jainu
|
|
« ตอบ #600 เมื่อ: มกราคม 03, 2021, 07:24:38 PM » |
|
อ่านแล้วจุก เลยค่ะ อารมณ์อยากออกจากบ้านหายไปทันควัน
ข้อความที่คุณ Bebe Patumanon ซึ่งเป็นสาวไทยที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองนิวยอร์ก ได้เขียนไว้เกี่ยวกับโควิด-19 ที่เธอต้องพบเจอ
ลองอ่านดูนะคะ
“จริงๆแล้วไม่อยากเกาะกระแส Covid 19 แต่อยากให้ทุกคนได้เข้าใจว่าโรคนี้น่ากลัวและใกล้ตัวกว่าที่คิด เราทำงานที่โรงพยาบาล ตำแหน่งคือ Physician Assistant (PA) ตำแหน่งนี้ที่บ้านเรายังไม่มี งานก็คล้ายกับมือขวาของหมอ การเทรนนั้นเหมือนหมอทุกอย่างแต่ใช้เวลาเรียนน้อยกว่า คือจะสั่งยาได้สั่งเล็ป ใส่ท่อ ใส่สายต่างๆใส่เฝือก เย็บแผล ปั้มหัวใจ จะเป็นตำแหน่งระหว่างหมอกับพยาบาล แต่เราจะเจอและใช้เวลากับคนไข้มากกว่าหมอเพราะหมอ 1 คน คุมคนไข้30 คน ก็จะมี PA 2 คน ช่วยหมอดูคนไข้คนละ 15 คน ทำงานอยู่ที่ Bronx, NY สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่คนไข้ Covid 19
อยากให้ทุกคนที่บ่นว่าเบื่ออยู่บ้าน รัฐบาลเส็งเครง เลิกบ่นเถอะ เพราะเบื่ออยู่บ้านนั้นก็ยังดีกว่าออกมาทำงานด้วยความกลัว กลัวตาย ตอนนี้พวกพนักงานโรงพยาบาลอย่างพวกเราต้องสวดมนต์ขอให้พระคุ้มครอง มองหน้าพ่อ แม่, ลูกน้อย และสามี สั่งเสียกันว่า ไปแล้วอาจจะติดเชื้ออาจจะไม่ได้กลับบ้านนะ รักทุกคนนะ กอดลากันแบบแนบแน่นเหมือนไม่รู้ว่าเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้อีกไหม ไม่คิดเลยว่างานผู้ช่วยหมอต็อกต๋อยอย่างเรามันจะเสี่ยงขนาดนี้
อยากจะบอกว่า ตอนนี้คนไข้ล้นโรงพยาบาล PPE ไม่พอ อันนี้ทุกคนรู้ แต่ที่คุณๆไม่รู้คือ การตายด้วยโรคนี้ เป็นการตายที่โดดเดี่ยวและทรมาน คนไข้พอ admitted แล้ว ครอบครัว ลูก ผัว พ่อ แม่ พี่น้อง ห้ามเยี่ยมเด็ดขาด ตอนแรกอาการอาจจะไม่หนัก แต่พอมารวมแออัดกันกับคนไข้อื่นๆก็เกิดอาการ แบ่งเชื้อกันไปมา cross contaminated ที่ไม่หนักก็อาจจะเกิดเป็นอาการหนักขึ้น
พยาบาลนั้นน่าสงสารที่สุด หมอ กับ PA ก็จะวิ่งเข้าแล้วก็รีบวิ่งออกจากห้องคนไข้เพราะเราพยายามเซฟตัวเองให้สัมผัสกับเชื้อโรคให้น้อยที่สุด แต่พยาบาลต้องเข้าไปตรวจความดัน ให้ยา โดยมากคนไข้ไม่ได้เป็นแค่ Covid แต่มีโรคประจำตัวจิปาถะ ยาก็เยอะ พยาบาลก็ต้องเข้าๆออกๆ เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ แต่คุณอย่าลืมว่าคนไข้ทุกคนติดเชื้อ ลองคิดดู 12 ชั่วโมงขลุกอยู่กับเชื้อ Corona แบบไม่ได้พักเพราะคนใข้หลายคนอาการหนัก พอ อ๊อกซิเจนตกก็ต้องรีบเข้าไปดู เพราะห่วงคนไข้เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน
ที่จะบอกว่ากลัวก็เพราะว่า Covid 19 ไปทำลายเนื้อเยื่อปอดโดยตรง ถ้าโชคดีก็ไม่มีอาการ หรือมีบ้างเล็กน้อย แต่คนไข้ที่อาการเริ่มหนักขึ้นก็จะเริ่มหายใจไม่ออก ปอดเริ่มชื้นมีน้ำท่วม ถ้าคิดไม่ออกก็ลองหลับตาแล้วคิดถึงภาพเรากำลังจมน้ำแล้วหายใจไม่ออก น้ำเต็มจมูกเต็มปาก หรือตอนไปทำฟันแล้วน้ำลายเต็มคอ กลืนไม่ได้ หายใจไม่ออก (จนหมอดูดน้ำออกจากปากเรา เราก็หายใจเฮือกใหญ่แบบรอดตายแล้วกู) มันทรมานขนาดไหน โรคนี้ก็เช่นกัน ทางช่วยอย่างเดียวคือเครื่องช่วยหายใจซึ่งตอนนี้เป็นของล้ำค่า ตกหนักที่หมอต้องเลือกว่าใครจะมีค่าควรกับเครื่องนี้มากกว่ากัน ไม่มีหมอคนไหนอยากทำหน้าที่นี้หรอกนะคุณ มันไม่ใช่หน้าที่ของหมอเลย
คืนก่อนมีคนไข้หนัก สอง สามคน ทุกคนนอนทรมาน พยายามหายใจเข้าออก ทุรนทุรายเพราะปอดไม่ทำงาน พยาบาลโทรมาตาม เข้าไปดูอาการ ก็ต้องเรียก code team ซึ่งปกติจะเป็นทีมฮีโร่ถ้าทีมนี้มาคนไข้เรารอดแน่ แต่ไม่ใช่กับ Covid19 สุดท้ายทีมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะทางออกเดียวคือใส่ท่อช่วยหายใจ ถ้าคนไข้บอกไว้ก่อนแล้วว่าไม่ต้องการใส่ท่อหรือปั๊มหัวใจ เราก็ได้แต่ให้ยามอร์ฟีนเพื่อให้คนไข้ไม่ทรมาน แต่ถ้าคนไข้ full code ก็ต้องใส่ท่อ ปั๊มหัวใจ ทีนี้virus ก็จะฟุ้งกระจาย เครื่องป้องกันก็เป็นเศษผ้าบางๆ กับหน้ากากกะโหลกกะลา ทีนี้ก็งานเข้ากันทั้งทีม ชุด PPE ตอนใส่นั้นง่าย แต่ตอนถอดแบบจะให้เชื้อไม่ติดมือเสื้อผ้าหน้าผมนี่เป็นเรื่องยาก ถึงกับต้องมี class อบรมกันเลยทีเดียว Process of dying นี่แหละคือความน่ากลัว ไม่มียาฆ่าไวรัส ไม่มียารักษา รักษาตามอาการ ยาที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็เหมือนเสี่ยงดวง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวง คือทั้งทีมได้แต่ยืนมองคนไข้นอนทุรนทุรายกระกระสนต่อสู้เพื่อลมหายใจแต่ละเฮือก แต่ละเฮือกนั่นเป็นสิ่งที่แสนทรมาน สายตาที่มองมาทางพวกเราวิงวอนว่าหมอช่วยด้วย แต่เราก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะเราก็ทำกันสุดความสามารถที่มีแล้ว ญาติพี่น้อง ลูก หลาน ผัว เมีย ก็ไม่ได้ล่ำลา เป็นการตายที่โดดเดี่ยวและทรมาน บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าคนไข้เหล่านี้จะกลัวและโดดเดี่ยว ขนาดไหนในช่วงเวลาสุดท้ายและลมหายใจสุดท้ายของชีวิต คนรักษาก็ได้แต่ยืนมองแล้วก็ได้แต่คิดว่าวันนี้เราจะดวงดีเหมือนเมื่อวานไหม แล้วพรุ่งนี้ล่ะ
เรายืนมองคนไข้ที่รู้หละว่าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงเวลาที่เราจะออกกะคือ 12 ชั่วโมง แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ยากดประสาทเพื่อคนไข้ของเราจะได้ทรมานน้อยลงและหวังว่าจะจากไปอย่างสงบ เหมือนเราไร้ค่าและไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่ร่ำเรียน ฝึกฝนมาไม่ได้ช่วยใครได้เลย
คุณลองคิดดูว่าถ้าพ่อ แม่ พี่น้องหรือคนที่คุณรัก ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนไข้ของเราล่ะ ไปส่งกันที่โรงพยาบาล ลูบหน้าลูบหลังลากัน แล้วนั่นคือสัมผัสสุดท้าย กอดสุดท้าย การลาครั้งสุดท้าย คุณยังไม่ได้สั่งเสีย ไม่ได้ขอโทษ ไม่ได้บอกรักกัน ไม่ได้บอกว่าคุณโชคดีที่ได้รู้จักและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นพ่อ แม่ ลูกกัน เป็นคนรักกัน เป็นเพื่อนกัน นี่แหละคือความทรมาน และปวดร้าวใจเราได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาตกใน สูดลมหายใจลึกๆแล้วก็เดินไปดูคนไข้คนต่อไป
ตอนนี้ถึงเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้อภัยกัน กอดกัน และบอกรักกันทุกวัน
คุณโชคดีที่ได้นอนอยู่บ้าน มีinternet มีหนังดู มีขนมกิน ได้อยู่กับครอบครัว ถ้าคุณอยากจะบ่น ก็ขอให้คิดถึงพวกเราที่โรงพยาบาล เราก็กลัว เราก็เหนื่อย เราก็ล้าและเราก็มีคนที่รักเรา รอเรากลับบ้านเหมือนคุณ เราก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้กล้าหาญอะไร ออกจะกลัวจนขี้ขึ้นสมองด้วยซ้ำ ถ้าเลือกได้เราก็ขอนอนเกาตูดดูหนังอยู่ที่บ้านเหมือนพวกคุณ เราก็ไม่อยากมาทำงานที่นอกจากจะต้อง พก PPE แล้วยังต้องมีพระเครื่องพวงใหญ่ที่พ่อแก้วแม่แก้วให้มาคุ้มครองปกป้องลูกน้อยที่ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 40กว่าเข้าไปแล้ว แต่หัวอกพ่อแม่ จะแก่กร้านแค่ไหน ลูกก็ยังคือลูกน้อยของท่าน ที่ท่านรักและห่วงใยเสมอ
อยู่บ้านเถอะคุณ ถ้าคิดว่าตัวเองติดเชื้อก็อย่าโกหก กักตัวเองเถอะ อย่าเห็นแก่ตัว คุณอาจจะไม่เป็นอะไร คุณอาจจะไม่มีใครรักหรือห่วงคุณ คุณอาจจะเห็นแก่ตัวไม่รักและไม่ห่วงใคร แต่คนที่คุณเอาโรคไปติดเขานั้น เขาก็มีครอบครัวมีคนที่รักเขา เขาอาจจะเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นลูก เป็นเพื่อนใครจะรู้เขาอาจจะเป็น คนเดียวที่หาเลี้ยงทั้งครอบครัว เขาอาจจะเป็นความหวังเดียวของพ่อแม่ที่แสนชรา หรือเป็นพ่อ หรือ แม่ เลี้ยงเดี่ยวของลูกพิการที่รออยู่ที่บ้าน เขาอาจจะมีกันแค่สองคนพี่น้องไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว มีกันแค่นี้ แล้วความมักง่ายความเห็นแก่ของคนๆนึง มาพรากทุกอย่างไป
อยากจะขอร้องให้ทุกคนร่วมมือกัน ถ้าไม่คิดว่าทำเพื่อตัวเอง ก็ทำเพื่อคนอื่น หรือเพื่อชาติก็แล้วกัน
หรือไม่ก็ทำเพื่อ หมอ พยาบาล ผู้ช่วยหมอ ผู้ช่วยพยาบาล พนักงานก้องแลป ช่างX-ray Respiratory พนักงานเข็นคนไข้ พี่รปพ พนักงานทำความสะอาด ทุกคน ทุกอาชีพ ที่ทำงานหนักตอนนี้เพื่อให้ทุกคนได้อยู่บ้านอยู่กับครอบครัว
ถามว่ากลัวไหม ขอตอบเลยว่ากลัวมาก เราไม่อยากตายแบบทรมารแบบคนใข้ของเรา และเราก็ไม่อยากเอามาติดคนที่บ้าน แต่ในความกลัวยังมีความหวังเพียงแต่ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน”
Cr. เพจอีกสิบปีค่อยเรียกป้า
#stayhome #flattenedthecurve
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #601 เมื่อ: มกราคม 06, 2021, 01:07:45 PM » |
|
“โควิดให้โอกาสประเทศไทยมากกว่าชาติใดในโลก”
แต่เรากลับปล่อยโอกาสให้หลุดลอยไป โอกาสแรกของเรา อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายของเราก็ได้
นับตั้งแต่วันที่เรามีผลงานติดอันโลก มาจนถึงวันนี้ เรามีเวลาเหลือเฟือที่จะเตรียมตัวป้องกันโควิด-19 รอบใหม่ และ ขณะที่ต่างชาติค่อนโลกมีตัวอย่างความยากลำบากให้เห็น ดูเหมือนเรากลับมองผ่านไป...เราลืมการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเราไปหมดสิ้น
“เมื่อไหร่ที่เราประมาท และ ลืมการเปลี่ยนแปลงรอบตัวเรา เราจะถูกกระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงพัดเราไปในจุดที่เราไม่ถนัด”(Andrew Grove)
เมื่อมองย้อนกลับไป คงได้แต่เสียดายเวลาและโอกาส เพราะสาเหตุต่างๆที่เกิด ส่วนใหญ่มันล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่สามารถ “ป้องกัน”ได้ทั้งสิ้น มันไม่ใช่”เหตุสุดวิสัย”ที่ป้องกันไม่ได้ แต่เป็นเพราะเราขาดความเอาเอาใจใส่ และ/หรือ ตกอยู่ความประมาทของผู้รับผิดชอบทั้งสิ้น รวมทั้งความเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ของคนไทยบางกลุ่ม
เห็นชัดว่า การระบาดรอบใหม่นี้ เราขาดการเตรียมการเชิงป้องกันที่ดี เราจึงขาดความพร้อม เมื่อเกิดเหตุการณ์จริง จึงดูสับสน วุ่นวายไร้ทิศทาง(มั่ว)
โควิดให้โอกาส และ เวลาเราจัดเตรียมประเทศชาติมากกว่าชาติใดในโลก แต่เรากลับใช้เวลา และ โอกาสอย่างสิ้นเปลือง ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร 1.เราเสียเวลาหมดไปกับการขัดแย้งกัน-ทะเลาะกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด(อายโควิด) 2.ม็อบที่อ้างประชาธิปไตยก็สร้างความวุ่นวายให้แก่ชาติจนรัฐขาดสมาธิ 3.คนที่มีหน้าที่ ไม่ยอมทำหน้าที่ของตน..โควิดมันฟ้อง ทั้งเรื่องการลักลอบข้ามแดน ทั้งเรื่องการนำเข้าแรงงานต่างด้าวผิดกฏหมาย ทั้งบ่อนการพนัน ถ้าผู้รับผิดชอบทำหน้าที่กันดีประเทศคงไม่ถูกโควิด”เจาะจนพรุน”ไปทั้งประเทศเช่นนี้ 4.เราขาดการปฏิบัติการสุ่มตรวจโควิดเชิงรุก ทั้งในกลุ่มเสี่ยง และ ประชาชนทั่วไปอย่างจริงจัง และ ทุกๆช่วงเวลาทำให้ผู้คนยังหลงใหลอยู่กับสถิติตัวเลขเดิมๆ คือ”ไม่มีการติดเชื้อภายในประเทศ” 5.การระบาดของโควิด-19 รอบนี้ ได้สะท้อนให้เห็นถึงระบบราชการของประเทศไทยที่ยังอ่อนด้อยในระบบการกำกับติดตาม 6.ทำให้เราเห็นชัดเจนว่า เรายังอยู่ในวังวน”วัวหายล้อมคอก” คือ ให้ความสำคัญกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า(Reactive)มากกว่าการป้องกันล่วงหน้า(Proactive) 7.ชื่อเสียงประเทศไทย ได้กลายเป็นดาบสองคม ที่หันมาบาดมือเราเองจากความลืมตัว และมั่นใจในชื่อเสียง..(จนลืมเตรียมการที่ดี) 8.นักการเมืองไทยจำนวนไม่น้อยขาดจิตสำนึกที่ดีต่อชาติบ้านเมือง จนเป็นอุปสรรคในการแก้ปัญหาประเทศชาติ
โลกทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงทุกวินาที -จากโลกแห่งความมั่นคง( Security )ไปสู่โลกแห่งความไม่มั่นคง(Insecurity) -จากโลกที่คาดการณ์ได้(Predictability)ไปสู่โลกแห่งความสับสนวุ่นวายคาดการณ์ไม่ได้(Chaos) -โควิดก็มีการเปลี่ยนแปลง-พัฒนาสายพันธุ์ที่รุนแรงขึ้น ไม่ใช่แค่ทุกวินาที แต่มันเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา( All the time ) จาก “โควิดกระจอก” ไปสู่ “โควิดผู้ยิ่งใหญ่”ที่ใครๆต้องเกรงขาม
-แต่ประเทศไทยตั้งแต่เมื่อครั้งได้แชมป์โควิด-19 มาจนบัดนี้ดูเหมือนว่าเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรเลย ทำให้นึกถึงคำพูดของชาร์ล ดาวิน “ผู้ที่อยู่รอดมิใช่เพราะสายพันธุ์ที่แข็งแกร่งที่สุด หรือ ฉลาดที่สุด แต่เป็นผู้ที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้ดีที่สุดต่างหาก..”
เมื่อเกิดการระบาดรอบใหม่ คนไทยก็ลุ้นว่า รัฐคงจะต่อกรกับโควิด-19ด้วยมาตรการที่เด็ดขาดเช่นครั้งแรก แต่ก็ต้องแปลกใจที่รัฐกลับใช้Soft Tone(ไม้อ่อน) จับความได้ว่า จากประสบการณ์ครั้งที่แล้ว การใช้ Hard Tone หรือ Strong Tone(ไม้แข็ง)ก็ยังมีผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย ไม่ให้ความร่วมมือเป็นจำนวนมาก (อย่ากระนั้นเลย ครั้งนี้เลยใช้ไม่อ่อนดีกว่า)
สรุปแล้ว รัฐยอมรับว่าไม่สามารถใช้กฏหมายในภาวะวิกฤติได้อย่างเต็มที่ เพราะกลัวคนจะไม่เชื่อฟัง ที่จริงประเทศเราทุกวันนี้เราก็หย่อนยานเรื่องระเบียบวินัยจนจะเละกันหมดแล้ว...เพราะขาดความเด็ดขาด
การแสดงท่าทีของผู้นำในภาวะวิกฤติ นั้นควรจะมีทิศทาง(Sense of Direction)ที่แสดงถึงวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนและ เด็ดขาด(Decisiveness) ถ้าทิศทางการนำมีท่าทีทั้งอ่อน ทั้งแข็งปะปนกันตลอดเวลา..แบบแหยงๆ จะ มีน้อยคนนักที่จะทำได้สำเร็จ (Being both Soft and Strong is combination very few have mastered) (Yasmin Mogahed)
เมื่อจะทำในสิ่งที่ถูกต้อง อย่ากังวลกับประชานิยม “ผู้นำที่ดีที่สุด ไม่ใช่ผู้นำที่คนชอบมากที่สุด”
ความสำเร็จของจีน แม้กระทั่งเวียตนาม ในภาวะวิกฤติ ผู้นำล้วนแล้วแต่ใช้ความเด็ดขาด รวมทั้งการเป็นเผด็จการ(Dictator)...
“ไม่ต้องห่วงประชาธิปไตยยามเมื่อเรือใกล้จะอับปาง”
ปัญหาประเทศไทย ณ.ช่วงเวลานี้ คือ -การขาดทิศทางการนำที่ชัดเจน -การขาดความกล้า เด็ดขาด ฉับไว -การขาดวินัย กฏหมายเป็นหมัน -การขาดความสามัคคีที่ดีต่อกัน -นักการเมือง และ ผู้คนมุ่งมั่นเอาแต่ประโยชน์ส่วนตน สิ่งเหล่านี้มีอันตรายมากกว่าโควิด-19 หลายเท่าตัว
“โควิดจะไม่มีวันทำร้ายชาติไทย ถ้าคนไทยไม่ทำร้ายชาติไทยเราเอง”
โดยความปรารถนาดี Chamnan. นายแพทย์ ชำนาญ ภู่เอี่ยม 4/1/64
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #603 เมื่อ: มกราคม 14, 2021, 07:57:28 PM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=SNGt1w91K9M&feature=youtu.be[ฉบับเต็ม] ดื่มโกโก้ร้อน ช่วยบำรุงสมอง จริงหรือ ? | ชัวร์ก่อนแชร์ EXCLUSIVEบเต็ม] ดื่มโกโก้ร้อน ช่วยบำรุงสมอง จริงหรือ ? จริงหรือ ? | ชัวร์ก่อนแชร์ EXCLUSIVE ...บนสังคมออนไลน์มีการแชร์แนะนำประโยชน์ของการดื่มโกโก้ร้อนวันละ 1 แก้ว โดยไม่เติมนมหรือน้ำตาล ติดต่อกัน 6 เดือน ช่วยบำรุงสมอง ทำให้ความจำดีขึ้น... หืม ชัวร์เหรอ ?
ร่วมตรวจสอบข้อเท็จจริง และเรียนรู้เรื่องประโยชน์ของโกโก้ สารสร้างความสุข สารบำรุงสมอง การดื่มโกโก้ที่ถูกต้องและได้ประโยชน์สูงสุด ไปกับ ดร.สุดาทิพย์ แซ่ตั้น จากคณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในชัวร์ก่อนแชร์ EXCLUSIVE ตอน ดื่มโกโก้ร้อน ช่วยบำรุงสมอง จริงหรือ ?
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #604 เมื่อ: มกราคม 26, 2021, 10:54:30 PM » |
|
วงการแพทย์ญี่ปุ่นเพิ่งค้นพบใหม่ ว่าทำไมผู้สูงวัยมักตื่นขึ้นมาปัสสาวะบ่อยในช่วงกลางคืน พร้อมแนะนำวิธีแก้
รุ่นพี่ที่เคารพท่านหนึ่ง ได้ส่ง VDO link ที่น่าสนใจมาให้ จาก NHK on demand video ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ ส.ว. ทั้งหมด (เกิน 250) แต่คนที่ยังไม่เป็น ส.ว. รู้ไว้ก็ไม่เสียหลาย เพราะอนาคตเราก็จะได้เลื่อนขั้นขึ้นไปกันทุกคนอยู่แล้ว
เรื่องที่ว่านั้นก็คือ ปัญหาของการที่ต้องตื่นขึ้นมากลางดึกบ่อยๆ (nocturia) เพื่อไปฉี่
ปัญหานี้ ได้มีการทำวิจัยเมื่อต้นปีนี้เอง (กุมภาพันธ์ -เมษายน) ควบคุมโดย Toromoto Kazumasa อาจารย์หมอทางด้านระบบทางเดินปัสสาวะ (urologist) แห่งมหาวิทยาลัยแพทย์นารา (Nara Medical University)
เนื่องจากโควิดมา ผลการวิจัยนี้จึงเพิ่งจะเผยแพร่สู่สาธารณชน เมื่อต้นเดือนธันวาคมนี้เอง
การวิจัย ดำเนินการโดยให้ หนุ่ม Terakita เดินทางไปอยู่ที่บ้านคุณลุง Hayashi ทั้งวัน และทำกิจกรรมต่างๆเหมือนกัน โดยฉี่ให้หมดกระเพาะปัสสาวะ (bladder) ในตอนเช้า จากนั้น ให้กินอาหารเหมือนกัน ดื่มน้ำเท่ากัน ออกกำลังกายเหมือนกัน แล้วฉี่ใส่ถ้วยตวง วัดปริมาณเปรียบเทียบกันดู
@07:30 เริ่มกินข้าว เป็นอาหารญี่ปุ่น มีน้ำอยู่ในอาหาร 600 mL (คำนวณโดย Yamaguchi Chikage นักโภชนาการ ของ Nara Medical University Hospital) และดื่มน้ำชา 530 mL รวม 1,130 mL
ตอนสาย เจ้าหนุ่ม ฉี่ไป 4 รอบ 300+400+300+100 mL ส่วนลุงฉี่แค่ 2 รอบ 100+110 mL
@12:30 มื้อกลางวัน เป็นแซนวิช มีน้ำแค่ 140 mL และดื่มน้ำเปล่าอีกคนละ 380 mL
ตอนบ่าย ออกกำลังกาย ไปทำสวนด้วยกัน เข้ามาในบ้าน เล่น VDO game ด้วยกัน (ลุงแกเล่นได้ด้วยแฮะ)
ตอนบ่าย เจ้าหนุ่มฉี่อีก 3 ครั้ง 350+200+150 mL คุณลุงก็ฉี่ 3 ครั้งเหมือนกัน แต่ปริมาณน้อยกว่า 40+180+70 mL
จนเย็น @18:30 ได้เวลาจากกัน หลังจากอยู่ด้วยกันมาทั้งวัน
ค่ำคืนนั้น ก่อนเข้านอน เจ้าหนุ่มฉี่อีก 4 ครั้ง 320+150+180+150 mL แต่ลุงฉี่แค่ครั้งเดียว 180 mL
หมอใช้ ultrasound ตรวจดูน้ำในกระเพาะปัสสาวะ - เกือบไม่มีทั้งคู่ ก่อนเข้านอนตอนเที่ยงคืน
ในวันนั้น น้ำ เข้าไปร่างกาย คนละ 2,730 mL เท่าๆกัน แต่ลุงมีน้ำเหลืออยู่ในร่างกายเยอะมาก
ผลก็คือ เจ้าหนุ่มหลับรวด ไม่ได้ตื่นขึ้นมาฉี่ แต่ลุงต้องตื่นไปฉี่ 3 รอบ 130+420+280 mL วันต่อมาจึงรู้สึกเพลีย
การที่กลางวันง่วง และต้องงีบบ่อยๆ เพราะกลางคืนตื่นบ่อย (nocturia) เพื่อไปฉี่ เนื่องจากน้ำที่ดื่มระหว่างวันยังค้างอยู่ในร่างกาย
แต่น้ำนั้น ไม่ได้อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ
เชื่อหรือไม่ว่า มีความลับในร่างกายของเราอย่างหนึ่ง ก็คือ คนเรามีกระเพาะปัสสาวะที่สอง (2nd bladder)
ในเมื่อน้ำ ไม่อยู่ในกระเพาะปัสสาวะ แล้วมันไปเก็บอยู่ที่ไหน
ที่ตับ (liver) หรือเปล่า เพราะแอลกอฮอล์ก็ยังไปกำจัดที่ตับ น้ำก็น่าจะไปด้วย ไม่ใช่
ที่ไต (kidney) ใช่ไหม เพราะเป็นด่านแรก ที่น้ำจะต้องผ่าน ก่อนไปที่กระเพาะปัสสาวะ ไม่ใช่อีก
ที่เส้นเลือด (blood vessels) กระมัง เพราะในเลือดมีน้ำ อาจเก็บน้ำเพิ่มขึ้นได้ ก็ไม่ใช่
แม้แต่ลำไส้ (intestine) ที่น่าจะมีที่เก็บน้ำไว้ได้มากทีเดียว ไม่ใช่เหมือนกัน
เพราะคำตอบที่ถูกคือ - น่อง (calves) ครับ
เพื่อเป็นการพิสูจน์ เจ้าหน้าที่ได้ทำการวัดรอบน่องของลุง Hayashi ตอนตื่นนอนและก่อนนอน พบว่า น่องโตขึ้นจริงๆ (ขวา 40.5 => 42.7 ซ้าย 41.5 => 45.7 cm)
ทีมงาน ได้นำอุปกรณ์วัดทันสมัย ไปที่บ้านลุง Hayashi เพื่อวัดปริมาณน้ำในส่วนต่างๆของร่างกาย แล้ว plot มาเป็นกราฟ พบว่า ช่วงเช้า น้ำในลำตัวและแขน เกือบคงที่ แต่น้ำในขา จะค่อยพุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ ช่วงบ่าย น้ำในขาเกือบคงที่ แต่ในแขนและลำตัวค่อยๆลด ส่วนตอนค่ำ ก่อนนอน น้ำในลำตัวค่อยๆลด ในแขนคงที่ แต่ในขายังพุ่งขึ้นต่อ สุดท้ายก่อนเข้านอน น้ำในขาของลุง Hayashi มีมากกว่าตอนเช้าถึง หนึ่งลิตรครึ่ง
ทั้งนี้เพราะ ขาทั้งสองข้าง เป็นเหมือนแท็งค์น้ำ โดยน้ำจะแทรกอยู่ระหว่างกระดูกและผิวหนัง เรียกว่า “interstitium” เมื่อไม่มีน้ำ จะแฟบ พอมีน้ำก็จะพองหนาขึ้น น่อง จึงเหมือนถังน้ำ เก็บไว้ฉี่ทิ้งภายหลัง และนั่นเป็นสาเหตุที่ต้องตื่นขึ้นมาฉี่บ่อย
คุณหมอ Sone Atsushi Director, Miyazu Takeda Hospital ยืนยันว่า มีคนไข้เป็นอย่างนี้หลายคน
มีคำอธิบาย เขียนเป็นไดอะแกรมง่ายๆ เป็นวงจรของเส้นเลือดแดงจากหัวใจลงมาที่น่อง แล้วก็กลับขึ้นหัวใจทางเส้นเลือดดำ ส่วนกระเพาะปัสสาวะอยู่ตรงกลางระหว่างหัวใจกับน่อง การเต้นของหัวใจ กับการเคลื่อนไหวของน่อง จะเหมือนกับปั๊มสองตัวช่วยกันสูบฉีดน้ำในร่างกาย ถ้าน้ำมากไปก็จะไปปล่อยทิ้งที่กระเพาะปัสสาวะ
เมื่ออายุยังน้อย ปั๊มที่น่องก็ยังแข็งแรงดีอยู่ ยิ่งเป็นเด็ก วิ่งกระโดดโลดเต้น น่องจึงแข็งแรง (เพราะฉะนั้น ถึงจะวิ่งไม่ไหว ก็ขยันเดินกันหน่อยนะครับ) แต่เมื่ออายุมากขึ้น น่องไม่ค่อยได้ทำงาน น้ำจึงมาบวมอยู่ที่ขา ด้วยแรงโน้มถ่วงของโลก พอล้มตัวลงนอนตอนดึก น้ำส่วนเกินนี้จึงค่อยๆกลับมาที่กระเพาะปัสสาวะ จนทำให้ต้องลุกไปฉี่บ่อยๆ
ดังนั้น ในปีนี้ ทางการแพทย์ที่ญี่ปุ่น จึงมีการปรับแก้วิธีการรักษา อาการตื่นมาฉี่บ่อย (nocturia) ซึ่งไม่มีการแก้ไขมาเลยในรอบสิบปี
คุณลุง Ando เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการรักษาวิธีหนึ่งในแผนใหม่นี้ สี่ปีมาแล้วที่เขาต้องตื่นมาฉี่ 4~5 ครั้ง ทุกคืน แถมลำบากที่ต้องปีนบันไดขึ้นลง เพราะห้องน้ำอยู่คนละชั้นกับห้องนอน พลาดพลั้งเกิดตกบันไดขึ้นมาก็ยุ่งอีก ชีวิตช่างน่าหดหู่เสียจริงๆ
การฉี่บ่อย (nocturia) นำไปสู่ ความรู้สึกหดหู่ และกระดูกหัก
พูดให้เว่อร์ไปหน่อย ความรู้สึกหดหู่ หรือ depression ก็เพราะอดนอน และกระดูกหัก ไม่ใช่เพราะฉี่บ่อยตรงๆ แต่เป็นสาเหตุเกี่ยวเนื่อง โดยเกิดจากการงัวเงียเมื่อตื่นขึ้นมา อาจจะทำให้หกล้ม หรือ ตกบันได
แต่กระดูกหักในกลุ่มผู้สูงอายุนี่เรื่องใหญ่นะ
วันหนึ่ง ลุง Ando ได้รับ “กล่อง” เพื่อการรักษา
หนึ่งเดือนผ่านไป คุณลุงนอนรวดเดียวยันเช้า ไม่ต้องลุกไปฉี่เลย คุณลุง Ando ได้พบ “ทางรอด” แล้ว ที่สามารถจะใช้ชีวิตได้ตามปกติอีกครั้ง
“ทางรอด” ในกล่องเล็กๆ ที่ทำให้ชีวิตของลุง Ando เปลี่ยนไปเลยนั้น คืออะไร
คุณ Toshida Masaki Assit. Director, ศูนย์ศึกษาผู้สูงอายุ (แห่ง National Center for Geriatric & Gerontology) มาเฉลยว่า ภายในกล่องนั้น คือ “ถุงเท้ารัดน่อง” (compression stockings) ครับ
ถ้าสวมมันไว้ตอนกลางวัน จะช่วยทำให้ขาไม่บวม และไม่เก็บน้ำไว้ ทำให้ฉี่ตอนกลางวันมากขึ้น ไม่เก็บไว้ไปฉี่ตอนดึกอีก
นอกจากนั้น ยังมีคำแนะนำง่ายๆอีกอย่าง เป็นวิธีการบำบัดข้อที่สอง ที่คุณหมอได้แนะนำให้ลุง Hayashi ที่เข้าร่วมการทดลองในตอนแรก ลองกลับไปทำดู คือการนอนยกขาให้สูงขึ้นหน่อย ประมาณครึ่งฟุต สักครึ่งชั่วโมงในตอนบ่าย แต่อย่างีบหลับไปนะ เดี๋ยวกลางคืนจะนอนไม่หลับอีก
คุณลุง Hayashi ได้ลองทำดูประมาณหนึ่งเดือน โดยเริ่มทำตั้งแต่วันที่ 1 กุมภาพันธ์ ด้วยการนอนยกขาพาด อ่านหนังสือ หนึ่งเดือนผ่านไป จากการต้องลุกไปฉี่ 3 หนในตอนก่อน ก็เหลือเพียง 1.5 ครั้งโดยเฉลี่ย
การรักษานี้เป็นการบำบัดโดยเปลี่ยนอุปนิสัย (behavior therapy) ดีกว่าการใช้ยา เพราะว่าไม่มีผลข้างเคียง (side effect)
คำแนะนำเพื่อการบำบัดดังกล่าว มี 3 วิธี คือ
• สวมถุงน่องแบบรัด • ยกขา • งดกินเค็ม
การงดกินเค็มที่แถมมาด้วยนั้น เพราะ การกินเค็ม นอกจากจะทำให้ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้นแล้ว ยังทำให้ร่างกายเก็บน้ำไว้ด้วย
ของแถมอีกอย่างที่บางคนอาจจะเมิน คือ หมอเขาแนะนำให้เลิกการ “กรุ๊บๆ กรั๊บๆ” ในตอนเย็น เพราะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แถมกับแกล้มกินเล่นซึ่งมักจะมีเกลือเยอะ จะช่วยกันเรียกความกระหายให้ร่างกายดื่มน้ำมากขึ้น สังเกตได้ว่าถ้ากินเลี้ยงตอนเย็น คืนนั้นก็จะฉี่มากขึ้น
คำถามว่า สวมถุงรัดน่องด้วย พร้อมกับนอนยกขาด้วย ได้ไหม - Dr. Yoshida บอกว่า ไม่มีปัญหา
แต่สวมถุงรัดน่องไปกินเลี้ยงตอนเย็นนี่คงไม่ช่วยเท่าไหร่นะ
งานนี้ สงสัยจะมีคนขอเลี่ยงบาลีไปดื่มตอนเที่ยงแทน
คำแนะนำแนวทางทั้งสามนั้น คงจะเป็นประโยชน์กับศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ
ส่วนเรื่องถุงรัดน่องนั้น ถ้าไปหาตามร้านขายยา ก็จะมีถึงสามชนิดให้เลือก คือ สูงแค่เข่า ซึ่งสวมง่ายหน่อย ยาวขึ้นมาหน่อยคือสวมทั้งขา และที่ยาวสุดคือ สวมขึ้นมาถึงเอว ชอบแบบไหนก็เลือกได้ตามสะดวกครับ รวมทั้ง น่าจะมีขนาดให้เลือกด้วย และสามารถสวมใส่ได้ทั้งวัน
อย่างไรก็ตาม คุณหมอมีคำเตือนสำหรับคนที่เป็นโรคหัวใจหรือเบาหวานว่า ให้ปรึกษาหมอหน่อยก็ดีนะ เรื่องที่จะหาอะไรมารัดน่องนี่น่ะ
ที่ง่ายคือการนอน (อย่าหลับ) ยกขาขึ้นมาพาดอะไรที่สูงหน่อยในตอนบ่ายนั้น ก็ต้องบริหารเรื่องเวลาเหมือนกัน ไม่เร็วไป (เพิ่งผ่านเวลาเช้ามาหยกๆ) หรือช้าไป (จะเข้านอนอยู่แล้ว) เพราะจะไม่ได้ผลดีเท่าที่ควรทั้งคู่
เวลาแดดร่มลมตก นึกถึงเปลญวนขึ้นมาทีเดียว เพราะเป็นเปลที่ขาถูกยกขึ้นมา ไม่ได้นอนราบๆ
แต่ไม่มีเปลญวนก็ไม่เป็นไร หาอะไรหนุนขาเอาก็ได้ อย่างไรก็ตาม วันนี้ ผมเลยได้ไอเดีย ที่ทำให้ชีวิตสบายขึ้นเยอะ เพราะว่า
แทนที่จะนั่งเขียนบทความ บ่ายวันนี้ ผมนอนยกขาเขียนครับ
วัชระ นูมหันต์ 20 ธันวา 63
Ending Nighttime Urination | Gatten! • NHKhttps://www3.nhk.or.jp/nhkworld/en/ondemand/video/4031005/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #605 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 10:08:47 AM » |
|
ดร. จง จากจีนคาดการณ์ว่าไม่ช้าก็เร็วการติดเชื้อโควิด -19 ในชุมชนในวงกว้างจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากขณะนี้มีจำนวนผู้ติดเชื้อที่ไม่มีอาการเพิ่มขึ้น แต่มีระยะฟักตัวที่แตกต่างกันไปโดยไม่ถูกตรวจพบ เนื่องจาก Senerio ข้างต้นแทบจะไม่สามารถควบคุมได้และหลีกเลี่ยงไม่ได้ตอนนี้จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องสร้างระบบภูมิคุ้มกันของตัวเองก่อน "ภูมิคุ้มกันของคุณคือการป้องกันที่ดีที่สุด (สำหรับการติดเชื้อ Covid-19)" อย่าพึ่งมาสก์ หรือล้างมือ เพียงอย่างเดียว สิ่งเหล่านี้เป็นมาตรการป้องกันที่ดีเยี่ยม แต่เหนือสิ่งอื่นใดทุกคนยังต้องสร้างภูมิคุ้มกันของตนเองโดยเร็ว
ประการแรก : เรา ต้องนอนหลับให้เพียงพอ **; ต้องนอนหลับอย่างน้อย 7 ชั่วโมง ผู้ที่นอนน้อยกว่า 7 ชั่วโมงต่อวันจะมีภูมิคุ้มกันลดลง
ประการที่สอง : เราต้องกินให้ดี สิ่งที่เรียกว่า "กินดี” ไม่ได้เกี่ยวกับการกินอาหารรสเลิศ แต่ ** การรับประทานโปรตีนคุณภาพสูงที่มีประโยชน์ ** ซึ่งสามารถใช้ในการผลิตแอนติบอดี อย่าลืมควบคุมปริมาณน้ำตาลของเราอย่างเคร่งครัด การกินน้ำตาลที่ผ่านการกลั่นมากเกินไปอาจทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันเม็ดเลือดขาวของเราไม่มีการทำงานเป็นเวลา 5 ชั่วโมง! ดังนั้นเราต้องเลือกและควบคุมอาหารของเรา
ประการที่สาม : โคโรนาไวรัสมีโหมดการแพร่พันธุ์ล่วงหน้าซึ่งจะทวีคูณเร็วขึ้นในฤดูหนาว ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญบางคนแนะนำให้เราออกแดดมากขึ้นซึ่งช่วยได้ เพิ่มวิตามินดีเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันของเรา ผู้เชี่ยวชาญคนอื่น ๆ ได้ทำการวิจัยและเผยแพร่ผลการวิจัยว่าการรับประทานวิตามินดีเสริมในช่วงฤดูหนาวสามารถลดการติดเชื้อทางเดินหายใจสองในสาม หากคุณไม่สามารถหรือไม่ได้อาบแดดจริงๆคุณสามารถเลือกที่จะทานวิตามินดีแทนได้
ประการที่สี่ : งานวิจัยของรัสเซียชิ้นหนึ่งพบว่า: เพื่อหลีกเลี่ยงการติดเชื้อทางเดินหายใจส่วนบน“ คุณต้องบ้วนปากและกลั้วคอเมื่อกลับบ้านหลังการออกไปข้างนอก เพราะเหตุใด เพราะไวรัสทุกชนิดมีกุญแจเข้าสู่เซลล์ของเราเมื่อไวรัส บุกรุกเซลล์เป้าหมายต้องเจาะรูก่อนและเคาะประตู ฯลฯ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาสักครู่ในการเข้าถึงและเจาะผนังเซลล์เป้าหมายเพื่อเปิดประตูเพื่อเข้าสู่เซลล์เป้าหมายและแพร่กระจายเชื้อ ดังนั้นหากคุณติดเชื้อนอกบ้าน เมื่อคุณกลับถึงบ้านเพียงแค่กลั้วคอและบ้วนปาก "ไม่ว่าคุณจะบ้วนปากด้วยน้ำ น้ำเกลือ เบตาดีนที่เจือจางในน้ำ น้ำยาบ้วนปาก หรือน้ำชา ทั้ง 5 วิธีนี้ใช้ได้ผลดี
สุดท้ายดร. จงยังชี้ให้เห็นว่าการศึกษาในญี่ปุ่นอิสราเอลและฟินแลนด์ล้วนแสดงให้เห็นว่า การอาบน้ำร้อนทุกวันเพื่อเพิ่มอุณหภูมิร่างกายให้เพียงพอ จะสร้างสภาพแวดล้อมของร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการติดเชื้อโคโรนาไวรัส งานวิจัยยังระบุด้วยว่าหากคุณอาบน้ำร้อน 4 ครั้งขึ้นไปในแต่ละสัปดาห์อัตราการติดเชื้อไวรัสอาจลดลงถึง 60% คำแนะนำของ Dr Zhong คืออาบน้ำร้อนทุกวัน 41 องศา C และ 5 นาทีก็เพียงพอแล้ว!
กรุณาแบ่งปันกับครอบครัวและเพื่อนของคุณ..
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #606 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 10:10:08 AM » |
|
ไขมันพอกตับ คือ สิ่งที่คนไทย เป็นกันเยอะมาก ไม่ใช่เพราะกินเหล้าหรือ แอลกอฮอล์เยอะ เพียงเรื่องเดียว
นั่น คือสิ่งที่เข้าใจผิด หลายคนเลยถามผมว่า ไม่เคยดื่มแอลกอฮอล์เลย ทำไมเป็นไขมันพอกตับ
เพราะไขมันพอกตับ ไม่ได้มาจากแอลกอฮอล์เท่านั้น แต่มาจากน้ำตาลฟรุกโตส และ น้ำตาลอุตสาหกรรม ที่เรียกว่า high fructose corn syrup ซึ่งมีอยู่ในอาหารมากกว่า 70% ที่คนยุคนี้กินทุกวัน ซึ่งหนักกว่า การดื่มแอลกอฮอล์ด้วยซ้ำ
เพราะ ข้อเท็จจริงพบว่า คนที่ไม่ได้ดื่มแอลกอฮอล์เลย ก็มีไขมันพอกตับ อาการนี้ เค้าเรียกว่า nonalcohol fatty liver คือ พวกที่เป็นไขมันพอกตับ โดยที่ไม่มีแอลกอฮอล์มาเกี่ยวข้อง
ไขมันพอกตับนั้น เป็นสัญญาณของโรคหัวใจ และ หลอดเลือดตีบตัน นะครับ และ คำพูดที่ว่า ออกกำลังกายเยอะๆ จะทำให้ไขมันพอกตับหาย ก็ไม่จริงนะครับ
กี่คนแล้วครับ ที่ออกกำลังกายมาก ออกกำลังกายมาเป็นสิบปี แต่ไขมันก็ยังพอกตับอยู่ วิธีเดียวคือ เลิกกินอาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตส และ high fructose corn syrup เลิกกินน้ำตาล เลิกดื่มน้ำผลไม้กล่อง เลิกโดยเด็ดขาดสัก 6-8 เดือน ระหว่าง 6-8 เดือนนั้น ร่างกายจะกำจัดไขมันพอกตับ ออกได้เองครับ ยา หรืออาหารเสริมใดๆก็ช่วยไม่ได้นะครับ
ขนมและเครื่องดื่ม ประเภท ขนมปัง เค้ก เบเกอรี่ น้ำอัดลม ชานม ชาไข่มุก พวกเครื่องดื่มอร่อยๆที่มีรสหวานทั้งหลาย น้ำหวาน ของหวาน คุ้กกี้ แคร็กเกอร์ โดนัท ขนมขบเคี้ยว รวมถึง การกินผลไม้หวานๆ ที่กินคราวละมากๆ ก็เป็นต้นเหตุให้มีไขมันพอกตับด้วย ควรจะเลิกกินของหวาน ให้ได้ครับ ถ้าไม่อยากให้มี ไขมันพอกตับ
Cr: นักโภชนาการ ม.มหิดล
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #608 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:35:41 PM » |
|
ทำไมเปรี้ยวล้างพิษ PM2.5
• ผมเขียนความเรียงก่อนหน้า รากแก่นของร่างกายคนมาจาก “สารกรด”
- อายุรเวทระบุชัดคนเราป่วยเพราะ “ตรีโทษะ” - ปกติปิตตะระคนวาตะให้เกิดเป็น “มูลละ” อย่างนี้เป็นเรื่องปกติ - แต่ถ้าถ้าปิตตะหย่อนวาตะจะกำเริบทันที ผลเสมหะจึงเฟื้องมากผิดปกติ ที่เรียกเรียกว่าป่วย - ตัวอย่าง เช่น หวัด หวัดไม่เป็นกันง่ายๆถ้าเราอบอุ่นร่างกาย แต่ถ้าปล่อยหนาวสะท้าน (ปล่อยให้ปิตตะหย่อนวาตะก็จะกำเริบ) หวัดก็มาเยือน (ปิตตะระคนวาตะปล่อยมูลละที่เรียกว่า น้ำมูกขี้มูก ,หรือเสลด พอเข้าใจนะครับ)
- การรักษาหวัดฝรั่งบอกให้กินวิตามินซีป้องกัน - แต่นั้นฝรั่งคิด ผมครูหมอแผนไทยไม่ได้คิดอย่างนั้น (เรามาเรียนวิชาหมอแผนไทยดีกว่าครับ) - รสเปรี้ยว = ธาตุไฟ+ธาตุน้ำ - ไฟธาตุสันตับปัคคี (ไฟอบอุ่นร่างกาย) จะทำงานประสานกับลมอัสสาสะปัสสาสะ (ลมหายใจ) - ฝรั่งบอกการหายใจเป็นการแลกเปลี่ยน O2 ที่ปอด - รบกวนท่านไปหางานวิจัยฝรั่งอ่านเอาเองนะครับ ว่า “สารอะไรที่เสริมการแลกเปลี่ยน O2” - ผมพอแนะให้ท่านเห็นภาพ การดึง O2 ไปโยงกับธาตุเหล็ก แล้วโยงไปวิตามินซี - แต่ความจริงมันลึกมากกว่านั้น ในน้ำมะนาว หรือน้ำมะกรูด มีกรดของโปรตีนตัวนี้สำคัญกว่าวิตามินซีหลายร้อยเท่า ตัวนี้แหละที่ทำหน้าที่ต้านทานฝุ่นพิษในเลือดด้วยการจับคู่แล้วดึงออก ถ่ายทิ้ง
• แผนดึกดำบรรพ์เขาไม่อธิบายแบบข้างต้น (นั้นมันตะวันตกคิด)
- แต่ผมอธิบายแบบแผนฝรั่ง เพราะคนไทยรุ่นใหม่เราไม่เชื่อทฤษฎีแผนไทย - ผมจึงแยกชี้ให้เห็นในความเรียงก่อนหน้า “ไม่ว่าสสารหรือพลังงาน ล้วนมาจากรากเหง้า ,มาจากฐานเดียวกัน - ผมพูดอย่างนี้ ท่านจะตั้งหน้าตั้งตากินเปรี้ยว (มันไม่ใช่อย่างนั้นครับ ต้องมีเหตุปัจจัยจึงกิน) - ถ้าร่างกายท่านไม่ขาดเปรี้ยว ท่านก็ไม่ต้องกินเปรี้ยวก็ได้ เพราะถึงอย่างไรภูมิต้านทานร่างกายท่านเอาอยู่ ไม่ป่วยง่ายๆหรอกครับ - เช่น ผมเองไม่ขาดเปรี้ยว ถ้าผมไปอยู่ กทม.ท่ามกลางฝุ่นพิษ ผมไม่ป่วยหรอกครับ - แต่ผมจะหาโอกาสฟื้นฟูร่างกายด้วยการบำรุง คือเติมเต็มอากาศดีใต้ต้นไม้ใหญ่ใบหนาช่วงเที่ยงๆ และกินสมุนไพรกลุ่มขับพิษ หรือกินยาฟอกเลือดหรือกินน้ำมะนาว หรือกินน้ำมะกรูด (กินบ้างเว้นบ้างไม่ใช่ตั้งหน้าตั้งตากินนะครับ ก็ไม่ได้ป่วยอะไรเพียงกินบ้างพอแล้วครับ)
ผมหวังว่าคงพอมีประโยชน์สำหรับการรับมือฝุ่นพิษขณะนี้นะครับ (ท่านอย่ากังวลจนจิตป่วยนะจ๊ะ)
หมอบวร จันทร์โภคาไพบูลย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #609 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:38:47 PM » |
|
การแช่มือแช่เท้าด้วยน้ำสมุนไพรกรณีมีภาวะร้อนเกินให้ใช้สมุนไพรฤทธิ์เย็นประมาณ 1 กำมือ เช่นใบเตยเบญจรงค์หรืออ่อมแซบผักบุ้งใบบัวบกย่านางรางจืดใบมะขามไปส้มป่อยหยวกกล้วย
จะใช้สมุนไพรอย่างไรอย่างหนึ่งซื้อหลายอย่างรวมกันก็ได้ต้มกับน้ำ 1 คันหรือประมาณ 1 ลิตรต้มเดือดประมาณ 5-10 นาทีผสมน้ำเท่าไหร่ให้อุ่นแค่พอรู้สึกสบายจะเป็นจุดที่ถอนพิษได้ดีที่สุดอย่าให้เย็นหรือร้อนจัดจนรู้สึกทรมานเพราะจะทำให้ถอนพิษได้ไม่ดีบางทีอาจเพิ่มพิษด้วยซ้ำ
// จากนั้นแช่มือแช่เท้าประมาณ 3 นาที(หรือนับในใจ 180 ครั้ง)แล้วยกขึ้นพัก 1 (นับในใจ 60 ครั้ง)นาทีทำซ้ำจนครบ 3 รอบธรรมดาประมาณ 1-2 ครั้งถ้าไม่มีเวลาให้ทำสัปดาห์ละ 1 ถึง 3 ครั้ง //
/กลไกการถอนพิษ/ กลไกการถอนพิษ คือร่างกายมีธรรมชาติ ของการระบายพลังงานที่เป็นพิษ จำนวนมากออกทางมือและเท้า เมื่อคนเราใช้มือและเท้าในชีวิตประจำวัน กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่มือและเท้ามักจะเกิดสภาพแข็งเกร็งค้าง ทำให้ขวางเส้นทางระบายพิษจากร่างกาย การแช่ในน้ำอุ่นจะช่วยให้กล้ามเนื้อเส้นเอ็นที่แข็งเกร็งค้างคลายตัว พลังงานที่เป็นพิษในร่างกายจึงจะระบายได้ดีทำให้สุขภาพดีขึ้น
หมายเหตุ //น้ำที่ผสมกับน้ำอุ่นจะต้องไม่ร้อนเกินไปหรือไม่เย็นเกินไปสัมผัสแล้วต้องรู้สึกสบาย(เป็นจุดที่ถอนพิษได้ดีที่สุด) ถ้าร้อนเกิน จนรู้สึกทรมานหรือเย็นเกิน จะถอนพิษได้ไม่ดีบางทีอาจจะเป็นการเพิ่มพิษด้วยซ้ำ // เมื่อแช่น้ำอุ่น พลังงานที่เป็นพิษที่อัดอยู่ในร่างกายจะเคลื่อนออกภภายใน 3 นาทีหลังจากนั้นพิษของน้ำอุ่นหรือน้ำร้อนจะเคลื่อนเข้าทำร้ายร่างกาย มีอาการอ่อนเพลียหรือไม่สบาย เพราะพีษจะเคลื่อนออกแค่ 3 นาที จากนั้นพิษของน้ำอุ่นจะเคลื่อนเข้าทำร้ายร่างกาย
ใช้หลักการ พลังงานพิษร้อนในร่างกายจะวิ่งส่วน ทางกับความเย็น
ส่วนใหญ่ผู้ป่วยมะเร็งข้างในจะร้อน ด้วยสมุนไพรฤทธิ์เย็นเช่นย่านาง ใบเตย อ่อมแซบ รางจืด หรือจะสะดวกใช้น้ำย่านางสกัดเย็นหรือน้ำมันเขียว ถ้าร่างกายเย็นก็ปรับมาใช้สมุนไพรฤทธิ์ร้อน ขิง ข่า ตะไคร้
CR. พี่รุต ขอขอบคุณคุณพี่รุจน์ค่ะ
|
|
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 06, 2021, 08:44:47 PM โดย jainu »
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
paul711
Hero Member
ออฟไลน์
เพศ:
กระทู้: 4406
Gold is value because it's value!
|
|
« ตอบ #611 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 11, 2021, 03:10:50 PM » |
|
อ่านแล้วจุก เลยค่ะ อารมณ์อยากออกจากบ้านหายไปทันควัน
ข้อความที่คุณ Bebe Patumanon ซึ่งเป็นสาวไทยที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลในเมืองนิวยอร์ก ได้เขียนไว้เกี่ยวกับโควิด-19 ที่เธอต้องพบเจอ
ลองอ่านดูนะคะ
“จริงๆแล้วไม่อยากเกาะกระแส Covid 19 แต่อยากให้ทุกคนได้เข้าใจว่าโรคนี้น่ากลัวและใกล้ตัวกว่าที่คิด เราทำงานที่โรงพยาบาล ตำแหน่งคือ Physician Assistant (PA) ตำแหน่งนี้ที่บ้านเรายังไม่มี งานก็คล้ายกับมือขวาของหมอ การเทรนนั้นเหมือนหมอทุกอย่างแต่ใช้เวลาเรียนน้อยกว่า คือจะสั่งยาได้สั่งเล็ป ใส่ท่อ ใส่สายต่างๆใส่เฝือก เย็บแผล ปั้มหัวใจ จะเป็นตำแหน่งระหว่างหมอกับพยาบาล แต่เราจะเจอและใช้เวลากับคนไข้มากกว่าหมอเพราะหมอ 1 คน คุมคนไข้30 คน ก็จะมี PA 2 คน ช่วยหมอดูคนไข้คนละ 15 คน ทำงานอยู่ที่ Bronx, NY สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมามีแต่คนไข้ Covid 19
อยากให้ทุกคนที่บ่นว่าเบื่ออยู่บ้าน รัฐบาลเส็งเครง เลิกบ่นเถอะ เพราะเบื่ออยู่บ้านนั้นก็ยังดีกว่าออกมาทำงานด้วยความกลัว กลัวตาย ตอนนี้พวกพนักงานโรงพยาบาลอย่างพวกเราต้องสวดมนต์ขอให้พระคุ้มครอง มองหน้าพ่อ แม่, ลูกน้อย และสามี สั่งเสียกันว่า ไปแล้วอาจจะติดเชื้ออาจจะไม่ได้กลับบ้านนะ รักทุกคนนะ กอดลากันแบบแนบแน่นเหมือนไม่รู้ว่าเราจะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาแบบนี้อีกไหม ไม่คิดเลยว่างานผู้ช่วยหมอต็อกต๋อยอย่างเรามันจะเสี่ยงขนาดนี้
อยากจะบอกว่า ตอนนี้คนไข้ล้นโรงพยาบาล PPE ไม่พอ อันนี้ทุกคนรู้ แต่ที่คุณๆไม่รู้คือ การตายด้วยโรคนี้ เป็นการตายที่โดดเดี่ยวและทรมาน คนไข้พอ admitted แล้ว ครอบครัว ลูก ผัว พ่อ แม่ พี่น้อง ห้ามเยี่ยมเด็ดขาด ตอนแรกอาการอาจจะไม่หนัก แต่พอมารวมแออัดกันกับคนไข้อื่นๆก็เกิดอาการ แบ่งเชื้อกันไปมา cross contaminated ที่ไม่หนักก็อาจจะเกิดเป็นอาการหนักขึ้น
พยาบาลนั้นน่าสงสารที่สุด หมอ กับ PA ก็จะวิ่งเข้าแล้วก็รีบวิ่งออกจากห้องคนไข้เพราะเราพยายามเซฟตัวเองให้สัมผัสกับเชื้อโรคให้น้อยที่สุด แต่พยาบาลต้องเข้าไปตรวจความดัน ให้ยา โดยมากคนไข้ไม่ได้เป็นแค่ Covid แต่มีโรคประจำตัวจิปาถะ ยาก็เยอะ พยาบาลก็ต้องเข้าๆออกๆ เข้าห้องโน้นออกห้องนี้ แต่คุณอย่าลืมว่าคนไข้ทุกคนติดเชื้อ ลองคิดดู 12 ชั่วโมงขลุกอยู่กับเชื้อ Corona แบบไม่ได้พักเพราะคนใข้หลายคนอาการหนัก พอ อ๊อกซิเจนตกก็ต้องรีบเข้าไปดู เพราะห่วงคนไข้เพราะเราเป็นมนุษย์เหมือนกัน
ที่จะบอกว่ากลัวก็เพราะว่า Covid 19 ไปทำลายเนื้อเยื่อปอดโดยตรง ถ้าโชคดีก็ไม่มีอาการ หรือมีบ้างเล็กน้อย แต่คนไข้ที่อาการเริ่มหนักขึ้นก็จะเริ่มหายใจไม่ออก ปอดเริ่มชื้นมีน้ำท่วม ถ้าคิดไม่ออกก็ลองหลับตาแล้วคิดถึงภาพเรากำลังจมน้ำแล้วหายใจไม่ออก น้ำเต็มจมูกเต็มปาก หรือตอนไปทำฟันแล้วน้ำลายเต็มคอ กลืนไม่ได้ หายใจไม่ออก (จนหมอดูดน้ำออกจากปากเรา เราก็หายใจเฮือกใหญ่แบบรอดตายแล้วกู) มันทรมานขนาดไหน โรคนี้ก็เช่นกัน ทางช่วยอย่างเดียวคือเครื่องช่วยหายใจซึ่งตอนนี้เป็นของล้ำค่า ตกหนักที่หมอต้องเลือกว่าใครจะมีค่าควรกับเครื่องนี้มากกว่ากัน ไม่มีหมอคนไหนอยากทำหน้าที่นี้หรอกนะคุณ มันไม่ใช่หน้าที่ของหมอเลย
คืนก่อนมีคนไข้หนัก สอง สามคน ทุกคนนอนทรมาน พยายามหายใจเข้าออก ทุรนทุรายเพราะปอดไม่ทำงาน พยาบาลโทรมาตาม เข้าไปดูอาการ ก็ต้องเรียก code team ซึ่งปกติจะเป็นทีมฮีโร่ถ้าทีมนี้มาคนไข้เรารอดแน่ แต่ไม่ใช่กับ Covid19 สุดท้ายทีมก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะทางออกเดียวคือใส่ท่อช่วยหายใจ ถ้าคนไข้บอกไว้ก่อนแล้วว่าไม่ต้องการใส่ท่อหรือปั๊มหัวใจ เราก็ได้แต่ให้ยามอร์ฟีนเพื่อให้คนไข้ไม่ทรมาน แต่ถ้าคนไข้ full code ก็ต้องใส่ท่อ ปั๊มหัวใจ ทีนี้virus ก็จะฟุ้งกระจาย เครื่องป้องกันก็เป็นเศษผ้าบางๆ กับหน้ากากกะโหลกกะลา ทีนี้ก็งานเข้ากันทั้งทีม ชุด PPE ตอนใส่นั้นง่าย แต่ตอนถอดแบบจะให้เชื้อไม่ติดมือเสื้อผ้าหน้าผมนี่เป็นเรื่องยาก ถึงกับต้องมี class อบรมกันเลยทีเดียว Process of dying นี่แหละคือความน่ากลัว ไม่มียาฆ่าไวรัส ไม่มียารักษา รักษาตามอาการ ยาที่ใช้อยู่ตอนนี้ก็เหมือนเสี่ยงดวง ทุกอย่างขึ้นอยู่กับดวง คือทั้งทีมได้แต่ยืนมองคนไข้นอนทุรนทุรายกระกระสนต่อสู้เพื่อลมหายใจแต่ละเฮือก แต่ละเฮือกนั่นเป็นสิ่งที่แสนทรมาน สายตาที่มองมาทางพวกเราวิงวอนว่าหมอช่วยด้วย แต่เราก็ได้แต่ยืนนิ่งเพราะเราก็ทำกันสุดความสามารถที่มีแล้ว ญาติพี่น้อง ลูก หลาน ผัว เมีย ก็ไม่ได้ล่ำลา เป็นการตายที่โดดเดี่ยวและทรมาน บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่าคนไข้เหล่านี้จะกลัวและโดดเดี่ยว ขนาดไหนในช่วงเวลาสุดท้ายและลมหายใจสุดท้ายของชีวิต คนรักษาก็ได้แต่ยืนมองแล้วก็ได้แต่คิดว่าวันนี้เราจะดวงดีเหมือนเมื่อวานไหม แล้วพรุ่งนี้ล่ะ
เรายืนมองคนไข้ที่รู้หละว่าอาจจะอยู่ได้ไม่ถึงเวลาที่เราจะออกกะคือ 12 ชั่วโมง แต่ทำอะไรไม่ได้นอกจากให้ยากดประสาทเพื่อคนไข้ของเราจะได้ทรมานน้อยลงและหวังว่าจะจากไปอย่างสงบ เหมือนเราไร้ค่าและไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่ร่ำเรียน ฝึกฝนมาไม่ได้ช่วยใครได้เลย
คุณลองคิดดูว่าถ้าพ่อ แม่ พี่น้องหรือคนที่คุณรัก ต้องตกอยู่ในสภาพเดียวกับคนไข้ของเราล่ะ ไปส่งกันที่โรงพยาบาล ลูบหน้าลูบหลังลากัน แล้วนั่นคือสัมผัสสุดท้าย กอดสุดท้าย การลาครั้งสุดท้าย คุณยังไม่ได้สั่งเสีย ไม่ได้ขอโทษ ไม่ได้บอกรักกัน ไม่ได้บอกว่าคุณโชคดีที่ได้รู้จักและได้ใช้ชีวิตร่วมกัน เป็นพ่อ แม่ ลูกกัน เป็นคนรักกัน เป็นเพื่อนกัน นี่แหละคือความทรมาน และปวดร้าวใจเราได้แต่ยืนนิ่งน้ำตาตกใน สูดลมหายใจลึกๆแล้วก็เดินไปดูคนไข้คนต่อไป
ตอนนี้ถึงเข้าใจว่าทำไมเราต้องให้อภัยกัน กอดกัน และบอกรักกันทุกวัน
คุณโชคดีที่ได้นอนอยู่บ้าน มีinternet มีหนังดู มีขนมกิน ได้อยู่กับครอบครัว ถ้าคุณอยากจะบ่น ก็ขอให้คิดถึงพวกเราที่โรงพยาบาล เราก็กลัว เราก็เหนื่อย เราก็ล้าและเราก็มีคนที่รักเรา รอเรากลับบ้านเหมือนคุณ เราก็แค่คนธรรมดาคนหนึ่ง ไม่ได้กล้าหาญอะไร ออกจะกลัวจนขี้ขึ้นสมองด้วยซ้ำ ถ้าเลือกได้เราก็ขอนอนเกาตูดดูหนังอยู่ที่บ้านเหมือนพวกคุณ เราก็ไม่อยากมาทำงานที่นอกจากจะต้อง พก PPE แล้วยังต้องมีพระเครื่องพวงใหญ่ที่พ่อแก้วแม่แก้วให้มาคุ้มครองปกป้องลูกน้อยที่ตอนนี้ก็ปาเข้าไป 40กว่าเข้าไปแล้ว แต่หัวอกพ่อแม่ จะแก่กร้านแค่ไหน ลูกก็ยังคือลูกน้อยของท่าน ที่ท่านรักและห่วงใยเสมอ
อยู่บ้านเถอะคุณ ถ้าคิดว่าตัวเองติดเชื้อก็อย่าโกหก กักตัวเองเถอะ อย่าเห็นแก่ตัว คุณอาจจะไม่เป็นอะไร คุณอาจจะไม่มีใครรักหรือห่วงคุณ คุณอาจจะเห็นแก่ตัวไม่รักและไม่ห่วงใคร แต่คนที่คุณเอาโรคไปติดเขานั้น เขาก็มีครอบครัวมีคนที่รักเขา เขาอาจจะเป็นพ่อ เป็นแม่ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นลูก เป็นเพื่อนใครจะรู้เขาอาจจะเป็น คนเดียวที่หาเลี้ยงทั้งครอบครัว เขาอาจจะเป็นความหวังเดียวของพ่อแม่ที่แสนชรา หรือเป็นพ่อ หรือ แม่ เลี้ยงเดี่ยวของลูกพิการที่รออยู่ที่บ้าน เขาอาจจะมีกันแค่สองคนพี่น้องไม่มีญาติที่ไหนอีกแล้ว มีกันแค่นี้ แล้วความมักง่ายความเห็นแก่ของคนๆนึง มาพรากทุกอย่างไป
อยากจะขอร้องให้ทุกคนร่วมมือกัน ถ้าไม่คิดว่าทำเพื่อตัวเอง ก็ทำเพื่อคนอื่น หรือเพื่อชาติก็แล้วกัน
หรือไม่ก็ทำเพื่อ หมอ พยาบาล ผู้ช่วยหมอ ผู้ช่วยพยาบาล พนักงานก้องแลป ช่างX-ray Respiratory พนักงานเข็นคนไข้ พี่รปพ พนักงานทำความสะอาด ทุกคน ทุกอาชีพ ที่ทำงานหนักตอนนี้เพื่อให้ทุกคนได้อยู่บ้านอยู่กับครอบครัว
ถามว่ากลัวไหม ขอตอบเลยว่ากลัวมาก เราไม่อยากตายแบบทรมารแบบคนใข้ของเรา และเราก็ไม่อยากเอามาติดคนที่บ้าน แต่ในความกลัวยังมีความหวังเพียงแต่ขอให้ทุกคนร่วมมือกัน”
Cr. เพจอีกสิบปีค่อยเรียกป้า
#stayhome #flattenedthecurve
ขอบคุณครับคุณหนูใจ ได้ความรู้เพิ่มจากบทความนี้ครับ จากคนที่ทํางานใกล้ชิดกับโรคโควิช
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
ผมไม่ใช่กูรูเรื่องทอง ไม่เคยเขียนหรือพูดแม้แต่ครั้งเดียวว่าเก่งเรื่องทองอ่านที่ผมเขียน แล้วตัดสินใจเอง เกิดผิดพลาด ต้องรับผิดชอบเองอย่าโทษผู้อื่นว่าพลาดเพราะไปเชื่อคนอื่น ไม่มีใครบังคับให้ท่านเชื่อ ผมเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา----Paul711 จุดหมาย 1) ทองแท่ง ให้ได้กําไร อย่างน้อย 10% ทุก 3 เดือน 2) Gold Future ให้ได้กําไรอย่างน้อย 5% ทุกเดือน 3) gold online ให้ได้กําไร อย่างน้อย 5% ทุกเดือน ชีวิตต้องมีหลักและจุดหมายที่ดีและแน่นอน ชีวิตที่ไม่มีหลักที่ดีเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวก็เปรียบเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ใครชวนให้ทําดีก็ดีไป ใครชวนให้ทําเรื่องไม่ดี ก็จะพบกับความล้มเหลวและภัยพิบัติได้ http://ichpp.egat.co.th/Gold2Gold.com
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #612 เมื่อ: มีนาคม 06, 2021, 09:09:16 PM » |
|
จากข่าวร้ายที่ ครูผู้สอน ในวัยแค่ 41 ปี สาเหตุจากเส้นเลือดในสมองตีบ ซึ่งไม่คาดคิดมาก่อน เนื่องจากน้องอายุยังน้อย และมีลูกชายฝาแฝดที่ยังอยู่ในวัยเรียนประถมศึกษาตอนต้นเท่านั้น โรคนี้จึงเป็นภัยเงียบที่น่ากลัว และได้รับข้อความที่คิดว่าเป็นที่มาของโรคนี้ และเป็นประโยชน์แก่ทุกคน จึงขอนำมาบอกต่อ เพื่อทุกๆคนจะได้ดูแลตัวเองกันด้วย สุขภาพทุกวันนี้ยิ่งไม่ดูแลยิ่งอันตรายมาก อาหารการกินนี่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะน้ำตาลและผลิตภัณฑ์จากน้ำตาลทั้งหลายด่วน เส้นเลือด "ตีบ" ในสมองเกิดขึ้นทุก 4 นาที ทำไมตรวจหาสาเหตุไม่เจอ แล้วจะมีวิธีป้องกันได้อย่างไร ?
ทุกวันนี้ ผมเจอคนป่วยเส้นเลือดตีบทุกวัน ตั้งแต่อายุ 13 ปี ยัน 95 ปี มันเกิดอะไรขึ้น ความพิการจะหยุดได้หรือไม่ได้??
สำหรับผม ผมตอบได้เลยว่า"หยุดได้" เส้นเลือดตีบในสมอง เกิดขึ้นทุก 4 นาที ปีละเป็นแสนคน ดารานักแสดง.. คนจน.. คนรวย.. ก็ไม่เว้น จนเป็นเรื่องน่าวิตกมาก วันนี้การแพทย์สหรัฐยังบอกเลยว่า มันยากมากที่สุด การรักษาคนป่วยเหล่านี้ แทบจะเลือนลาง เสียงบประมาณมากมายกับคนป่วยเหล่านี้
อาการเส้นเลือดตีบ เป็นอย่างไร? เส้นเลือดตีบ อาการที่ส่งสัญญาณ คือ 1. มึนหัว 2. บ้านหมุน 3. อาจมีอาการอาเจียนร่วม 4. อาการร่วมอ่อนแรงที่แขน 5. อาการร่วมอ่อนแรงที่ขา 6. มีกลุ่มก้อนแข็งอุดตาม คอ บ่า ไหล่ อาจส่งสัญญาณปวด
จากพฤติกรรมที่ทำ คือ.- 1. พักผ่อนน้อย 2. ดื่มน้ำน้อย 3. นอนดึก 4. ดื่มน้ำเย็นเป็นประจำ 5. ชอบทานอาหารมันๆ 6. ชอบดื่มเหล้า สูบบุหรี่ 7. ขาดการออกกำลังกาย 8. ไม่เคยปรับสมดุล ดูแลระบบหลอดเลือด และการไหลเวียนให้สมดุล 9. นั่งนาน 10. ยืนนาน 11. ทำงานหนัก 12. ชอบดื่มน้ำอัดลม กินหวานเป็นต้น
ภาวะเส้นเลือดตีบในสมอง ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค แต่เกิดจากพฤติกรรมที่สะสมมานาน ไม่ต่ำกว่า 4-5 ปี การอุดตันในเส้นเลือดถึงจะเกิดขึ้นได้ การรักษาฟื้นฟูสามารถทำได้ แต่ต้องใช้ระยะเวลานานไม่ต่ำกว่า 5 ปี
ส่วนคนที่เป็นมีอาการก่อนเส้นเลือดจะตีบตัน สามารถรักษาได้ ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 3-6 เดือน อาการเส้นเลือดตีบในสมองถึงจะไม่เกิดขึ้น แต่ถ้ายังกลับไปทำพฤติกรรมเดิมๆ ก็อาจกลับมาได้อีก เพราะเส้นเลือดตีบในสมอง เกิดจากพฤติกรรมในการดำเนินชีวิต ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค!! ขอขอบคุณบทความดี ๆ เพื่อสุขภาพค่ะ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
|
« ตอบ #613 เมื่อ: เมษายน 03, 2021, 05:36:36 PM » |
|
มีเพื่อนต่างกลุ่มส่งมา อ่านแล้วเห็นว่าน่าจะดี เลยขอส่งต่อให้เพื่อนๆอ่านกัน และลองทำดูด้วยกันได้ผลลัพท์เป็นอย่างไรช่วยแชร์ด้วย เผื่อเป็นประโยชน์ มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น(ของพวกเราผู้สูงวัยทั้งหลาย) เพื่อนถามว่า คุณเป็นหมอ…คุณดูแลสุขภาพตนเองอย่างไร ? จึงทำให้สุขภาพหมอดีมากๆ
ผมเล่าให้เพื่อนฟังแบบนี้ครับ 1. ผมคิดไว้ก่อนป่วย (ตามตำราหมอแผนไทย) 2 รู้ตัว เมื่อจะป่วย (มีสัญญาณฟ้องว่า…ร่างกายจะป่วย) เตรียมป้องกัน และ ลงมือป้องกัน
เรื่องคิดก่อนป่วย - หมอแผนไทย เขียนไว้ชัดเจน คนเรามักจะป่วยตามเวลาเมื่อถึงวัยดังนี้ 1. อายุ 16 ปี 32 ปี 48 ปี 56 ปี 64 ปี และ 72 ปี (เป็นช่วงเปลี่ยนวัยครั้งใหญ่…ร่างกายมักจะป่วยด้วยโรคแปลกๆ) 2. นับตั้งแต่อายุ 32 ปี วาตะ(ลม)จะเป็นเจ้าเรือน ท้องอืดง่าย ท้องผูกบ่อย (ท้องผูกสะสมพิษเดี๋ยวก็ป่วยๆ) 3. แก่ๆ (สองแก่) แก่แก่นี้…นับตั้งแต่ 56 ปีครับ เส้นเลือดจะเริ่มตีบมากขึ้นอย่างรวดเร็ว…มากกว่าช่วงเวลาที่ผ่านมา
สัญญาณฟ้องว่าจะป่วยแล้ว 1. นอนน้อย นอนหลับไม่ค่อยดี 2. เสียดแทงหัวใจ…กระสับกระส่าย 3. เป็นตะคริวบริเวณน่องบ่อยๆ (อัมพฤกษ์จะมาเยือนถ้าเจอก้อนลมที่น่อง แสดงว่าหัวใจ และเส้นเลือดไม่ค่อยโอเคแล้วครับ)
ผมเตรียมตัวป้องกันตนเองหลายปีแล้วครับ 1. ผมฝึกดื่มน้ำอุ่น (ฝึกมานานนับสิบปีแล้วครับ) ดื่มน้ำอุ่น แก้สารพัด ลดท้องอืด ลดท้องผูก ลดเส้นเลือดตีบ ลดเลือดข้น ลดไขมันในเลือด (น้ำ อุ่น…เป็นยาอายุวัฒนะที่ไร้ราคา …แต่คุณค่ามหาศาล)
2. เครื่องดื่มปรุงรส …ผมเน้นกลุ่มตะไคร้ …ขิง …ข่า …ยาหอม (เพื่อลดอาการเสียดแทงหัวใจ …ยาหอมผมต้องกินประจำ)
3. กาแฟ ชา ดื่มลดลง…สำหรับผมไม่กินกลุ่มนี้จะหลับยาวๆ …ถ้าดื่มชา กาแฟ เวลานอนจะหดสั่้ นลง (แต่อาจไม่เป็นกับท่านอื่น)
4. เช้า บีบมะนาวเขียวหนึ่งลูก ผสมน้ำอุ่นดื่มทันที (หลังดื่มน้ำมะนาวทิ้งไว้ 30 นาที…ค่อยดื่มน้ำผักปั่นหนึ่งเยือก) หลังจากดื่มน้ำผักปั่น ผมจะจิบแต่น้ำอุ่นทั้งวัน (ผมพกกระติกน้ำร้อนติดตัว)
5. ฝึกกินอาหารรสเผ็ด (แก้ท้องอืด) หรือ…อาหารรสเปรี้ยว (แก้เส้นเลือดตีบ…และป้องกันเบาหวาน ……)
6. มื้อเย็นกำลังฝึกไม่กิน …เริ่มที่ลดปริมาณ …ขณะนี้เปลี่ยนเป็นผลไม้แทนอาหาร …อนาคตมื้อเย็น…จะไม่กินอะไรสักอย่างครับ
7. ผมเดินมากกว่านั่ง (เพื่อป้องกันต่อมลูกหมากโต ปัสสาวะขัด)
8. ผมฝึกท่าจ่อซัว ครั้งละห้านาที (นั่งเหมือนนั่งเก้าอี้แต่ไม่มีเก้าอี้)
ผมพูดเสมอตัวชี้วัดคนแข็งแรง 1. กินได้ 2. นอนหลับ 3. ขยับได้
ดังนั้น…ผมป้องกันการขยับตัวไม่ได้ (อัมพฤกษ์) ผมให้ภรรยา หรือลูกสาว เหยียบที่น่องด้วยส้นเท้า…จากเบาๆก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มน้ำหนัก -ยืดเส้นขา ยืดเส้นหลัง ทำทุกวัน
สรุป. ผมเปลี่ยนอาหารเปลี่ยนพฤติกรรมตามวัยครับ
เล่าสู่กันฟัง … และท่านที่มีแนวทางวิถีชีวิตที่ดี…โปรดแบ่งปันกันนะครับ พวกเราล้วนเป็นเพื่อน สว. เหมือนกัน …จะได้ไปอยู่อาณาจักรผู้เฒ่าเต่า…แบบคนแข็งแรงครับ
Cr. หมอบวร จันทร์โภคาไพบูลย์
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|