Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75383 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #300 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2013, 08:31:15 PM »

วิธีกำจัดขี้หู ที่ดีที่สุด




ภัยร้ายแคะหู



ดร.ไซม่อน เกน จากเคลียร์ เอียร์ คลินิก อังกฤษ เผยว่าในแต่ละปี โสต ศอ นาสิกแพทย์ของคลินิก ต้องกำจัด "ขี้หู" มากกว่า 100 ลิตรต่อปี ถึงจะเยอะจนน่ากลัว แต่ขี้หูเป็นสารธรรมชาติ มาพร้อมหน้าที่ป้องกันอันตราย และให้ความชุ่มชื่นภายในหู เกิดจากซีบัมหรือไขมันปกป้องผิว ผสมกับเหงื่อ และผิวเสื่อมสภาพที่หลุดล่อน ปกติเราแทบจะไม่รู้สึกถึงการก่อตัวของขี้หู แต่ถ้ามีมากเกินไป จะทำให้คัน และปวด


ผู้เชี่ยวชาญบอกว่าการใช้สำลีเช็ดหู เป็นการทำความสะอาดที่ผิดมหันต์ เพราะทำให้ขี้หูอุดตันอยู่ด้านใน และเป็นต้นเหตุให้เกิดการอักเสบ ซึ่งอาจเลวร้ายถึงขั้นหูหนวกชั่วคราวได้



วิธีกำจัดขี้หูที่ดีที่สุด คือ ใช้สำลีเช็ดทำความสะอาดขี้หูที่ขยายตัวออกมายังหูด้านนอก หรือใช้น้ำมันมะกอกเล็กน้อยหยดใส่หู อุดด้วยสำลี และรอให้ขี้หูอ่อนตัวและไหลซึมเข้าสำลี




เจ๊าะแจ๊ะวิทยาศาสตร์ นสพ.ข่าวสด

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #301 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2013, 08:32:41 PM »

สาเหตุปากเหม็นเรื้อรัง



สาเหตุปากเหม็นเรื้อรัง

เรื่องกลิ่นปาก สามารถรบกวนผู้คนได้ทุกเพศทุกวัย แม้ผู้ดูแลสุขภาพชั้นเซียนก็อาจไม่รอด ถ้ากลิ่นปาก เกิดจากอาหารที่เพิ่งกินเข้าไป คงพอครนา แต่ถ้ากลิ่นปากติดทนนานจนเรื้อรัง คงต้องหาสาเหตุเพื่อการป้องกันเสียแล้ว

 - มีเศษอาหารตกค้างอยู่ตามซอกฟัน ร่องเหงือก บนและโคนลิ้น รวมถึงต่อมทอนซิน
 - โรคอักเสบเรื้อรังของช่องปาก เช่น โรคเหงือกอักเสบเรื้อรัง
 - โรคอักเสบเรื้อรังของโพรงจมูกหรือไซนัส
  - โรคต่อมทอนซินอักเสบเรื้อรัง
  - โรคกรดไหลย้อน
 - โรคมะเร็งในช่องปาก จมูก ไซนัส หรือลำคอ
 - ช่องปากแห้งจากการกินยาบางชนิด เช่น ยาลดน้ำมูก หรือยาแก้โรคภูมิแพ้
 - สูบบุหรี่ หรือดื่มสุราเรื้อรัง
  - ใส่ฟันปลอมและรักษาดูแลความสะอาดไม่ดี
 - โรคตับเรื้อรัง และโรคไตเรื้อรัง

ฉะนั้นการกำจัดกลิ่นปากเรื้อรัง นอกจากรักษาโรคที่เป็นอยู่แล้ว จำเป็นต้องรักษาความสะอาดช่องปากให้ดี ด้วยวิธีใช้ไหมขัดฟัน การใช้น้ำยาบ้วนปาก ร่วมกับการแปรงฟัน แต่ถ้าจะแก้ปัญหาที่ต้นเหตุ ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงสมบูรณ์อยู่เสมอ เมื่อปลอดจากโรค ก็ปลอดจากกลิ่นปากค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #302 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2013, 09:37:00 AM »

***บัวหิมะธิเบต(Kefir)***


1.บัวหิมะคืออะไร หรือ "kefir"

บัวหิมะเติบโตในบริเวณที่สูงกว่าระดับน้ำทะเล 3000 - 4000 เมตรขึ้นไปซึ่งแม้ในฤดูร้อนภูเขาก็ยังมีหิมะปกคลุม บัวหิมะเติบโตอย่างช้าๆ แต่ทนทานมาก โดยปกติเมล็ดของบัวหิมะเพียง 5% เท่านั้นที่เติบโตจนออกดอกได้ และใช้เวลา 3 ปีกว่าจะเก็บเกี่ยว ดอกบัวหิมะบานช่วงเดือนกรกฎาคมและสิงหาคมของทุกปี ดอกเป็นสีขาวหรือเขียวอ่อน ดูคล้ายดอกบัวขนาดใหญ่ เบ่งบานท้าทายลมและหิมะ ส่งกลิ่นหอมอบอวลไปทั่ว

คนเลี้ยงสัตว์แถบภูเขาถือว่าดอกบัวหิมะเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ เป็นดอกไม้ศักดิ์สิทธิ์ หากใครได้เห็นถือเป็นบุญตา มีตำนานเล่าขานว่า เมื่อราชินีสวรรค์แห่งทะเลสาบหยก (Jade Lake) เสด็จลงมาอาบน้ำยังทะเลสาบเทียนชี หรือทะเลสาบสวรรค์ (Tianchiหรือ Heavenly Lake) ที่ซินเจียง เหล่านางฟ้าจะโปรยดอกบัวหิมะลงมา ทำให้ยอดเขาสูงชันกว่า 5,000 เมตรปกคลุมด้วยหิมะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามกับทะเลสาบสะท้อนความงามของเทพธิดาเป็นที่จับตาน่าหลงใหลยิ่ง บัวหิมะจึงถูกนับถือเป็นดอกไม้ล้ำค่า ชาวบ้านเชื่อกันว่าหากได้ดื่มน้ำค้างจากกลีบดอกบัวหิมะแล้ว อาการป่วยไข้จะปลาสนาการ และมีชีวิตยืนยาวยิ่งขึ้น

ประเทศจีนได้บันทึกความสำคัญของบัวหิมะไว้ตั้งแต่โบราณ เช่นในหนังสือ The New Edition of Chinese Medicine เขียนสมัยถัง (ค.ศ.618-907) ระบุไว้ว่า แถบตะวันตกของจีนมีตัวยามีค่ากว่า 140 ชนิด และหนึ่งในนั้นคือ บัวหิมะ

2.แล้วมันต่างหรือเหมือนกับโยเกิตไหม ?
ต่างกันครับ kefir จะเหลวกว่ากลิ่นแรงกว่า และมีแบคทีเรียที่มีประโยชน์หลายชนิดกว่า วิธีการทำก็ค่อนข้างต่างกัน คือเจ้าแลคโตบาสิลัสในโยเกิตมันข้อนข้างอ่อนแอ ทำให้เวลาทำต้องมีการต้มฆ่าเชื้อสารพัดและต้องใช้อุณภูมิที่เหมาะสมในการทำด้วยจึงจะได้ผลิตภัณท์ที่ดีและจะต้องผลิดจากนมเท่านั้น ส่วนเจ้า kefir มันสามารถผลิตได้จากหลายๆอย่างเช่น นม น้ำเต้าหู้ น้ำกะทิ หรือแม้แต่น้ำหวาน

การผลิตก็ไม่ยุ่งยาก แค่ต้องระวังให้ภาชนะสะอาด เรื่องอุณภูมิมันสามารถอยู่ได้ในอุณภูมิที่กว้างมาก (2-40 C) ถ้าพูดกันในแนวของประโยชน์โดยตัดเรื่องของสารอาหารออกไป เจ้าโยเกิร์ตกินเข้าไปมันจะช่วยให้ทางเดินอาหารสะอาดและให้อาหารกับแบ็กทีเรียที่มีประโยชน์ที่อาศัยอยู่ในลำใส้เรา แต่จะเป็นแบบชั่วคราวคือกินแล้วก็แล้วกัน ส่วนเจ้า kifir มันจะมีประโยชน์เหมือนกับโยเกิตแต่จะต่างกันตรงเจ้านี้จะเข้าไปอาศัยอยู่ในลำใส้เราได้เลยทำให้มีประโยชน์ในระยะยาวกับระบบทางเดินอาหารของเรา แล้วมันยังมียีสเช่น Saccharomyces kefir และ Torula kefir ที่ทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรคที่จะเข้ามาในทางเดินอาหาร และจะทำให้เรามีความต้านทานต่อเชื้อโรคเช่น อีโคไล และปรสิตต่างๆดีขึ้น

นอกจากนี้เจ้า kifir จะช่วยย่อยอาหารทำให้อาหารดูดซึมดีขึ้น ทำให้ลำใส้สะอาดมีสารพิษตกค้างน้อยลง
และขนาดของ kifir จะเล็กกว่าโยเกิตทำให้ย่อยได้ง่ายกว่า

3.สารอาหารใน kefir มีอะไรบ้าง
นอกจากแบคทีเรียที่มีประโยชน์ และยีสแล้ว ใน kefir ยังมีกรดอมิโนที่จำเป็นต่างๆ และโปรตีนในนมซึ่งถูกย่อยไปแล้วเป็นบางส่วนโดยเจ้า kefir จะมีข้อดีคือดูดซึมได้ง่ายกว่าดื่มนมโดยตรง นอกจากนี้ยังมี แคลเซี่ยมและแมกนีเซี่ยม ช่วยบำรุงระบบประสาท มี ฟอสฟอรัส วิตตามิน B1,B12 วิตตามิน K

4.kefir มีประโยชน์อะไรบ้าง
ใช้ดื่ม ทำให้ระบบทางเดินอาหารดีขึ้น มีสารอาหารต่างๆมากมาย ช่วยให้ระบบประสาทดีขึ้น ทำให้จิตใจสงบลง ช่วยในท่านที่นอนไม่ค่อยหลับ ส่วนสรรพคุณอื่นๆเห็นทางเว็ปเมืองนอกและคนที่เคยดื่มมีบอกไว้สารพัด แต่ผมไม่กล้าเอามาบอกเพราะดูจะเกินจริงไปหน่อยเลยอยากให้ไปอ่านเองจากต้นฉบับและใช้วิจารณะญาณเอาเองครับ

อ้อส่วนสำหรับท่านสาวๆใช้พอกหน้าทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วล้างออก เห็นเขาว่าทำให้ผิวดีขึ้นและขาวขึ้นได้ดีกว่าใช้โยเกิตครับเพราะยีสต์ใน kefir ช่วยในการฆ่าเชื้อได้ส่วนนึง เห็นเขาว่าสิวนี่ลดลงเยอะเลยครับ

5.จะทำ kefir อย่างไร
ก่อนอื่นต้องไปหาหัวเชื้อมาครับ แย่ตรงที่คนไทยเชื่อกันผิดๆว่าห้ามซื้อขาย(ฝรั่งขายกันโครมๆ แพงเสียด้วย) ทำให้หาซื้อไม่ได้ ต้องตีซี้ขอเอาจากคนที่มีอยู่แล้วทำให้ลำบากพอสมควร


พอได้มาแล้วก็เอามาใส่ลงไปในขวดที่ลวกน้ำร้อนแล้ว เทนมรสจืดลงไปหนึ่งกล่อง ไม่ต้องปิดฝาแต่ให้ใช้ผ้าขาวบางปิดปากขวดไว้ ทิ้งไว้ที่อุณภูมิห้อง 24-48ชั่วโมงแล้วแต่ว่าชอบเปรี้ยวมากหรือน้อย แล้วให้เทนมออกมาโดยกรองเอาเจ้าหัวเชื้อ(ที่เป็นเม็ดๆก้อนๆสีขาวๆ)เก็บเอาไว้ เอานมที่ว่าไปดื่มโดยใส่น้ำผึ้ง ผลไม้ ฯลฯ

ตามชอบแช่ตู้เย็นไว้กินเย็นๆก็ได้ หรือจะเอาไปทาหน้าทาตัวก็แล้วแต่
ส่วนเจ้าหัวเชื้อก็ให้เอาไปใส่ขวดแช่นมเอาไว้เพื่อทำkifirชุดใหม่ต่อไป เจ้าหัวเชื้อนี้ไม่ว่าเราจะต้องการน้ำ kefir หรือไม่เราก็ต้องเปลี่ยนน้ำนมให้มันอย่างน้อยทุกๆสามวันครับ หากจะเก็บไว้นานกว่านั้นต้องเก็บในตู้เย็น แต่ยังไม่มีรายงานว่าเก็บได้นานสุดเท่าไรก่อนที่เชื้อมันจะตายครับ

เรื่องเข้าใจผิดเกี่ยวกับ kefir
1. ห้ามขาย อันนี้ไม่จริงต่างประเทศเขาขายกันเพียบเลยครับ ด้วยคนไทยเชื่อว่าห้ามขายอย่างนี้ถึงได้หากินกันยากนักหนานี่แหละครับ เสียดายจริงๆ
2. ห้ามโดนภาชนะโลหะ อันนี้ไม่จริง แต่ไม่ควรหมักในภาชนะโลหะเพราะกรดที่เกิดจากการหมักจะไปกัดเอา โลหะขึ้นสนิม หรือออกมาปะปนกับน้ำ kefir ที่เราจะใช้ดื่มได้

ที่มา : natui.com./by สาระแห่งสุขภาพ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #303 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2013, 09:39:25 AM »

อาหารดัดแปรพันธุกรรม


.***อาหารดัดแปรพันธุกรรม***

ตามรูปภาพจะเห็นส่วนประกอบที่เป็นข้าวโพดดัดแปรพันธุกรรมในขนมขบเคี้ยวยี่ห้อหนึ่ง มีวางขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป เป็นสินค้า New Product ของกลุ่มขนมขบเคี้ยวยักษ์ใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าเราจะต้องกินอาหารที่ไม่ได้มาจากธรรมช...าติที่แท้จริงกันแล้ว...

แล้วอาหารดัดแปรพันธุกรรม คืออะไร Huh?

พืชผลดัดแปลงพันธุกรรมผลิตขึ้นโดยใช้เทคนิคในห้องทดลอง โดยนำุพันธุกรรมจากเซลล์สิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งไปใส่ในสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเองจากการผสมพันธุ์ตามธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การใส่ยีนจากปลาอาร์กติกในมะเขือเทศและสตรอเบอร์รี่ เพื่อให้ทนทานต่อความหนาวเย็น แน่นอนว่าปลาและมะเขือเทศไม่มีทางผสมพันธุ์กันได้เองตามธรรมชาติปัจจุบันอาหารดัดแปลงพันธุกรรมทั้งหมด ผลิตและขายโดยบริษัทสารเคมีขนาดใหญ่ ซึ่งโดยปกติจะทำงานร่วมกับแผนกเคมีภัณฑ์ของตนเอง พืชผลดัดแปลงพันธุ์กรรมส่วนใหญ่ทั่วโลกปลูกในสหรัฐอเมริกา แคนาดา และ อาร์เจนตินา

สิ่งมีชีวิตที่ประดิษฐขึ้นนี้์อาจออกแบบมาเพื่อให้ "ประโยชน์" บางอย่างแก่ผู้ปลูก (เช่น ทนทานต่อยาฆ่าแมลง) แต่ก็มักจะมีผลรองลงมาอย่างอื่นที่ไม่อาจคาดเดาได้ เนื่องจากพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมเป็นสิ่งมีชีวิต พืชเหล่านี้จึงอาจเล็ดรอดออกแพร่พันธุ์ในสิ่งแวดล้อมเปิด ดังนั้นจึงแทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเก็บพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมเหล่านี้กลับคืน โดยเฉพาะเมื่อเกิดความผิดพลาดอย่างไม่คาดคิดขึ้นแล้ว ปัญหาบางประการที่เกี่ยวข้องกับพืชดัดแปลงพันธุกรรม ได้แก่

การทำให้เกิดพิษหรืออาการภูมิแพ้ที่ไม่คาดคิด

เนื่องจากพันธุวิศวกรรมเป็นเทคโนโลยีที่ไม่แน่นอน การใส่ยีนแปลกปลอมจึงอาจกระตุ้นให้เกิดโปรตีนที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจเป็นพิษ หรือทำให้ผู้บริโภคเกิดอาการภูมิแพ้ หรืออาจมีผลข้างเคียงต่อสิ่งแวดล้อม ตัวอย่างเช่น ยีนถั่วบราซิลนัท ซึ่งนำไปใส่ในถั่วเหลือง ถั่วเหลืองนี้ทำให้คนที่แพ้ถั่วนัท เกิดอาการแพ้ขึ้นอย่างไม่คาดคิด จึงต้องป้องกันไม่ให้ถั่วเหลืองนี้ออกสู่ตลาดได้ โชคยังดีที่อาการแพ้ถั่วนัทเป็นอาการที่พบบ่อย จึงสามารถตรวจสอบได้ อย่างไรก็ตาม พันธุวิศวกรรมส่วนใหญ่ใช้วัสดุจากสิ่งมีชีวิต เช่น ไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งไม่เคยเป็นอาหารของมนุษย์มาก่อน

การดื้อยาปฏิชีวนะ

นักวิทยาศาสตร์ได้ใส่ยีนดื้อยาปฏิชีวนะทั่วไป เพื่อตรวจสอบว่ากรรมวิธีทางการพันธุวิศวกรรมได้ผลหรือไม่ แม้จะมีเจตนาใช้ยีนเหล่านี้เป็นเพียง "ยีนบ่งชี้" แต่พวกมันก็มีอยู่ทั่วไปในอาหารดัดแปลงพันธุกรรม แพทย์ทั่วโลกเตือนว่า การใช้ยีนดื้อยาปฏิชีวนะอย่างกว้างขวางเช่นนี้ อาจทำให้ยาปฏิชีวนะบางชนิดไม่มีผลในการรักษาโรคของมนุษย์และสัตว์ สหภาพยุโรปและสมาคมแพทย์ทั่วโลกได้เรียกร้องให้ห้ามใช้สัญญาณอันตรายเหล่านี้

ผลต่อสิ่งแวดล้อม

พืชผลดัดแปลงพันธุกรรมอาจก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่มีพฤติกรรมรุกราน เราได้เห็นผลเสียหายร้ายแรงจากการที่สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ใหม่มีผลต่อสิ่งแวดล้อมแล้ว เมื่อพวกมันกลายเป็นสัตว์รบกวน เช่น การปล่อยหอยทากทองในฟิลิปปินส์ ตัวอย่างผลกระทบอันตรายจากพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมที่พบหลักฐานแล้ว ได้แก่ การปล่อยสารพิษลงสู่ดิน การมีพิษต่อแมลงที่มีประโยชน์และไม่มีอันตราย เช่น แมลงเลซวิงส์ หรือตัวอ่อนของผีเสื้อโมนาร์ค และการเกิด "สุดยอดวัชพืช" ที่แข็งแรง เช่น ในแคนาดานั้น ทุ่งปลูกคาโนลาดัดแปลงพันธุกรรม ส่งผลให้เกิดเมล็ดคาโนลาที่ทนทานต่อยาปราบวัชพืชสามชนิด

การปนเปื้อนของเมล็ดพันธุ์และพืชผล

แม้ว่าผู้บริโภคและเกษตรกรจำนวนมากทั่วโลกจะพยายามหลีกเลี่ยงอาหารและพืชผลดัดแปลงพันธุกรรม แต่ผู้คนก็ยังพบว่าแม้แต่ในวัตถุดิบไม่ดัดแปลงพันธุกรรมก็ยังมีการปนเปื้อน กรณีนี้เกิดจากการผสมเกสรข้ามพันธุ์ เช่น การที่ละอองเกสรที่ปนเปื้อนปลิวไปตามลม หรือเมื่อเมล็ดพืชแพร่กระจายออกไปในสิ่งแวดล้อม หรือมีการผสมพันธุ์ระหว่างการจัดการดูแล ทั้งยังเริ่มปรากฏชัดด้วยว่า ยีนสามารถเคลื่อนย้ายด้วยกระบวนการที่เรายังไม่ค่อยเข้าใจนักที่เรียกว่า การถ่ายยีนเชิงระนาบ โดยแบคทีเรียจะเก็บวัสดุพันธุกรรมและแลกเปลี่ยนมันกับแบคทีเรียตัวอื่นๆ ในดินหรือในลำไส้ จึงเป็นที่เกรงว่าเมื่อเวลาผ่านไป ทุกสิ่งทุกอย่างจะปนเปื้อนสิ่งมีชีวิตดัดแปลงพันธุกรรม ซึ่งหากเกิดความผิดพลาดขึ้น ก็จะสายเกินไป

นอกจากนี้ยังมีปัญหาทางจริยธรรมและสังคมหลายประการ เช่น

อาหารดัดแปลงพันธุกรรมตัดทางเลือกของผู้บริโภค
ผู้บริโภคในฟิลิปปินส์ถูกปฏิเสธสิทธิที่จะเลือกไม่กินอาหารดัดแปลงพันธุกรรม เนื่องจากมีการปนเปื้อนแพร่หลายที่เกิดจากพืชผลดัดแปลงพันธุกรรม และพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมหลายชนิดไม่ได้มีการเก็บแยกออกจากระบบอาหาร เรื่องนี้เป็นปัญหาสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากฟิลิปปินส์ไม่มีการติดฉลากหรือการควบคุมอาหารดัดแปลงพันธุกรรม

โจรสลัดชีวภาพ

เพื่อให้ได้ลักษณะเฉพาะที่ต้องการ บริษัทสารเคมีมักใช้ยีนจากพืช สัตว์ และ แบคทีเรีย ที่หาได้จากประเทศที่ยากจนกว่า ซึ่งมักเป็นแหล่งของความหลากหลายทางชีวภาพส่วนใหญ่ กำไรและผลประโยชน์จากการใช้ยีนเหล่านี้จะเพิ่มพูนให้บริษัทที่ทำธุรกิจการเกษตรในประเทศซีกโลกเหนือ ผลคือมีการขโมยยีนเหล่านี้จากประเทศยากจนเพื่อป้อนกำไรให้บริษัท จากนั้นบริษัทข้ามชาติก็จะอาศัยกฎหมายสิทธิบัตรนานาชาติ บังคับให้ตนเป็นเจ้าของยีนเหล่านี้

การสูญเสียสิทธิของเกษตรกร

เนื่องจากเมล็ดพืชดัดแปลงพันธุกรรมมีสิทธิบัตร บริษัทเมล็ดพืชจึงสามารถควบคุมการใช้เมล็ดพันธุ์เหล่านี้ได้อย่างเคร่งครัด เกษตรกรสหรัฐที่ปลูกพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมต้องเซ็นสัญญาเจาะจงว่าจะปลูกพืชผลอย่างไร และสัญญาว่าจะไม่เก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ หากพบว่าเกษตรกรเก็บเมล็ดพันธุ์ไว้ บริษัทสารเคมีเหล่านี้ก็จะฟ้องร้องเกษตรกร ด้วยเหตุนี้เกษตรกรรายย่อยจึงสูญเสียสิทธิในการเก็บเมล็ดพืช ซึ่งเป็นรากฐานของความมั่นคงด้านอาหารตั้งแต่เริ่มเพาะปลูก ขณะนี้บริษัทพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมได้ควบคุมการค้าเมล็ดพืชทั่วโลก และเกษตรกรสหรัฐก็ได้รายงานว่าเมล็ดพืชไม่ดัดแปลงพันธุกรรมกำลังกลายเป็นของหายาก

การดัดแปลงพันธุกรรมเป็นเรื่องผิดธรรมชาติิิิิ

เนื่องจากพันธุวิศวกรรมข้ามพรมแดนสายพันธุ์ และแทรกแซงธรรมชาติเพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตชนิดใหม่ที่ไม่มีทางเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ผู้คนจำนวนมากจึงไม่เห็นด้วยกับการดัดแปลงพันธุกรรมของสิ่งมีชีวิตทั้งในทางจริยธรรมและศาสนา เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2543 พระสันตะปะปาทรงมีพระดำรัสคัดค้านพืชผลดัดแปลงพันธุกรรม โดยแถลงต่อเกษตรกรประมาณ 50,000 คนจากอิตาลี และประเทศอื่นๆ ในพิธีกลางแจ้งพิเศษที่จัดให้เกษตรกร และเมื่อเดือนมีนาคม 2551 พระสันตะปะปาทรงมีพระดำรัสคัดค้านพืชผลดัดแปลงพันธุกรรมอีกครั้ง โดยจัดให้เป็น "หนึ่งในบาปร้ายแรง 7 อย่าง"


ที่มา : greenpeace.org/by สาระแห่งสุขภาพ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: มิถุนายน 18, 2013, 09:50:22 AM โดย jainu » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #304 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2013, 09:46:16 AM »

***บำบัดสายตาสั้นด้วยวิธีธรรมชาติ***



หากสายตา ของคุณสั้นมากจนต้องสวมแว่น เชื่อได้เลยว่า มันคงจะ ทำให้คุณรำคาญพอดู บุคลิกก็ดูยังกะคนแก่เรียน ยิ่งพอจะไปเล่นกีฬาอะไรๆ เพื่อลดเชพก็รู้สึกว่า เจ้าแว่นตัวดี มันเกะกะเหลือเกิน โลกนี้ไม่สดใสเสียเลย ...หลายคน พอหันลองไปใช้ คอนแทคเลนส์แทน ก็รู้สึกจั๊กจี้ตาพิลึก ต้องมานั่งล้างก่อนนอนทุกคืน เผลอๆ ตาอันบอบบางก็ต้องมาเสี่ยงต่อการติดเชื้ออีกด้วย

ไม่นานมานี้ เราได้พบบทความหนึ่ง ในนิตยสาร ด้านสุขภาพของอเมริกา เกี่ยวกับวิธี ที่จะช่วยบำบัด อาการสายตาสั้น ของคุณให้ดีขึ้น ซึ่งหากคุณ ได้ลองนำไปปฏิบัติประมาณ 2-3 อาทิตย์ทุกวัน คุณจะรู้สึกว่าสายตาของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด บางคน ต้องไปค้นแว่นเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ตั้งนานกลับมาใช้อีก

วิธีง่ายๆที่จะช่วยบำบัดอาการสาย ตาสั้น

สิ่งที่ต้องทำเป็นนิสัย สวมแว่นสายตาเมื่อจำเป็นเท่านั้น พยายามอย่าสวมแว่นเท่าที่จะทำได้ เพราะมันจะช่วยทำให้กล้ามเนื้อตา และระบบประสาทรอบดวงตาของคุณ รู้สึกผ่อนคลาย

วิธีอ่านหนังสืออย่างถูกต้อง
เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องอ่านหนังสือ ต้องถอดแว่นออกทุกครั้ง แล้วพยายามอ่านหนังสือโดยที่ พยายามให้ตาทั้งสองข้างอยู่ห่างจากหนังสือมากที่สุด แต่ต้องเป็นระยะที่สามารถอ่านตัวหนังสือได้อย่างชัดเจน หากทำจนเป็นนิสัยแล้ว คุณจะรู้สึกว่า คุณจะค่อยๆ สามารถอ่านหนังสือได้ห่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ (สำหรับคนสายตาสั้นไม่เท่ากัน ระยะห่างที่ชัดเจนของตาแต่ละข้างนั้น ค่อนข้างจะแตกต่างกัน ดังนั้นเวลาอ่านหนังสือ ให้ใช้มือข้างใดก็ได้ปิดตาข้างหนึ่งไว้ แล้วค่อยๆ อ่านด้วยตาทีละข้างสลับกันไป แต่ถ้าสายตาทั้งสองข้างต่างกันแค่นิดเดียว อ่านพร้อมกันทั้งสองข้างเลยก็ไม่เป็นไร)
กระพริบตาให้บ่อย การฝึกกระพริบตาให้บ่อย (ประมาณ 1 ครั้ง ต่อ 10 วินาที) จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อตารู้สึกผ่อนคลาย ไม่ตึงเครียด

วิธีบำบัดที่ต้องทำเป็นประจำ (ต้องทำทุกวิธี)
การบริหารกล้ามเนื้อดวงตา ให้ชำเลืองตาขึ้นไปข้างบน ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วชำเลืองตาลงข้างล่าง ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วชำเลืองตาไปทางซ้าย ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที แล้วชำเลืองตาไปทางขวา ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที เสร็จแล้วพักตาสักพัก แล้วเริ่มทำใหม่ไปอีกเรื่อยๆ วันละ 10 นาที

การบำบัดด้วยน้ำเย็น เมื่อล้างหน้าเสร็จ ก่อนจะอาบน้ำ ให้เตรียมน้ำเย็น (ไม่ใช่น้ำอุ่น) ใส่กาละมังเล็กๆ ไว้ ก้มหน้าลงไปเล็กน้อย ทำมือทั้งสองให้เป็นรูปถ้วย แล้วกวักน้ำให้เต็ม ให้มืออยู่ห่างจากดวงตาประมาณ 6 เซนติเมตร หลับตาลง แล้วค่อยๆ สาดน้ำมากระทบเปลือกตาเบาๆ น้ำเย็นจะช่วยให้กล้ามเนื้อรอบดวงตารู้สึกผ่อนคลายได้มากขึ้น (ให้ทำทุกวัน วันละ 2 ครั้ง ครั้งละ 10 นาที)

การบำบัดด้วยการสร้างมโนภาพ ให้หาหนังสืออะไรก็ได้มา 1 เล่ม เปิดหน้าไหนก็ได้ที่มีตัวหนังสือ ถอดแว่นออก แล้วเลือกคำอะไรก็ได้ 1 คำจากหน้านั้น จำรูปร่าง ของคำนั้นไว้ให้ดี ยื่นหนังสือออกไปให้ไกล ในระยะที่คุณมองเห็นไม่ชัดและเบลอ แล้วหลับตาลง นึกภาพในใจให้รู้สึกว่าคุณเห็นคำนั้นได้อย่างชัดเจน การทำเช่นนี้ จะช่วยให้กล้ามเนื้อตาค่อยๆ ปรับโฟกัส ให้ดีขึ้นได้อย่างอัตโนมัติ (ให้ทำทุกวัน วันละประมาณ 10 นาที)

การบำบัดด้วยอุ้งมือ ก่อนนอน ให้นั่งลงบนเก้าอี้ที่นั่งสบายๆ หลับตาลง แล้วใช้อุ้งมือซ้ายปิดตาซ้ายเบาๆ และใช้อุ้งมือขวาปิดตาขวาเบาๆ จะช่วยทำให้ไม่มี แสงเล็ดลอด เข้าสู่ตาได้ ความมืดมิดที่เห็น จะทำให้ดวงตารู้สึกสบายกว่าปกติ (ให้ทำทุกวันก่อนนอน วันละอย่างต่ำ 45 นาที)

ไม่นานนัก คุณคงต้องโยน แว่นสายตาของคุณลงไปในถังขยะแล้ว


ที่มา : dekcom.net/by สาระแห่งสุขภาพ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #305 เมื่อ: มิถุนายน 18, 2013, 08:06:25 PM »

ปลาดอลลี่.......พี่ไทยโดนต้มจนสุก ขึ้นโต๊ะจีนราคาแพงๆที่แท้ "ปลาสวายธรรมดา" จากเวียดนาม




ผู้ขายระบุชื่อว่าเป็น "ปลาดอร์ลี่แล่" กำกับภาษาอังกฤษว่า Pangasius Fillet (Pangasius Hypopthalmus) เป็นการให้ข้อมูลแบบไม่ครบถ้วนอาจสร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นปลาทะเล หรือปลาชนิดใหม่ เปรียบเทียบกับสิ้นค้าชนิดเดียวกันที่อเมริกา (ภาพข้างล่าง) เขาระบุรายละเอียดชัดเจนว่าเป็นปลาเลี้ยงจากฟาร์มในประเทศเวียดนาม ใช้ชื่อการค้าว่า Swai

จริงๆแล้วคนขายเขาก็ไม่ได้หลอกเพราะเขียนภาษาอังกฤษ พร้อมกำกับด้วยศัพท์วิทยาศาสตร์ไว้เห็นชัดๆว่า Pangasius hypophthalmus แต่ผู้บริโภคทั่วไปไม่ทราบว่านี่คือ "ปลาสวาย


ทำความรู้จัก "ปลาดอร์ลี่" ตัวจริง กับ ย้อมแมว



ปลาดอร์ลี่ตัวจริงอยู่ในทะเลลึกที่มหาสมุทแอตแลนติก และทะเลเมดิเตอร์เรเนียน เนื้อแน่น น่ากิน มีชื่อเล่นว่า "จอห์น ดอร์ลี่" (John Dory) ชื่อวิทยาศาสตร์ Zenopsis conchifera














ปลาดอร์ลี่ตัวจริงเสียงจริงเป็นปลาทะเล ส่วนปลาดอร์ลี่แบบไทยๆคือปลาสวายอยู่ในน้ำจืดเลี้ยงในบ่อตามริมแม่น้ำโขงที่ประเทศเวียดนาม

เป็นยังไงครับเมื่อทราบข้อมูลที่แท้จริงเช่นนี้แล้ว ก็ต้องเริ่มคิดใหม่แล้วครับอย่าให้ถูกต้มถูกหลอกอีกต่อไป.........


http://www.yclsakhon.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539377083
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #306 เมื่อ: กรกฎาคม 10, 2013, 09:09:11 AM »


สาระแห่งสุขภาพ
***ขมิ้น ดีอย่างนี้เลย***

ผลงานวิจัยจาก University of Tsukuba ในญี่ปุ่นรายงานว่าสารอาหารในรากของขมิ้นสามารถชะลอวัย ปกป้องหัวใจได้เท่าเทียมกับการออกกำลังเเอโรบิคปานกลางได้

รากขมิ้นถูกใช้เป็นตำรับยาในซีกโลกตะวันออกมาหลายร้อยปี ส่วนซีกโลกตะวันตกเพิ่งเริ่มมาศึกษาเเละพบว่ารากของขิ้นอุดมด้วยสารต้านการอักเสบ ต้านอนุมูลอิสระ เรียกชื่อรวมๆว่า"curcuminoids,"หรือ "curcumin," ซึ่งทำให้ขมิ้นมีสีเหลือง -ส้ม จัด

การวิจัยนี้ใช้กลุ่มตัวอย่างสตรีวัยหมดประจำเดือน มาทำการทดลองตลอดแปดสัปดาห์ เพื่อเปรียบเทียบผลระหว่างการออกกำลังกาย กับ การบริโภคสาร สกัดCurcumin จากขมิ้น ที่มีต่อสุขภาพหัวใจ

การศึกษาที่หนึ่ง พบว่ากลุ่มที่บริโภคสารสกัด curcumin ร่วมกับการออกกำลังกายมีสุขภาพของผนังหลอดเลือดเลี้ยงหัวใจ (endothelial function) ดีขึ้นอย่างชัดเจน

การศึกษาที่สองพบว่า การปริโภคสารสกัด curcumin แต่ไม่ออกกำลังกาย ให้ผลลัพธ์ต่อสุขภาพหลอดเลือดแดงเเละความดันโลหิต (arterial compliance) เช่นเดียวกับการออกกำลังกายแต่ไม่บริโภคสารสกัด
และหากว่าบริโภคสารสกัดร่วมกับการออกกำลังกายจะยิ่งมีผลดีมากขึ้น

การศึกษาสุดท้ายเพื่อดูผลที่มีต่อลิ้นหัวใจด้านซ้าย โดยใช้กลุ่มตัวอย่างรวม 45คน พบว่า กลุ่มที่บริโภคสารสกัดร่วมกับออกกำลังกาย มีสุขภาพลิ้นหัวใจดีขึ้นมากเเละชัดเจน เเต่น่าสังเกตว่าการบริโภคสารสกัดเเต่ไม่ออกกำลังกายไม่มีผลเปลี่ยนแปลงใดๆ
ระดับความดันโลหิต systolic blood pressure (SBP)ลดลงในกลุ่มที่ออกกำลังกายแม้ว่าจะไม่บริโภคสารสกัดก็ตาม

แต่ที่น่าสังเกตุคือกลุ่มที่บริโภคสารสกัดร่วมกับการออกกำลังกายจะมีระดับ aortic augmentation index (AIx) เเละ aortic SBP ลดลงอย่างชัดเจน

ข้อสรุป : การบริโภคขมิ้นในอาหารประจำวัน มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคหัวใจของสตรีวัยหมดประจำเดือน นอกจากนี้ยังมีประโยชน์มากในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถออกกำลังกายได้ จึงอาจใช้ชดเชยทดเเทนการออกกำลังกายสำหรับผู้ที่สภาพร่างกายไม่สามารถออกกำลังกายได้ อย่างไรก็ดีพบว่าการบริโภคขมิ้นให้ได้ผลดีนั้นควรทานรากขมิ้นจากธรรมชาติ มีประสิทธิผลมากกว่าสารสกัด curcumin ในแคปซูลเพราะร่างกายจะดูดซึมได้สมบรูณ์กว่า

ที่มา : Natural News/108health/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #307 เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2013, 09:26:25 PM »

Shellfish
 
Shellfish can cause severe allergic reactions (such as anaphylaxis). Therefore it is advised that people with shellfish allergy have quick access to an epinephrine auto-injector (such as an EpiPen®, Auvi-Q® or Twinject®) at all times. This allergy usually is lifelong. Approximately 60 percent of people with shellfish allergy experienced their first allergic reaction as adults. Shrimp, crab and lobster cause most shellfish allergies. Finned fish and shellfish do not come from related families of foods, so being allergic to one does not necessarily mean that you must avoid both. To prevent a reaction, strict avoidance of shellfish and shellfish products is essential. Always read ingredient labels to identify shellfish ingredients.
 
There are two kinds of shellfish: crustacea (such as shrimp, crab and lobster) and mollusks (such as clams, mussels, oysters and scallops). Reactions to crustacean shellfish tend to be particularly severe. If you are allergic to one group of shellfish, you might be able to eat some varieties from the other group. However, since most people who are allergic to one kind of shellfish usually are allergic to other types, allergists usually advise their patients to avoid all varieties. If you have been diagnosed with a shellfish allergy, do not eat any shellfish without first consulting your doctor.
 
To prevent a reaction, strict avoidance of shellfish and shellfish products is essential. Always read ingredient labels to identify shellfish ingredients. In addition, avoid touching shellfish, going to the fish market, and being in an area where shellfish are being cooked (the protein in the steam may present a risk).
 
Avoiding Shellfish
 
The federal Food Allergen Labeling and Consumer Protection Act (FALCPA) requires that all packaged food products sold in the U.S. that contain shellfish as an ingredient must list the specific shellfish used on the label.
 
Read all product labels carefully before purchasing and consuming any item. Ingredients in packaged food products may change without warning, so check ingredient statements carefully every time you shop. If you have questions, call the manufacturer.
 
As of this time, the use of advisory labels (such as “May Contain”) on packaged foods is voluntary, and there are no guidelines for their use. However, the FDA has begun to develop a long-term strategy to help manufacturers use these statements in a clear and consistent manner, so that food-allergic consumers and their caregivers can be informed as to the potential presence of major allergens.
 
Avoid foods that contain shellfish or any of these ingredients:
 •Barnacle
 •Crab
 •Crawfish (crawdad, crayfish, ecrevisse)
 •Krill
 •Lobster (langouste, langoustine, Moreton bay bugs, scampi, tomalley)
 •Prawns
 •Shrimp (crevette, scampi)
 •It is important to note that mollusks are not considered major allergens under FALCPA and may not be fully disclosed on a product label.
 
Your doctor may advise you to avoid mollusks or these ingredients:
 •Abalone
 •Clams (cherrystone, geoduck, littleneck, pismo, quahog)
 •Cockle
 •Cuttlefish
 •Limpet (lapas, opihi)
 •Mussels
 •Octopus
 •Oysters
 •Periwinkle
 •Sea cucumber
 •Sea urchin
 •Scallops
 •Snails (escargot)
 •Squid (calamari)
 •Whelk (Turban shell)
 
Shellfish are sometimes found in the following:
 •Bouillabaisse
 •Cuttlefish ink
 •Glucosamine
 •Fish stock
 •Seafood flavoring (e.g., crab or clam extract)
 •Surimi
 
Keep the following in mind:
 •If you have seafood allergy, avoid seafood restaurants. Even if you order a non-seafood item off of the menu, cross-contact is possible.
 •Asian restaurants often serve dishes that use fish sauce as a flavoring base. Exercise caution or avoid eating there altogether.
 •Shellfish protein can become airborne in the steam released during cooking and may be a risk. Stay away from cooking areas.
 •Carrageenan, or "Irish moss,” is not shellfish. It is a red marine algae that is used in a wide variety of foods, particularly dairy foods, as an emulsifier, stabilizer, and thickener. It appears safe for most individuals with food allergies.
 •Allergy to iodine, allergy to radiocontrast material (used in some radiographic procedures), and to shellfish are not related. If you have an allergy to shellfish, you do not need to worry about cross reactions with radiocontrast material or iodine.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #308 เมื่อ: สิงหาคม 02, 2013, 07:43:22 PM »

สาระแห่งสุขภาพ
***แชมพูมะกรูดสูตรธรรมชาติมากๆ***

วันนี้มาแนะนำทำแชมพูมะกรูดแบบไร้สารเคมี คือ ไม่ใช้หัวแชมพูหรือผงฟอง

ส่วนผสมหาง่ายๆ ใช้เพียงมะกรูด 1 กิโลกรัม กับน้ำสะอาด 1 ลิตร

วิธีการทำ
1. นำผลมะกรูููดมาล้างน้ำให้สะอาด แล้วผ่าซีีีก เอาเมล็็็ดออก หั่ั่ั่นทั้งเปลืืือกให้ เป็นชิ้น
2. นำไปต้มกับน้ำในหม้อ ปิดฝา ต้มนาน 15 นาที
3. ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วนำทั้งน้ำและเนื้อ มะกรูดไปปั่นในเครื่องปั่นจนละเอียด
4. นำมากรองด้วยผ้าขาวบาง จะได้น้ำมะกรูดที่ข้นเหนียวเป็นครีม
5. นำน้ำมะกรูดที่ได้ไปนึ่ง หรือ ต้มไฟอ่อน พอเดือดปุดๆ ยกลงทิ้งไว้ ให้เย็น นำไปบรรจุขวดที่มีฝาปิด เก็บได้นาน 3-6 เดือน

วิธีใช้
ใช้สระผมแทนแชมพูทั่วไป เวลาสระผมจะไม่มีฟอง แต่จะทำให้ผมสะอาด

นุ่มสลวย ผมลื่นหวีง่าย ผมจะดกดำ เงางาม


ที่มา : มูลนิธิสุขภาพไทย/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #309 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2013, 11:52:29 AM »


สาระแห่งสุขภาพ


***วัตถุกันเสีย ทำลายไต***

ไลพ์สไตล์ที่เร่งรีบของคนเมืองส่วนใหญ่หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องพึ่งอาหารปรุงสำเร็จ
ที่มักถูกเก็บรักษาหรือยืดอายุไว้ด้วยสารกันบูด
ซึ่งเชื่อว่ามีผู้บริโภคน้อยคนที่จะทำให้ความสำคัญกับส่วนผสมในอาหารที่เรากินในแต่ละวัน
ว่าจะส่งผลทางสุภาพร่างกายเราอย่างไรบ้าง วันนี้เลยอยากจะชวนคุณหันมาทำความรู้จักกับส่วนผสมในอาหารอย่าง
“สารกันบูด” กันหน่อย

เจ้าวัตถุกันเสีย หรือที่เราคุ้นคึยในชื่อของ สารกันบูด เป็นสารที่ช่วยยืดอายุอาหารไว้ให้เก็บได้นานขึ้น
เมื่อใส่ลงไปในอาหารจะช่วยยับยั้งการการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย เชื้อรา และยีสต์
ซึ่งวัตถุกันเสียไม่ได้มีเพียงแต่สารสังเคราะห์เท่านั้น แต่ยังมีสารที่เป็นธรรมชาติ อย่าง น้ำตาล เกลือ และกรด
ที่มีอยู่ในอาหารตามธรรมชาติ ซึ่งคนเราได้ใช้ประโยชน์จากธรรมชาติที่มาช่วยยืดอายุอาหารโดยการหมัก ดอง
เพื่อถนอมอาหารไว้ได้นานขึ้น

สำหรับสารสังเคราะห์ที่มีอยู่ด้วยกันหลายชนิด ที่เราคุ้นหู หรือเห็นกันบ่อยๆ
บนฉลากผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กรดเบนโซอิก และเกลือเบนโซเอต หรือเรียกว่า สารกันบูด
กรดซอร์บิก เกลือซอร์เบต กรดโพพีโอนิก และเกลือโพพีโอเนต หรือชื่อทั่วไปคือ สารกันรา
และสารประกอบไนเตรต ไนเตรต ซึ่งคือ ดินประสิว

นอกจากนี้ ยังมีซัลเฟอร์ไดออกไซด์และเดกลือซัลไฟต์ เพียงแค่ชื่อ ก็แอบทำให้เวียนหัว เอาเป็นว่าวัตถุกันเสียแต่ละชนิดแตกต่างกัน ซึ่งอาหารสำเร็จรูปล้วนแล้วแต่มีวัตุกันเสียปนอยู่มากมาย

หลายๆ คนคงสังสัยว่า หากเรากินอาหารที่ปนเปื้อนสารกันบูดมากๆ จะมีผลเสียต่อสุขภาพหรือไม่

หากปริมาณสารกันบูดในอาหารมีปริมาณตามที่กฏหมายอนุญาตให้ใช้ ไม่เกินมาตรฐานที่กำหนด
ก็ไม่ส่งผลอันตรายต่อสุขภาพ เพราะการกำหนดปริมาณนั้นต้องผ่านขั้นตอนการประเมินความปลอดภัยมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ว่าในแต่ละวันหากร่างกายได้รับสารกันบูดในปริมาณนี้ จะสามารถกำจัดออกได้หมด
โดยไม่เหลือสารตกค้างสะสมในร่างกาย จึงไม่ส่งผลเสียต่อสุขภาพทั้งในระยะสั้นและในระยะยาว
แต่ถ้าหากได้รับเกินปริมาณที่กำหนด ร่างกายอาจไม่สามารถกำจัดออกได้หมด
ทำให้ตับและไตต้องทำงานหนักเพื่อขับสารพิษออกจากร่างกาย ส่งผลเสียต่อร่างกาย ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วยได้

อย่างไรก็ตาม อาหารที่ปรุงสดใหม่ย่อมให้ประโยชน์และคุณค่าทางอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายมากกว่าอาหารที่ผ่านการเก็บรักษาไว้นานๆ
เราในฐานะผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลมาประกอบการตัดสินใจในการบริโภค ฉลาดเลือก ฉลาดซื้อ เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวเราเองด้วย


ที่มา : หนังสือพิมพ์เอ็มทูเอฟ/by สาระแห่งสุขภาพ

[/color][/b][/size]
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #310 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2013, 11:53:58 AM »

สาระแห่งสุขภาพ

***ปัสสาวะ เรื่องเล็กที่ไม่เล็ก***


อาการปัสสาวะนานกว่าปรกติ ปัสสาวะไม่พุ่ง หรือในสาว ๆ ที่มีอาการปัสสาวะบ่อยปนปัสสาวะไม่สุดให้รำคาญใจ
ซึ่งในอาการที่ว่านี้มีโรคที่มาจากความเสื่อมของร่างกาย พูดง่าย ๆ ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงตามอายุอยู่หลายอาการ เมื่อตอนยังหนุ่มสาวไม่เป็นกลับเป็นตอนมีอายุ แต่ก็ใช่ว่าอาการที่ว่าจะปกติตามอายุเสมอไปเพราะในหลายกรณีเป็นความผิดปกติที่ถึงขั้นร้ายแรง เช่น มะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ

ดังนั้นก่อนจะข้ามไปสรุปว่าเป็นอาการ “ปัสสาวะบ่อยตามวัย” ขอให้ดูให้แน่ก่อนว่าไม่ใช่โรคอันตราย
เท่าที่รวบรวมมามีโรคเกี่ยวกับปัสสาวะที่น่าจับตาอยู่หลัก ๆ 5 โรค

1) ต่อมลูกหมากโต เป็นโรคที่มักเกิดกับผู้ชายสูงวัย ต่อมนี้มักจะเริ่มโตเมื่ออายุเข้าเลขสี่นำหน้า
อาการที่พบมีปัสสาวะไม่พุ่ง ใช้เวลาปัสสาวะนานกว่าปกติเหมือนยังไม่หมดท้องและถ้าโตหนักเข้าก็ทำให้ปัสสาวะไม่ออกเลยก็มี

2) กระเพาะปัสสาวะไวเกิน เกิดจากเส้นประสาทที่มาเลี้ยงกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติไป
มักพบในผู้ใหญ่ อาการมีง่าย ๆ คือไม่อยากไปเที่ยวไหนไกล
เพราะมักปวดปัสสาวะบ่อยแล้วเวลาปวดก็อั้นไม่อยู่ ต้องดูแก้ให้ถูกจุด

3) ติดเชื้อท่อปัสสาวะ ปัญหานี้พบในสตรีบ่อยกว่า เพราะสรีระที่ต่างไป อาการคือทำให้เข้าห้องน้ำบ่อย คอยแต่จะลุกขึ้นมาปัสสาวะ ที่สำคัญคือมีอาการเจ็บขัด ปัสสาวะปนเลือด บางรายปวดหลังมีไข้ร่วมด้วย

4) กรวยไตอักเสบ นี่คือความรุนแรงอย่างหนักสุดของอาการปัสสาวะบ่อย
เพราะกรวยไตอักเสบเป็นการติดเชื้อที่ทำให้ช็อคถึงขั้นเสียชีวิตได้
จะมีปัสสาวะบ่อยร่วมกับไข้หนาวสั่น ปัสสาวะขุ่นและปวดหลัง

5) เนื้องอกและมะเร็งทางเดินปัสสาวะ


คนยุคหนึ่งเคยเรียกขานอาการปัสสาวะผิดปกตินี้ว่า “ช้ำรั่ว” เพราะเห็นคนไข้มีอาการผิดปกติคล้ายกับมีรูรั่วต้องคอยปัสสาวะนิดๆหน่อยๆ อยู่ตลอดเวลา ดูเป็นอาการน่ารำคาญ ซึ่งความจริงมีอันตรายมากกว่านั้นต้องรีบรักษากัน

ทางรักษาและป้องกันง่ายๆ ทางหนึ่งในสไตล์อายุรวัฒน์ก็คือปรับการใช้ชีวิต ดังต่อไปนี้

1) ดื่มน้ำกระเจี๊ยบ ยา(เครื่องดื่ม)กลางบ้านของฝรั่งเวลาเป็นกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือ
“น้ำแครนเบอรี่” ส่วนครื่องดื่มป้องกันท่อปัสสาวะแบบไทยๆ คือน้ำกระเจี๊ยบ ใช้ดื่มได้บ่อยๆ
ชงแบบไม่หวานจะช่วยลดไขมันลงได้ด้วย ให้ดื่มสักประมาณวันละ 1 ลิตรในท่านที่มีปัญหาท่อปัสสาวะติดเชื้อ

2) รับประทานวิตามินซี การกินวิตามินซีจะช่วยให้ท่อปัสสาวะแข็งแรงและทำให้ปัสสาวะเป็นกรด
เปรียบได้กับการฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะไปในตัว
การรับประทานวิตามินซีก็ไม่ยากเย็นขอสักวันละ 1,000 มิลลิกรัมร่วมกับกินฝรั่งสดให้เยอะเข้าไว้

3) ระวังการมีเพศสัมพันธ์ อาการปัสสาวะบ่อยเกิดได้ถ้ามีเพศสัมพันธ์
ขอให้ดื่มน้ำเอาไว้ให้เยอะแล้วถ้ามีอาการผิดปกติเช่น ตกขาว,เจ็บขัดเวลาปัสสาวะ,
มีมูกผิดปกติติดชั้นใน ขอให้รีบตรวจหาเชื้อแล้วจะรักษาได้

4) ไม่อั้นปัสสาวะ การอั้นปัสสาวะนาน ๆ ทำให้เสี่ยงท่อปัสสาวะอักเสบติดเชื้อ
ทางที่ดีสุดคือปวดเมื่อไรหาทางระบายเมื่อนั้น ที่ไหนมีปัสสาวะคั่งอยู่นาน ที่นั่นจะมีอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบได้

5) ระวังเรื่องล้าง โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เรื่องล้างคือการทำความสะอาดหลังเข้าห้องน้ำ
เพราะเชื้อที่เข้าไปในท่อปัสสาวะได้ง่ายส่วนใหญ่คือเชื้อที่มาจากบริเวณทวารหนัก
ดังนั้นการล้างให้ถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ ในเด็กผู้หญิงควรสอนล้างไม่ให้ย้อนทาง ส่วนเด็กชายก็ต้องจัดหาห้องน้ำสะอาดเอาไว้ให้ใช้

6) หายารับประทาน สุดท้ายถ้ายังมีอาการปัสสาวะบ่อยจนรบกวนชีวิตประจำวัน
ขอให้พบแพทย์ ในผู้ใหญ่ปัญหาที่เจอบ่อยคือกระเพาะปัสสาวะไวเกิน จะทำให้ “ช้ำรั่ว”
ได้บ่อยกลั้นลำบาก ไม่ยาก กรณีนี้มียารักษา ส่วนท่านที่เป็นท่อปัสสาวะอักเสบก็สามารถกินยาฆ่าเชื้อแล้วหายได้เช่นกัน
สำคัญที่ต้องไม่ทิ้งไว้นาน

ทั้งหมดก็คือเรื่องราวของเรื่องปัสสาวะที่ถูกเรียกว่า “เรื่องการเบา” แต่ถ้าเราไม่รีบรักษาดูแลเสียแต่เนิ่น ๆ
ปล่อยเพลิน ๆ ไปเรื่องการเบาก็จะกลายเป็นเรื่องหนักถึงขั้นมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ,ไตวายหรือโลหิตติดเชื้อได้

สำหรับขั้นตอนการตรวจก็แสนง่าย อย่างแรกเลยคือตรวจได้จากปัสสาวะ ยอมสละปัสสาวะเพียงนิดก็เอาไปส่องตรวจเชื้อหรือเพาะเชื้อได้แล้ว ส่วนถ้ายังไม่แน่ใจก็ให้คุณหมอท่านส่องกล้องดูในกระเพาะปัสสาวะได้


ที่มา : นพ.กฤษดา ศิรามพุช/by สาระแห่งสุขภาพ
[/color][/b][/size]
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #311 เมื่อ: สิงหาคม 16, 2013, 11:54:55 AM »

***กินอย่างไรห่างไกลโรคนิ่ว***

แม้ว่าโรคนิ่วจะสามารถรักษาได้ แต่ก็คงไม่มีใครอยากให้เป็น แล้วทำอย่างไร ถึงจะห่างไกลจากโรคนี้

นพ.ดนัยพันธ์ อัครสกุล หัวหน้างานศัลยศาสตร์ทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยกรรม รพ.ราชวิถี ให้ความรู้ว่า โรคนิ่วนั้นแบ่งออกเป็นสองชนิดหลักก็คือ นิ่วที่มีแคลเซียมกับนิ่วที่ไม่มีแคลเซียม

"นิ่วที่มีแคลเซียม" นิ่วประเภทนี้จะเหมือนกระดูกเอ็กซเรย์แล้วเห็นง่ายยิ่งเห็นสีเข้ม แสดงว่า นิ่วแข็งมากการรักษาก็ลำบาก ส่วน "นิ่วที่ไม่มีแคลเซียม" นิ่วแบบนี้เอ็กซเรย์ธรรมดาจะไม่เห็น ต้องทำวิธีพิเศษ เช่น ซีทีสแกน หรือ อัลตราซาวนด์ แต่อัลตราซาวนด์จะเห็นแค่ช่วงไตและท่อปัสสาวะ

การเป็นนิ่ว ใช่ว่าจะจบเพียงแค่นั้น เพราะมันยังสามารถมีภาวะแทรกซ้อนตามมา เช่น ติดเชื้อ ไตเป็นหนอง ต้องตัดไตออก หรืออาจนำไปสู่ภาวะไตวายได้เช่นกัน อาหารการกินนั้นเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งต่อการเกิดโรคนิ่ว ดังนั้น นี่คือ แนวทางที่ต้องรู้ในการบริโภคเพื่อห่างไกลจากโรคนิ่วไปชั่วนิจนิรันดร์

1.อาหารที่ควรเลี่ยง
1.1 ผักที่มีสีเขียวเข้มเคี้ยวแล้วกรุบๆ กรอบๆ มีแคลเซียมสูงอาจทำให้เป็นนิ่วได้
1.2 ชาที่เข้มหรือชงหลายครั้งมาก จะมีออกซาเลดหลุดออกมา การทานชาที่ถูกต้องควรทานน้ำเดียวชงครั้งเดียวแล้วทิ้งเลย
1.3 วิตามินซี (จำพวกยาเสริม) ถ้าทานเกินสามกรัมต่อวัน จะทำให้เกิดผลึกออกซาเลตและเป็นนิ่วได้ เพราะวิตามินซีที่ทานเข้าไป สามารถถ่ายเทออกทางท่อปัสสาวะและอาจจะมีการตกค้าง หากทานในปริมาณที่มาก
1.4 บางคนเชื่อว่า ดื่มโซดาช่วยให้ไม่เป็นนิ่วได้ ตรงนี้ไม่มีตัวเลขชัดเจน แต่มีบางแหล่งข้อมูลระบุว่าโซดาสามารถทำให้เกิดนิ่วได้

2.อาหารที่ควรรับประทาน
2.1 ควรดื่มน้ำสะอาด มากกว่า 8 แก้วต่อวัน โดยดื่มทีละน้อยตลอดวัน
2.2 ควรดื่มน้ำผลไม้อย่างน้อย 2ชนิดต่อวัน โดยเฉพาะชนิดที่มีซิเทรต สารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุจำพวกโพแทสเซียม แมกนิเซียมสูง เช่น น้ำมะนาวเข้มข้น น้ำส้ม น้ำแอปเปิล
2.3 ทานผัก ธัญพืช และผลไม้ ซึ่งมีวิตามิน ใยอาหาร และแร่ธาตุที่ช่วยยับยั้งการเกิดนิ่ว ลดการทำลายของเซลล์เยื่อบุหลอดไต ลดการอักเสบ เพิ่มซิเทรตในปัสสาวะ
2.4 ไขมันจากพืชและจากปลา มีกรดไขมันโอเมก้า-3ช่วยลดการอักเสบการเสื่อมของไต และลดปริมาณแคลเซียมที่เป็นสารก่อนิ่ว

ที่มา : ผู้จัดการ/by สาระแห่งสุขภาพ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #312 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2013, 09:45:27 AM »


สาระแห่งสุขภาพ
***วัยทองของสตรี***

ช่วงของชีวิตที่สตรีทุกคนต้องประสบเมื่ออายุถึงวัยกลางคน หรือเมื่ออายุประมาณ 45-55 ปี ในวัยนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง ของเลือดประจำเดือนมามากบ้าง น้อยบ้าง ขาดหายไปบ้างในบางเดือน สุดท้ายประจำเดือนจะขาดหายไปเกิน 12 เดือน จึงเรียกว่า หมดประจำเดือน

การหมดประประจำเดือน มี 2 ลักษณะ ได้แก่ ประจำเดือนหมดไปตามธรรมชาติ และ การหมดประจำเดือนโดยการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ทั้ง 2 ข้าง ออกไป ในร่างกายของผู้หญิงจะมีรังไข่สร้างฮอร์โมนเพศ ตั้งแต่เข้าสู่วัยรุ่น คือฮอร์โมนเอสโตรเจน และโปรเจสโตรเจน ฮอร์โมนทั้งสองนี้จะมีบทบาทในการพัฒนาร่างกายให้มีรูปร่าง และสัดส่วนของสตรี ทำให้มีการทำงานของระบบต่างๆในร่างกายเป็นปกติ

รังไข่จะมีการตกไข่ทุกเดือน ไข่ที่ถูกผสมแล้วจะฝังตัวในโพรงมดลูก และเจริญเป็นทารกต่อไป ถ้าไข่ไม่มีการผสมและฝังตัวดังกล่าวเยื่อบุโพรงมดลูกจะลอกหลุดออกมาเป็น เลือดประจำเดือน เหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดขึ้นทุกเดือน จนเข้าวัยหมดประจำเดือนรังไข่จะเริ่มทำงานลดลง มีการตกไข่น้อยลง หรือบางเดือนไม่มีการตกไข่ทำให้ประจำเดือนช่วงนี้ของผู้หญิงมาบ้างไม่มาบ้าง การสร้างฮอร์โมนก็จะลดลงด้วย แต่ไม่ถึงกับหมดไป อาการเช่นนี้จะค่อยเป็นค่อยไปร่างกายสามารถปรับได้ ทำให้ผู้หญิงส่วนใหญ่ไม่รู้สึกมีอาการผิดปกติ

นอกจากการขาดหายไปของประจำเดือนเท่านั้น สำหรับผู้ที่หมดประจำเดือนโดยการผ่าตัดมดลูกและรังไข่ทั้ง 2 ข้างออกไป ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนอย่างเฉียบพลัน เป็นผลทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้นในสตรีบางราย ซึ่งจะต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์ แต่ในสตรีบางรายอาการจะดีขึ้นเองเมื่อร่างกายมีการปรับตัวให้ชินต่อระดับฮอร์โมนที่ลดต่ำลง

อาการเตือนของวัยทองมีอะไรบ้าง
เมื่อเข้าสู่วัยหมดประจำเดือน ระยะนี้มีการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนเกิดขึ้นเป็นผลทำให้เกิดอาการผิดปกติในสตรีบางราย

อาการที่เกิดขึ้นในระยะแรกที่เริ่มเข้าวัยหมดประจำเดือน
1. กลุ่มอาการทางระบบหลอดเลือดและประสาทควบคุม
- ร้อนวูบวาบตามใบหน้าและลำคอ
- เหงื่อออกตอนกลางคืน
- ใจสั่น
- ปวดศีรษะบ่อย
- นอนไมหลับ
2. ระบบปัสสาวะและอวัยวะสืบพันธุ์
- เจ็บเวลามีเพศสัมพันธุ์
- ปัสสาวะบ่อยกลั้นไม่ได้
- ปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จาม
3. อาการทางจิตประสาท
- อารมณ์แปรปรวน
- อ่อนเพลีย ไม่มีแรง
- หลงลืมง่าย
- หงุดหงิด
4. ผิวหนัง
- ผิวหนังแห้ง
- เล็บเปราะบาง
- ผมแห้ง ร่วงง่าย

อาการที่อาจปรากฏในระยะหลังประจำเดือนหมดไปหลายปี
- โรคกระดูกพรุน
- โรคหัวใจแลหลอดเลือด

การเตรียมตัวล่วงหน้าก่อนถึงวัยหมดประจำเดือนจะช่วยป้องกัน และบรรเทาปัญหาต่างๆได้ เช่น
- พบแพทย์เพื่อตรวจสุขภาพประจำปี
- รับประทานอาหารครบ 5 หมู่ และให้หลากหลาย
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
- ผ่อนคลายความเครียด เช่น การฝึกสมาธิ พักผ่อนกับครอบครัวและเพื่อนๆ
- ลดสิ่งให้โทษร่างกาย เช่นบุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ
- พบปะสังสรรค์เพื่อนฝูงวัยเดียวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และทำกิจกรรมที่มีประโยชน์ร่วมกัน


ที่มา : โรงพยาบาลพญาไท/by สาระแห่งสุขภาพ



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #313 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2013, 09:46:20 AM »


สาระแห่งสุขภาพ
***2 ดาวเด่นเสริมเอสโตรเจน***

1. น้ำมะพร้าว : อุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี นอกจากนั้นยังมีน้ำตาล กลูโคสดื่มช่วยให้ร่างกายสดชื่นได้อย่างรวดเร็ว

คุณสมบัติที่โดดเด่นของน้ำมะพร้าวกับผู้หญิงก็คือ ช่วยเรื่องความสดใสของผิวพรรณเพราะในน้ำมะพร้าวมีเอสโตรเจน ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ทำให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย

นอกจากนั้นยังมีงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ยืนยันว่าน้ำมะพร้าวช่วยชะลอโรคอัลไซเมอร์ในกลุ่มหญิงวัยทองได้อีกด้วย

2.เต้าหู้ : เต้าหู้ที่เราคุ้นเคยกันดีนั้นมีดีซ่อนอยู่มากมายค่ะ ในถั่วเหลืองนั้นอุดมไปด้วยสารอาหารต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12 ไนอาซิน และวิตามิน C, D, E และในเมล็ดถั่วเหลืองยังมี "เลซิทิน" ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความทรงจำ ลดไขมัน และลดโคเลสเตอรอลในร่างกายได้อีกด้วย

เต้าหู้นอกจากจะเป็นแหล่งโปรตีนที่ดีแล้ว ยังดีกับผู้หญิงเราตรงที่ในเต้าหู้จะมีสารเคมีที่ชื่อว่า ไอโซฟลาโวน ซึ่งมีคุณสมบัติคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจน ประโยชน์ของสารตัวนี้สามารถลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านม โรคกระดูกพรุน โรคหัวใจและหลอดเลือดได้

สำหรับนมถั่วเหลืองหรือน้ำเต้าหู้ ถือเป็นเครื่องดื่มชั้นดีจะช่วยเพิ่มฮอร์โมนเอสโตรเจนให้กับผู้หญิงได้ สำหรับปริมาณที่ควรดื่มคือวันละ 1-2 แก้ว เวลาที่เหมาะสมที่จะดื่มคือตอนท้องว่าง และก่อนหรือหลังมื้ออาหารประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อให้ร่างกายได้รับประโยชน์มากที่สุด เนื่องจากในนมถั่วเหลืองมีไฟเบอร์ที่ย่อยยาก หากกินพร้อมอาหารอาจทำให้ระบบย่อยและดูดซึมอาหารในมื้อนั้นลดประสิทธิภาพลงได้


ที่มา : women40plus.com/by สาระแห่งสุขภาพ




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #314 เมื่อ: สิงหาคม 20, 2013, 09:47:56 AM »


ย้ำเตือน โทษของผงชูรส



2013-08-19 11:08:50

เชื่อว่าส่วนใหญ่แล้วในห้องครัวเกือบทุกบ้านต้องมี "ผงชูรส" เป็นหนึ่งเครื่องปรุงรสที่อยู่ในครัวอย่างแน่นอน ที่มาของผงชูรสนั้น มาจากประเทศญี่ปุ่น โดยศาสตราจารย์ ดร.คิคุนาเอะ อิเคดะ ค้นพบว่าผลึกสีน้ำตาลที่สกัดจากสาหร่ายทะเลที่ชื่อว่าคอมบุ นั่นก็คือ กรดกลูตามิก อีกทั้งเป็นอาหารประเทศญี่ปุ่นอีกด้วย
แต่หากรับประทาน "ผงชูรส" มากเกินไป ก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ เพราะ "ผงชูรส" จะไปทำลายสมองส่วนที่ควบคุมการเจริญเติบโต นอกจากนั้นยังไปทำลายระบบสืบพันธุ์ ระบบประสาทตา และอาจจะเป็นต้นเหตุของโรคมะเร็งได้ โดยเฉพาะผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์ ไม่ควรจะรับประทาน เพราะหากรับประทานมากเกินไป ผงชูรสจะผ่านเยื่อที่กั้นระหว่างรก ทำให้ทารกในครรภ์จะได้รับผลโดยตรง
นอกจากนี้บางคนอาจจะมีอาการแพ้ผงชูรสอีกด้วย ผู้ที่แพ้ผงชูรสนั้นจะมีอาการชา ร้อนวูบที่ปากและลิ้น มีผื่นขึ้นตามร่างกาย แน่นหน้าอก หรืออาจจะมีอาการหายใจไม่สะดวก เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงอาหารที่ใส่ผงชูรส หรือไม่ควรรับประทานเกินวันละ 2 ช้อนชาต่อวัน และควรใช้ผงชูรสแท้ที่มีตรา อย. อีกด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณเองค่ะ



แหล่งที่มา : http://variety.teenee.com/


.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 19 20 [21] 22 23 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: