Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75258 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #165 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2012, 04:11:10 PM »

มาทานอาหารบำรุงรอบเดือนกันเถอะ



มาอีกแล้ว..ทุกเดือนเลย เรื่องนี้กลายเป็นความเคยชินของผู้หญิงเราเสียแล้ว แต่รู้มั้ยว่าในแต่ละเดือนคุณต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมาก และร่างกายต้องสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสี สิ่งเหล่านี้เองที่ทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เบื่ออาหาร และซึมเศร้า

         การเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสมในช่วงนี้จะให้ประโยชน์ต่อร่างกายอย่างยิ่งค่ะ ดังนั้นคุณควรเลือกรับประทานอาหารที่บำรุงเลือดมาก ๆ เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น


        เพราะอาหารพวกนี้จะให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวมป และกรดโฟลิกสูง ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดนั่นเองค่ะ

 


ที่มา... Momypedia
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #166 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2012, 04:14:02 PM »


ประโยชน์มากมายในผักกาด



ผักกาด จัดเป็นผักประเภทกินใบ ได้แก่ ผักกาดขาว ผักกาดดำ ซึ่งถือว่าเป็นผักพื้นเมืองในไทย ดองได้อร่อยกว่าผักดองเปรี้ยวเค็มชนิดอื่น ผักกาดขาวปลีที่ชาวไร่ปลูกขายในโรงงาน ปรุงสดๆ จะขมเฝื่อน แต่ถ้าดองแล้วรสชาติดี กรอบไม่ยุ่ย เก็บไว้ได้นานไม่เสีย หากปลูกกันมาก จะมีราคาถูก ต่ำสุดอยู่ที่ กก.ละ 30 สตางค์ หากในหน้าแล้งปลูกน้อย ราคาจะแพงถึง กก.ละ 5 บาทเลยทีเดียว กะหล่ำปลีและผักกาดกวางตุ้งอยู่ในตระกูลเดียวกัน ปลูกกันมากที่สุดในประเทศจีน สามารถนำมาทำเป็นแกงผักกาดจอและทำมัสตาร์ดขายไปทั่ว คะน้า ก็เป็นผักกาดอย่างหนึ่ง เชื่อว่ามีส่วนช่วยในการเสริมสร้างกระดูกได้แข็งแรง และผักกาดโสภณ หรือผักฮ่องเต้ จะมีราคาแพงหน่อย แต่ก็มีสารอาหารพอๆ กัน

ผักกาดกินดอก เช่น กะหล่ำดอก ในทางวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบแล้วว่า อุดมไปด้วยสารต่างๆ ที่ช่วยป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง คนไทยในอดีต จึงคั้นเอาแต่น้ำสดๆ อมกลั้วคอ รักษาอาการร้อนใน และทารักษาโรคเรื้อนกวาง บร็อคโคลี่ ก็นับว่าเป็นตระกูลเดียวกับผักกาด มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กะหล่ำดอกอิตาเลียน



ผักทั้ง 2 ชนิดนี้ ดอกกะหล่ำสวยๆ ขาวๆ ชาวสวนจะใช้ยาฆ่าแมลงและยากันเชื้อราฉีดลงไปทุกๆ วันนกว่าจะตัดขาย ซึ่งถ้าไม่ทำเช่นนั้นแล้ว ผักก็จะถูกหนอนเจาะ และเชื้อดำระบาดบนดอก ซึ่งจะต้องหมั่นล้างและแช่ผักเพื่อให้สารเคมีของยาฆ่าแมลงหมดไป บร็อคโคลี่ กินได้สบายปาก แมลงมักไม่ค่อยะมารังควานเท่าไหร่นัก อีกทั้งยังไม่เป็นที่นิยมรับประทานกันสักเท่าไหร่ จึงปลูกน้อย รวมทั้งปลูกให้ดูดีก็ยาก เพราะชอบอากาศที่หนาวเย็นมาก



ผักอีกอย่างที่อยู่ในตระกูลเดียวกับผักกาด ก็คือ หัวผักกาด ซึ่งกินแต่ส่วนหัว เช่น นำมาทำแกงจืด แกงส้ม หัวไชเท้า และดองไชโป๊หวาน และโหระพา ซึ่งเด็ดเอาแต่ใบ ล้างและแช่น้ำให้สดและกรอบ



สำหรับคุณค่าอาหารในผักกาด ที่เก็บมาฝากก็มีดังต่อไปนี้ บร็อคโคลี่ ซึ่งมีพลังงานมากกว่าผักชนิดอื่นๆ รองลงมา ก็คือ คะน้า หัวไชโป๊ กะหล่ำดอก ผักกาดขาวปลี(อีลุ้ย) และกวางตุ้ง ส่วนผักกาดหอม(ผักสลัด) ผักกาดแก้วที่ปลูกบนดอยสูง กับผักกาดนกเขา ไม่จัดเป็นผักในวงศ์เครือญาติของผักกาด ฝรั่งได้บอกว่า มันเป็นผักกาดปลอม

หากอยากจะทานผักกาดให้อร่อย ต้องปรุงให้สุกอย่างเร็ว โดยใส่ลงไปในน้ำเดือดจัดๆ ประมาณ 3 นาที ยกลงออกจากเตา หรือผัดด้วยไฟแรง และถ้าต้องการทำสลัด ก็ฉีกด้วยมือ ผักจะสดกรอบดีกว่าหั่นมีด



นักวิทยาศาสตร์ เชื่อว่า ผักตระกูลผักกาด เป็นผักที่รักษาโรคครอบจักรวาล จึงแนะนำให้รับประทานผักอยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยป้องกันกระดูกพรุน หูตาที่ฝ้ามัว ป้องกันมะเร็ง หรือกินคะน้าที่สร้างเสริมกระดูกให้แข็งแรง จึงขึ้นชื่อว่า ผักสร้างกระดูก สารสำคัญที่พบในผักเหล่านี้ ก็คือ ซันโฟราเฟน (sulforaphane) สารผลึกอินโดลส์ (indoles) กรดธรรมชาติโฟลิก (folic acid) และกำมะถัน (sulphur)



แพทย์แผนไทยโบราณ ได้จัดผักกาดเป็นสมุนไพร ซึ่งสามารถนำผักจำพวกผักกาดต้มน้ำ ดื่มแก้เจ็บคอ หยดเป็นยาล้างแผลเรื้อรัง หอบหืด อีกวิธีหนึ่งคือ บดผักกาดหรือกวางตุ้ง คั้นเอาแต่น้ำ1 ถ้วย เทลงไปในน้ำเดือดจัด 2 ช้อนโต๊ะตั้งบนไฟ รีบยกออก ทิ้งไว้ให้อุ่น ดื่มแทนน้ำเสริมพลังงาน ลดอาการแก่ชราที่ความจำไม่ค่อยดีได้ ซึ่งเป็นแบบอย่างของจีน

จีน เป็นชาติที่น่านับถือในเรื่องการดูแลสุขภาพ เห็นว่ามีการตั้งโรงงานผลิตน้ำผักกาดสกัดเป็นแคบซูลขาย ซึ่งเป็นอาหารเสริม นับว่าสะดวกอย่างมาก



เราสามารถลวกใบผักกาดขาว ตัดเป็นชิ้นๆ โรยกับเกลือ น้ำส้ม น้ำตาล เหยาะน้ำมันงาบริสุทธิ์ 1 ช้อนชา หมักประมาณ 10 นาที ทานกับข้าวต้มทุกวัน จะฟื้นตัวจากไวรัสตับอักเสบบีได้รวดเร็ว



สำหรับผักกาดเขียวปลี ครึ่งกก. เต้าหู้ขาว 3 ชิ้น มะขามป้อมลูกโต 8 ลูก ขิงสดแง่งใหญ่ นำไปต้มกับน้ำ 4 แก้ว ดื่มหลังอาหาร แก้อาการหวัดเย็นได้ อีกวิธีหนึ่ง คือ นำผักกาดเขียวปลี 1 กก.กับแห้วสดครึ่งกก. ต้มดื่มเป็นน้ำชา แล้วบีบมะนาวลงไปด้วย ช่วยขับปัสสาวะและลดความร้อนในร่างกาย ป้องกันโรคนิ่วได้



แต่ประโยชน์ของผักจะมีสูงสุด หากมีผักสวนครัวปลอดสารพิษ ที่เราสามารถใช้เวลาว่างปลูกเองได้ นับว่าดีทีเดียว

 

ขอบคุณ : samunpri.com
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #167 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2012, 07:47:13 PM »

เตือนใช้ผงปรุงรสเสี่ยงป่วยโรคหัวใจ  




ผศ.ดร.วันทนีย์ เกรียงสินยศ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงกรณีที่ประชาชนมีความนิยมในการใช้ผงปรุงรส หรือก้อนปรุงรสเพิ่มมากขึ้นว่า จากการเก็บข้อมูลส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์ประเภทดังกล่าว พบว่าส่วนผสมส่วนใหญ่ร้อยละ 40 ประกอบไปด้วยโซเดียมหรือเกลือ รองลงมาคือ ไขมันปาล์มร้อยละ 18-20 และผงชูรสร้อยละ 15-20 แต่หากเป็นชนิดที่ไม่มีผงชูรส ก็จะเปลี่ยนเป็นเกลือเพิ่มขึ้น และน้ำตาล ร้อยละ 8-10 เพื่อทำให้มีรสชาติกลมกล่อมขึ้น

นอกจากนี้ก็จะมีเนื้อสัตว์อบแห้งเพื่อเลียนแบบของธรรมชาติ โดยทั้งผลิตภัณฑ์ชนิดก้อนและผงมีส่วนประกอบที่ไม่ต่างกันมากนัก
 
ผศ.ดร.วันทนีย์กล่าวว่า สำหรับข้อกังวลด้านโภชนาการ ในการเติมส่วนประกอบดังกล่าวลงในอาหาร คือ อาจทำให้ผู้บริโภคได้รับปริมาณโซเดียมที่สูงเกินไป โดยพบว่าก้อนปรุงรส 1 ก้อน มีปริมาณโซเดียม 1,800 มิลลิกรัม หรือประมาณ 1 ช้อนชา โดยปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันอยู่ที่ 1,000-1,500 มิลลิกรัม ปริมาณสูงสุดไม่เกิน 2,400 มิลลิกรัม ซึ่งในการบริโภคแต่ละวัน จะได้รับโซเดียมจากแหล่งต่างๆ อยู่แล้ว ทั้งในผัก ผลไม้ และจากการเติมเครื่องปรุงรสต่างๆ ทำให้เมื่อใส่ผงปรุงรสโอกาสที่จะได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ และหากรับประทานติดต่อกันอย่างต่อเนื่องก็ทำให้เกิดผลต่อสุขภาพได้ในที่สุด

"ประชาชนสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคโดยการใช้ผักทดแทน เช่น แครอต หัวไช้เท้า กระดูก เพราะการเติมผงหรือก้อนปรุงรสมีความเสี่ยงที่จะทำให้ได้รับโซเดียมเกินปริมาณที่ร่างกายต้องการ และพบว่าประชาชนมักเพิ่มเครื่องปรุงชนิดอื่นลงไปอีก ทั้งซีอิ๊ว น้ำปลา น้ำตาล ยิ่งทำให้ได้รับปริมาณเพิ่มขึ้น โดยการได้รับโซเดียมมาก สัมพันธ์กับโรคความดัน ที่เป็นปัจจัยเสี่ยงของโรคเส้นเลือด หัวใจ หลอดเลือดสมอง หากเป็นกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัวอยู่แล้ว ก็จะยิ่งได้รับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นอีก" ผศ.ดร.ววันัทนีย์กล่าว

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #168 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2012, 07:55:12 PM »

บริโภค"น้ำตาล"แล้ว"โง่" ผลวิจัยชี้กินหวานมากไป กระทบ"ความทรงจำ-การเรียนรู้"


ผลการศึกษาชิ้นล่าสุดของนักวิทยาศาสตร์สหรัฐฯชี้ว่า การรับประทานอาหารหวานมากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อ"ความสามารถของสมอง"


นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย วิทยาเขตลอสแองเจ (ยูซีแอลเอ) ได้ทำการศึกษาผลกระทบของน้ำตาลฟรุกโตส ที่ได้มาจากข้าวโพด ที่มีต่อการทำงานของสมอง โดยใช้หนูทดลองที่แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม  กลุ่มแรกให้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของน้ำตาล และกลุ่มที่สองให้รับประทานน้ำตาลเช่นเดียวกับน้ำดื่มติดต่อกันเป็นเวลา 6 สัปดาห์


ทั้งนี้ กลุ่มหนึ่งได้รับอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงสมองโดยให้สารโอเมกา 3 ในรูปแบบของน้ำมันจากเมล็ดป่านและกรดโดโคซาเฮกซาอีโนอิก หรือดีเอชเอ ขณะที่อีกกลุ่มจะไม่ได้รับสารดังกล่าว


โดยก่อนที่จะต้องดื่มไซรัป หนูกลุ่มหนึ่งจะถูกจับให้เข้าไปอยู่ในเขาวงกตที่ซับซ้อนเป็นเวลา 5 วัน โดยหลังจากเสร็จสิ้นการทดลองเป็นเวลา 6 สัปดาห์ หนูทั้งหมดจะถูกจับมาอยู่ในเขาวงกตอีกครั้ง เพื่อเปรียบเทียบทักษะก่อนและหลัง


ผลการทดลองพบว่า หนูที่ไม่ได้รับดีเอ็นเอ มีปฏิกิริยาตอบสนองต่อเขาวงกตช้ากว่าเดิม สมองของพวกมันแสดงสัญญาณที่ลดลงในกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับเซลล์ประสาท และการส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ลดลงอย่างเห็นได้ชัด ที่กระทบต่อความสามารถในการกระทำกิจกรรมในการคิด และการเดินไปตามเส้นทางในเขาวงกตของพวกมัน


เมื่อศึกษาอย่างละเอียด พบว่าสมองของหนูทดลองที่ไม่ได้รับดีเอ็นเอ ยังแสดงสัญญาณที่เริ่มพัฒนาของการต่อต้านอินซูลิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและควบคุมการทำงานของสมอง ที่เป็นตัวขัดขวางการเรียนรู้และความทรงจำ


ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า การรับประทานน้ำตาลฟรุกโตสมากเกินไป อาจขัดขวางความสามารถในการควบคุมการทำงานและการเก็บกักน้ำตาลของเซลล์  ซึ่งจำเป็นต่อกระบวนการในการคิดและอารมณ์ ที่จะส่งผลรบกวนการจดจำและการเรียนรู้


ข้อมูลของกระทรวงการเกษตรสหรัฐฯระบุว่า ชาวอเมริกันบริโภคน้ำตาลฟรุกโตสจากไซรัปข้าวโพด เฉลี่ย 18 กิโลกรัมต่อปี  ขณะที่ผลการศึกษา ไม่ได้ชี้ว่าผลดังกล่าวสามารถนำมาเปรียบเทียบในกรณีเดียวกันกับมนุษย์ได้หรือไม่  นักวิจัยกล่าวว่า การทดลองก่อให้เกิดหลักฐานบางประการว่า กลุ่มอาการที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญอาหาร สามารถส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #169 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2012, 07:56:53 PM »

หลากหลายคุณประโยชน์จากกะหล่ำปลีม่วง



กะหล่ำ ปลีม่วงที่มีสีสันสดใสชวนกิน ซึ่งมักพบบ่อยในจานสลัด หรืออาจกลายมาเป็นของประดับในอาหารจานอื่น แต่ใครจะรู้บ้าง ว่ากะหล่ำปลีสีสวยนี้จะมีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเราเป็นอย่างมาก

เนื่อง จากกะหล่ำปลีม่วงเป็นพืชที่มีใยอาหารสูงและล้วนอุดมไปด้วยสารอาหารหลากหลาย ชนิด ไม่ว่าจะเป็นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต โซเดียม และวิตามินซี นอกจากนี้การกินกะหล่ำปลีม่วงอย่างสม่ำเสมอจะช่วยลดโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรค มะเร็งลำไส้ใหญ่และโรคมะเร็ง ในช่องท้องได้ อีกทั้งยังอุดมไปด้วยธาตุเหล็กที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินซึ่งเป็นส่วน สำคัญที่ทำให้มีเม็ดเลือดแดงไปหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย


       อย่างไรก็ตามในแต่ละวันเราไม่ควรกินกะหล่ำปลีดิบมากเกิน 1-2 กิโลกรัม เพราะถ้ามีสาร Goitrogen จากกะหล่ำปลีสะสมในร่างกายมากเกินไป อาจส่งผลให้ต่อมไทรอยด์นำไอโอดีนในเลือดไปใช้ได้น้อยลง แต่สารนี้จะหายไปเมื่อกะหล่ำปลีนั้นสุกแล้ว


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #170 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2012, 08:01:09 PM »

ลองแลบลิ้นดู...สุขภาพจะดี



คุณแยกระหว่างความหิวกับความอยากออกจากกันได้หรือไม่ ... หลายคนอาจจะกำลังสงสัยว่า ทำไมเพิ่งรับประทานอาหารจึงรู้สึกหิวขึ้นมาอีกแล้ว ซึ่งนั่นเกิดจากน้ำย่อยที่หลั่งออกมาเพื่อทำให้คุณเกิดความหิวนั่นเอง


แต่แท้จริงแล้วปริมาณอาหารในกระเพาะของคุณก็ยังคงมีอยู่เท่าเดิมโดยไม่ได้ย่อยเลย แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรล่ะว่าปริมาณอาหารในกระเพาะตอนนั้นมีปริมาณเท่าไหร่... สังเกตดูที่ "ลิ้น" ของคุณสิ บอกได้!

การตรวจดูว่าวิธีที่ง่ายที่สุดและได้ความแม่นยำที่สุดในการตรวจสอบร่างกายของตนเอง ด้วยการดู "สภาพของลิ้น" ซึ่งสภาพของลิ้นจะมีการเปลี่ยนแปลงไปทุกครั้งตามลักษณะนิสัยการกินอาหาร เวลากิน จนระดับความแข็งแรงของกระเพาะอาหารและลำไส้ เพราะลิ้นเปรียบเสมือนเครื่องตรวจวัดสุขภาพของอวัยวะภายในร่างกาย โดยการเปลี่ยนสภาพของลิ้นนั้นจะบ่งบอกด้วยการสังเกต สีลิ้น ความหนา และคราบสกปรกที่ติดอยู่

สิ่งสกปรกที่เกิดอยู่บนลิ้น หรือที่ทุกคนเรียกกันว่า "ฝ้าลิ้น" นั้น เป็นตัวบ่งชี้ปริมาณสิ่งของตกค้างที่อยู่ภายในท้อง ยิ่งมีฝ้ามากก็แสดงว่าในกระเพาะอาหารของคุณยังมีอาหารอยู่ แต่หากมีฝ้าตกค้างน้อย ลิ้นก็แทบจะไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลย

เริ่มมาเช็กดูสภาพของลิ้นกันดีกว่า ว่าในกระเพาะอาหารของคุณมีปริมาณอาหารที่ยังไม่ย่อยอีกเท่าไหร่...


      ประเภทที่ 1 ลิ้นแทบจะไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลยและลิ้นมีสีชมพู นั่นแสดงว่าระบบย่อยอาหารของคุณทำงานได้ดี ลิ้นของคุณมีสีสวย ผิวลิ้นสะอาด สุขภาพดีแทบไม่มีฝ้าเกาะอยู่เลย

     ประเภทที่ 2 มีฝ้าเกาะที่ลิ้นเป็นคราบสีขาว แสดงว่ามีอาหารหลงเหลือค้างอยู่ในกระเพาะ ระบบย่อยอาหารยังทำงานไม่ค่อยดีเท่าที่ควร ยิ่งมีอาหารตกค้างมาก ฝ้าสีขาวที่ลิ้นจะยิ่งหนามากขึ้น

     ประเภทที่ 3 ฝ้าที่ลิ้นเป็นสีเหลือง แสดงว่ามีอาหารตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหารมาก ทั้งยังอัดแน่นอยู่ในลำไส้ ยิ่งกินเยอะในตอนดึก ฝ้าจะหนาและเป็นสีเหลือง


รู้อย่างนี้แล้วก็ลองส่องกระจกสังเกตดูลิ้นของตัวเองว่ามีปริมาณอาหารที่กระเพาะยังไม่ย่อยอีกมากเท่าไหร่ เราจะได้คิดเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายและไม่ทำให้กระเพราะทำงานหนักมากจนเกินไป
 
 


ขอบคุณ : WomanPlus /หนังสือ กินให้ผอม 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #171 เมื่อ: พฤษภาคม 20, 2012, 08:14:31 PM »

กินได้กินดี…ไม่มีอ้วน



เรื่องราวความเชื่อมีแฝงอยู่ในทุกๆ เรื่องของมนุษย์เราค่ะ ไม่เว้นแม้แต่เรื่องของการลดความอ้วน! เรามักจะโดนฝังหัวมาตลอดใช่ไหมคะสาวๆ ว่าทานอันนี้ได้ กินอันนี้ดี กินนี่เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน กินอันนั้นเยอะๆ ไม่ได้ จะอ้วน จะบวม ฯลฯ เพราะเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่และเรื่องใกล้ตัวมากกว่าที่คิด ว่าแต่ …เรื่องที่เชื่อๆ กันมานั้น เป็นเรื่องจริงหรือไม่ ใช่หรือมั่วกันล่ะคะสาวๆ

ว่าแล้วเราก็มีความเชื่อเบาๆ ที่เกี่ยวกับเรื่อง “กิน” ล้วนๆ มาฝากกันค่ะ …ที่ว่ากินได้กินดี จริงๆ แล้วมันดีจริงหรือเปล่า? ไปดูกันเลยค่ะ

     “ปลา” กินเข้าไป เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน?

         ปลาจัดได้ว่าเป็นอาหารที่ดีต่อสุขภาพอย่างหนึ่ง เป็นหนึ่งในโปรตีนฮิตประจำเมนูไดเอ็ทของสาวๆ ก็ว่าให้เพราะในเนื้อปลา นอกจากจะมีไขมันที่เป็นอันตรายต่อร่างกายน้อย (ไขมันอิ่มตัว/ไขมันสัตว์ทั่วๆ ไป) ยังมีไขมันที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย (ไขมันไม่อิ่มตัว เช่น โอเมกา 3,โอเมกา 6) ซึ่งเป็นที่เชื่อกันว่า ไขมันไม่อิ่มตัวเหล่านี้ จะช่วยให้เราเกิดโรคที่มาจากไขมันในเลือดสูงได้ เช่น ความดันโลหิตสูง, ไขมันอุดตันในเส้นเลือด, หลอดเลือดโป่งพอง/แตก, โรคหัวใจ ฯลฯ

เอ้า…ดูดีมีประโยชน์ซะขนาดนี้ทานไปเยอะๆ ก็ต้องดีแน่นอน แต่ว่า… ช้าก่อนค่ะ… ประโยชน์ของปลาตรงจุดนี้มันไม่ได้เกี่ยวข้องกับเรื่องความอ้วนแม้แต่น้อย เพราะเรื่องความอ้วนนั้น เป็นผลมาจากพลังงานที่ร่างกายได้รับและพลังงานที่ร่างกายใช้ไป ไม่ได้เกี่ยวกับชนิดของไขมันที่ได้รับแต่อย่างใด แต่ที่เชื่อกันว่ากินปลาแล้วจะผอม เป็นเพราะในเนื้อปลา เมื่อเทียบเป็นน้ำหนักที่เท่าๆ กันกับเนื้อสัตว์อื่นๆ จะมีส่วนของโปรตีนค่อนข้างมากและมีไขมันค่อนข้างน้อย

         พูดง่ายๆ ว่าถ้าหากกินปลาเทียบกับกินเนื้ออื่นๆ ในปริมาณเท่ากัน เนื้อปลาก็จะให้พลังงานกับร่างกายน้อยกว่าแต่เถ้าคุณกินเปลาเข้าไปมากๆ จนเกินความจำเป็นของร่างกาย คุณก็มีโอกาสอ้วนได้เช่นเดียวกับการทานอาหารชนิดอื่นๆ นั่นแหล่ะค่า

     กินผลไม้เข้าไป เท่าไหร่ก็ไม่อ้วน?

เป็นอีกหนึ่งความเชื่อที่ถูกครึ่งเดียวค่ะ เชื่อ ไหมคะว่าในผลไม้นั้นเมื่อเราบริโภคเข้าไป เราจะได้รับแคลอรี่จาก “คาร์โบไฮเดรต” โดยตรง ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของ “ฟรุคโตส” ซึ่งเป็น “น้ำตาล” ธรรมชาติในผลไม้ แต่คาร์โบไฮเดรตไม่ได้มีเฉพาะในผลไม้เท่านั้น แต่พบในอาหารจำพวกพืช (plant foods) ทุกชนิดอีกด้วย ผลไม้บางชนิดก็มีน้ำตาลสูง แม้จะเป็นน้ำตาลจากผลไม้ก็ทำให้อ้วนได้เช่นกันค่ะ ผลไม้ที่มีน้ำตาลสูงได้แก่ สับปะรด มะละกอสุก มะม่วงสุก องุ่น แอพริคอต ลิ้นจี่ แตงโม เป็นต้น

         แต่หากทานผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เส้นใยอาหารสูง รวมกับอาหารกลุ่มแป้งและไขมันน้อยลงก็จะช่วยให้ควบคุมน้ำหนักได้ค่ะ และการทานผลไม้เล็กน้อยทุกวันเป็นการเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้กับร่างกาย อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้รับวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยจากผลไม้ ซึ่งดีต่อสุขภาพ ดังนั้นการลดความอ้วนที่ดีเราจึงควรกินผลไม้ได้เป็นบางชนิดที่ไม่หวานมาก แต่ควรลดอาหารพวกแป้งและน้ำตาลลง โดยเฉพาะแป้งที่ขัดสี แป้งข้าวขาว ก๋วยเตี๋ยว พาสต้า ขนมปังขาว เพื่อให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงเกินไป และไม่ทำให้อ้วนค่ะ

    นมถั่วเหลือง ดื่มได้ ไม่อ้วน?

นมถั่วเหลืองและเต้าหู้ได้รับความนิยมในฐานะ ที่เป็นเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดี ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ช่วยลดอาการหลังหมดประจำเดือน และอาจช่วยป้องกันมะเร็งเต้านมได้อีกต่างหาก ในเรื่องของการลดความอ้วน นมถั่วเหลืองกลายเป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญ เพื่อแทนโปรตีนจากเนื้อสัตว์ที่สาวๆ มักจะงด หรือทานน้อยลง โปรตีนจากนมถั่วเหลืองนั้นย่อยง่ายกว่าเนื้อสัตว์มากค่ะ แต่จริงๆ แล้ว นมถั่วเหลืองช่วยให้เราไม่อ้วนได้จริงหรือไม่?

        การศึกษาจากประเทศญี่ปุ่นหลายรายงานพบว่า การกินผลิตภัณฑ์ถั่วเหลืองมากๆ (แบบที่หลายๆ สูตรแนะนำให้ทานแทนน้ำเปล่าก็มี) จะรบกวนการทำงานของต่อมไทรอยด์ ส่งผลทำให้ทำให้เพลีย หงุดหงิดง่าย และน้ำหนักขึ้นได้ กลไกที่เป็นไปได้คือ สารจากถั่วเหลืองไปรบกวนการนำไอโอดีนเข้าเซลล์ (iodine uptake) และในถั่วเหลือง 100 กรัม ยังมีสารไฟโทเอสโทรเจน (phytoestrogen) หรือฮอร์โมนพืชออกฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเพศหญิงอย่างอ่อน ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์ทำให้ประสิทธิภาพในการเผาผลาญสารอาหาร ให้เป็นพลังงานลดน้อยลง ซึ่งเมื่อเผาผลาญได้น้อย พลังงานใช้ไม่หมด ก็แปรสภาพมาเป็นน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นนั่นเอง

        อาหารทุกชนิดบนโลกล้วนมีทั้งประโยชน์และโทษค่ะ บางอย่างที่เป็นประโยชน์ หากกินมากเกินไปย่อมก่อให้เกิดโทษได้อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นการรับประทานอย่างถูกต้อง และถูกวิธี ย่อมส่งผลต่อน้ำหนักที่ควบคุมได้อย่างมีหลักการ ไม่ใช่แค่เชื่อกันไปต่างๆ นานา และก็กินกันผิดๆ ต่อไป แล้วก็มานั่งสงสัยว่าทำไมน้ำหนักไม่ลงเสียที อย่างนี้ก็ต้องแก้ที่แนวคิดก่อนล่ะค่ะ



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #172 เมื่อ: มิถุนายน 23, 2012, 09:24:20 PM »

อยู่ไฟ 5 ชาติกับแม่เอเชีย/ModernMom



ทุกๆ ชาติมีจุดประสงค์ตรงกัน ก็คือ การดูแลให้แม่ตัวอุ่นเข้าไว้ เชื่อว่า หลังคลอดร่างกายของแม่จะเย็น เพราะเสียสมดุล ตรงกับความรู้ทางการแพทย์แผนใหม่ ที่อธิบายว่า การเสียเลือดมากจะทำให้รู้สึกหนาวได้ แม้อยู่ในอากาศร้อน นอกจากนี้ ยังต้องการลดความเจ็บปวด ปวดเมื่อย และช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกายแม่ให้แข็งแรงเป็นปกติเร็วขึ้น และไม่มีปัญหาสุขภาพเมื่ออายุมาก

ญี่ปุ่น
หลังคลอด 1 วัน คุณแม่ต้องให้นมลูกทันที เพื่อให้แม่ฟื้นตัวเร็ว คุณแม่ญี่ปุ่นที่ปฏิบัติตามธรรมเนียมอย่างเคร่งครัด จะไม่อาบน้ำสระผมเลยเป็นเวลา 1 เดือน ยังดีใช้ฟองน้ำขัดตัวแทนได้ มีการบดขิงขัดผิวเพื่อบำบัดรักษา แม่ต้องพักผ่อนมากๆ สมาชิกในครอบครัวจะช่วยดูแลและทำหน้าที่แทน คุณพ่อจะช่วยคุณแม่เลี้ยงลูกด้วย ถึงแม้จะเป็นคนหาเลี้ยงครอบครัวเป็นหลัก งานนี้ต้องช่วยคุณแม่อีกแรงหนึ่ง ถ้ามีพยาบาลผดุงครรภ์ดูแล จะอยู่กับแม่หลายชั่วโมงหลังคลอด และมาเยี่ยมบ้านทุกวันอย่างน้อย 1 สัปดาห์ หลังจากนั้นหลายเดือนก็คอยหมั่นมาเยี่ยมดูอาการ

Do : เมนูอาหารคุณแม่ญี่ปุ่นน่าอร่อยมาก ได้กินซุปร้อนๆ อร่อยๆ อย่างซุปปลาคาร์พกับโมจิ เพื่อกระตุ้นน้ำนม ซุปมิโสะ เพื่อช่วยบำรุงสุขภาพ ต้องกินผักโขม และผักสีเขียวช่วยป้องกันเลือดอุดตัน

Don’t : ห้ามแม่ลูกออกนอกบ้าน 2-4 สัปดาห์ บางท้องถิ่นแม่ต้องอยู่บ้าน 2 เดือน ระหว่างอยู่บ้านถือเป็นเวลาเรียนรู้การดูแลลูกน้อย


เกาหลี

คุณแม่ชาวเกาหลี ดูเหมือนจะสบายมาก ไม่ต้องทำอะไรเลย 21 วัน นอกจากกินกับนอนเท่านั้น แต่ก็ต้องทนรำคาญตัวเพราะไม่ได้อาบน้ำสระผมร่วมเดือน มีความเชื่อว่า แม่อาบน้ำ ลูกจะป่วย แต่ยอมให้อาบน้ำฝักบัวได้ในวันออกจากโรงพยาบาล และต้องทำร่างกายให้อบอุ่นเข้าไว้ ใส่เสื้อแขนยาวกับกางเกงหลายชั้น ห่มผ้าหลายชั้น

Do : แม่จะต้องกินแต่ของร้อน เช่น ชาร้อน และซุปสาหร่ายไป 4 สัปดาห์ เพื่อขจัดพิษและทำความสะอาดร่างกาย คุณแม่เกาหลีต้องห่อตัวนั่งบนพื้นที่ให้ความร้อนคล้ายกับคุณแม่ไทยนอนอยู่ไฟ

Don’t : ห้ามเปิดหน้าต่างให้ลมเข้าห้อง ห้ามโดนลมเย็น ห้ามถูกน้ำเย็น ห้ามกินแอปเปิ้ล ห้ามถือของหนัก ห้ามยืนเป็นเวลานานๆ ห้ามซักผ้าด้วยมือ ห้ามดูโทรทัศน์ หรืออ่านหนังสือพิมพ์นานๆ อากาศอุ่นอย่างไรก็ห้ามออกนอกบ้าน 100 วัน ยกเว้นออกไปหาคุณหมอ


มาเลเซีย

หลังคลอดช่วงเวลา 53 วัน คุณแม่ต้องจำกัดอาหารการกิน จำกัดการติดต่อกับผู้คน กินน้ำน้อยๆ เชื่อว่า การดื่มน้ำมากทำให้ท้องยุบช้า การดูแลแม่หลังคลอดมีทั้งการนวด ประคบร้อน รัดหน้าท้อง กินและใช้สมุนไพรปรับชีวิตประจำวัน กินอาหารร้อน ใช้สมุนไพรจามู และให้แม่อยู่อย่างสงบ

Do : กิน อาหารสมุนไพรต่างๆ เช่น ขิง อาหารไม่มีไขมันจะได้ไม่อ้วน กินขมิ้น หรือน้ำขมิ้นเพื่อให้ท้องยุบลง กินน้ำสมุนไพร Jamu เพิ่มพลัง ทำให้ร่างกายอบอุ่น ขจัดพิษและช่วยดูแลกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากนั้น แม่ต้องนวด 10 ครั้ง เพื่อให้เลือดไหลเวียน ท้องไม่หย่อนยาน ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง กำจัดไขมัน มีการนวดหน้าอกช่วยให้มีน้ำนมเพิ่มด้วย นอกจากนี้ยังมีการใช้ผ้ารัดหน้าท้อง ช่วยให้หน้าท้องคืนสภาพเดิม มีการประคบร้อนด้วยสมุนไพรอย่าง ตะไคร้ ใบเตย และข่า ช่วยขับพิษจากร่างกาย

อาบน้ำสมุนไพรเพื่อเสริมพลัง ขับลม ขจัดกลิ่นน้ำคาวปลา และช่วยให้ฟื้นจากความเจ็บปวด ล้างทำความสะอาด กระชับช่องคลอด มีการใช้น้ำมันทาหน้าท้อง ขา และร่างกายที่รู้สึกอ่อนล้า เชื่อว่าช่วยขับลม ลดความเจ็บปวด และดูแลผิว มีการขัดผิวด้วยไม้จันทน์ ขมิ้นถั่ว และส่วนผสมอื่นเพื่อช่วยให้ผิวนุ่มด้วย

Don’t : ไม่กินอาหารที่ทำให้เกิดแก๊ส ห้ามกินของเย็น สำหรับข้อห้ามบางอย่างที่เคร่งครัดตามความเชื่อมาก ๆ อาจทำให้คุณแม่เครียด ส่งผลให้น้ำนมน้อย รวมถึงการให้ดื่มน้ำน้อยๆ งดอาหาร เช่น ผักผลไม้อาจทำให้ขาดน้ำ และสารอาหารได้ ซึ่งข้อเท็จจริงเหล่านี้ บรรดาคุณแม่คนใหม่จำนวนไม่น้อยที่ไม่สนใจปฏิบัติเลย แต่ขณะเดียวกัน ภูมิปัญญาโบราณยังมีเรื่องดีๆ ต่อสุขภาพกับแม่อยู่บ้าง ทางที่ดี เราจึงควรเลือกประนีประนอมกับบางสิ่งบางอย่างที่ไม่ขัดกับวิถีชีวิตของแม่จน เกินไป เพื่อให้ภูมิปัญญาโบราณกับชีวิตสมัยใหม่ เดินเคียงข้างไปด้วยกันได้ค่ะ


อินเดีย

คุณแม่คนใหม่ต้องอยู่ในข้อกำหนดหลังคลอดประมาณ 40-60 วันตามความเชื่อ คุณแม่จะได้รับการนวด Maalish ซึ่งเป็นการนวดทั้งตัววันละ 1 ครั้งเพื่อคลายความอ่อนล้า และช่วยให้เลือดไหลเวียนดี ถ้าผ่าคลอดจะนวดเฉพาะขา แขน ไหล่ และศีรษะ

Do : อาหารที่คุณแม่ชาวอินเดียต้องกินเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น คือ น้ำเต้า ซึ่งเชื่อว่าช่วยเพิ่มน้ำนม กินใบพลูหลังอาหารทุกมื้อช่วยย่อย กินเนยที่เรียกว่า Ghee เชื่อว่า เพื่อเรียกพลังคืนมา และช่วยสร้างกล้ามเนื้อ ดื่มนมอัลมอนด์ ดื่มนมกระเทียม น้ำยี่หร่า ชาผักชีลาว น้ำข้าวบาร์เล่ย์และยี่หร่า น้ำโหระพา น้ำขมิ้นที่ทำใหม่ เพื่อเพิ่มน้ำนม และแนะนำให้กินพริกไทยดำแทน อาหารที่เชื่อว่ากินแล้วมีลมในท้องมากอย่างหัวหอม และขนุนต้องงดหมด

Don’t : งดอาหารที่เชื่อว่าจะทำให้ร่างกายเย็น เช่น ผลไม้ น้ำผลไม้ และน้ำอัดลม พวกพริกเขียว หรือพริกแดงย่อยยาก นอกจากนั้น คุณแม่ชาวอินเดีย บอกต่อกันมาว่า ถ้าเชื่อตามคำแนะนำและข้อห้ามเหล่านี้ จะช่วยให้ไม่มีปัญหาปวดข้อ ปวดศีรษะ หรือปวดเมื่อยตัวเมื่ออายุมากขึ้น


จีน

หนึ่งเดือนหลังคลอด แม่สามีชาวจีนจะเป็นผู้ดูแลลูกสะใภ้ให้สวมหมวกให้ศีรษะอุ่น ใส่เสื้อผ้า และห่มผ้าห่มหนาๆ หลายชั้น จะร้อนแค่ไหน มือและเท้าห้ามออกนอกผ้าห่ม ห้ามสระผม ห้ามอาบน้ำ ห้ามล้างมือล้างเท้า ใช้การเช็ดตัวด้วยน้ำร้อน แอลกอฮอล์ และเกลือแทนใช้น้ำอุ่นจัดๆ แปรงฟัน และล้างหน้า

Do : ดื่มน้ำน้อยแต่ให้กินน้ำซุปเป็นหลัก กินอาหารรสร้อน เช่น ขิง กระเทียม โสม แครอต เห็ด เห็ดแห้ง เนื้อแกะ หมู เป็ด ไก่ ไวท์ วิสกี้ น้ำมันงา พุทราจีน ให้ดื่มเหล้าวันละ 3 ครั้งเพื่อให้เลือดไหลเวียนดี และยังให้กินปลา และหนังปลาเพื่อช่วยให้แผลหายเร็วด้วย

Don’t : ห้ามกินของเย็น ของเปรี้ยว ผัก ผลไม้ ห้ามดื่มน้ำมาก ให้เลี่ยงแตงกวา ถั่ว เซเลอรี่หรือขึ้นฉ่าย มะเขือ กะหล่ำปลี มะเขือเทศ แตงโม แพร์ กีวี แอปเปิล สับปะรด และชาสมุนไพร เป็นต้น บางท้องถิ่นห้ามดื่มชาเพราะทำให้ลูกร้อง

  
 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 23, 2012, 09:25:54 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #173 เมื่อ: มิถุนายน 28, 2012, 11:07:54 AM »




 Cheesy เก็บขนมดีน้ะ แต่หนูจะเก็บไว้กินวันอื่นไม่ได้กลัวขนมมันน้อยจัย Grin กินมันไม่หมด Azn
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #174 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 06:33:14 PM »

วิธีทดสอบน้ำผึ้งแท้



น้ำผึ้ง นอกจากจะใช้แต่งกลิ่นแต่งรสในอาหาร ขนม และเครื่องดื่มแล้ว ยังใช้เป็นส่วนผสมในยาหลายขนาน รวมทั้งสูตรเสริมความงามอีกหลายสูตร เรียกได้ว่านำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย มีคุณค่าทางอาหารและมีสรรพคุณทางยา แต่การใช้น้ำผึ้งเพื่อให้ได้คุณค่าที่แท้จริงนั้น ต้องเลือกน้ำผึ้งแท้เท่านั้น ขณะที่ความต้องการน้ำผึ้งมีมากกว่าที่ผลิตได้ตามธรรมชาติ จึงมีคนทำน้ำผึ้งปลอมมาหลอกขายกัน วันนี้จึงมีวิธีสังเกตและทดสอบน้ำผึ้งแท้มาฝากค่ะ

สำหรับผู้ที่คุ้นเคยกับการรับประทานน้ำผึ้ง เพียงแค่สังเกตจากลักษณะและลองชิมดู ก็อาจทราบแล้วว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่ แต่สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่ชำนาญ คงเป็นเรื่องยากที่จะชี้ชัดลงไป น้ำผึ้งส่วนใหญ่ที่ขายตามห้าง ยี่ห้อที่มีชื่อเสียงมานาน ก็ไม่น่าจะเอาชื่อเสียงของตัวเองมาเสี่ยง แต่สำหรับน้ำผึ้งที่ชาวบ้านหาบขายหรือวางขายตามร้านค้าตามบ้าน ก่อนจะเลือกซื้อต้องพิจารณาให้ดี

วิธีพิสูจน์น้ำผึ้งแท้ที่เราเคยทราบกันมา เช่น หยดน้ำผึ้งลงบนกระดาษทิชชู น้ำผึ้งแท้จะซึมผ่านช้ามาก แต่น้ำผึ้งปลอมจะซึมผ่านเร็ว หรือทำให้กระดาษทิชชูขาดทะลุ เนื่องจากมีปริมาณน้ำเจือปนอยู่มาก หรือวิธีนำหัวไม้ขีดมาจุ่มน้ำผึ้ง แล้วนำไปจุดที่ข้างกลักไม้ขีด ถ้าเป็นน้ำผึ้งแท้จะจุดไฟติด ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะจุดไฟไม่ติดเพราะจะดูดซึมน้ำเอาไว้ อีกวิธีก็คือหยดน้ำผึ้งลงในแก้วใส่น้ำเย็น น้ำผึ้งแท้จะจมลงก้นแก้วแล้วค่อยละลาย ส่วนน้ำผึ้งปลอมเมื่อหยดลงน้ำจะกระจายตัวทันที

วิธีการต่างๆ เหล่านี้ที่จริงแล้วบอกได้เพียงความเข้มข้นของน้ำผึ้ง แต่บางครั้งก็ไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นน้ำผึ้งแท้หรือไม่ เพราะน้ำผึ้งที่ผสมแบะแซหรือคาราเมล ก็มีความข้นหนืดเหมือนน้ำผึ้งแท้ได้เช่นกัน

การทดสอบน้ำผึ้งว่าเป็นของแท้หรือไม่ ต้องใช้เครื่องมือวิทยาศาสตร์ทดสอบเปรียบเทียบกับค่ามาตรฐาน จึงจะทราบแน่ชัด ไม่มีวิธีการทดสอบง่ายๆ ตามที่เราเคยได้ยินได้ฟังกันมา อย่างไรก็ตาม มีหลักเกณฑ์ที่พอจะใช้สำหรับสังเกตน้ำผึ้งแท้ได้ ดังนี้

- น้ำผึ้งต้องมีสีตามธรรมชาติ ตั้งแต่สีเหลืองอ่อนไปจนถึงสีน้ำตาล แต่ถ้ามีสีเข้มมากจนดำแสดงว่าเป็นน้ำผึ้งที่เก็บมานานแล้ว ซึ่งคุณประโยชน์อาจจะลดน้อยลงไป ควรสังเกตวันหมดอายุที่ข้างขวดด้วย

- น้ำผึ้งต้องใสสะอาด ไม่มีสิ่งเจือปน ไม่มีผึ้งปน ถ้ามีแสดงว่าวิธีการเก็บเกี่ยวไม่ดี

- เขย่าขวดดูฟองอากาศและการแยกชั้น น้ำผึ้งแท้จะมีฟองอากาศใหญ่ ลอยตัวเร็ว เป็นเนื้อเดียวกัน ไม่แยกชั้น ส่วนน้ำผึ้งปลอมจะมีฟองอากาศมาก ลอยตัวช้า และมองเห็นการแยกตัวเป็นชั้น

- น้ำผึ้งแท้จะมีความหนืด เหนียว ไหลช้าเวลาเท แม้จะอยู่ในสภาพอากาศร้อน

- น้ำผึ้งควรมีกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ระบุไว้บนฉลาก เช่น น้ำผึ้งลำไยก็ควรมีกลิ่นลำไย นอกจากนี้ควรมีกลิ่นรสตามธรรมชาติ ไม่บูดเปรี้ยวหรือเป็นฟอง

- สังเกตจากผลึกของน้ำผึ้ง หลายคนเข้าใจผิดว่า น้ำผึ้งแท้นั้นไม่ตกผลึก แต่น้ำผึ้งปลอมตกผลึก ความจริงแล้วทั้งน้ำผึ้งแท้และน้ำผึ้งปลอมตกผลึกได้เหมือนกัน เพียงแต่รูปแบบของผลึกจะแตกต่างกัน ผลึกของน้ำผึ้งแท้จะเป็นเหลี่ยมเป็นแท่งที่แหลมคม ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่มีส่วนผสมของน้ำตาลหรือคาราเมล ผลึกจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู แต่ต้องส่องดูด้วยกล้องจุลทัศน์จึงจะมองเห็น ส่วนน้ำผึ้งปลอมที่ทำจากแบะแซจะไม่มีการตกผลึก น้ำผึ้งที่ตกผลึกก้นขวด อาจเป็นเพราะเก็บไว้นานแล้ว

- ถ้าดูน้ำผึ้งไม่เป็นเลย ก็อาจสังเกตจากฉลากว่า มีชื่อผู้ผลิตและที่อยู่ชัดเจน บริษัทผู้ผลิตน่าเชื่อถือหรือไม่ ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หรือไม่ เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกซื้อ โดย อย. ได้กำหนดให้น้ำผึ้งเป็นอาหารควบคุมเฉพาะ ต้องมีคุณภาพมาตรฐานตามที่กำหนด ห้ามเจือสีและห้ามใช้วัตถุเจือปนอาหารทุกชนิด ภาชนะบรรจุต้องสะอาด แห้ง ปิดสนิท ไม่มีสี ไม่มีสารพิษที่อาจละลายออกมา และสามารถมองเห็นน้ำผึ้งที่บรรจุอยู่ภายในได้ ปริมาณที่บรรจุต้องครบตามที่ระบุไว้ในฉลาก ที่สำคัญ ต้องมีเครื่องหมาย อย. บนฉลาก

เมื่อเลือกซื้อน้ำผึ้งที่ดีได้แล้ว ก็ต้องเก็บให้ดีด้วย ควรเก็บในภาชนะปิดสนิท เก็บในที่เย็น แต่ไม่จำเป็นต้องแช่ตู้เย็น และไม่ควรถูกแสงแดด เพราะจะทำให้น้ำผึ้งเสียคุณค่าทางอาหารก่อนที่เราจะรับประทานหมด ตามอายุการใช้งานแล้วไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 2 ปี

และแม้ว่าน้ำผึ้งจะมีสรรพคุณมากมาย แต่ก็ควรรับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ เพราะหากรับประทานมากเกินไป แทนที่จะได้ประโยชน์ อาจทำให้เกิดโทษได้ โดยเฉพาะถ้าไม่ใช่น้ำผึ้งแท้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #175 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 08:05:53 PM »

ผม…ก็ต้องการอาหารดี ๆ เช่นกัน





ผม…ก็ต้องการอาหารดี ๆ เช่นกัน (Woman Plus)

อย่าคิดว่าแค่สระผมลงครีมนวดจะเพียงพอสำหรับการดูแลเส้นผม โดยเฉพาะผมแห้งเสียและถูกทำลายยิ่งต้องการการดูแลอย่างลึกซึ้ง นอก จากการเลือกผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมที่สามารถแก้ปัญหาผมแห้งเสียได้อย่างตรงจุด แล้ว อาหารก็มีส่วนสำคัญในการดูแลและบำรุงเส้นผมจากภายใน มาดู 3 สุดยอดอาหารบำรุงผมสวยที่คุณต้องไม่พลาด

  ไข่แดง อุดมไปด้วย Biotin หรือ Co-Enzyme R เมื่อทำงานร่วมกับวิตามินบีรวมจะช่วยให้เส้นผมเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง ไม่ฉีกขาดง่าย

  เนื้อปลาแซลมอนและทูน่า อุดมไปด้วย Omega-3 ช่วยบำรุงเส้นผมและหนังศีรษะ พร้อมทั้งป้องกันผมแห้งและเสีย

  หอยนางรม อุดมไปด้วยวิตามินสังกะสี Zinc Vitamin จะช่วยให้รากผมยึดแน่นและแข็งแรง เส้นผมไม่เปราะหรือหักง่าย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #176 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 08:10:07 PM »

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล

ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ลนั้นมีค่ามากกมายไม่เฉพาะแต่ในเนื้อ ของ แอปเปิ้ลเท่านั้น คุณรู้หรือไม่ว่าใน ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล นั้นมีสารฟลาโนอยด์สูงซึ่งเจ้าสารตัวนี้มีหน้าที่ในการปฏิบัติการล้างพิษใน ร่างกายอีกทั้งยังช่วยป้องกันโมเลกุลและต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย ที่สำคัญไปยิ่งกว่า คือ ประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ล ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ซึ่งเป็นปัญหาต้นๆ ของโรคในปัจจุบัน

ฉะนั้นเมื่อรู้ถึงคุณค่าและประโยชน์ของเปลือกแอปเปิ้ลแล้วก็อย่าลืมที่จะ หันมารับประทานเปลือกแอปเปิ้ลกันบ้างนะค่ะ เมื่อเวลาที่ซื้อแอปเปิ้ลทุกครั้งจงอย่าลืมล้าให้สะอาดและอย่าปลอกเปลือก เป็นอันขาดเพราะคุณอาจจะทิ้งสารอาหารอันมีคุณค่าที่ดีต่อสุขภาพร่างกายของ คุณนะค่ะ



นักวิทยาศาสตร์โปแลนด์พบอีกว่า หากกินแอปเปิ้ล ผลไม้ซึ่งเป็นที่ยอมรับกันว่าบำรุงสุขภาพ ให้ได้วันละหนึ่งลูกจะป้องกันไม่ให้เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่และไส้ตรงได้ วารสารวิชา “การป้องกันมะเร็งแห่งยุโรป” แจ้งว่า นักวิจัยได้ศึกษาโดยการให้คนไข้โรคมะเร็งชนิดนั้น กินแอปเปิ้ลประจำวันอาทิตย์ละ 9.5 หน ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ปรากฏว่าโรคสามารถพัฒนาไปได้น้อยลง คนไข้รายที่กินแอปเปิ้ลวันละ 1 ลูก โรคจะทุเลาลงในอัตรา 0.65 ส่วนรายที่กินมากกว่านั้น ปรากฏว่า อันตรายของโรคจะลดลงได้ประมาณถึงครึ่ง

พวกเขาเชื่อว่าคุณสมบัติในด้านป้องกันของมันคงมาจากการที่มีสาร ฟลาโวนอยด์สูงมันทำหน้าที่เป็นตัวล้างพิษมีอยู่อย่างอุดมในเปลือกของ แอปเปิ้ล ช่วยป้องกันโมเลกุลหรืออนุมูลอิสระไม่ให้ทำอันตรายเนื้อเยื่อและยังยับยั้ง อาการตั้งต้นของโรคและการเติบโตกับขยายพันธุ์อย่างรวดเร็วของเซลล์ด้วย นักวิจัยยังได้แนะนำว่า เนื่องจากสารต่อต้านอนุมูลอิสระจะรวมกันอยู่ตามเปลือกมากกว่าในเนื้อถึง 5 เท่า ดังนั้น เวลากินจึงไม่ควรปอกเปลือกล้างน้ำให้สะอาดอย่างเดียวก็พอ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #177 เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2012, 08:54:01 PM »

แผ่นดินไหวทำไมจึงไหว?


แผ่นดินไหวเกิดขึ้นได้อย่างไร? อาจจะเป็นคำถามที่หลายคนอาจไม่รู้คำตอบเหตุการณ์แผ่นดินไหวขนาดใหญ่เมื่อวัน ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ที่เกาะสุมาตรา ประเทศอินโดนีเซียซึ่งก่อให้เกิดคลื่นสึนามิที่สร้างความสูญเสียอย่างมหาศาล ต่อชายฝั่งอันดามันในภาคใต้ของไทยประกอบกับในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมามีการ เกิดแผ่นดินไหวขนาดเล็กอยู่บ่อยครั้งในหลายจังหวัด คงทำให้ผู้คนตื่นตัวที่จะเรียนรู้และติดตามข่าวสารเกี่ยวกับแผ่นดินไหวเพิ่ม มากขึ้น

ก่อนหน้านี้แผ่นดินไหวในประเทศไทยส่วนใหญ่จะมีขนาดเล็กถึงปานกลาง และเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก  จึงทำให้ประชาชนไม่มีการเตรียมพร้อมรับมือ และไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับแผ่นดินไหวนอกจากนี้การรายงานข่าวเกี่ยวกับ แผ่นดินไหวและความเสียหายจากแผ่นดินไหวตามสื่อต่างๆในปัจจุบันนั้นรวดเร็ว และกระจายเป็นวงกว้างจึงทำให้เกิดความตื่นเต้นตกใจไปกับกระแสข่าวบางครั้ง ข้อมูลที่ประชาชนได้รับนั้นอาจจะผิดเพี้ยนไปจากความจริง โดยเฉพาะเมื่อรายงานเกี่ยวกับแผ่นดินไหวเป็นข่าวลือหรือคำทำนายสมาคมธรณี วิทยาแห่งประเทศไทยจึงให้การสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องสู่ ประชาชนเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจที่ตรงกันและเท่าทันกับเหตุการณ์



ก่อนที่เราจะตอบคำถามข้างต้น เราควรทำความรู้จักกับโลกที่เราอาศัยอยู่เป็นอันดับแรกท่านทราบหรือไม่ว่า โครงสร้างของโลกนั้นเปรียบได้กับไข่ไก่ส่วนเปลือกโลก(crust) เปรียบได้กับเปลือกไข่มีความหนาเพียง 16-40 กิโลเมตร ไข่ขาวนั้นเปรียบได้กับเนื้อโลก (mantle) ซึ่งเป็นหินร้อนหนืดกึ่งแข็งกี่งเหลวหนาประมาณ 2,900 กิโลเมตร ซึ่งเคลื่อนตัวช้าๆเป็นกระแสหมุนเวียนอยู่ใต้เปลือกโลก โดยส่วนไข่แดงนั้นเปรียบได้ดังแก่นโลก(core) ซึ่งมีลักษณะเป็นทรงกลมรัศมีประมาณ 3,475 กิโลเมตร เปลือกโลกนั้นเบากว่าเนื้อโลก จึงสามารถลอยตัวและเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ ตามกระแสหมุนเวียนของหินหนืดในชั้นเนื้อโลกเปลือกโลกนั้นแยกออกเป็นหลายแผ่น เรียกกันว่าแผ่นเปลือกโลก ซึ่งประกอบด้วย 15 แผ่น สามารถเปรียบเทียบได้กับเกมส์จิกซอว์วางตัวอยู่บนสสารคล้ายของเหลวหนืด ๆ ที่เคลื่อนตัวเป็นกระแสหมุนเวียนทำให้เกมส์จิกซอว์เคลื่อนตัวได้การคลื่นที่ ของหินหนืดและการหมุนของโลกสามารถทำให้แผ่นเลือกโลกเกิดการชนกัน เคลื่อนที่ออกจากกันหรือเคลื่อนผ่านกันได้


นอกจากนี้ แผ่นเปลือกโลกใต้มหาสมุทรที่หนักกว่าแผ่นทวีปยังสามารถมุดตัวลงไปใต้แผ่น ทวีป เกิดการบีบอัดบริเวณตระเข็บรอยต่อของแผ่นเปลือกโลก การเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลกทำให้เกิดรอยเลื่อนจำนวนมาก รอยเลื่อนคือรอยแตกบนเปลือกโลกที่หินหรือดินสองข้างของรอยแตกเลื่อนในทิศทาง ตรงกันข้ามการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลกเช่นนี้หากมีพลังงานสะสมก่อนการ เคลื่อนตัวมากจะทำให้เกิดการปลดปล่อยความเครียด(หรือพลังงาน)อย่างฉับพลัน เพื่อรักษาภาวะสมดุล ทำให้เกิดคลื่นที่สร้างความสั่นสะเทือนกระจายไปทั่วทุกทิศทาง การสั่นสะเทือนดังกล่าวคือสิ่งที่เราเรียกว่า แผ่นดินไหว


บริเวณรอยต่อของแผ่นเปลือกโลกที่รายรอบมหาสมุทรแปซิฟิก มีชื่อเรียกว่า วงแหวนไฟ เป็นบริเวณที่เกิดแผ่นดินไหวทั้งขนาดเล็กและใหญ่อยู่เป็นประจำ ประเทศที่อยู่ในเขตวงแหวนไฟ เช่น อินโดเนเซีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น สหรัฐอเมริกา ชิลี จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดแผ่นดินไหวสูงประเทศไทยนั้นโชคดีกว่าหลายประเทศ เนื่องจากไม่ได้ตั้งอยู่บริเวณวงแหวนไฟการเกิดแผ่นดินไหวในประเทศไทยจึงมี น้อยและไม่รุนแรงมาก ล่าสุดแผ่นดินไหวขนาด 8.6 ริกเตอร์ที่เกิดขึ้นที่เกาะสุมาตราเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2555 ส่งผลกระทบให้รอยเลื่อนคลองมะรุ่ย ที่พาดผ่านอ่าวภูเก็ต-พังงาเกิดการขยับตัว ก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.3 ริกเตอร์ ที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2555 และก่อให้เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.0 ริกเตอร์ ที่จังหวัดระนองเมื่อวันที่ 4  มิถุนายน 2555 นักธรณีวิทยาบางท่านคาดว่าอาจจะเกิดแผ่นดินไหวได้อีกในอนาคต แต่จะเป็นขนาดเล็กถึงปานกลางคือขนาดไม่เกิน 5.0 ริกเตอร์ ซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบรุนแรงมากนัก

ใน ปัจจุบันการเกิดแผ่นดินไหวเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่มนุษย์ไม่สามารถจะทำนาย ได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด ขนาดเท่าใด หรือที่ไหน จะไปยับยั้งไม่ให้เกิดก็ทำไม่ได้เราควรเรียนรู้ว่าจะอยู่กับภัยธรรมชาติชนิด นี้อย่างไร ประชาชนที่อยู่อาศัยตามแนวรอยเลื่อนในประเทศไทยควรเตรียมตัวรับมือกับแผ่น ดินไหว โดยศึกษาแบบอย่างที่ประชาชนในประเทศที่ตั้งอยู่ในเขตแผ่นดินไหว เช่น ประเทศญี่ปุ่น เป็นตัวอย่าง โดยเริ่มต้นจากการทำความเข้าใจกับธรรมชาติของแผ่นดินไหว และศึกษาหลักปฏิบัติเมื่อเกิดแผ่นดินไหว เมื่อเกิดแผ่นดินไหวควรตั้งสติอย่าตกใจหากแรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวมี ขนาดเล็กและเกิดในระยะสั้น ๆ ไม่กี่วินาทีมักจะไม่สร้างความเสียหาย แต่ถ้าหากการสะเทือนเกิดขึ้นนานเป็นนาทีควรเข้าไปหลบใต้โต๊ะ ถ้าอยู่ชั้นล่างสุดของอาคารควรให้วิ่งออกมายังที่โล่งแจ้ง สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องตั้งสติและปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น




นอกจากนี้ ประชาชนที่อยู่ในเขตพื้นที่แนวรอยเลื่อนที่อาจทำให้เกิดแผ่นดินไหวควรหมั่น ตรวจสอบและปรับปรุงโครงสร้างของบ้านและสิ่งก่อสร้างให้แข็งแรงพร้อมที่จะรับ แรงสั่นสะเทือนจากแผ่นดินไหวได้ หากสิ่งปลูกสร้างมีสภาพแข็งแรงคงทนเมื่อเกิดแผ่นดินไหวก็ขนาดเล็กถึงปานกลาง มักจะไม่ได้รับความเสียหาย หรืออาจจะได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อย


แผ่นดินไหวคงไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนไทยอีกต่อไปแล้ว เราควรเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติให้ได้ ในตอนหน้า เราจะทำอย่างไร เมื่อเกิดแผ่นดินไหว?ร่วมค้นหาติดตามคำตอบในคอลัมภ์ ธรณี มีคำตอบ ในตอนต่อไป…..

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #178 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2012, 10:33:33 AM »

เตรียมตัวเตรียมใจก่อนไปผ่าตัดมะเร็ง


เป็นธรรมดาที่ใครก็ตามที่ต้องถูกผ่าตัดย่อมต้องวิตกกังวลไม่มากก็น้อย ลำพังแค่รู้ว่าเป็นมะเร็งก็ทำเอาอกสั่นขวัญแขวนไปมากพอแล้ว ยิ่งต้องมาถูกผ่าตัดก็ต้องหวั่นไหวและหวาดเสียวเป็นธรรมดา จะมากหรือน้อยก็ขึ้นกับความเข้มแข็งและประสบการณ์ของแต่ละคน สำหรับคนที่จิตใจเข้มแข็งหรือเคยถูกผ่าตัดใหญ่มาก่อน คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรมาก แต่ในคนที่ไม่เคยก็อย่าพึ่งกลัวจนเกินกว่าเหตุ ขอให้คิดในแง่บวกว่าไม่มีอะไรหนักหนาสาหัสกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งแล้ว ตอนนี้ทำใจรับสภาพความเป็นจริงได้แล้ว ถึงเวลาที่ต้องรีบอัญเชิญเจ้าเนื้อร้ายออกจากร่างกายไปอยู่ไกลๆ โดยเร็วซะที

ประการแรกที่สำคัญมากคือเตรียมใจก่อน อย่างที่เขาว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าว ถ้าใจท้อใจไม่สู้ก็จะมีผลทำให้ระบบฮอร์โมนและระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง จะเตรียมกายให้ดีอย่างไรก็เอาชนะโรคร้ายได้ยาก ก่อนอื่นต้องมีความตั้งใจแน่วแน่และเชื่อมั่นในแผนการรักษาที่จะได้รับ ประเภทที่ยังลังเลไม่แน่ใจว่าจะผ่าดีหรือไม่ผ่าดี ก็หาข้อมูลเพิ่มเติมให้มั่นใจเสียก่อน ถ้าตัดสินใจได้ว่าจะผ่าแน่นอนแล้วก็ขอร้องว่าอย่าเบี้ยวหรือเปลี่ยนใจกะทันหันก่อนวันนัดผ่าตัดไม่กี่วัน

โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงพยาบาลรัฐบาลที่มีผู้ป่วยรอคิวผ่าตัดมะเร็งจำนวนมาก เพราะนั่นเท่ากับเป็นการทำบาปโดยไม่รู้ตัวเพราะเป็นการไปทำให้คนไข้ที่เค้าอยากจะรีบผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งออกเร็วๆ ต้องเสียโอกาสไปโดยปริยาย ถ้าตัดสินใจแล้วก็จงทำจิตใจให้สบาย ปลอดโปร่ง ให้กำลังใจกับตัวเองว่าผ่าเที่ยวนี้เอามะเร็งออกหมดแน่

ญาติพี่น้องหรือผู้ใกล้ชิดก็มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย ไม่ควรให้ข้อมูลประเภทฟังเค้าเล่าว่า ไปรักษาอย่างนู้นอย่างนี้แล้วได้ผลดี ทั้งที่แท้จริงแล้วไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนว่าเป็นมะเร็งชนิดเดียวกันหรือระยะเดียวกันหรือไม่ เพราะจะทำให้ผู้ป่วยสับสนเสียโอกาสในการรักษา และที่สำคัญเมื่อผู้ป่วยตัดสินใจแน่วแน่ในการเลือกแนวทางการรักษาที่ชัดเจนแล้ว ก็ควรเคารพการตัดสินใจของตัวผู้ป่วยเองเป็นหลัก

ส่วนการเตรียมตัวนั้น อันที่จริงก็ขึ้นอยู่กับว่าจะผ่าตัดมะเร็งอะไรของอวัยวะไหน ซึ่งมีรายละเอียดในการเตรียมตัวแตกต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วหลักปฏิบัติทั่วไปในการเตรียมตัวก็เช่น รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ ควรดื่มน้ำมากๆ อย่างน้อยวันละ 6-8 แก้วถ้าไม่มีภาวะน้ำเกิน ไตเสื่อมหรือไตวาย ออกกำลังกายเบาๆ สักวันละ 15 นาที งดสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภท รักษาความสะอาดของทุกส่วนของร่างกายโดยเฉพาะความสะอาดของบริเวณที่จะผ่าตัดและที่สำคัญนอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่

สุดท้ายก็คือการเขียนบันทึกช่วยจำที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ต้องทำเป็นกิจวัตรและการปฏิบัติตัวก่อนการรักษาเพื่อให้สามารถทำตามที่แพทย์แนะนำได้อย่างครบถ้วน วันที่จะไปผ่าตัดต้องเตรียมข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอะไรไปบ้าง อีกเรื่องที่มักถูกมองข้ามก็คือเขียนโน้ตเรื่องอื่นๆ ให้คนในบ้านทำภารกิจต่างๆ แทนตัวเอง ของสำคัญอะไรอยู่ตรงไหน เพื่อตัวผู้ป่วยเองจะได้ไม่ต้องเป็นห่วงกังวลใจกับเรื่องสัพเพเหระต่างๆ แต่คงไม่ต้องถึงขนาดสั่งเสียหรือทำพินัยกรรมหรอกนะครับ ก็อย่างที่บอกล่ะครับว่าต้องให้กำลังใจตัวเองว่าผ่าตัดครั้งนี้หายขาดแน่นอน...เชื่อผมสิ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #179 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 09:20:01 PM »

กินเค้กอย่างไร…ไม่อ้วน!!


ผู้หญิงกับเค้กเป็นของคู่กัน ไม่ว่าจะมาล่อใจช่วงเวลาไหนรับรองสาวๆ ก็ควบคุมความอยากของตัวเองไม่ได้ วันนี้เรามีเคล็ดลับการกินเค้กมาฝาก คอนเฟิร์มเลยว่าถึงจะกินเค้กทุกวันก็ไม่มีทางอ้วนแน่นอน



พูดถึงการกินเค้กอย่างไรไม่ให้อ้วน สิ่งแรกที่สาวๆ ควรรู้ไว้เลยว่าต้องกินให้ “ถูกเวลา” ซึ่งช่วงเวลาที่หมาะสมกับการกินเค้กนั้นคือ “ช่วงเช้า” อย่างที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าอาหารเช้ามีความสำคัญต่อร่างกาย ตอนเช้าเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายทำงานมากที่สุด เมื่อเรากินอาหารเข้าไปทำให้สามารถนำอาหารที่เรากินไปใช้ประโยชน์ได้อย่าง เต็มที่

ดังนั้นสาวๆ ที่ชอบกินเค้ก ให้นำมาเป็นอาหารที่ให้พลังงานในมื้อเช้า เพราะในช่วงเช้าระดับน้ำตาลในเลือดจะต่ำ ไม่ว่าใครก็ตามที่ตื่นนอนใหม่ๆ สมองจะไม่สามารถทำงานได้คล่องแคล่วในช่วงเวลานี้ เพราะจะมีการตอบสนองที่ไวต่อน้ำตาลในเลือดต่ำเป็นพิเศษ และน้ำตาลเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย

ถ้าเรากินเค้กในมื้อสาย หรือคิดง่ายๆ ว่าเป็นของว่างระหว่างมื้อในตอนกลางวัน จะทำให้ร่างกายไม่สามารถใช้พลังงานที่ได้จากการกินเค้กหมดไป ร่างกายของจะสามารถใช้พลังงานให้หมดไปด้วยการทำกิจกรรมใน 1 วัน โดยการเคลื่อนไหว ยิ่งเคลื่อนไหวมากร่างกายจะดึงพลังงานจากเค้ก 1 ชิ้นให้หมดไปในช่วงก่อนเที่ยงได้ … แค่ปรับเวลาการกินเค้กมาอยู่ในช่วงเช้า สาวสวยอย่างเราก็ไม่ต้องกลัวอ้วนอีกต่อไป


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 10 11 [12] 13 14 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: