันมีผลข้างเคียงอะไรบ้าง เมื่อไหร่ควรจะลดหรือหยุดยา

     2.7 บริหารเงินของตัวเองได้ (Managing personal finances) ใช้จ่ายไม่เกินเงินที่ตัวเองมี จ่ายบิลต่างๆเช่นประปา ไฟฟ้า อินเตอร์เน็ท รับเงิน (ถ้ายังมีรายรับ) โอนเงิน ฝากเงิน ทำเองได้หมด

     ทั้งเจ็ดอย่างนี้หากเสียไปอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านเป็นสมองเสื่อมระดับปานกลางแล้ว

    3. โรคสมองเสื่อมระดับรุนแรง ให้วินิจฉัยเอาจากเกณฑ์ความสามารถในการทำกิจวัตรจำเป็นประจำวัน (activity daily living - ADL) ห้าอย่าง หมายความว่ากิจกรรมห้าอย่างต่อไปนี้ หากท่านไม่สามารถทำอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านวินิจฉัยตัวเองได้เลยว่าเป็นสมองเสื่อมระดับรุนแรงไปเรียบร้อยแล้ว กิจกรรมทั้งห้าอย่างนั้นคือ

      3.1 ดูแลสุขศาสตร์ส่วนบุคคลได้ (personal hygiene) เช่น อาบน้ำ ล้างหน้า แปรงฟัน ตัดเล็บ หวีผม

     3.2 แต่งตัวได้ (dressing) เลือกเสื้อผ้าเอง สวมเองได้อย่างเหมาะสม

     3.3 กินอาหารได้เอง (feeding) ไม่ต้องรอให้มีคนป้อนหรือใส่ท่อสายยาผ่านจมูก

     3.4 การจัดการอึฉี่ตัวเองได้ (continence management) หมายถึงการอั้นเมื่อควรอั้น ปล่อยเมื่อควรปล่อย เมื่อไรควรไปห้องน้ำ และไปห้องน้ำเองได้

     3.5 เคลื่อนไหวเดินเหินได้ (ambulating) โดยเฉพาะอย่างยิ่งการยันกายจากท่านอนลุกขึ้นนั่ง จากนั่งลุกยืน จากยืนออกเดิน จากเดินกลับลงนั่ง แล้วกลับลงนอน

     ทั้งห้าอย่างนี้หากเสียไปอย่างใดอย่างหนึ่งแม้เพียงอย่างเดียว ท่านเป็นสมองเสื่อมระดับรุนแรงแล้ว มาถึงขั้นนี้ท่านไม่สามารถพึ่งตัวเองได้อีกต่อไป ต้องตกเป็นภาระให้กับคนรอบข้าง

    อย่าเร่งให้ตัวเองสมองเสื่อมเร็วขึ้น

     นอกจากจะเปลี่ยนวิธีใช้ชีวิตในห้าประเด็นที่ผมกล่าวไปข้างต้นแล้ว ท่านผู้อ่านอย่าเผลอเร่งให้ตัวเองสมองเสื่อมเร็วขึ้น ตัวอย่างเช่น

     1. อยู่คนเดียวดีๆไม่ว่าดี กลับเคี่ยวเข็นให้ลูกหลานมาอยู่เป็นเพื่อน มาพูดมาคุยด้วย โดยเฉพาะตอนกลางคืน เพราะกลัว เพราะเหงา โธ่ ปูนนี้แล้วยังไม่เลิกกลัวอีกเหรอ ปูนนี้แล้วยังจะมีอะไรเหลือให้กลัวอีก
   
     2. จะขับรถเองก็ขับได้แต่ไม่ยอมขับ ต้องให้คนอื่นมารับมาส่ง หรือจ้างคนอื่นขับให้

     3. จะทำกินเองแบบง่ายๆในครัวก็ทำได้แต่ไม่ยอมทำ ต้องออกไปซื้อเขากินข้างนอก หรือต้องรอคนอื่นซื้อเข้ามาให้ หรือไม่ก็กินของแห้งบรรจุซองพลาสติกแทน

     4. จะเอาช้อนตักข้าวกินเองก็ได้ แต่ชอบอ้าปากให้ลูกหลานป้อน

     5. แข้งขาก็ยังดีจะลุกจะเดินก็ทำได้เอง แต่เลือกจะนั่งจุมปุกหรือนอนแซ่วอยู่เฉยๆทั้งวัน

     6. จะเข้าห้องน้ำเองก็ทำได้ แต่ไม่ยอมเข้า ต้องรอลูกหลานมาพาเข้าห้องน้ำ ให้เขาอาบน้ำให้ ให้เขาเช็ดตัวให้

     7. จะเดินไปอึไปฉี่ที่ห้องน้ำเองก็ทำได้ แต่เลือกที่จะใส่ผ้าอ้อม (แพมเพิร์ส) ทั้งๆที่เป็นเวลากลางวันแสกๆและไม่ได้เดินทางไกลไปไหน

     8. จะผลัดผ้าผลัดผ่อนเองให้เหมาะกับกาละเทศะก็ทำได้ แต่เลือกที่จะทรงชุดนอนตั้งแต่เช้ายันเย็นจนลืมไปว่าชุดนอนที่ใส่อยู่นี้ของเก่าเมื่อวานหรือของใหม่วันนี้

     9. จะฝึกเดินเหินเองก็ได้แต่ขี้เกียจ ต้องมีล้อเข็น มีวีลแชร์ หรือไม้เท้า หรือเสื้อกันปวดหลัง หรือกายอุปกรณ์อะไรก็ตามที่ซื้อมาใช้เพราะความขี้เกียจ ทำอย่างนั้นจะทุพลภาพเร็วขึ้น

     สรุปว่า เป็นแฟนบล็อกหมอสันต์ตัวจริง อย่าเผลอเร่งให้ตัวเองสมองเสื่อมเร็วขึ้น

นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์

Cr  ภาพ  ป้าศรี
   ดีใจจังยังทำทุกอย่างด้วยตัวเองได้เป็นอย่างดี   
     จากอดีตถึงปัจจุบันดีใจผ่าน 7 ข้อ(ตอนนี้)อนาคตค่อยๆดูไป
   เร่งสำรวจตัวเองด่วน  โล่งใจค่ะยังพึ่งพาตัวเองได้ดีอยู่  ขอบคุณข้อเขียนดีดี..

[/b]
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #561 เมื่อ: มกราคม 11, 2020, 07:53:50 PM »

" ผัก 37 ชนิด "

ไม่กินไม่ได้แล้ว..!โดยเฉพาะ ผักรายการสุดท้าย


1. สะเดา ( Neem tree)มีเบต้าแคโรทีนสูง บำรุงสายตา เสริมระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้นอนหลับ

2. ผักกาดขาว ( Chinese white cabbage) ช่วยระบบย่อยอาหารขับปัสสาวะ แก้ไอ มีโฟเลทสูงบำรุงคุณแม่ตั้งครรภ์

3. ต้นหอม ( Shallot) หอมระเหย บรรเทา อาการหวัด มีสารฟลาโวนอยด์ต้านมะเร็ง

4. แครอท ( Carrot) เบต้าแคโรทีน ป้องกันโรคมะเร็ง มีแคลเซียม แพคเตท ลดระดับคลอเลสเตอรอลได้

5. หอมหัวใหญ่ (Onion) มีสาร ฟลาโวนอยด์ ช่วยลดอาการของโรคหัวใจ ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด

6. คะน้า ( Chinese kale) มีแคลเซียม และสารต้านอนุมูลอิสระสูง ป้องกันโรค กระดูกพรุน และมะเร็ง

7. พริก ( Chilli) มีแคปไซซิน กระตุ้นการ ขยายตัวของหลอดเลือด ช่วยให้เจริญอาหาร ขับเหงื่อ

8. กระเจี๊ยบเขียว(Okra) ลดความดันโลหิต บำรุงสมอง ลดอาการกระเพาะ หรือ ลำไส้อักเสบ

9. ผักกระเฉด ( Water mimosa) ดับพิษไข้ กากใยช่วยระบบขับของเสีย เพิ่มการเผาผลาญสารอาหาร

10. ตำลึง ( Ivy gourd) มีวิตามินเอสูง ดีต่อดวงตา เส้นใยจับไนเตรต ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็งในกระเพาะอาหาร

11. มะระ ( Chinese bitter cucumber) มีแคลเซียม ฟอสฟอรัส เป็นยาระบายอ่อน ๆ น้ำคั้นลดระดับน้ำตาล ในเลือด

12. ผักบุ้ง ( Water spinach) บรรเทาอาการร้อนใน มีวิตามินเอ บำรุงสายตา ธาตุเหล็กบำรุงเลือด

13. ขึ้นฉ่าย ( Celery) กลิ่นหอมช่วยเจริญ อาหาร มีวิตามินเอ บี และซี บำรุงสมอง ป้องกันโรคหัวใจขาดเลือด

14. เห็ด ( Mushroom) แคลอรีน้อย ไขมันต่ำ มีวิตามินดีสูงช่วยในการดูดซึม แคลเซียมเสริมกระดูกและฟัน

15. บัวบก ( Indian pennywort)มี วิตามินบีสูงช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายบำรุง สมองและความจำบำรุงผิวพรรณลดอาการ อักเสบ

16. สะระแหน่ (Kitchen mint) กลิ่นหอมเย็นของใบให้ความสดชื่นทำให้ ความคิดแจ่มใส แก้ปวดหัว

17. ชะพลู (Cha-plu) รสชาติเผ็ดเล็กน้อย แก้จุกเสียด ขับเสมหะมีแคลเซียมสูง

18. ชะอม ( Cha-om) ช่วยลดความร้อน ในร่างกาย ขับลมในลำไส้มีเส้นใยคอยจับ อนุมูลอิสระ
19. หัวปลี ( Banana flower) รสฝาด แก้ร้อนใน กระหายน้ำ และบำรุงน้ำนม มีกากใย โปรตีน และวิตามินซีสูง

20. กระเทียม ( Garlic) ลดไขมันในเลือด ป้องกันหัวใจขาดเลือด ใบกระเทียมมีโฟเลท เหล็กวิตามินซีสูง

21. โหระพา ( Sweet basil) น้ำมันหอม ระเหยทำให้โล่งจมูก ช่วยระบายลม มีเบต้าแคโรทีนแคลเซียม

22. ขิง ( Ginger) บรรเทาอาการหวัดเย็น ลดอาการคัดจมูก รสเผ็ดร้อนแก้อาการ ท้องอืดท้องเฟ้อ

23. ข่า ( Galangal) น้ำมันหอมระเหย ช่วยระบบย่อยอาหารขับลมมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา

24. กระชาย ( Wild ginger) บรรเทา อาการท้องอืดท้องเฟ้อ บำรุงธาตุ มีวิตามิน เอและแคลเซียม

25. ถั่วพู ( Winged bean) ให้คุณค่าทาง อาหารสูง มีโปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส และสาร ช่วยย่อยกรดไขมันอิ่มตัว

26. ดอกขจร ( Cowslip creeper) กระตุ้นให้รู้รสอาหาร ให้พลังงานสูง ประกอบด้วยคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน

27. ถั่วฝักยาว ( Long bean) มีเส้นใย ช่วยลดคอเลสเตอรอล มีวิตามินซี ช่วยให้ ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก บำรุงเลือด

28. มะเขือเทศ ( Tomato) มีวิตามินเอสูง วิตามินซี รสเปรี้ยว ช่วยกระตุ้นน้ำย่อย และแก้อาการคอแห้ง

29. กะหล่ำปลี ( White cabbage) มีกลูโคซิโนเลท เมื่อแตกตัวจะเป็น สารต้านมะเร็ง และมีวิตามินซีสูง

30. มะเขือพวง (Plate brush eggplant) ช่วยให้เจริญอาหารและช่วยลด ความดันเลือด มีแคลเซียม และฟอสฟอรัส

31. ผักชี ( Chinese paraley) ขับลม บำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร มีน้ำมันหอม ระเหย แก้หวัด มีวิตามินเอและซีสูง

32. กุยช่าย ( Flowering chives) มีกากใยช่วยระบายของเสียมีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง

33. ผักกาดหัว ( Chinese radish) แก้ไอ ขับเสมหะเพิ่มภูมิต้านทางโรคมีสารช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้บีบตัวได้ดี

34. กะเพรา ( Holy basil) แก้อาการ จุกเสียดแน่นท้อง มีเบต้าแคโรทีนสูง ป้องกันโรคมะเร็ง และโรคหัวใจขาดเลือดได้

35. แมงลัก ( Hairy basil) ช่วยย่อย อาหาร ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน ขับลม ขับเหงื่อ

36. ดอกแค ( Sesbania) กินแก้ไข้ช่วง ที่อากาศเปลี่ยนแปลงเป็นยาระบายอ่อน ๆ มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา

37. หญ้าอ่อน กินเพิ่ม ความคึกคัก ให้กระชุ่มกระชวยเลือดลมสูบฉีด สมองแจ่มใส อายุยืนยาว สดชื่น (ถ้าแม่บ้านจับไม่ได้ ลองเสี่ยงดู แต่ถ้าจับได้ แล้วตัวใครตัวมัน) เหมาะมากสำหรับโคแก่...


นำมาจากไลน์ค่ะ ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #562 เมื่อ: มกราคม 11, 2020, 08:03:42 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=YWARqO05vN0&li=



โรคกระดูกพรุน : รายการ Three Minutes Talk ep.9

RAMA CHANNEL
243K subscribers
โรคกระดูกพรุน  :  รายการ Three Minutes Talk ep.9
- อ. นพ.ชวรัฐ  จรุงวิทยากร
สาขาวิชาข้อสะโพกและข้อเข่า ภาควิชาออร์โธปิดิกส์
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #563 เมื่อ: มกราคม 25, 2020, 10:14:02 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=j3IcCHjpwV4&feature=youtu.be
ใช้ใบต้มกินแก้เชื้อไวรัสโคโรนาปอดอักเสบชะงัดนักแล" #โจฮักนะสารคาม EP.515
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 25, 2020, 10:20:28 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #564 เมื่อ: มกราคม 25, 2020, 10:34:39 PM »

สวัสดีครับ วันนี้หมอมาในแบบเฉพาะกิจเร่งด่วน จะมาขอพูดเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับการทำความงาม แต่จำเป็นต้องพูดเป็นการเร่งด่วนครับ ซึ่งเรื่องที่ว่าก็คือ “ไวรัสอู่ฮั่น” นั่นเอง

.ไม่แน่ใจว่าลูกเพจหลายๆท่านพอทราบข่าว และเริ่มมี awareness เกี่ยวกับเรื่องนี้กันหรือยัง แต่ถ้ายัง แนะนำว่าให้เริ่มได้แล้วครับ หมอขอบอกตรงนี้เลย ว่าในอีก 1 เดือนนับจากนี้ ไวรัสอู่ฮั่น จะเป็นเรื่องใกล้ตัวเรามากกว่าที่เราคิดครับ

. ไวรัสอู่ฮั่น หรือชื่อเต็มว่า Novel Coronavirus 2019 เป็นไวรัสในกลุ่มเดียวกับ “โรคซาร์ SARS” ที่เคยระบาดไปทั่วโลกเมื่อสิบกว่าปีก่อนครับ โดยอาการที่เกิดหลังจากติดเชื้อ คือจะมีไข้ ไอ น้ำมูกไหล เจ็บคอ ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย และในผู้ป่วยที่อายุมาก หรืออายุน้อย หรือมีโรคประจำตัว หรือมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ก็จะเป็นกลุ่มเสี่ยง ที่จะเกิดอาการรุนแรงมากขึ้น เช่น ปอดอักเสบ หรือที่เรียกกันว่า “ปอดบวม” และอาจจะทำให้เสียชีวิตได้นั่นเองครับ

.ณ ปัจจุบันนี้ เป็นที่ยืนยันกันแล้วว่าไวรัสตัวนี้  สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้  และที่น่ากังวลยิ่งกว่านั้นคือ ได้มีการยืนยันถึงผู้ติดเชื้อ ทั้งในจีน และในหลายๆประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทยแล้ว เพราะฉะนั้น เรานิ่งนอนใจไม่ได้แล้วนะครับ

. อยากให้คิดไว้แบบนี้เลยครับ ว่าข่าวคราวความคืบหน้าเกี่ยวกับการระบาดของไวรัสอู่ฮั่นที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็น ตัวเลขผู้ติดเชื้อ ความกว้างของวงการระบาด มักจะตามหลังสถานการณ์จริงอยู่ 1-2 ก้าวเสมอครับ เพราะกว่าข่าวจะออกมา กว่าจะเขียนเป็นข่าว ตัวเชื้อก็ระบาดไปเรื่อยๆแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องเตรียมความพร้อมไว้นะครับ
 
.***ทีนี้มาดูข้อควรปฎิบัติกันดีกว่าครับ ว่าเราควร และจะทำอะไรได้บ้าง***

1. หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัด ที่ๆมีคนเยอะๆ หรือที่ๆอากาศถ่ายเทได้ไม่สะดวก เช่น ผับ โรงหนัง สนามบิน โรงพยาบาล ถ้าหากไม่มีความจำเป็นต้องไปในสถานที่เหล่านี้ ขอให้หลีกเลี่ยง

2. ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ขอให้สวมใส่หน้ากากอนามัย (ควรเป็นชนิด N95) และหลีกเลี่ยงไม่อยู่ใกล้บุคคลที่มีอาการ ไอ จาม เป็นต้น

3. ล้างมือบ่อยๆ : ไวรัสอู่ฮั่น แพร่กระจายผ่านทาง Droplets ต่างๆ เช่น น้ำมูก น้ำลาย ละอองจากการไอจาม ซึ่งละอองเหล่านี้ มักจะติดอยู่กับที่ๆมีการสัมผัสโดยคนหมู่มากบ่อยๆ โดยจุดที่เสี่ยง เช่น ปุ่มกดลิฟท์ ราวบันไดเลื่อน ห้องน้ำสาธารณะ เป็นต้น ในบางครั้ง เราอาจไปสัมผัสกับสิ่งของเหล่านี้โดยไม่รู้ตัว และอาจทำให้เกิดความเสี่ยงในการติดเชื้อได้ การล้างมือบ่อยๆ ล้างทุกครั้งก่อนกินอาหาร รวมไปถึงไม่เอามือเข้าปาก ขยี้ตา หรือแคะจมูก จะช่วยลดโอกาสในการติดเชื้อลงได้มากครับ

4. หลีกเลี่ยงการเข้าไปในตลาดค้าสัตว์ที่มีชีวิต หลีกเลี่ยงการสัมผัส หรือคลุกคลีกับสัตว์ โดยเฉพาะสัตว์ที่ป่วย หรือตาย เพราะในขณะนี้ เราได้สันนิฐานกันว่า เชื้อไวรัสอู่ฮั่น เริ่มต้นมาจากการแพร่กระจายจากสัตว์สู่คนในทีแรก และเมื่อเชื้อเข้ามาในคน จึงมีการกลายพันธุ์ จนสามารถแพร่จากคนสู่คนได้นั่นเอง

5. ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น แก้วน้ำ ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ช้อนกินข้าว เป็นต้น

6. รักษาร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ ทานอาหารให้ครบห้าหมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ

7. หากท่านพึ่งเดินทางกลับมาจากต่างประเทศ หรือต่างจังหวัดภายใน 14 วัน ไม่ว่าจะเป็นประเทศ/จังหวัดที่มีรายงานการระบาดหรือไม่ก็ตาม และเริ่มมีอาการป่วย เช่น มีไข้ ไอ น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ คลื่นไส้อาเจียน ท้องเสีย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด หรือมีอาการผิดปกติใดๆ ให้รีบสวมหน้ากากอนามัยให้ตนเอง และไปโรงพยาบาลโดยด่วน (สามารถเข้าไปที่ห้องฉุกเฉินได้เลย) พร้อมทั้งแจ้งประวัติการเดินทาง และเล่าอาการให้กับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องฟังโดยละเอียด

8. สายด่วนกรมควบคุมโรค 1422 ครับ หากมีข้อสงสัยอะไร อย่าลังเลที่จะโทรไปถามครับ

9. จงตื่นตัว แต่อย่าตื่นตูม การ take precaution เป็นเรื่องที่ดีมากๆ แต่การตกใจ ตื่นตูมจนเกินกว่าเหตุ เป็นเรื่องที่ไม่ดี ขอให้จำไว้ว่า “สิ่งที่แพร่ระบาดได้เร็วกว่าเชื้อไวรัส คือความกลัว และความกลัว สร้างความเสียหายได้มากกว่าโรคระบาด”

. ทั้งหมดนี้ก็เป็นสิ่งที่หมออยากจะแชร์ให้ลูกเพจได้อ่าน ได้รับรู้ และตื่นตัวกับการมาของไวรัสอู่ฮั่นครับ เพราะหมอเชื่อเหลือเกินว่า การเตรียมตัวที่ดี ย่อมลดความเสียหายได้มากโขครับ ขอให้ทุกท่านจงเตรียมพร้อม ตื่นตัวแต่อย่าตื่นตูม รักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง และนอนหลับฝันดีครับ

***อยากให้ช่วยกันแชร์ ช่วยกันส่งต่อให้คนที่เรารักได้อ่านกันนะครับ จะแชร์ จะส่งต่อ จะแคป หรือแม้กระทั่งว่าจะก้อปปี้บทความนี้ไปเขียนโดยไม่ลงเครดิตให้ ก็ไม่ว่ากันครับ ขอแค่ได้ส่งต่อสิ่งที่หมอรู้ ไปสู่คนจำนวนมาก เพื่อจำกัดวงการระบาดให้แคบลง save life ได้มากขึ้น ได้แค่นี้ก็ถือว่าบทความที่หมอเขียนขึ้นมา มีประโยชน์มากๆแล้วครับ ช่วยกันครับ คนละไม้คนละมือ การตื่นตัว และเตรียมพร้อม จะช่วยลดความสูญเสียได้มากมายจริงๆครับ***


ขอขอบคุณคุณหมอไว้ ณ ที่นี้ด้วยค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #565 เมื่อ: มกราคม 29, 2020, 04:19:49 PM »

https://www.sanook.com/health/1699/

มีไข้เจ็บคอ อย่าเรียกหา ยาฆ่าเชื้อ พร่ำเพรื่อ เสี่ยงดื้อยา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #566 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2020, 12:15:16 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=X6OpYTrf9Ns&feature=youtu.be

ผอม แต่มีพุง +มีไขมันใต้ผิวหนัง จงทำ 3 สิ่งนี้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #567 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 12, 2020, 09:49:32 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=rJzloIzJD0w&feature=youtu.be

หมอทีม Dr. Team
นอนดึก เสี่ยงให้เกิด 4 ข้อนี้
การดู 15,017 ครั้ง•10 ก.พ. 2020

 

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #568 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2020, 11:24:55 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=USRcMrLqCag&feature=youtu.be

หายได้ ด้วยท่าออกกำลังกาย แค่ 1 นาที จะช่วยลดอาการปวดหลัง ปวดเอว ต้นคอ ลองทำตามเลย!!!
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #569 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 18, 2020, 11:29:33 PM »

https://www.youtube.com/watch?v=cJpIAJlcH3s&feature=youtu.be


กด 3 จุด หลับง่าย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 36 37 [38] 39 40 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: