Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75335 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #225 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 10:18:04 PM »

5 ประโยชน์ของแอปเปิ้ลไซเดอร์


5 ประโยชน์ของแอปเปิ้ลไซเดอร์ (Lisa)

 น้ำส้มสายชูจากแอปเปิ้ลมีประโยชน์ในการดูแลความงามให้คุณได้อย่างไม่น่าเชื่อ และนี่คือประโยชน์ที่ว่า

  1. ผิวเนียนนุ่ม เนื่อง จากน้ำส้มสายชูมีฤทธิ์เป็นกรด จึงช่วยปิดรูขุมขนและทำให้ผิวเนียนนุ่มขึ้นได้ เราจึงขอแนะนำให้ผสมน้ำส้มสายชูลงไปในครีมทาตัวเล็กน้อย ครีมทาตัวของคุณจะมีอานุภาพเพิ่มขึ้นทันที

  2. เพิ่มความเงางาม สาว ๆ ส่วนใหญ่มักจะล้างแชมพูกับคอนดิชันเนอร์กันออกไม่หมด เส้นผมจึงหนักและดูไม่เป็นเงางามเท่าที่ควร วิธีแก้คือผสมน้ำส้มสายชูห้าหยดเข้ากับน้ำสะอาดหนึ่งชาม แล้วชโลมลงบนเส้นผมให้ทั่วหลังเสร็จจากแชมพูและคอนดิชันเนอร์ จากนั้น จึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด

3. เยียวยาผิว น้ำ ส้มสายชูมีฤทธิ์ในการต่อต้านการอักเสบ จึงอาจช่วยลดอาการคันบนผิวให้คุณได้ วิธีการคือผสมน้ำส้มสายชูลงไปในน้ำที่อาบเล็กน้อย แล้วลงไปนอนแช่ให้สบายใจ

  4. ขจัดรังแค น้ำ ส้มสายชูมีฤทธิ์ในการต่อต้านเชื้อรา จึงช่วยขจัดปัญหารังแคให้คุณได้ โดยผสมเข้ากับน้ำสะอาดในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน จากนั้น เทใส่กระบอกฉีดน้ำ แล้วใช้ฉีดพรมลงบนเส้นผม

  5. ปรับสภาพผิว น้ำ ส้มสายชูช่วยปรับสมดุลให้ผิวได้ แถมยังทำหน้าที่เหมือนโทนเนอร์สำหรับคนผิวมันด้วย โดยผสมกับน้ำในอัตราส่วนเท่า ๆ กัน แล้วใช้เช็ดหน้าก่อนทามอยส์เจอไรเซอร์


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 20, 2012, 10:22:11 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #226 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 10:19:56 PM »

เลือดกําเดาในเด็ก มาจากไหน?


เลือดกําเดามาจากไหน? (Mother&Care)

ถึงแม้อุณหภูมิในหน้าร้อนจะสูงขึ้นสักเพียงไหน ก็ไม่เคยมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความซนของเจ้าตัวแสบได้แม้แต่น้อย แต่…อ้าว! พูดยังไม่ทันขาดคํา เจ้าตัวเล็กก็ร้องไห้จ้า เพราะตกใจที่จู่ ๆ ก็มีเลือดไหลออกจากจมูก คุณแม่ก็อย่าเพิ่งตื่นตระหนกตามลูกไปนะคะ เพราะหน้าร้อนแบบนี้ เด็ก ๆ เขาก็อาจมีเลือดกําเดาไหลกันได้บ้าง

สาเหตุที่เลือดกําเดาไหล

 ในเด็กผนังเยื่อบุโพรงจมูกจะบาง เมื่อเล่นกลางแจ้งนาน ๆ อุณหภูมิในร่างกายลูกจะสูงขึ้น เส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ อาจเกิดการฉีกขาด ทําให้เกิดอาการเลือดกําเดาไหลได้

 เกิดการกระทบกระเทือน เช่น วิ่งชน หกล้ม หรือแม้แต่การแคะแกะเกาจมูกของเจ้าตัวเล็ก ก็อาจทําให้เลือดกําเดาไหลได้

 ร่างกายขาดวิตามินซี ก็อาจทําให้เลือดกําเดาออกง่ายได้

 อาการป่วยจากระบบทางเดินหายใจ เช่น โรคหวัด ทางเดินหายใจ อักเสบ ไซนัสอักเสบ ที่ต้องรักษาตามอาการ

 ถ้าเลือดกําเดาไหล พร้อมกับมีอาการเลือดออกใต้ผิวหนังเป็นจ้ำ ๆ ตามตัว ควรพาไปพบแพทย์ เพราะอาจเป็นโรคเลือด เช่น ลูคีเมีย

วิธีปฐมพยาบาล

 โดยทั่วไปเลือดกําเดาจะหยุดไหลได้เอง ภายในไม่เกิน 5 นาที ซึ่งคุณแม่สามารถช่วยบรรเทาอาการให้ลูกได้โดยใช้กระดาษชําระม้วนเป็นแท่ง เล็ก ๆ อุดในรูจมูก ให้ลูกนั่งตัวตรง ศีรษะอยู่สูงกว่าระดับหัวใจ และหายใจทางปาก

 หาผ้าห่อน้ำแข็งประคบบริเวณจมูก เพื่อทําให้เลือดแข็งตัว หยุดไหลเร็วขึ้น และส่วนหนึ่งช่วยลดอุณหภูมิร้อนในร่างกาย

ป้องกันไว้ก่อน

 หลีกเลี่ยงการพาลูกไปวิ่งเล่นกลางแจ้งนาน ๆ เมื่ออากาศร้อนจัด ควรแวะพักในร่มหรือตามใต้ต้นไม้บ้าง อุณหภูมิในร่างกายจะได้ไม่สูงมาก เพราะอากาศร้อนนอกจากจะทําให้เลือดกําเดาไหลได้แล้ว ลูกอาจเป็นไข้ได้

 อย่าให้ลูกแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ

 เสริมอาหารวิตามินซีสูง อาจนํามาประยุกต์เป็นเครื่องดื่มผลไม้ปั่น เช่น น้ำส้มปั่น สับปะรดปั่น หรือเต้าฮวยฟรุตสลัด ให้ลูกเป็นของว่างสําหรับหน้าร้อนนี้

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #227 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 10:21:48 PM »

ลูกเราเข้าใจคําพูดแค่ไหน?


ลูกเราเข้าใจคําพูดแค่ไหน? (Mother&Care)

ช่วงนี้ลูกวัยวัยเตาะแตะ สามารถบอกความต้องการ ด้วยท่าทางและคําพูดได้ ก็เพราะเรียนรู้ความหมายสิ่งต่าง ๆ รอบตัวผ่านการได้ยิน จนพัฒนาเป็นการสื่อสารและความเข้าใจ แต่ลูกวัยเตาะแตะ จะรับรู้ เข้าใจแค่ไหน มาฟังคําตอบจาก พญ. ศิรินทร์ญา เทพรักษ์ ค่ะ

ทักษะความเข้าใจ ตามช่วงวัย

1 ปี

สามารถ เข้าใจคําพูด ประโยคหรือคําสั่งง่าย ๆ เช่น หยุดหรืออย่า ที่พ่อแม่พูด สามารถเชื่อมโยงเรื่องราว คําศัพท์ในชีวิตประจําวันต่าง ๆ ได้ เช่น รู้จักชื่อตัวเอง รู้ว่าใครคือพ่อ แม่ และพูดเป็นคําสั้น ๆ เช่น พ่อ แม่ แสดงออกด้วยท่าทาง เช่น พยักหน้า ส่ายหน้าได้

1 ปีครึ่ง

เข้า ใจคําสั่งและทําตามคําสั่งโดยมีท่าทาง (เช่น คุณแม่บอกให้ไหว้คุณหมอ พร้อมทําท่าให้ลูกดู) จนค่อย ๆ ทําตามคําสั่งได้โดยไม่ต้องมีท่าทาง เช่น ทิ้งขยะได้เอง โดยที่คุณไม่ต้องใช้มือชี้ไปที่ถังขยะให้ลูกดู และยังรู้จักบอกอวัยวะของตัวเองได้ถึง 3 ส่วน เช่น ตา หู หรือจมูก พูดคําพยางค์เดียวได้ 10-20 คํา และเลียนเสียงรถหรือสัตว์ร้องได้ สามารถบอกความต้องการและรู้จักการปฏิเสธเป็น เช่น เอา ไม่เอา

2-3 ปี

อายุ 2 ปี สามารถทําตามคําสั่งได้ 2 ขั้นตอน โดยไม่ต้องมีท่าทาง เช่น ทิ้งขยะลงถัง แล้วหยิบผ้ามาให้แม่ รู้หน้าที่ของสิ่งของต่าง ๆ เช่น ช้อนมีไว้ตักข้าว แก้วน้ำมีไว้ดื่ม หรือรู้จักกิริยาของสัตว์ เช่น หมาร้องโฮ่ง ๆ แมวร้องเหมียว ๆ และเข้าใจคําถาม “นี่อะไร” ชี้ภาพได้ถูกต้องเมื่อถามได้ พูด 2-3 พยางค์ เช่น กิน ไปเที่ยว

เมื่อ อายุ 3 ปี ความเข้าใจและการเชื่อมโยงคําศัพท์มีมากขึ้น เข้าใจคําสั่งที่ซับซ้อน เริ่มเข้าใจบุพบท, จํานวน, เพศของตัวเอง รู้จักสี รู้จักเปรียบเทียบ พูดเป็นประโยคสั้น ๆ บอกชื่อตัวเองได้ บอกความต้องการ เล่าเรื่องได้ ตอบคําถามที่ขึ้นต้น “อะไร ที่ไหน” สนใจคําถาม โดยเฉพาะการตั้งคําถามของเด็กวัยนี้ ก็เป็นสิ่งที่พ่อแม่สังเกตได้ เพราะลูกมีความสนใจอยากรู้สิ่งต่าง ๆ มากขึ้น

ปัญหาทางภาษา ที่อาจพบได้

 พูดช้า

พบ ว่ามีถึง 10-15% ในช่วงวัยเตาะแตะ พบในเด็กผู้ชายได้มากกว่าเด็กผู้หญิง 2-3 เท่า ดังนั้น พ่อแม่จึงควรรู้ถึงสาเหตุของการพูดช้า ซึ่งอาจเกิดจากภาวะการได้ยินผิดกปติ ภาวะสติปัญญาบกพร่อง ออทิสติก พัฒนาการผิดปกติ หรือพัฒนาการทางภาษาล่าช้าที่เกิดจากการเลี้ยงดู เมื่อสงสัยว่าลูกพูดช้าควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุ แก้ไขได้ถูกต้องและเหมาะสม

 แบบไหนเข้าข่ายพูดช้า

โดย ทั่วไปเด็กวัยหนึ่งขวบจะเริ่มพูดได้แล้ว หากอายุขวบครึ่ง ยังไม่สามารถพูดเป็นคําที่มีความหมาย ก็ต้องสังเกตว่า สามารถทําตามคําสั่งโดยไม่มีท่าทางได้หรือเปล่า หากขวบครึ่งยังไม่เข้าใจหรือทําตามคําสั่งอย่างง่ายโดยไม่มีท่าทางไม่ได้ อายุ 2 ปี พูดคําที่มีความหมาย หรือเมื่อ อายุ 3 ปี ยังไม่พูดเป็นประโยค จะจัดอยู่ในกลุ่มพูดช้า ควรพาลูกไปปรึกษาคุณหมอ

พูดไม่ชัด

การ พูดชัดของเด็กจะค่อย ๆ พัฒนาตามช่วงอายุ เด็กวัย 2 ปี จะสามารถพูดกับคนที่ไม่คุ้นเคยฟังได้ประมาณครึ่งหนึ่ง เมื่ออายุ 4 ปี จะสามารถพูดชัด ให้ผู้ฟังเข้าใจได้ทั้งหมด ในช่วงแรกที่ลูกเริ่มพูด การออกเสียงพยัญชนะอาจยังไม่ชัดได้ ซึ่งโดยทั่วไปเด็กวัย 2-2.6 ปี อย่างน้อยควรออกเสียงพยัญชนะตัว  ม ย น ห ค อ ได้ชัดแล้ว อายุ  2.7-3 ปี จะพูดพยัญชนะตัว ก บ ป ว ได้ชัด อายุ 3.1-3.6 ปี จะพูดพยัญชนะตัว ท ต ล จ พ ชัด และเมื่ออายุ 5-6 ปี จะออกเสียงตัว ช ร ส ได้แล้ว

ดัง นั้นควรสังเกตว่าลูกอยู่ในช่วงวัยใด ฟังการออกเสียงพูดของลูก หากลูกพูดไม่ชัดมากและยังไม่รู้เรื่อง ผู้ใหญ่ฟังไม่รู้เรื่องและพูดไม่ชัด หลายตัวอักษร งดการออกเสียงบางเสียง ออกเสียงอื่นแทน อาจทําให้เกิดปัญหาทางสังคมกับเพื่อน เรื่องการเรียน หรืออายุเกิน 8 ปียังออกเสียงไม่ชัด ก็ควรปรึกษาคุณหมอ เพื่อตรวจการได้ยินหรืออวัยวะการใช้ลิ้น ว่าผิดปกติหรือเปล่า

ไม่ยอมพูด

มี อยู่บ้างแต่ไม่มาก อาจเกิดจากความวิตกกังวลหรือการปรับตัวของเด็ก ทําให้เด็กพูดเฉพาะกับคนในบ้าน แต่ไม่พูดกับคนแปลกหน้าหรือคนที่ไม่คุ้นเคย คุณแม่ควรค่อย ๆ ให้เวลาลูกปรับตัว ไม่ว่ากล่าว แต่ให้ลูกมีกิจกรรมนอกบ้านกับเด็กคนอื่น ๆ บ้าง

แนวทางการส่งเสริมของพ่อแม่

พูดคุยกับลูกอย่างเป็นธรรมชาติ จากเรื่องใกล้ตัว ชีวิตประจําวัน เช่น คุณแม่ทําอะไรให้พูดไปด้วย เช่น กินข้าวก็บอกว่า “กินข้าวนะลูก” ทําท่าจะป้อนข้าว เพื่อช่วยให้ลูกเชื่อมโยงคําศัพท์สิ่งต่าง ๆ ได้ดี สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่กับลูก ๆ

ควรเป็นตัวอย่างที่ดีในการพูด เช่น ใช้คําพูดที่เหมาะสม ไพเราะ พูดให้ชัดเจน และไม่ล้อเลียนลูกในเรื่องการพูดไม่ชัด แต่ควรให้กําลังใจกับลูก

การอ่านนิทาน โดยใช้เสียงสูง ต่ำ มีรูปภาพประกอบ จะช่วยให้ลูกเรียนรู้เรื่องคําศัพท์ การเชื่อมโยงเรื่องราวได้เป็นอย่างดี

พูดคุย ตั้งคําถามกับลูกอย่างเหมาะสม ควรเป็นคําถามปลายเปิด เช่น “นี่อะไรคะ”

ควรฟังลูกพูดและมีปฏิกิริยาตอบสนอง ด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล ค่อยเป็นค่อยไป ถ้าลูกซักถามก็ต้องทําตัวเป็นคุณแม่ช่างตอบ ถ้ายังตอบคําถามไม่ได้ อาจใช้วิธีหาคําตอบในภายหลัง หรือชวนลูกค้นหาคําตอบด้วยกัน

การสอนลูกเรื่องภาษา ควรดูความพร้อมของลูกตามช่วงวัย เพื่อจะได้ส่งเสริมได้เหมาะสม ไม่มากเกินไป เพราะจะทําให้ลูกเบื่อหน่ายหรือไม่สนใจ

สื่อที่ลูกเรียนรู้ ควรเป็นสื่อที่สื่อสารสองทาง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ เชื่อมโยงเรื่องราวได้ดี เช่น หากลูกจะดูวีซีดี พ่อแม่ควรเลือกสื่อที่เหมาะกับวัยและดูพร้อมกับลูก คอยแนะนํา สอนลูก อย่าให้ลูกใช้เวลากับการดูวีซีดีมากเกินไป การอ่านนิทาน เล่นกับลูก จะส่งเสริมพัฒนาการได้อย่างเต็มที่ค่ะ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #228 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:04:36 PM »

จัดฟัน…เจ็บมั้ย


จัดฟันเจ็บมั้ย (Lisa)

กำลัง ฮิตในหมู่วัยรุ่นกันมากทีเดียวสำหรับ “การจัดฟัน” เพราะช่วยให้ฟันเรียงตัวสวยงามเป็นระเบียบ แถมบางคนยังมีรูปหน้าที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นอีกต่างหาก (อานิสงส์จากฟันสวยนั่นเอง อิอิ)

ว่าแต่หลายคนที่อยากจะจัดฟัน แต่ก็แอบกลัวว่า จัดฟันจะเจ็บมากน้อยแค่ไหนนะ ลองมาฟังคำตอบจาก ทันตแพทย์ รัชภูมิ เผ่าเสถียรพันธ์ กันค่ะ

“เจ็บ แน่นอนครับ แต่ก็แค่ตอนปรับเครื่องมือใหม่ ๆ เท่านั้น ในช่วงที่หลอดเลือดถูกกดจากแรงที่ดันฟันจะทำให้เกิดอาการปวดหรือเสียวฟัน บ้าง ซึ่งเป็นเพียงการเริ่มต้นของกระบวนการเคลื่อนฟัน แต่จะบรรเทาลงใน 3–5 วัน ผู้ป่วยสามารถกินยาแก้ปวด เช่น ยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวดได้ และการเคี้ยวอาหารที่ไม่แข็งและเหนียวจนเกินไปในช่วง 8 ชั่วโมงแรกหลังจากการปรับเครื่องมือ จะสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้เพราะเป็นการขยับฟันบริเวณที่มีแรงกด และกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตรอบรากฟันครับ”

ได้รู้อย่างนี้แล้ว สาว ๆ คนไหนอยากมีฟันสวย ก็ต้องยอมทนเจ็บนิดหน่อยนะจ๊ะ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #229 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:09:32 PM »

อึ้ง! สาวอายุน้อย-สาวออฟฟิศ เสี่ยงมะเร็งเต้านมสูงขึ้น


ชวนหญิงไทยตรวจมะเร็งเต้านมก่อนสาย สาวออฟฟิศ-อายุต่ำกว่า30เสี่ยงเป็นสูง (ไทยโพสต์)

พบ หญิงไทยเป็นมะเร็งเต้านมอายุน้อยลงไม่ถึง 30 ปี ป่วยถึงตาย ส่วนกลุ่มอายุ 20-30 ปีพบก้อนซีสต์มากขึ้น และอาจพัฒนาการเป็นเซลล์มะเร็งได้ในอนาคต แพทย์เตือนเมื่อหน้าอกโตเต็มวัย ควรรีบมาตรวจ เพื่อความแม่นยำร่วมกับการตรวจคลำด้วยตัวเอง ระบุ กลุ่มที่มีประจำเดือนเร็วและหมดช้า หรือกลุ่มที่ไม่ผ่านการตั้งครรภ์ ไม่เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ รวมถึงกลุ่มที่ต้องรับฮอร์โมนวัยทอง เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูง

เมื่อ “มะเร็งเต้านม” กลายเป็นภัยร้ายอันดับหนึ่งคุกคามผู้หญิงทั่วโลกแทนที่มะเร็งปากมดลูก แม้แต่ผู้หญิงไทยเองก็เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวมากขึ้น ขณะที่อายุของผู้เป็นโรคกลับน้อยลง บางรายตรวจพบในระยะร้ายแรงด้วยอายุเพียง 27 ปี ส่งผลให้กิจกรรมรณรงค์ป้องกันมะเร็งเต้านม หรือ Pink Ribbon ประจำเดือนตุลาคมของทุกปีถูกจัดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เว้นแม้แต่ที่โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ที่คิดแคมเปญ “October Go Pink” และดำเนินการมาเป็นปีที่ 3 เพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักและพร้อมใจป้องกันโรคร้าย

ทั้งนี้ พญ.สมสิริ สกลสัตยาทร กรรมการผู้จัดการและเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สมิติเวช จำกัด (มหาชน) ในฐานะประธานเปิดงาน เผยว่า กว่า 2 ปีที่มะเร็งเต้านมกลายเป็นโรคร้ายแรงอันดับหนึ่งสำหรับผู้หญิงแทนที่มะเร็ง ปากมดลูก น่าตกใจว่าผู้หญิงไทยที่ป่วยเป็นโรคนี้แล้วเสียชีวิตมีอายุน้อย ลงเรื่อย ๆ จากเดิม 40 ปีถึงตรวจพบ แต่ปัจจุบันนี้ไม่ถึง 30 ปีก็ป่วยและเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม และยังพบด้วยว่าผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 20 ปีขึ้นไปมีซีสต์ที่เต้านมมาก ในเบื้องต้นอาจเป็นแค่ก้อนแคลเซียมธรรมดา แต่ในระยะยาวมีสิทธิ์พัฒนาการเป็นมะเร็งได้จากปัจจัยเสี่ยงในชีวิตประจำวัน ที่น่าตกใจยิ่งกว่า ในกลุ่มสาวออฟฟิศมีสิทธิ์เป็นมะเร็งเต้านมมากกว่าชาวบ้าน ทว่าในกลุ่มนักโทษหญิงพบว่าป่วยเป็นมะเร็งทั้งสองโรค

“ขอแนะนำให้ผู้หญิงที่มีเต้านมโตเต็มวัย หรือมีอายุประมาณ 20 ปีขึ้นไป เข้ารับการตรวจหามะเร็งเต้านมกับสถาบันการแพทย์ ควบคู่ไปกับการตรวจด้วยตัวเอง เพราะบางครั้งการตรวจหาด้วยตัวเองอาจไม่แม่นยำพอ ซึ่งที่สมิติเวช สุขุมวิท เรามีเครื่องแมมโมแกรมตรวจมะเร็งเต้านมแบบ 3 มิติ หรือ Digital Breast Tomosynthesis ที่มีความละเอียดสูงยิ่งขึ้นกว่าเดิม และได้รับการรับรองทางการแพทย์จากสหรัฐอเมริกา” พญ.สมสิริ กล่าว

พญ.สมสิริ อธิบายต่อด้วยว่า การตรวจหามะเร็งเต้านมด้วยแมมโมแกรมแบบ 3 มิติ เป็นการตรวจที่มีความสามารถสูงในการหามะเร็งเต้านมที่ยังมีขนาดเล็กและไม่มี อาการ โดยเครื่องจะรายงานภาพแบบซอยละเอียดทุก 1 เซนติเมตรไปในแนวเดียวกัน จนเห็นภาพแยกตามตำแหน่งจริงไม่ซ้อนกัน ต่างจากการตรวจแมมโมแกรมแบบธรรมดาที่ภาพมักซ้อนกัน ทำให้การรักษาได้ผลดี ผู้ป่วยมีโอกาสอยู่รอดมากขึ้นและนานขึ้น
ด้าน นพ.วิชัย วาสนสิริ กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดมะเร็งเต้านม พร้อมแนะนำวิธีการหลีกเลี่ยงการเกิดโรคไว้ดังนี้ว่า สาเหตุ การเกิดมะเร็งเต้านมที่แท้จริงทางการแพทย์ยังไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใดกัน แน่ เราจึงมาดูในเรื่องปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เซลล์เกิดการเปลี่ยนแปลงแทน อย่างไรก็ดีเมื่อวิเคราะห์ตามหลักกายวิภาคแล้ว มะเร็งเต้านมมักจะเกิดในสองส่วนด้วยกันคือ ท่อน้ำนมและกระเปาะสร้างน้ำนมที่มีเซลล์เยื่อบุอยู่ข้างใน หากเซลล์ที่ว่ามีการพัฒนาตัวเองแต่ไม่ออกนอกผนังท่อหรือผนังกระเปาะ เราเรียกว่าระยะศูนย์ แต่เมื่อไรที่ลุกลามออกข้างนอกเราจึงจะเรียกมะเร็ง

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านศัลยกรรมจากสมิติเวช สุขุมวิท กล่าวต่อว่า ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ผู้หญิงเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มีทั้งที่เปลี่ยนแปลงได้และเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ได้แก่ 1.อายุมาก 2.กรรมพันธุ์ 3.ผู้ที่ประจำเดือนมาเร็วก่อนอายุ 12 ปี และผู้ที่ประจำเดือนหมดช้าหลังอายุ 55 ปี และ 4.กลุ่มที่ต้องให้ฮอร์โมนวัยทอง โดย 2 ประการหลังเป็นเพราะผู้หญิงสัมผัสกับฮอร์โมนเอสโตรเจนมากเกินควร

“ส่วน ปัจจัยที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ก็คือ 1.การเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ จะช่วยให้เต้านมผลิตฮอร์โมนโปรแลคตินมาแทนที่ฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจน 2.มีบุตรคนแรกก่อนอายุ 30 ปี เพราะระหว่างตั้งครรภ์ร่างกายผู้หญิงไม่ต้องผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน 3.ไลฟ์สไตล์ที่ดี กินอาหารที่มีประโยชน์ 4.งดดื่มแอลกอฮอล์ และ 5.ฟิตแอนด์เฟิร์มด้วยการออกกำลังกาย เนื่องจากฮอร์โมนเอสโตรเจนมาจากไขมัน” นพ.วิชัย ให้ความรู้ทิ้งทาย





บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #230 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:12:19 PM »

ทำอย่างไรเมื่ออยากเลิกกาแฟ


การดิ่มกาแฟเป็นทั้งศิลปะ ความรื่นรมย์ไปจนถึงการเข้าสังคมไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นอาจจะมีบางท่านที่ดื่มจัดจนถึงขั้น “ติด” แล้วอยากจะเลิก แต่พอวันไหนไมได้ดื่มขึ้นอาการออกทันทีอย่างอ่อนเพลีย ไม่มีแรง ง่วงนอนมากจนตาจะปิด ปวดศีรษะ หรือรู้สึกคลื่นไส้ ซึ่งอาการดังกล่าวล้วนเป็นอาการของคนที่ติดกาแฟเข้าให้ซะแล้ว อย่างที่ทราบกันว่าในกาแฟมีสารคาเฟอินซึ่งเป็นสารเสพติดชนิดหนึ่ง จึงไม่แปลกใจเท่าไหร่ที่ผู้ติดกาแฟมากๆ จะถูกจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับการติดสุรา มักจะพบในกลุ่มผู้ดื่มเกินวันละ 2 แก้ว

ส่วนหนึ่งทางผู้เขียนเองก็ดื่มกาแฟวันละสองแก้วเหมือนกัน (ฮา) จึงขอนำเสนอวิธีการเลิกกาแฟมาให้อ่านกันครับ

- ข้อแรก ที่ทำได้ง่ายมานั่นคือพยายามลดปริมาณกาแฟที่เราดื่มทุกวันให้ลด

ลงครึ่งหนึ่ง (หากใจถึงจะมากกว่านั้นก็ได้นะครับ) เพื่อให้ร่างกายได้ปรับชินกับคาเฟอินที่ได้รับ อย่าลืมนะครับว่าเราไมได้รับคาเฟอินแค่จากกาแฟเท่านั้น ไหนจะโกโก้ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลมนี่ยังไม่นับผู้ที่สูบบุหรี่อีก จากนั้นให้เพิ่มปริมาณการพักผ่อน นอนเยอะๆ เพื่อให้ร่างกายสดชื่นไม่มีอาการง่วงหรืออยากจะหลับสักงีบจนไปต้องพึ่งกาแฟ และที่สำคัญคือการบังคับตัวเองให้ดื่มน้ำสะอาดวันละ 1 – 2 ลิตรเพื่อล้างสิ่งสกปรกและสร้างความสดชื่นให้แก่ร่างกาย

- ข้อที่สอง นี่จะบอกว่ายากก็ยากว่าง่ายก็ง่ายนั่นคือพยายามอย่าเข้าไปในร้านกาแฟครับ (ฮา) หากจะนัดแนะคุยอะไรกันข้างนอกบ้านไปนั่งกันที่อื่นเถอะครับเดี๋ยวอดใจไม่ไหว (ทดลองจากประสบการณ์ตรงแล้ว อดไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ)

สำหรับท่านที่มีอาการติดกาแฟหนักถึงขนาดหากไม่ได้ดื่มปวดศีรษะให้รับประทานยาพาราเซตามอลหรือแอสไพริน แต่ไม่ควรรับประทานยาแก้ปวดหัวจากไมเกรนเพราะตัวยาชนิดนี้มีส่วนผสมของคาเฟอีนอยู่ครับ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #231 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:18:47 PM »

สตาร์ทรถ เรื่องง่ายๆที่อย่ามองข้าม

เคยถามไหมว่า ก่อนออกรถคุณ ควรจะทำอย่างไร หลายอาจจะตอบคำถามนี้ในหลากข้อต่างๆมากมาย แต่เรื่องหนึ่งที่ดูแล้วจะขาดไม่ได้ก็คงเป็นในส่วนของการสตาร์ทเครื่องยนต์ ให้ทำงาน เพื่อพร้อมจะขับเคลื่อนไปข้างหน้า  สู่จุดหมายปลายทาง

พวกเราหลายคนที่ขับรถคงจะผ่านการทั้งบิด ทั้งกด เพื่อสตาร์ทรถยนต์แทบจะทุกวัน วันหนึ่งอย่างน้อยก็สองครั้ง  หากแต่เคยคิดไหมครับ ว่าการสตาร์ทรถยนต์ก็ยังต้องการวิธีที่ถูกต้องและเรื่องง่ายๆนี้ก็อาจจะเป็น เรื่องที่ไม่คาดคิด เชื้อเชิญปัญหาให้เข้ามาดูดเงินในกระเป๋าคุณก็เป็นไปได้



เมื่อเร็วๆนี้ ในประเทศไทยมีเคสหนึ่งที่น่าสนใจในการสตาร์ทรถยนต์ไม่ถูกวิธี เมื่อ โตโยต้าได้รับแจ้งจากลูกค้าว่า เกิดไฟโชว์แอร์แบ๊กติดตลอดเวลาขับขี่ และหลังจากลงไปแก้ไขปัญหานี้ก็พบว่า มีความเกี่ยวเนื่องมาจากการบิดกุญแจสตาร์ทรถไม่ถูกต้องทำให้เกิดการค้างหรือ ลัดวงจรของระบบทำให้ไฟโชว์ดังกล่าวเกิดขึ้น

แม้ฟังดูมันไม่น่าจะเป็นเรื่องราวที่น่าจะเกี่ยวกันได้ แต่นี่เป็นข้อเท็จจริงที่หลายคนมองข้าม เพราะกุญแจในรถยนต์ไม่ได้เหมือนกุญแจบ้าน ที่เสียบแล้วก็จะกระทำชำเราบิดพรวดสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ทันที เพราะในช่องกุญแจเหล่านี้นอกจากจะเป็นตัวล็อคต่างๆมากมายแล้ว ยังเป็นสวิทช์หลักในการตัดต่อระบบไฟฟ้าของรถยนต์ด้วย ซึ่งไปลองดูสิว่า วันนี้คุณสตาร์ทรถยนต์ถูกแล้ว หรือยัง

1.รู้จักตำแหน่ง ในการสตาร์ทรถยนต์แต่ละครั้งหลายคนอาจจะคิดว่าเสียบกุญแล้วบิดก้น่าจะจบ แต่ความจริงแล้ว ถ้าคุณลองบิดสวิทช์เหล่านี้ช้าๆก็จะพบว่า มันมีขั้นต่างๆประมาณ 3 ขั้น ด้วยกัน

1.  Lock ตำแหน่งสวิทช์แรกที่เสียบกุญแจเข้าไปซึ่งตำแหน่งคือตำแหน่งดับเครื่อง เช่นเดียวกันมันยังสามารถใช้ล็อคพวงมาลัยได้อีกด้วย




2. ACC  ในตำแหน่งที่ 2 อาจจะดูเหมือนไม่มีความสำคัญมากนัก แต่เป็นตำแหน่งที่คุณสามารถใช้ระบบความบันเทิงต่างๆของรถได้ เช่นระบบปรับอากาศ ,ระบบเครื่องเสียง โดยที่ไม่ต้องสตาร์ทเครื่องยนต์ แต่ไม่ควรทำบ่อยครั้ง เพราะแบตเตอร์รี่อาจจะหมดได้ อาจจะทำให้เสื่อมสภาพไวกว่าปกติ หรือถ้าใช้นานอาจสตาร์ทไม่ติด

3.On ตำแหน่งที่ไฟฟ้าถูกจ่ายเพื่อพร้อมสตาร์ทคล้ายกับ ACC  แต่เมื่อบิดมาตำแหน่งนี้ ระบบ จะทำการสตาร์ทพร้อมทำงานในส่วนมาตรวัดต่าง โดยไฟเตือนต่างๆ จะทำงาน เพื่อแสดงสถานะความพร้อมใช้งาน

4. Start  ตำแหน่ง สุดท้าย ที่เมื่อบิดกุญแจ ไฟฟ้าจะจ่ายไฟไปยังชุดมอเตอร์สตาร์ทเพื่อถีบฟลายวีล หรือล้อช่วยแรงที่ติดอยุ่กับเครื่องยนต์เพื่อเริ่มต้นการทำงาน และจะกลับมาที่ตำแหน่งออกเองหลักจากทำงานแล้ว หากในการสตาร์ทคุณเผลอไปบิดตำแหน่งนี้อีกครั้งหลังเครื่องยนต์ทำงาน อาจจะทำให้ฟันเฟืองของมอเตอร์สตาร์ทเสียหายได้




2.สตาร์ทอย่างไรถึงถูก  ด้วยความที่มันง่ายมาก ทำให้ไม่มีใครใส่ใจในส่วนของระบบกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์มากนัก แต่วันนี้เมื่อเราอยุ่ในช่วงร่วมสมัยลองมาดูสิว่า ต้องทำอย่างไรก่อนสตาร์ทกันบ้าง

1.ตรวจสอบตำแหน่งเกียร์ หลายคนมักลืมที่จะตรวจสอบในเรื่องนี้ก่อนทำการสตาร์ท ซึ่งสำหรับเกียร์อัตโนมัติมันอาจจะไม่ใช่ปัญหามากมายอะไร แต่กับเกียร์ธรรมดา ถ้าคุณลืมว่าเกียร์ถูกเข้าแล้วสตาร์ทเครื่อง เมื่อเริ่มการสตาร์ทรถก็อาจจะพุ่งไปข้างหน้าจนกลายเป็นอุบัติเหตุได้ ในที่สุด

2.ปิดระบบไฟฟ้าทั้งหมด หลายคนมักไม่ปิดระบบต่างตอนลงจากรถและเมื่อกลับขึ้นมาก็สตาร์ทเครื่องยนต์ทำ งาน พร้อมทั้งระบบปรับอากาศ และเครื่องเสียง ซึ่งจริงอยู่ว่าสามารถทำได้ แต่ในทางที่ถูกต้องควรจะปิดก่อน เพื่อให้แบตเตอร์รี่มีกำลังไฟเต็มที่ในการจ่ายไปยังมอเตอร์ไฟฟ้าในการสตาร์ท เครื่องยนต์ ซึ่งจะทำให้มอเตอร์สตาร์ทสึกหรอน้อยลง เช่นเดียวกับชิ้นส่วนการทำงานของเครื่องยนต์ เนื่องจากการสตาร์ทเครื่องยนต์ครั้งแรกอาจจะต้องทำงานหนักเป็นพิเศษ

3.ตรวจสอบสถานะ หลายคนลืมไปว่า เราควรตรวจสอบระบบต่างๆให้พร้อมก่อนสตาร์ทเครื่องยนต์ ซึ่งไม่ได้เสียเวลามากนัก ความจริงแล้วตามหลักที่ถูกต้อง คือ ควรให้ไฟเตือนนั้นขึ้นและดับครบก่อนจึงจะสามารถสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ และเมื่อสตาร์ทไปแล้วนั้น ก็ควรดูว่ายังมีไฟเตือนที่ผิดสังเกตหลงเหลือบนหน้าปัดหรือไม่ ในเรื่องนี้ก็รวมถึงในการตรวจสอบเสียง โดยเฉพาะเสียงในลักษณะเหล็กเคาะหรือเสียดสีกัน หรือความสั่นสะเทือนที่ผิดปกติของเครื่องยนต์ ก่อนออกรถด้ว

            การสตาร์ทเครื่องยนต์อาจจะเป็นเรื่องง่ายและใกล้ชิดกับพวกเราทุกคน แต่ว่า การทำอย่างไรให้ถูกต้องกับเป็นเรื่องที่เรามองข้างมไปโดยปริยาย ซึ่งอาจจะจริงที่ว่า มันไม่เสียง่ายๆแต่การทำในสิ่งที่ถูกต้องก็ช่วยรักษาสภาพไม่เพียงแค่สวิทช์ กุญแจ แต่รวมถึงในส่วนของเครื่องยนต์และอุปกรณ์ที่เกี่ยวโยงอื่นๆ ด้วย

 

 

เรืองโดย ณัฐยศ ชูบรรจง (กูรูบอล)


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #232 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 12:21:32 PM »

ความหมายของดอกไม้ ที่นำมาใช้ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์

ความหมายของดอกไม้ต่างๆ ตามโบราณท่านมีความเชื่อว่า ดอกไม้แต่ละอย่างนั้น ยังมีความหมายในตัวของมันเอง ท่านจึงนำดอกไม้แต่ละชนิด มาถวายสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อที่ว่าผู้ใดนำดอกไม้อะไรมาถวาย การดำรงชีวิตของผู้นั้น จะได้รับผลตามความหมายของดอกไม้ ที่นำมาถวายให้กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นๆ ดอกไม้แต่ละชนิดมีความหมายดังนี้



- ดอกมะลิหอม หมายถึง ความร่มเย็นเป็นสุข

- ดอกพุด หมายถึง พบแต่สิ่งที่ดีๆ สิ่งที่บริสุทธิ์

- เขี้ยวกระแต หมายถึง มองเห็นแต่สิ่งที่ดี

- ดอกบัวหลวง หมายถึง ความสุข, ความสำเร็จ

- กุหลาบแดง หมายถึง ความรักที่สดชื่น

- กล้วยไม้ หมายถึง ทำอะไรราบรื่น

- ไผ่กวนอิม หมายถึง เป็นมิ่งขวัญแก่ตนเอง

- ดาวเรื่อง หมายถึง พบแต่ความรุ่งเรื่อง

- ใบมะตูม หมายถึง มีชื่อเสียง

- ดอกชบา หมายถึง พบความสำเร็จ

- หญ้าแพรก หมายถึง มีความฉลาด

- ดอกลำโพง หมายถึง มีความโด่งดังทั่วฟ้า

- บานไม่รู้โรย หมายถึง รักไม่รู้โรย
ขอบคุณข้อมูลจาก http://board.palungjit.com
ขอบคุณภาพประกอบจาก Photos.com


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #233 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 01:03:16 PM »

5 สุดยอดผักผลไม้ กินแล้วไม่แก่!




5 สุดยอดผักผลไม้ กินแล้วไม่แก่! (Lisa)

เมื่อนาฬิกาชีวิตเดินมาจนขึ้นเลขสาม อะไร ๆ ที่เคยสดใสเปล่งปลั่ง ก็เริ่มส่งสัญญาณแห่งวัยออกมา วันนี้เรามีสุดยอดผักผลไม้ที่สาว ๆ 30+ ควรติดบ้านเอาไว้เสมอมาแนะนำ เพื่อให้คุณเป็นสาวสามสิบยังแจ๋ว

 1.เชอร์รี่

ผลสีแดง ๆ รสเปรี้ยวอมหวานชนิดนี้ อุดมไปด้วยวิตามินซีมากกว่าส้มถึง 30-80 เท่า นอกจากจะช่วยบำรุงผิวพรรณให้สดใส ชะลอความแก่ และช่วยต้านอนุมูลอิสระแล้ว เชอร์รี่ยังช่วยให้สาว ๆ อารมณ์ดีขึ้นอีกด้วย เนื่องจากเชอร์รี่มีสารที่ชื่อว่า แอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นเม็ดสีที่ทำให้ผลไม้ชนิดนี้มีสีสันสดใส และมีสรรพคุณที่สำคัญคือทำให้คนกินมีความสุข ในทางการแพทย์เชอร์รี่จัดได้ว่าเป็น “แอสไพรินธรรมชาติ” เลยทีเดียว

 2.กล้วย

กล้วยทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นกล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม หรือกล้วยอื่น ๆ นอกจากจะหากินง่ายและมีราคาถูกแล้ว ยังเต็มไปด้วยคุณประโยชน์มากมาย ด้วยธาตุโพแทสเซียมที่สูง แต่โซเดียมต่ำ กล้วยจึงช่วยในการลดความดันโลหิต มีธาตุเหล็กสูงที่ช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ทำให้ผิวพรรณของคุณดูเปล่งปลั่งมีเลือดฝาด และปริมาณเส้นใยอาหารที่มีอยู่มากยังช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติด้วย

กล้วยยังมีส่วนประกอบของวิตามินบี 6 ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่ ซึ่งมีผลไปถึงอารมณ์ สำหรับสาว ๆ ที่มีอาการก่อนมีประจำเดือน (PMS-Premenstrual Syndrome) การกินกล้วยจะช่วยให้อารมณ์ดีขึ้น




3.สตรอว์เบอร์รี

อุดมด้วยวิตามินซีและไฟติวเรียนต์ที่จะทำให้อนุมูลอิสระหมดฤทธิ์ ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ให้ระบบประสาท ผ่อนคลายความอ่อนล้าของสมอง และทำให้สมองของคุณกระฉับกระเฉง สามารถจดจำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างแม่นยำ

 4.ผักใบเขียวต่าง ๆ

อายุมากขึ้น ความเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ โดยเฉพาะโรคหัวใจก็เพิ่มมากขึ้นไปด้วย การกินผักใบเขียวทุกวันจะช่วยลดความเสี่ยงโรคนี้ได้ถึง 11 เปอร์เซ็นต์ ทั้งยังช่วยในเรื่องการมองเห็น เนื่องจากมีแคโรทีนอยด์ถึงสองชนิดคือ ลูทีน และซีแซนทิน ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคจอประสาทตาเสื่อมอันเนื่องมาจากวัย และยังอุดมไปด้วยกรดโฟลิกที่จะช่วยให้ร่างกายผลิตเซลล์ใหม่ ๆ ทั้งเป็นแหล่งวิตามินอีและโฟเลตที่ช่วยชะลอปัญหาความจำเสื่อม





5.แอปเปิล

เป็นที่รู้กันมานานแล้วว่าแอปเปิลอุดมไปด้วยสารแอนตี้ออกซิแดนต์ที่ช่วยขจัด ตัวการที่ทำให้เซลล์เสื่อมสภาพ สำหรับสาว ๆ ที่ต้องการสวยสดใส ขอแนะนำให้เลือกกิน “แอปเปิลสีชมพู” ที่มีสารฟิโนลิก ซึ่งจะช่วยยับยั้งการเกิดฝ้า และชะลอความแก่ให้ผิวหนัง และมีสารฟลาโวนอยด์ที่เพิ่มการดูดซึมวิตามินซี และทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแข็งแรงด้วย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #234 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 01:05:45 PM »

เลิฟสตอรี่ตอน…ถั่วเหลืองที่รัก


แต่ก่อนร่อนชะไร สมัยจะกินอะไรยังไงก็ได้นั้น ถั่วเหลืองก็ส่วนถั่วเหลือง …ถั่วเหลืองไปวันๆ…เราก็เป็นเรา ต่างคนต่างอยู่ พอโตขึ้น รู้รักสุขภาพ รู้ดัดจริต ฮิตเทศกาลไปกับผู้คนเขาหน่อย พอถึงหน้ากิน เจทีไร จึงจะคิดถึงถั่วเหลืองเป็นพิเศษ เพราะรู้ว่า เขา มีดีตรงเป็นพืชที่มีโปรตีนสูง สามารถบริโภคทดแทนเนื้อสัตว์ได้ดี
นาน วันไป ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพี่ถั่วเหลืองก็ยิ่งแน่นแฟ้นขึ้น กลายเป็น ความผูกพันแน่นแฟ้นระหว่างครอบครัว เราเริ่มตีสนิทกับบรรดาญาติๆของพี่ถั่วเหลืองที่รักมากขึ้น ทั้งอร่อยและแสนดี อย่างคุณลุงเต้าหู้ยี้ และคุณอาเต้าหู้แบบต่างๆ คุณพี่ซอสหรือซีอิ๊ว คุณป้าเต้าฮวย คุณแม่น้ำ เต้าหู้ คุณน้องฟองเต้าหู้ คุณหลานเต้าฮวยเย็น ฯลฯ ญาติของเขาเยอะค่ะ ล้วนมีคุณค่าทางโภชนาการ เรียบง่าย ไม่หยิ่ง เป็นกัน เอง…อะเฝละเบิ้ล (available) ฮ่ะ…พบเห็นได้ดาษดื่น ราคาย่อมเยา

นอกจากเด่นดังในทางโปรตีนแล้ว พวกเขายังมีแคลเซียมสูง ป้องกันลดความ รุนแรงของโรคกระดูกผุ มี ฮอร์โมนไฟโตเอสโตรเจน ที่ช่วยลดอาการไม่สบายเนื้อสบาย ตัว ร้อนวูบวาบ หงุดหงิด ปริวิตกกังวล ซึมเศร้า ในระยะหมดประจำเดือน ลดอัตราการ เสี่ยงจากมะเร็ง

ดิฉันจึงตัดสินใจพาเขาไปแนะนำกับญาติผู้ใหญ่ฝ่าย หญิง ย่ายายป้าๆของดิฉันท่านให้คบหาดูใจไปนานๆ ทีนี้ก็สืบๆไปถึงตระกูลสิคะ…มีข้อ มูลจากสมาคมถั่วเหลืองอเมริกันแจ้งมาว่า (ดิฉันก็เพิ่งรู้นะคะว่าพวกเขานี่อินเตอร์ มิใช่ย่อย) บรรดาตระกูลถั่วทั้งหมดนี่นะคะ ถั่วเหลืองนี่มี สารไฟโตสเตอรอล มากเป็นอัน ดับสองรองจากถั่วงค่ะ

สำคัญอย่างไรหรือคะ…ไฟโตสเตอรอลจะช่วยลด การดูดซึมของโคเลสเตอรอล เข้าสู่ร่างกายได้ ทำให้ช่วยลดอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ลดการเกิดโรคหัวใจ ก่อนเวลาอันสมควรได้ ที่ น้ำมันถั่วเหลือง ญาติของเขาได้ไปออกโทรทัศน์ในโฆษณาว่าเป็นน้ำมันถั่ว เหลืองที่เติมไฮโดรเจนนั้น ก็เพราะมีผลวิจัยบางอันเชื่อว่า จะช่วยเพิ่มความสามารถใน การลดโคเลสเตอรอลได้นี่ยังไงเล่า

งานวิจัย อื่นๆยังบอกมาอีกว่า สารไฟโตสเตอรอลนี้ จะช่วยบรรเทาอาการถ่าย ปัสสาวะลำบาก ซึ่งมักเกิดในผู้ชายวัยกลางคนและวัยสูงอายุ และช่วยลดอัตราความเสี่ยง ของโรคมะเร็งในลำไส้ใหญ่ ถึงตอนนี้ ญาติผู้ใหญ่ตั้งแต่ทั้งฝ่ายหญิงฝ่ายชายของดิฉัน ต่างก็เห็นดีเห็นงามไป ตามๆกัน

แต่ความรักของเราก็ยังคงดำเนินไปอย่างค่อยเป็นค่อยไปค่ะ ไม่หวือหวาเหมือน อย่างความรักในวัยรุ่น เพราะญาติทางฝ่ายดิฉันทั้งที่เป็นคุณหมอและนักโภชนาการต่างก็เตือนนักเตือน หนาว่า

“ถ้า ต้องการคุณค่าทางโภชนาการจากสารอาหารทุกประเภทอย่างเต็มที่นั้น เรา ควรจะบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะพอควรในแต่ละมื้อ แต่ควรจะบริโภคอย่างสม่ำเสมอเป็น ประจำ”

ท่าน ว่าปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคถั่วเหลืองและผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองนั้น คือ 100 กรัม : 1 วัน (เทียบเท่ากับดื่มนมถั่วเหลืองไม่เกินวันละถ้วยครึ่ง ถ้าเป็นเต้าหู้ ก็เท่ากับครึ่งถ้วย หรือถ้าเป็นเมล็ดถั่วเหลืองอบก็ประมาณวันละ 2 ช้อนโต๊ะ…ประเภท ที่ 7 ปีจะบริโภคสักทีหนึ่ง ถึงบริโภคคราวละกระสอบนี่คงไม่ได้ช่วยอะไรแน่)

ความ รักของเรา (ระหว่างดิฉันกับถั่วเหลือง) จึงมีการเว้นระยะช่องไฟไว้แต่ พองาม คล้ายๆงานศิลปะอย่างหนึ่ง ถึงวันนี้ ดิฉันจึงตัดสินใจได้ว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็จะคิดถึงพวกเขาสม่ำ เสมอเป็นประจำทุกวัน จะคิดถึงแต่พอประมาณ เพื่อเราจะได้มีโอกาสคิดถึงกันไปนานๆไงคะ

เพราะเมื่อสุขภาพดี พวกเราก็มีร่างกายแข็งแรง จิตใจผ่องใส รวมทั้งอายุยืน ยาวขึ้นนั้นปะไร

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #235 เมื่อ: พฤศจิกายน 05, 2012, 01:08:59 PM »

กินขนมขบเคี้ยวเยอะ ไตก็ทำงานเยอะ


สำหรับคนที่รักสุขภาพอย่างหนุ่มๆ สาวๆ 108health ทั้งหลาย ขนมขบเคี้ยวที่เผลอทานกันอยู่ทุกวันนั้น นอกจากจะไม่ให้ผลดีต่อร่างกายแล้ว ยังเข้าไปทำลายสุขภาพของเราได้อีกด้วยน่ะค่ะ ดังนั้นควรจะเลือกทานผัก ผลไม้ที่มีประโยชน์จะดีกว่าค่ะ


กินขนมขบเคี้ยวเยอะ ไตก็ทำงานเยอะ
โดยปกติขนมขบเคี้ยวส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วย แป้ง น้ำมัน  แป้ง น้ำมัน เนย น้ำตาลเป็นหลัก รวมทั้งผงชูรสและเกลือแร่

สารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ จะมีอยู่ค่อนข้างต่ำ เช่น โปรตีน เกลือแร่และวิตามิน ซึ่งสารอาหารเหล่านี้ช่วยส่งเสริมการเจริญเติบโตและพัฒนาสติปัญญา โดยเฉพาะเด็กถ้ารับประทานขนมขบเคี้ยวจนกระทั่งปฏิเสธอาหารมื้อหลักแล้ว อาจเป็นโรคขาดสารอาหารและเป็นโรคอ้วนได้
นักวิจัยจากสถาบันวิจัย โภชนาการ กล่าวต่อว่า พลังงานที่ร่างกายต้องการใน ๑ วันนั้น เด็กต้องการประมาณ ๑,๖๐๐ กิโลแคลอรี่ ผู้ใหญ่ประมาณ ๒,๐๐๐ กิโลแคลอรี่ พูดง่ายๆ คือ รับประทานอาหารมื้อหลักให้ครบ ๓ มื้อ แล้วพยายามรับประทานขนมขบเคี้ยวระหว่างมื้อให้น้อยลง โดยต้องดูปริมาณอาหารที่รับประทาน หากรับประทานมื้อหลักมากแล้ว ขนมระหว่างมื้อให้รับประทานน้อยลง และหันมารับประทานผลไม้ต่างๆ แทนขนมขบเคี้ยวในบางมื้อ ยกเว้นผลไม้ดอง เนื่องจากผลไม้จะอุดมไปด้วยเกลือแร่ วิตามินและมีใยอาหารช่วยให้ท้องไม่ผูก สำหรับเด็กควรอธิบายถึงข้อดีและข้อเสียของการรับประทานขนมขบเคี้ยวมากเกินไป และการเลือกซื้อโดยไม่ไปหลงเชื่อคำโฆษณา รวมทั้งไม่ควรอนุญาตให้เด็กรับประทานขนมขบเคี้ยวก่อนอาหารมื้อหลัก เพราะจะทำให้เด็กอิ่มและปฏิเสธอาหารมื้อหลัก สิ่งที่ตามมาคือทำให้เด็กได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ไม่เพียงพอ เป็นโรคขาดสารอาหาร โรคอ้วนหรือโรคริดสีดวงทวารตามมา เนื่องจากไม่ได้ใยอาหาร ทำให้การขับถ่ายผิดปกติ

“อย่าฝึกให้เด็กรับประทาน ขนมขบเคี้ยวก่อนมื้ออาหารหลัก ให้เขารับประทานอาหารมื้อหลักให้เพียงพอก่อน ถ้าเขาอยากรับประทานขนมขบเคี้ยวก็ให้เขาบ้าง แต่ไม่ใช่ให้รับประทานหมดถุงหมดโหล และเลือกขนมขบเคี้ยวที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ถั่วง จะมีโปรตีนและกรดไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย แต่ถั่วจะมีเกลือใส่อยู่ ที่กังวลคือ ปริมาณเกลือมากเกินไป ถ้ารับประทานมากเกินไปอาจทำให้ความดันโลหิตสูง และในผู้ใหญ่บางคนอาจมีปัญหาเรื่องการย่อย กินถั่วเยอะๆ แล้วจะมีอาการท้องอืด ดังนั้น ต้องระวังในวัยผู้ใหญ่” ดร.รัชนี กล่าว

ดร.รัชนี กล่าวด้วยว่า ในการเลือกซื้อขนมขบเคี้ยวควรตรวจดูวัน เดือน ปี ที่ผลิตและวันหมดอายุ ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะสินค้าลดราคา ควรอ่านฉลากโภชนาการทุกครั้งว่า รับประทานแล้วจะได้รับสารอาหารอะไร ควรหลีกเลี่ยงขนมที่ใส่สีทุกชนิด และตรวจดูลักษณะซองหรือหีบห่อว่ามีรอยรั่วหรือฉีกขาดหรือไม่ ถ้าพบเห็นว่ามีรอยฉีกขาดไม่ควรซื้อมารับประทาน เนื่องจากอาจ
เป็นของเก่าหรือของไม่ได้รับมาตรฐานหรือมีสัตว์มากัดกิน ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

ดังนั้นไม่ว่าคุณจะเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม คุณควรเลือกรับประทานอาหารให้ได้ประโยชน์กับตัวคุณเองมากที่สุด เพื่อตัวคุณเอง และคนที่คุณรักน่ะค่ะ
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #236 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2012, 10:01:28 PM »

ประโยชน์-โทษ ของอาหารรสชาติต่าง ๆ


ตามตำราแพทย์แผนจีน รสชาติของอาหารทุกชนิดมีความสำคัญต่ออวัยวะภายในของร่างกายมนุษย์แทบทั้งสิ้น นอกจากประโยชนที่เราได้รับแล้ว หากทานมากไป อาจได้รับโทษของรสชาติเหล่านั้นมาด้วย


 

มาดูว่าประโยชน์และโทษของอาหารที่เราทานอยู่เป็นประจำนั้น มีอะไรบ้าง

อาหารรสหวาน

ข้อดี - น้ำตาลจัดอยู่ในอาหารจำพวกคาร์โบไฮเดรตที่ให้พลังงานกับร่างกายโดยทันที ส่งผลให้รู้สึกสดชื่น กระปรี้ประเปร่า ช่วยส่งเสริมการทำงานของกระเพาะอาหารและม้าม รสหวานมีสรรพคุณทานยา รักษาอาการปวดเกร็งกล้ามเนื้อ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง และแก้กระหายด้วย

ข้อเสีย - เมื่อทานอาหารที่มีรสหวานมาก ๆ ส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน เพราะการได้รับน้ำตาลมากเกินไป ร่างกายจะไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติได้ นอกจากนี้ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานมากเกินไป ส่งผลให้อ้วน ทำให้เกิดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคไต ฟันผุ เป็นต้น

อาหารรสเผ็ด

ข้อดี - อาหารรสเผ็ดช่วยให้การทำงานของปอดและลำไส้เป็นไปตามปกติ กระตุ้นการไหลเวียนของเลือด ช่วยขับเหงื่อ ขับลมในกระเพาะอาหารและลำไส้ และยังช่วยในกระบวนการเผาผลาญอาหารให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นด้วย

ข้อเสีย - อาหารรสเผ็ดจัดก็สามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองในกระเพาะอาหารเช่นเดียวกัน นอกจากนี้อาหารรสเผ็ดจำพวกเครื่องแกงมักมีส่วนผสมของเกลือ กะปิ ผงชูรส ซึ่งมีโซเดียมอยู่มาก จึงเสี่ยงต่อการเป็นโรคไต และดรคความดันโลหิตสูง


อาหารรสเค็ม

ข้อดี - โซเดียมเป็นส่วนประกอบสำคัญของเกลือ ทำหน้าที่สำคัญในการควบคุมความสมดุลของของเหลวในร่างกาย รักษาความดันโลหิตให้อยู่ระดับปกติ ช่วยควบคุมระดับความเป็นกรด - ด่างของเลือด ช่วยขับร้อน แก้อาหารเลือกออกตามไรฟัน บำบัดอาการท้องเฟ้อ

ข้อเสีย - เมื่อใดที่ร่างกายมีปริมาณโซเดียมจากเกลือสูงกว่าปกติ ร่างกายจะพยายามขับออกทางปัสสาวะ ส่งผลให้เรารู้สึกคอแห้ง กระหายน้ำ ร้อนใน แสบคอ เกิดอาหารบวมน้ำได้ หรือถ้าหากเป็นมากถึงขั้นภาวะขาดน้ำได้ นอกจากนี้ รสเค็มจะทำให้เลือดในร่างกายไหลเวียนช้าทำให้ความดันโลหิตสูง และทำให้หัวใจทำงานหนักขึ้น

อาหารรสเปรี้ยว

ข้อดี - เป็นข้อดีที่ไม่ค่อยมีใครรู้ ความเปรี้ยวช่วยในการกระตุ้นตับและถุงน้ำดีให้ปล่อยน้ำย่อย ช่วยในการดูดซึมอาหารของร่างกาย ฟอกเลือด เป็นยาระบายอ่อน ๆ ช่วยขับเสมหะ และแก้เลือดออกตามไรฟันได้

ข้อเสีย - การกินอาหารรสเปรี้ยวมากเกินไป ทักทำให้ท้องเสีย ร้อนใน และระบบน้ำเหลืองในร่างกายมีปัญหา จึงทำให้แผลหายช้า และเป็นสาเหตุหนึ่งให้เกิดฟันผุด้วย

ทุกอย่างบนโลกนี้ มากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดี การทานอาหารก็เช่นกัน ทานแต่พอดี ร่างกายก็จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่


เรียบเรียงโดย Never-Age.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #237 เมื่อ: พฤศจิกายน 06, 2012, 10:03:20 PM »

อาหารเพิ่มคอลลาเจนให้กับคุณมีอะไรบ้าง


คอลลาเจน เส้นใยที่ทำหน้าที่เป็นเนื้อเยื่อที่ช่วยผสานความยืดหยุ่นของร่างกาย ที่ทำจาก โปรตีนคอลลาเจน ที่มีทั้งความยืดหยุ่น แข็งแรง ที่ยืดเนื้อเยื่อของเราไว้ แต่เมื่อร่างกายเจริญเติบโตขึ้น (ปกติร่างกายจะสร้างคอลลาเจนน้อยลงเมื่ออายุเกิน 20 ปี)


ซึ่งผิวของคุณจะสูญเสีย ความยืดหยุ่นและผลิตคอลลาเจนได้ต่ำลงเรื่อยๆ ซึ่งวิธีที่จะคืนคอลลาเจนให้ร่างกายของคุณได้นั่น นอกจะใช้ครีมบำรุง ฉีดคอลลาเจน (ไม่แนะนำเพราะว่าเจ็บมากกกก) และสุดท้ายการดื่ม คอลลาเจนผงที่กำลังได้รับความนิยม วิธีเหล่านี้สามารถช่วยให้คุณคืนคอลลาเจนให้กับผิวคุณได้ แต่วันนี้เรามีเทคนิคและวิธีธรรมชาติมาแนะนำให้กับหนุ่มๆ สาวๆ กัน

1. ทานอาหารที่มีวิตามินซีสูง เพื่อให้ร่างกายของคุณสามารถเปลี่ยน โพรลีน (Proline) และ ไลซีน (Lysine) ในร่างการของเราไปเป็น คอลลาเจน ซึ่งอาหารที่มีวิตามินซีสูงนั้นได้แก่จำพวกผักและผลไม้ เช่น สตรอเบอรี่, มะเขือเทศ, บลูเบอรี่ และผักใบเขียวต่างๆ

2. ทานอาหารจำพวกเนื้อ, ไข่ขาว, จมูกข้าวสาลี และถั่วง อาหารจำพวกนี้เป็นอาหารที่เต็มไปด้วยโพรลีนและไลซีนเพื่อจะปรับเปลี่ยนไปเป็นคอลลาเจน นอกจากนั้นถั่วงยังเป็นแหล่งอาหารที่เต็มไปด้วยกรดอะมิโนที่เป็นโครงสร้างของคอลลาเจนอีกด้วย

3. ใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากชา เช่นอูหลง หรือจำพวกชาเขียวและชาดำ ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ที่สามารถเรียกคืนคอลลาเจนและชะลอริ้วรอยได้อย่างดี

4. ทานอาหารที่มีส่วนผสมของกระเทียมเพราะกระเที่ยมสามารถช่วยกระตุ้นให้ร่างกายผลิตคอลลาเจน ซึ่งได้รับการยืนยันจาก George Mateljan Foundation ว่าช่วยชะลอการสูญเสียคอลลาเจนในร่างกาย

5. ทานผลไม้ที่มี Phytonutrients และ Anthocyanidins ที่พบมากในผลไม้ตระกูลเบอรี่ พบว่าผลไม้ตระกูลเบอรี่สามารถเสริมสร้างเส้นใยคอลลาเจนเพื่อรักษาผิวและกระชับผิวให้สุขภาพดีขึ้น

นอกจากทานอาหารจากธรรมชาติแล้ว คุณสามารถป้องกันการสูญเสียคอลลาเจนด้วยเวลามีกิจกรรมกลางแจ้งให้ใช้ครีมกันแดดเพื่อป้องกันผิวทั้งป้องกัน UVA และ UVB ที่มีค่าอย่างน้อย SPF 30 หรือถ้าใครไม่สามารถหาท่านอาหารเหล่านี้ได้การกิน อาหารเสริมที่ช่วยสร้าง Collagen ให้ร่างกายได้เช่นกัน ปัจจุบันมีให้คุณเลือกมากมายทั้ง คอลลาเจนผง, เม็ด เลือกได้ตามที่ต้องการ 
 
 


ขอบคุณ  : Reviews_Guy
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #238 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2012, 06:38:18 PM »

ข้อเท็จจริงของการกิน “ไข่“


มีข้อกล่าวถึงไข่ แหล่งโปรตีนราคาถูกไปในทางดีและทางร้ายอยู่ตลอดเวลา …


อะไรคือข้อเท็จจริง…

ไข่เจียวร้อน ๆ กับพริกขี้หนูสด ฟาสต์ฟู้ดคนไทยที่อร่อยสุดยอด หรือไข่ออมเลตแบบอเมริกันเบรกฟาสท์ กินไข่ปลอดภัยหรือทำร้ายหัวใจของเรา ผู้ที่รักสุขภาพมาก มายเริ่มรังเกียจความอร่อยของไข่ เพราะกลัวโคเลสเตอรอลที่มากับไข่แดง บางคนถึงกับแยกกินเฉพาะไข่ขาวปราศจากไข่แดง น่าเสียดาย เรากำลังโยนทิ้งคุณค่าอาหารที่ดีที่สุดในไข่แดงเหมือนกับเรากินข้าวขัดสีสวย งามที่ขัดเอาวิตามินออกไปเสียหมด

ไข่แดงมีโคเลสเตอรอลสูง เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ร่างกายเราจำเป็นต้องมีโคเลสเตอรอลที่เหมาะสมในกระบวนการเผาผลาญอาหาร หล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หากเรากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำตลอดเวลา ร่างกายก็ต้องผลิตออกมาเพื่อสร้างความสมดุล

ถ้าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงกว่าปกติอยู่แล้ว ไข่แดงก็ควรจะหลีกเลี่ยง แต่ทว่าขอให้ระลึกไว้ด้วยว่า ภาวะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โคเลสเตอรอลไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดปัญหา(ส่วนใหญ่เกิดจากความ เครียด ไม่ออกกำลังกายหรือกินมากไป)

การเลือกกินเฉพาะไข่ขาวเพราะ กลัวโคเลสเตอรอล ทำให้คุณพลาดคุณค่าที่ดีของไข่แดง เพราะในไข่แดงมีสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต โคลีน และบรรดาเกลือแร่ต่าง ๆ แคลเซี่ยม เหล็ก

กินไข่ไขมันดีเพิ่ม มหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา สนับสนุนให้กินไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ถูกมากโดยเฉพาะโคลีนที่มีมากในไข่แดง ซึ่งช่วยให้ระบบเซลล์สื่อประสาททำงานได้ดี ช่วยเรื่องความจำ เด็ก ๆ ควรกินสม่ำเสมอเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอล

กินไข่ทำให้โคเลสเตอรอลตัวดี HDL เพิ่มมากขึ้น การมี HDL เพิ่ม มากขึ้นทำให้อัตราส่วนโคเลสเตอรอลรวมกับHDL ดีขึ้น สัดส่วนที่ดีหมายถึงเอาโคเลสเตอรอลรวมหารด้วย HDL ค่าที่ดีควรอยู่ที่ 2-3 ในผู้หญิง และ 3-4 ในผู้ชาย

กินไข่ไม่ทำให้อ้วน จากการติดตามศึกษากลุ่มคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นไข่เทียบกับกลุ่มที่ทานซีเรียลและขนมปัง เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่กินไข่เป็นอาหารเช้าจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยต่ำกว่าอีกกลุ่ม เป็นเพราะโปรตีนจากไข่ร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ไม่เหมือนกับการกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันที่จะย่อยเร็วกว่า จึงทำให้หิวเร็วกว่าและทานซ้ำมากกว่า

แม้ ว่าไข่จะมีโคเลสเตอรอลสูงถึง 200 มิลลิกรัมซึ่งสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้ให้ข้อกำหนดว่าเราควรกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน
มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาว่าการกินไข่มากกว่าวันละฟองไม่ทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจเพิ่มขึ้นแต่ การปฏิเสธไม่กินไข่เลยหรือเลือกกินเฉพาะไข่ขาวไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะ ร่างกายหากได้โคเลสเตอรอลไม่เพียงพอร่างกายเราก็จะพยายามผลิตออกมาเอง ซึ่งอาจจะมากกว่าการกินเข้าไป

การกินแบบพอดี ไข่วันละฟองหรือสัปดาห์หนึ่ง 3-4 ฟอง ไม่ก่อปัญหาให้มากแต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการได้ไขมันส่วนเกินจาก เครื่องเคียงเสียมากกว่า เช่น ไส้กรอกทอดที่อุดมด้วยน้ำมันทั้งนอกและใน ไข่เจียวอมน้ำมัน หรือขนมปังทาเนยจริงหรือเทียม ล้วนเป็นตัวสร้างปัญหาให้มากกว่าตัวไข่เอง

กินไข่ต้มรับรองว่าคุณได้สารอาหารที่ครบคุณค่าและปลอดภัยจาก ไขมันที่มาจากการปรุง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพก็ควรระมัดระวัง แต่สำหรับเด็ก ๆ ไข่คืออาหารที่วิเศษที่คุ้มค่าราคาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #239 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2012, 06:40:10 PM »

กินโปรตีนหนัก เพิ่มภาระตับ-ไต


ก่อนอื่น มาทำความรู้จักโปรตีนกันให้ดีก่อนค่ะ โปรตีน เป็นสารอินทรีย์ ซึ่งเป็นโพลิเมอร์สายยาวของกรดอะมิโน ในแง่โภชนาการ โปรตีนเป็นสารอาหารที่ให้พลังงาน

โดยโปรตีน 1 กรัม ให้พลังงาน 4 แคลอรี และถือเป็นส่วนประกอบของร่างกายที่มีปริมาณมากเป็นอันดับสองรองจากน้ำ โดยเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของเซลล์ในสิ่งมีชีวิต เช่น เอนไซม์ (enzyme) และฮอร์โมน อย่างไรก็ตาม โปรตีนจำเป็นต่อการดำรงชีวิต การเจริญเติบโต และการเสริมสร้างเนื้อเยื่อส่วนที่สึกหรอของมนุษย์และสัตว์ เมื่อรับประทานอาหารที่มีโปรตีนเข้าไป ร่างกายจะย่อยสลายโปรตีนได้ออกมาเป็นกรดอะมิโน และกรดอะมิโนที่ได้นี้ ร่างกายจะนำไปใช้ประโยชน์ต่างๆ ดังนี้…

- สังเคราะห์โปรตีนต่างๆ ขึ้นใหม่ตามที่ร่างกายต้องการ เช่น สร้างกล้ามเนื้อ โครงกระดูก

- สังเคราะห์สารอื่น เช่น เป็นตัวตั้งต้นของการสร้างสารส่งสัญญาณประสาท (Neurotransmitter) สังเคราะห์ฮอร์โมนธัยรอกซิน (Thyroxine) และเอนไซม์ เป็นต้น

- เป็นสารตั้งต้นหรือตัวกลางในการสังเคราะห์กรดอะมิโนตัวอื่นๆ

- ช่วยเพิ่มการสะสมไกลโคเจนและไขมัน

- สร้างกลูโคสในยามที่ร่างกายขาดแคลน

- ให้พลังงานแก่ร่างกาย เมื่อร่างกายขาดคาร์โบไฮเดรตและไขมัน

ส่วนแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสำคัญ ได้แก่ เนื้อสัตว์ นม ไข่ ถั่วต่างๆ เช่น ถั่วเหลือง เมล็ดธัญพืช นอกจากนี้ จุลินทรีย์ เช่น ยีสต์ สาหร่าย เห็ด หรือ หนอน แมลงที่กินได้ ก็เป็นแหล่งของโปรตีนที่ดีเช่นกันคะ

นอกจากนี้ โปรตีนนั้นจัดเป็นสารอาหารจำเป็นที่ร่างกายต้องได้รับจากในปริมาณโปรตีนที่เหมาะสม และจะต้องเป็นโปรตีนที่มีคุณภาพ สำหรับด้านปริมาณ หมายถึง ร่างกายควรได้โปรตีนจากอาหารประมาณ 1 กรัมต่อน้ำหนักตัวหนึ่งกิโลกรัมต่อวัน ในกรณีของหญิงตั้งครรภ์ หญิงให้นมบุตร เด็กทารก ผู้ป่วย คนชรา ควรได้รับปริมาณโปรตีนเพิ่มขึ้น ส่วนด้านคุณภาพ หมายถึง ร่างกายจะต้องได้รับโปรตีนที่มีกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วนในสัดส่วนที่พอเหมาะ โปรตีนจากนม ไข่ ปลา และเนื้อสัตว์ มีกรดอะมิโนทุกกลุ่มในสัดส่วนที่ดี ถือว่ามีคุณภาพสูง

แม้เราจะทราบกันว่า แหล่งโปรตีนที่ดีมาจากนม ไข่ ปลา และเนื้อสัตว์ แต่หลายๆกระแส มักแนะให้เลี่ยงบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ เป็นเพราะเกรงว่า เราอาจจะได้รับไขมันที่อยู่ในนม ไข่ เนื้อสัตว์ที่มากเกินความพอดี ดังนั้น ทางที่ดีควรทานโปรตีนที่มีไขมันต่ำกัน อย่าง นมไขมันต่ำ หรือเนื้อปลา เนื้อสัตว์ที่ไม่ติดมันก็ได้

ถึงตอนนี้ มาดูกันคะว่าการกินโปรตีนมากๆ จะมีผลอย่างไรต่อร่างกาย แน่นอนว่าทุกๆ อย่างต้องการความพอดี การทานโปรตีนมากเกินไปจึงเกิดผลเสียต่อร่างกายได้เช่นกัน โดยจะทำให้กรดอะมิโนในเลือดสูง ตับจะต้องทำงานหนักในการทำลายโปรตีนที่เกิน ไตก็ต้องทำงานหนักในการขับถ่ายกรดยูเรียออกมา อาหารโปรตีนสูงจึงไม่เหมาะกับคนที่ไตเสื่อม-ไตวาย เนื่องจากจะทำให้ไตต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อขับถ่ายของเสียจากโปรตีนในรูปไนโตรเจน-ฟอสฟอรัสที่มีฤทธิ์เป็นกรดมากขึ้น

ในเด็กถ้ากรดอะมิโนสูงขึ้นเรื่อยๆ จะทำลายประสาทหู และประสาทสมอง โดยเฉพาะถ้ากินโปรตีนสูงเกิน 4 กรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน

ในผู้ใหญ่ก็เช่นกัน ถ้ากินมากๆ ประมาณวันละ 2-3 กรัมต่อน้ำหนักตัวต่อวัน โดยกินมากติดๆ กัน 3-4 วัน จะรู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน กระวนกระวาย กระหายน้ำมาก และยังสามารถดูตัวอย่างได้จากชาวอเมริกันที่นิยมทานโปรตีนวันละ 100 กว่ากรัม ก็จะมีปัญหาในเรื่องการเสื่อมสภาพของเซลล์ และกระดูกกร่อน

ในทางตรงกันข้ามหากทานโปรตีนในปริมาณที่น้อยกว่าความต้องการ จะส่งผลต่อร่างกายมากมาย คือ ทำให้การเจริญเติบโตช้า อ่อนเพลีย การสั่งการของสมองช้ากว่าปกติ ขาดตัวตั้งต้นของการสร้างสารส่งสัญญาณประสาท และการสังเคราะห์ฮอร์โมนธัยรอกซิน รวมถึงเอนไซม์ อีกทั้งร่างกายจะมีความต้านทานโรคต่ำ และเกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย เช่น โรคควาชิออร์กอร์ (Kwashiorkor) มักเกิดกับเด็กที่หย่านมใหม่ๆ แล้วไม่ได้รับโปรตีนตั้งแต่อายุยังน้อยๆ พบมากในอายุ 1- 4 ปี เป็นแล้วจะมีอาการบวมไปตามแขน ขา ผมเปลี่ยนสี แห้งและเปราะ ไม่มีกล้ามเนื้อ ถ้ารุนแรงจะมีน้ำคั่งอยู่ในช่องท้อง พุงโร มึนซม ตับโต

และอีกโรคที่เสี่ยงป่วย คือ โรคมารามัส (Marasmus) มักเกิดกับเด็กอายุต่ำกว่า 1 ปี มีลักษณะผอมแห้ง ไม่มีกล้ามเนื้อ ผิวหนังเหี่ยวย่นคล้ายคนแก่ โรคนี้มักจะเกิดร่วมกับโรคควาชิออร์กอร์ จึงเรียกว่า มาราส มิก ควาชิออกอร์

ยังมีนักวิจัยจาก British Heart Foundation ประเทศอังกฤษ ศึกษาพบว่า แม่ตั้งครรภ์ที่ทานโปรตีนน้อย อาจส่งผลต่อการเกิดโรคเบาหวานของลูกเมื่อโตขึ้นได้อีกด้วยนะคะ

มากไปก็ไม่ดี น้อยจนเกินความพอดีก็อันตราย ดังนั้นควรยึดทางสายกลางกันไว้นะคะ อยากมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย จึงควรใส่ใจสิ่งที่เราจะทานเข้าไปกันสักนิดนะคะ อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 14 15 [16] 17 18 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: