Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75305 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #240 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2012, 06:43:28 PM »

ประโยชน์ดีๆ ที่ซ่อนอยู่ในลูกพรุน


ลูกพรุน ... ผลไม้ที่หลายๆ คนรู้จัก ส่วนมากจะในเรื่องช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานดี แต่เจ้าลูกพรุนนี้ยังให้ประโยชน์อีกหลายอย่าง....

- เพียบไปด้วยสารอาหาร วิตามินบี 1 บี 2 บี 3 วิตามินซี โพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัส แมกนีเซียมและสังกะสี

- กากใยของลูกพรุนช่วยลดโคเลสเตอรอลได้ เหมาะสำหรับคนที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับความอ้วน

- มีสรรพคุณเป็นยาระบายอ่อนๆ ช่วยกระตุ้นให้ลำไส้บีบตัว และอุจจาระที่ออกมาก็จะนิ่ม หมดห่วงเรื่องริดสีดวงทวารอีกด้วย

- มีสารต้านอนุมูลอิสระเยอะจนผลไม้อื่นอิจฉา

- น้ำตาลจากลูกพรุนเป็นน้ำตาลฟลุคโตสและซอร์บิทอล ซึ่งเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ร่างกายจึงดูดซึมไปใช้ได้ทันที่กินเข้าไป

- แคลเซียมในผลไม้ชนิดนี้ จะทำให้คุณเป็นสาวกระดูกเหล็ก ฟันแข็งแรง หัวใจแกร่ง ประสาททำงานเป็นปกติ จะคิดอะไรก็คล่อง

- มีวิตามิน บี2 ที่ชื่อไรโนฟลาติน ที่ช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดงดีต่อผิม ผิว เล็บ และช่วยเรื่องการมองเห็น

- อุดมด้วยวิตามินอี ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้สะดวก ยืดอายุของเม็ดเลือดแดง แถมยังบำรุงผิวและบำรุงสายตาให้เห็นชัดในความมืด

- มีธาตุเหล็กสูง
 
 


ขอบคุณ : สาระดี@ plus.google
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #241 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2012, 06:46:37 PM »

เป็นตะคริวบ่อยมากสาเหตุเกิดจากอะไร


ตะคริว เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในนักกีฬาและบ่อยครั้งที่เกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัว ในระหว่างการแข่งขัน ทำให้ต้องออกจากการแข่งขันกลางคันเพราะกล้ามเนื้อที่เป็นตะคริว จะมีอาการหดตัวโดยไม่สามารถบังคับด้วยอำนาจจิตใจ (involuntary) ทำให้เกิดอาการปวดเกร็งและขยับไม่ได้

 



ตะคริวที่อาจเกิดแบ่งได้ 2 ชนิด คือ

1. แบบ tonic เป็นชนิดที่พบได้บ่อย กล้ามเนื้อจะมีการเกร็งอย่างต่อเนื่องในช่วงระยะเวลาหนึ่ง

2. แบบ clonic กล้ามเนื้อจะมีการหดตัวสลับกับการคลายตัวเป็นช่วงสั้น ๆ สลับกันไปอย่างรวดเร็ว


ถึงแม้ว่า…ตะคริวจะเป็นปัญหาคู่กับการเล่นกีฬามาช้านาน แต่ถ้าถามถึงสาเหตุของการเกิดตะคริวแล้ว คงจะมีน้อยคนที่สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน เพราะโดยประสบการณ์ของนักกีฬา โค้ช หรือแพทย์สนาม ส่วนใหญ่แล้วจะมีความเห็นตรงกันว่า บ่อยครั้งที่ตะคริวเกิดขึ้นกับนักกีฬาที่มีความสมบูรณ์ มีความพร้อมในการเล่น โดยที่ไม่มีอาการแสดงที่ผิดปกติให้สังเกตหรือเป็นที่สงสัยมาก่อน ด้วยเหตุนี้จึงไม่สามารถระบุสาเหตุได้แน่นอน อย่างไรก็ตามเป็นที่เชื่อกันว่า ปัจจัยที่จะกล่าวต่อไปนี้อาจเป็นสาเหตุหรือปัจจัยส่งเสริมให้เกิดตะคริวขึ้น ได้แก่


1. การขาดเกลือแร่และอิเลคโตรไลด์ (Electrolyte) ซึ่งเป็นจากการสูญเสียทางเหงื่อ ระหว่างการเล่นกีฬา


2. การเปลี่ยนแปลงของอุณภูมิร่างกายทันที จากร้อนเป็นเย็น หรือในทางที่กลับกัน


3. การที่กล้ามเนื้อขาดเลือดหล่อเลี้ยง ซึ่งอาจเกิดจากการใส่เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ไม่เหมาะสม เช่น กางเกงกีฬาที่มีขอบขากางเกงรัดมาก ทำให้เลือดที่ไปเลี้ยงขาและเท้าลดลง กล้ามเนื้อขาดออกซิเจน และมีการคั่งของของเสีย และก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกล้ามเนื้อจึงเกิดตะคริวขึ้น นอกจากนั้นกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานจะล้า (Over fatigue) ก็มีโอกาสเกิดตะคริวได้ง่าย


นอกจากปัจจัยเหล่านี้แล้ว การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อระหว่างการเล่นกีฬา เช่น ถูกกระแทกโดยตรงที่มัดกล้ามเนื้อ จะทำให้กล้ามเนื้อมีการหดเกร็งซึ่งทำให้เกิดตะคริวได้


การป้องกันตะคริวแบบง่าย ๆ


- ก่อนออกกำลังกายควรมีการยืดกล้ามเนื้อก่อนทุกครั้ง อย่าให้ร่างกายขาดน้ำ สังเกตง่าย ๆ คือ ดูสีน้ำปัสสาวะถ้ายังเข้มเหลือง โอกาสที่คุณลงเล่นกีฬาอะไรก็ตามจะเป็นตะคริวมีสูง


- อย่าใช้อะไรรัดให้แน่นมากไป เช่น ใส่กางเกงขารัดมากไปเลือดไปเลี้ยงไม่เพียงพอ


- สูดหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อให้ร่างกายได้รับออกซิเจนได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย




การปฐมพยาบาลเบื้องต้นเมื่อเกิดตะคริว


เมื่อตะคริวเกิดที่ตำแหน่งใดให้ใช้ของเย็นประคบ อย่าใช้ของอุ่นหรือร้อน เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อบีบเกร็งมากขึ้น ให้ยืดกล้ามเนื้อมัดนั้นออกอย่างช้า ๆ ในทางตรงข้ามกับที่มัดหดตัวเห็นได้ง่าย ๆ เช่น ตะคริวที่น่อง ให้เหยียดขาออก ผู้ช่วยค่อย ๆ ยืดกล้ามเนื้อน่องด้วยการค่อย ๆ กระดกเหยียดข้อเท้า (Passive extension)


โดย นพ.อานนท์ วณิชยาธนากร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #242 เมื่อ: พฤศจิกายน 11, 2012, 06:48:43 PM »

รู้ได้อย่างไร??? ว่า...คุณบริโภคเนื้อไก่ที่ปลอดภัย


เนื้อไก่เป็นเนื้อสัตว์ที่ใครๆไม่ว่าชาติไหนก็กินได้ ค่าที่มีเนื้อนุ่มๆสามารถนำมากินได้เกือบทั้งตัว ทั้งยังให้คุณค่าทางโปรตีน และความอร่อยไม่แพ้เนื้อหมูเลย


จากการที่สื่อต่างๆ ได้นำเสนอข่าวเรื่อง การชำแหละไก่เน่าในจังหวัดนครราชสีมา ทำให้ผู้บริโภคไก่หลายๆ ท่าน รวมถึงคุณผู้อ่านทั้งหลายคงวิตกกังวลกับการเลือกซื้อเนื้อไก่ที่จะนำมาบริโภคว่าเป็นเนื้อไก่ที่ปลอดภัยหรือไม่ วันนี้เราจึงนำวิธีการเลือกซื้อเนื้อไก่ที่ปลอดภัยมาฝากกันค่ะ






• เนื้อไก่ ต้องใช้นิ้วกดดู ถ้าเนื้อไก่ที่สดจะไม่มีรอยบุ๋มสีเขียวหรือช้ำ และต้องไม่มีเมือก




• น่องไก่ เหมาะสำหรับการย่างหรือตุ๋น ในการเลือกซื้อควรหลีกเลี่ยงน่องที่มีสีซีด และมีน้ำสีแดงไหลซึมออกมา เพราะนั่นแสดงว่าน่องไก่ไม่สดค่ะ




• ปีกไก่ เหมาะกับการย่าง ต้มตุ๋นคุณควรเลือกซื้อปีกไก่ที่มีลักษณะบางใสเมื่อจับดูไม่มีเมือก




• อกไก่ หรือสันในไก่ เนื้อส่วนนี้จะค่อนข้างนุ่มเนื้อติดมันน้อย เหมาะกับการผัดหรือทอด ควรเลือกซื้อเนื้อที่มีสีชมพูอ่อนใส




• โครงไก่ ใช้ทำน้ำซุป หรือทำเป็นน้ำแกงจืด ในการเลือกซื้อควรเลี่ยงโครงไก่ที่มีสีคล้ำ และมีกลิ่นเหม็น




หากซื้อเนื้อไก่ที่มีการบรรจุแพ็ค ควรดูความสด สะอาดและสังเกตป้ายบอกระยะเวลาในการบริโภคให้ดี



เนื้อไก่ที่ซื้อมาแล้วต้องนำมาล้างให้สะอาด พักให้สะเด็ดน้ำ หากไม่ใช้ประกอบอาหารทันที ต้องเก็บใส่ถุงเก็บอาหาร หรือกล่องพลาสติกที่มีฝาปิดแล้วแช่ในช่องแข็งในตู้เย็น
ในการปรุงเนื้อไก่ ควรทำให้สุกจริงๆ ไม่ควรรับประทานสุกๆดิบๆ เพื่อป้องกันเชื้อโรคต่างๆ รวมทั้งเชื้อไข้หวัดนกที่แพร่ระบาด



เพียงเท่านี้...ทุกท่านก็จะได้บริโภคเนื้อไก่ที่ปลอดภัยและไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ

และ...สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้ คือ ผู้บริโภคทั้งหลายควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ในแต่ละมื้อ และออกกำลังกายอย่าสม่ำเสมอ

ที่มาจาก : วารสาร You Know ? มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #243 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 05:48:39 PM »

วิตามิน-แร่ธาตุ..ไม่ต้องมาก แต่ขาดไม่ได้



วิตามิน-แร่ธาตุ..ไม่ต้องมาก แต่ขาดไม่ได้


ศุกร์นี้ มาอ่านสารอาหาร สองหมู่สุดท้าย ที่ร่างกายต้องการกันค่ะ


วิตามินและแร่ธาตุ จัดอยู่ในกลุ่มสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน เหมือนพวกคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน แต่มีความจำเป็นต่อร่างกายเป็นอย่างมาก จะพูดกันตรงๆ ว่า ขาดไม่ได้เลยล่ะค่ะ



สำหรับวิตามิน (Vitamin) เป็นสารอินทรีย์ที่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ซึ่งร่ายกายต้องการปริมาณไม่มาก แต่เมื่อขาดวิตามิน จะส่งผลให้เกิดภาวะผิดปกติเนื่องจากความบกพร่องของกระบวนการเคมีในร่างกาย วิตามินที่เราเคยเรียนๆ กันมา และจำเป็นต่อร่างกาย ก็ได้แก่ A, D, E, K หากลองนึกย้อนไปตอนเด็กๆ คุณครูจะให้เราท่องแยกเจ้า 4 ตัวนี้ก่อน แล้วจึงตามด้วยกลุ่มวิตามินบี ก็เพราะว่า เจ้า 4 ตัว แรกนี้นั้นละลายในไขมันนะ ส่วนที่เหลือ B1, B2, B3, B6, B12 และ C เป็นกลุ่มนี้ก็เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำนั่นเองค่ะ



เรามาดูกันดีกว่าค่ะว่า แหล่งของวิตามิน ความสำคัญ และการขาดวิตามินชนิดต่างๆ นั้น จะส่งผลต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง ขอให้ดูจากตารางประกอบบทความค่ะ



หลังจากดูตามตารางกันแล้ว สังเกตไหมคะว่า จริงๆ แล้ว วิตามินก็เป็นสารอาหารที่มีอยู่ในอาหารทั่วๆไป เช่น ผัก ผลไม้ นม ไข่ ตับ ปลา และพืชตระกูลถั่ว ดังนั้น จำไว้นะคะว่า หากใครอาหารพวกนี้อยู่เป็นประจำ จะไม่มีทางขาดวิตามินเป็นอันขาด และถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ไม่เห็นจะต้องไปสรรหาวิตามินเสริมมาทานให้เปลืองสตางค์เลยค่ะ



ครั้งนี้ได้รู้เรื่องราววิตามินชนิดชนิดต่างๆ กันแล้ว ผู้เขียนขอยกเรื่องแร่ธาตุไว้เล่าในสัปดาห์หน้า มาติดตามกันนะคะ.











บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #244 เมื่อ: ธันวาคม 01, 2012, 05:50:10 PM »

น้ำตา...คืออะไร


บางคนเวลาดีใจ หรือเสียใจก็ร้องไห้ เมื่อพูดถึงน้ำตาคงไม่มีใครที่ไม่รู้จัก น้ำใส ๆ ที่ไหลออกจากตาเวลามีอารมณ์เสียใจ ดีใจ หรือเจ็บปวด บางคนบอกว่า เกิดมาไม่เคยเสียน้ำตาให้กับสิ่งใด หารู้ไม่ว่าน้ำตามีการสร้างตลอดเวลาแม้ขณะที่คุณหลับ บางคนอาจไม่เคยเห็นว่าน้ำตาจะมีประโยชน์ตรงไหน ลองดูกันซิว่าคุณรู้จักน้ำตามากน้อยเพียงใด

หน้าที่
หรือความสำคัญของน้ำตามีหลายประการ ได้แก่ การเคลือบให้ผิวกระจกตาเรียบ เพื่อให้เป็นพื้นผิวที่เหมาะสำหรับการมองเห็น การขับล้างสิ่งแปลกปลอมจากเยื่อบุตา หรือกระจกตาในกรณีที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปอยู่ในตาจะรู้สึกได้ชัดเจนในช่วงที่มีฝุ่นผงเข้าตา ทำให้มีน้ำตาไหลออกมามาก การช่วยหล่อลื่นเปลือกตาเวลาที่มีการกระพริบตา นอกจากนี้ยังช่วยนำอ๊อกซิเจนมาเลี้ยงเซลล์กระจกตา และยังมีคุณสมบัติในการต่อต้านเชื้อโรคด้วย เมื่อมีคุณค่ามากมายขนาดนี้ ลองมารู้จักน้ำตาเพิ่มขึ้นอีกหน่อยแล้วกัน

น้ำตาที่ดูใส ๆ อย่างนี้ แท้จริงมีส่วนประกอบ 3 ส่วนด้วยกันคือ
 1. ส่วนที่เป็นไขมัน เป็นชั้นที่อยู่ผิวบนสุด ไขมันนี้ได้จากต่อมที่สร้างไขมัน เราเรียกว่า Meibomian gland ชั้นไขมันนี้ จะมีหน้าที่ในการป้องกันการระเหยของน้ำตา ทำให้น้ำตาคงอยู่ในตานานขึ้น โดยปกติชั้นนี้จะบางมาก ทำให้ไม่เห็นสีของชั้นไขมันนี้
 2. ชั้นกลางเป็นชั้นที่เป็นน้ำ ซึ่งสร้างจากต่อมน้ำตา ทำหน้าที่ให้อ๊อกซิเจนแก่กระจกตา
 3. ชั้นที่อยู่ในสุดติดกับกระจกตา มีลักษณะเป็นเมือก (mucus) ชั้นนี้เป็นส่วนที่สร้างจากเซลล์เยื่อบุของเยื่อบุตา ทำหน้าที่ให้ความชุ่มชื้นกับกระจกตา

จะเห็นว่าน้ำตาใส ๆ นี้ มีส่วนประกอบมากกว่าที่เราเห็น ทั้งสามส่วนที่ประกอบเป็นน้ำตา มีความสำคัญในแต่ละด้าน ซึ่งถ้าขาดชั้นใดชั้นหนึ่งจะทำให้เกิดอาการผิดปกติของตา เช่นถ้าชั้นเมือก หรือ mucus มีน้อย หรือไม่มี อาจทำให้เกิดอาการตาแห้ง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการระคายเคืองได้ เนื่องจากชั้นนี้ทำให้ส่วนที่เป็นน้ำสามารถเกาะติดกับกระจกตา

โดยปกติน้ำตาของคนเรามีการสร้างอยู่ตลอดเวลา หลายคนอาจคิดว่าน้ำตาสร้างเฉพาะตอนที่คนเราร้องไห้ น้ำตาที่ออกมามากในช่วงมีอารมณ์เศร้า หรือเจ็บปวดเรียกกว่า reflex tear เกิดจากการสั่งของระบบประสาท เมื่อมีการกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ดาราเจ้าน้ำตาทั้งหลายสามารถสร้างน้ำตาชนิดนี้ได้มาก รวมทั้งกรณีที่มีฝุ่นผงเข้าตา หรือมีการอับเสบของเยื่อบุตา แต่โดยปกติคนเราจะมีการสร้างน้ำตาตลอดเวลา เราเรียกว่า basic tear ซึ่งเป็นส่วนที่สร้างโดยต่อมที่อยู่บริเวณเยื่อบุตา เป็นตัวที่ช่วยทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่กล่าวข้างต้น

ในกรณีที่มีความผิดปกติทางการสร้างน้ำตา ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ ได้แก่ ในผู้ป่วยที่ขาดไวตามินเอ ความผิดปกติของเยื่อบุตา หรือกระจกตา นอกจานี้สาเหตุที่ทำให้มีการสร้างน้ำตาน้อยกว่าปกติ คือ สาเหตุมาจากความเครียด ซึ่งพบว่าเป็นสาเหตุ 50% ของผู้ป่วยที่มีตาแห้ง โดยเฉพาะในสตรีวัยหมดประจำเดือน ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการตาแดง เคืองตามาก เมื่อเวลาที่ใช้สายตาอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ โดนแดดหรือลม ในกลุ่มนี้การรักษาคือหาสาเหตุที่ทำให้เครียด และการใช้น้ำตาเทียมเข้าช่วย

เราคงจะได้ยินบ่อยๆ ถึงเรื่องของน้ำตาเทียม คำถามยอดนิยมสำหรับน้ำตาเทียมคงจะเป็นคำถามที่ว่า หยอดน้ำตาเทียมบ่อย ๆ จะมีอันตรายหรือไม่ คงต้องมาทำความเข้าใจถึงส่วนประกอบของน้ำตาเทียมว่ามีอะไรบ้าง

โดยปกติประโยชน์ของน้ำตาเทียม โดยหลักคือ การให้ความชุ่มชื้นต่อดวงตา ซึ่งปกติน้ำตาของคนเรจะให้ความชุ่มชื้นเพียงพออยู่แล้ว แต่ในบางกรณีพบว่า ความชุ่มชื้นของตาน้อยกว่าปกติ ได้แก่ การสร้างน้ำตาน้อยลง ในผู้ป่วยบางรายที่ปิดตาได้ไม่สนิท หรือมีโรคของเยื่อบุตาบางอย่างทำให้มีอาการของตาแห้ง การอยู่ในที่ที่มีอากาศแห้งมาก เช่น ในห้องโดยสารในเครื่องบินจะพบว่า อากาศจะแห้งกว่าปกติ ทำให้ต้องมีการบริการน้ำดื่มตลอด หรือในผู้ป่วยที่ใช้เลนส์สัมผัส ก็อาจะทำให้มีความต้องการน้ำตาเพิ่มขึ้น

น้ำตาเทียมจึงประกอบด้วยสารที่สามารถให้ความชุ่มชื้นตา มีความข้นหนืดทำให้สามารถอยู่ในตาได้นาน เช่น methycellulose หรือ polyvinyl alcohol บรรจุอยู่ในขวด ซึ่งสามารถใช้นานหลายวัน ซึ่งจำเป็นต้องการใช้สารการเสีย (preservatives) เพื่อให้สามารถเก็บยาขวดนี้ได้นาน ๆ โดยสามารถป้องกันการปกเปื้อนของเชื้อโรค ที่อาจเข้าไปในขวดขณะหยอดได้ ซึ่งสารกันเสียนี้ก็อาจทำให้มีการระคายเคืองหรือการแพ้ต่อเยื่อบุตา เราอาจสามารถแบ่งชนิดของน้ำตาเทียมตามการใช้สารกันเสียเป็นประเภทต่าง ๆ กัน ได้แก่
 1. น้ำตาเทียมที่มีสารกันเสีย กลุ่ม Benzalkonium chloride เป็นน้ำตาเทียมที่บรรจุในขวดประมาณ 10-15 มล. สามารถใช้หยอดตาต่อเนื่องได้ประมาณ 1 เดือนหลังจากเปิดขวด แต่มีข้อเสียคือ สารกันเสียอาจทำให้เดการแพ้ระคายเคืองต่อเยื่อบุตาเสียเอง หรือการปกเปื้อนในกรณีที่เก็บไว้นาน ๆ
 2. น้ำตาเทียม ชนิดที่ไม่มีสารกันเสียอยู่เลย ได้แก่ น้ำตาเทียมที่บรรจุในกระเปาะเล็ก ๆ ใช้หมดวันต่อวัน ข้อดีคือผู้ป่วยจะไม่มีอาการแพ้เลย แต่มีข้อเสียเมื่อเปิดใช้แล้วจะต้องหมดในหนึ่งวัน และมีราคาสูงกว่าชนิดอื่น
ปัจจุบันมีการพัฒนาน้ำตาเทียมโดยการใช้สารกันเสียที่สามารถสลายตัวเองได้เมื่อถูกแสงแดด เป็นกลุ่ม Nonperoxide Purite ซึ่งมีประโยชน์ในด้านของความประหยัดและการแพ้สารกันเสียได้ โดยสารชนิดนี้จะสลายตัวเมื่อถูกแสง แล้วกลายเป็นเกลือที่ไม่มีผลข้างเคียงต่อเยื่อบุตา

การใช้น้ำตาเทียมให้ได้ประโยชน์เต็มที่ จึงต้องพิจารณาถึงความจำเป็นที่ต้องใช้ว่า มีปัญหาของน้ำตามากน้อยเพียงใด เราสามารถใช้น้ำตาเทียมได้บ่อยครั้งเท่าที่ต้องการ โดยไม่ก่อให้เกิดผลแทรกซ้อน เหมือนยาหยอดตาที่มีสเตียรอยด์ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคต้อหิน หรือต้อกระจกเมื่อใช้หยอดตานาน ๆ แต่ยาหยอดตาทุกชนิดก็อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น การแพ้ หรือการสิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น จึงต้องใช้ความระมัดระวังในการใช้ และปรึกษาจักษุแพทย์ก่อนเสมอ


ที่มา...รพ.รามาธิบดี
women.thaiza
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #245 เมื่อ: ธันวาคม 15, 2012, 07:42:42 PM »

เรื่องของ "กากใย" ใครว่าไม่สำคัญ!!



หลายต่อหลายคนที่เคยประสบปัญหา หรือกำลังมีปัญหา ท้องผูก ถ่ายไม่ค่อยออก นานๆ ถ่ายที จนกลายเป็นโรคริดสีดวงทวารบ้าง มีปัญหาในระบบสำไส้บ้าง แม้แต่คนรู้จักของผู้เขียนบางคน ถึงขนาดถ่ายท้องแค่หนึ่งครั้งต่อสัปดาห์ก็ยังมีนะคะ และปัญหาแบบนี้ นิ่งนอนใจไม่ได้เลยล่ะค่ะ

ทราบไหมว่า สาเหตุหลักๆ ของอาการที่กล่าวไว้ข้างต้นนั้น มาจากอาหารที่เรารับประทานเข้าไปนี่เอง และ "ฮีโร่" ที่ช่วยแก้ปัญหาพวกนี้ได้ก็คือ "กากใย" หรือ "เส้นใยอาหาร (Fiber)" กล่าวอย่างนี้แล้ว คงมีคำถามต่ออีกว่า ถ้ากากใยเป็นฮีโร่ในเรื่องนี้จริง แล้วเราจะทานกากใยอย่างไร กากใยมีอยู่ในอาหารชนิดไหนบ้าง แล้วทานกากใยแค่ไหนจึงจะเพียงพอต่อการขจัดปัญหาได้...ตรงใจผู้อ่านไหมคะ

ดังนั้น มาทำความรู้จักฮีโร่ ที่ชื่อ กากใย กันดีกว่าคะ

กากใย หรือเส้นใยอาหาร บางคนก็อาจเรียกทับศัพท์ว่า ไฟเบอร์ นั้น หมายถึง สารที่ประกอบกันเป็นส่วนต่างๆ โดยเฉพาะผนังเซลล์ของพืช ที่มีโมเลกุลซับซ้อนมากจนน้ำย่อยในร่างกายไม่สามารถย่อยเส้นใยเหล่านี้ได้ เส้นใยจึงไม่ถูกดูดซึม ไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย

เมื่อเรากินพืชผักที่มีเส้นใยอาหารเข้าไป ร่างกายจะทำหน้าที่ย่อยสารอาหารในพืชผัก ซึ่งได้แก่ วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ ส่วนกากใยที่เหลืออยู่หรือที่ร่างกายย่อยไม่ได้นั้น จะผ่านออกไปยังลำไส้ใหญ่ และถูกขับออกมาพร้อมกับอุจจาระ

โดยกากใยจะทำหน้าที่ช่วยเพิ่มปริมาณของเสีย และเมื่อรวมกับอาหารอื่นที่ถูกย่อยและดูดซึมแล้ว ทำให้สามารถเคลื่อนตัวไปตามลำไส้ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยอุ้มน้ำ ซึ่งน้ำเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้อาหารที่ผ่านการย่อยและดูดซึมแล้ว (ขณะนี้คือของเสีย) อ่อนนุ่มขึ้น จึงง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย หรือช่วยให้ถ่ายคล่อง ท้องไม่ผูกนั่นเองค่ะ

แม้กากใยจะไม่ใช่สารอาหารที่ช่วยในการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย เหมือนวิตามิน และ แร่ธาตุ และไม่ได้ให้พลังงานแก่ร่างกาย อย่างคาร์โบไฮเดรต โปรตีน หรือไขมัน แต่กากใยเป็นสิ่งที่จำเป็นเหลือเกินในระบบขับถ่าย ดังนั้น ร่างกายเราก็ขาดกากใยไม่ได้เช่นกันค่ะ

ทีนี้มาอ่านกันต่อนะคะว่า กากใยมีอยู่ในอาหารชนิดไหนบ้าง?

กากใยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มด้วยกัน ทั้งสองกลุ่มมีความสำคัญที่ช่วยทำให้การทำงานของลำไส้และการขับถ่ายเป็นปกติ โดยกลุ่มที่ 1 คือ "กลุ่มละลายน้ำได้" มีลักษณะคล้ายเจลเมื่อจับตัวกับน้ำ แหล่งสำคัญของกากใยกลุ่มนี้ ได้แก่ ข้าวโอ๊ต ถั่วต่างๆ เมล็ดพืชต่างๆ ผลไม้หลากชนิด ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ "กลุ่มไม่ละลายน้ำ" ไม่รวมตัวกับน้ำ สามารถเคลื่อนตัวผ่านระบบย่อยอาหารได้รวดเร็วกว่า และมีประสิทธิผลดีกว่ากลุ่มแรก โดยไปเพิ่มปริมาณให้กับอาหารที่ย่อยและดูดซึมแล้ว (ของเสีย) และทำให้ของเสียนุ่มขึ้น แหล่งสำคัญของไฟเบอร์กลุ่มนี้ ได้แก่ เปลือกข้าวสาลี ซีเรียล ขนมปังแบบไม่ขัดสี ตลอดจนผักประเภทต่างๆ

แล้วทานอย่างไรให้ได้กากใย? ก็ต้องทานอาหารที่มีส่วนประกอบของกากใย ได้แก่ ธัญพืช ผัก ผลไม้ ถั่วเมล็ดแห้ง ถั่วเปลือกแข็ง และเมล็ดพืช โดยกากใยอาหารจากธัญพืชส่วนใหญ่จะอยู่ที่เยื่อหุ้มเมล็ดชั้นนอก ซึ่งจะหลุดออกไปเมื่อถูกขัดสี ดังนั้น ธัญพืชเต็มเมล็ด (wholegrains) ซึ่งเป็นธัญพืชที่ไม่ขัดสีหรือขัดสีแต่น้อย (เช่น ข้าวกล้อง) และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากธัญพืช จึงมีใยอาหารอยู่มาก เห็นไหมคะ จะทานให้ได้กากใยจากพวกธัญพืช ควรเน้นทานแบบไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีตจะดีกว่านะคะ

นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยอีกหลายชิ้นที่ได้พยายามค้นหาประโยชน์ของเส้นใยอาหาร จนปัจจุบันได้คำตอบที่แน่ชัดแล้วว่า เส้นใยอาหารช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ โรคความดันเลือดสูง โรคเบาหวาน โรคอ้วน โรคมะเร็งต่างๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และโรคอื่นๆ อีกหลายโรคเลยล่ะค่ะ

แต่ละวันเราควรทานเส้นใยมากน้อยแค่ไหน? ในทางโภชนาการแนะนำให้ทานเส้นใยอาหารวันละประมาณ 25-30 กรัม แต่ในความเป็นจริงแล้ว คนส่วนใหญ่ทานอาหารที่มีเส้นใยเพียง 2 ใน 3 ของปริมาณที่ร่างกายต้องการเท่านั้น ทางกระทรวงสาธารณสุขจึงพยายามรณรงค์ให้คนไทยทานผลไม้ให้หลากหลาย หากจะคำนวณออกมาเป็นตัวเลขจะดูเป็นเรื่องยุ่งยาก ดังนั้นหลักการง่ายๆ ในการปฏิบัติ เพื่อให้ร่างกายได้รับปริมาณเส้นใยอาหารทั้ง 2 ชนิด ในสัดส่วนที่เหมาะสม คือ...

ควรทานข้าวเป็นอาหารหลัก โดยเฉพาะข้าวกล้องหรือข้าวซ้อมมือ หรือผลิตภัณฑ์จากข้าวที่ไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต เนื่องจากมีกากใยอาหารมากกว่าขนมปังขาวถึง 3 เท่า
ทานผักผลไม้ให้มากๆ และพืชตระกูลถั่วให้หลากหลาย
ควรทานผลไม้ทั้งเปลือก เช่น แอปเปิ้ล องุ่น ฝรั่ง
ทานผลไม้สดแทนการดื่มน้ำผลไม้คั้น เช่น ส้มสด 1 ผล มีกากใยอาหารมากกว่าน้ำส้มคั้นถึง 6 เท่า
พยายามทานนผักที่ทานทั้งต้นและก้านให้มากขึ้น เช่น ผักคะน้า ผักบุ้ง กวางตุ้ง
เติมถั่วต่างๆ ลงในอาหาร เช่น ในสลัด ต้มจืด หรือแกงต่างๆ
ดื่มน้ำมากๆ เพราะเส้นใยอาหารจะทำงานได้ดีต้องมีน้ำช่วย
สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นชินกับการทานผักสด ผลไม้มากๆ มาก่อน ควรจะเพิ่มปริมาณอาหารที่มีกากใยทีละน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้ระบบย่อยอาหารเกิดอาการปั่นป่วน
 

เพียงแค่นี้เราก็จะมีระบบขับถ่ายที่ปราศจากปัญหาท้องผูก อึดอัดเพราะถ่ายไม่ออก ห่างไกลโรคริดสีดวงทวารหนัก และโรคอื่นๆ จากระบบลำไส้แล้วคะ เริ่มใส่ใจกับการเลือกรับประทานอาหารที่มีกากใยกันเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพของเราเอง และคนที่เรารัก อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #246 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 05:39:01 PM »

สวดมนต์ข้ามปีดีอย่างไร







ข้อมูล: สถิติอุบัติเหตุและข้อมูลช่วงเทศกาลปีใหม่
ที่มา: ศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน www.roadsafetythailand.com





บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #247 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 06:28:14 PM »

ไข่ลวกมื้อเช้า..แก้ปัญหาท้องผูก



ไข่เป็นอาหารที่ เพียบพร้อมด้วยโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุต่าง ๆ มากมายหลากหลาย ทั้งราคาก็ถูกปรุงเป็นอาหารอะไรก็ดูน่ากินไปหมด

นอกจากนี้ไข่ยังเป็นอาหารที่เหมาะมากสำหรับคนที่มีปัญหาท้องผูก แต่มีข้อแม้ว่า ต้องรับประทานในช่วงเช้าขณะที่ท้องกำลังว่างเท่านั้น และไข่ที่รับประทานก็จะต้องเป็นไข่ลวก หรือไข่ที่ต้มไม่นาน เพียง 2-3 นาที ในน้ำเดือด ๆ ซึ่งรับรองว่า หากได้รับประทานไข่ต้มดังกล่าวไปสัก 1-2 ฟอง อาการท้องผูกที่ขมวดเป็นเงื่อนมาหลายวัน จะขับถ่ายออกได้อย่างง่ายดายทันที

ทั้งนี้ เพราะไข่ลวกมีเอนไซม์บางอย่างที่จะไปช่วยกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่ทำงาน และช่วยหล่อลื่นให้กากอาหารเคลื่อนตัวไปสู่ปากทวารหนัก ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น

Lisa
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #248 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 06:30:09 PM »

ประโยชน์ของความสุข


คนเราทุกคนย่อมต้องการที่จะมีความสุขในชีวิต นั่นเพราะความสุขช่วยให้เรารู้สึกดี มีความสดชื่น จิตใจเบิกบานสามารถยิ้มให้กับโลกได้ทั้งโลกเลยทีเดียว

นอกจากนี้ ความสุขยังมีคุณค่าและประโยชน์มากมายต่อตัวเรา เช่น

- ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเข้มแข็ง เราจะเห็นได้ว่าบางคนแม้มีโรคทางกายรุมเร้ามากมาย แต่ยังสามารถยิ้มได้ และดูสดชื่นแจ่มใสมากกว่าคนทั่วไปนั่นเพราะจิตใจของเขามีความสุข

- ช่วยให้เรามีความยืดหยุ่น มีมุมมองที่รอบด้านมากขึ้น ในขณะที่ความทุกข์ทำให้คนเรามีมุมมองคับแคบและวนอยู่กับปัญหาที่เกิดขึ้น

- ช่วยให้เรามีพลังในการทำงาน มีความคิดสร้างสรรค์ จึงสามารถที่จะประสบความสำเร็จทั้งในการงานและชีวิตส่วนตัวได้อย่างลงตัว

สิ่งเหล่านี้เป็นข้อดีของความสุขที่เกิดขึ้นกับตัวเรา ที่สำคัญความสุขเป็นสิ่งที่เราสามารถสร้างได้ด้วยตัวของเราเองไม่ต้องรอคอยหรือพึ่งพาสิ่งใด เราจึงสามารถแสวงหาความสุขได้ทุกเวลา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #249 เมื่อ: มกราคม 01, 2013, 06:31:48 PM »

กินต้านแก่แบบไทยๆ


ในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่า ต้อนรับปีใหม่ การจัดงานเลี้ยงสังสรรค์อาจไม่ต้องง้ออาหารฝรั่งเลย เพราะ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรวัฒน์ หรือชะลอชรา (Anti-aging Medicine) แนะว่ามีอาหารไทยหลากหลายเมนูที่สรรพคุณชะลอชรา มีสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง โดยคุณหมอกฤษดา แนะนำมา 10 เมนู

เริ่มจาก ส้มตำไก่ย่าง ที่สุดของอาหารต้านชรา ในส้มตำมีสุดยอดวิตามินอย่าง “มะเขือเทศ” ที่ช่วยป้องกันมะเร็งต่อมลูกหมากและเต้านม ส่วนมะละกอนั้นช่วย “ล้างพิษ” ให้กับลำไส้ทั้งเล็กและใหญ่ในมะละกอยังมีน้ำย่อยชื่อ “ปาเปน” เป็นน้ำยาทำความสะอาดลำไส้ให้ปลอดคราบโปรตีนเกาะ ส่วนการรับประทานคู่กับไก่ย่างนั้น มีข้อดี คือ ทำให้ไม่ขาดโปรตีน และที่สำคัญคือ “ไม่อ้วน” เท่าการกินกับข้าวเหนียวหรือกินแบบหนักแป้ง

ตามด้วย แกงเขียวหวานไก่ ในน้ำแกงเขียวหวานเป็นอาหารทิพย์ อุดมด้วยวิตามิน น้ำแกงเข้มข้นหอมมันคือ “ซุปวิตามินชั้นดี” ที่มีทั้งวิตามินเอ, ดี, อี และเค ที่ละลายอยู่ในกะทิ ส่วนในเนื้อไก่ก็มีวิตามินบี ที่ช่วยบำรุงสมอง อีกทั้งในพริกที่ใส่เป็นเครื่องแกงก็มี “กรดแคปไซซิน” กับ “เบต้าแคโรทีน” ที่ช่วยบำรุงสายตา

เมนูต่อมาเป็น เมี่ยงปลาทู ได้ทั้ง “ซัลโฟราเฟน” กลุ่มสารต้านมะเร็งจากใบคะน้าห่อเมี่ยง ถ้าให้ดีต้องหยิบ “มะเขือเทศราชินี” หั่นเสี้ยวใส่เข้าไป ช่วยผิวพรรณสวย ส่วนในเนื้อปลาทู มีทั้งกรดไขมันดีและ “แอสตาแซนทิน” ที่กินเข้ากัน เพราะวิตามินที่ว่านี้โดยมากละลายในไขมัน ถ้าท่านใส่ปลาทูทอดเข้าไปจะช่วยให้จับกันได้ดีขึ้น

จากนั้นคือเมนู ผัดไท โดยเฉพาะผัดไทแบบต้นตำรับคลาสสิกที่สืบทอดตำนานแต่ครั้งรัฐนิยมของท่านจอมพล ป. ในผัดไทจะมีทั้งถั่วงอก ที่ถือเป็นอาหารมงคลรับปีใหม่ ด้วยหมายถึง การงอกงามของสิ่งใหม่ๆ ในถั่วงอกมี “วิตามินซี” อยู่มาก นอกจากนั้น ถั่วและเต้าหู้ในผัดไทยังอุดมไปด้วยวิตามินอี, แคลเซียม และสาร “พฤกษฮอร์โมน” ที่เป็นไฟโตเอสโตรเจนป้องกันมะเร็งและลดไขมัน โดยมีข้อแม้คืออย่าหนัก “เส้น” มากไป

ยังมีเมนู ข้าวหอมนิล ข้าวไทยสีม่วงเข้ม ที่อัดแน่นอยู่ในสีสวยนั่นคือสาร “พฤกษเคมี” ที่มีพลังมากกว่าวิตามินอีกับซีรวมกันเสียอีก ที่สำคัญเอามาจัดเมนูคู่ปีใหม่ได้ง่ายๆ ตัวอย่างเช่น น้ำพริกปลาทูข้าวหอมนิล หรือจะกินคู่กับไข่เจียวร้อนๆ ก็ยังไหว

ข้าวตอกน้ำกะทิ ขนมไทยช่วงปีใหม่ที่ถูกลืมไปนาน มีคุณค่าทางอายุรวัฒน์มาก นับตั้งแต่ตัวข้าวตอกมี “เส้นใย” ช่วยในเรื่องไขมันและน้ำตาลได้ ส่วนวิตามินข้างในนั้นก็เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์

ข้าวต้มมัดหรือข้าวเหนียวปิ้งใส่ไส้ เป็นเมนูที่อยู่ท้องและมีประโยชน์ครบเครื่อง เพราะมีทั้ง 5 หมู่อยู่ในนั้น ส่วนวิตามิน ก็มีทั้งเอ, บี, ซี นอกจากนั้นในกล้วยยังมีเส้นใยกับสารกลุ่มฟีนอลชื่อ “กรดเอลลาจิก” ช่วยต้านมะเร็งและเนื้องอกได้

ข้าวเหนียวดำน้ำกะทิ มีใส่เครื่องเคราเยอะ ไม่ว่าจะเผือก, ลำไย, ลูกเดือย และธัญพืชอื่นๆ ซึ่งถือเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ชั้นสูง เพราะช่วยขัดล้างตั้งแต่หลอดอาหารลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ส่วนตัวข้าวเหนียวดำเองก็มี “วิตามินอี” และ “ธาตุเหล็ก” สูงมาก รวมถึง “ธาตุม่วงต้านร่วงโรย(OPCs)” ก็มี

ข้าวโพดม่วง อ่านๆ ไปอาจเห็นว่าเน้นแต่ของม่วง แต่นี่เป็นนวัตกรรมใหม่ของบ้านเรา ที่อยากนำเสนอคือ “ข้าวโพดทับทิมสยาม” ประกอบด้วยคุณประโยชน์มากมายทั้งวิตามินบำรุงตาอย่าง “ลูทีน” กับ “ซีแซนทิน” และธาตุม่วง ส่วนวิธีทำก็มาก

และสุดท้าย น้ำสมุนไพร เช่น น้ำอัญชัน, กระเจี๊ยบ, น้ำย่านาง, น้ำใบบัวบก น้ำเหล่านี้ถือเป็นน้ำวิตามินขั้นเทพ รวมวิตามินระดับ “ซุป’ตา” อย่างแท้จริง ตั้งแต่อัญชันมีวิตามินสีม่วงที่ช่วยปกป้องผิวและบำรุงตับ ส่วนน้ำกระเจี๊ยบก็มีวิตามินซีและเอช่วยบำรุงไตได้ ส่วนน้ำใบย่านางกับใบบัวบกยิ่งดีใหญ่ เพราะประกอบด้วย “คลอโรฟิลล์” ที่หลายคนใฝ่ฝันหา และยังมี “กลูต้าไทโอน” ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระขั้นปราบเซียน

เกือบทั้งหมด ล้วนเป็นเมนูหาได้ใกล้ตัว ดังนั้นเทศกาลปีใหม่นี้ เลี้ยงฉลองด้วยเมนูไทยๆ กันเถอะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #250 เมื่อ: มกราคม 13, 2013, 07:57:52 PM »

ชูสมุนไพรไทยแชมเปี้ยน5ชนิด


ชูสมุนไพรไทยแชมเปี้ยน 5 ชนิด เตรียมดันสู่ตลาดโลกเป็นอีกหนึ่งสินค้ามีชื่อเสียงของไทย

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ประธานสมาพันธ์สุขภาพและความงามแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ประเทศไทยมีสมุนไพรที่มีสรรพคุณที่ดีมากมายหลายชนิด แต่จากการที่กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หารือร่วมกับนักวิชาการและผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องได้มีการคัดเลือกสมุนไพรไทยที่จัดเป็นแชมเปี้ยน 5 ชนิด ได้แก่ กวาวเครือขาว บัวบก กระชายดำ ไพลและลูกประคบ โดยพิจารณาจากการที่สามารถปลูกได้ง่าย เป็นที่รู้จักทั่วโลก และมีอนาคตเนื่องจากมีการวิจัยเกี่ยวกับฤทธิ์ที่จะนำมาพัฒนาต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ออกจำหน่าย

 นายนาคาญ์ กล่าวอีกว่า กวาวเครือขาวเป็นที่รู้จักในต่างประเทศค่อนข้างดี

อย่างเช่นประเทศญี่ปุ่นมีผลิตภัณฑ์ที่เป็นกวาวเครือจำนวนมาก ซึ่งกวาวเครือขาวจะให้สาระสำคัญที่เรียกว่าไฟโตเอสโตรเจน(phytoestrogens) ซึ่งคล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง เพราะฉะนั้น ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนการเสริมฮอร์โมนในรูปแบบนี้จะมีความปลอดภัยมากกว่าฮอร์โมนสังเคราะห์ นอกจากนี้ ในเครื่องสำอางหลายชนิดของยี่ห้อที่มีชื่อเสียงจะใช้สารสกัดกวาวเครือขาวในผลิตภัณฑ์ ส่วนใบบัวบก เป็นสมุนไพรที่ใช้ในทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเครื่องสำอางเกือบทุกชนิดในโลกใช้สารสกัดจากบัวบกเป็นส่วนผสม เพราะบัวบกทำหน้าที่ในการป้องกันการแพ้เครื่องสำอาง ช่วยเรื่องการบำรุงผิว บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ แก้อ่อนเพลีย และแก้เมื่อยล้า ดังนั้น หากมีการปลูกอย่างมีคุณภาพจะเป็นสมุนไพรที่มีความต้องการในตลาดโลกสูง
             
ประธานสมาพันธ์ฯ กล่าวด้วยว่า สำหรับกระชายดำ ไม่เพียงแต่ช่วยในเรื่องของบำรุงร่างกายเพศชายเท่านั้น
 
แต่มีการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นพบว่ามีฤทธิ์ในการลดน้ำหนัก และบำรุงผิวในสุภาพสตรีด้วย อีกทั้ง กระชายดำเป็นภาพลักษณ์เฉพาะเนื่องจากไม่ได้มีในหลายประเทศ แต่ในประเทศไทยมีความโด่งดังจึงคิดว่าสมุนไพรชนิดนี้มีอนาคตไกลและ จ.เลย เป็นจังหวัดที่มีกระชายดำมีชื่อเสียง สายพันธุ์ที่ดี ขณะที่ไพล เมื่อนำมาทำให้อยุ่ในรูปแบบของครีมจะมีสรรพคุณคล้ายกับบัวหิมะของจีน สามารถแก้เรื่องการอักเสบ ไฟไหม้น้ำร้อนลวกและการปวดข้อเข่า กระดูกต่างๆ และลูกประคบ จะมีการรวมใช้สมุนไพรหลากหลาย มีกลิ่นหอม และสปาไทยทุกแห่งจะมีกลิ่นนี้ซึ่งเป็นกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย โดยปกติมีการใช้ด้วยการนึ่งและนวดประคบ แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาให้ใช้ง่ายขึ้นในรูปแบบของครีม

             
'ในเรื่องการผลักดันจะมีการนำสมุนไพรทั้ง 5 ชนิดเสนอต่อ นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) เพื่อนำไปสู่การส่งเสริมสมุนไพรดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยมีการผลิตที่เก่งแต่ไม่เก่งในเรื่องของการตลาด หากทำให้การตลาดสมุนไพรดีขึ้น มูลค่าการส่งออกผลิตภัณฑ์จากสมุนไพรไทยจะเพิ่มขึ้นมาก อย่างไรก็ตาม อนาคตเชื่อว่ากรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯจะประสานผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้องให้มีโอกาสพบปะกับกลุ่มเกษตรกรเพื่อส่งเสริมให้มีการปลูกสมุนไพรภายใต้การควบคุมคุณภาพ เช่น ปลูกในภาวะเช่นไร เก็บเกี่ยวช่วงเวลาไหนและจำหน่ายราคาเท่าไหร่ เพราะหากไม่มีการควบคุมการปลูกบางครั้งมีการใช้สารเคมี สมุนไพรที่นำมาใช้ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกาย' นายนาคาญ์กล่าว
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #251 เมื่อ: มกราคม 13, 2013, 07:59:58 PM »

ดื่มน้ำผิดเวลา กระทบระบบย่อย 



น้ำสำคัญกับร่างกายมากจนอาจคาดไม่ถึง รู้หลักดื่มให้ถูกต้อง ไม่บั่นทอนสุขภาพ


หลายคนอาจหลงลืมหรือให้ความสำคัญน้อยเกินไป กับสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับร่างกาย อย่าง "น้ำดื่ม"



"ร่างกายของมนุษย์เรา มีน้ำเป็นส่วนประกอบถึง 70%"…จากข้อความนี้ น่าจะทำให้เห็นความสำคัญของน้ำเพิ่มมากขึ้นนะคะ เนื่องจากส่วนต่างๆ ของร่างกายมีน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ทุกหนแห่ง น้ำในร่างกายแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ น้ำที่ประกอบอยู่ในเซลล์ประมาณ 60% มีอยู่นอกเซลล์ประมาณ 30% และที่อยู่ในเนื้อเยื่อ หรือเลือดอีก 10% เหตุนี้จึงทำให้มนุษย์ต้องการน้ำ ประมาณ 2–3 ลิตรต่อวัน ในทางกลับกัน แต่ละวันร่างกายก็มีการขับน้ำออกในลักษณะของปัสสาวะ 0.5-2.3 ลิตร นอกจากนั้นยังมีการขับน้ำออกทางเหงื่อ อุจจาระ และลมหายใจ

หน้าที่ของน้ำในร่างกายนั้นมีมากมาย ทั้งช่วยย่อยอาหาร ละลายสารอาหารและออกซิเจนเพื่อขนส่งให้เซลล์ทั่วร่างกาย ช่วยให้หัวใจทำงานปกติ เลือดไหลเวียนดี ละลายสารพิษเพื่อขับออกจากร่างกาย ทำให้ข้อกระดูกเคลื่อนไหวได้สะดวก ทำให้ผิวพรรณสดใสไม่แห้งกร้าน ใบหน้าชุ่มชื้นดูมีเลือดฝาด เมื่อน้ำสำคัญมากขนาดนี้ จะดื่มน้ำกันอย่างไรให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายเรามากที่สุด?

น้ำที่ดื่มต้องสะอาด : เรื่องนี้สำคัญมากนะคะ หากเราดื่มน้ำที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน อาจส่งผลต่อร่างกาย เช่น น้ำที่มีเชื้อจุลินทรีย์ปะปนในปริมาณมาก อาจทำให้อุจจาระร่วง ป่วยโรคบิดและไทฟอยด์ หากน้ำดื่มมีสารเคมี โลหะหนัก เช่น คลอไรด์, ไนเตรท, แมงกานีส, สังกะสี, ตะกั่ว ก็ยังส่งผลเสียต่อตับ ตับอ่อน ไต กระเพาะปัสสาวะ เพิ่มความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็ง

ดื่มน้ำให้เพียงพอและถูกต้อง : โดยปกติเราควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว หรือ 2-3 ลิตร ควรดื่มน้ำทันทีหลังจากตื่นนอน  โดยตอนเช้าควรดื่มน้ำอุ่นทันที 2 แก้ว เพื่อช่วยให้ขับถ่ายอุจจาระได้ดี ดื่มน้ำทุกครั้งที่รู้สึกกระหาย ไม่ควรดื่มน้ำเกินครึ่งแก้วก่อนรับประทานอาหาร 15 นาที และภายใน 40 นาทีหลังมื้ออาหาร เนื่องจากทำให้น้ำย่อยเจือจางลง ส่งผลต่อระบบการย่อยอาหาร

ทั้งนี้การดื่มน้ำก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวในขณะนั้นด้วย เช่น อากาศที่ร้อน และแห้ง ร่างกายจะสูญเสียน้ำทางผิวหนังและลมหายใจมากกว่าปกติ ดังนั้น ผู้ที่อยู่กลางแจ้งและในห้องปรับอากาศที่เย็นจัดจะต้องการน้ำมากกว่าคนที่อยู่ในที่ร่มหรือในห้องที่อุ่นสบาย หรือผู้ที่ออกกำลังกาย มีไข้ ท้องเสีย อาเจียนก็ควรดื่มน้ำเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำด้วย ทั้งนี้ ควรดื่มน้ำทีละนิด แบบจิบทีละ 2–3 อึก จิบบ่อยๆ ไปตลอดทั้งวัน ซึ่งจะดีกว่าการดื่มน้ำครั้งละมากๆ เพราะเป็นการเพิ่มภาระให้กับระบบขับถ่าย อย่าง ไต ปอด ม้าม และระบบย่อยอาหาร อีกทั้งร่างกายจะดูดซึมไม่ทัน และขับออกมาเป็นปัสสาวะ แม้ดื่มน้ำเข้าไปมากก็ยังรู้สึกหิวน้ำอยู่บ่อยๆ

การดื่มน้ำอย่างเพียงพอจะช่วยให้ไตทำงานได้ดี ซึ่งหลายคนอาจคิดไม่ถึงว่า ไต ต้องทำหน้าที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นกำจัดสารพิษต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย ซึ่งเกิดจากกระบวนการทำงานภายในเซลล์, ดูดสารอาหารที่มีประโยชน์กลับคืนเข้าสู่ร่างกาย, ควบคุมระดับความเป็นกรด ด่าง ของของเหลวในร่างกาย, กำจัดของเสียส่วนเกินแล้วขับออกทางปัสสาวะ, สร้างฮอร์โมนที่เป็นตัวกระตุ้นการสร้างเม็ดเลือดแดงและวิตามินดี..ถ้าร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ไตก็ไม่สามารถทำหน้าที่ดังที่กล่าวได้ดี เช่นเดียวกับ ตับ ต้องทำงานหนักขึ้น เผาผลาญไขมันได้น้อยลง ทำให้ร่างกายมีการสะสมไขมันมากขึ้นอีกด้วย

หากปล่อยให้ร่างกายขาดน้ำหรือได้รับน้ำไม่เพียงพอ ร่างกายต้องดึงน้ำจากส่วนต่างๆ มาใช้โดยที่เราไม่รู้ตัว ส่งผลให้เลือดข้น ระบบไหลเวียนของเหลวผิดปกติ ผิวหยาบ ปวดศีรษะ เป็นตะคริว ความดันสูง

อย่างไรก็ตาม มีข้อควรระวังในการดื่มน้ำอยู่บ้าง เช่น ผู้ป่วยโรคไต ที่มีอาการบวมน้ำ ต้องควบคุมปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวันตามแพทย์กำหนด เพราะไตของผู้ป่วยไม่สามารถขับน้ำออกจากร่างกายได้ตามปกติ น้ำปริมาณมากจึงคั่งอยู่ภายใน ส่งผลให้แขนขาบวม ความดันโลหิตสูง

ไม่ควรดื่มน้ำเย็นจัด : เพราะอวัยวะภายในร่างกายต้องปรับอุณหภูมิของน้ำที่เย็นจัดให้เท่ากับอุณหภูมิของร่างกายก่อนนำไปใช้งาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อระบบย่อยอาหาร เป็นผลให้ร่างกายอ่อนแอ ทางที่ดีควรดื่มน้ำอุ่นเป็นประจำเพื่อช่วยขับเหงื่อ

ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีรสจัดเกินไป : เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายมากกว่าปกติ การดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้ร่างกายทำงานหนักและทรุดโทรมก่อนวัย

ทราบกันอย่างนี้แล้วก็ปรับวิธีการดื่มน้ำให้เหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อร่างกายเรากันนะคะ เพื่อสุขภาพของเราเอง และคนที่เรารัก อย่าลืมประโยคสำคัญที่ว่า You are what you eat กันล่ะ.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #252 เมื่อ: มกราคม 13, 2013, 08:01:38 PM »

รู้ไหมว่า.. อาหารร้อนหรือเย็น ก็ทำให้สุขภาพดีได้




เชื่อว่าหลายคนคงรู้อยู่แล้ ว่าอะไรก็ตามที่มากเกินไป หรือน้อยเกินไปก็ไม่ดีทั้งนั้น แม้กระทั่งการกินอยู่ของเราทุกวันนี้ก็เหมือนกัน การกินร้อนเกินไป หรือเย็นเกินไป จะส่งผลต่อร่างกายอย่างไรบ้างไปดูกันเลยดีกว่าครับ

ร้อน-เย็น ธรรมชาติบำบัด

รู้ไหมว่า อาหารแต่ละอย่างที่เรากินเข้าไปล่วนส่งผลต่อร่างกายทุกอย่างเช่น กินอาหารที่บูดอาจทำให้ท้องเสียได้ นี่คือแบบที่เห็นผลเร็วๆ แต่ที่จะเห็นผลช้า จนบางทีเราไม่ได้สังเกตุ เช่นการกินอาหารฤทธิ์ร้อน หรือฤทธิ์เย็นจนเป็นนิสัยก็เช่นกัน เพราะสุขภาพที่จะแข็งแรงได้นั้นต้องตั้งอยู่บนภาวะสมดุลคะ ไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง ภาวะต่างๆเหล่านี้จะส่งผลระยะยาวทำให้เกิดโรคต่างๆมากมาย

อาการของภาวะที่ร้อน-เย็นเกินไป

ร้อน เกินไป : หน้าแดง มีสิวขึ้น มีแผลในช่องปากด้านล่าง ตัวร้อน มือเท้าร้อน มีเส้นเลือดขอดตามจุดต่างๆ ท้องผูกเป็นประจำ ท้องอืด เจ็บปลายลิ้น เจ็บส้นเท้า

เย็นเกินไป : ตาแฉะ ขี้ตาเยอะ เป็นแผลในช่องปากด้านบนหรือโคนลิ้น ตัวเย็น มือเท้าเย็น มีน้ำมูกใส นิ้วล็อคกำมือไม่ลง อุจจาระเหลวสีอ่อน เจ็บโคนลิ้น

ร้อน-เย็น ดูกันยังไง

วิธีที่เราจะสามารถรู้ได้ว่า อาหารฤทธิ์ร้อน กับอาหารฤทธิ์เย็น ก็ไม่ได้ยากอะไรเลยครับ ก็ใช้การสังเกตุจากภายนอก เราก็พอที่จะแยกออกได้

หมั่น สังเกตว่าอาหารที่กินเข้าไปทำปฏิกิริยาให้ร่างกายร้อนขึ้นหรือเย็นลงแค่ไหน นอกจากนี้ยังมีลักษณะของอาหารที่ให้ฤทธิ์ร้อน-เย็น มาให้อ่านเพื่อใช้ประกอบการสังเกตกันด้วยครับ

อาหารฤทธิ์เย็น : มักจะมีลักษณะหวานหรือจืด สีจะออกไปทางสีอ่อน เช่น ขาว เขียว ความหนาแน่นของเนื้อสารจะน้อย ยุ่ยๆ หลวมๆ

อาหารฤทธิ์ร้อน : มักจะมีลักษณะเค็ม ขม เนื้อแข็ง สีสันจะออกไปทางสีเข้มหรือคล้ำ เช่น แดง ม่วง ดำ ถ้าเป็นเขียวก็ออกเขียวเข้ม มีกลิ่นออกเหม็นเขียว

แต่ในปัจจุบันนี้อาหารส่วนใหญ่ที่เรากินกันมักจะมีฤทธิ์ร้อน เช่น อาหารที่เค็มจัด มันจัด หวานจัด เผ็ดจัด เปรี้ยวจัด อาหารใส่สารเคมี อาหารใส่ผงชูรส เหล้า เบียร์ ไวน์ ชา กาแฟ น้ำอัดลม เครื่องดื่มชูกำลัง ขนมกรุบกรอบ บะหมี่ซอง รวมไปถึงน้ำร้อนจัด น้ำเย็นจัด และน้ำแข็ง จริงๆ อาหารก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของวิธีคิดแบบร้อน-เย็น เพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการที่ร่างกายจะมีภาวะร้อนหรือเย็นอีกมาก เช่น ความเครียด อดนอน กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระ เดินทางบ่อย หงุดหงิดโมโห และสูบบุหรี่

พอจะนึกออกแล้วใช่ไหมละครับ ว่าอาหารฤทธิ์ร้อน กับอาหารฤทธิ์เย็นต่างกันอย่างไร เพียงเท่านี้เราก็คงพอที่จะแยกออกแล้วว่าร่างกายของเราอยู่ในสภาวะที่ร้อน เกินไป หรือเย็นเกินไปหรือเปล่า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงการกินของเรา ก็พอที่จะช่วยให้สภาวะต่างๆของร่างกลับเข้าสู่สมดุลได้เช่นกันครับ

แหล่งที่มา - widemagazine
 
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #253 เมื่อ: มกราคม 13, 2013, 08:02:58 PM »

10 อาหารที่กินแล้วผิวสวย


1. ปลา ปลาที่มีไขมันสูงอย่าง เช่น แซลมอน ให้กรดไขมันโอเมก้า -3 ที่ทำให้ผนังเซลล์แข็งแรง

2. อัลมอนด์ ไม่เพียงแต่มีกรดไขมันโอเมก้า -3 แต่ยังมีโปรตีนที่จำเป็นต่อการสร้างเซลล์ผิวและวิตามินอีที่เป็นแอนตี้ออกซิแดนท์ซึ่งปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ

3. ผักหลากสี เช่น ฟักทองสีเหลืองสด แครอทสีส้ม ผักโขมสีเขียว พริกหวาน ผักเหล่านี้อุดมด้วย แคโรทีนที่ดีต่อผิว

4. น้ำมันพืช เช่น น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันมะกอก น้ำมันดอกทานตะวัน ให้ไขมันจำเป็นแก่ผิวที่ทำให้เซลล์มีความยืดหยุ่นและช่วยให้ร่างกายดูดซึมวิตามินเอและอีได้ดีขึ้น

5. อาหารนมไขมันต่ำ โยเกิร์ต ชีส นม อุดมด้วยวิตามินเอที่จำเป็นต่อสุขภาพผิวแบคทีเรียในโยเกิร์ตไม่เพียงแต่ดีต่อลำไส้ แต่ยังดีต่อผิวด้วยการย่อยที่ดีทำให้ผิวดูสดใสและแข็งแรง

6. ผักกาดหอม ให้เส้นใยอาหารคาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเพียงเล็กน้อย วิตามินที่สำคัญที่สุดคือวิตามินเอและโพแทสเซียม

7. โฮลเกรน มีแร่ธาตุและแอนตี้ออกซิแดนท์ที่เรียกว่า ซีลีเนียม ที่ช่วยควบคุมความเสียหายของเซลล์และงดพวกแป้งขาวที่จะให้ระดับอินซูลินเพิ่มขึ้นซึ่งจะนำไปสู่อาการอักเสบและระคายเคืองของผิว

8. อาหารที่อุดมด้วยธาตุเหล็ก เช่น เนื้อแดง อาหารทะเล ที่ใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดง ถ้าขาดจะทำให้เกิดอาการโลหิตจาง และทำให้ผิวดูซีดเซียวไม่สดใสและทำให้เกิดรอยคล้ำใต้ตา

9. ไข่ มีโปรตีนที่ช่วยในการซ่อมแซมเซลล์ผิวที่เสียหายจากอนุมูลอิสระและยังมีไบโอตินที่ช่วยปกป้องผิวแห้งด้วย

10. ส้ม มีวิตามินซีสูงที่ช่วยปกป้องผิวจากสภาวะแวดล้อม เช่น รังสียูวี วิตามินซีช่วยผิวสร้างคอลลาเจนที่จำเป็นในการทำให้มันปราศจากริ้วรอย
 
 


ขอบคุณ  : Lisa
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #254 เมื่อ: มกราคม 30, 2013, 07:45:43 PM »

10 พฤติกรรมที่ต้องสระผม


บางครั้งกิจกรรมบางอย่างที่คุณกำลังทำอยู่คุณอาจกำลังคิดว่าไม่เป็นไร ไม่เป็นอันตรายต่อเส้นผมของคุณ แต่ช้าก่อน นั่นอาจเป็นการคิดที่ผิดเพราะกิจกรรมบางอย่างที่คุณออกไปทำมาทั้งวันอาจต้องเจอกับมลภาวะมากมายและนั่นจะส่งผลโดยตรงต่อเส้นผมของคุณ เราจึงขอแนะนำให้คุณรีบสระผมหลังจากที่ทำกิจกรรมต่อไปนี้ค่ะ


1. เที่ยวผับ เพราะผมที่เหนอะหนะจากเหงื่อหลายปี๊บที่เกิดจากการเต้นอย่างสุดมันนั้น จะสะสมฝุ่นละอองและความสกปรกได้ดีกว่าปกติอีกเป็นเท่าตัว แถมยังต้องเจอกับควันบุหรี่ที่ทำร้ายผมอย่างแรงเข้าไปด้วย


2. ดูคอนเสิร์ต โดยเฉพาะคอนเสิร์ตที่ต้องกระโดดกันจนเหงื่อชุ่ม


3. เล่นกีฬา ทั้งเปียกทั้งเหม็น แล้วอย่างนี้จะไม่สระอีกหรือ


4. เล่นกีฬาทางน้ำ แหล่งน้ำต่างๆ นั้นถึงจะดูสะอาด แต่จริงๆ แล้วเต็มไปด้วยความสกปรก และเชื้อโรคที่มองไม่เห็น ส่วนน้ำตามสระที่ผสมคลอรีนนั้น ยิ่งต้องรีบกลับมาสระผม เพราะจะกัดและทำลายผมให้แห้งกร้านและเสียได้ ถ้าหาแชมพูกำจัดคลอรีนโดยเฉพาะมาใช้ได้ด้วยก็จะดีมาก


5. เดินช็อปปิ้งที่ตลาดนัดกลางแจ้ง โดยเฉพาะในวันที่อากาศร้อน เพราะตลาดนัดก็เป็นอีกแหล่งหนึ่งที่รวมฝุ่นละอองและความสกปรกไว้มากมาย


6. จัดทรงด้วยผลิตภัณฑ์แต่งผม ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมทั้งหลายนั้นใช้แล้วต้องสระออกให้สะอาดทันทีที่ทำได้ เพราะถ้าปล่อยไว้นานๆ สารเคมีในผลิตภัณฑ์ เหงื่อไคล และสิ่งสกปรกที่สะสมอยู่ จะทำปฏิกิริยากันจนทำให้ผมและหนังศรีษะมีปัญหาได้


7. เมื่อผมเริ่มมันเยิ้มและจับตัวเป็นก้อนๆ ต้องรีบสระเพื่อกำจัดน้ำมันส่วนเกินที่อุดตันตามหนังศรีษะออกไปให้เร็วที่สุด


8. เมื่อผมเริ่มมีกลิ่นเหม็น ซึ่งเป็นสัญญาณแห่งความสกปรกที่มาจากน้ำมัน บวกกับคราบเหงื่อ และความสกปรกที่ตกค้างบนหัวมานาน


9. เมื่อเริ่มรู้สึกคันหัวอย่างรุนแรง โดยไม่ได้เป็นรังแค นั่นแสดงว่าหนังศรีษะเริ่มระคายเคืองจากความมันและสิ่งสกปรก เป็นสัญญาณเตือนว่าสระผมได้แล้ว


10. เมื่อไม่ได้สระผมมาเกิน 2 วัน ก็ได้ฤกษ์สระแล้วละมั้ง


DIY : Do It Yourself ทำความสะอาดผมอย่างถูกวิธี
ขั้นตอน


1. ใช้น้ำชโลมศรีษะให้เปียก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นและปรับสภาพผมก่อนสระ อีกทั้งยังเป็นการล้างความสกปรกออกไปในเบื้องต้นด้วย
2. เทแชมพูลงบนฝ่ามือประมาณเท่าเหรียญ 10 บาทสักสองเหรียญ
3. ขยี้แชมพูบนฝ่ามือสักครู่จนเกิดฟอง
4. นำฟองแชมพูไปขยี้เบาๆ ให้ทั่วผม และใช้ปลายนิ้วทั้งห้ากดนวดเบาๆ ให้ทั่วศรีษะสักห้านาที
5. ล้างฟองแชมพูออกจนรู้สึกว่าสะอาดหมดจด ผมไม่ลื่น
6. เทครีมนวดลงบนฝ่ามือประมาณเท่าเหรียญ 10 บาทสักสองเหรียญ แล้วนำไปลูบผมให้ทั่วได้เลย
7. ใช้มือลูบผมจากโคนถึงปลาย เพื่อให้ครีมนวดซึมทั่วผมทั้งเส้น โดนเน้นที่ปลายเป็นพิเศษ
8. ใช้ปลายนิ้วทั้งห้าออกแรงกดนวดเบาๆ ให้ทั่วหัว
9. ทิ้งครีมนวดไว้สัก 1 – 2 นาที แล้วล้างออกจนรู้สึกว่าสะอาดหมดจดไม่เกาะกันเป็นก้อน
10. ใช้ผ้าขนหนูเนื้อนุ่มค่อยๆ ซับน้ำ แล้วเช็ดเบาๆ ให้ผมแห้งพอหมาด
11. เป่าผมให้แห้งด้วยไดร์ ( ถ้าที่บ้านไม่มีไดร์ อนุโลมให้ใช้พัดลมเป่าผมให้แห้งแทนได้ ) โดยเริ่มจากการปรับไดร์เป่าผมให้เป็นลมเย็นหรือร้อนปานกลาง
12. เป่าจากโคนสู่ปลายผมโดยเว้นระยะห่างระหว่างไดร์กับผมประมาณ 15 เซนติเมตร หรือราวๆ 1 คืบ เพื่อไม่ให้ร้อนเกินไป และหมั่นส่ายไดร์ไปมาเพื่อกระจายความร้อน
X DDT : Don’t Do That! ขอร้อง!…อย่าทำแบบนี้กับผมเลย
- อย่าเทแชมพูในปริมาณที่มากเกินไป เพราะนอกจากจะเปลืองแล้ว ยังทำให้ล้างออกยาก แลถ้าตกค้าง ก็อาจกัดหนังศรีษะจนแพ้หรือเป็นรังแคได้
- อย่าเทแชมพูลงบนผมโดยตรง หรือเทลงบนผมแห้ง เพราะเนื้อแชมพูข้นๆ อาจเกาะผมและหนังศรีษะ ทำให้ล้างออกยาก และมีเนื้อชมพูตกค้าง
- อย่าใช้เล็บขูดหรือเก่าหนังศรีษะอย่างมันสะใจจนเกินไป เพราะจะขูดหนังศรีษะจนเป็นแผล และเป็นการกระตุ้นรังแคด้วย
- อย่าทิ้งแชมพูหรือครีมนวดผมไว้นานเกิน 5 นาที โดยไม่ล้างออก เพราะผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ผลิตมาสำหรับการหมักผม ถ้าทิ้งไว้นานๆ อาจจะทำร้ายหนังศรีษะจนแพ้ ทำให้ผมร่วงหรือเป็นรังแคได้
- อย่าขยี้ผมเวลาเช็ด เพราะการขยี้จะทำให้ผมหลุดร่วงและพันกันได้ง่าย แถมยังทำให้ผมยุ่งไม่เป็นทรงเมื่อแห้งด้วย ทางที่ดีควรลูบจากบนลงล่าง ในทิศทางเดียวกันกับเส้นผม
- อย่าจ่อไดร์เป่าผมใกล้หนังศรีษะเกินไป และอย่าจ่อที่จุดเดียวนานๆ หรือใช้ปากกระบอกไดร์สัมผัสกับผมโดยตรง เพราะความร้อนจะทำลายผมให้แห้งกร้านและเสียได้ในที่สุด
อันตรายจากการนอนทั้งๆ ที่ผมยังเปียกอยู่


ใครที่ชอบสระผมแล้วนอนเลยทั้งผมเปียกๆ อย่าคิดว่าดีละ เพราะความชื้นเป็นบ่อเกิดของเชื้อราบนหนังศรีษะ แถมตื่นมาผมก็จะเป็นเป็ด ( ปลายผมหักงอและงอนไม่ทิ้งตัว ) ทำให้จัดทรงยาก อีกทั้งยังเสี่ยงต่อการเป็นหวัดอีกด้วย ( โดยเฉพาะในรายที่นอนห้องแอร์ ) 


นอกจากนั้น หมอนที่อับชื้นยังเหมาะมากสำหรับการเพาะพันธุ์ของแบคทีเรียและเชื้อรา ซึ่งจะทำให้หมอนมีกลิ่นและเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ มากมาย เพราะฉะนั้นจึงควรเอาหมอนออกไปผึ่งแดดบ่อยๆ ด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 15 16 [17] 18 19 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: