Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 11   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: เมื่อสุขแท้ ก็ถึงธรรม  (อ่าน 16560 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #15 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:26:42 AM »

ศีล คือ ชีวิต…ชีวิต คือ ศีล





คนที่บอกว่าเขารักชีวิต แต่เขาไม่รักษาศีล
จะเชื่อถือได้อย่างไรว่าเขารักชีวิตจริง


ศีล คือ ชีวิต…ชีวิต คือ ศีล

คนไม่มีศีล เปรียบเสมือนต้นไม้ที่ไม่มีราก
เมื่อถูกลมพัดก็ย่อมล้ม

คนไม่มีศีล เหมือนการสร้างบ้าน
สร้างตึกที่ไม่มีรากฐานไม่มีเสาเข็ม
ย่อมล้มเป็นธรรมดา


คนไม่มีศีล เหมือนคนไม่มีเท้าย่อมเดินไม่ได้
เหมือนรถไม่มีล้อแล่น วิ่งไม่ได้

คนไม่มีศีล เหมือนคนเป็นใหญ่เป็นโต แต่ไม่มีความรู้
ย่อมปกครองทรัพย์ ปกครองลูกน้องไม่ได้ดี


คนไม่มีศีล จะเจริญสมาธิและกระทำให้เกิดปัญญา
และวิมุตติไม่ได้ และสำเร็จมรรคผลนิพพานไม่ได้


คนมีศีล ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟก็ไม่ไหม้
(ไม่ว่าจะอยู่ในหมู่คนพาลหรือคนดี ย่อมรักษาตัวรอดได้)

คนมีศีล จะนั่งนอน หลับตื่น ก็เป็นสุขอยู่ในกาลทุกเมื่อ
ไม่มีวิปฏิสาร (คือความเดือดร้อนใจ)

คนมีศีล มีชีวิตอยู่เพียงวันเดียวย่อมประเสริฐกว่า
ผู้ไม่มีศีลซึ่งมีชีวิตอยู่ตั้งร้อยปี

คนมีศีล ย่อมไม่ทำบาปแม้ในที่ลับ
เพราะมีความตรงและจริงใจต่อตนเอง


คนมีศีล ย่อมไปสู่ทุคติจตุรบาย

ศีล คือ เครื่องรางที่ป้องกันอบายภูมิได้อย่างศักดิ์สิทธิ์

คนมีศีล ย่อมมีสุคติเป็นที่ไปเบื้องหน้า

คนมีศีล จะค้าขายก็จะมีแต่ความเจริญโดยส่วนเดียว

คนมีศีล เข้าสมาธิก็ง่าย ไม่สะดุ้งตกใจง่าย

คนมีศีล ย่อมไม่ฝันลามก ย่อมไม่ฝันร้าย

คนมีศีล บรรลุธรรมก็ง่าย

คนมีศีล ย่อมไม่ก่อกรรมทำบาป

คนมีศีล คือ ผู้ที่มีจิตศรัทธาในพระรัตนตรัยอย่างแท้จริง
(คือเชื่อในพระรัตนตรัยจริงๆ)

คนมีศีล ย่อมเห็นโทษของบาปแม้เพียงเล็กน้อย

เพราะผิดศีลข้อ ๑ จึงมีกรรม อายุสั้น มีโรคภัยไข้เจ็บมาก

เพราะผิดศีลข้อ ๒ จึงมีกรรม ทรัพย์สมบัติต้องวิบัติ
ด้วยแรงกรรมต่างๆ เช่น ดิน น้ำ ลม ไฟ

เพราะผิดศีลข้อ ๓ จึงมีกรรม ภริยา-สามี นอกจิต นอกใจ
บุตร-ธิดาไม่อยู่ในโอวาทคบชู้สู่ชาย

เพราะผิดศีลข้อ ๔ จึงมีกรรม พูดจาไม่มีคนเชื่อถ้อยฟังคำ
ตาบอด หู หนวก เป็นอัมพาต

เพราะผิดศีลข้อ ๕ จึงมีกรรม โง่เง่า หลงทำกาลกิริยา เป็นบ้า เป็นใบ้

รักษาศีลให้ได้ มีสุคติเป็นที่ไปแน่นอน

รักษาศีลให้ได้ มีโภคทรัพย์แน่นอน

รักษาศีลให้ได้ มีนิพพานเป็นที่ไป และเข้าถึงแน่นอน


 หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 22, 2012, 12:03:48 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #16 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:33:41 AM »

เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด



เวรนั้นไม่มีที่สิ้นสุด กรรมนั้นก็ไม่มีที่สิ้นที่สุด
อย่างพระพุทธเจ้าเกิดมาก็ต้องหลายกัปป์หลายกัลป์
กับพระเทวทัตนั่นเป็นเวรต่อกันไม่รู้แล้วรู้รอดสักที
พระองค์ก็พยายามทำดีทุกอย่าง
แต่ว่าพระเทวทัตไม่ละไม่ถอน
คอยที่จะทำเวรอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งมาเกิดที่ทศชาติ
ก็ยังพยาบาททำกรรมทำเวรมาเกิดเป็นจันทกุมาร
นี่แหละเรื่องกรรมเรื่องเวรมันเป็นอย่างนี้แหละ
ยากที่สุดที่จะพ้นจากกรรมจากเวรได้น่ะ
เราไม่พ้นจากกรรมจากเวร
เราเกิดมาเพราะกรรม เพราะเวร จึงว่า

กมฺมโยนิ กรรมเป็นกำเนิดให้เกิดมา

กมฺมพนฺธุ มันติดพันเรามาตลอดเวลา

กมฺมปฏิสรณา เราอาศัยกรรมอยู่เดี๋ยวนี้

ทุกสิ่งทุกประการมันจะหมดสิ้นอย่างไรได้?
มันจะหมดสิ้นก็ต่อเมื่อสิ้นสังขารร่างกายนี้
พระพุทธเจ้าก็ดี สาวกทั้งหลายก็ดี
ท่านบำเพ็ญเพียรถึงที่สุดแล้ว
สังขารร่างกายนี้แตกดับ กรรมตามไม่ทันแล้วคราวนี้
กรรมอันนี้เรียกวิบากขันธ์
วิบากนี้ต้องตามทันอยู่ตลอดเวลา
ส่วนจิตนั้นตามไม่ทัน จิตใจของพระองค์หมดจดบริสุทธิ์
จิตใจของสาวกหมดจดบริสุทธิ์แล้ว
คราวนี้แหละกรรมตามไม่ทัน
กรรมที่ตามไม่ทันเพราะจิตใจหลุดพ้น
เพราะจิตปราศจากความกังวลเกี่ยวข้อง จิตที่เป็นหนึ่ง


อย่างที่เคยพูดให้ฟังว่า
จิตที่เป็นหนึ่ง ที่รู้เท่ารู้ตัวอยู่ตลอดเวลาเป็นนิจ
ไม่คิดถึงเรื่องอดีต อนาคต
ไม่คิดถึงเรื่องวุ่นวายสิ่งทั้งปวงหมด บริสุทธิ์อยู่คนเดียว
จิตอันอยู่คนเดียวนั้นไม่มีอะไรถูกต้อง
อะไรถูกต้องก็รู้เท่ารู้เรื่อง อันนั้นแหละเรียกจิตบริสุทธิ์
อันนั้นแหละจึงจะหลุดพ้นจากกรรมจากเวรได้

หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มกราคม 22, 2012, 12:06:03 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #17 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:46:41 AM »

ความไม่เข้าใจในเรื่องของกรรม



สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม
แม้จะเป็นจริงเช่นนี้ แต่มีผู้ที่เชื่อว่าเป็นจริงเพียงจำนวนน้อยนัก
เพราะไม่มีภาพให้เห็นว่า
เมื่อชีวิตออกจากร่างของคนคนหนึ่งไป ก็ไปเป็นอีกร่างหนึ่งได้
เช่น หมู หมา กา ไก่ ความไม่ได้เห็นชัดๆ ด้วยตาเนื้อเช่นนี้
ทำให้คนส่วนมากยากจะเชื่อว่าคนก็เกิดเป็นสัตว์ได้ สัตว์ก็เกิดเป็นคนได้

คนฐานะสูงก็เกิดเป็นคนฐานะต่ำได้ คนฐานะต่ำก็เกิดเป็นคนฐานะสูงได้
คนร่างกายดีๆ ก็เกิดเป็นคนแขนด้วนขาด้วนได้
คนพิการแขนด้วนขาด้วนก็เกิดเป็นคนมีแขนมีขาได้
คนหน้าตาน่าเกลียดผิดพรรณเศร้าหมอง ก็เกิดเป็นคนสวยคนงามได้
คนสวยคนงามก็เกิดเป็นคนน่าเกลียดน่าชัง ผิดพรรณเศร้าหมองได้
ยิ่งกว่านั้นคนก็เกิดเป็นเทวดาได้ และเทวดาก็เกิดเป็นคนได้


ความไม่เห็นด้วยตาเนื้อ
ประกอบกับความไม่มีความเข้าใจในเรื่องกรรม และการให้ผลของกรรม
ที่ทำให้คนส่วนมากไม่กลัวการเกิดใหม่
ว่าจะนำไปสู่สภาพหรือภพชาติที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก เช่นเป็นสัตว์นรก


คัดลอกจาก…อำนาจอันยิ่งใหญ่แห่งกรรม
สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #18 เมื่อ: มกราคม 22, 2012, 11:48:36 AM »

อย่าได้เป็นกบเฝ้าดอกบัว


ชาวโลกทุกถ้วนหน้าที่เคารพ
พวกเราอย่าได้เป็นกบเฝ้าดอกบัว
และอย่าได้เป็นกบเลือกนายเลย
นายของพวกเรา คือ…พระธรรมคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เป็นคำสอนที่ทรงพระเหตุผล
สมต้นสมกลางสมปลายบริบูรณ์ดีพอแล้ว
พร้อมทั้งฆราวาสและบรรพชิต
สอนจิตสอนใจของพวกเราให้ละเอียดสูงส่งตรงไปให้
ชนะความเมาความหลงของเจ้าตัว
สอนไม่ให้เข้าข้างตัวโดยฝ่ายเดียว
สอนให้แลเหลียวดูใจท่านผู้อื่นและให้เอาตนเป็นพยานก่อน

หลวงปู่หล้า เขมปัตโต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #19 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 07:41:41 PM »

จริตของคน ๖ ประเภท



จริต ของคนมี ๖ กลุ่ม คือ ราคจริต  โทสจริต  โมหจริต  สัทธาจริต  พุทธิจริต และวิตกจริต บุคคลในจริตทั้ง ๖ นี้ เมื่อจะเจริญกรรมฐาน( ๔๐ แบบ )  จะต้องเลือกให้ถูกกับจริตของตน

บุคคล โทสจริต ชอบความรวดเร็ว  ไม่ชอบเรียนเยิ่นเย้อ ชอบสรุปความหรือเอาประเด็นสำคัญทีเดียว
กรรมฐานที่เหมาะคือ อัปปมัญญา หรือ พรหมวิหาร ๔   เมตตา  กรุณา  มุทิตา  อุเบกขา

บุคคล โมหจริต  มักชอบง่วงเหงาหาวนอน  เรียนอะไรนิดหน่อยก็ง่วงแล้ว
กรรมฐานที่เหมาะคือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออก

บุคคล วิตกจริต  เป็นคนลังเล ตัดสินใจอะไรไม่ได้  ไม่รู้จะเลือกอย่างไหนดี
กรรมฐานที่เหมาะคือ อานาปานสติ กำหนดลมหายใจเข้าออกเช่นเดียวกัน

บุคคล สัทธาจริต  มักเชื่อง่าย  ชอบเรื่องตื่นเต้น  เรื่องไหนไม่สนุกก็จะไม่ชอบ
กรรมฐานที่เหมาะคือ พุทธานุสติ ระลึกถึงพระพุทธเจ้า

บุคคล พุทธิจริต  มีความใฝ่รู้ ช่างสงสัย หาเหตุผล
กรรมฐานที่เหมาะคือ มรณสติ ระลึกถึงความตาย และ อุปสมานุสติ ระลึกถึงความสงบ

บุคคล ราคจริต  รักสวยรักงาม  รังเกียจของไม่สวยไม่งาม
กรรมฐานที่เหมาะคือ อสุภกรรมฐาน พิจารณาของไม่งามเช่นซากศพ

แต่ ถึงกระนั้นก็ตาม  แม้นในบุคคลเดียวกันนั้น ในแต่ละเวลา จริตก็เปลี่ยนแปลงได้ เช่นบางเวลาก็มี โทสะ ความโกรธ  บางเวลาก็เกิด ราคะ ความเพลิดเพลินในของสวยงาม  บางครั้งก็เกิด สัทธา ตื่นเต้นกับเรื่องราวต่างๆ หรือ บางครั้งก็ ง่วงเหงาหาวนอนเกิด โมหจริต

ดัง นั้น ก่อนจะลงมือปฏิบัติกรรมฐาน ควรตรวจดูว่าในขณะนั้น จริตใดกำลังมีความรุนแรงครอบคลุมจิตใจของเราอยู่  ก็ให้เลือกกรรมฐานที่ถูกต้องกับจริตขณะนั้น

 

( จากหนังสือ ขอบฟ้าแห่งความรู้  ของ  พระธรรมโกศาจารย์  ( ประยูร ธมฺมจิตฺโต )

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #20 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 07:46:16 PM »

สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลสทุกประเภท


…สติเป็นพื้นฐานแห่งการแก้กิเลส ทุกประเภท
ให้พากันจำเอาไว้นะ สติเป็นสำคัญมากทีเดียว
ถ้าลงขาดสติแล้วอะไรเหลวไหลทั้งนั้น
งานนอกงานในเหลวไหลไปหมด ขาดสติเสียอย่างเดียว
ถ้าสติดี งานใดยิ่งละเอียดลออเข้าไปโดยลำดับ
สติเป็นพื้นฐานทุกด้านทุกทาง ไม่มีคำว่าครึล้าสมัย
ในธรรมทุกขั้น ขั้นหยาบ ขั้นกลาง ขั้นละเอียด ถึงขั้นสูงสุด
ปราศจากสติไม่ได้เลย
สติเป็นสำคัญ เป็นพื้นฐานแห่งการชำระล้างกิเลสทั้งหลาย
เพราะฉะนั้นขอให้พระนำไปปฏิบัติ
ใครมีสติดีคนนั้นแหละจะประคองความเพียรได้ดี สติตั้งให้มั่นคง

เช่นเราอยู่กับคำบริกรรมคำใด ให้สติติดอยู่กับคำบริกรรม หรือจิตมีความสงบ
ให้ตั้งอยู่ในจุดแห่งความสงบเรื่อยๆ ไปอย่างนี้
สติติดแนบๆ จำให้ดี สติเป็นพื้นฐานแห่งการชำระกิเลสทุกประเภท
ไม่เหนือสติไปได้เลย นี่ได้พิจารณามาแล้ว ได้ปฏิบัติมาแล้วด้วย
ที่ได้มาสอนหมู่สอนเพื่อนจึงองอาจกล้าหาญในการสอน
ว่าไม่ผิด เพราะเราดำเนินมาแล้ว….


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #21 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 07:55:31 PM »


สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก



พระครูญาณทัสสี (หลวงปู่คำดี ปภาโส)
วัดถ้ำผาปู่ อ.เมือง จ.เลย พ.ศ.๒๔๔๕-๒๕๒๗


ความจริง “จิตใจ” ของเราเองเป็นตัวก่อทุกข์
สังเกตได้จากพระอรหันตสาวกทั้งหลาย
เมื่อท่านมีความรู้ มีปัญญาคุ้มครองรักษาใจท่านดีแล้ว
ท่านก็ไม่มีทุกข์ เพราะท่านไม่ปรารถนาในสิ่งต่างๆ
เมื่อเราประสบกับรูป กลิ่น เสียง หรืออื่นๆ
ก็เพราะใจเรามีตัณหา ปรารถนา ทะเยอทะยาน
ยินดียินร้ายในสิ่งเหล่านั้น ทำให้เราเป็นทุกข์

ไม่ใช่ว่า รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ หรือสิ่งอื่นๆ
ที่จะได้มาเผาเราให้ร้อน เป็นทุกข์
ตัวของเราเองที่เป็นไฟมาคอยเผาตัวเอง

บุคคลที่มีทาน มีศีล แต่ขาดการภาวนานั้น
เปรียบเหมือนบุคคลที่มีเสบียงพร้อมแล้ว มีร่างกายที่สมบูรณ์
มีกำลังวังชาที่ดี แต่บุคคลนั้นเป็นบุคคลที่ตาบอด
เขาย่อมไม่สามารถจะเดินทางไปสู่พระนิพพานได้

เมื่อจิตใจรวมลงได้ละเอียดเป็นหนึ่ง
ถึงแม้ว่าจะมีสัญญาอยู่บ้างก็ตาม ให้เรากำหนดนิ่งเฉย
คำว่า “นิ่งเฉย” เปรียบเหมือนกับนายพรานตักเนื้อ
เขาจะนั่งอยู่นิ่งๆ ไม่เคลื่อนไหว
แต่ตาของเขาจะมองดูสัตว์ต่างๆ ที่จะดักฉันใด
การตั้งสติกำหนดจิตก็ฉันนั้น

ให้พากันสนใจเรื่องการภาวนา
เราบังคับจิตใจไว้เป็นของง่าย เพราะเป็นของมีอยู่กับตัว
ไม่ต้องซื้อไม่ต้องขอ ไม่ต้องแลกเปลี่ยน เป็นสิ่งมีประโยชน์มาก

ถ้าเราบำเพ็ญความสงบได้แล้ว
มีประโยชน์ทั้งทางโลกและทางธรรม

เรื่องของนิมิตนี้จะเกิดหรือไม่เกิดไม่สำคัญ
เพราะว่าการที่เราทำสมาธิภาวนา
ก็เพื่อมุ่งให้เกิดความสงบภายในจิตใจเท่านั้น

ถ้าผู้ปฏิบัติสามารถทำจิตใจของตนให้สงบเป็นอารมณ์เดียวได้แล้ว
ก็พอเท่านั้น ไม่มีนิมิตเกิดขึ้น ก็ไม่เป็นไร
การภาวนาท่านต้องการให้เราปราบกิเลสของเราเท่านั้น
คือเห็นความโลภ เห็นความโกรธของตน
เห็นความหลงของตน เห็นราคะของตน เห็นมานะทิฐิของตน

ถึงแม้ว่าบุคคลใดจะทำสมาธิได้ดี จะได้รับความสุขขนาดไหนก็ตาม
หรือจะได้อภิญญาเพียงใดก็ตาม ถ้า “ไตรลักษณญาณ” ยังไม่เกิดแล้ว
ก็ยังนับว่าเป็น มิจฉาสมาธิ เป็นสมาธิที่ยังผิด ยังอยู่ในวงเขตที่ผิด

บางคนภาวนาไม่อยากเห็นภาพต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ เทวดา เป็นต้น
การที่ได้เห็นสิ่งเหล่านี้ไม่มีอะไรแปลก
ที่ว่าไม่แปลกก็เพราะว่า เมื่อเราเห็นแล้ว กิเลสของเราก็ยังอยู่เหมือนเดิม
บางคนแถมยังทำให้เกิดกิเลสเพิ่มมากขึ้นอีกเสียด้วย

คือถือว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ ที่สามารถเห็นสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้
เลยไม่ยอมกราบไหว้ใครทั้งสิ้น จนกลายเป็น สัคคาวรณ์ มัคคาวรณ์
ปิดกั้นทางมรรค ทางผล ทางนิพพาน ไปโดยปริยาย
เป็นความเห็นที่ผิดจากหลักศาสนา
พวกเราท่านพากันฝึกหัดสติลูบๆ คลำๆ กันอยู่อย่างไรเล่า
จึงมิรู้ช่องแนวทางพ้นทุกข์เสียที

ด้วยเหตุนี้ ขอให้พากันยึดหลักสติปัฏฐาน ๔
เป็นหลักฝึกสติให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้
นี่แหละ บรรดาสิ่งสมมุติที่เราไปยึดถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ของเรานั้น
ก็จะได้เพียงชีวิตหนึ่งๆ เท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสามี ภรรยา หรือสมบัติต่างๆ
เมื่อเราตายไปแล้ว เราจะยึดถือเป็นกรรมสิทธิ์ของเราอีกไม่ได้
เราจะเอาสิ่งต่างๆ เหล่านั้นติดตามไปสวรรค์ นรก หรือที่ไหนๆ ก็ไม่ได้
ตรงกับคำว่า “สมบัติของโลก ก็ต้องอยู่ในโลก”


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #22 เมื่อ: มกราคม 27, 2012, 08:08:01 PM »


กำลังใจของคน


ถาม : พลังของวัตถุมงคล กับพลังจิตของเราในการปฏิบัติ อย่างไหนจึง..?

ตอบ : ต้องเสริมกัน ที่ต้องเสริมกันเพราะว่า กำลังใจของเราเป็นเครื่องรับ กำลังวัตถุมงคลเป็นเครื่องส่ง ถ้าเครื่องส่งมาไม่มีเครื่องรับก็ไร้ประโยชน์ เครื่องรับดีไม่มีเครื่องส่งก็ไร้ประโยชน์ แต่ถ้ากำลังใจตัวเองมั่นคงจริงๆ ย่อมคุ้มตัวเองได้อยู่แล้ว

กำลังใจคนมีอยู่หลายระดับ ระดับแรก. รักษาตัวเองไม่ได้ รักษาคนอื่นไม่ได้ ประเภทนี้แย่สุดๆ อาศัยเกาะชาวบ้านเขาอย่างเดียว ระดับที่สอง. รักษาตัวเองได้ รักษาคนอื่นไม่ได้ ระดับนี้เอาตัวรอดได้ แต่ถ้าไปกับหมู่คณะก็ไม่สามารถที่จะช่วยหมู่คณะได้

ระดับสุดท้ายก็คือ รักษาตัวเองได้ รักษาหมู่คณะได้ กำลังใจอย่างนี้ถือว่าดีที่สุด เพราะว่ากำลังใจรักษาตัวเองได้ไม่พอ ถึงเวลาคนอื่นเขามาพึ่งยังช่วยเหลือคนอื่นเขาได้ด้วย

ถาม : เราเก็บวัตถุไว้ที่บ้านทั้งหมด แล้วเราอาราธนาช่วยเรา จะได้ไหมคะ ?

ตอบ : ก็ต้องดูว่ากำลังส่งท่านพอที่จะส่งถึงหรือไม่ ? ไม่ใช่เราเก็บอยู่ที่บ้านแล้วไปอาราธนาที่อเมริกา กำลังส่งอาจจะถึงแต่ เครื่องรับเราห่วย รับไม่ถึงก็ช่วยไม่ได้..!

ถาม : เครื่องรับระดับไหนจึงจะรับถึงคะ ?

ตอบ : ก็พกติดตัวไว้สิวะ..!

ถาม : พกพระเป็นสิบองค์เลยค่ะ

ตอบ : สมัยก่อนที่อาตมาจะเข้า วัดท่าซุง ก็พก เหรียญหลวงปู่ฝั้น อยู่เหรียญเดียว พอเข้าวัดท่าซุงแล้ว สมัยแรกๆ ก็พกพระปิดตาว่านสบู่เลือด ของ หลวงพ่อวัดท่าซุง องค์เดียว อาตมาเป็นคนชอบพระปิดตามากเลยเพราะว่าท่านอ้วนดี

พอหลวงพ่อวัดท่าซุงออก เหรียญวันเกิด มา ก็พกเหรียญวันเกิดเหรียญเดียว พอหลวงพ่อออก เหรียญกูผู้ชนะประกอบธงมหาพิชัยสงคราม ก็พกเดี่ยวมาตั้งแต่นั้น จนกระทั่งเลิกรบราฆ่าฟันกับชาวบ้านแล้ว เข้าวัดเข้าวาเต็มตัวก็พก สมเด็จคำข้าว และ สมเด็จหางหมาก ตอนหลังได้ สมเด็จองค์ปฐม มาก็พกอีก ๑ องค์ เท่ากับตอนนี้พก ๓ องค์ ไม่เอาอะไรมากมาย มั่นใจองค์ไหนก็พกองค์นั้นไป

ถ้ามั่นใจจริงๆ นี่อาตมามั่นใจ ธงมหาพิชัยสงครามประกอบเหรียญกูผู้ชนะ เพราะว่าอยู่ชายแดนเป็นปีเจอปืนกับระเบิดตลอดเวลา ไม่เคยมีอันตรายเลย ต้องบอกว่าเสียทีที่ออกรบ ไม่ได้มีบาดแผลอะไรมาแผ้วพาน ไม่เท่เลย ต้องเย็บๆ ปะๆ บ้างถึงจะดูเท่..!

ถาม : ธงพิชัยสงครามให้เด็กใส่ เด็กก็ปลอดภัยใช่ไหมคะ ?

ตอบ : บอกเด็กด้วยว่า ต้องสวดมนต์บ้าง




สนทนากับพระครูธรรมธรเล็ก สุธมฺมปญฺโญ
เก็บตกจากบ้านวิริยบารมี ต้นเดือนธันวาคม ๒๕๕๔




ขอบคุณบทความจาก วัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #23 เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 07:01:37 PM »

 
วิธีแก้ปากเสีย 

หลวงพ่อเมตตาสอนวิธีแก้ปากเสีย (วจีกรรม4) โดยให้หลักไว้ดังนี้

โรคปากเสีย คือ โรคชอบต่อกรรม เมื่อถูกกระทบทางทวารทั้ง 6 (ประตูทั้ง 6 คือ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่มากระทบผิวกาย และธรรมารมณ์)

เพราะอุเบกขา หรือวางเฉยไม่เป็น เบรกจึงแตกเป็นปกติ มีผลทำให้กรรมบท 10 หมวดวาจา ไม่เต็มสักที (กรรมบท 10 หมวดวาจา 4 มี ไม่พูดโกหก, ไม่พูดคำหยาบ , ไม่พูดส่อเสียดหรือพูดนินทาผู้อื่น และไม่พูดเรื่องไร้สาระไม่เกิดประโยชน์)


วิธีปฏิบัติ

แก้โดย

1) พยายามคิดเสียก่อนจึงค่อยพูด

2) หรือพยายามคิดอยู่ตลอดเวลาที่ฟังคนอื่นเขาพูด

3) พยายามดึงจิต อย่าไปไหวตามคำพูดของผู้อื่น (โดยฟังอย่างเดียว ห้ามปรุงแต่งธรรมนั้นๆ)

4) พยายามฟังแล้วกรองเอาสาระจากคำพูดนั้นๆ ของเขา ว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์ (ด้วยปัญญา)

5) เวลาคนอื่นเขาพูด จะยาวจะสั้น ปล่อยเขาพูดให้จบก่อน เราใช้ความคิดฟังไปแล้ว จะรู้ว่า คำพูดนั้นๆ มีสาระหรือไม่มีสาระ ควรพูดหรือไม่ควรพูด หรือ ควรวาง ควรตัด ก็รู้ได้ด้วยความคิด ไม่ใช่ประโยคไหนมากระทบหูแล้ว กูอยากจะพูดก็ว่าไปเรื่อย โดยไร้ความคิดพิจารณา

6) หากทำตาม 5 ข้อแรกแล้ว คิดอยากพูดบ้างก็ให้พิจารณาว่า พูดแล้วเป็นคุณหรือโทษ มีสาระหรือไม่มีสาระ ยิ่งเป็นสาระธรรมในพระพุทธศาสนายิ่งสำคัญ จะต้องมั่นใจเสียก่อนว่าเป็นความจริง ไม่ผิดศีล-ไม่ผิดพระวินัย ไม่ผิดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าไม่ผิดก็พูดได้ สรุปว่าต้อง นิสสัมมะ กรณัง เสยโย หรือใคร่ครวญด้วยปัญญาเสียก่อนจึงค่อยพูด เพราะแม้ว่าจะเป็นจริงแต่พูดแล้วคนฟังไม่เชื่อ-ไม่ศรัทธา ก็ไร้ประโยชน์ที่จะพูด




สมเด็จองค์ปฐม ทรงเมตตาแนะนำต่อ และสั่งสอนต่อ มีความสำคัญโดยย่อดังนี้

ก) " วาจา เป็นเหตุให้เกิดศัตรู และสร้างศัตรู ผู้รู้พึงกล่าววาจาด้วยความตริดตรองเสียก่อน เพื่อประโยชน์ให้แก่ตนเอง แต่ผู้ไร้สติ-สัมปชัญญะขาดปัญญา จักกล่าววาจาให้เกิดโทษแก่ตนเองและผู้อื่นอยู่เนืองๆ เพราะฉนั้นให้รู้สำรวมวาจาให้มากๆ โดยการพิจารณาเสียก่อนจึงพูด ''

ข) " กำลังใจของคนไม่เท่ากัน จงอย่าไปตำหนิใคร เพราะทำไปหรือตำหนิไปก็รังบแต่จักเพิ่มกิเลสขึ้นในจิต และสร้างศัตรูขึ้นแก่จิตของผู้อื่น ดังนั้นจึงควรสงบถ้อยคำไว้เป็นดีที่สุด แม้จักกล่าวว่าด้วยความหวังดีก็ตาม มันก็เป็นเนื่องด้วยกิเสอยู่ดี"

ค) “ สังขารุเบกขาญาณ เป็นธรรมเบื้องสูง ของผู้ถึงจุดสุดยอดแห่งมรรคผลนิพพาน " ขอให้พวกเจ้าหมั่นซ้อมหมั่นปฏิบัติเข้าไว้ วางอุเบกขาให้ถูกลักษณะของมัชฌิมาปฏิปทา โดยอาศัยศีลเป็นพื้นฐานที่ตั้งของสมาธิและปัญญา ตัว สังขารุเบกขาญาณก็จักเกิดขึ้นได้ไม่ยาก หมั่นอัตตนา โจทยัตตานัง สอบจิต-สอบกาย-สอบวาจา เข้าไว้ว่า คิดเช่นนี้ ทำเช่นนี้ พูดเช่นนี้ มันผิดหรือถูกในหลักธรรมที่ตถาคตได้สั่งสอนมา พิจารณาให้มาก ๆ

ถ้าผิดก็จงอย่าทำเป็นอันขาด ถ้าถูกก็จงรีบทำด้วยความมั่นใจ ขยัน-พากเพียรเข้าไว้ มรรคผลที่ได้จากการกระทำของตนเองนั้นเป็นของแท้ ดีกว่าฟังคนอื่นพูดหรือเล่าว่า เขาทำเช่นนั้นได้ผลเช่นนี้

ง) มาเถิดเจ้า เข้ามาสู่หลักปฏิบัติธรรม อันเข้าสู่โลกุตรธรรมเบื้องสูงอย่างแท้จริง ตั้งใจไปเลยทิ้งทวนของชีวิตเสี้ยวที่เหลือนี้ให้แก่พระธรรม

ตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป จงหมั่นคุมสติกำหนดรู้กิริยาของกาย-วาจา-ใจให้แน่วแน่มั่นคง อานาปานัสสติกับคำภาวนา อย่าทิ้งเป็นอันขาด ใครจักพูดอะไร ขอให้มีสติฟังให้ดี ๆ พิจารณาเข้าอิงพระธรรมคำสั่งสอน กลั่นกรองหาสาระให้ได้ แล้วเวลาที่จักพูด ก็จงคิดพิจารณาให้ดีว่ามีสาระหรือไม่ ถ้าไม่มีจงอย่าพูด อย่าทำเช่นนั้นเป็นอันขาด "


(หลวงปู่บุดดา)

“คนเรานี้มันก็แปลก ชอบเอาลมปากเผากัน เอาไฟกิเลส โมหะ โทสะ ราคะเผากัน เผาตนเอง เผากาย เผาใจตนเองยังไม่พอ

ชอบเผื่อแผ่ไปเผาชาวบ้าน ชาวช่องเขาด้วย เผาจิตเผากายของเขามันสนุกหรืออย่างไร วิสัยชาวโลก ชอบนินทา-สรรเสริญ ไฟร้อน ไฟเย็น ก็เผาได้เผาดี ”



จาก : หนังสือธรรมะหลวงพ่อ หลวงฤาษี (พระราชพรหมยาน) และพระอริยเจ้าบางองค์
รวบรวมโดย : พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #24 เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 07:06:03 PM »

การเอาแต่ใจตัว เป็นความทุกข์



อันเหตุผลนั้นเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะแสดงให้ปรากฏว่าผู้ใดมีปัญญามากน้อยเพียงใด และก็อีกเหตุผลอีกเหมือนกันที่จะแสดงให้ปรากฏว่าผู้ใดมีจิตใจอย่างไร ดีเลวอย่างไร เห็นแก่ตัวหรือไม่ เห็นแก่ตัวอย่างไร

ที่จริงนั้น เมื่อพูดว่าไม่ได้ดั่งใจ ก็เหมือนกับพูดว่าจะเอาแต่ใจนั่นเอง เวลาเราพูดถึงความรู้สึกของเรา เราก็จะพูดว่าไม่ได้ดังใจ แต่
ถ้าเห็นคนอื่นแสดงความรู้สึกของเขาไปในทำนองไม่ได้ดังใจ เราก็จะพูดเสียว่า เขาจะเอาแต่ใจ พิจารณาสักหน่อยจะเห็นว่า เมื่อพูด
เกี่ยวกับตนเองจะเป็นเหมือนพูดว่าผู้อื่นทำให้ไม่เหมือนที่ใจเราชอบเป็นไปในทำนองผู้อื่นนั่นแหละผิด แต่เมื่อพูดเกี่ยวกับผู้อื่น ก็จะเป็น
เหมือนว่าผู้อื่นผิด จะเอาแต่ใจตัวเองเท่านั้น แต่ที่จริงก็เป็นดังกล่าวไว้แล้วข้างต้น คือที่เรียกว่า ไม่ได้ดังใจ หรือจะเอาแต่ใจนั้นก็มีความ
หมายตรงกันนั่นเอง

ทีนี้ก็น่าจะเห็นง่ายขึ้น ว่าความรู้สึกไม่ได้ดังใจนั้นจะดีได้อย่างไรในเมื่อมีความหมายว่าจะเอาแต่ใจ คนเอาแต่ใจก็เป็นที่รู้กันว่าไม่ใช่
เป็นคนที่มีผู้นิยมชมชอบ ตรงกันข้าม หาคนชอบคนที่มักเอาแต่ใจตัวไม่ค่อยจะมี ทุกคนก็น่าจะเคยรู้สึกรำคาญไม่ชอบ หรือบางทีก็ถึง
กับเกลียด หรือรังเกียจคนที่มักจะเอาแต่ใจตัว และก็มีจำนวนไม่น้อยทีเดียวเมื่อรู้สึกดังกล่าวแล้วก็มิได้เก็บความรู้สึกไว้ในใจ แต่แสดง
ออกเป็นกิริยาวาจาให้รู้เห็นเสมอ เป็นการแสดงปฏิกิริยาตอบโต้ผู้เอาแต่ใจโดยหาได้ย้อนดูใจตนเองไม่ ว่าวันหนึ่งๆเกิดความรู้สึกแบบ
จะเอาแต่ใจมากน้อยเพียงไหน ความรู้สึกไม่ได้ดังใจเกิดขึ้นมากน้อยเพียงไหน ก็คือ ความรู้สึกจะเอาแต่ใจเกิดขึ้นเพียงนั้นนั่นเอง ควร
พยายามทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้กระจ่างชัดพอสมควร ให้ยอมรับว่าความรู้สึกไม่ได้ดังใจนั้นก็คือ ความจะเอาแต่ใจนั่นเอง เมื่อยอมรับ
แล้วก็ย่อมจะเห็นความไม่ดีงามของความรู้สึกไม่ได้ดังใจง่ายขึ้น จะยินดีระงับดับเสีย ตามกำลังความสามารถแห่งเหตุผลคือ…สติปัญญา
ระงับดับได้มากเพียงใด ความเย็นกายเย็นใจก็จะเกิดเป็นผลติดตามมาเพียงนั้น

ความรู้สึกไม่ได้ดังใจหรือความจะเอาแต่ใจตัว เป็นเหตุแห่งความวุ่นวายเป็นเหตุแห่งความร้อน ทั้งทางกายและทางใจทั้งแก่ตนเอง และ
ทั้งแก่ผู้อื่นที่เกี่ยวข้อง ยิ่งเมื่อคนจำนวนมากอยู่รวมกันเป็นครอบครัวเป็นประเทศชาติ ความรู้สึกไม่ได้ดังใจหรือความจะเอาแต่ใจของแต่
ละคนอันมีเป็นจำนวนมากนั้น ก็จะเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายอย่างยิ่งความร้อนอย่างยิ่งทั้งทางกาย ทางใจ วิธีแก้ก็ยากนัก…

นอกเสียจากว่า ทุกคนจะต่างแก้ที่ตนเอง ที่่ใจตนเอง ไม่ให้คอยแต่จะรู้สึกไม่ได้ดังใจ หรือคอยแต่จะรู้สึกจะเอาแต่ใจ เวลาเห็นคนพวก
หนึ่งกลุ่มหนึ่งคิดพูดทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ตนเองเห็นว่าเป็นการเอาแต่ใจคือไม่คำนึงถึงอะไรอื่นนอกจากที่ตนพอใจ ก็ควรย้อนดูใจตนเอง
ย้อนเข้าควบคุมใจตนเอง อย่าให้คิดพูดทำสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่เป็นการเอาแต่ใจตนเอง…

แม้ทุกคนพยายามทำเช่นนี้ ความวุ่นวายก็จะสงบลง ความร้อนกายร้อนใจก็จะสงบลง ทุกคนก็จะเป็นสุข ตัวเองก็เป็นสุข คนอื่นก็เป็นสุข
รวมเข้าเป็นบ้านก็เรียกว่าบ้านเป็นสุข รวมเข้าเป็นประเทศ ก็เรียกว่าประเทศชาติเป็นสุข ความร่มเย็นเป็นสุข เกิดได้ก็ด้วยความพร้อมใจ
กัน ไม่เป็นคนเอาแต่ใจหรือคอยแต่จะรู้สึกไม่ได้ดังใจในเรื่องนั้นเรื่องนี้ ในคนนั้นคนนี้ อยู่เสมอ…ฯ

สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก|
ขอนอบน้อมแด่คุณพระพุทธ คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: กุมภาพันธ์ 08, 2014, 12:34:03 PM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #25 เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 07:08:13 PM »

ที่สุดของชีวิต




สุดของชีวิต 
 

ศัครูที่ร้ายกาจที่สุด…ของชีวิต…คือตัวเราเอง
ความพ่ายแพ้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด…ของชีวิต…คือการทนงตน

ปัญญาอ่อนที่สุด…ของชีวิต…คือการโกหก
หยั่งรู้ยากที่สุด…ของชีวิต…คือใจคน
น่าเศร้าที่สุด…ของชีวิต…คืออิจฉาริษยา
ไร้ค่ามากที่สุด…ของชีวิต…คือไม่ทำความดี
กุศโลบายที่ดีที่สุด…ของชีวิต…คือความซื่อสัตย์
ประมาทที่สุด…ของชีวิต…คือคบเพื่อนชั่ว


มีค่ามากที่สุด…ของชีวิต…คือเวลา
น่าสงสารที่สุด…ของชีวิต…คือดูถูกตัวเอง
น่านับถือยกย่องที่สุด…ของชีวิต…คือความมานะหมั่นเพียร
ล้มละลายที่หนักที่สุด…ของชีวิต…คือสิ้นหวัง


ความร่ำรวยที่มั่งคั่งที่สุด…ของชีวิต…คือสุขภาพแข็งแรง
ความยากจนที่สุด…ของชีวิต…คือไม่รู้จักพอ
ความรักมากที่สุด…ของชีวิต…คือรักตัวเอง
บาปกรรมที่ใหญ่หลวงที่สุด…ของชีวิต…คือไม่กตัญญู


ความโง่เขลาที่สุด…ของชีวิต…คือติดยาเสพติด
ความชั่ช้าต่ำต้อยที่สุด…ของชีวิต…คือเหยียดหยามผู้อื่น
ความผิดพลาดร้ายแรงที่สุด…ของชีวิต…คือเล่นการพนัน
ของขวัญที่ดีที่สุด…ของชีวิต…คือให้อภัย


ความสุขที่มากที่สุด…ของชีวิต…คือการช่วยเหลือผู้อื่น
การยอมรับและนับถือมากที่สุด…ของชีวิต…คือความก้าวหน้า
สุดท้ายของชีวิต…คือความตาย


…จะวุ่นวายกันไปทำไม…

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #26 เมื่อ: มกราคม 29, 2012, 07:13:35 PM »

กลุ้มนี่ลงนรกใช่ไหมคะ?



อีกท่านหนึ่งถามว่า:: “หลวงพ่อคะ หลวงพ่อเคยบอกว่า
กลุ้มนี่ลงนรกใช่ไหมคะ…?”

หลวงพ่อ:: “ใช่”

ผู้ถาม:: “ถ้าหากว่าเรากลุ้มกับผู้มีพระคุณ
อย่างเช่นบิดา มารดา เวลาท่านป่วย อย่างนี้ล่ะคะ…?”


หลวงพ่อ:: “กลุ้มเวลาปกติไม่เป็นไร
ถ้ากลุ่มเวลาใกล้จะตายนี่ซิ หมายถึงว่าเวลาใกล้จะตาย
อย่าให้ใจมันกลุ้ม ถ้าจิตมันจะออกจากร่าง
ถ้ากลุ้มจุดนี้ มีจุดเดียว
ที่ท่านบอกว่า จิตเต สังกิลิฏเฐ ทุคติ ปาฏิกังขา
ถ้าก่อนตายจิตกลุ้ม อารมณ์เศร้าหมอง ก็ไปทุคติ

ความกลุ้มนี้ มันต้องกลุ้มทุกคนละ ใช่ไหม…
คนที่ไม่กลุ้มเมื่อยามปกติ มีคนเดียวคือพระอรหันต์
ในเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วไม่กลุ้ม
อย่างพระโสดาบันก็ต้องกลุ้ม พระสกิทาคาก็ยังมีกลุ้ม
พระอนาคตมีก็ยังมีกลุ้ม แต่ว่าท่านกลุ้มในยามปกติ
แต่เวลาจะตายจริง ๆ ท่านไม่กลุ้ม ใช่ไหม…

การกลุ้มในฐานะเราหวังดีต่อบิดามารดา
แต่บังเอิญไปขัดใจกับท่าน ก็เป็นของธรรมดา
แต่ว่าเวลาที่เราจะตาย จุดนั้นน่ะเขาถือ เวลาที่จะตายอย่างเดียวนะ
แล้วก็ตายทันที ถ้าหากว่าเรากลุ้มอยู่เป็นปกตินี่ไม่เป็นไร
เดี๋ยวก็หายไป ใช่ไหม…ฉะนั้นก็ฝึกระบายความกลุ้มซิ

อารมณ์กลุ้ม จงพยายามอย่าให้มันมี
พยายามแก้ไขอารมณ์นั้นให้เสมอ ๆ
ถ้ากลุ้มมันมีอยู่ พยายามฝืนความกลุ้ม
ถือว่ามันเป็นกฎธรรมดาของการเกิด
ถ้าเกิดมาแล้ว มีใครบ้างไหมที่ไม่พบอารมณ์อย่างเรา
ทุกคนต้องประสบทั้งนั้น

ทีนี้เราก็หาทางตัดมัน ถือว่าเป็นของธรรมดา
สิ่งใดควรจะต้องทำเราต้องทำ สิ่งที่มันจะต้องกระทบ
เราต้องหาทางแก้ไขเท่าที่มันจะทำได้
ต้องพยายามฝึกไว้เสมอ ๆ
ถ้าไม่ฝึกแบบนี้ไว้ มันต้องพบกับอารมณ์ขัดใจแน่นอน ทุกคนต้องมี


-ถ้าเป็นลูกบ้านกลุ้มแค่ลูกบ้าน

-เป็นพ่อบ้านแม่บ้านก็กลุ้มมากกว่าลูกบ้าน

-ถ้าเป็นผู้ใหญ่บ้าน ก็กลุ้มมากกว่าพ่อบ้านแม่บ้าน

-ถ้าเป็นกำนันก็กลุ้มมากกว่า เพราะภาระมันหนัก


ทีนี้เราก็ต้องคิด ถ้าอะไรมันเกิดขึ้นมันเป็นความทุกข์สำหรับเรา
อย่างเราขัดข้องทางการเงิน เราก็ต้องมองคนที่เขาต่ำกว่าว่า
คนที่จนกว่าเรามันมี อย่างนี้จะสร้างความภูมิใจให้ดีขึ้น
อย่าไปมองคนสูงเสมอ มองที่เขาสูงกว่าเราก็ใจเสีย
ต้องมองจุดที่ต่ำกว่าเรา ถ้าเรากลุ้มเราลำบากขนาดนี้
คนที่กลุ้มคนที่ลำบากกว่าเรายังมีอยู่ และถือว่าเราก็ยังดีอยู่

รวมความแล้วไม่มีอะไร ที่พระพุทธเจ้าสอนว่า
ให้คนรู้จักกฎของธรรมดา คือ ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา
เมื่อยอมรับทราบมัน ถ้าสิ่งนั้นมากระทบ เราจะได้ไม่กลุ้ม.”



:: หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๒ หน้า ๓๘-๔๒
พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)

ที่มา... http://buddhasattha.com/
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #27 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 08:29:21 PM »

กรรม ๑๒




กรรม ๑๒

กรรม ๑๒ หรือกรรมสี่ ๓ หมวด ตามที่ท่านแสดงไว้ในอรรถกถา
และฎีกาทั้งหลาย มีหัวข้อและความหมายโดยย่อดังนี้…

หมวดที่ ๑ ว่าโดยปากกาล….คือ จำแนกตามกาลเวลาที่ให้ผล

๑. ทิฏฐธรรมเวทนียกรรม….
กรรมให้ผลในปัจจุบันคือ ภพนี้ได้แก่กรรมดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ที่กระทำ
ในขณะแห่งชวนจิตดวงแรกในบรรดาชวนจิตทั้ง ๗ แห่งชวนวิถีหนึ่งๆ
พูดเป็นภาษาวิชาการว่า ได้แก่…ชวนจิตเจตนาที่หนึ่ง กรรมนี้ให้ผล
เฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ถ้าไม่มีโอกาสให้ผลในชาตินี้ ก็กลายเป็นอโห-
สิกรรม ไม่มีผลต่อไป เหตุที่ให้ผลในชาตินี้เพราะเป็นเจตนาดวงแรก
ไม่ถูกกรรมอื่นครอบงำ เป็นการปรุงแต่งแต่เริ่มต้น จึงมีกำลังแรง แต่
ไม่ให้ผลต่อจากชาตินี้ไปอีก เพราะไม่ได้การเสพคุ้น จึงมีผลน้อย ท่าน
เปรียบว่าเหมือนพรานเห็นเนื้อ หยิบลูกศรยิงไปทันที ถ้าถูกเนื้อก็ล้มที่
นั่น แต่ถ้าพลาด เนื้อก็รอดไป

๒. อุปปัชชเวทนียกรรม…
กรรมให้ผลในภพที่จะไปเกิด คือในภพหน้า ได้แก่ กรรมดีก็ตาม ชั่วก็
ตาม ที่กระทำในขณะแห่งชวนจิตดวงสุดท้าย ในบรรดาชวนจิตทั้ง ๗
แห่งชวนวิถีหนึ่งๆ พูดเป็นภาษาวิชาการว่า ได้แก่ชวนจิตดวงที่ ๗ กรรม
นี้ให้ผลเฉพาะในชาติถัดจากนี้ไปเท่านั้น ถ้าไม่มีโอกาสให้ผลในชาติหน้า
ก็กลายเป็นอโหสิกรรม ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเป็นเจตนาท้ายสุดของชวนวิถี
เป็นตัวให้สำเร็จความประสงค์และได้ความเสพคุ้นจากขวนเจตนาก่อนๆ
มาแล้ว แต่ในเวลาเดียวกัน ก็มีกำลังจำกัด เพราะเป็นขณะจิตที่กำลังสิ้น
สุดชวนวิถี

๓. อปราปริยเวทนียกรรม….
กรรมให้ผลในภพต่อๆไป ได้แก่ กรรมดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ที่ทำในขณะชวน
จิตทั้ง ๕ ในระหว่างคือชวนจิตที่ ๒-๖ แห่งชวนวิถีหนึ่งๆ พูดเป็นภาษาวิชา
การว่า ได้แก่ ชวนเจตนาที่สองถึงหก กรรมนี้ให้ผลได้เรื่อยไปในอนาคต
เมื่อเลยจากภพหน้าไปแล้ว คือได้โอกาสเมื่อใดก็ให้ผลเมื่อนั้น ไม่เป็นอโห-
สิกรรม ตราบเท่าที่ยังอยู่ในสังสารวัฏ ท่านเปรียบเหมือนสุนัขไล่เนื้อ ตาม
ทันเมื่อใดก็กัดเมื่อนั้น

๔. อโหสิกรรม…
กรรมเลิกให้ผล ได้แก่ กรรมดีก็ตาม ชั่วก็ตาม ซึ่งไม่ได้โอกาสที่จะให้ผล
ภายในเวลาที่จะออกผลได้ เมื่อผ่านล่วงเวลานั้นไปแล้ว ก็ไม่ให้ผลอีกต่อไป
(อโหสิกรรมนี้ ความจริงเป็นคำสามัญแปลว่า….’กรรมได้มีแล้ว’ แต่ท่าน
นำไปใช้เป็นคำศัพท์เฉพาะในความหมายว่า…’มีแต่กรรมเท่านั้น วิบากไม่มี’
แปลว่าเลิกให้ผล หรือให้ผลเสร็จแล้ว อย่างที่แปลแบบให้เข้าใจกันง่ายๆตาม
สำนวนที่เคยชิน)

หมวดที่ ๒ ว่าโดยกิจ…คือ จำแนกการให้ผลตามหน้าที่

๕. ชนกกรรม…
กรรมแต่งให้เกิด หรือกรรมที่เป็นตัวนำไปเกิด ได้แก่ กรรมคือเจตนาดีก็ตาม
ชั่วก็ตาม ที่เป็นตัวทำให้เกิดขันธ์ที่เป็นวิบาก ทั้งในขณะที่ปฏิสนธิและในเวลา
ที่ชีวิตเป็นไป(ปวัตติกาล)

๖. อุปัตถัมภกกรรม…
กรรมสนับสนุน ได้แก่กรรมพวกเดียวกับชนกกรรม ซึ่งไม่สามารถให้เกิด
วิบากเอง แต่เข้าช่วยสนับสนุน หรือซ้ำเติมต่อจากชนกกรรม ทำให้สุขหรือ
ทุกข์ที่เกิดขึ้นในขันธ์ ซึ่งเป็นวิบากนั้นเป็นไปนาน

๗. อุปปีฬกกรรม….
กรรมบีบคั้น ได้แก่ กรรมฝ่ายตรงข้ามกับชนกกรรม ซึ่งให้ผลบีบคั้นผลแห่ง
ชนกกรรม และอุปัตถัมภกกรรม ทำให้สุขหรือทุกข์ที่เกิดขึ้นในขันธ์ ซึ่งเป็น
วิบากนั้น ไม่เป็นไปนาน

๘. อุปฆาตกกรรม…
กรรมตัดรอน ได้แก่ กรรมฝ่ายตรงข้ามที่มีกำลังแรง เข้าตัดรอนความ
สามารถของกรรมอื่น ที่มีกำลังน้อยกว่าเสีย ห้ามวิบากของกรรมนั้นขาดไป
เสียทีเดียว แล้วเปิดช่องแก่วิบากของตน เช่น ปิตุฆาตกรรมของพระเจ้าอชาต
ศัรตู ที่ตัดรอนกุศลกรรมของพระองค์เสีย เป็นต้น

หมวดที่ ๓ ว่าโดยปากทานปริยาย..คือ จำแนกตามแง่ที่ยักเยื้องกัน คือ
ลำดับความแรงในการให้ผล

๙. ครุกรรม กรรมหนัก…
ได้แก่ กรรมที่มีผลแรงมาก ในฝ่ายดีได้แก่สมาบัติ ๘ ในฝ่ายชั่วได้แก่…
อนันตริยกรรม มีมาตุฆาต เป็นต้น ย่อมให้ผลก่อน และครอบงำกรรมอื่นๆ
เสีย เปรียบเหมือนห้วงน้ำใหญ่ไหลบ่ามาท่วมทับน้ำน้อยไป

๑๐. พหุลกรรม หรือ อาจิณณกรรม….
กรรมทำมาก หรือ กรรมชิน ได้แก่ กรรมดีหรือกรรมชั่ว ที่ประพฤติมาก
หรือทำบ่อยๆสั่งสมเคยชินเป็นนิสัย เช่น คนมีศีลดี หรือเป็นคนทุศีล เป็นต้น
กรรมไหนทำบ่อยทำมากเคยชิน มีกำลังกว่าก็ให้ผลได้ก่อน เหมือนนักมวย
ปล้ำลงสู้กัน คนไหนแข็งแรงกว่าก็ชนะไป กรรมนี้ต่อเมื่อไม่มีครุกรรมจึงจะ
ให้ผล

๑๑. อาสันนกรรม…
กรรมจวนเจียน หรือกรรมใกล้ตาย ได้แก่ กรรมที่กระทำ หรือระลึกขึ้นมาใน
เวลาใกล้จะตาย จับใจอยู่ใหม่ๆ ถ้าไม่มีกรรม ๒ ข้อก่อน ก็จะให้ผลก่อนกรรม
อื่นๆ (แต่คัมภีร์อภิธัมมัตถวิภาวินี ว่า อาสันนกรรมให้ผลก่อนอาจิณณกรรม)
เปรียบเหมือนโคแออัดอยู่ในคอก พอนายโคกบาลเปิดประตูออก โคใดอยู่ริม
ประตูออก แม้เป็นโคแก่อ่อนแอ ก็ออกไปได้ก่อน

๑๒. กตัตตากรรม หรือ กตัตตาวาปนกรรม…
กรรมสักว่าทำ ได้แก่ กรรมที่ทำด้วยเจตนาอันอ่อน หรือมิใช่เจตนาอย่างนั้นๆ
โดยตรง เป็นกรรมที่เบา เปรียบเหมือนลูกศรที่คนบ้ายิงไป ต่อเมื่อไม่มีกรรม
สามข้อก่อน กรรมนี้จึงจะให้ผล…ฯ



~จากพุทธธรรม~
โดย… พระธรรมปิฎก…(ป.อ. ปยุตฺโต)


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #28 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 08:33:37 PM »

ไม่สู้ ไม่หนี ทำความดีเข้าไว้…(หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม)





กัมมัฏฐานนี้สำคัญ ระลึกเหตุการณ์ในชีวิตได้ ขอให้ท่านตั้งใจทำ หนักเอาเบาสู้คนที่เขาร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐีเขาลำบากมามาก เขาอดทนมามาก
นี่แหละท่านทั้งหลายความดีความชอบนี้ไม่ใช่คนอื่นทำให้

เราทำตัวเอง
เราได้ดิบได้ดีไม่ใช่สบาย ผู้ใหญ่เป็นโตก็ใช่ว่าสบาย
ถ้าหากว่ากินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน ไม่ทำอะไรเลยนั้น
กำลังทำชั่วโดยไม่รู้ตัวหากท่านพบความลำบากเท่าไรก็จงภูมิใจเทิดว่า
ท่านลำบากเพราะกำลังทำความดี
ถึงจะไปทำงานให้คนอื่นก็ถือว่าทำดี

ความดีของเราที่ทำไว้จะติดตัวเราไปจนสู่สัมปรายภพ ไม่มีสูญหาย
การเดินจงกรมก็จะติดตัวเรา
สร้างความดีให้ติดตัวเราไปในอนาคตข้างหน้า

ขอให้ท่านไม่สู้ใคร ไม่หนีใคร
แล้วหมั่นสร้างความดีไว้ ต้องได้ดีแน่นอน…


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #29 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 02, 2012, 08:34:46 PM »

ความแก่…(ท่านพุทธทาสภิกขุ)


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 11   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: