jainu
|
 |
« ตอบ #585 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2020, 11:24:18 PM » |
|
กรมควบคุมโรคเตือน5 โรค 2 ภัยสุขภาพในช่วงฤดูหนาวนายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในช่วงเดือนตุลาคมถึงกุมภาพันธ์ของทุกปี ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งบางพื้นที่จะมีอุณหภูมิลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อากาศที่หนาวเย็นอาจทำให้ร่างกายปรับตัวไม่ทัน เสี่ยงเจ็บป่วยได้ง่าย ทั้งนี้ กรมควบคุมโรคมีความห่วงใยสุขภาพของประชาชนในช่วงฤดูหนาว จึงขอให้ประชาชนหมั่นดูแลร่างกายให้อบอุ่นและแข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อลดโอกาสที่จะเจ็บป่วยจากโรคและภัยสุขภาพ และได้ออกประกาศกรมควบคุมโรค เรื่อง การป้องกันโรคและภัยสุขภาพที่เกิดในช่วงฤดูหนาวของประเทศไทย พ.ศ.2563 เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยแบ่งเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
1.โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ (โรคไข้หวัดใหญ่ โรคปอดอักเสบ)
2.โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ (โรคอุจจาระร่วง)
3.โรคติดต่อที่สำคัญอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาว (โรคหัด โรคมือ เท้า ปาก) และ
4.ภัยสุขภาพ (การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว และการขาดอากาศหายใจจากการสูดดมก๊าซพิษจากอุปกรณ์ที่ใช้เพิ่มความอบอุ่นร่างกาย)
กลุ่มที่ 1 โรคติดต่อระบบทางเดินหายใจ ได้แก่
1.โรคไข้หวัดใหญ่ พบผู้ป่วยได้ตลอดทั้งปี พบมากในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว อัตราการเสียชีวิตมักพบในผู้ที่มีอายุมากกว่า 60 ปี หรือผู้ที่มีโรคประจำตัว
2.โรคปอดอักเสบ พบผู้ป่วยได้ทุกกลุ่มอายุ ติดต่อจากการหายใจหรือสัมผัสละอองฝอยจากน้ำมูก น้ำลายที่ปนเปื้อนเชื้อผ่านการไอ จาม แล้วนำมาสัมผัสที่จมูก ตา หรือปาก ทั้งสองโรคสามารถป้องกันได้ด้วยการรักษาสุขภาพ พักผ่อนให้เพียงพอ หมั่นล้างมือบ่อยๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น และสวมหน้ากากผ้าหรือหน้ากากอนามัยทุกครั้งเมื่อต้องคลุกคลีกับผู้อื่น
กลุ่มที่ 2 โรคติดต่อทางเดินอาหารและน้ำ ได้แก่
1.โรคอุจจาระร่วง เกิดจากการรับประทานอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อโรคเข้าไป ผู้ป่วยจะมีอาการถ่ายเหลวหรือถ่ายเป็นน้ำ 3 ครั้งขึ้นไปต่อวัน อาจมีไข้หรืออาเจียนร่วมด้วย ป้องกันได้โดยการดูแลสุขอนามัย เลือกรับประทานอาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตอย่างปลอดภัย ดื่มน้ำที่สะอาด รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและสะอาด อาหารค้างมื้อควรเก็บในตู้เย็น และอุ่นให้ร้อนทุกครั้งก่อนรับประทาน
กลุ่มที่ 3.โรคติดต่อที่สำคัญอื่นๆ ในช่วงฤดูหนาว ได้แก่
1.โรคหัด เกิดจากการหายใจเอาละอองอากาศที่ปนเปื้อนเชื้อไวรัสเข้าไป อาการจะคล้ายกับไข้หวัดธรรมดา และจะมีไข้สูง ตาแดงก่ำ 3-4 วัน จึงเริ่มมีผื่นขึ้นลักษณะผื่นนูนแดงติดกันเป็นปื้นๆ ป้องกันได้โดยการฉีดวัคซีนเข็มแรกตอนอายุ 9-12 เดือน เข็มสองตอนอายุ 2 ปีครึ่ง
2.โรคมือ เท้า ปาก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กเล็ก เกิดจากการสัมผัสโดยตรงกับน้ำมูก น้ำลาย ผื่น ตุ่มน้ำใส หรืออุจจาระของผู้ป่วย อาการคือ จะมีแผลหรือตุ่มในช่องปาก กระพุ้งแก้ม มีผื่นแดงหรือตุ่มบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า ส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรงและหายเองได้ ในการป้องกัน ผู้ปกครองและครูควรหมั่นสังเกตอาการผิดปกติของบุตรหลาน สถานศึกษาตรวจคัดกรองเด็กทุกคนก่อนเข้าเรียน หากพบอาการสงสัยว่าป่วย ให้แยกเด็กป่วยออกจากเด็กปกติทันที รีบพาไปพบแพทย์ และให้หยุดเรียนจนกว่าจะหายเป็นปกติ
กลุ่มที่ 4 ภัยสุขภาพ ได้แก่
1.การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว นิยามคือ การเสียชีวิตโดยไม่ทราบสาเหตุที่เกิดขึ้นในหรือนอกที่พักอาศัย เช่น บ้าน อาคาร สถานที่สาธารณะ โดยไม่ได้มีเครื่องนุ่งห่มหรือเครื่องห่มกันหนาวที่เพียงพอในพื้นที่อากาศหนาว และคาดว่าเกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว ข้อมูลจากกองระบาดวิทยา
กรมควบคุมโรค ได้ติดตามเฝ้าระวังสถานการณ์การเสียชีวิตที่เกี่ยวเนื่องจากภาวะอากาศหนาว ในช่วงฤดูหนาวตามประกาศของกรมอุตุนิยมวิทยา ระหว่างวันที่ 17 ตุลาคม 2562 - 29 กุมภาพันธ์ 2563 พบว่ามีผู้ป่วยเข้านิยามเฝ้าระวังฯ 37 ราย เสียชีวิตภายในบ้าน 25 ราย และนอกบ้าน 12 ราย (นอนบนเตียงไม้หน้าบ้าน นอนในเปล นอนในเรือ) โดยผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่ไม่มีผ้าห่มหรือสวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่ไม่เพียงพอ รองลงมาคือ มีโรคประจำตัว และมีประวัติการดื่มสุราเป็นประจำ ตามลำดับ สำหรับการป้องกัน ควรเตรียมความพร้อมร่างกายให้แข็งแรง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ดูแลสุขภาพแก่บุคคลกลุ่มเสี่ยงเป็นพิเศษ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคประจำตัว ให้สวมใส่เครื่องนุ่งห่มที่เพียงพอและอยู่อาศัยในที่อบอุ่น งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด รักษาความสะอาด ล้างมือ หลีกเลี่ยงการคลุกคลีกับผู้ป่วย รวมถึงไม่ห่มผ้าหรือสวมเสื้อผ้าที่เปียกชื้น
2.การขาดอากาศหายใจจากการสูดดมก๊าซพิษจากอุปกรณ์ที่ใช้เพิ่มความอบอุ่นร่างกาย ซึ่งฤดูหนาวจะมีประชาชนท่องเที่ยวตามภูเขาและยอดดอย และพักผ่อนในเต็นท์ โรงแรม หรือรีสอร์ต โดยเรื่องที่น่าห่วงคืออาจได้รับพิษจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์(CO2) คาร์บอนมอนนอกไซด์(CO) จากการใช้อุปกรณ์เพิ่มความอบอุ่น เช่น ตะเกียง เตาอั้งโล่ และเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส โดยระบบเผาไหม้เชื้อเพลิงไม่สมบูรณ์ ทำให้ก๊าซสะสมของในปริมาณมากจนอาจทำให้เกิดการเสียชีวิตได้อย่างเฉียบพลัน
ข้อมูลปี 2562 กองระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ได้เฝ้าระวังเหตุการณ์การป่วยและเสียชีวิตขณะอาบน้ำในห้องน้ำที่ใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส พบว่ามีรายงาน 4 เหตุการณ์ มีผู้ป่วย 5 ราย และเสียชีวิต 1 ราย ดังนั้น จึงควรระมัดระวังการใช้เครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊สและอุปกรณ์ทำความอบอุ่นต่างๆ ในการป้องกันคือ ไม่ควรจุดตะเกียงหรือเตาไฟที่ใช้น้ำมัน หลีกเลี่ยงการใช้ก๊าซเป็นเชื้อเพลิงภายในเต็นท์และภายในที่พักอาศัยที่ไม่มีการระบายอากาศเพียงพอ เจ้าของโรงแรม รีสอร์ต ควรมีการตรวจสอบคุณภาพ มาตรฐาน และการบำรุงรักษาเครื่องทำน้ำอุ่นระบบแก๊ส มีช่องหรือพัดลมระบายอากาศที่ได้มาตรฐาน ติดป้ายเตือนอันตราย และข้อควรปฏิบัติในการใช้งานอย่างชัดเจน ควรเว้นระยะเวลาการอาบน้ำต่อกันหลายคนอย่างน้อย 15-20 นาที เพื่อให้อากาศระบายออก
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคระบบทางเดินหายใจ ควรเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ และสถานประกอบการควรมีถังออกซิเจนขนาดเล็ก เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน ทั้งนี้ หากมีอาการผิดปกติ เช่น วิงเวียน หน้ามืด หายใจลำบาก ควรรีบปิดเครื่องทำน้ำอุ่นและรีบออกจากห้องน้ำ หรือพบเห็นคนหมดสติขณะอาบน้ำ ควรเปิดประตูเพื่อระบายอากาศ นำผู้ป่วยไปยังพื้นที่โล่ง ปฐมพยาบาลเบื้องต้น และโทรศัพท์แจ้งสายด่วน 1669 เพื่อนำส่งสถานพยาบาลที่ใกล้ที่สุด
นายแพทย์โอภาส กล่าวเพิ่มเติมว่า กรมควบคุมโรค ได้จัดทำประกาศแจ้งเตือนให้ระวังโรคและภัยสุขภาพไปยังหน่วยงานในพื้นที่ ประกอบด้วย สำนักงานป้องกันควบคุมโรคทั้ง 12 แห่ง และสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง พร้อมสั่งการให้หน่วยงานในสังกัดเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์ของโรคร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่อย่างต่อเนื่องและใกล้ชิด เพื่อควบคุม ป้องกัน การแพร่ระบาดของโรคติดต่อและภัยสุขภาพต่างๆ รวมถึงสื่อสารและประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชน เพื่อลดการเจ็บป่วยและเสียชีวิตของประชาชนให้ได้มากที่สุด
สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร.1422ขอขอบคุณ ข่าวสารที่มาดังนี้© สนับสนุนโดย Nation Channel https://www.msn.com/https://ddc.moph.go.th/index.php
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #586 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2020, 09:52:26 AM » |
|
https://www.facebook.com/PDRCSUT/posts/753968382014893https://beta.sut.ac.th/im-research Nation TV © สนับสนุนโดย Nation Channelโรคหอยคัน
เคยลงเล่นน้ำน้ำธรรมชาติ หลังจากนั้นไม่นานก็คันตามผิวหนังบริเวณที่สัมผัสน้ำ ก็เกาๆยิ่งเกาก็ยิ่งคัน ยิ่งคันก็ยิ่งเกาๆ ยิ่งเกาก็ยิ่งมัน ยิ้งมันก็ยิ่งเกา ก็เลยเกาๆๆๆ แล้วเราเป็นอะไร
อาการคันๆมันๆเหล่านี้เป็นลักษณะของโรคผิวหนังที่เกิดจากพยาธิที่อยู่ในน้ำ ได้ชอนไชเข้าสู่ผิวหนัง พยาธิเหล่านี้เป็นตัวอ่อนระยะเซอคาเรียของพยาธิใบไม้เลือดสัตว์ เนื่องจากมีโฮสต์จำเพาะเป็นสัตว์ คนเราไม่ใช่โฮสต์จำเพาะ พยาธิไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยได้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายก็มักจะตายหลังจากไชไประยะเวลาหนึ่งบริเวคผิวหนัง เวลาไชไปตามผิวหนังก็กระตุ้นให้เกิดอาการคัน จากปฏิกิริยาการตอบสนองของโฮสต์ จากอาการคันเหล่านี้ และจากหอยที่มีพยาธิใบไม้เลือด เลยเรียกหอยคัน โรคที่เกิดขึ้นจึงเรียกโรคพยาธิหอยคัน หรือโรคน้ำคัน
เรามาทำความรู้จักพยาธิใบไม้เลือดให้มากยิ่งขึ้นกัน
Animal Schistosome
พยาธิใบไม้เลือด ก่อให้เกิดโรคน้ำคันหรือโรคหอยคัน (Cercarial dermatitis หรือ Swimmer’s itch) คันที่บริเวณผิวหนังอันเกิดจากตัวอ่อนพยาธิระยะเซอร์คาเรีย (Cercaria) ของพยาธิใบไม้เลือดของสัตว์ เช่น วัว ควาย อาทิ Schistosoma spindale หรือ S. incognitum เป็นต้น ไชเข้าสู่ผิวหนัง เซอร์คาเรียของพยาธิของสัตว์จะไม่สามารถเจริญเติบโตเป็นตัวแก่ในคนได้ พยาธิใบไม้เลือดที่พบได้บ่อยในประเทศไทย มีหอย Indoplanorbis exustus (หอยคัน) ตัวแบนคล้ายเลขหนึ่ง
การติดต่อ
เซอร์คาเรียของพยาธิใบไม้เลือดของสัตว์ ไชเข้าทางผิวหนัง กลุ่มเสี่ยงคือ ชาวนา ผู้ที่ต้องสัมผัสกับแหล่งน้ำอยู่บ่อย ๆ เช่น ผู้ที่มีอาชีพงมหอย เก็บผักบุ้ง หรือเด็ก ๆ ที่ชอบว่ายน้ำตามแหล่งน้ำต่าง ๆ
อาการ
มักจะมีอาการคันตามตัว ปวดแสบปวดร้อน ต่อมาจะมีตุ่มขึ้นคล้าย ๆ กับยุงกัด ผู้ป่วยบางรายอาจจะมีอาการแพ้มากเป็นพิเศษ ทำให้เกิดตุ่มจำนวนมาก ยิ่งทำให้เกิดอาการคันมากยิ่งขึ้น
การวินิจฉัย
- ประวัติการสัมผัสน้ำ และมีผื่นคันที่ผิวหนัง ลักษณะเป็นจุดแดง - พบพยาธิตัวอ่อนระยะเซอร์คาเรียจากการตรวจหอยตามแหล่งที้ลงสัมผัส
การรักษา
รักษาตามอาการ แก้อาการคันโดยทา Calamine กรณีมีอาการแพ้ ให้ยาแก้แพ้พวก Chlorpheniramine แต่ถ้าหสกผู้ป่วยมีอสการแพ้มาก อาจจะให้ยากดภูมิคุ้มกันพวก steroid เช่น Dexamethazone แต่ควรอยู่ภายใต้คำแนะนำจากเภสัชกรและแพทย์
การป้องกัน
- ทาวาสลินตามตัวก่อนลงสู่แหล่งน้ำแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้พยาธิหอยคันมาเกาะที่ผิวหนัง - อาบน้ำให้สะอาดและใช้ผ้าเช็ดตัวแรงๆเมื่อขึ้นจากแหล่งน้ำเพื่อทำให้พยาธิหอยคันที่ติดอยู่ตามผิวหนังหลุดออกไป เอกสารอ้างอิง- Marjorie Hecth. Cercarial Dermatitis (Swimmer’s Itch). Access: https://www.healthline.com/health/cercarial-dermatitis- Center for Disease Control and Prevention, USA. Cercarial dermatitis. Access: https://www.cdc.gov/parasites/swimmersitch/biology.html- ณัฏฐวุฒิ แก้วพิทูลย์. พยาธิใบไม้เลือด. ตำราปรสิตวิทยาทางการพยาบาลและสาธารณสุข. 2562, 410 หน้า
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #587 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2020, 10:08:19 AM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #589 เมื่อ: พฤศจิกายน 22, 2020, 11:17:55 AM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=utYkyb7oRLUMahidol Channel มหิดล แชนแนล
กรดไหลย้อน อ.นพ.วิฑูร ชินสว่างวัฒนกุล ได้ทำการตรวจคนไข้ซึ่งมีอาการทานอาหารไม่ได้ ทานน้ำไม่ได้ ปวดบริเวณลิ้นปี่ ปวดจุกแน่น ปวดหลังรับประทานอาหาร มีอาการอย่างนี้มาเดือนกว่า ๆ คนไข้คนนี้มีหลอดอาหารส่วนปลายตีบร่วมด้วย ซึ่งได้ทำการรักษาผ่าตัดหลอดอาหารไปเรียบร้อยแล้ว คุณหมอแนะนำให้พยายามกินอาหารให้ตรงเวลา และพยายามอย่าทานอาหารรสจัดhttps://www.youtube.com/watch?v=RWXZ78eSbz8จาก EP133 อันตราย 7 อย่างของโรคกรดไหลย้อน ท่านได้รู้ถึงอันตรายของกรดไหลย้อนไปแล้ว คลิปนี้จะแนะนำ อาหารที่จะช่วยให้อาการของกรดไหลย้อนของท่านลดลง กับ อาหาร 7 ชนิดที่จะทำให้อาการกรดไหลย้อนดีขึ้น สำหรับท่านที่ยังไม่ได้รับชม "อันตราย 7 อย่างของโรคกรดไหลย้อน" สามารถกดที่ลิงค์ด้านล่างได้เลยครับhttps://www.youtube.com/watch?v=58y7httzkA8โรคกรดไหลย้อน เป็นภาวะที่น้ำย่อยในกระเพาะไหลย้อนกลับมาในหลอดอาหาร จนทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร โดยผู้ป่วยจะรู้สึกแสบร้อนกลางอก เรอเปรี้ยว หรือคลื่นไส้ ซึ่งท่านทราบหรือไม่ครับว่าโรคกรดไหลย้อนนั้นมีความอันตรายอย่างไรบ้าง คลิปนี้จะบอกถึงอันตราย 7 อย่างของโรคกรดไหลย้อนhttps://www.youtube.com/watch?v=KQMUu_QJhyYNosickHandup ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น 231K subscribers รายละเอียด การปรับพฤติกรรม การทานอาหาร และการใช้ยาสมุนไพร ดูรายละเอียดที่กรดไหลย้อนระยะที่ 3 - http://nosickhandup.com/?p=239กรดไหลย้อนระยะที่ 2 - http://nosickhandup.com/?p=231กรดไหลย้อนระยะเบื้องต้น - http://nosickhandup.com/?p=206ข้อสำคัญคือการลดความเครียด ความกังวล ขณะทานอาหารไม่ควรทำกิจกรรมมากเกินไป เพื่อให้เลือดหล่อเลี้ยงระบบย่อยอาหาร ลดการใช้ยาลดกรด หรือ ยาเคลือบแผลถ้าไม่จำเป็นhttps://www.youtube.com/watch?v=pOn132x959sNosickHandup ใครไม่ป่วยยกมือขึ้น ลำดับการนวด นวดฝ่าเท้า 1. จุดกระเพาะอาหาร - กระตุ้นการย่อยอาหาร 2. จุดลำไส้เล็ก - กระตุ้นธาตุไฟในการย่อย 3. จุดลำไส้ใหญ่ - กระตุ้นการขับถ่าย ขับลมในลำไส้ 4. จุดตับ - กระตุ้นการหลั่งน้ำย่อย และ เอ็นไซม์
นวดตัว และ นวดตามแนวเส้นลมปราณ 1. แนวเส้นลมปราณกระเพาะอาหาร 2. แนวเส้นลมปราณถุงน้ำดี 3. แนวเส้นลมปราณตับ 4. นวดรอบสะดือ ไล่ลม 5. นวดหลัง คลายระบบประสาท
ยืดเหยียด 1. ท่าฤาษีดัดตน ยิงธนู เพื่อยืดเหยียดเส้นลมปราณตับ 2. ท่าโยคะ ผีเสื้อ เพื่อคลายความตึงเส้นลมปราณตับ
ลำดับการนวดhttps://siamsappaya.in.th/?p=487
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #590 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2020, 09:45:08 AM » |
|
ข้อเข่าเสื่อม ยิ่งอ้วนยิ่งเสี่ยง
เรื่องโรคภัยไข้เจ็บเรียกว่าไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอายุมากขึ้นทุกวัน บวกกับทุกวันนี้หลายคนละเลยตัวเอง ยิ่งทำให้โรคร้ายถามหาอยู่บ่อยๆ โดยเฉพาะโรค ข้อเข่าเสื่อม ที่มีผู้ป่วยมากขึ้นทุกๆ วัน โรคข้อเข่าเสื่อมนี้เป็นโรคที่เกิดจากการสึกกร่อนของกระดูกอ่อนผิวข้อ โดยคนไทยมักจะเป็นโรคข้อเข่าเสื่อมประมาณ 70-80% เนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวันของคนไทยที่มักนั่งกับพื้นเป็นส่วนใหญ่ เมื่อนั่งกับพื้น นอกจากนี้ ผู้หญิงยังเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย เพราะเสี่ยงจะเป็นโรคอ้วนมากกว่าเพศชาย ทั้งปัจจุบันหญิงไทยมีอายุเฉลี่ยสูงขึ้นจาก 60 กว่า เป็น 70 กว่าปี ทุกวันนี้พบเร็วขึ้นในอายุประมาณ 40-50 ปี ทั้งนี้ ภาวะอ้วนทำให้ข้อเข่าแบกรับน้ำหนักมากเกินถือเป็นปัจจัยสำคัญกับโรคนี้
"น้ำหนักตัวถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลให้ข้อเสื่อมได้เร็วขึ้น เพราะแต่ละก้าวที่เราเดินและยืน เข่าต้องรับน้ำหนักของร่างกายไว้ทำให้เกิดแรงกดทับ ส่งผลให้เกิดภาวะข้อเสื่อมได้ ซึ่งปกติเท้าจะรับน้ำหนักข้างละ 50 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเดินก็จะเพิ่มเป็น 1.5 เท่าของน้ำหนักตัว เมื่อวิ่งก็จะเป็น 3-5 เท่าของน้ำหนักตัว ยิ่งถ้ากระโดดก็จะเพิ่มเป็น 7 เท่าของน้ำหนักตัว ยิ่งมีพฤติกรรมเสี่ยงจะทำให้ข้อรับแรงกระทำมากขึ้น ส่งผลให้ข้อสึกได้ง่ายขึ้นตามไปด้วย ทำให้ข้อเสื่อมได้"
สำหรับวิธีการรักษาให้หมั่นออกกำลังกายสม่ำเสมอ ยาที่ดีที่สุดคือการออกกำลังกาย โดยกีฬาที่เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคข้อ จะเป็นกีฬาประเภทที่ไม่มีการกระแทกแรงๆ เช่น ขี่จักรยาน เดินเร็ว ว่ายน้ำ เล่นแอโรบิกช้าๆ รำไทเก๊ก ส่วนกีฬาที่ไม่เหมาะ ไม่ควรเล่นกีฬาที่ใช้แรงกระแทก ซึ่งหากเป็นมากก็ควรทำกายภาพบำบัดหรือผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าต่อไป ระวังไว้ก่อนดีที่สุดhttps://www.facebook.com/folkdoctorthailand/posts/10157987058222028 มูลนิธิหมอชาวบ้าน @folkdoctorthailand · Alternative & Holistic Health Service
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2020, 09:47:07 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #591 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2020, 09:51:43 AM » |
|
การตรวจสุขภาพที่เหมาะสม
ปัจจุบัน มีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์จากสถานพยาบาลภาครัฐและเอกชน ชี้ชวนให้คนมา “ตรวจสุขภาพ” จำนวนมาก “การตรวจสุขภาพ เกี่ยวข้องกับ 2 เรื่องหลักๆ คือ
1.การค้นหาโรคที่ซ่อนอยู่ในตัวเรา โดยที่ยังไม่มีอาการผิดปกติให้สังเกตได้ เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง มะเร็งปากมดลูกระยะแรก เป็นต้น ถ้ามีอาการเจ็บป่วยปรากฏให้เห็นแล้วค่อยไปตรวจ ไม่ใช่การตรวจสุขภาพ แต่เป็นการตรวจเพื่อให้แพทย์วินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคอะไร เพื่อยืนยันผล เมื่อทราบผลการตรวจที่แน่นอนแล้วก็จะได้ให้การรักษาอย่างเหมาะสม
2.การค้นหาพฤติกรรมเสี่ยง และปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคต่างๆ เพื่อจะได้รู้ว่าสุขภาพของเราเป็นอย่างไรบ้าง และถ้าพบว่าเรามีพฤติกรรมเสี่ยงหรือปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคอะไร แพทย์ที่ตรวจก็จะให้คำแนะนำในการปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บตามมา อะไรคือ “การตรวจสุขภาพที่เหมาะสม”
ก่อนที่จะไปสถานพยาบาลเพื่อตรวจสุขภาพ เราต้องรู้ว่าตัวจะไปตรวจอะไรบ้าง ดังนั้น เพื่อไม่ให้การตรวจสุขภาพผิดพลาด จะต้องซักประวัติอย่างละเอียด การซักประวัติจะทำให้ค้นพบปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคได้ เมื่อรู้ปัจจัยเสี่ยงแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการตรวจร่างกายและตรวจแล็บ (ห้องปฏิบัติการ) เฉพาะที่จำเป็นเท่านั้น พบว่าบางครั้งไม่จำเป็นต้องตรวจแล็บเลยก็ได้
การตรวจสุขภาพที่ให้ความสำคัญกับการ “ตรวจแล็บ” มากกว่า “การซักประวัติอย่างละเอียด” ทำให้มีคนจำนวนมากเข้าใจผิดคิดว่าการตรวจสุขภาพคือการตรวจหาโรคโดย “ตรวจแล็บ” เป็นหลัก และมุ่งเน้นการรักษาจากหมอ แต่ละเลยการดูแลสุขภาพตนเอง
ผลจากการ “ตรวจแล็บ” มั่นใจได้แค่ไหน ขออย่าได้มั่นใจการตรวจแล็บ 100 เปอร์เซ็นต์
ผลการตรวจแล็บหลายรายการ “ขาดความแม่นยำ” และแพทย์ควรแจ้งให้ผู้ถูกตรวจทราบด้วย ส่วนผลการตรวจแล็บที่ออกมามีอยู่ 4 ลักษณะ ดังนี้
1.ผลลบจริง ไม่เป็นโรค
2.ผลบวกจริง เป็นโรค
3.ผลลบลวง เป็นโรคแฝงอยู่ แต่ตรวจไม่พบ
4.ผลบวกลวง ไม่เป็นโรค แต่ผลการตรวจเบื้องต้นว่าเป็นโรค
ถ้าไปตรวจร่างกายแล้วผลแล็บออกมาว่าเป็นโรค (อาจเป็น “บวกจริง” หรือ “บวกลวง” ก็ได้) แพทย์จึงต้องตรวจเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าเป็นโรคจริง เพื่อจะให้การรักษาได้อย่างเหมาะสม
ปัจจุบัน ยังไม่มีหน่วยงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสุขภาพระดับชาติ หน่วยงานนี้ต้องมีหน้าที่กำหนดหลักเกณฑ์ แนวทางการตรวจสุขภาพที่จำเป็นและเหมาะสม มีการตรวจสอบ ควบคุมมาตรฐาน และติดตามการดำเนินงานในการตรวจสุขภาพของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งให้ความรู้หรือคำปรึกษาแก่ประชาชนด้วย มูลนิธิหมอชาวบ้าน @folkdoctorthailand · Alternative & Holistic Health Service
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: พฤศจิกายน 23, 2020, 09:58:06 AM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #592 เมื่อ: พฤศจิกายน 29, 2020, 08:37:23 AM » |
|
ดิฉันเป็นอาจารย์หมอค่ะ เชี่ยวชาญพิเศษในการรักษาโรคอัลไซเมอร์ หลังจากการประชุมบรรยายเสร็จสิ้น ฉันเดินออกจากโรงแรมและหากุญแจรถ แต่ฉันต้องตกใจมาก เพราะกุญแจรถไม่อยู่ในกระเป๋าของดิฉัน ฉันรีบวิ่งไปที่ห้องประชุมฯ มองหากุญแจรถ ไม่พบเช่นกัน
ฉับพลันฉันนึกขึ้นได้ ฉันต้องลืมทิ้งไว้ในรถแน่ เพราะสามีเคยเตือนดิฉันหลายครั้งแล้วว่า อย่าลืมคากุญแจไว้ที่รถนะ!
ฉันยิ่งมั่นใจว่าการคาลูกกุญแจไว้ในรถน่าจะเป็นสาเหตุที่หาลูกกุญแจไม่เจอ ฉับพลันฉันก็นึกได้ว่า รถต้องถูกขโมยขับไปเสียแล้ว
ทันที ทันใดนั้น ฉันก็รีบวิ่งไปที่จอดรถ ฉันคิดถูก ที่จอดรถว่างเปล่า! ฉันไม่รีรอ หยิบโทรศัพท์โทรแจ้งตำรวจ บอกสถานที่ของเหตุการณ์ ลักษณะรถยนต์ สถานที่จอดรถ พร้อมสารภาพกับตำรวจว่า ฉันลืมดึงลูกกุญแจ คาลูกกุญแจไว้ที่รถ และนั่นคือสาเหตุที่รถถูกขโมยขับออกไป
หลังจากนั้น ฉันโทรหาสามีด้วยความลำบากใจและรู้สึกผิดว่า... “ฮัลโล ที่รัก! (พูดตะกุกตะกัก ไพเราะที่สุดแบบรู้สึกผิด) ฉันลืมกุญแจไว้ในรถ และรถถูกขโมยไปแล้ว”
เงียบ..ไม่มีเสียงตอบ? ฉันคิดว่าเขาคงไม่ได้รับสายหรือไม่ก็คงช็อคที่รถหาย. ?
และแล้วฉันก็ต้องตกใจ เมื่อได้ยินเสียงตะโกนออกมาจากโทรศัพท์ว่า..“กูเป็นคนขับรถไปส่งที่โรงแรมเอง !!!”
แม้ไม่สุภาพแต่ฉันก็เงียบและพูดตอบอย่างขวยเขินว่า “กรุณามารับฉันด้วยนะค่ะ?”
เสียงสามีตะโกนใส่มาอีกครั้ง!!ว่า.. “กูจะรีบไปรับให้เร็วที่สุด แต่ตอนนี้กูถูกตำรวจจับอยู่! ไม่รู้หมาตัวไหนโทรไปแจ้งว่ารถหาย ให้กูอธิบายให้ตำรวจเข้าใจก่อนว่า กูไม่ได้ขโมยรถมา เวร !!!!!!!!”
ขอขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ (ไม่สามารถหาภาพได้ ขอขอบคุณบทความไว้ ณ ที่นี้ค่ะ) Viyadarat Springer
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #593 เมื่อ: ธันวาคม 02, 2020, 09:24:15 PM » |
|
การเดินมีประโยชน์จริงๆ 1 กม. ประมาณ 3,600 ก้าว
การเดินให้ประโยชน์สูงสุด ทั้งในด้านการป้องกันโรคและในด้านการรักษา
เมื่อเดิน 12,000-15,000 ก้าวต่อวัน จะช่วยควบคุมน้ำหนักตัวและช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูกและกล้ามเนื้อ
เมื่อเดิน 9,900-10,000 ก้าวต่อวัน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ในอัตราความเร็วที่ทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น จัดเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก ช่วยให้การทำงานของหัวใจและปอดดีขึ้น ปัจจุบันนี้ยังไม่มียาหรือสารอาหารใดที่จะทำให้หัวใจและปอดมีความแข็งแรง ทนทานได้เท่าการออกกำลังกาย
เมื่อเดิน 9,900-10,000 ก้าวต่อวัน หรือ 70,000 ก้าวต่อสัปดาห์ จะช่วย 1. ควบคุมความดันโลหิตได้ดีขึ้นในผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูง 2. ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด 3. เพิ่มไขมันดี ( HDL )
ขอบคุณข้อมูลจาก โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #594 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2020, 05:11:41 PM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=69Yemi6LXxI&feature=youtu.bePukThongThai Channel 243K subscribers สูตรเด็ดขาดหายได้ภายใน 2 อาทิตย์โดยไม่ต้องเห็นหน้าหมอ หรือกินยาใดๆทั้งสิ้น #ปรึกษา อ.ไม้ร่ม Facebook : mairom-roong thammachati-asoka #สั่งซื้อเกลือดำกาลานามัคของแท้ 100% ได้ที่ Url: https://line.me/R/ti/p/%40466tpswxLineID บัญชีทางการ : @Sakahari โทร.06-1156-9776 , 095-809-5849 สนใจหนังสือและวัตถุดิบการทำอาหารซาคาฮารี ติดต่อ ได้ที่ LineIDบัญชีทางการ: @sakahari (อย่าลืมใส่@นำหน้า) Line ลิ้งค์: http://nav.cx/2onJGbBเบอร์โทร : โทร. 06-1156-9776, 06-5496-5806 #สูตรปราบมะเร็งด้วยอาหาร
มะเร็งหายเด็ดขาดได้ภายใน 2 อาทิตย์ รักษาตัวเองง่ายๆ ด้วยอาหาร โดยไม่ต้องกินยาและหาหมอ
1.ก่อนกินให้ดูยูปทูปไม้ร่มปราบมะเร็งตอนที่1และ2 หรืออ่านข้อความนี้ จนหมดข้อสงสัยจึงค่อยปฏิบัติการ โดยใช้กระดาษลิตมัสมาตรฐานวัดน้ำลาย ว่ามีความเป็นกรดเป็นด่างเท่าไรแล้วจดบันทึกไว้
2.เพื่อความแน่ใจให้วัดค่าความเป็นด่างของเกลือดำกาลานามัคด้วยกระดาษลิตมัส ที่ควรมีความเป็นด่าง 8 ขึ้นไป
3.จำให้ขึ้นใจต้องกินตามสูตรนี้เป๊ะๆ ห้ามกินยา,อาหาร,เครื่องดื่มและผลไม้อื่นใดทั้งสิ้นโดยเด็ดขาด!!! นอกจากน้ำเปล่า 4.แล้วให้เริ่มกินข้าวขัดขาว(เท่านั้น) กับมะม่วงสุก จะกินกี่มื้อ กินเท่าไร.มะม่วงพันธุ์อะไรก็ได้แต่ต้องเป็นมะม่วงสุก หิวก็กิน (หากให้อาหารทางสายยางหรือเคี้ยวไม่ได้ก็ให้ใช้วิธีบดปั่นให้ละเอียดก่อน)
5.จะกินโยเกิร์ตร่วมด้วยหรือจะไม่กินก็ได้ แต่ต้องเป็นรสธรรมชาติที่ไม่ผสมสิ่งใดทั้งสิ้น
6.หลังมื้อเช้าวันละ 1 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมะนาว 3 ลูก(กับเม็ดโดยไม่ต้องเคี้ยว) + เกลือดำกาลานามัค 3 ช้อนชาพูน + น้ำเปล่าเล็กน้อย จนครบ 2 อาทิตย์ (ถ้าให้อาหารทางสายยาง ให้ทำหลังกินข้าวกับมะม่วงเรียบร้อยแล้วสัก 2-3 นาที แต่ต้องกรองเอาเม็ดมะนาวออกก่อน)
หมายเหตุ . ***หากมีอาการ คลื่นไส้ ปวดหัว ไข้ เท้าบวม ฯลฯ ให้ทบทวนว่ากินมาเป๊ะๆหรือไม่ หรือหากทำตามสูตรแล้วเป๊ะแต่มีอาการก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมะม่วงข้าวมะนาวเกลือเป็นอาหารจึงไม่เป็นอันตรายกับใคร
แต่กำลังทำการรักษา ให้อดทนทำต่อไปเพราะอาการคือการรักษาที่จะค่อยๆทุเลาแล้วหายไปเอง
*** ก่อนรักษารู้ให้ชัด แล้วเด็ดขาด ยิ้มไว้ว่าหายแน่ เพราะไม่มีใครโทรมาบอกว่าไม่หาย เพราะมีคนโทรมาบอกว่าไม่หายเพียงรายเดียวเท่านั้น เมื่อตรวจสอบ ก็รู้ว่าเพราะความเครียด ฉะนั้นนอกจากไม่เครียดแล้วก็ให้ยิ้มในระหว่างการรักษา โรคมะเร็งร้ายก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง
***คนเป็นโรคหัวใจกับมะเร็งพร้อมกันห้ามใช้สูตรนี้!!!!
***กรณีผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็ให้รักษาสูตรปราบมะเร็งควบคู่กับการกิน เม็ดเมที 2 ช้อนชาแช่น้ำข้ามคืน รุ่งเช้ากินทั้งเม็ดและน้ำก่อนอาหารเช้า และเดียบีคอน ดีเอส วันละ 1 เม็ดหลังมื้อเช้า
***สูตรนี้นอกจากจะเป็นสูตรรักษามะเร็งให้หายขาด 100% ภายใน 2 อาทิตย์แล้ว ก็ยังใช้เป็นสูตรล้างพิษ และก็ยังเป็นสูตรรักษาโรคอื่นได้แทบทุกโรคนอกเหนือจากมะเร็ง เช่น ไต เนื้องอก เก๊า อัมพฤกต์ เหน็บชา ความจำเสื่อม ปวดเหมื่อยนอนไม่หลับ เอดส์ ต่อมไทรอยด์ ภูมิแพ้ กระทั่งโรคซึมเศร้า ฯลฯ ได้ในทุกเพศทุกวัยที่ปลอดภัยที่สุด
*** เมื่อกินสูตรนี้ครบ 2 อาทิตย์ ค่าน้ำลายจะอยู่ที่ 7 หรือเลย 7 ขึ้นไป นั่นหมายความว่าจะให้หมอตรวจอย่างไรก็ไม่พบเชื้อมะเร็งแล้ว ***หากกินสูตรปราบมะเร็งแล้วไม่ถ่าย ก็ให้ดื่มมะนาวผสมเกลือดำกาลานามักในน้ำอุ่นค่อนข้างร้อน 2-3 แก้ว ดื่มในตอนเช้าก่อนเข้าห้องน้ำ สัดส่วนตามปริมาณที่จะทำให้ถ่ายได้
***ผู้ที่กินครบ 2 อาทิตย์ตามสูตรอาหารนี้เป๊ะๆแล้ว ค่าน้ำลายยังเป็นกรด ค่าความเป็นด่างไม่ถึง 7 ก็ให้กินสูตรนี้ต่อไปสักระยะหนึ่ง
***ข้าวที่ใช้ ต้องเป็นข้าวหอมมะีขาวนะครับ
ตัดเสบียงอาหารกับตัดที่อยู่อาศัย โดยไม่ต้องใช้อาวุธ ศัตรูก็อยู่ไม่ได้ โรคร้ายก็หายไป" และโปรดติดตามตอนต่อไป...
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #595 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2020, 05:14:48 PM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=vJpsAqTIoCk&feature=youtu.beไม้ร่มปราบมะเร็ง EP.2 รักษาจริง หายจริง (Mairom Thammachati-asoka)สูตรปราบมะเร็งด้วยอาหาร มะเร็งหายเด็ดขาดได้ภายใน 2 อาทิตย์ รักษาตัวเองง่ายๆ ด้วยอาหาร โดยไม่ต้องกินยาและหาหมอ
1.ก่อนกินให้ดูยูปทูปไม้ร่มปราบมะเร็งตอนที่1และ2 หรืออ่านข้อความนี้ จนหมดข้อสงสัยจึงค่อยปฏิบัติการ โดยใช้กระดาษลิตมัสมาตรฐานวัดน้ำลาย ว่ามีความเป็นกรดเป็นด่างเท่าไรแล้วจดบันทึกไว้
2.เพื่อความแน่ใจให้วัดค่าความเป็นด่างของเกลือดำกาลานามัคด้วยกระดาษลิตมัส ที่ควรมีความเป็นด่าง 8 ขึ้นไป
3.จำให้ขึ้นใจต้องกินตามสูตรนี้เป๊ะๆ ห้ามกินยา,อาหาร,เครื่องดื่มและผลไม้อื่นใดทั้งสิ้นโดยเด็ดขาด!!! นอกจากน้ำเปล่า
4.แล้วให้เริ่มกินข้าวขัดขาว(เท่านั้น) กับมะม่วงสุก จะกินกี่มื้อ กินเท่าไร.มะม่วงพันธุ์อะไรก็ได้แต่ต้องเป็นมะม่วงสุก หิวก็กิน (หากให้อาหารทางสายยางหรือเคี้ยวไม่ได้ก็ให้ใช้วิธีบดปั่นให้ละเอียดก่อน)
5.จะกินโยเกิร์ตร่วมด้วยหรือจะไม่กินก็ได้ แต่ต้องเป็นรสธรรมชาติที่ไม่ผสมสิ่งใดทั้งสิ้น
6.หลังมื้อเช้าวันละ 1 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมะนาว 3 ลูก(กับเม็ดโดยไม่ต้องเคี้ยว) + เกลือดำกาลานามัค 3 ช้อนชาพูน + น้ำเปล่าเล็กน้อย จนครบ 2 อาทิตย์ (ถ้าให้อาหารทางสายยาง ให้ทำหลังกินข้าวกับมะม่วงเรียบร้อยแล้วสัก 2-3 นาที แต่ต้องกรองเอาเม็ดมะนาวออกก่อน)
หมายเหตุ . ***หากมีอาการ คลื่นไส้ ปวดหัว ไข้ เท้าบวม ฯลฯ ให้ทบทวนว่ากินมาเป๊ะๆหรือไม่ หรือหากทำตามสูตรแล้วเป๊ะแต่มีอาการก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมะม่วงข้าวมะนาวเกลือเป็นอาหารจึงไม่เป็นอันตรายกับใคร แต่กำลังทำการรักษา ให้อดทนทำต่อไปเพราะอาการคือการรักษาที่จะค่อยๆทุเลาแล้วหายไปเอง
*** ก่อนรักษารู้ให้ชัด แล้วเด็ดขาด ยิ้มไว้ว่าหายแน่ เพราะไม่มีใครโทรมาบอกว่าไม่หาย เพราะมีคนโทรมาบอกว่าไม่หายเพียงรายเดียวเท่านั้น เมื่อตรวจสอบ ก็รู้ว่าเพราะความเครียด ฉะนั้นนอกจากไม่เครียดแล้วก็ให้ยิ้มในระหว่างการรักษา โรคมะเร็งร้ายก็จะหายเป็นปลิดทิ้ง ***คนเป็นโรคหัวใจกับมะเร็งพร้อมกันห้ามใช้สูตรนี้!!!!
***กรณีผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็ให้รักษาสูตรปราบมะเร็งควบคู่กับการกิน เม็ดเมที 2 ช้อนชาแช่น้ำข้ามคืน รุ่งเช้ากินทั้งเม็ดและน้ำก่อนอาหารเช้า และเดียบีคอน ดีเอส วันละ 1 เม็ดหลังมื้อเช้า
***สูตรนี้นอกจากจะเป็นสูตรรักษามะเร็งให้หายขาด 100% ภายใน 2 อาทิตย์แล้ว ก็ยังใช้เป็นสูตรล้างพิษ และก็ยังเป็นสูตรรักษาโรคอื่นได้แทบทุกโรคนอกเหนือจากมะเร็ง เช่น ไต เนื้องอก เก๊า อัมพฤกต์ เหน็บชา ความจำเสื่อม ปวดเหมื่อยนอนไม่หลับ เอดส์ ต่อมไทรอยด์ ภูมิแพ้ กระทั่งโรคซึมเศร้า ฯลฯ ได้ในทุกเพศทุกวัยที่ปลอดภัยที่สุด
*** เมื่อกินสูตรนี้ครบ 2 อาทิตย์ ค่าน้ำลายจะอยู่ที่ 7 หรือเลย 7 ขึ้นไป นั่นหมายความว่าจะให้หมอตรวจอย่างไรก็ไม่พบเชื้อมะเร็งแล้ว ***หากกินสูตรปราบมะเร็งแล้วไม่ถ่าย ก็ให้ดื่มมะนาวผสมเกลือดำกาลานามักในน้ำอุ่นค่อนข้างร้อน 2-3 แก้ว ดื่มในตอนเช้าก่อนเข้าห้องน้ำ สัดส่วนตามปริมาณที่จะทำให้ถ่ายได้
***ผู้ที่กินครบ 2 อาทิตย์ตามสูตรอาหารนี้เป๊ะๆแล้ว ค่าน้ำลายยังเป็นกรด ค่าความเป็นด่างไม่ถึง 7 ก็ให้กินสูตรนี้ต่อไปสักระยะหนึ่ง
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #596 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2020, 05:20:00 PM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=0O5X40OHLLsไม้ร่มปราบมะเร็ง Ep.3 อาหารฟื้นฟูสุขภาพหลังหายมะเร็ง (Mairom Thammachati-asoka)1.สูตรปราบมะเร็งด้วยอาหาร มะเร็งหายเด็ดขาดได้ภายใน 2 อาทิตย์ รักษาตัวเองง่ายๆด้วยอาหาร โดยไม่ต้องกินยาและหาหมอ
1.ก่อนกินให้ดูยูปทูปไม้ร่มปราบมะเร็งตอนที่ ๑, ๒, ๓ หรืออ่านข้อความนี้ จนหมดข้อสงสัยจึงค่อยปฏิบัติการ โดยใช้กระดาษลิตมัสมาตรฐานวัดน้ำลาย ว่ามีความเป็นกรดเป็นด่างเท่าไรแล้วจดบันทึกไว้
2.เพื่อความแน่ใจให้วัดค่าความเป็นด่างของเกลือดำกาลานามัคด้วยกระดาษลิตมัส ที่ควรมีความเป็นด่าง 8 ขึ้นไป
3.จำให้ขึ้นใจต้องกินตามสูตรนี้เป๊ะๆ ห้ามกินยา,อาหาร,เครื่องดื่มและผลไม้อื่นใดทั้งสิ้นโดยเด็ดขาด!!! นอกจากน้ำเปล่า
4.แล้วให้เริ่มกินข้าวขัดขาว(เท่านั้น) กับมะม่วงสุก จะกินกี่มื้อ กินเท่าไร.มะม่วงพันธุ์อะไรก็ได้แต่ต้องเป็นมะม่วงสุก หิวก็กิน (หากให้อาหารทางสายยางหรือเคี้ยวไม่ได้ก็ให้ใช้วิธีบดปั่นให้ละเอียดก่อน)
5.จะกินโยเกิร์ตร่วมด้วยหรือจะไม่กินก็ได้ แต่ต้องเป็นรสธรรมชาติที่ไม่ผสมสิ่งใดทั้งสิ้น
6.หลังมื้อเช้าวันละ 1 ครั้ง ให้ดื่มน้ำมะนาว 3 ลูก(กับเม็ดโดยไม่ต้องเคี้ยว) + เกลือดำกาลานามัค 3 ช้อนชาพูน + น้ำเปล่าเล็กน้อย จนครบ 2 อาทิตย์ (ถ้าให้อาหารทางสายยาง ให้ทำหลังกินข้าวกับมะม่วงเรียบร้อยแล้วสัก 2-3 นาที แต่ต้องกรองเอาเม็ดมะนาวออกก่อน)
หมายเหตุ . *หากมีอาการ คลื่นไส้ ปวดหัว ไข้ เท้าบวม ฯลฯ ให้ทบทวนว่ากินมาเป๊ะๆหรือไม่ หรือหากทำตามสูตรแล้วเป๊ะแต่มีอาการก็ไม่ต้องตกใจ เพราะมะม่วงข้าวมะนาวเกลือเป็นอาหารจึงไม่เป็นอันตรายกับใคร แต่กำลังทำการรักษา ให้อดทนทำต่อไปเพราะอาการคือการรักษาที่จะค่อยๆทุเลาแล้วหายไปเอง
*คนเป็นโรคหัวใจกับมะเร็งพร้อมกันห้ามใช้สูตรนี้!!!!
*กรณีผู้ป่วยมะเร็งที่เป็นเบาหวานร่วมด้วย ก็ให้รักษาสูตรปราบมะเร็งควบคู่กับการกิน เม็ดเมที 2 ช้อนชาแช่น้ำข้ามคืน รุ่งเช้ากินทั้งเม็ดและน้ำก่อนอาหารเช้า และเดียบีคอน ดีเอส วันละ 1 เม็ดหลังมื้อเช้า
*สูตรนี้นอกจากจะเป็นสูตรรักษามะเร็งให้หายขาด 100%ภายใน 2 อาทิตย์แล้ว ก็ยังใช้เป็นสูตรล้างพิษ และก็ยังเป็นสูตรรักษาโรคอื่นได้แทบทุกโรคนอกเหนือจากมะเร็ง เช่น ไต เนื้องอก เก๊า อัมพฤกต์ เหน็บชา ความจำเสื่อม ปวดเหมื่อยนอนไม่หลับ เอดส์ ต่อมไทรอยด์ ภูมิแพ้ กระทั่งโรคซึมเศร้า ฯลฯ ได้ในทุกเพศทุกวัยที่ปลอดภัยที่สุด
*เมื่อกินสูตรนี้ครบ 2 อาทิตย์ ค่าน้ำลายจะอยู่ที่ 7 หรือเลย 7 ขึ้นไป นั่นหมายความว่าจะให้หมอตรวจอย่างไรก็ไม่พบเชื้อมะเร็งแล้ว
*หากกินสูตรปราบมะเร็งแล้วไม่ถ่าย ก็ให้ดื่มมะนาวผสมเกลือดำกาลานามักในน้ำอุ่นค่อนข้างร้อน 2-3 แก้ว ดื่มในตอนเช้าก่อนเข้าห้องน้ำ สัดส่วนตามปริมาณที่จะทำให้ถ่ายได้
*ผู้ที่กินครบ 2 อาทิตย์ตามสูตรอาหารนี้เป๊ะๆแล้ว ค่าน้ำลายยังเป็นกรด ค่าความเป็นด่างไม่ถึง 7 ก็ให้กินสูตรนี้ต่อไปสักระยะหนึ่ง
2.สูตรอาหารฟื้นฟูสุขภาพหลังหายจากโรคร้าย สำหรับผู้ที่กินครบ 2 อาทิตย์แล้ว จนค่าน้ำลายเป็นด่างถึง 7 ขึ้นไป ก็ให้กินสูตรอาหารนี้ต่อเนื่องอย่างน้อย 1-2 สัปดาห์ หรือมากกว่านั้นก็ยิ่งดีตามอัธฌาศัย ร่วมกับอาหารซาคาฮารี ตามหนังสือคู่มือเปิดหูเปิดตาเรื่องอาหาร เพื่อฟื้นฟูสุขภาพที่เสียไปให้กลับมาเหมือนเดิม อาหารที่ต้องห้าม ของเหม็นของคาวของเน่าของเสีย เช่น เนื้อสัตว์, กะปิ, ปลาร้า, น้ำปลา, ซีอิ้ว, ผงชูรส เห็ด, เต้าหู้ , ผักสดหรือผักสดปั่น น้ำตาลทรายและอื่นๆที่ส่วนผสมของน้ำตาลทราย ,เนื้อเทียม,ถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองทุกชนิดและอาหารที่มีสารกันบูดกันเสียหรือสารพิษเจือปน เพราะอาหารเหล่านี้เป็นบ่อเกิดของความเจ็บป่วย อาหารสำหรับฟื้นฟูสุขภาพให้แข็งแรงยิ่งๆขึ้น
สูตรที่ 1 บำรุงกำลังเป็นองค์รวม ๑.นมแพะบำรุงกระดูก ๒.หญ้าฝรั่นดูแลหัวใจ ๓.เนยใส ๑๐๐ % ช่วยไขข้อหล่อลื่น ๔.ครีมงาแก้ปวดเมื่อย ๕.น้ำมันอัลมอนด์ดูแลสมอง ๖.ชเวนปรัสของมหารีชิ (หรือชเวนปรัสของดาเบอร์)
สร้างภูมิต้านทาน เกลือดำกาลานามัก 1 หยิบมือ ส่วนผสมทั้งหมดชงด้วยน้ำร้อน 1 แก้ว ถ้าใช้ชเวนปรัสของมหารีชิชงหลังดื่มไป ๕ นาทีแล้วให้กินสมุนไพรเม็ดที่ติดมาด้วยครั้งละ ๑ เม็ดทั้งเช้าก่อนอาหารและเย็นก่อนนอน (ให้ใส่ส่วนผสมตามกำลังซื้อหรือตามที่เห็นควร) ส่วนผลไม้แห้งที่มีประโยชน์เป็นอันดับหนึ่งของโลกคือ มะเดื่อแห้งเม็ดเล็กๆของตุรกี สำหรับกินกับนมแพะและอินทผลัมโดยเฉพาะพันธุ์อัจวาหุ ๓ เม็ดแช่น้ำข้ามคืน แล้วดื่มก่อนอาหารเช้า ที่ต่างดูแลกระดูกและให้พลังงานสูง (สิ่งที่แนะนำมานี้ยังมีสรรพคุณที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย นี่เอามาโดยย่อ)
สูตรที่ 2 บำรุงกล้ามเนื้อ ๑.แป้งถั่วสาตุ ๔ ช้อนโต๊ะ ๒.เกลือดำกาลานามัก ๑ ช้อนชา ๓.มะนาว๑ลูก ๔.มาไม ๒ ช้อนชา ๕.หอมซอยละเอียด๑หยิบมือ ๖.พริกเขียวซอยละเอียด๑หยิบมือ ๗.มหาหิงคุ์๓-๔เกร็ดชงกับน้ำดื่มอุณหภูมิธรรมดาไม่เหลวไม่ข้นจนเกินไป ดื่มเช้า เที่ยง เย็น ก่อนอาหาร หรือจะวันละ๑ ครั้งตามต้องการจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงสมองดี ฯลฯ
สูตรที่ 3 บำรุงกำลัง ๑.รำข้าวหรือจมูกข้าว ๒.ข้าวโอ๊ต ๓.มะเขือเทศ ๔.หัวหอมแดงใหญ่ ๕.หัวหอมขาวใหญ่ ๖.ยอดมะขามอ่อนหรือยอดส้มป่อย ๗.เกลือชมพู สัดส่วนตามที่ต้องการ ต้มให้เปื่อยจนเละกินกับ มาไมเป็นอาหารได้ตลอดวัน Notice Age-restricted video (based on Community Guidelines)
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #598 เมื่อ: ธันวาคม 05, 2020, 12:25:39 PM » |
|
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์คือลมหายใจ”
ณ.ปัจจุบันนี้ มีวิจัยมากมาย รวมถึงคัมภีร์โบราณ ต่างบรรยายสรรพคุณของลมหายใจไว้มากมายมหาศาล โดยที่คนที่นำความลับนี้มาบอกเป็นคนแรกได้แก่ “พระพุทธเจ้า”
ลมหายใจคือสิ่งมหัศจรรย์ที่สุดในตัวเรา
และก็เป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามมากที่สุดเช่นกัน
แม้ตัวผมเองก็เช่นกัน เพิ่งจะมาฝึกลมหายใจจนเข้าใจมันจริงๆ เมื่อปลายปีที่แล้วนี่เอง
ลมหายใจเป็นสิ่งที่มีพลังมหาศาล และเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้ความจริงของจักรวาล
ในวันนี้ โลกได้มีวิวัฒนาการกว้างไกลไปมาก เรามาลองดูวิจัยต่างๆที่เกี่ยวกับลมหายใจ เพื่อที่จะให้ทุกคนเห็นคุณค่าของมันอย่างเป็นรูปธรรมกันเถอะ เผื่อใครอยากจะรู้จักการทำงานของกายใจของตนผ่านลมหายใจ นี่อาจจะเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้วก็ได้ครับ
1 ลมหายใจกำหนดอายุขัย
คุณรู้ไหมครับ ว่าลมหายใจมีความสัมพันธ์โดยตรงกับอัตราการเต้นของหัวใจ
สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทุกชนิด มีขีดจำกัดของการเต้นของหัวใจอยู่ที่ 1 พันล้านครั้งในชีวิต หากสัตว์ชนิดไหน หายใจถี่หายใจตื้น มันจะอายุสั้น ส่วนสัตว์ชนิดไหนหายใจช้าหายใจลึก มันจะอายุยืน ฉะนั้นนี่จึงเป็นข้อบ่งชี้ให้คุณประเมินตัวเองได้เลยว่า คุณจะอายุสั้นหรืออายุยืน ก็สามารถรู้ได้จากการฝึกดูลมหายใจนี้เอง
2 หายใจถูกต้องป้องกันและรักษาโรคร้ายได้มากมาย
เมื่อเราฝึกลมหายใจให้ลึกและยาว คุณจะพบว่า โรคต่างๆ ที่เป็นเรื้อรังมานานสามารถหายไปได้เช่น
โรคไมเกรน - ท่านโกเอ็นก้า วิปัสนาจารย์มหาเศรษฐีชาวอินเดียไปรักษาโรคนี้ที่ไหนก็ไม่หาย สุดท้ายก็หายจากการฝึกอานาปานสติ และนั่นก็คือต้นเหตุที่ทำให้การปฏิบัติธรรมสายท่านโกเอ็นก้าเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางไปทั่วโลกเฉกเช่นทุกวันนี้
โรคหัวใจและโรคความดัน - การหายใจลึกและช้าสามารถลดความดันโลหิตลงได้อย่างเห็นผลทันตา และสามารถช่วยผู้ป่วยที่มีอาการหัวใจกำเริบให้อาการดีขึ้นได้หากเค้าสามารถหายใจลึกๆเป็น
โรคเครียดเรื้อรัง - โรคนี้นำมาซึ่งโรคอื่นๆเป็นแพคเกจใหญ่เลย ทั้งนอนไม่หลับ ภูมิคุ้มกันบกพร่อง สารพิษเพิ่มในเลือด
ซึ่งสำหรับวิธีแก้ นพ.แอนดรู ไวล์ แพทย์ชื่อดังเคยกล่าวเอาไว้ว่า “หากจะให้ผมแนะนำเคล็ดลับการมีสุขภาพที่ดีเพียงข้อเดียว ผมจะบอกสั้นๆแค่ว่า จงฝึกหายใจอย่างถูกวิธี”
3 ลมหายใจกับออกซิเจน
ร่างกายคนเราต้องการออกซิเจนในการทำทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งกิน กะพริบตา เคี้ยว ฉะนั้น การหายใจที่ถูกต้องลึกและยาวอจะช่วยบำรุงสมอง รักษาความจำ และชะลอโรคต่างๆ ยิ่งคุณหายใจถูกต้อง ลึกและยาวเท่าไหร่ ออกซิเจนก็จะเข้าสู่ร่างกายคุณได้มากมายมหาศาลเท่านั้น และมันจะทำให้คุณฉลาดมากขึ้น เพราะสมองได้รับออกซิเจนที่เพียงพอ
4 หายใจเป็นทำให้หน้าเด็ก
เมื่อหายใจเป็น หายใจเต็มปอด ออกซิเจนจะไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายอย่างทั่วถึง ทำให้ใบหน้ามีน้ำมีนวล เต่งตึง สดใส อ่อนกว่าวัย และขับสารพิษได้อีกด้วย
5 ลมหายใจเป็นตัวกำหนดระดับความสำเร็จในชีวิต
คุณควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ดีแค่ไหนครับ? รู้ไหมว่าอากาศที่เราหายใจเข้าไป มีผลต่ออารมณ์โดยตรง
และหากคุณจะฝึกวันนี้ก็ยังไม่สายนะ
หากคุณตื่นเต้น โกรธ กลัว หรือประหม่า ลองฝึกหายใจเข้าออกยาวๆดูครับ เพราะการหายใจลึกๆยาวๆจะทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองส่วนหน้าที่เป็นตัวบริหารและควบคุมอารมณ์ต่างๆโดยตรง
ยิ่งสมองส่วนนี้ยิ่งแข็งแรงมากขึ้นเท่าไหร่ คุณก็จะเป็นอีกคนที่มีสิทธิ์ที่จะควบคุมอารมณ์ของตัวเองและกำหนดชะตาชีวิตใหม่ให้ตัวเองไม่ตกเป็นทาสของความกลัว ความโกรธ ความเกลียดมากขึ้นเท่านั้น
5 สุดท้ายนี้ ลองเอาสิ่งที่ผมทำทุกวันไปฝึกทำดูนะครับ
นั่นก็คือฝึกหายใจเข้าออกให้ยาวๆ แรกๆมันอาจจะอึดอัด ก็ให้ลดการบังคับควบคุมมัน และออกมาดูว่าตอนนี้ธรรมชาติของลมหายใจที่ไม่เคยฝึกมันก็เป็นแบบนี้
ทำไปๆ บอกตัวเองเป็นเชิงสัญลักษณ์เช่น ทุกครั้งที่เห็นวัตถุสีขาว จะกลับมาอยู่กับลมหายใจ และฝึกหายใจยาว
ทำไปสบายๆ สนุกกับมัน สังเกตสิ่งที่ปรากฎขึ้นกับร่างกายและความรู้สึกนึกคิด
ออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดู ผู้สังเกตการณ์ซะบ้าง เพราะการเอาแต่ควบคุมทุกอย่างโดยไม่รู้จักธรรมชาติของมันนั้น ทำให้เราเป็นทุกข์มานานเกินไปแล้ว ทีนี้ก็ลองออกมาเป็นผู้ดูเพื่อเห็นความจริงเกี่ยวกับตัวเองดูบ้าง
ทำไปเรื่อยๆ เน้นต่อเนื่องมากกว่าเก่ง
แล้วคุณก็จะเป็นอีกคนหนึ่ง “ที่หายใจเป็น”
และรู้ด้วยตัวเองกับตากับใจว่า
ไม่มีสมบัติชิ้นไหนจะมีค่ามากไปกว่า
“การหายใจอย่างถูกต้อง” อีกแล้วครับ
เอาไปฝึกนะครับ
แอดมินป้อง
ลูกชายอาจารย์สุทัสสา
อยากฝึกหายใจยาวได้อย่างเป็นธรรมชาติ อาบน้ำหัวใจ all problems ช่วยได้ คลิก https://line.me/ti/p/Lzw2bevwM4
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #599 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2020, 06:31:30 PM » |
|
น่ารู้เกี่ยวกับเรื่อง “การนอนหลับยามค่ำคืน” จาก สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย พ.ย. 2559
1. การผ่อนคลาย สำคัญกว่า การพยายามนอนหลับ
2. การพักผ่อน กับ การผ่อนคลายไม่เหมือนกัน เพราะ การพักผ่อนบางอย่าง ไม่ใช่การผ่อนคลาย แต่อาจเพิ่มความคิด ความเครียด และ ความกดดัน ด้วยซ้ำ เช่น การพักผ่อนโดยการเล่น ไลน์ หรือ โซเชียลมีเดีย เช่น facebook หลายครั้ง เล่นไปเล่นมา กลับเครียด หรือใจคอไม่สงบ เพราะ เกิด ดราม่า ขึ้นในใจ อย่างมากมาย
3. หลับ หรือ ไม่หลับ ไม่สำคัญสิ่งสำคัญคือ การผ่อนคลายเมื่อผ่อนคลายทั้งร่างกาย และ จิตใจนอนหลับได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตอนเช้าสามารถสดชื่นได้
4. การนอนหลับ หรือ ไม่หลับ เป็น เรื่องธรรมชาติ (บังคับไม่ได้)แต่การผ่อนคลาย ร่างกาย และ จิตใจเป็นสิ่งที่เราเลือกได้ และ การผ่อนคลาย เป็นสิ่งสำคัญกับสุขภาพกาย และ สุขภาพใจมากกว่า
5. สิ่งที่เป็นอุปสรรคในการนอน คือ "ความคาดหวัง" ที่จะหลับฝึกรู้ทัน.. และ วางมันลง...คือ เคล็ดลับของความสุขในยามค่ำคืน (รวมทั้งเรื่องอื่นๆในชีวิตด้วยค่ะ)
6. การนอนไม่หลับ ไม่ใช่ หายนะ การตื่นกลางดึก ก็ไม่ใช่หายนะเช่นกัน การไม่ผ่อนคลาย ความกดดัน และ การบังคับตัวเองให้หลับ ต่างหากที่เป็น (เมื่อ ใจ และกาย ผ่อนคลาย ตอนเช้าก็สดชื่นได้ แม้ไม่ได้นอน)
7. การนอนหลับ ไม่ใช่หนทางเดียวที่จะช่วยเยียวยาร่างกายตอนกลางคืน การผ่อนคลาย การปล่อยวาง ต่างหากที่ช่วย เมื่อไม่ตั้งใจจะหลับ การหลับที่เป็นธรรมชาติเกิดขึ้นเอง
8. เมื่อไม่กลัว "การนอนไม่หลับ"ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะค่ะ (นอนหลับหรือไม่หลับ จึงไม่เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เครียด กังวลอีกต่อไป)
9.สรุป ปัญหา "การนอนไม่หลับ" ไม่ใช่ปัญหา แต่วิธี "การคิด" และ "การพยายามที่จะหลับให้ได้” ต่างหากที่เป็นปัญหา
สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|