Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75421 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 2 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #345 เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2013, 08:13:07 PM »

6 สมุนไพรที่ลำไส้ต้องการ

ทำงาน เหนื่อยๆ ลำไส้ของเราก็อยากได้อาหารบำรุงเหมือนกันนะ และสมุนไพรทั้ง 6 ชนิดคือคำตอบที่กระเพราะและลำใส้ต้องการให้เราไปเสริมสุขภาพของมัน

ใบแมงลัก น้ำมันหอมระเหยจากใบแมงลักเป็นยาช่วยย่อยชั้นเซียน ลำไส้ใครไม่ค่อยทำงานจนท้องอืดท้องเฟ้อเป็นประจำ ลองชิมใบแมงลักสักสี่ห้าใบแล้วจะติดใจ

พริกสด ความเผ็ดซู่ซ่าของพริกคืออยากกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งน้ำลายออกมา จากนั้นเอนไซม์ของน้ำลายจะช่วยย่อยแป้งให้อ่อนตัวลง กระเพราะกับลำไส้จะได้ไม่ต้องทำงานโหลดจนเกินไป

หอมแดง แค่กินหอมแดงอย่างเดียว ลำไส้คุณก็ยิ้มแล้ว เพราะเท่ากับซื้อหนึ่งได้ถึง สี่ ได้แก่สารฟลาโวนอยส์ ไกลโคไซต์ เพคติน และกลูโคคินิน 4 สารบำรุงลำไส้และช่วยย่อยและทำให้เจริญอาหาร คุ้มกว่านี้มีอีกไหม

ใบกระเพรา ถึงชื่อเสียงของกระเพราจะมือมนไปมาก ตั้งแต่พัดกะเพราถูกตั้งชื่อว่าผักสิ้นคิด แต่สรรพคุณของมันยังแจ่มเหมือนเดิม โดยเฉพาะสรรพคุณในการขับน้ำดีในกระเพราะอาหารมาช่วยย่อยอาหารที่เรากินเข้า ไป

ตะไคร้ ให้เคี้ยวเดี๋ยวกินยากเกินไปหน่อย แต่ถ้าทำเป็นชาตะไคร้ หรือซอยบางๆกินกับยำ คงไม่ลำบากมากเกินไปสำหรับคนรักสุขภาพ สรรพคุณของตะไคร้เริ่ดไม่แพ้ใบกะเพรา คือช่วยขับน้ำดีออกมาย่อยอาหารเหมือนกัน สาวๆที่มีปัญหาอาหารไม่ย่อยไม่ควรพลาด

กระเทียม มี สูตรเด็ดเคล็ดลับสำหรับคนที่มีอาการอาหารไม่ย่อยมาฝาก ให้อากระเทียมมา 5 กลีบแล้วสับละเอียด กินทันทีหลังอาหาร กระเทียมมจะช่วยกระตุ้นให้กระเพราะอาหารจอมขี้เกรียดของคุณยอมย่อยอาหารมื้อ นั้นแต่โดยดี ถ้ากินทุกวันไม่นานอาการไม่ย่อยก็จะหายไปเอง
 
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #346 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 05:26:47 PM »

วิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้น



วิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้น
วิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้น
1.แต่ละวันควรดื่มน้ำบ่อย ๆ เพราะสมองประกอบด้วยน้ำ 85 % ที่ต้องการน้ำหล่อเลี้ยง
2. แนะนำให้กินไขมันดีระหว่างวัน จำพวกน้ำมันปลา สารสกัดใบแปะก๊วยปลาที่มีไขมันดีอย่าง ปลาแซลมอน นมถั่วเหลือง วิตามินรวม น้ำมันพริมโรสเป็นน้ำมันดี ที่ทำให้เชลล์ชุ่มน้ำ ส่วนวิตามินซีกินแล้วสดชื่น
3. นั่งสมาธิอย่างน้อยวันละ 12 นาที เป็นการฝึกสติและพักสมองทำการใช้ชชีวิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น
4. ควรตั้งใจทำในสิ่งใดก็ตาม เหมือนเป็นการสั่งสมองว่านี่คือสิ่งที่ต้องเกิด ระหว่างวันสมองจะปรับพฤติกรรมเราให้ไปสู่เป้าหมายนั้น ทำให้ประสบความสำเร็จในสิ่งต่าง ๆ เพราะสมองไม่แยกระหว่างสิ่งที่ทำจริงกับสิ่งที่คิดขึ้น ทั้งสองอย่างจึงเป็นเสมือนสิ่งเดียวกัน
5. หัวเราะและยิ้มบ่อย ๆ เพราะจะมีสารเอ็นโดรฟินซึ่งเป็นสารแห่งความสุข หลั่งออกมาเท่ากับเป็นการกระตุ้น ให้มีความอยากรักและหวังดีต่อคนอื่นไปเรื่อย ๆ
6. เรียนรู้สิ่งใหม่ทุกวัน สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน เช่น กินอาหารร้านใหม่ ๆ รู้จักเพื่อนใหม่ อ่านหนังสือเล่มใหม่ คุยกับเพื่อนร่วมงานและเรียนรู้วิธีการทำงานของเขา เป็นต้น เพราะการเรียนรู้สิ่งใหม่ทำให้สมองหลั่งสารเอ็นโดรฟิน และโดปามีน ซึ่งเป็นสารแห่งการเรียนรู้ กระตุ้นให้อยากเรียนรู้และ สร้างสรรค์ ไปเรื่อย ๆ เมื่อมีความสุขก็ทำให้มีความคิดสร้างสรรค์
7. ให้อภัยตัวเองทุกวัน ไม่โกรธคนอื่น ไม่โกรธตัวเอง เป็นการลดภาระของสมอง
8. เขียนบันทึกในสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นแต่ละวันลงในสมุดบันทึก เพราะการเขียนเรื่องดี ๆ ทำให้สมองคิดเชิงบวก พร้อมกับหลั่งสารเคมีที่ดีออกมา ช่วยให้หลับฝันดี ตื่นมาทำสมาธิได้ง่าย มีความคิดสร้างสรรค์
9. ฝึกหายใจลึก ๆ เพราะสมองใช้ออกซิเจน 20 .25% ของออกซิเจน ที่เข้าสู่ร่างกาย การฝึกหายใจเข้าลึก ๆ จึงเป็นการส่งพลังงานที่ดีไปยังสมอง ควรนั่งหลังตรงเพื่อให้ออกซิเจนเข้าสู่ร่างกายได้มากขึ้น ถ้านั่งทำงานนาน ๆ อาจหาเวลายืนหรือเดินยึดเส้นยืดสายเพื่อให้ปอดขยายใหญ่ สามารถหายใจเอาออกซิเจนเข้าปอดได้เพิ่มขึ้นอีก 20 %
10. ลองทำอะไรที่แตกต่างไปจากเดิมบ้าง เช่น ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ระหว่างการไปทำงาน การหยิบสิ่งของในที่มืด การปิดไฟเข้าห้องน้ำ การแต่งตัวในที่มืด การรับประทานอาหารโดยใช้มือที่ไม่ถนัด หรือการเลือกฟังเพลงที่ไม่เคยได้ยินเนื้อร้องมาก่อน แล้วหัดร้องตามไปจนร้องได้ เพราะจะช่วยฝึกให้สมองได้คิดและมีการพัฒนามากขึ้น
11. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
12. เดินทางท่องเที่ยวไปในสถานที่ไม่เคยไป จะช่วยให้สมองได้รับมือกับสิ่งเร้าที่น่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น ถือเป็นการพัฒนาสมองในอีกทางหนึ่ง
13. กินอาหารที่มีประโยชน์และบำรุงสมอง และต้องทานอาหารให้ครบทุกมื้อโดยเฉพาะมื้อเช้าคะ
การมีสมองที่ดีก็เหมือนทักษะทุกอย่างในโลกที่เรียนรู้ได้ แต่จะเก่งหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน ถ้าเราดูแลและฝึกฝนสมองให้ดี คุณภาพชีวิตก็จะดีตาม ลองทำตามวิธีฝึกสมองให้ฉลาดขึ้นดูนะคะ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #347 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 05:42:56 PM »



บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #348 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2013, 06:32:17 PM »

สาระแห่งสุขภาพ
***น้ำอัดลมมีผลทั้งเด็กและผู้ใหญ่***




ในปัจจุบันมีการผลิตน้ำดื่มประเภทต่างๆ ที่มีสีสันและรสชาติแปลกแตกต่างกันออกไป
"น้ำอัดลม"เป็นน้ำประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยมตลอดกาล
เพราะมีรสชาติที่ทั้งหวาน อร่อย ซ่าด้วยว่าส่วนผสมหลักของน้ำอัดลมก็คือ
น้ำและน้ำตาล และยังมีส่วนประกอบของกรดฟอสฟอริกและกรดคาร์บอนิก
ซึ่งมีคุณสมบัติที่ทำให้น้ำอัดลมเกิดฟอง เมื่อดื่มเข้าไปจะทำให้รู้สึกซ่า ชื่นใจ ดับกระหายได้
โดยเฉพาะสำหรับบ้านเราซึ่งเป็นเมืองร้อน
เมื่อได้ดื่มน้ำอัดลมเย็นๆเข้าไปแล้วจะทำให้รู้สึกว่าสดชื่นขึ้นมาทันที
บางคนจึงติดที่จะต้องดื่มทุกวันหรือติดถึงขั้นดื่มแทนน้ำเปล่าเลยก็มี

การดื่มน้ำอัดลมมีผลอย่างไรต่อเราบ้าง

-สำหรับผู้ใหญ่

1.ทำให้ท้องอืด เพราะน้ำอัดลมทำให้เกิดแก๊สในกระเพาะ จึงทำให้แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
และเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะด้วย

2.ทำให้นอนไม่หลับ ในน้ำอัดลมมีส่วนผสมของคาเฟอีน
ดังนั้น การที่ดื่มน้ำอัดลมในปริมาณที่มาก
อาจจะทำให้บางคนที่ไวต่อสารคาเฟอีนมีอาการปวดศรีษะ นอนไม่หลับและใจสั่น

3.ทำให้เป็นโรคอ้วนและโรคเบาหวาน วารสาร “โรคเบาหวาน” ของสหรัฐอเมริกา กล่าวว่า

การดื่มน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลวันละ1กระป๋อง หรือมากกว่านั้น
จะเสี่ยงต่อการเกิดโรคอ้วนและโรคเบาหวาน

-สำหรับเด็ก

1.ทำให้มีอารมณ์รุนแรง มีงานวิจัยที่เพิ่งออกมาในเร็วๆนี้ ระบุว่า
น้ำอัดลมอาจมีผลทำให้เด็กดื้อและมีพฤติกรรมก้าวร้าว
ที่เป็นเช่นนี้เพราะน้ำอัดลมมีส่วนผสมเป็นน้ำตาลอยู่มาก
ซึ่งทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นสูง ส่งผลให้เด็กโกรธง่าย ดื้อและก้าวร้าวนั่นเอง

2.ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพ เครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมส่งผลต่อสุขภาพเด็กไม่ต่างจาก
ผู้ใหญ่ทั้งแน่นท้องท้องอืด ทัองเฟ้อ โรคกระเพาะอาหาร ความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวาน

อีกทั้งทำให้ไม่อยากทานอาหารปกติเนื่องจากดื่มน้ำอัดลมจนอิ่ม

จึงอาจทำให้เป็นโรคขาดสารอาหารได้
นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสต่อการเป็นโรคเกี่ยวกับฟัน เช่น ฟันผุ เสียวฟัน

ดังนั้น หากรู้ว่าตัวเราเองหรือลูกๆของเราอยู่ในข่ายของการดื่มน้ำอัดลมมากเกินไป

ควรหันมาใส่ใจควบคุมดูแลการดื่มให้น้อยลงในปริมาณที่เหมาะสม

นอกนั้นให้เลือกดื่มน้ำเปล่าที่สะอาด ซึ่งการลดปริมาณการดื่มในช่วงแรกๆอาจมีผลให้ปวดศีรษะ

งอแง เฉี่อยชา ไม่อยากทำกิจกรรม
เนื่องจากการตัดทอนปริมาณคาเฟอีนและปริมาณน้ำตาลที่ได้รับเป็นเวลานานลง

แต่ก็จะดีกว่าที่เราและลูกต้องเผชิญกับปัญหาสุขภาพกาย

ที่จะประเดประดังมาทั้งโรคเบาหวาน

โรคอ้วน ความดันโลหิตสูง และยังช่วยปรับลดพฤติกรรมก้าวร้าวรุนแรงลงอีกด้วย

การระวังรักษาและดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรฉลาดในการกิน

รู้จักเลือกกินดื่มในสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อตัวเองและลูกๆ

เพื่อว่าเราทุกคนจะได้มีสุขภาพแข็งแรงไม่มีโรคภัยมาเบียดเบียน


ที่มา : trueplookpanya.com/by สาระแห่งสุขภาพ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #349 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2013, 07:49:35 AM »




สาระแห่งสุขภาพ
***สับปะรดดีต่อสุภาพสตรีและผู้ป่วย***

สับปะรดนอกจากจะหวานอร่อยแล้ว สับปะรดยังดีต่อสุขภาพ

ประโยชน์ของสับปะรดดีต่อสุขภาพ สตรีและผู้ป่วยอีกด้วย

สำหรับสุภาพสตรีที่มีอาการปวดประจำเดือน อาการอักเสบจากริดสีดวงทวาร

หรือผู้ป่วยอาการที่เกี่ยวข้องกับเส้นเลือดดำ โรคกระดูก ข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าท์

หากรับประทานสับปะรดเป็นประจำ จะช่วยบรรเทาอาการต่างๆเหล่านี้ได้ รวมไปถึงสมานแผลให้ทุเลาได้เร็วขึ้นด้วย

วิธีรับประทานสับปะรดให้ถูกต้อง

สำหรับการรับประทานที่ถูกวิธี ให้ใช้มีดใหญ่เฉือนเปลือกออกจนหมด

จากนั้นจึงใช้มีดตัดส่วนตาออกเป็นร่องเฉียงเป็นแถว ๆ เอาส่วนตาออกแล้วตัดเป็นชิ้น

แล้วเอาเกลือแกงทาให้ทั่วหรือมิฉะนั้นก็แช่ในน้ำเกลืออ่อน ๆ ประมาณ 2-3 นาที

การทาเกลือหรือแช่ในน้ำเกลือนอกจากจะทำให้รสชาติดีขึ้นแล้วยังเป็นการทำลายสารจำพวก Glycoalkaoid

และเอ็มไซม์บางชนิด ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้หลังรับประทาน

ข้อแนะนำของสับปะรด

ถึงแม้ว่าสับปะรด จะเป็นผลไม้ที่เยี่ยมยอดเลยก็ว่าได้สำหรับเรา

แต่หากรับประทานในปริมาณมากๆ อาจเป็นผลเสียต่อร่างกายได้ อาจเกิดแผลในกระเพาะอาหาร

ควรรับประทานสับปะรด ควบคู่ไปกับการทานอาหาร และผักผลไม้อื่นๆด้วย


ที่มา : women.thaiza.com/by สาระแห่งสุขภาพ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #350 เมื่อ: พฤศจิกายน 21, 2013, 07:51:40 AM »

People Magazine
10 เรื่องที่คนแข็งแรงด้านอารมณ์ไม่ทำ

1. เสียเวลาโทษตัวเองและจมอยู่กับอดีต
2. ใช้พลังงานชีวิตทิ้งไปโดยเปล่าประโยชน์กับสิ่งที่ควบคุมไม่ได้
3. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลง
4. กลัวความเสี่ยงแม้จะควบคุมได้
5. กังวลอยู่กับการตามใจผู้อื่น
6. ทำผิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
7. ยอมแพ้แม้เป็นเพียงความล้มเหลวครั้งแรก
8. คิดว่าทั้งโลกติดหนี้ตัวเอง...
9. คาดหวังกับความสำเร็จเพียงข้ามคืน
10. อิจฉาคนอื่นที่ประสบความสำเร็จ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #351 เมื่อ: พฤศจิกายน 25, 2013, 09:40:27 AM »

อาหารช่วยคลายเครียด

อาหารอารมณ์ดี กินง่ายๆ ต้องนี่เลย .....


แตงโม มีธาตุเย็นจากน้ำและมี "อาจินีน" เป็นเคมีที่ช่วยให้หลอดเลือดขยายช่วยให้กระปรี้กระเปร่า มี "ไลโคปิน" ช่วยต้นสนิมแก่จากธาตุเครียดในตัวได้ดี นอกจากนั้นพืชพวกแตง อาทิ แตงไทย,แตงกวา, แตงร้าน, แตงแคนตาลูป ก็ช่วยได้เช่นกัน

ส้มตำ มีกรดเผ็ด ซึ่งอุดมในพริกนั่นเอง กรดเผ็ดนี้เองที่เป็นตัวนำให้ "สารสุข" ในสมองหลั่งจนอิ่มเอิบใจ

ใบขี้เหล็ก, สะเดา, มะระขี้นก โดยเฉพาะขี้เหล็กมีสาร "บาราคอล" ที่ดับอารมณ์ซึมเศร้า

น้ำผึ้ง เป็นอาหารอารมณ์ดี กินแล้วน้ำตาล "ฟรุกโตส" ในน้ำผึ้งจะช่วยกล่อมอารมณ์ให้สบายใจมีพลัง

ข้าวโพด, กระยาสารท และธัญพืช มีธาตุอารมณ์ดีชื่อ "ทริปโตแฟน" เยอะ จะเปลี่ยนไปเป็นเคมีอารมณ์ดีชื่อ "ซีโรโทนิน" ใครมีเคมีดีๆ อย่างนี้เยอะก็ทำให้เป็นสุขใจ แก้ปวดหัว รักษาลำไส้แปรปรวน ช่วยต้านซึมเศร้าและทำให้เราแก่ช้าลงด้วย

แซนด์วิชทูน่า มี "โอเมก้า 3" และวิตามิน "บี 12 " มาก ช่วยบำรุงประสาท
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #352 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 05:44:16 PM »

"เต้าหู้" มีที่มาอย่างไร ?


  "เต้าหู้" กำเนิดขึ้นมากว่า 2,000 ปีแล้ว ในจีนแผ่นดินใหญ่ คนจีนบางกลุ่มถือว่าเต้าหู้เป็นอาหารที่มีคุณค่าสูงที่อยู่ในความธรรมดา สามัญ คนไทยเรียกเต้าหู้เพี้ยนมาจากภาษาจีนว่า 豆腐 อ่านว่า โตวฟู คนญี่ปุ่นเรียกกันว่า โทฟุ (tofu) คนอังกฤษเรียก bean curd หรือบางครั้งก็เรียกทับศัพท์ว่า tofu เช่นกัน ส่วนชาวฝรั่งเศสเรียกว่า fromage de soja (ชีสถั่วเหลือง)


ประวัติของเต้าหู้


เต้าหู้ก้อนแรกเกิดขึ้นในประเทศจีน เล่าขานกันว่า เจ้า ชายหลิวอัน (พระนัดดาของจักรพรรดิหลิวปัง กษัตริย์องค์แรกของฮั่น) สั่งให้พ่อครัวบดถั่วเหลืองให้เป็นผงแล้วนำไปต้มเป็นน้ำซุปด้วยเกรงว่ารสจะ จืดเกินไป จึงโปรดให้พ่อครัวเติมเกลือลงไปปรุงรส เพื่อถวายพระมารดาซึ่งประชวรหนักจนไม่มีแรงที่จะเคี้ยวอาหารได้


น้ำซุปถั่วเหลืองนั้นค่อยๆ จับตัวข้นเป็นก้อนสีขาวนุ่มๆ เมื่อพระมารดาเสวยแล้วถึงกับรับสั่งว่า "อร่อย" เจ้าชายจึงให้เหล่าพ่อครัวค้นหาสาเหตุ จึงพบว่าเกลือบางชนิดมีผลทำให้ผงถั่วเหลืองผสมน้ำเกิดการเกาะตัวขึ้นเป็นเต้าหู้


ชาวญี่ปุ่นรู้จักการปลูกถั่วเหลืองมานานแล้ว เต้าหู้เดินทางเข้ามาในญี่ปุ่นในสมัยนารามีการบันทึกว่า เคนโตะ พระญี่ปุ่นนำเต้าหู้มาเผยแพร่หลังจากกลับมาจากการศึกษาพุทธศาสนาที่ประเทศจีน แต่ยังเป็นอาหารที่รับประทานกันในหมู่พระญี่ปุ่น ร้อยปีถัดมา เต้าหู้จึงได้มาเป็นส่วนหนึ่งในเมนูของชนชั้นขุนนางและซามูไรส่วนประชาชนได้ลิ้มรสในสมัยเอโดะ
แต่พวกเขาเพิ่งรู้จักวิธีดัดแปลงถั่วเหลืองนำไปปรุงเป็นเต้าหู้เมื่อพุทธศตวรรษที่ 7 โดยทางพุทธศาสนา แต่ศาสนาพุทธในสังคมญี่ปุ่นสมัยนั้นเป็นศาสนาของชนชั้นกลางและชนชั้นสูง บทบาทเต้าหู้ในอาหารญี่ปุ่นจึงจำกัดไว้กับคนเฉพาะกลุ่มซึ่งแตกต่างจากจีนที่ไม่มีการแบ่งชนชั้น


วิธีการเตรียมอาหารจีนและญี่ปุ่นต่างกัน คือ คนจีนพยายามดัดแปลงเต้าหู้ในรูปแบบต่างๆ มากมาย เช่น อาจเปลี่ยนรูปทรงหรือรสชาติไป ในขณะที่คนญี่ปุ่นกลับพยายามรักษาความเรียบง่ายรวมทั้งรสชาติ รูปทรงและสีสันของเต้าหู้ให้คงไว้อย่างเดิมให้มากที่สุด พร้อมกับเสิร์ฟในจานหรือถ้วยที่สวยงามจนถือว่าเป็นศิลปะขั้นสูงแขนงหนึ่ง

ประโยชน์ของเต้าหู้


เต้าหู้ เป็นผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองซึ่งให้คุณค่าทางโภชนาการสูงโดยเฉพาะโปรตีน ซึ่งให้โปรตีนมากกว่าเนื้อสัตว์บางชนิดถึง 2 เท่าในปริมาณที่เท่ากันและมีราคาถูกอีกด้วย...


ถั่วเหลืองซึ่งนำมาผลิตเป็นเต้าหู้ยังมีเลซิติน ซึ่งมีผลในการลดไขมันและช่วยสงเสริมการทำงานของระบบประสาทที่เกี่ยวกับความทรงจำ รวมทั้งฮอร์โมนจากพืชที่เรียกว่า ไฟโตเอสโทรเจน ที่มีการวิจัยพบว่ามีผลในการป้องกันมะเร็งและมีผลดีต่อผู้หญิงวัยทองคือช่วย ชะลอภาวะหมดประจำเดือนและลดความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านม


จึงสรุปได้ว่า เต้าหู้เหมาะกับทุกคนในครอบครัวโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่วัย 40 ปีขึ้นไปเพราะเต้าหู้จะช่วยให้ระบบการย่อยทำงานได้ดีขึ้น

วิธีการทำเต้าหู้


การทำเต้าหู้เป็นกระบวนการผลิตที่ต้องใช้ความละเอียดอ่อนมาก ดั้งนั้นจึงมีผู้ที่ดูแลการผลิตเรียกว่า "เถ่าชิ่ว" หรือพ่อครัวเป็นผู้ที่มีความชำนาญและสมาธิอย่างสูง เริ่มด้วยการตวงถั่วเหลืองแล้วแช่ถั่วในน้ำพร้อมทั้งล้างน้ำจนกระทั่งสะอาด จากนั้นจึงนำไปบดด้วยเครื่องโม่เสร็จแล้วจึงกรองกากถั่วเหลืองออกจนได้น้ำ เต้าหู้ดิบแล้วนำไปต้ม (ขั้นตอนตรงนี้จะเป็นน้ำเต้าหู้สุกพร้อมดื่ม) นำน้ำเต้าหู้ที่ได้ผ่านการต้มแล้วแยกจะนำไปผ่านขั้นตอนการทำเป็นเต้าหู้ชนิดต่างๆ ต่อไปซึ่งการทำเต้าหู้แต่ละชนิดวิธีการก็จะแตกต่างกันออกไป

ชนิดของเต้าหู้


เต้าหู้ชนิดอ่อน


เต้าหู้ชนิดเหลืองนิ่ม วิธีการทำต่างจากเต้าหู้ขาวแข็งเพราะใช้แคลเซียมซัลเฟต (ผงยิปซัม หรือที่เรียกในภาษาจีนแต้จิ๋วว่า "เจียะกอ") ในการทำให้โปรตีนในน้ำนมถั่วเหลืองตกตะกอน ซึ่งเนื้อจะเนียนและไม่แข็งเท่าเต้าหู้ขาวแข็ง เมื่อตกตะกอนแล้วนำมาใส่ผ้าขาวบางห่อในบล็อกให้เป็นก้อนแล้วนำไปต้ม ใส่ขมิ้นให้ได้สีเหลือง คุณสมบัติเด่นของเต้าหู้เหลืองนิ่มคือ เมื่อนำไปทอดแล้วจะทำให้ได้เต้าหู้ที่กรอบนอกนุ่มใน เต้าหู้ชนิดนี้เหมาะที่จะนำไปผัดกับกุยช่ายขาว ทอดจิ้มน้ำจิ้มเปรี้ยวหวาน ทอดกินกับน้ำพริกกะปิหรือทอดจิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดก็ได้


เต้าหู้ชนิดขาวอ่อน ลักษณะอ่อนนุ่มกว่าเต้าหู้เหลืองนิ่ม กรรมวิธีการผลิตเหมือนกับเต้าหู้เหลืองนิ่มจะต่างกันเพียงเวลาในการทำน้อยกว่า เต้าหู้ชนิดนี้นิยมนำไปทำเป็นแกงจืด เต้าหู้นึ่งหรือสเต๊กเต้าหู้


เต้าหู้ชนิดห่อผ้า วิธีการทำเหมือนกับเต้าหู้ชนิดขาวอ่อน ต่างกันเพียงการบรรจุหีบห่อที่นำมาห่อผ้าแล้วมัดทำให้แข็งและคงรูปร่างได้ดีมากขึ้นเมื่อนำไปทำอาหาร ส่วนใหญ่จะนำไปทำเต้าหู้ทรงเครื่องหรือแกงจืด

เต้าหู้ชนิดแข็ง


เต้าหู้ชนิดขาวแข็ง ทำจากน้ำเต้าหู้ผสมกับดีเกลือ (แมกนีเซียมซัลเฟต) ที่ช่วยทำให้เกิดการตกตะกอนเมื่อตกตะกอนแล้วจึงนำไปใส่ในผ้าขาวที่ปูอยู่ในบล็อก พอสะเด็ดน้ำแล้วจึงห่อให้เป็นก้อนแล้วทำให้สะเด็ดน้ำอีกครั้งก็จะได้เป็นเต้าหู้ขาวแข็ง

เต้าหู้ชนิดเหลืองแข็ง วิธีการทำนำเต้าหู้ขาวแข็งไปหมักในเกลือแล้วจึงนำไปต้ม พร้อมทั้งใส่ขมิ้นให้เป็นสีเหลืองเคลือบบริเวณผิวของเต้าหู้ทำให้เนื้อ เต้าหู้ชนิดนี้แข็งและมีความยืดหยุ่นกว่าชนิดขาวแข็ง ส่วนใหญ่นำไปทำผัดไทย หมี่กะทิ ผัดถั่วงอก ผัดขลุกขลิกน้ำพริกเผาหรือนำไปผสมเป็นเครื่องก๋วยเตี๋ยวหลอด

เต้าหู้ชนิดทอด มีส่วนประกอบคล้ายกับเต้าหู้ขาวแข็งแต่มีสัดส่วนและเทคนิคที่แตกต่างกัน เนื้อสัมผัสที่ได้จากเต้าหู้ชนิดนี้มีความอ่อนนุ่มกว่าเต้าหู้ขาวแข็ง เมื่อนำไปทอดแล้วจะพองตัวมากกว่าและภายในจะมีเนื้อเต้าหู้อยู่ไม่พองหรือกลวง โดยมากจะใส่ในอาหารประเภทต้ม (พะโล้ ต้มผัดจับฉ่าย แกงต่างๆ และลูกชิ้นแคะ)


เต้าหู้ชนิดซีอิ๊วดำ วิธีทำนำเต้าหู้ชนิดเหลืองแข็งไปเคี่ยวกับซีอิ๊วดำและเครื่องเทศสมุนไพรต่างๆ เพื่อให้เกิดกลิ่นหอมและรสชาติที่แตกต่างโดยใส่น้ำตาลทรายแดงทำให้มีรสชาติ ที่กลมกล่อมสามารถเก็บไว้ได้นานกว่าเต้าหู้ชนิดอื่นๆ เพราะมีความชื้นน้อย ถ้าเก็บใส่ช่องฟรีซจะเก็บไว้ได้นานหลายเดือน นิยมนำไปยำกับเกี้ยมไฉ่ ผัดกับดอกกุยช่าย ใส่ในอาหารเจแทนเนื้อหมูในพะโล้เจหรือทานเป็นอาหารว่างก็ได้

เต้าหู้หลอด

เป็นเต้าหู้เนื้อนิ่มมีสองชนิดคือ ชนิดที่ทำมาจากถั่วเหลืองล้วนและชนิดที่ผสมไข่ไก่ (เรียกว่าเต้าหู้ไข่) นิยมนำมาใส่ในแกงจืด สุกียากี้ ทำเต้าหู้อบ เต้าหู้ตุ๋นหรือนำมาคลุกกับแป้งข้าวโพดแล้วทอด

เต้าหู้พวง
เป็นเต้าหู้หั่นเป็นชิ้นแล้วทอด ร้อยเชือกขายเป็นพวงใช้ใส่ในก๋วยเตี๋ยวเย็นตาโฟและพะโล้


เต้าหู้โมเมน
เป็นการผลิตแบบญี่ปุ่น เต้าหู้ชนิดนี้เนื้อค่อนข้างแข็งแน่น นำไปปรุงเป็นอาหารได้เหมือนเต้าหู้ขาวแข็ง

เต้าหู้คินุ
เป็นการผลิตแบบญี่ปุ่นเช่นกัน เนื้อเหมือนเต้าหู้ขาวอ่อนสามารถนำไปประกอบอาหารได้เช่นเดียวกับเต้าหู้ขาวอ่อน


วิธีเลือกซื้อเต้าหู้


- ทดสอบว่า เต้าหู้ยี่ห้อนั้นใส่สารกันบูดหรือไม่ โดยการนำมาวางไว้ที่อุณหภูมิห้องหนึ่งวันถ้าเสียแสดงว่าไม่ใส่สารกันบูด


- ต้องไม่มี เหงื่อหรือน้ำขุ่นขาวซึมออกมาจากเต้าหู้


- เมื่อดมดู แล้วต้องไม่มีกลิ่นเหม็นหรือกลิ่นเปรี้ยว


- สีใกล้เคียง กันทั้งก้อนไม่คล้ำและไม่มีจุดด่างดำ

การบรรจุหีบห่อแบบสุญญากาศจะช่วยให้เก็บเต้าหู้ได้นานขึ้น แต่ถ้าจะกินให้อร่อยเมื่อซี้อไปแล้วควรนำไปประกอบอาหารให้เร็วที่สุด สำหรับเต้าหู้ซีอิ๊วดำและเต้าหู้ทอดเท่านั้นที่ควรเก็บไว้ในช่องฟรีซส่วนเต้าหู้ชนิดอื่นๆ ให้เก็บในช่องเย็นธรรมดาหรือช่องใต้ช่องฟรีซจะทำให้เก็บไว้ได้นานขึ้น


ข้อมูลจาก สหวิชาดอทคอม และวิชาการดอทคอม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #353 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 05:47:00 PM »


การเลือกดื่มชาให้เมาะกับตัวเรา



หลายคนชอบดื่มน้ำชา แต่ในโลกนี้ มีชาสารพัดให้เราเลือก รสชาติ และสรรพคุณ ก็แตกต่างกันไป แม้ว่า ชาส่วนใหญ่ จะมีประโยชน์  แต่จะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับเรามากกว่า วันนี้เรามีเกร็ดความรู้เรื่องการเลือกดื่มชาให้เหมาะกับตัวเรา

1.ชามะลิ เหมาะกับผู้ที่ทำงานแบบใช้สมอง ต้องซีเรียสเครียดทั้งวัน หรือนักเรียนนักศึกษาที่ตรากตรำอ่านตำหรับตำราจนดึกดื่น ควรดื่ม ชามะลิ

2.ชาอูหลง ผู้ที่รักการออกกำลังกาย หรือทำงานที่ต้องใช้แรง เสียเหงื่อมาก ผู้นิยมรับประทานเนื้อสัตว์เป็นชีวิตจิตใจ ผู้ที่มีระดับคอเรสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง

3. ชาเขียว ผู้ที่ต้องผจญสูดดมอากาศเป็นพิษอยู่เสมอ อาทิ ผู้ที่ขับขี่หรือสัญจรไปมาด้วยรถจักรยานยนต์เป็นประจำ ผู้ที่ชอบดื่มสุรา เครื่องดื่มมึนเมา ผู้ที่มีระดับคอเรสเตอรอลสูง ไขมันในเลือดสูง เหมาะกับ ชาเขียว

4.ชาเขียว หรือ ชาดอกไม้ ผู้ที่ในแต่ละวันนั่งตัวติดกับเก้าอี้ ไม่ค่อยขยับเขยื้อนกายไปไหนเลย อีกทั้งปกติไม่ชอบออกกำลังกายด้วยแล้ว เหมาะอย่างยิ่งกับ ชาเขียว หรือ ชาดอกไม้

5.ชาผสมน้ำผึ้ง  ผู้ที่เข้าห้องน้ำแต่ละครั้งช่างทุกข์ทรมานเสียเหลือ เกิน แล้วยังมักท้องผูกเสมอๆ เหมาะกับ ชาผสมน้ำผึ้ง

6.มนุษย์ยุคไฮเทค ที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้ง วันทั้งคืน หากได้ดื่มชาเป็นประจำจะดีมากๆ (ชาอะไรก็ได้ทั้งนั้น) เช่น ว่างเมื่อไหร่ก็คว้าแก้วน้ำชาข้างมือยกมาดื่มสักอึกสองอึกแก้กระหาย จะช่วยป้องกันรังสีที่แผ่ออกมาจากเครื่อง อีกทั้งช่วยคลายเส้นคลายกระดูก ลดความอาการอ่อนเพลียได้อย่างชะงัดนักแล
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #354 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 05:49:40 PM »

เคล็ดลับ.. น่ารู้มีประโยชน์

1.  กิน หวาน มากทำให้ผิวเหี่ยว จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะ เมื่อร่างกายมีน้ำตาล อยู่ ในกระแสเลือดมากเกินไป มันจะไปเกาะติดกับเส้นใยโปรตีนที่อยู่ระหว่างเซลล์ ผิว ทำ ให้เกิดภาวะผิวเครียดขึ้น และนำไปสู่อาการแก่ก่อนวัย ผิวหยาบกร้าน และ เหี่ยวย่น ในที่สุด
 
2.  การยืนเอาปลาย นิ้ว มือแตะปลายนิ้วเท้าจะทำให้ผิวหน้าดูสดใส จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง โดยการยืนเอาปลายนิ้วมือแตะ ปลาย นิ้วเท้า ก้มตัวต่ำๆค้างไว้นับ 1-30 แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นจะทำให้โลหิต บริเวณหนังศีรษะ และใบหน้าหมุนเวียนได้ดียิ่งขึ้น ส่งผลกระทบให้ผิวหน้าดูสดใส ขึ้น
 
3.  เอาน้ำแข็งถูหน้า ก่อนนอนจะทำให้หายมันได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 ไม่จริง แต่แก้ปัญหาหน้ามันได้โดยการ ใช้น้ำเมือกว่านหางจระเข้ทาหน้าให้ทั่วใบหน้า ทาแล้วไม่ต้องล้างออก น้ำเมือกจะ แห้งไปเองภายใน ๕ – ๑๐ นาที ทำก่อนนอน แค่นี่หน้าก็จะ หาย
 
4.  การสวมเสื้อผ้า หนาๆ เพื่อให้เหงื่อออกเยอะๆ จะทำให้ผอมเร็วจริงหรือ
 

 เฉลย
 ไม่จริง การที่เหงื่อออกเยอะคือ ภาวะ ที่ ร่างกายโดนความร้อนแล้วระบายความร้อนออกมา ไม่ใช่การเผาผลาญไขมันออกมา เพราะ ฉะนั้นพอเราดื่มน้ำเข้าไป น้ำหนักก็จะเท่า เดิม
 
5.  คนผิวแห้งมีโอกาส เกิดริ้วรอยกว่าคนผิวมัน จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะคนผิวแห้งขาด ซีบัม หรือ สารไขมัน ทำให้กลไกลการปกป้องตนเองของผิวหนังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่ควร เพราะ ฉะนั้นคนผิวแห้งควรดูแล และทาครีมบำรุงเพื่อความชุ่มชื่นแก่ผิวพิเศษกว่าคนผิว มัน
 
6.  การฝึกกลั้นหายใจ สามารถชะลอหน้าแก่ก่อนวัยได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง โดยการหายใจออกทางปากอย่างช้าๆ จนสุดลม แล้วหายใจเข้าทางจมูกอย่างช้าๆ ให้เต็มปอด กลั้นไว้ระยะหนึ่ง แล้วจึง หายใจออกอย่างช้าๆ ทำแบบนี้วันละ 2 ครั้งๆ ละ 20 นาที จะช่วยชะลอผิวแก่ก่อนวัย และรอยคล้ำ ได้
 
7.  การ ร้องไห้ช่วยลดความอ้วนได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 ไม่จริง แต่การหัวเราะต่างหากที่ช่วย เผา ผลาญแคลอรีให้หมดไปได้ดีกว่าอยู่เฉยๆ ได้มากถึง 20% ซึ่งหากได้หัวเราะวัน ละสัก 10 -15 นาที จะช่วยเผาผลาญพลังงานลงได้มาก ถึง 50 แคลอรี
 
8.  กาวตราช้างใช้ รักษาส้นเท้าแตกได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะ เมื่อปิดหนังที่แตกด้วย กาวตราช้าง สิ่งสกปรกจะเข้าไปในรอยแตกไม่ได้ ผิวจะไม่ ถูกรบกวน จึงมีการซ่อม แซม ตนเองขึ้นมา มีการสร้างเซลล์ใหม่ และผลัดเซลล์เก่าออก กาวช้างก็จะหลุดออก ไป แต่ ห้ามใช้กับคนที่แพ้กาวตราช้าง
 
9.  การ เต้น รำทำให้ผิวสวยได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะ การเต้นรำเพียงวัน ละ 20 นาที ช่วยเผาผลาญแคลอรี กระตุ้นระบบการหายใจ และระบบหมุนเวียนโลหิต ทำ ให้เลือดลมเดินทั่วผิว ทำให้ผิวสวยมีสุขภาพ ดี
 
10.  การใส่ กระโปรงสั้นในห้องแอร์เป็นประจำทำให้ขาใหญ่ได้ จริง หรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะ ช่วงขาส่วนที่อยู่ นอกกระโปรงจะเกิดการสะสมไขมันเป็นพิเศษ เพื่อให้เข้ากับสภาพอากาศ โดยเฉพาะ เมื่อ ผิวหนังเจอความหนาวเย็น ทำให้เกิดเซลลูไลท์= A  
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #355 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 05:57:47 PM »

สูตรแห่งชีวิต

สูตรแห่งชีวิตประจำวัน สูตรที่ว่านี้มีง่าย ๆ อย่างนี้

๑. ดื่มน้ำให้มาก
๒. กินอาหารเช้าเหมือนราชา, รับประทานอาหารเที่ยงเหมือนเจ้าชายและเมื่อถึงอาหารเย็น, ให้วาดภาพว่าตัวเองเป็นแค่ขอทาน (แปลว่ากินมือหนักที่สุดตอนเช้า, และกลาง ๆ ตอนเที่ยงและตกเย็นแล้ว, ทำตัวเป็นยาจก, ไม่มีอะไรจะกิน...สุขภาพจะเป็นอย่างเทวดาทีเดียวเชียวแหละ)
๓. กินอาหารที่โตบนต้นและบนดิน, พยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่ผลิตจากโรงงาน
๔. ใช้ชีวิตบนหลักการ 3 E...นั่นคือ energy หรือพลังงาน, enthusiasm หรือกระตือตือร้น และ empathy คือเอาใจเขามาใส่ใจเราให้มาก ๆ
๕. หาเวลาทำสมาธิหรือสวดมนต์เสมอ
๖. เล่นเกมสนุก ๆ เสียบ้าง, อย่าเครียดกันนักเลย
๗. อ่านหนังสือให้มากขึ้น...ตั้งเป้าว่าปีนี้จะอ่านมากกว่าปีที่ผ่านมา
๘. นั่งเงียบ ๆ อยู่กับตัวเองสักวันละ 10 นาทีให้ได้
๙. นอนวันละ 7 ชั่วโมง
๑๐.เดินสักวันละ 10 ถึง 30 นาที, แล้วแต่จะสะกวด, ไม่ต้องเครียดกับมัน, วันไหนไม่ได้เดิน, ก็อย่าหงุดหงิดกับมัน
๑๑.ระหว่างเดิน, อย่าลืมยิ้ม


นั่นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสุขภาพกายและใจที่ผสมปนเปกันได้เสมอ, หากทำเป็นกิจวัตร, ชีวิตก็จะแจ่มใส, แต่อย่าทำให้ตัวเองเครียดด้วยการรู้สึกผิดถ้าหากวันไหนทำไม่ได้ตามที่วางกำหนดเวลาของตนเอาไว้


วันนี้ทำไม่ได้, พรุ่งนี้ทำก็ได้ แต่การไม่เอาจริงเอาจังกับตัวเองเกินไปไม่ได้หมายถึงการผัดวันประกันพรุ่ง, ซึ่งเป็นคนละเรื่องกัน


สูตรเกี่ยวกับบุคลิกของตัวเองที่ควรไปจะคู่กับสูตรสุขภาพมีอย่างนี้

๑. อย่าเปรียบเทียบชีวิตของตัวเองกับคนอื่น คุณไม่รู้หรอกว่าคนที่คุณอิจฉานั้นเขามีความทุกข์ยิ่งกว่าคุณอย่างไรบ้าง
๒. อย่าคิดทางลบเกี่ยวกับเรื่องที่คุณควบคุมหรือกำหนดไม่ได้ แทนที่จะมองโลกในแง่ร้าย, ก็ทุ่มเทกำลังและพลังงานให้กับความคิดทางบวก ณ ปัจจุบันเสีย
๓. อย่าทำอะไรเกินกว่าที่ตัวเองทำได้...รู้ว่าขีดจำกัดของตัวเองอยู่ที่ไหน
๔. อย่าเอาจริงเอาจังกับตัวเองนัก เพราะคนอื่นเขาไม่ได้ซีเรียสกับคุณเท่าไหร่หรอก
๕. อย่าเสียเวลาและพลังงานอันมีค่าของคุณกับเรื่องหยุมหยิมหรือเรื่องซุบซิบ....นอกเสียจากว่ามันจะทำให้คุณผ่อนคลายได้อย่างจริงจัง
๖. จงฝันตอนตื่นมากกว่าตอนหลับ
๗. ความรู้สึกอิจฉาริษยาเป็นเรื่องเสียเวลาเปล่า ๆ ปลี้ ๆ...คิดให้ดีก็จะรู้ว่าคุณมีทุกอย่างที่คุณจำเป็นต้องมีแล้ว
๘. ลืมเรื่องขัดแย้งในอดีตเสีย และอย่าได้เตือนสามีหรือภรรยาคุณเกี่ยวกับความผิดพลาดในอดีตของอีกฝ่ายหนึ่งเลย เพราะมันจะทำลายความสุขปัจจุบันของคุณ
๙. ชีวิตนี้สั้นเกินกว่าที่เราจะไปโกรธเกลียดใคร...จงอย่าเกลียดคนอื่น
๑๐.ประกาศสงบศึกกับอดีตให้สิ้น, จะได้ไม่ทำลายปัจจุบันของคุณ
๑๑.ไม่มีใครกำหนดความสุขของคุณได้นอกจากคุณเอง
๑๒.จงเข้าใจเสียว่าชีวิตก็คือโรงเรียน คุณมาเพื่อเรียนรู้ และปัญหาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของหลักสูตรซึ่งมาแล้วก็หายไป...เหมือนโจทย์วิชาพีชคณิต...แต่สิ่งที่คุณเรียนรู้นั้นอยู่กับคุณตลอดชีวิต
๑๓. จงยิ้มและหัวเราะมากขึ้น
๑๔. คุณไม่จำเป็นต้องชนะทุกครั้งที่ถกแถลงกับคนอื่นหรอก...บางครั้งก็ยอมรับว่าเราเห็นแตกต่างกันได้...เห็นพ้องที่จะเห็นต่างก็ไม่เห็นเสียหายแต่อย่างไร


แล้วเราควรจะมีทัศนคติอย่างไรต่อชุมชนและคนรอบข้างเราล่ะ? ๑. อย่าลืมโทรฯหาครอบครัวบ่อย ๆ
๒. จงหาอะไรดี ๆ ให้คนอื่นทุกวัน
๓. จงให้อภัยทุกคนสำหรับทุกอย่าง
๔. จงหาเวลาอยู่กับคนอายุเกิน 70 และต่ำกว่า 6 ขวบ
๕. พยายามทำให้อย่างน้อย 3 คนยิ้มได้ทุกวัน
๖. คนอื่นเขาคิดอย่างไรกับคุณไม่ใช่เรื่องของคุณสัก หน่อย
๗. งานของคุณไม่ดูแลคุณตอนคุณป่วยหรอก แต่ครอบครัวและเพื่อนคุณต่างหากเล่าที่จะดูแลคุณในยามคุณมีปัญหาสุขภาพ ดังนั้น, อย่าได้ห่างเหินกับคนใกล้ชิดเป็นอันขาด

และถ้าหากสามารถดำรงชีวิตให้มีความหมายได้, ก็ควรจะทำดังต่อไปนี้

๑. ทำสิ่งที่ควรทำ
๒. อะไรที่ไม่เป็นประโยชน์, ไม่สวย, ไม่น่ารื่นรมย์, จงทิ้งไปเสีย...เก็บไว้ทำไม?
๓. เวลาและพระเจ้าย่อมรักษาแผลทุกอย่างได้
๔. ไม่ว่าสถานการณ์จะดีหรือเลวปานใด, เดี๋ยวมันก็เปลี่ยน
๕. ไม่ว่าคุณจะรู้สึกอย่างไรในตอนเช้าของทุกวัน, จงลุกจากเตียง, แต่งตัวและปรากฎตัวต่อหน้าคนที่เราร่วมงานด้วย
...get up, dress up and show up.
๖. สิ่งที่ดีที่สุดยังมาไม่ถึง
๗. ถ้าคุณยังลุกขึ้นตอนเช้าได้, อย่าลืมขอบคุณพระเจ้าหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คุณนับถือเสียด้วย
๘. เชื่อเถอะว่าส่วนลึก ๆ ในใจของคุณนั้นมีความสุขเสมอ...ดังนั้น, ส่วนนอกของคุณทุกข์โศกไปทำไมเล่า?
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #356 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 06:05:28 PM »

"หน้ากากอนามัย" ต้องรู้จักใช้ให้ถูกวิธี


หน้ากากอนามัยที่ทำด้วยกระดาษควรเปลี่ยนวันละครั้ง หากไอ จาม ให้ใช้ กระดาษทิชชู หรือ ผ้าปิดปากปิดจมูก ไม่ควรใช้มือป้องจมูกปาก และหมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ...

ยอดผู้เสียชีวิตจาก ไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นในแต่ละวัน จนถึงปัจจุบันต้องหยุดแถลงจำนวนผู้เสียชีวิตรายวัน สร้างความตระหนกอกสั่นขวัญแขวนโดยทั่วกัน และต้องออกมาตรการป้องกันโรคหวัดชนิดนี้กันอย่างเข้มข้น

"หน้ากากอนามัย" เป็นอุปกรณ์อีกชนิดหนึ่ง ที่มีการหยิบยกขึ้นมารณรงค์ให้ผู้ที่ต้องการปกป้องตัวเองให้พ้นจากเชื้อหวัดได้รู้จักนำมาใช้กัน

ถึงแม้การใส่หน้ากากอนามัยจะเป็นเรื่องง่าย แค่หยิบสวมทับระหว่างปากกับจมูกให้มิดชิดพอดีก็เป็นอันเสร็จพิธีแล้ว แต่ก็อย่าเพิ่งดูแคลนสิ่งที่จะนำมาฝากกันในวันนี้ว่าเอาของง่ายๆมาบอกกันทำไม

ลองมารู้จักวิธีใช้หน้ากากอนามัยกันให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อโรคดีกว่า

สำนักโรคติดต่ออุบัติใหม่ กรมควบคุมโรค เผยแพร่วิธีใช้หน้ากากอนามัยป้องกันการแพร่เชื้อโรค บอกขั้นตอนการใช้ อย่างที่นำไปทำได้ทันทีว่า

ก่อนอื่นต้องล้างมือให้สะอาดก่อนสวม หน้ากากอนามัย

ขั้นที่สองจะต้องสวม หน้ากากให้คลุมทั้งจมูกและปาก โดยให้ขอบที่มีลวดอยู่ด้านบนสันจมูกและรอยจีบพับคว่ำลงหน้ากากอนามัยที่ทำด้วยกระดาษควรเปลี่ยนวันละครั้ง และทิ้งลงถังขยะที่มีฝาปิดหน้ากากที่ทำด้วยผ้า สามารถซักด้วยน้ำและผงซักฟอก ผึ่งแดดให้แห้งแล้วนำมาใช้ได้อีกที่สำคัญควรหมั่นล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังการไอ จามหรือสั่งน้ำมูก หากหน้ากากชำรุด หรือเปรอะเปื้อนควรเปลี่ยนชิ้นใหม่

ฝากกันอีกสักนิดสำหรับคนทั่วไปที่จะไปตามที่ชุมนุมชนคนหนาแน่น ควรปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ

หากมีอาการไอ จาม ให้ใช้ กระดาษทิชชูหรือผ้าปิดปากปิดจมูก หากไม่มีหรือหยิบไม่ทัน ไม่ควรใช้มือป้องจมูกปาก (เพราะหากป่วย เชื้อจะติดอยู่ที่มือ แล้วไปเปื้อนตามสิ่งของต่าง ๆ) ให้ไอจามใส่แขนเสื้อแทน จะช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายหรือเสมหะได้ดี.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #357 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 06:12:27 PM »

รู้ไว้ใช่ว่า


1. การแลบลิ้นให้น้ำลาย ยืดลงพื้น 3 หยด จะแก้เผ็ดได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง อาการเผ็ดเกิดจากสารที่ชื่อ แค ปไซซิน ที่อยู่ในพริกเข้าไปจับกับปลายประสาทรับรถที่ลิ้น ร่างกายจะก็จะแสดงปฎิ กริยาโดบขับน้ำลายออกมาชะล้างเอาเจ้าสารนี้ออกไป
 
2.  ดูดนมยางของเด็กทารก ตอนนอนจะแก้อาการนอนกรนได้ จริงหรือ
 

เฉลย
 จริง การคาบหรืออมนายางของเด็กทารก ไว้ในปากจะทำให้ลิ้นในปากอยู่นิ่ง ก็จะพลอยให้เนื้อเยื่อของเพดานไม่กระเทือน สั่นไหวขึ้นจึงไม่เกิดอาการกรน และไม่นอนอ้าปากอีก ด้วย
 
3.  การสูดกลิ่นตัว ผู้ชาย ทำให้หายเครียดได้ จริงหรือ
 

เฉลย
 จริง เพราะกลิ่นตัวผู้ชายที่เป็นคน รักนั้นมีสาร ฟีโรโมน ผสมอยู่โดยเฉพาะในผมและผิวของเขา เมื่อสูดดมแล้วจะช่วยลด อาการเครียดและเหนื่อยล้าลงได้
 
4.  แอปเปิ้ลผลิตกระแส ไฟฟ้าได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง ถ้าเสียบแผ่นสังกะสี และแผ่น ทอง แดง กรดในแอปเปิ้ลจะทำให้เกิดการแตกตัวของไอออน ทำให้ลูกแอปเปิ้ลเป็น เหมือน แบตเตอรี่ ซึ่งผลไม้ชนิดอื่นเช่น มะนาว เกรป ฟรุ๊ต หรือมันฝรั่ง ก็ทำได้ เช่น กัน
 
5.  ปัสสาวะ มนุษย์ใช้ทำยาสีฟันในสมัยโบราณ จริงหรือ
 

เฉลย
 จริง โดยแพทย์ชาวโรมันเชื่อว่า ปัสสาวะมนุษย์ มีคุณสมบัติทำให้ฟันขาว และแข็งแรง ยาสีฟันในยุคดังกล่าว จึง เป็น น้ำยาบ้วนปากที่ทำจากปัสสาวะมนุษย์
 
6.  วัวกระทิงเกลียดสี แดง จริงหรือ
 

เฉลย
 ไม่จริง เพราะ วัวเป็นสัตว์ตาบอดสี ไม่ สามารถแยกแยะสีต่างๆ ได้ แต่การที่วัวเมื่อถูกล่อด้วยผ้าแดงเหมือนในสนามสู้วัว แล้วก็พุ่งเข้าใส่นั้น เป็นเพราะความรำคาญ และเพราะถูกยั่วยุ มากกว่า
 
7.  เพชรแท้จะ ไม่ติดสีหมึก จริงหรือ
 

เฉลย
 จริง การทดสอบดูเพชรแท้นั้น ให้ป้าย น้ำหมึกสีดำไปบนเพชร ถ้ามีความลื่นออก ไม่ติดอยู่บนเพชร แสดงว่าเป็นเพชรแท้ แต่ ถ้ายังมีจุดดำตรงที่แต้มอยู่ ก็แสดงว่าเป็นเพชร เทียม
 
8.  การทะเลาะ กันทำให้แผลหายช้า จริงหรือ
 

เฉลย
 จริง เพราะ ความเครียดที่เกิดขึ้น ทั้งระหว่าง และหลังจากการทะเลาะกัน จะส่งผลให้ร่างกายลดการผลิตโปรตีนเม็ด เลือด ที่มีประโยชน์ต่อการรักษาบาดแผล หรือส่วนที่สึกหรอในร่างกายให้น้อยลง ทำ ให้บาดแผลต่างๆ หายช้า
 
9.  แสงแดด อ่อนๆ ช่วยป้องกันโรคซึมเศร้าได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะ แสงแดดอ่อนๆ จะช่วยลดการ สร้างฮอร์โมนเมลาโตนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการนอนหลับ ถ้าหากเก็บตัวอยู่ แต่ในที่มืดจะทำให้ฮอร์โมนตัวนี้สูงขึ้น และอาจส่งผลให้เกิดการง่วง เหงา ซึม เซา ได้
 
10.  การฟัง เพลง ช่วยบรรเทาอาการปวดข้อได้ จริงหรือ
 

 เฉลย
 จริง เพราะ การฟังเพลงทำให้สมอง หลั่ง สารเอนดอร์ฟินส์ ซึ่งเป็นฮอร์โมนสร้างความสุขออกมา ช่วยลดความดันโลหิต และ บรรเทาอาการปวดข้อลงได้ 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #358 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 06:19:27 PM »

โรคหน้าหนาวกับดวงตา


เมื่อลมหนาวมาเยือน โอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บช่วงหน้าหนาวก็เพิ่มขึ้น ซึ่งไม่เพียงแต่สุขภาพทั่วไป กลุ่มอาการตาแห้ง ก็เป็นอีกกลุ่มที่หลายคนมองข้าม

"นพ.ฐาปนวงศ์ ตั้งอุไรวรรณ" จักษุแพทย์โรงพยาบาลพระนั่งเกล้า ให้ข้อมูลว่า อาการตาแห้งเกิดจากสภาพแวดล้อมที่แห้ง ทำให้ประชาชนประสบกับอาการดังกล่าว ซึ่งมีข้อบ่งชี้ ดังนี้ 1.มีอาการปวดแสบปวดร้อนบริเวณดวงตา 2.ตาแดง 3.น้ำตาไหล 4.กระพริบตาบ่อย และ 5.ตาฝ้าฟาง โดยกลุ่มที่พบบ่อยมากที่สุด คือ ผู้สูงอายุ คนที่ใส่คอนแทคเลนส์ เด็กและผู้ที่ทำงานกลางแจ้ง เป็นต้น โดยการแก้ปัญหา ทำได้ด้วยการประคบเย็นบริเวณดวงตา โดยนำผ้าไปแช่ในตู้เย็น หรือชุบน้ำเย็นมาวางทาบโดยไม่ต้องกด ขยี้ หรือคลึง ซึ่งการวางผ้านั้นให้วางตั้งแต่ขมับซ้ายมาขมับขวาทาบทับหน้าผาก ตา และจมูก จนกว่าผ้าจะแห้ง หลังจากนั้น ให้นำผ้ามาชุบน้ำเย็นต่อ ซึ่งต้องทำติดต่อกันประมาณ 20 นาที และทำวันละ 2 ครั้ง จะช่วยให้อาการดีขึ้น อย่างไรก็ตาม หากใช้วิธีประคบเย็นแล้วอาการตาแห้งยังไม่หาย ผู้ป่วยควรรีบไปพบจักษุแพทย์ทันที

สำหรับการดูแลดวงตาไม่ให้มีอาการตาแห้ง ทำได้ 4 วิธี คือ

1.หลีกเลี่ยงการออกแดด

2.สวมแว่นกันแดดหรือหมวกทุกครั้งที่ออกแดด 

3.ดื่มน้ำก่อนออกจากบ้านทุกครั้งเพื่อทำให้ตาชุ่มฉ่ำ และเพื่อชดเชยการสูญเสียน้ำเวลาอยู่นอกบ้าน

4.รับประทานอาหารที่มีวิตามินเอสูง เช่น ผักสีเขียว ผักบุ้ง มะละกอ และแครอต เนื่องจากในกลุ่มเด็กนั้นมีอาการตาแห้งเกิดจากการไม่ได้รับประทานผักและผลไม้


"จริงๆ แล้วอาการตาแห้งไม่ได้ส่งผลกระทบที่รุนแรงต่อดวงตามากนัก แต่อาการตาแห้งจะสร้างความรำคาญให้กับผู้ป่วยมากกว่า ดังนั้น ประชาชนจึงควรที่จะรู้จักกับอาการตาแห้งเพื่อจะได้ไม่เกิดอาการวิตกกังวลจนเกินเหตุ รวมถึงจะได้สามารถตั้งรับ รู้วิธีการรักษาเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง โดยสามารถสังเกตอาการง่ายๆ คือ หากรู้สึกว่า มีการกะพริบตาอยู่ตลอดเวลาก็ให้สงสัยว่าอาจเข้าข่ายอาการนี้แล้ว" นพ.ฐาปนวงศ์กล่าว

ด้าน กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกมาเตือนกลุ่ม 6 โรคที่พบบ่อยในฤดูหนาวทุกปี ได้แก่ ไข้หวัดใหญ่ ปอดบวม หัด อีสุกอีใส มือเท้าปาก และอุจจาระร่วง โดยเฉพาะโรคระบบทางเดินหายใจ มีโอกาสป่วยง่ายสุด "นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์" ปลัด สธ. บอกว่า ช่วงฤดูหนาวแทบทุกปีจะพบปัญหากลุ่ม 6 โรคอยู่เสมอ โดยข้อมูลตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2555-กุมภาพันธ์ 2556 สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค รายงานพบผู้ป่วย 6 โรคฤดูหนาวรวม 471,172 ราย เสียชีวิต 355 ราย โรคที่มีความรุนแรงมากที่สุด คือปอดบวม เสียชีวิต 350 ราย จากที่ป่วยทั้งหมด 64,155 ราย รองลงมาคือไข้หวัดใหญ่ป่วย 23,255 ราย เสียชีวิต 1 ราย อุจจาระร่วง 351,611 ราย เสียชีวิต 4 ราย โรคมือเท้าปาก 13,823 ราย โรคอีสุกอีใส 17,251 ราย และโรคหัด 1,077 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็กเล็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น หอบหืด โรคปอดเรื้อรัง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคตับ โรคไต เบาหวาน โรคโลหิตจาง เนื่องจากมีภูมิต้านทานโรคต่ำ จึงติดเชื้อง่าย และอาการรุนแรงกว่าคนทั่วไป

สิ่งสำคัญในกลุ่มผู้ที่มีความเสี่ยงป่วยง่าย จะต้องไม่คลุกคลีใกล้ชิดและไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นหวัด ไอ จาม เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน โดยเฉพาะครอบครัวที่มีเด็กเล็ก รวมทั้งมีผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลเช่นผู้ป่วยอัมพาต ผู้สูงอายุที่ป่วยและช่วยตัวเองไม่ได้ ขอให้เพิ่มการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษ จุดที่ต้องเพิ่มความอบอุ่นเป็นพิเศษคือ ศีรษะ คอ และหน้าอก ซึ่งจะช่วยลดโอกาสเกิดโรคใน 6 กลุ่มได้

ง่ายๆ ไม่ยาก...



............


(ที่มา:มติชนรายวัน 9 ธ.ค.2556)

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #359 เมื่อ: ธันวาคม 12, 2013, 06:25:22 PM »



20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40



20 ข้อ ที่ควรรู้และปฏิบัติก่อนอายุ 40

1. ไม่ต้องตั้งใจเรียนมากไป เอาแค่พอใช้ได้ก็พอ
เพราะโลกแห่งความเป็นจริง วัดกันที่ผลงาน ไม่ใช่ที่เกรด

2. การทำกิจกรรมในรั้วมหาวิทยาลัยนั้นสำคัญมาก
พอๆ กับการคร่ำเคร่งหน้าตำราเรียน

3. เลือกงานที่เราชอบนั้นใช่ แต่อย่าลืมด้วยว่า อาชีพนั้น..
สามารถเลี้ยงดูตัวเราได้จริงหรือเปล่า ถ้าไม่ใช่ก็อย่าหลอกตัวเอง

4. เมื่อถึงวัยทำงาน ใครเก็บเงินก่อน รวยเร็วกว่าและสิ่งสำคัญ
ที่ต้องจำไว้ คือ “ชีวิตที่ไม่มีหนี้ คือชีวิตที่ประเสริฐที่สุด”

5. หาเป้าหมายในชีวิตให้เจอโดยเร็วที่สุด เพราะมัน
จะเป็นเครื่องนำทางของคุณ ในชาตินี้ตลอดไป

6. ซื้อบ้านก่อน ที่จะซื้อรถ เพราะบ้านมีแต่จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้น
รถมีแต่มูลค่าลดลง ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่า รถ=ลด

7. ดอกเบี้ยบ้านนั้นมหาโหดมาก รีบใช้ให้หมด
โดยเร็วพลัน ก่อนที่จะแก่ แล้วผ่อนไม่ไหว

8. การเก็บเงินเป็นแค่บันไดขั้นแรก
สู่ความร่ำรวย แต่ขั้นต่อมา คือ ต้องรู้จักลงทุน

9. อย่าเป็นศัตรูกับใครก็ตามบนโลกใบนี้ เพราะคุณจะไม่มีทาง
รู้ว่าวันหนึ่งเขาอาจจะยิ่งใหญ่มาก จนกลับมาทำร้ายคุณก็เป็นได้

10. คอนเน็คชั่นหรือสายสัมพันธ์เป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ
ต่อให้เก่งแค่ไหน ก็สู้การมีเพื่อนเยอะไม่ได้

11. ควรมีงานทำมากกว่า 1 งาน
เพราะความมั่นคง ไม่เคยมีบนโลกใบนี้

12. อย่าคิดว่าตัวเองทำอะไรได้แค่อย่างเดียว
เพราะความสามารถของคนเรา มีมากกว่า 1 เสมอ

13. เมื่อมีโอกาสใดก็ตามเข้ามา
จงอย่าปฏิเสธ ถึงจะล้มเหลว แต่มันก็คือ ประสบการณ์

14. สร้างเนื้อ สร้างตัว
ให้ได้เร็วที่สุด ในขณะที่คุณยังมีกำลัง ยังเป็นหนุ่ม-สาว
เพราะการฝ่าฟันอุปสรรคในช่วงอายุมาก ไม่ใช่เรื่องสนุก

15. ออกเดินทางท่องเที่ยวตั้งแต่ยังหนุ่มสาว
เพราะเมื่อมีครอบครัว การเดินทางจะเป็นเรื่องยุ่งยากกว่าเดิม

16. เลือกคู่ชีวิต จงคิดให้ดีๆ อย่าดูแต่ข้อดีของเขา
แต่ต้องดูด้วยว่าเราสามารถรับข้อเสียของเขาได้มากแค่ไหน

17. การมีแฟน หรือสามีภรรยา ยังเลิกกันได้ แต่ความเป็น
พ่อแม่ลูก นั้นเลิกกันไม่ได้ เพราะฉะนั้น ควรดูแลพวกเขาให้ดีๆ

18. ความสำเร็จที่มากมายแค่ไหน ก็ไม่สามารถ
ทดแทนความล้มเหลวของครอบครัวได้

19. ลองหาเวลาอยู่ว่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลยดูบ้าง อย่าแบก
โลกทั้งใบไว้คนเดียว และอีกอย่างงานก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต

20. สุขภาพเป็นเรื่องสำคัญอันหนึ่ง โปรดถนอม
ตัวเองให้มาก เมื่อยังเป็นวัยรุ่น อย่าใช้ชีวิตให้หนักเกินไป
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 22 23 [24] 25 26 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: