Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 11   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: มุมสุขภาพ แบ่งปันเรื่องความรู้ทั่วไป  (อ่าน 21434 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #60 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2009, 11:11:53 AM »

ดีใจกรุงเทพมี สวนสาธารณะเปิดใหม่  ไม่ไกลมาก  สวนกีฬารามอินทรา







เวปนี้ก็สวย...เพลงเพราะชวนพักผ่อนเหลือเกิน...

http://dungtawan.multiply.com/photos/album/113/113#



บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #61 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2009, 09:47:04 PM »

แวะมาบอกนิดนึง  วันนี้พึ่งไปสวนกีฬานี้มา ถนนทางเข้า รามอินทรา ซอย 5 กำลังทำ เข้าไม่สะดวก
เข้าทางซอย 19 ก็ได้นะคะ 

อ้อ...  เหมือนอย่างที่มีคนพูดในเวปเลย อย่าไป ช่วง9-10.00น.
และประมาณ 15.00-16.00น. เขารดน้ำต้มไม้เปียกไปทั้งสวนเลยค่ะ

Good night จ้า...   
บันทึกการเข้า
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #62 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2009, 10:19:15 PM »

ป้าอยู่แถวรามอินทราเหรอคะ
เมื่อก่อนหนูไปแฟชั่นบ่อย ถ้าป้าไปบ่อย
เราอาจเคยเดินสวนกัน   Cheesy
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #63 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2009, 12:18:58 PM »

ป้าอยู่แถวรามอินทราเหรอคะ
เมื่อก่อนหนูไปแฟชั่นบ่อย ถ้าป้าไปบ่อย
เราอาจเคยเดินสวนกัน   Cheesy


เปล่าค่ะ...  ป้าอยู่แถวลาดพร้าว  แต่ชอบพาลูกๆไปออกกำลังกายตามสวน outdoor สดชื่นๆจ้า...

                 

(คุณ Jeera  หายเขิล... รึยังจ้ะ...  Cheesy  จะได้รีบมีน้องไวๆ  ลบคำสบประมาท คุณmvb คุณIPSUM  ซะเลย.. )

บันทึกการเข้า
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #64 เมื่อ: ตุลาคม 21, 2009, 02:02:51 PM »

หนูถือคติช้าๆได้พร้าเล่มงามค่ะ  Grin

ตอนนี้ก็ลังเลอยู่ว่าจะปีหน้าดีมั้ย  Huh? แต่ลูกเสือ...กลัวลูกหาแฟนยากค่ะ
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #65 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 06:12:17 AM »

  Smiley อรุณสวัสดิ์ค่ะป้า NN และทุกคน

  วิธีสังเกตุอาการเมื่อแพ้ยา



ทราบหรือไม่ว่า เวลาเกิดอาการแพ้ยาจะมีอาการอย่างไร ...

- ทางผิวหนัง เช่น ผื่นแดง ลมพิษ อาการบวมตามเปลือกตา ริมฝีปาก และมือ เท้าบวม เป็นต้น

- ระบบทางเดินหายใจ เช่น หอบ หายใจติดขัด แน่นหน้าอก ไอขัดๆ

- ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตต่ำ หัวใจเต้นเร็ว

- ระบบทางเดินอาหาร เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย

ส่วนอาการที่พบอื่น ๆ เช่น อ่อนเพลีย ต่อมน้ำเหลืองโต บวมตามตัว เป็นต้น ซึ่งความรุนแรงของอาการส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับรูปแบบกา รใช้ยา เช่น ยาฉีดจะเห็นผลอาการแพ้ได้เร็วกว่ายากินและยาทา

ทานยาเมื่อไหร่ อย่าลืมสังเกตอาการตัวเองว่ามีการแพ้หรือไม่ ถ้ามีรีบพบแพทย์โดยด่วน.


บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #66 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 06:17:46 AM »

   O0   อาการของมะเร็งที่อวัยวะต่างๆ     O0

ในระยะแรกมักจะไม่ปรากฏอาการ ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น (อาจนานเป็นเดือน เป็นปี) จะมีอาการทั่วไป (พบร่วมกันในมะเร็งทุกชนิด) คือ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลดอย่างรวดเร็ว อาจมีไข้ เรื้อรัง ท้องอืดเฟ้อ คลื่นไส้อาเจียน ซีด เป็นลม ใจหวิว คล้ายหิวข้าวบ่อย ส่วนอาการเฉพาะของแต่ละโรค (ซึ่งมักเกิดขึ้นก่อนจะมีอาการทั่วไป) เกิดจากก้อนมะเร็งไปกดเบียดหรือทำลายอวัยวะที่เป็น พอจะสรุปได้ดังนี้

1. มะเร็งผิวหนัง ส่วนมากจะเริ่มจากการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือ จุดตกกระในคนแก่ โดยมีอาการคันแตกเป็นแผล เรื้อรังไม่ยอมหาย โดยไม่มีอาการเจ็บปวด ต่อมาแผลโตขึ้นเร็ว และมีเลือดออก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการถูกแสงแดด (แสงอัลตราไวโอเลต) การกินยาที่เข้า สารหนู หรือน้ำมันดินที่มีผสมอยู่ในยาจีนยาไทย การสัมผัสถูกสารหนู หรือน้ำมันดิน การระคายเรื้อรังต่อไฝ ปานหรือหูดที่มีอยู่ก่อน

2. มะเร็งในช่องปาก จะมีก้อนหรือแผลเรื้อรังเกิดขึ้นที่ริมฝีปาก เยื่อบุช่องปาก ลิ้น โดยเริ่มจากฝ้าขาวๆ ที่เรียกว่า ลิวโคพลาเคีย (Leukoplakia) มีสาเหตุสัมพันธ์กับการระคายเรื้อรัง เช่น กินหมาก จุกยาฉุน ฟันเกหรือใส่ฟันปลอมไม่กระชับ ดื่มเหล้าเข้มข้น (ไม่ผสมเจือจาง) สูบบุหรี่

3. มะเร็งที่จมูกและโพรงหลังจมูก มีอาการเลือดออกทางจมูก หน้าชา คัดจมูก ปวดศีรษะ ต่อมาอาจมีเลือดปนน้ำเหลืองออกทางจมูก หูอื้อ กลืนไม่ได้ ตาเข ต่อมน้ำเหลืองที่คอโต มะเร็งที่โพรงหลังจมูก มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น สูบบุหรี่ การติดเชื้อไวรัสอีบีวี (EBV)

4. มะเร็งที่กล่องเสียง มีอาการเสียงแหบเรื้อรังและอาจมีอาการเจ็บคอ เวลากลืนเหมือนมีก้างติดคอต่อมามีเลือดออกปนกับเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการดื่มเหล้าเข้มข้น การสูบบุหรี่จัด การติดเชื้อไวรัสเอชพีวี

5. มะเร็งปอด มีอาการไอเรื้อรัง น้ำหนักลด ไอออกเป็นเลือดปนเสมหะ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ การสูดควันดำจากท่อไอเสียรถ เขม่าจากโรงงาน สารใยหิน (asbestos) หรือฝุ่นนิกเกิล

6. มะเร็งหลอดอาหาร เริ่มแรกอาจรู้สึกเจ็บเวลากลืนอาหาร ต่อมากลืนข้าวสวยไม่ได้ ต่อมากลืนข้าวต้มไม่ได้ จนในที่สุดกลืนได้แต่ของน้ำๆ หรือ กลืนอะไรก็ไม่ลงเลย พบมากในผู้ชาย มีสาเหตุสัมพันธ์กับการกินอาหาร และดื่มของร้อนๆ (เช่น น้ำชาร้อน ๆ), การดื่มเหล้าเข้มข้น, การสูบบุหรี่, ภาวะขาดวิตามินเอ เป็นต้น

7. มะเร็งกระเพาะอาหาร มีอาการท้องอืด แน่นท้องอยู่เรื่อย เบื่ออาหาร ต่อมาอาจมีอาเจียน คลำก้อนได้ที่ใต้ชายโครงซ้าย น้ำหนักลด ซีด อาเจียนเป็นเลือด ถ่ายดำ มีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ จากเชื้อเอชไพโลไร (H. pylori) แบบเรื้อรัง, การกินอาหารที่มีสารไนเทรตหรือไนโตรซามีน, อาหารเค็มหรืออาหารหมักเกลือ, อาหารประเภทรมควัน, กรรมพันธุ์, การมีประวัติการผ่าตัดกระเพาะอาหาร เป็นต้น

8. มะเร็งตับอ่อน เริ่มแรกอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ อาหารไม่ย่อย ต่อมามีอาการปวดท้อง และปวดหลังดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีดขาว เบื่ออาหาร น้ำหนักลด มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ สารไนโตรซามีนสารไฮโดรคาร์บอน การกินอาหารพวกไขมันและโปรตีนสูง และอาจมีสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์

9. มะเร็งลำไส้เล็ก มักมีอาการปวดท้อง ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด หรือถ่ายดำ น้ำหนักลด เป็นไข้ หรือมีภาวะลำไส้อุดตัน (ปวดท้องรุนแรง อาเจียน) บางรายอาจมีอาการดีซ่าน ถ่ายอุจจาระสีซีด ขาว อาจคลำได้ก้อนในช่องท้อง อาจมีสาเหตุสัมพันธ์กับการเป็นลำไส้เล็กอักเสบเรื้อร ัง

10. มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการท้องผูกสลับกับท้องเดินแบบเรื้อรัง หรือถ่ายเป็นเลือด หรือมูกปนเลือดเรื้อรัง ปวดท้อง ปวดหลัง ซีด น้ำหนักลด มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ เช่น ภาวะโคเลสเตอรอลในเลือดสูง, การกินอาหารที่มีกากใยน้อย แต่กินพวกไขมันมาก, ประวัติการเป็นมะเร็งในญาติพี่น้อง เป็นต้น

11. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง จะมีต่อมน้ำเหลืองโตเป็นก้อนที่บริเวณคอ รักแร้ และขาหนีบ อาจมีไข้เรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อไวรัส เอชทีแอลวี-1, เชื้ออีบีวี, เอดส์, การได้รับยาเคมีบำบัด หรือรังสีบำบัดมาก่อน เป็นต้น

12. มะเร็งเต้านม คลำได้ก้อนที่เต้านม หัวนมบุ๋ม (เดิมเป็นปกติ เพิ่งมาบุ๋มตอนหลัง) หรือมีน้ำเหลืองหรือเลือดออกทางหัวนม ต่อมาจะมีต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ข้างเดียวกันโต ผู้หญิงที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ เช่น ผู้หญิงที่มีมารดาเป็นมะเร็งเต้านม ก่อนวัยหมดประจำเดือน หรือมีญาติพี่น้องเป็นโรคนี้หลังวัยประจำเดือน, ผู้หญิงเกิน 50 ปี ที่ยังไม่มีบุตร, ผู้หญิงที่มีบุตรคนแรกเมื่ออายุเกิน 30 ปี, ผู้หญิงที่มีประวัติเป็นโรคเต้านมเรื้อรัง, คนอ้วน, ผู้ที่สัมผัสถูกรังสี หรือดื่มเหล้า

13. มะเร็งปากมดลูก มีเลือดออกเวลาร่วมเพศ มีเลือดออกกะปริดกะปรอยทางช่องคลอด หรือมีตกขาวเรื้อรัง มีสาเหตุสัมพันธ์กับการติดเชื้อเอชพีวี (HPV/Human papilloma virus) ของปากมดลูกซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ร่วมกับปัจจัยเสริมอื่นๆ เช่น การกินยาเม็ดคุมกำเนิด การสูบบุหรี่ เป็นต้น โรคนี้พบมากในผู้หญิงที่เริ่มมีเพศสัมพันธ์เมื่ออายุ น้อย มีสามีหลายคน หรือมีสามีสำส่อนทางเพศ และในหญิงบริการ

14. มะเร็งอัณฑะ พบมีก้อนแข็งที่ถุงอัณฑะ และโตขึ้นเรื่อยๆ บางครั้งอาจมีอาการปวดร่วมด้วย สาเหตุ ยังไม่ทราบ พบว่า ผู้ที่มีอัณฑะไม่เลื่อนลงถุงอัณฑะ ซึ่งเป็นมาแต่กำเนิด อาจค้างอยู่ในช่องท้อง หรือขาหนีบ มีโอกาสเป็นมะเร็งอัณฑะมากขึ้น

15. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ มีอาการปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขัดและบ่อย มีสาเหตุสัมพันธ์กับการสูบบุหรี่ การสัมผัสถูกสารอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (aromatic hydrocarbon) ที่เป็นสารประกอบของสีที่ใช้ทางอุตสาหกรรม, การกินอาหารพวกเนื้อปิ้ง ย่าง และไขมันมาก

16. มะเร็งต่อมลูกหมาก มักไม่มีอาการแสดง จนกระทั่งแพร่กระจายไปยังอวัยวะข้างเคียง ทำให้มีอาการขัดเบา ปัสสาวะลำบาก หรือ ปัสสาวะไม่ออก ปัสสาวะเป็นเลือด ปวดหลังหรือปวดสะโพกน้ำหนักลด มักพบในคนอายุตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไป มีสาเหตุสัมพันธ์กับฮอร์โมนแอนโดรเจน และพบว่าผู้ที่มีประวัติญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ หรือเคยทำหมันชาย มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้สูงขึ้น

17. มะเร็งกระดูก มีอาการข้อบวม กระดูกบวม บางครั้งพบหลังเกิดอุบัติเหตุ ทำให้เข้าใจว่าเป็นกระดูกหักได้

18. มะเร็งของลูกตาในเด็ก (Retemoblastoma) นัยน์ตาดำของเด็กมีสีขาววาวคล้ายตาแมว เด็กจะบ่นว่าตาข้างนั้นมัว หรือมองอะไรไม่เห็น เมื่อเป็นมากขึ้น ตาจะเริ่มปูดโปนออกมานอกเบ้าตา

19. มะเร็งรังไข่หรือไต มีอาการมีก้อนในท้อง ท้องมาน ส่วนมะเร็งเม็ดเลือดขาว มะเร็งตับ มะเร็งในสมอง จะมีอาการแบบเดียวกับเนื้องอกในสมอง มะเร็งต่อมไทรอยด์


แหล่งข้อมูล :thailabonline
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
Theephat
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 2435



« ตอบ #67 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 07:37:41 AM »

สวัสดีตอนเช้าครับคุณ NN  Grin Grin Grin
บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #68 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 02:17:31 PM »

สวัสดีตอนเช้าครับคุณ NN  Grin Grin Grin

สวัสดีค่า  คุณ Theephat  วันนี้มีแสงแดดสดชื่นขึ้นมาหน่อยนะคะ   Smiley

หลังจากฝนตกพรำทางวันมาหลายวัน...  ตกลงคุณธี ได้เข้าซื้อทองรึยังคะ...

ป้ามีติดปลายนวมนี๊ด..เดียวเอง  เงื้อง้ารอจะเข้าอยู่...จนเหงือกแห้งแล้วล่ะเนี่ย...   Undecided

บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #69 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 02:22:19 PM »

สวัสดีคุณ nokeang ด้วยค่ะ  ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องแพ้ยา และเรื่องมะเร็งนะคะ

ป้าเองเป็นแผลในกระเพาะอยู่ยาวนาน  กังวลอยู่เหมือนกันเรื่องมะเร็งในกระเพาะ...

อ่านแล้วได้ความรู้ไปด้วย  ชอบจังเลยค่ะ...   Cheesy



บันทึกการเข้า
NN
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 174



« ตอบ #70 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 02:32:18 PM »

มีอยู่เรื่องนึงที่อยากรู้มานาน  คืออาหารอะไรบ้างที่กินแล้วช่วยลด คอเรสเตอรอล?

คือข้อมูลความรู้ทั่วไปมักจะบอกแต่อาหารที่คอเรสเตอรอลสูง ที่ควรงด

แต่แหม...  ดูสิจ้ะ...  ของมันเกิดมาน่ากินขนาดนี้น่ะ...

               

               

               


บางทีก็อดใจไม่ไหวจ้า...  Grin

แต่อาหารที่กินแล้วช่วยลด คอเรสเตอรอล หาอ่านไม่ค่อยเจอ มีใครพอทราบบ้างไหมคะ?

(บางคนบอก แก้วมังกร บ้าง, มะระขม บ้าง ...  ไม่รู้อันไหนใช่จริงๆ จะได้ไปหามากินทุกวันเลย..)





บันทึกการเข้า
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #71 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 02:58:31 PM »

สวัสดีคุณ nokeang ด้วยค่ะ  ขอบคุณสำหรับความรู้เรื่องแพ้ยา และเรื่องมะเร็งนะคะ

ป้าเองเป็นแผลในกระเพาะอยู่ยาวนาน  กังวลอยู่เหมือนกันเรื่องมะเร็งในกระเพาะ...

อ่านแล้วได้ความรู้ไปด้วย  ชอบจังเลยค่ะ...   Cheesy






แผลในกระเพาะอาหาร?เรื้อรังหรือรักษาหายได้?



โรคแผลในกระเพาะอาหาร หรือคนทั่วไปเรียกกันติดปากว่า โรคกระเพาะอาหาร เกิด จากสาเหตุหลายประการ และมีกลไกการเกิดโรคที่ซับซ้อนมาก สาเหตุมาจากกรดและน้ำย่อยที่หลั่งออกมาในกระเพาะอาหา ร ไม่ว่ากรดนั้นจะมีปริมาณมากหรือน้อยจะเป็นตัวทำลายเย ื่อบุกระเพาะอาหาร ร่วมกับมีความบกพร่องของเยื่อบุกระเพาะอาหารที่สร้าง แนวต้านทานกรดไม่ดี นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่ส่งเสริมให้เกิดแผลในกระ เพาะอาหารได้แก่ ยาแอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ การสูบบุหรี่ ความเครียด อาหารเผ็ด สุรา ซึ่งปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุ กระเพาะอาหาร เกิดการอักเสบเรื้อรัง แล้วนำไปสู่การเกิดแผลในกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นได้

?เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร'
อีกหนึ่งสาเหตุสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ปัจจุบันพบว่าเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobacter pylori) เป็น เชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่อยู่ในกระเพาะอาหาร มีรูปร่างเป็นเกลียวและมีหาง มีความทนกรดสูงเนื่องจากสามารถสร้างสารที่เป็นด่างออกมาเจือจางกรดที่อยู่ รอบๆตัวมัน ทำให้สามารถอาศัยอยู่ในชั้นผิวเคลือบภายในกระเพาะอาหารได้ และยังสร้างสารพิษทำลายเซลล์เยื่อบุผิวของกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เกิดการอักเสบและเกิดการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ เยื่อบุกระเพาะอาหาร จึงนับเป็นสาเหตุสำคัญอันดับหนึ่งที่ทำให้เกิดแผลในก ระเพาะอาหาร นอกจากนี้ขณะที่ทำการรักษาแผลในกระเพาะอาหารอยู่ เชื้อนี้จะเป็นต้นเหตุทำให้แผลหายช้า และทำให้แผลที่หายแล้วกลับเป็นซ้ำได้อีก รวมถึงยังเป็นปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งกระเพาะ อาหารอีกด้วย


อาการสำคัญของโรคแผลในกระเพาะอาหาร
ปวดหรือจุกแน่นบริเวณลิ้นปี่หรือช่องท้องช่วงบน ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด มักเป็นในช่วงท้องว่างหรือหิว โดยอาการดังกล่าวมักไม่เป็นตลอดทั้งวัน

อาการ ปวดแน่นท้องที่บรรเทาลงได้ด้วยอาหารหรือยาลดกรด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการปวดมากขึ้นหลังรับประทานอา หาร โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารรสเผ็ดหรือเปรี้ยวจัด เป็นต้น

อาการปวด มักเป็นๆ หายๆ นานเป็นปี โดยมีช่วงเว้นที่ปลอดอาการค่อนข้างนาน เช่น ปวดอยู่ 1-2 สัปดาห์และหายไป หลายๆ เดือนจึงกลับมาปวดอีกครั้ง

ปวดแน่นท้องกลางดึกหลังจากหลับไปแล้วจนต้องตื่นขึ้นม า ใน ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีอาการปวดท้องแต่จะมีอาการแน่นท ้อง หรือรู้สึกไม่สบายในท้อง มักจะเป็นบริเวณใต้ลิ้นปี่หรือกลางท้อง รอบสะดือ ในผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีท้องอืดร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังกินอาหารจะมีท้องอืดขึ้นชัดเจน มีลมมากในท้อง ท้องร้องโกรกกราก ต้องเรอหรือผายลมจะดีขึ้น อาจมีคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย โดยเฉพาะหลังอาหารแต่ละมื้อหรือช่วงเช้ามืด ผู้ป่วยอาจมีอาการอิ่มง่ายกว่าปกติ ทำให้กินได้น้อย และน้ำหนักลดลงได้บ้าง อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอาการเรื้อรังเป็นปี แต่สุขภาพทั่วไปมักไม่ทรุดโทรม น้ำหนักไม่ลด รวมถึงไม่มีภาวะซีดร่วมด้วย

ภาวะแทรกซ้อนของโรคแผลในกระเพาะอาหาร พบ ได้ประมาณร้อยละ 25-30 อาทิ ภาวะเลือดออกในกระเพาะอาหาร พบได้บ่อยที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการอาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเหลวสีดำ เหนียว คล้ายน้ำมันดิน หรือมีหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นลม กระเพาะอาหารทะลุ ผู้ป่วยมีอาการปวดท้องช่วงบนเฉียบพลัน รุนแรง หน้าท้องแข็ง ตึง กดเจ็บมาก กระเพาะอาหารอุดตัน ผู้ป่วยจะรับประทานได้น้อย อิ่มเร็ว อาเจียนหลังอาหารเกือบทุกมื้อ เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลง

การวินิจฉัยโรค แผลในกระเพาะอาหารในปัจจุบันถือว่าการตรวจส่องกล้องท างเดินอาหารส่วนบน เป็นวิธีที่เป็นมาตรฐานและดีที่สุด ในทางการแพทย์ผู้ป่วยที่มีอาการของโรคกระเพาะอาหารแล ะได้รับการรักษาด้วยยา ลดกรดแล้วอย่างน้อย 1 เดือนแล้วอาการไม่ทุเลาควรได้รับการตรวจส่องกล้องทาง เดินอาหารส่วนบน เนื่องจากแพทย์สามารถให้การวินิจฉัยได้ทันที



การรักษาในปัจจุบันแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
1.การรักษาสาเหตุ
ใน กรณีตรวจพบเชื้อแบคทีเรีย แพทย์จะให้การรักษาโดยมีสูตรยา 3-4 ชนิดร่วมกัน รับประทานนาน 1-2 สัปดาห์ สูตรยาส่วนใหญ่เป็นยาปฏิชีวนะร่วมกับยาลดกรด เพื่อรักษาแผลและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของยาปฏิชีวนะ ผู้ป่วยควรได้รับการตรวจหาเชื้อซ้ำภายหลังจากได้รับป ระทานยาปฏิชีวนะครบแล้ว โดยอาจเป็นการตรวจโดยการส่องกล้องกระเพาะอาหารอีกครั ้งเพื่อทำการพิสูจน์ ชิ้นเนื้อซ้ำ หรือทดสอบโดยการรับประทานยาสำหรับทดสอบเชื้อแบคทีเรี ยโดยตรง และตรวจวัดสารที่ถูกปล่อยออกมาทางลมหายใจ ทั้ง 2 วิธีถือเป็นวิธีที่เป็นที่นิยมในปัจจุบัน หลังตรวจพิสูจน์แล้วว่าไม่พบเชื้อแบคทีเรีย โอกาสการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กซ้ำจะมีน ้อยกว่า 10% ภายใน 1 ปีหลังได้รับการรักษา ส่วนการรักษาโดยยาลดกรด PPI เพียงอย่างเดียวอาจทำให้แผลหายได้เช่นกันแต่มีผลเสีย คือ มีโอกาสเกิดแผลซ้ำได้สูง และทำให้มีโอกาสที่เชื้อแบคทีเรียจะทำลายเยื่อบุผิวก ระเพาะอาหารลุกลามมาก ขึ้นได้ จึงน่าเป็นห่วงสำหรับผู้ป่วยที่มักจะรับประทานยาลดกร ดเอง แล้วมีอาการเป็นๆหายๆโดยไม่เคยได้รับการตรวจหาเชื้อแ บคทีเรียซึ่งอาจเป็น สาเหตุของโรคที่ไม่หายขาดและส่งผลเสียต่อไปในอนาคตได ้

ในกลุ่มผู้ ป่วยที่รับประทานยาที่มีผลทำให้เกิดแผลในกระเพาะอาหา ร ควรจะหยุดยาและหลีกเลี่ยงการรับยาในกลุ่มนี้ซ้ำอีก ยกเว้นในกรณีที่ยานั้นจำเป็นต่อการรักษาโรค ผู้ป่วยควรได้รับยาลดกรดควบคู่ไปกับยาที่รับประทานอย ู่เพื่อรักษาแผล ลดโอกาสการเกิดแผลขึ้นใหม่ และลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากแผล ส่วนในกรณีผู้ป่วยที่ตรวจพบภาวะกรดเกินจากเนื้องอกคว รได้รับการผ่าตัด


2.การรักษาแผล
ผู้ ป่วยจะได้รับยาลดกรดเพื่อยับยั้งการหลั่งกรดและส่งเส ริมการสมานแผล โดยเฉลี่ยเป็นเวลานาน 6-8 สัปดาห์ รวมทั้งผู้ป่วยควรจะงดการสูบบุหรี่ ดื่มสุรา ควบคุมอาหารที่เพิ่มการหลั่งกรดดังกล่าว รวมทั้งลดความเครียด พักผ่อนให้เพียงพอ ซึ่งการดูแลตัวเองดังนี้จะทำให้ผู้ป่วยมีอาการที่ดีข ึ้นได้โดยเร็ว

ผู้ที่เป็นโรคแผลในกระเพาะอาหาร ควรปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารอย่างไรบ้าง?
อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงคือ ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลล์ อาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด ของหมักดอง อาหารแข็งย่อยยาก อาหารประเภททอด หรือมีไขมันมาก เพราะ ไขมันเป็นสารที่ย่อยยากกว่าสารอาหารชนิดอื่น รวมถึงสังเกตอาหารหรือผลไม้ที่รับประทานแล้วทำให้มีอ าการมากขึ้น เช่น บางคนรับประทานฝรั่งหรือสับปะรดจะปวดท้องมากขึ้น เป็นต้น ควรรับประทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย เมื่อผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นแล้วจึงค่อยกลับมารับประทา นอาหารที่ใกล้เคียงปกติ ได้

การบริโภคอาหารที่ไม่ถูกต้อง มีผลต่อการเพิ่มความรุนแรงของโรคกระเพาะอาหาร กล่าวคือ ถ้ารับประทานอาหารรสจัดจะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อแ ผลมากขึ้น มีอาการปวดมากขึ้น นอกจากนี้ ถ้ารับประทานอาหารที่ย่อยยากหรือรับประทานในปริมาณที ่มากเกินไป จะยิ่งกระตุ้นให้กระเพาะอาหารขยายตัวมากขึ้น ซึ่งจะทำให้มีการปวดมากขึ้นเช่นกัน

โรคแผลในกระเพาะอาหารจะหายขาดได้หรือไม่?
โรค แผลในกระเพาะอาหารหายได้ แต่มีโอกาสกลับเป็นใหม่ได้อีกร้อยละ 70-80 ในระยะเวลา 1 ปีหลังให้การรักษา ซึ่งลักษณะเช่นนี้เป็นธรรมชาติของโรค คือจะมีลักษณะเรื้อรังและกลับเป็นซ้ำได้ หลังได้รับยาอาการปวดมักจะทุเลาลงในระยะ 7 วันแต่แผลจะยังไม่หาย ส่วนใหญ่ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับยารักษา ติดต่อกันเป็นเวลานาน 8-12 สัปดาห์ แผลจึงจะหาย เมื่อหายแล้วก็มีโอกาสกลับมาเป็นใหม่ได้อีกถ้าไม่ระว ังเรื่องการปฏิบัติตัว ให้ถูกต้อง หรือถ้ายังไม่สามารถกำจัดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรให้หมดไปได้


ข้อมูลโดย ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #72 เมื่อ: ตุลาคม 22, 2009, 03:06:06 PM »

กินอาหารเฉพาะโรค

วันนี้เกร็ดความรู้มีอาหารที่ไว้ทานเฉพาะโรคมาฝากกัน ...

- ปวดเข่า (ไม่ใช่โรคเกาต์) ควรกินอาหารที่ทำด้วยขิงจะช่วยลดอาการอักเสบ เช่น หมูผัดขิง ต้มส้มปลากระบอก ปลาเจี๋ยน น้ำพริกขิง เมี่ยงคำ เมี่ยงปลาทู

- ท้องผูก ควรกินอาหารที่มีเส้นใยสูง ข้าวกล้อง น้ำพริกผักจิ้ม แกงส้มดอกแค แกงเลียงตำลึงหัวปลี สะเดาลวกน้ำปลาหวาน แกงเลียงชะอมปลาย่าง ยำมะเขือพวง แกงป่าขี้เหล็กหมูย่าง

- คอเลสเตอรอลสูง ควรกินอาหารที่มีเส้นใยสูง หลีกเลี่ยงเครื่องในสัตว์ อาหารทะเล กุ้ง หอย ปู หลีกเลี่ยงอาหารมันจัด หลีกเลี่ยงไขมันสัตว์

- เบาหวาน ควรลดอาหารหวาน มัน เค็มจัด หันกินข้าวกล้อง กินผักใบ เช่น น้ำพริกจิ้มผักบุ้งต้ม หัวปลีต้ม ดอกแค ยอดแคต้ม มะระขี้นกต้ม กินปลา กุ้ง กินอาหารประเภทยำ เช่น ยำใบบัวบก ยำผักกูด ยำยอดกระถิน แกงส้มผักบุ้ง แกงส้มผักกระเฉด ต้มยำหัวปลี (กินอาหารที่มีเส้นใยสูง ไขมันต่ำ รสไม่หวาน)

- ความดันสูง จำกัดอาหารไขมัน อาหารหวาน อาหารรสเค็ม ควรกินข้าวกล้อง ลดอาหารที่ใส่กะทิใช้ผักที่มีเส้นใยสูงทำอาหาร เช่น มะเขือพวง มะระขี้นก สะเดา กระเฉด ชะอม หัวปลี ใบบัวบก กระถิน โดยกินวันละประมาณ 200 กรัม และทำอาหารใส่กระเทียมให้มากกว่าปกติ

- โรคเกาต์ งดเครื่องในสัตว์ทุกชนิด กินปลาเป็นหลัก ใช้ผักใบทำอาหารเอายอดออก เอาเมล็ดออก ผักประเภทหน่อ เมล็ด ยอด จะเพิ่มความปวดให้มากขึ้น แตงกวากินแต่เปลือก ตำลึงเด็ดยอดออก ถั่วงอกเอาหัวออก เป็นต้น) ดื่มน้ำตะไคร้ และดื่มน้ำวันละประมาณ 8-10 แก้ว

- นอนไม่หลับ กินข้าวกล้องเป็นประจำ กินผักสดผลไม้สดมากใน 1 วัน เช่นกินผักรวมกัน (ใน 1 วัน ประมาณ 200 กรัม ผลไม้ ส้ม 1 ลูก มะละกอ 1 จาน 8 คำ สับปะรด 1 จาน 8 คำ) ใช้ใบขี้เหล็กลวกจิ้มน้ำพริก หรือใช้ใบขี้เหล็กแกงกับปลาย่าง

- ท้องผูก กินข้าวกล้อง กินผักที่มีเส้นใยสูง เช่น มะระขี้นก สะเดา มะเขือพวง ใช้ต้มจิ้มน้ำพริกหรือทำน้ำพริกมะเขือพวง ผัดมะระขี้นกกับไข่ กินผักพื้นบ้านที่มีฤทธิ์เป็นยาระบาย เช่น ยอดขี้เหล็ก กินมะละกอสุกเป็นประจำ ต้มน้ำมะขามเปียกดื่มเป็นเครื่องดื่มประจำ

- ท้องอืด ควรกินผักพื้นบ้านที่มีสรรพคุณช่วยย่อยอาหาร เช่น กินตำลึงจิ้มน้ำพริก แกงเลียง แกงจืด จะช่วยย่อยอาหารประเภทแป้ง กินสับปะรดเป็นอาหารหวานหลังกินข้าว สับปะรดช่วยย่อยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ กินเนื้อสัตว์ควบคู่กับผักที่เป็นสมุนไพรช่วยย่อยเช่ น กระชาย ตะไคร้ กะเพรา พริกไทย
รู้อย่างนี้แล้ว ใครเป็นโรคอะไรก็ลองหาอาหารที่แนะนำมาทานกันได้ เพื่อสุขภาพที่ดี.

บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
Jeera
Hero Member
****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 3992


Happy day!


« ตอบ #73 เมื่อ: ตุลาคม 25, 2009, 06:24:00 PM »

สวัสดีค่ะป้า NN

ตัวเล็กหายจากอาการเจ็บแล้วใช่มั้ยคะ

นี่หนูไม่ค่อยสบายเลยไม่ได้เข้ามาซะหลายวัน ไม่ได้เห็นเดือนเห็นตะวันมาหลายว้นด้วย

แต่ตอนนี้เริ่มกลับสู่สภาพปกติแล้วค่ะ
บันทึกการเข้า


Someone love one
Some one love two
But I love one
That One is...U  (^?^)-?
IPSUM
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 7478



« ตอบ #74 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2009, 03:38:07 PM »

หายไวไวนะ... Wink
บันทึกการเข้า

   รัก เธอ ประ เทศ ไทย  รัก เธอ ตลอด ไป...
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 11   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: