Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 11   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มุมสุขภาพ แบ่งปันเรื่องความรู้ทั่วไป  (อ่าน 21464 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
sanya
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 20


« ตอบ #30 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 10:13:46 AM »

ลุ้นทองแล้วปวดกระเพาะจังเลยครับ  Angry
บันทึกการเข้า
mvb
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4457


« ตอบ #31 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 10:17:37 AM »

ยินดีด้วยนะคะ

ส่วนหนู...ยังไม่มีค่ะ แต่คิดๆว่าจะมีอีกไม่นาน (มาก)   Grin

อ่า....  อาคุณ Jeera กำลังจามีข่าวดี  เรื่องงานวิวาห์แล้วเหรอจ้ะ...   Cheesy

หนุ่มๆในเวปคงหงอยแล้วที่นี้....   

ยินดีด้วยล่วงหน้าจ้า....   Cheesy    Cheesy    Cheesy 



ขานั้น แต่งก่อนผมอีกครับป้า NN

แต่เค้ายังไม่มีน้อง เหตุผลเพราะไม่ยอมปิดม่านนั่นละคับ อิอิ
บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #32 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 11:53:37 AM »

ยินดีด้วยนะคะ

ส่วนหนู...ยังไม่มีค่ะ แต่คิดๆว่าจะมีอีกไม่นาน (มาก)   Grin

อ่า....  อาคุณ Jeera กำลังจามีข่าวดี  เรื่องงานวิวาห์แล้วเหรอจ้ะ...   Cheesy

หนุ่มๆในเวปคงหงอยแล้วที่นี้....   

ยินดีด้วยล่วงหน้าจ้า....   Cheesy    Cheesy    Cheesy 



ขานั้น แต่งก่อนผมอีกครับป้า NN

แต่เค้ายังไม่มีน้อง เหตุผลเพราะไม่ยอมปิดม่านนั่นละคับ อิอิ

อ้อ...  คุณ Jeera แต่งแล้วแต่ยังไม่มีลูก.... 

ขอกระซิบเบาๆว่า... รีบๆมีนะจ้ะ...   เอาใจช่วยแข่งกะคุณพ่อน้องเอม   Wink

ความสุขสุดยอดของชีวิตเลยก็คือการมีเขาเติมเต็มในครอบครัวนี่แหล่ะจ้า...   Cheesy

บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #33 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 12:00:37 PM »

ลุ้นทองแล้วปวดกระเพาะจังเลยครับ  Angry

คุณ sanya  บังเอิญจริงๆค่ะ...   ป้าเป็นโรคกระเพาะเป็นโรคประจำตัวตั้งแต่เป็นสาวๆเริ่มทำงาน

นอกจากยาลดกรด ยาเคลือบกระเพาะสมัยใหม่ต่างๆที่กินอยู่ประจำแล้ว

ไม่ทราบมีใครรู้ไหมคะ...  ว่า "ว่านหางจรเข้ " ปลอกเปลือกแล้วกินช่วยเคลือบแผลในกระเพาะได้อย่างเหลือเชื่อ

(ป้าลองยามาหลายขนานแล้วค่ะ..)

ถ้ายังกินไม่เป็น  ใช้ตัดเป็นชิ้นพอคำ กินกับน้ำเชื่อมน้ำแข็งแบบกินของหวานน่ะค่ะ 
เคล็ดลับนี้ได้ผลกับคนที่ป้ารู้จักหลายคนแล้วจ้า...   Cheesy
บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #34 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 12:02:58 PM »

ตื่นเต้นจังจ้า...  จะพาลูกๆออกไปเที่ยวกันแล้ว

ทองเริ่มร่วงลงมา 1046  ต่ำสุดในรอบสัปดาห์เลยนะเนี่ย...

แล้วป้าจาได้เข้าซื้อทันไหมเนี่ย.....    Shocked
บันทึกการเข้า
mvb
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4457


« ตอบ #35 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 12:06:11 PM »

ตื่นเต้นจังจ้า...  จะพาลูกๆออกไปเที่ยวกันแล้ว

ทองเริ่มร่วงลงมา 1046  ต่ำสุดในรอบสัปดาห์เลยนะเนี่ย...

แล้วป้าจาได้เข้าซื้อทันไหมเนี่ย.....    Shocked

พักผ่อนจ้าป้า ออกไปพักให้สบายเลย

ซื้อไม่ทัน ก้ยังมีอีกหลายขบวน ตักตวงความสุขที่แท้จริง ไว้ก่อนคับ
บันทึกการเข้า
Theephat
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2435



« ตอบ #36 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 03:08:43 PM »

ดีจังเลยนะครับมีลูกๆกันแล้ว บ้านครึกครื้นดีครับ ส่วนผมคงต้องร้องเพลงรอไปก่อน Grin Grin
บันทึกการเข้า
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #37 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 03:36:31 PM »

ยินดีด้วยนะคะ

ส่วนหนู...ยังไม่มีค่ะ แต่คิดๆว่าจะมีอีกไม่นาน (มาก)   Grin


อ่า....  อาคุณ Jeera กำลังจามีข่าวดี  เรื่องงานวิวาห์แล้วเหรอจ้ะ...   Cheesy

หนุ่มๆในเวปคงหงอยแล้วที่นี้....   

ยินดีด้วยล่วงหน้าจ้า....   Cheesy    Cheesy    Cheesy 




ขานั้น แต่งก่อนผมอีกครับป้า NN

แต่เค้ายังไม่มีน้อง เหตุผลเพราะไม่ยอมปิดม่านนั่นละคับ อิอิ


อ้อ...  คุณ Jeera แต่งแล้วแต่ยังไม่มีลูก.... 

ขอกระซิบเบาๆว่า... รีบๆมีนะจ้ะ...   เอาใจช่วยแข่งกะคุณพ่อน้องเอม   Wink

ความสุขสุดยอดของชีวิตเลยก็คือการมีเขาเติมเต็มในครอบครัวนี่แหล่ะจ้า...   Cheesy




เอ่อ.......คือว่าคือ..........เอ่อ...........แบบว่า

หนูยังไม่ค่อยพร้อมน่ะค่ะ
แต่คิดว่าเร็วๆนี้ล่ะค่ะ จะยินยอมซะที  Grin


ปล. เอมมี่ ลูก 2 ขวบครึ่งแล้วไม่ใช่เรอะ เราแต่งยังไม่ 2 ปีเลยนะ จะมาหลังเราได้ไง  Angry
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #38 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 03:38:08 PM »

ตื่นเต้นจังจ้า...  จะพาลูกๆออกไปเที่ยวกันแล้ว

ทองเริ่มร่วงลงมา 1046  ต่ำสุดในรอบสัปดาห์เลยนะเนี่ย...

แล้วป้าจาได้เข้าซื้อทันไหมเนี่ย.....    Shocked


พักผ่อนจ้าป้า ออกไปพักให้สบายเลย

ซื้อไม่ทัน ก้ยังมีอีกหลายขบวน ตักตวงความสุขที่แท้จริง ไว้ก่อนคับ


เห็นด้วยๆ แต่ช่วงนี้ตักตวงความสุขที่แท้จริงมากไปหน่อย
เลยไม่ค่อยทันเลย
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
mvb
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4457


« ตอบ #39 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 03:52:41 PM »

ยินดีด้วยนะคะ

ส่วนหนู...ยังไม่มีค่ะ แต่คิดๆว่าจะมีอีกไม่นาน (มาก)   Grin


อ่า....  อาคุณ Jeera กำลังจามีข่าวดี  เรื่องงานวิวาห์แล้วเหรอจ้ะ...   Cheesy

หนุ่มๆในเวปคงหงอยแล้วที่นี้....   

ยินดีด้วยล่วงหน้าจ้า....   Cheesy    Cheesy    Cheesy 




ขานั้น แต่งก่อนผมอีกครับป้า NN

แต่เค้ายังไม่มีน้อง เหตุผลเพราะไม่ยอมปิดม่านนั่นละคับ อิอิ


อ้อ...  คุณ Jeera แต่งแล้วแต่ยังไม่มีลูก.... 

ขอกระซิบเบาๆว่า... รีบๆมีนะจ้ะ...   เอาใจช่วยแข่งกะคุณพ่อน้องเอม   Wink

ความสุขสุดยอดของชีวิตเลยก็คือการมีเขาเติมเต็มในครอบครัวนี่แหล่ะจ้า...   Cheesy




เอ่อ.......คือว่าคือ..........เอ่อ...........แบบว่า

หนูยังไม่ค่อยพร้อมน่ะค่ะ
แต่คิดว่าเร็วๆนี้ล่ะค่ะ จะยินยอมซะที  Grin


ปล. เอมมี่ ลูก 2 ขวบครึ่งแล้วไม่ใช่เรอะ เราแต่งยังไม่ 2 ปีเลยนะ จะมาหลังเราได้ไง  Angry


อ้าวเหรอ ขออำภัย เข้าใจผิด Grin
บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #40 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 06:13:56 PM »


เอ่อ.......คือว่าคือ..........เอ่อ...........แบบว่า

หนูยังไม่ค่อยพร้อมน่ะค่ะ
แต่คิดว่าเร็วๆนี้ล่ะค่ะ จะยินยอมซะที  Grin



ป้าเข้าแว๊บ NET บ้านญาติมาดู spot ทองนิดนึง...

ขำท่า "น้องลิงอาย..."  ของคุณ Jeera จนทนไม่ได้ ต้อง log in เข้ามานิดนึงอ่ะ...   Cheesy


บันทึกการเข้า
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #41 เมื่อ: ตุลาคม 16, 2009, 06:44:43 PM »


เอ่อ.......คือว่าคือ..........เอ่อ...........แบบว่า

หนูยังไม่ค่อยพร้อมน่ะค่ะ
แต่คิดว่าเร็วๆนี้ล่ะค่ะ จะยินยอมซะที  Grin



ป้าเข้าแว๊บ NET บ้านญาติมาดู spot ทองนิดนึง...

ขำท่า "น้องลิงอาย..."  ของคุณ Jeera จนทนไม่ได้ ต้อง log in เข้ามานิดนึงอ่ะ...   Cheesy





ตัวจริงก็เขิลน่ารักแบบนั้นเลยค่ะ  Grin
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
mvb
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 4457


« ตอบ #42 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2009, 12:16:09 PM »


เอ่อ.......คือว่าคือ..........เอ่อ...........แบบว่า

หนูยังไม่ค่อยพร้อมน่ะค่ะ
แต่คิดว่าเร็วๆนี้ล่ะค่ะ จะยินยอมซะที  Grin



ป้าเข้าแว๊บ NET บ้านญาติมาดู spot ทองนิดนึง...

ขำท่า "น้องลิงอาย..."  ของคุณ Jeera จนทนไม่ได้ ต้อง log in เข้ามานิดนึงอ่ะ...   Cheesy





ตัวจริงก็เขิลน่ารักแบบนั้นเลยค่ะ  Grin


สงสัยมัวแต่เขินละมั้ง ถึงเป็นสาเหตุ Grin
บันทึกการเข้า
MIJI
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 2900



« ตอบ #43 เมื่อ: ตุลาคม 18, 2009, 05:17:57 PM »

เอามาฝากเพื่อนๆ บางคนอาจได้รับเมลแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยได้อ่าน เราก็เป็นคนหนึ่งที่ท้องอืดหลัง
ทานอาหารประจำ เพราะเป็นคนที่ทานน้ำพร้อมทานข้าวเป็นประจำ

เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ

1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ
8-10 แก้ว ว่าแต่ ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไป
อย่างไรก่อนน้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ  แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน  ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด

นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ  ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆ
ว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  สูตรคือ

(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก.
เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก

ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลยบางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน
ก็แหงละครับน้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ 
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา  เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทาน
น้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ 

คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิดผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ

ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ  ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ

ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ

ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า เลิกเบียร์กันไป แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น

มีสองเหตุผลครับ

หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย

เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ

ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ

พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก
บันทึกการเข้า

บทวิเคราะห์คือแนวทาง  การตัดสินใจคือตัวเราเอง
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #44 เมื่อ: ตุลาคม 19, 2009, 09:14:47 AM »

เอามาฝากเพื่อนๆ บางคนอาจได้รับเมลแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่เคยได้อ่าน เราก็เป็นคนหนึ่งที่ท้องอืดหลัง
ทานอาหารประจำ เพราะเป็นคนที่ทานน้ำพร้อมทานข้าวเป็นประจำ

เพื่อนๆคิดว่าสุดยอดของการเป็นหมออยู่ที่ไหนครับ
ในพฤติกรรมที่ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละครับ
ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหมครับ

1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว
3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น
5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น
เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของ
ตัวเองหรือยังครับ

ข้อหนึ่งนั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมันครับ น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีกครับ เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน

ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ
8-10 แก้ว ว่าแต่ ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่าครับ ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไป
อย่างไรก่อนน้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ  แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักครับ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน  ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด

นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน
เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว
(แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนครับ  ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆ
ว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย  สูตรคือ

(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตรครับ เช่น หนัก 60 กก.
เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวันครับ
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก

ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลยบางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน
ก็แหงละครับน้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละครับ 
แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆครับ

ข้อสาม อย่างที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกาย
กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา  เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้
แต่ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยครับ บ้านผมตอนนี้ไม่ทาน
น้ำแข็งกันแล้ว

ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลยครับ เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดครับ 

คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิดผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลยครับ เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ

ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลยครับ 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้วครับ  ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะครับ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมด แล้วจะเอาอะไร
กักเก็บไว้ในเขื่อนละครับ เหมือนทำยาก แต่จริงๆแล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไรครับ

ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำ
เพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้วล้างปากเนี่ยนะ)
หรือต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว
เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับ

ได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหาร เลยได้เลิกเหล้า เลิกเบียร์กันไป แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆครับ

นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วยครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลาย เช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น

มีสองเหตุผลครับ

หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม
สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้วครับ
เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย

เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟครับ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน

มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็นไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ

ทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม
เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง
ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ครับ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร
อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสียครับ
ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ

พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย
แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม.ครับ เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ"หอมครับผมไม่เถียง แต่มันไม่ดีครับ เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็นหมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่ง

อีกอย่างขอแถมนิดนึง คนไทยชอบกินก๋วยเตี๋ยวเติมเครื่องเยอะๆ อร่อยลิ้นแต่ไตทำงานหนักนะครับ
ครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆครับ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างที่บอกครับ หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอกครับ และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่ว ข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนาน

สุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าครับ

ปล. If you trust me ก็นำไปปฏิบัติตามนะครับ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันครับ คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก



                                                              

โอ้โห...        เรื่องนี้ช่างเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่เคยนรู้มาก่อนเลยจริงๆ...   

ป้าโดนเข้าเต็มๆ ทำผิดตั้งแต่ข้อ 1, 3, 4  เลยค่ะ 
ตัวเองดื่มน้ำไม่ถูกวีธี แล้วยังไปสอนลูก ..บังคับสามีด้วยน่ะ... มิน่าแกถึงท้องอืดบ่อยๆ  Undecided
(คอตกยอมรับผิดอย่างคุณหมอว่าเต็มๆเลยค่ะ..)

เรื่องนี้ดีจริงๆ เป็นเรื่องใกล้ตัวมาก  ทำไมมันไม่ค่อยแพร่หลาย ไม่ค่อยมีใครรู้นะ ?    ต้องขอบคุณ คุณ MIJI จริงๆค่ะ 

บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 11   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: