Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29 30 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75508 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #405 เมื่อ: มีนาคม 08, 2014, 09:12:43 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #406 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 08:55:39 PM »

นอนผิดท่าอาจทำให้เกิดโรคได้


ถึงแม้การนอนจะมีความสำคัญมาก แต่การนอนในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี นอนในสถานการณ์ที่ไม่ควรนอน หรือ ท่านอน ที่ไม่เหมาะสมกับสุขภาพของบุคคลผู้นั้น อาจทำให้เป็นโรคหรือผู้ที่เป็นโรคอยู่แล้วอาจทำให้สูญเสียชีวิตจากท่านอนที่ผิดได้

1. นอนในท่านั่ง

อุบัติเหตุทางรถยนต์หลาย ๆ รายเกิดจากการที่คนขับหลับใน ในเวลาที่นั่งขับรถอยู่ นอกจากนี้การนั่งหลับในรถเมล์ มักจะทำให้เกิดอาการปวดร้าวไปทั่วร่างกาย เนื่องจากร่างกายยังอยู่ในสภาพต่อต้านแรงโน้มถ่วงของโลก อาการที่พบบ่อยคือปวดคอ กระดูกคอเคลื่อนเมื่อรถหยุดกะทันหัน ปวดหลัง มือชา ขาชา มือบวม ขาบวม และปวดข้อเข่า ปวดหัว มึนศีรษะ เมารถ และมีบางรายหน้ามืด เป็นลมได้ เพราะนอกจากเลือดจะสูบฉีดขึ้นสมองไม่พอแล้วในบรรดารถปรับอากาศประจำทาง อากาศที่มาจากช่องลมไม่บริสุทธิ์ ถ้าจำเป็นต้องเดินทางไกลควรมีปลอกคอค้ำไว้ หรือเอาผ้าพันคออย่างหนา เช่น ผ้าขนหนูพันรอบคอไว้ ซึ่งนอกจากจะช่วยไม่ให้คอตก และถูกกระชากเวลานอนหลับแล้วยังรักษาความอบอุ่นของร่างกายได้ ควรใส่ถุงน่องรัดขาไว้เพื่อให้เลือดคั่งที่ขาน้อยลง ในกรณีที่ปรับที่นั่งให้เอนลงได้ ควรยกขาขึ้นไม่ให้ห้อยลงตลอดเวลา

ปัจจุบันเกือบเป็นปกติวิสัยที่คนเรามักเฝ้าดูโทรทัศน์จนหลับไปทั้ง ๆ ที่ยังอยู่ในท่านั่ง ทำให้เกิดอาการปวดต้นคอ ปวดหลัง และเจ็บก้นกบได้ อีกกรณีที่พบบ่อยคือคนเมาเหล้ามักจะนอนหลับไปขณะนั่งอยู่ และแขนอาจจะห้อยลงจากพนักพิงของเก้าอี้ โดยที่รักแร้วางทับอยู่กับสันของพนักเก้าอี้นั้น พอตื่นนอนพบว่าแขนข้างนั้นชาจนไม่มีความรู้สึก และบางครั้งก็ยกแขนไม่ขึ้นเป็นเวลานานหลายวัน เพราะกดถูกหลอดเลือดและเส้นประสาทใต้รักแร้ ทำให้แขนขางนั้นอ่อนแรงลง และสูญเสียความรู้สึกไป ในรายที่รุนแรงมากอาจเป็นอัมพาตของแขนข้างนั้นไปเลย การนอนหลับในท่านั่ง จึงเป็นท่าที่อันตรายควรหลีกเลี่ยงอย่างยิ่ง

2. ท่านอนหงาย

ปกตินอนหงายเป็นท่านอนที่คนปกตินิยมนอน ข้อดีคือต้นคอจะอยู่ในแนวเดียวกับร่างกายถ้าไม่หนุนหมอน หรือใช้หมอนต่ำ แต่ถ้าใช้หมอนสูง 2-3 ใบ จะทำให้คอก้มมาข้างหน้าทำให้ปวดคอได้ ในท่านอนหงายกะบังลมที่คั่นระหว่างช่องอกและช่องท้องจะทับอยู่บนปอด ทำให้การหายใจค่อนข้างลำบากเมื่อเทียบกับท่านั่ง จึงไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีโรคปอด ซึ่งควรหลีกเลี่ยงได้โดยยกส่วนบนของร่างกายให้สูงขึ้นในลักษณะครึ่งนอนครึ่งนั่ง โดยใช้หมอน 2-3 ใบวางรองด้านหลังไว้ หรือยกพื้นเตียงส่วนบนให้สูงขึ้น

ผู้ที่ความดันสูงอาจหายใจลำบากในท่านอนหงาย โดยเฉพาะผู้ที่เป็นโรคหัวใจ การทำงานของหัวใจ จะลำบากในท่านอนหงายราบ เพราะไม่สามารถสูบฉีดเลือดออกจากหัวใจได้ เกิดภาวะหายใจขัด คนที่เป็นโรคหัวใจมักจะต้องลุกขึ้นนั่งหรือยืน จึงหายใจสะดวกขึ้น สำหรับผู้ที่เกิดอาการปวดหลังอย่างเฉียบพลัน การนอนหงายในท่าราบทำให้อาการปวดรุนแรงขึ้นได้ ควรให้พาดขาทั้งสองไว้บนเก้าอี้ที่ใช้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งหรือวางพาดบนเตียงนอนขณะนอนหงายราบบนพื้นไม้ที่มีเสื่อปู

3. ท่านอนตะแคงซ้าย

เป็นท่านอนที่ช่วยลดอาการปวดหลังได้ แต่ควรมีหมอนข้างให้กอดและพาดขาได้ ข้อเสียของการนอนตะแคงซ้าย คือทำให้หัวใจซึ่งอยู่ข้างซ้ายเต้นลำบาก ในรายที่มีโรคปอดข้างขวา ทำให้หายใจไม่สะดวก เนื่องจากปอดข้างซ้ายที่ปกติจะขยายตัวไม่ได้เต็มที่ อาหารในกระเพาะถ้ายังย่อยไม่หมดก่อนเข้านอนจะคั่งอยู่ในกระเพาะทำให้เกิดลมจุกเสียดที่กระดูก ลิ้นปี่ได้ ซึ่งเป็นตำแหน่งของกระเพาะข้างซ้ายที่ติดขัดอาจเจ็บปวดจากการนอนทับเป็นเวลานาน และถ้าหนุนหมอนต่ำเกินไป ในท่านี้จะทำให้ปวดต้นคอได้ เนื่องจากคอตกมาทางซ้าย ซึ่งอาจแก้ไขได้โดยใช้หมอนสี่เหลี่ยมที่มีความสูงเท่าความกว้างของบ่าซ้าย ขาข้างซ้ายอาจรู้สึกชา ถ้าถูกทับเป็นเวลานาน

4. ท่านอนคว่ำ

แต่ก่อนเคยเข้าใจว่าทารกควรให้นอนคว่ำรูปหัวจะทุยสวย ไม่แบน แต่ปัจจุบันพบว่าในประเทศยุโรป หรืออินเดีย ทารกมีโอกาสเสียชีวิต เนื่องจากหายใจไม่ออกจากการที่จมูกหรือปากถูกทับไว้ โดยเฉพาะถ้านอนคว่ำและดูดนมอยู่บนอกมารดา หรือพื้นเตียงอ่อนนิ่มเกินไป นอกจากนั้นยังพบว่าน้ำนมอาจขย้อนออกมาในท่านี้

เนื่องจากนอนทับถูกกระเพาะอาหาร และถูกดูดเข้าไปในปอดได้ สำหรับผู้ใหญ่ การนอนคว่ำทำให้หายใจไม่สะดวก โดยเฉพาะในสตรีที่มีเต้านมใหญ่ สำหรับผู้ชายการนอนคว่ำทำให้อวัยวะเพศถูกทับอยู่ตลอดเวลา อาจกระตุ้นให้เกิดอาการฝันเปียก หรือเกิดอาการชาของอวัยวะเพศ การนอนคว่ำยังทำให้ต้นคอ เกิดอาการปวดได้ เนื่องจากต้องเงยมาข้างหลัง หรือบิดหมุนไปข้างซ้าย หรือข้างขวานานเกินไป ถ้าจำเป็นต้องนอนคว่ำ ควรหาหมอนรองใต้ท้องหรือใต้ทรวงอก โดยเฉพาะถ้าต้องการอ่านหนังสือในท่านอนคว่ำเพื่อไม่ให้เมื่อยคอ

5. นอนดิ้น

ที่จริงไม่ใช่ท่านอนใดท่านอนหนึ่ง คือ นอนหงาย นอนตะแคงซ้าย ตะแคงขวา นอนคว่ำ สลับกันไปเช่นอย่างเด็ก ๆ ที่ชอบนอนกลิ้งตัว แต่หัวเตียงไปจนถึงปลายเตียง จนอาจตกเตียงไปเลย แต่ท่านอนดิ้นน่าจะเป็นท่านอนที่ดีสำหรับผู้ใหญ่ เนื่องจากปรับท่านอนไปเรื่อย ๆ ตลอดเวลา ของการนอนหลับ เมื่ออายุสูงขึ้นการนอนดิ้นมักจะน้อยลง นอนหลับในท่าไหนมักจะตื่นขึ้นมาจากท่านั้นจึงทำให้เกิดอาการชาของแขนขาได้ หรือหายใจไม่สะดวก

การนอนเปลี่ยนท่าบ่อย ๆ จึงเป็นวิธีนอนหลับที่ดี โดยทั่วไปคนเราจะนอนหลับคืนละประมาณ 3-4 รอบ ๆ ละ 2 ชั่วโมง คือนอนหลับไม่ฝันและฝันสลับกันไป ขณะที่เราฝันกล้ามเนื้อจะอ่อนปวกเปียก ทำให้หายใจลำบาก หรือเกิดภาวะผีอำ คือวางแขนกดทับอยู่บนทรวงอกจนหายใจขัด แต่ไม่สามารถยกแขนออก ดังนั้นถ้าทุกครั้งที่เรารู้สึกตัว เมื่อผ่านภาวะฝันไปแล้วในแต่ละรอบ เราควรจะเปลี่ยนท่านอนจากท่าเดิมเป็นอีกท่าหนึ่งที่สบายขึ้น ไม่ควรปล่อยให้แขนขาชาเนื่องจากถูกทับจนขาดเลือด หรือไม่ได้ขยับตลอดคืน

ท่านอน ตะแคงขวา เป็นท่าที่ดีที่สุด ถ้าเทียบกับการนอนหลับในท่าอื่น ๆ เพราะหัวใจเต้นสะดวกและอาหารจากกระเพาะ ถูกบีบลงลำไส้เล็กได้ดี ทำให้ไม่คั่งค้างอยู่ในกระเพาะอาหารนานเกินไป และเป็นท่านอนที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ แต่ข้อเสียคือ อาจทำให้เจ็บ ปวดหัวไหล่ขวา ปวดคอถ้าใช้หมอนต่ำเกินไป หายใจไม่สะดวก ถ้าปอดข้างซ้ายมีปัญหา และขาข้างขวาถูกทับจนชาได้

การนอนหลับเป็นส่วนหนึ่งของการดำรงชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี ดังนั้นจึงควรปฏิบัติให้ถูกต้อง เช่นเดียวกับการปฏิบัติตนในเวลาตื่นนอน



เวลานอนก็มีส่วนสำคัญ ควรนอนวันละกี่ชั่วโมง


ที่มา..หมอชาวบ้าน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #407 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 08:57:27 PM »

รส 5 รสของพืชผัก

รส 5 รสของพืชผัก 5 รสนั้น หมายถึง รสเปรี้ยว ขม หวาน เผ็ด และเค็ม ที่มีความเกี่ยวข้องกับอวัยวะทั้ง 5 ในร่างกายอย่างแน่นแฟ้น อย่างเช่น รสเปรี้ยวเป็นรสของตับ เข้าเส้นตับ รสขมเป็นรสของหัวใจ เข้าเส้นหัวใจ รสหวานเป็นรสของม้ามเข้าเส้นม้าม รสเผ็ดเป็นรสของปอดเข้าเส้นปอด เค็มเป็นรสของไต เข้าเส้นไต
           หมายความว่าในชีวิตประจำวัน เราปรุงรสอาหารอย่างไรล้วนส่งผลต่ออวัยวะที่เกี่ยวข้องในระดับที่ต่างกัน รสทั้ง 5 รสมีคุณประโยชน์ ถ้าใช้ให้พอเหมาะจะช่วยเสริมส่งอวัยวะนั้นให้แข็งแรง แต่ถ้ามากเกินไป จำเจต่อเนื่องยาวนานเกินไปจะส่งผลต่อที่เป็นโทษต่ออวัยวะที่เกี่ยวข้องกับรสอาหารนั้นๆ เช่น รสเผ็ด เข้าเส้นปอด ช่วยกระจาย ทำให้ชี่เลือดเดินดี หากกินพอเหมาะ และเหมาะสมกับเวลาจะทำให้ปอดแข็งแรง เช่น ถ้าโดนฝน โดนแอร์เย็นๆ จนจะเป็นหวัดเย็นในระยะเริ่มแรก ถ้ากินอาหารรสเผ็ด ประเภทต้มยำรสแซบหรือน้ำขิง จะช่วยให้หายจากอาการหวัด แต่ถ้าในชีวิตประจำวันกินอาหารรสจัด เผ็ดมาก และร่างกายของคนนั้นเป็นคนธาตุร้อน จะทำให้ร้อนใน เจ็บคอ ปากลิ้นเป็นแผล ริดสีดวงทวารกำเริบได้ อาหารรสเผ็ด มี หัวหอม ขิง เป็นต้น


รสเค็ม เข้าเส้นไต บำรุงไต ระบายอุจจาระ เค็มที่พอดี จะทำให้รสชาติอาหารดี แต่กินเค็มจัดและกินเค็มเป็นประจำ จะทำให้เป็นความดันโลหิตสูง ความเค็มเข้าเส้นไตมากๆ ไตต้องขับออก จะทำให้ไตทำงานหนัก ท้ายสุดโรคไตก็จะมาเยือน อาหารรสเค็ม มี สาหร่ายทะเล


รสเปรี้ยว เข้าเส้นตับ หากตับอ่อนแอ ต้องการเลือดมาก อย่างเช่น คนเพิ่งเริ่มตั้งครรภ์ แพ้ท้อง จะชอบกินของเปรี้ยวจัด เพราะจะช่วยบำรุงตับ แต่คนที่คนกินรสเปรี้ยวจัดเป็นประจำ ทำให้ตับต้องทำงานหนัก มีผู้ป่วยเป็นคนชอบกินยำเปรี้ยวจัดเป็นประจำ ผ่านไป 2-3 ปี เล็บเธอเป็นเส้น เล็บแห้งกร้าน ตาแฉะ เหมือนมีทรายอยู่ในตาเป็นประจำ พอห่างรสเปรี้ยวแล้ว อาการดังกล่าวค่อยๆ ดีขึ้น หรือคนที่ตับไม่แข็งแรง เป็นโรคตับอยู่แล้ว หากกินของเปรี้ยว จะมีอาการตาแฉะ ตามัว ไม่สบายตา น้ำตาไหล ปากขม เจ็บชายโครงขวา เป็นต้น ไม่เชื่อลองสังเกตดู


รสขม เข้าเส้นหัวใจ มีฤทธิ์ในการลดไฟ คลายหงุดหงิด เหมาะสำหรับคนธาตุร้อน ในขณะที่ปลายลิ้นเป็นแผลเรากินพืชผักหรือยาขม อาการจะบรรเทาลง แต่สำหรับผู้ที่ชี่และหยางตับอ่อนแอ กินของขมหรือหนาวเย็น จะมีอาการแน่นหน้าอก เจ็บหัวใจ ให้เห็นได้ทันที อาหารรสขม มี มะระ ดีบัว


รสหวาน เข้าเส้นม้าม บำรุงม้าม เวลาม้ามอ่อนแอจะชอบกินหวาน ความหวานสร้างกล้ามเนื้อ ดังนั้นคนที่ชอบกินหวานจึงอ้วน แต่ถ้าในร่างกายชื้น มีเสมหะมาก หากกินหวานมาก เสมหะจะมากขึ้นทันดี อาหารรสหวาน มี มันเทศ ข้าวโพด

รสจืด ช่วยระบายปัสสาวะ รักษาบวม ถ้าไม่มีอาการชื้นไม่ควรใช้ เช่น ฟักเขียว ลูกเดือย


จากที่กล่าวมา พืชผักในธรรมชาติหรืการปลูก จะมีรสที่ต่างกัน เหมาะกับร่างกายที่ต่างกัน และแม้ว่าจะเป็นอาหาร แต่การบริโภคต้องเลือกให้เหมาะกับร่างกาย และไม่ควรเลือกกินแต่ที่ชอบ และกินอย่างเดียวอย่างจำเจ จะทำให้ร่างกายเสียความสมดุล แทนที่ร่างกายจะแข็งแรงกลับนำพาการเจ็บไข้ได้ป่วยมาสู่ตัวเราเองได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #408 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 08:59:03 PM »

รู้ทัน เชื้อโรคในห้องน้ำ!!!…

เชื้อโรคที่มากับห้องน้ำมีมากมายหลายชนิดและสะสมอยู่ตามจุดต่าง ๆ ในห้องน้ำที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ที่ผ่านมากรมอนามัยได้ทำการศึกษาผลการตรวจการปนเปื้อนในห้องส้วมสาธารณะ เพื่อหาเชื้อฟีคัลโคลิฟอร์ม (Faecal coliform Bacteria) ซึ่งเป็นตัวชี้วัดว่ามีการปนเปื้อนอุจจาระในห้องส้วมพบ ๗ จุดโดยเรียงจากจุดที่มีเชื้อโรคมากที่สุด คือ ที่จับสายฉีดน้ำชำระ ตรวจพบเชื้อโรคมากที่สุดร้อยละ ๘๕.๓ บริเวณพื้นห้องส้วม พบเชื้อโรคร้อยละ ๕๐.๐ ที่รองนั่งโถส้วม พบเชื้อโรคร้อยละ ๓๑.๐ ที่กดโถส้วมและโถปัสสาวะ พบร้อยละ ๗.๗ ที่เปิดก๊อกน้ำล้างมือ พบร้อยละ ๖.๙ และกลอนประตูหรือลูกบิด พบร้อยละ ๒.๗
นอกจากจุดเสี่ยงนี้แล้วภายในห้องน้ำยังมีอุปกรณ์ในการชำระร่างกายหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีการปนเปื้อนเชื้อโรคที่แตกต่างกันสามารถแยกประเภทได้ ดังนี้ คือ เชื้อฟีคัลโคลิฟอร์ม มักพบบริเวณ


“ที่จับสายฉีดชำระ”
เป็นแบคทีเรียในกลุ่มโคลิฟอร์มที่อาศัยอยู่ในลำไส้ของคนและสัตว์เลือดอุ่น ถูกขับถ่ายออกมากับอุจจาระ เชื้อของฟิคัลโคลิฟอร์มเข้าสู่ร่างกายจะ ส่งผลให้เกิดการถ่ายอุจจาระที่มีจำนวนมากกว่าปกติถึง ๓ ครั้งขึ้นไปหรือถ่ายเป็นน้ำหรือเป็นมูกเลือด สิ่งที่ต้องระวังเมื่อป่วยเป็นโรคอุจจาระร่วงนี้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาหยุด ถ่ายเพราะจะทำให้ลำไส้ต้องเก็บกักเชื้อโรคไว้นานขึ้น ซึ่งโรคนี้หากคนที่สุขภาพแข็งแรงก็ไม่อันตราย แต่ผู้ที่ป่วยเป็นโรคอื่น เช่น ภูมิแพ้ เบาหวาน ผู้สูงอายุและเด็ก อาจมีความเสี่ยงได้
วิธีทำความสะอาดสายฉีดชำระ ทำได้โดย เช็ดถูที่จับ หัวฉีด และสายฉีดน้ำชำระด้วยน้ำยาฆ่าเชื้ออย่างน้อยวันละ ๑ ครั้ง


“ฝักบัวอาบน้ำ”
เราสามารถพบเชื้อแบคทีเรียมายโคแบคเทอเรียมเอเวียม (Mycobacterium avium) หรือเอ็มเอเวียม (M.avium) สะสมอยู่ ส่งผลให้ผู้ติดเชื้อมีอาการเหนื่อย ไอแห้ง หายใจลำบากเรื้อรังและหมดแรง เชื้อดังกล่าวเป็นอันตรายต่อผู้ที่มีโรคทางพันธุกรรมที่ก่อให้เกิดโรคในปอดและทางเดินอาหารและภูมิคุ้มกันบกพร่องและผู้ที่บำบัดมะเร็ง ส่วนผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงมีภูมิคุ้มกันปกติก็ไม่ต้องกังวลมากนัก ซึ่งวิธีหลีกเลี่ยงจากแบคทีเรียเหล่านี้คือ การใช้ฝักบัวโลหะ เนื่องจากจุลินทรีย์เติบโตในวัสดุประเภทนี้ได้ยาก ทั้งนี้ จากงานสำรวจของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโคโลราโดประเทศสหรัฐอเมริกา พบว่าฝักบัวเป็นแหล่งซุกซ่อนแบคทีเรียที่ไหลมาตามสายน้ำลงมาสู่ใบหน้า และร่างกายก่อให้เกิดโรคปอดซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง

วิธีทำความสะอาดฝักบัว
ให้ถอดหัวฝักบัวออกแล้วใช้แปรงสีฟันขัดคราบสกปรกออก โดยใช้ผงซักฟอกหรือน้ำยาล้างจานขัดออกหรือจะใช้มะนาวผ่าครึ่งซีกถูก่อนแปรง ก็ได้ สำหรับฝักบัวที่ถอดไม่ได้ให้นำถุงพลาสติกใส่น้ำส้มสายชูพอประมาณ เอาฝักบัวใส่ไว้ในถุงน้ำส้มสายชูแล้วผูกถุงให้แน่นทิ้งไว้ ๑ คืน จากนั้นนำฝักบัวออกมาล้างน้ำสะอาดก็จะได้ฝักบัวที่สะอาดแถมน้ำยังไหลได้ สะดวกอีกด้วย


“ใยขัดตัวหรือฟองน้ำ”
ใช้ถูตัวเป็นสิ่งที่ใช้ชำระความสกปรกตามซอกต่าง ๆ ของร่างกาย ซึ่งต้องเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคอย่างดี โดยเฉพาะเชื้อราที่แบ่งตัวได้ดีในที่ที่มีความชื้นสูง โดยสปอร์ของ มันจะทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ เช่น ปฏิกิริยาภูมิแพ้ โรคหอบหืด ปอดอักเสบ ก่อให้เกิดความระคายเคืองต่อตา จมูก หลอดลม ทำให้เกิดอาการปวดแสบปวดร้อน
ดังนั้นควรเลือกฟองน้ำถูตัวที่ไม่หนามาก ซักฟองน้ำถูตัวด้วยสบู่และน้ำสะอาดทุกครั้งหลังจากใช้แล้วควรแขวนตากให้แห้ง


“ผ้าม่านพลาสติก”
นักจุลชีววิทยายืนยันแล้วว่าคราบสีดำที่เกาะอยู่กับผ้าม่านพลาสติกในห้องน้ำ นั้นคือแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ละอองจากการเรอ ไอ และจามของคนจะช่วยทำให้แบคทีเรียชนิดนี้เติบโต
วิธีป้องกันควรถอดผ้าม่านพลาสติกไปซักอาทิตย์ละครั้งหรือย่างน้อยเดือนละ ๒ ครั้ง


“ผ้าเช็ดมือ-เท้า”มีความเปียกชื้นตลอดเวลา จึงกลายเป็นที่อยู่อาศัยของเชื้อรา
วิธีป้องกัน ควรแขวนผ้าเช็ดมือ-เท้าหรือวางไว้ที่ลมผ่านหรือนำมาตากให้แห้งหลังใช้งานทุกครั้ง


“แปรงสีฟัน” เป็นของส่วนตัวที่ต้องดูแลมากเป็นพิเศษเพราะเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในช่องปาก ซึ่งในห้องน้ำมีเชื้อโรคหลายชนิด หนึ่งในเชื้อโรคนั้นคือ เชื้อโรต้าไวรัสและเชื้อสเตร็ปโตค็อกคัสที่ติดโดยการสัมผัสผ่านทางจมูกและ ปาก
วิธีป้องกันต้องเก็บแปรงสีฟันไว้ในกล่องมีรูระบายอากาศ เพื่อป้องกันความเปียกชื้นและล้างแปรงสีฟันทุกครั้งก่อนแปรงฟัน


“อ่างล้างหน้า”
เป็นจุดที่อุดมไปด้วยเชื้อโรคนานาชนิด โดยเฉพาะแบคทีเรีย ที่ชอบความเปียกชื้นเป็นพิเศษในบางบ้านอาจมีเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบอาศัยอยู่ด้วย
วิธีป้องกันทำความสะอาดอ่างล้างหน้าอย่างน้อยอาทิตย์ละ ๑ ครั้ง


“ชักโครก”
เป็นเครื่องรองรับของเสียจากร่างกาย ไม่ต้องบอกก็พอจะทราบว่าการทำธุระส่วนตัวแต่ละครั้งมีเชื้อโรคแพร่กระจายมาก น้อยเพียงใด อีกทั้งฝารองนั่งก็มีเชื้อโรคต่าง ๆ แฝงอยู่ไม่น้อย
วิธีป้องกันคือใช้นำหมักชีวภาพเทลงชักโครกทุกอาทิตย์และทำความสะอาดชักโครกด้วยน้ำยาทำความสะอาดทุกวัน



ห้องน้ำเป็นห้องที่มีอากาศไม่ถ่ายเทและเปียกชื้นอยู่ตลอดเวลา จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคชั้นยอด ถึงแม้ว่าเชื้อโรคเหล่านี้จะไม่สามารถทำอันตรายผู้ที่มีสุขภาพแข็งแรงได้ แต่เรามั่นใจมากน้อยเพียงใดว่าวันหนึ่งเราจะไม่เจ็บป่วยเพื่อเปิดโอกาสให้ เชื้อโรคเหล่านี้เข้ามาเล่นงาน ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดคือต้องรู้เท่าทันจุดที่มีเชื้อโรคหมักหมมหรือก่อตัว เพื่อหมั่นทำความสะอาดแหล่งเพาะเชื้อโรคนั้นเป็นประจำป้องกันไม่ให้เชื้อโรค มีโอกาสเข้าสู่ร่างกายทำให้เจ็บป่วยได้


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #409 เมื่อ: มีนาคม 10, 2014, 09:22:01 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #410 เมื่อ: มีนาคม 11, 2014, 08:58:56 PM »

22 จานเด็ด อาหารไทย ช่วยลดเสี่ยงมะเร็ง

ผลวิจัยล่าสุดจากมหาบัณฑิตสาขาพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล พบว่า 22 ตำรับอาหารไทยช่วยป้องกันและลดความเสี่ยงมะเร็งได้

อาจารย์มลฤดี สุขประสารทรัพย์ ผู้วิจัยได้สร้างแบบจำลองเลียนแบบการกินอาหารที่มีสารก่อมะเร็ง อาทิ อาหารปิ้ง ย่าง รมควัน และอาหารที่ต้มตุ๋นเป็นเวลานาน โดยนำอาหารไทยเหล่านั้นมาทำปฏิกิริยากับไนไตรท์ ในสภาวะคล้ายการย่อยอาหารของคน ได้ผลวิจัยว่า อาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีที่สุด ตามลำดับ ได้แก่

1. คะน้าน้ำมันหอย 2. ไก่ทอดสมุนไพร 3.ทอดมันปลากราย 4. แกงเลียง 5. ไข่เจียวใส่หอมหัวใหญ่พร้อมมะเขือเทศ 6. กะเพรากุ้งใส่ถั่วฝักยาว 7. แกงเผ็ดเป็ดย่าง 8. แกงจืดตำลึง 9. ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ 10. ส้มตำไทย 11. ผัดผักรวมน้ำมันหอย

ส่วนอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ดีในระดับกลาง ตามลำดับได้แก่

12. ฉู่ฉี่ปลาทับทิม 13. น้ำพริกลงเรือ 14. ห่อหมกปลาช่อนใบยอ 15. แกงจืดวุ้นเส้น 16. แกงเขียวหวานไก่ 17. แกงส้มผักรวม 18. ต้มยำเห็ด

และอาหารไทยที่ป้องกันมะเร็งได้ต่ำ มีอยู่ 4 ชนิดตามลำดับ คือ

19. เต้าเจี้ยวหลน 20. น้ำพริกกุ้งสด 21. ต้มยำกุ้ง 22. ยำวุ้นเส้น

อาจารย์มลฤดี สุขประสารทรัพย์ อาจารย์ประจำสถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่เริ่มมาตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นนักศึกษาอยู่ในระดับชั้นปริญญาโท โดยแรกเริ่มมีความสนใจในเรื่องอาหารไทย จึงเริ่มจากการทดลองเบื้องต้นในหลอดทดลอง จึงพบว่าส่วนประกอบของอาหารไทยใน 1 เมนู ล้วนมีส่วนประกอบที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น ผัก มะละกอ สมุนไพร รวมไปถึงเครื่องเทศต่างๆ อย่างเช่น แกงเลียง เมื่อรับประทานเข้าไปจะมีกากอาหารที่เข้าไปดักจับสารพิษในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีการขับถ่ายอย่างปกติ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า แกงเลียงสามารถต้านมะเร็งลำไส้ได้ เป็นต้น

อาจารย์มลฤดี กล่าวต่อไปว่า ในเบื้องต้นผลการวิจัยดังกล่าวยังไม่สามารถบอกได้ 100 เปอร์เซ็นต์ว่า อาหารไทยทั้ง 22 เมนูจะสามารถป้องกันและต่อต้านโรคมะเร็งได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เนื่องจากผลการวิจัยในบทความเป็นเพียงแต่แนวโน้มที่มีความเป็นไปได้และต้องการให้ผู้อ่านตระหนักถึงว่า ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และอาหารไทยก็มีประโยชน์ต่อร่างกายเช่นกัน

: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก โดย สถาบันโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล

http://www.thaihealth.or.th/


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #411 เมื่อ: มีนาคม 13, 2014, 08:46:02 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #412 เมื่อ: มีนาคม 15, 2014, 02:53:54 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #413 เมื่อ: มีนาคม 15, 2014, 02:55:25 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #414 เมื่อ: มีนาคม 17, 2014, 09:16:52 PM »




9 เคล็ดลับนี้ ถือว่าเป็นทฤษฎีของการแพทย์ทางเลือกที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็งที่ต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ได้แก่

1. งดโปรตีนจากสัตว์ระยะหนึ่ง เพราะโปรตีนจากสัตว์จะเป็นสารที่เร่งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง

2. งดไขมันจากสัตว์ เพราะไขมันจากสัตว์จะไปเร่งขบวนการสร้างเยื่อหุ้มเซลล์เสริมให้มะเร็งโตเร็วขึ้น

3. งดการใส่น้ำตาลลงในอาหารหรือเครื่องดื่มทุกชนิด

4. งดอาหารที่มีรสเค็มจากเกลือหรือน้ำปลาที่ปรุงในอาหารเพื่อป้องกันภาวะโซเดียมเกิน

5. รับประทานผักที่ปลอดสารพิษเช่นผักที่ปลูกเอง ซึ่งผักมีแร่ธาตุที่สำคัญและวิตามินต่าง ๆ มากมายและไม่เป็นการเพิ่มสารพิษเข้าสู่ร่างกายจากผัก พร้อมทั้งมีกากอาหารเพื่อดูดซับสารพิษให้ออกจากร่างกาย โดยเฉพาะน้ำผักปั่นแบบต่าง ๆ ทานสม่ำเสมอทุกวัน

6. พักผ่อนให้เพียงพอ โดยควรนอนหลับก่อน 21.00 น.

7. ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอทุกวันอย่างน้อยวันละ 15 นาที โดยใช้โยคะ ชี่กง หรือฤาษีดัดตน

8. ทำจิตใจให้แจ่มใส โดยการฝึกทำสมาธิหรือเดินจงกรมอย่างน้อยวันละ 15 นาที เพราะผลเสียของความเครียดจะกดภูมิต้านทานร่างกายให้ต่ำลง

9. สวดมนต์ภาวนาแผ่เมตตาให้สรรพสัตว์ตามความเชื่อของแต่ละศาสนาทำสม่ำเสมอทุกวัน

และนี่คือทางเลือกหนึ่งของผู้ป่วยโรคมะเร็งที่สามารถปฏิบัติเองได้ง่าย ๆ เพื่อสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะหากสุขภาพจิตดี สุขภาพกายก็แข็งแรงตามไปด้วยจริง ๆ ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #415 เมื่อ: มีนาคม 19, 2014, 06:19:41 PM »



ได้อ่านแล้วเห็นว่าเป็นประโยชน์เลยนำมาแบ่งปันให้เพื่อนๆได้ทราบด้วยค่ะ ลองอ่านกันดูนะคะได้ประโยชน์จริงๆค่ะ

มหาวิทยาลัยไถต้า ประเทศไต้หวัน นายแพทย์หวังเจิ่นอิ ผู้เชี่ยวชาญด้านกระเพาะอาหารและลำไส้ได้บอกด้วยความปราถนาดีว่าให้กินผลไม้ ในช่วงที่เวลาท้องยังว่างนั่นก็คือก่อนอาหารนั่นเองและหลังอาหารให้ดื่มเครื่องดื่มที่ร้อน เท่านี้ คนที่เป็นมะเร็งก็จะไม่ตายแล้วไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม ซึ่งวิธีการรักษาได้ถูกค้นพบแล้ว

ศาสตราจารย์ นายแพทย์หวังเจิ่นอิ ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยไถต้าพูดต่อว่าการนำวิธีดังกล่าวมาใช้นั้น สัมฤทธิ์ผลถึง 80% ซึ่งคนไข้ที่ป่วยด้วยโรคมะเร็งมีโอกาสจะหาย ไม่ว่าท่านจะเชื่อ หรือไม่ก็ตาม ผมเชื่อว่าวิธีการรักษาได้ถูกค้นพบแล้ว

สำหรับผู้ที่บำบัดและรักษาด้วยวิธีที่ใช้อยู่โดยทั่วไปซึ่งสุดท้ายผู้ป่วยต้องเสียชีวิตไปและข้าพเจ้ารู้สึกเสียดายเป็นอย่างยิ่ง หลังบำบัดมีคนไข้ไม่กี่คนที่สามารถอยู่รอดได้เกิน 5 ปี ซึ่งส่วนใหญ่แล้วจะอยู่รอดได้ 2-3 ปีเท่านั้น จึงถูกมองว่าการรักษาที่ใช้โดยทั่วไปแล้วดูแล้วไม่น่าจะได้ผล ปกติ ผู้ป่วยไม่รับการรักษาใดใดทั้งสิ้น ผู้ป่วยก็สามารถอยู่รอดได้ถึง 2-3 ปีอยู่แล้ว การรักษาที่ใช้โดยทั่วไปนั้น คนไข้จะถูกบำบัดด้วยเคมีหรือระบบฉายแสง ซึ่งทำให้เซลที่ดีของคนไข้ พลอยได้รับพิษเข้าไปด้วย มีผลทำให้ร่างกายยิ่งอ่อนแอลง เซลจะไม่มีแรงต่อต้านอีด้วย จึงทำให้เชื้อแพร่กระจายเร็วขี้น และมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฎิกิริยาในด้านอื่นๆอีก


รับประทานผลไม้สด

เมื่อพูดรับประทานผลไม้สดก็จะนึกถึง ผลไม้หั่นเป็นชิ้นๆ เคี้ยวแล้วรีบกลืนลงท้อง ความจริงไม่ง่ายเช่นนั้น ถ้าต้องการกินที่ได้ผล ต้องพิถีพิถันในเวลารับประทานผลไม้ดังกล่าว อะไรคือการกินแบบถูกวิธี ? อย่ากินผลไม้หลังอาหาร ควรกินช่วงเวลาที่ท้องว่างเปล่าเท่านั้น เช่นนี้แล้ว ผลไม้ถึงจะได้บรรลุผลในการฆ่าเชื้อ และสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย รวมถึงลดความอ้วนได้อีกด้วยและมีผลต่อการร่วมและการก่อกำเนิดปฎิกิริยาในด้านอื่นๆอีก ผลไม้จึงจัดได้อาหารที่มีส่วนสำคัญต่อการดำรงชีวิต

ลองนึกภาพดู เรากินขนมปัง 2 แผ่น หลังจากนั้น กินผลไม้ 1 ชิ้น ตามหลักแล้ว ผลไม้จะผ่านผนังกระเพาะอาหารก่อนเข้าสู่ลำไส้ แต่กลับถูกกีดกันจากอาหารอื่นที่รับประทานก่อนหน้าที่จะรับประทานผลไม้ เมื่อผลไม้ที่กินเข้าไปได้ถูกผสมกับอาหารและน้ำย่อยที่เป็นกรดในกระเพาะอาหารสรรพคุณผลไม้ก็ถูกเปลี่ยนไปด้วย

การรับประทานผลไม้ก่อนอาหาร

หลังอาหารแล้วรับประทานผลไม้ คุณคงเคยได้ยินคนบ่นว่า ทุกครั้งที่กินแตงโมก็จะสะอึก ถ้ากินทุเรียน ท้องจะจุก หากกินกล้วยหอม จะระบายอ่อนๆ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่มาจากผลไม้และอาหารที่ที่เริ่มย่อยสลายผสมผสานจนเกิดแก๊สขี้น แต่ทว่า ถ้ารับประทานผลไม้ก่อนรับประทานอาหารก็จะไม่เกิดเหตุดังกล่าว ผมขาว ผมร่วงศรีษะล้าน เคร่งเตรียด นอนหลับน้อยจนขอบตาดำ เมื่อทานผลไม้ในขณะท้องว่าง ลักษณะดังกล่าวเบื้องต้น ก็จะจางหายไป

ดร. เฮ่อโป๋ ได้บอกผลวิจัยไว้ว่า เมื่อผลไม้เข้าสู่ร่างกายจะมีผลเป็นด่าง ดั่งเช่น ผลส้ม หรือมะนาวที่มีรสเปรี้ยวก็ตาม แต่ก็ล้วนเป็นอาหารที่มีความเป็นด่างนั่นเอง ประเด็นสำคัญ คือการรับประทานผลไม้ในเวลาที่ว่างเปล่า เพื่อให้ผลไม้ได้ช่วยเสริมความสวยงาม และอายุจะได้ยืนยาวนาน สุขภาพที่แข็งแรง มีพลามัยที่ดี มีความสุขและหุ่นดีอีกด้วย เมื่อคุณคิดจะดื่มน้ำผลไม้ ก็อย่าดื่มน้ำผลไม้กระป๋อง อย่านำผลไม้หรือน้ำผลไม้ไปอุ่นให้ร้อน เพราะจะเหลือเพียงรสชาติ คุณประโยชน์ที่ดีของผลไม้จะถูกทำลายสิ้น การรับประทานผลไม้ทั้งลูกย่อมดีกว่าดื่มน้ำผลไม้ แต่ถ้าต้องดื่มน้ำผลไม้ ต้องดื่มเป็นคำคำไปเพื่อให้น้ำลายได้คลุกเคล้ากันให้ทั่ว ก่อนดื่มลงไป คุณสามารถรับประทานผลไม้ 3 วัน ติดต่อกัน เพื่อชะล้างร่างกายให้สะอาด ผิวพรรณจะนวลผ่อง ผู้พบเห็นจะตื่นตาตื่นใจ

กีวี่

ผลเล็กแต่มากด้วยสรรพคุณ ประกอบด้วยสาร โปรตัสเซี่ยม แมกเนเซี่ยม วิตามินE และไฟเบอร์ มีวิตามินC เป็น 2 เท่าของผลส้ม

แอปเปิล

มีวิตามีC ต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้วิตามินCตื่นตัว ช่วยลดการเกิดมะเร็งในลำใส้โรคหัวใจและโรคลมชักจึงมีคำพังเพยที่ว่า “รับประทานแอบเปิลวันละผล แพทย์จะจน เพราะทุกคน สุขภาพดี”

สตรอเบอรี่

เสมือนหนึ่งเป็นผู้คุ้มกันปกป้องร่างกายเพื่อให้มีสุขภาพที่ดี จึงได้รับฉายาว่า ราชาแห่งผลไม้ เพราะสารต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องมิให้เกิดมะเร็ง การแข็งตัวของเลือดที่เกิดขึ้นในหลอดเลือดและสารอนุมูลอิสระ

ส้ม

รับประทานวันละ 2-4 ผล สามารถต่อต้านไข้หวัด ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันหรือสลายนิ่วในไตลดการเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งลำใส้

แตงโม

ประกอบด้วยน้ำถึง 95% :ซึ่งแก้กระหายได้ดี มีกลูตาไธโอนเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน มีตัวสำคัญของไลโคปีน สารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน Cและโปแทสเซี่ยม

ฝรั่งและมะละกอ

มีวิตามิน C มากที่สุด ฝรั่งมีไฟเบอร์มากซึ่งแก้ท้องผูกได้ดี มะละกอ จะมีคาระตินส่งผลดีต่อดวงตา

เชื่อหรือไม่ ดื่มน้ำเย็นหลังอาหารก็จะเกิดมะเร็งได้ง่าย ดังนั้นหลังอาหารแล้วควรดื่มน้ำร้อน เพราะน้ำเย็นจะทำให้ไขมันที่กินเข้าไปแข็งตัว ซึ่งส่งผลเสียต่อการย่อย ไขที่แข็งตัว ทำปฎิกิริยากับกรดในกระเพาะ ทำให้ไขเป็นเกล็ดเล็ก ซึ่งง่ายต่อการดูดซึมในลำใส้ และจะฝังในผนังของลำใส้ ก่อตัวเป็นไขมัน ก่อให้เกิดมะเร็งนั่นเอง

สุภาพสตรีต้องรู้ว่า การเป็นโรคหัวใจกำเริบมิได้เริ่มต้นมาจากอาการปวด ของไตด้านซ้ายมือ แต่กลับต้องระวังเมื่อเพดานปากล่าง มีอาการเจ็บปวดอย่างรุนแรง และการปวดหน้าอกอยู่เนืองๆ อาการที่ตามมาก็คือพะอืดพะอม เหงื่อออกมาก และ60%ของคนไข้ที่เป็นโรคหัวใจ มักกำเริบในช่วงเวลาที่หลับสนิท จนไม่ตื่นอีกเลย การเกิดอาการปวดเพดานล่าง
ของช่องปากจนตื่นขึ้น ต้องเอาใจใส่ และต้องยกระดับการเฝ้าระวังให้มากขึ้น หากเรามีความรู้ยิ่งมากเท่าไหร่ อัตราการมีชีวิตอยู่รอดก็มากขึ้นตาม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #416 เมื่อ: มีนาคม 19, 2014, 06:47:12 PM »



เพาะถั่วงอกทำเองที่บ้านง่ายๆ ปลอดภัยจากสารพิษ สำหรับท่านที่รักสุขภาพ^^วิธีปลูกถั่วงอกในขวดไว้กินเองปลอดภัยกว่า

สิ่งที่ต้องเตรียมก็คือขวดน้ำพลาสติกนำมาตัดปากขวดออก เจาะรูด้านล่าง นำผ้าขาวมารองที่ก้นขวดจากนั้นโรยเมล็ดถั่วเขียวลงไปเรียงจนทั่วบริเวณก้นขวดโดยไม่ต้องให้หนาเกินไป นำผ้าขาวมาปูทับเมล็ดถั่งเขียวที่โรยลงไปก่อนหน้านี้(ใช้ทิชชูก็ได้ถ้าไม่มีผ้าขาว) แล้วโดยเมล็ดถั่วเขียวอีกชั้นหนึ่ง ทำแบบนี้ 3-4ชั้นพอ

จากนั้นรดน้ำให้ชุ่ม น้ำที่เหลือก็จะไหลออกทางรูที่ก้นขวดที่เราได้เจาะไว้ก่อนหน้านี้ แล้วน้ำถุงพลาสติกสีดำมาครอบขวดที่เพาะถั่วเขียวไว้ ตั้งไว้ไม่ให้โดนแสงแดดหรือแสงสว่าง รดน้ำวันละ 3-4ครั้ง

รอเพียง 3วัน เราก็สามารถนำถั่วงอกออกจากขวดมาล้าง ทำความสะอาด และนำไปรับประทาน หรือ เก็บไว้ประกอบอาหารต่อไปได้ โดยทไม่มีสารเคมีตกค้างแต่อย่างใด เพราะเราเพาะ และไม่ได้ใช้สารเคมีใดๆ ถือว่าปลอดภัยอย่างยิ่งสำหรับท่านที่รักสุขภาพตัวเอง

ขอบคุณ : t-how.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #417 เมื่อ: มีนาคม 19, 2014, 06:50:26 PM »

สำหรับผู้เป็นโรคมะเร็ง

อ่านพบแล้วเห็นว่าดีเลยคัดลอกสูตรน้ำผักต้านมะเร็งมาฝากเพื่อนๆ ลองทำทานกันดูนะคะ

น้องที่ทำงานมีญาติเป็นมะเร็ง 2 คน หมอนัดให้ทำคีโม 1 คน ผ่าตัด 1 คน โดยให้ไปพักผ่อนก่อน 1 - 2 อาทิตย์ก่อนทำการรักษา.....ระหว่างนั้นเองน้องที่ทำงาน ได้สูตรน้ำผักผลไม้ของฟ้าหญิงฯ มา ก็เลยลองให้ญาติทานดู แทนน้ำเลย วันละ 1 ลิตร เป็นเวลา 2 สัปดาห์เท่านั้น ไปตรวจอีกครั้งก้อนเนื้อที่เป็นมะเร็ง เล็กลงจนเกือบไม่มีเลย 1 คน ส่วนอีกคนมะเร็ง หายไปเลย .ไม่น่าเชื่อ เค้าตื่นเต้นกันมากหมอรพ.จุฬา ขอสูตรกันยกใหญ่ ตอนนี้น้องๆ ที่แผนก เลยสั่งกินกันทุกวัน เพื่อเป็นภูมิต้านทาน
ส่วนใครที่มีญาติเป็นมะเร็ง นำสูตรนี้ไปทำให้กินได้เลย หรือบอกต่อๆ กันไป...ได้บุญนะ

น้ำผักผลไม้สูตรในวัง ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง มีผิวพรรณสดใสโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เป็นโรคมะเร็งจะดีมากมีคนแถวบ้านเป็นมะเร็งอายุประมาณ 80 กว่าแล้ว ต้องให้คีโมแต่ปรากฏว่าพอรับประทาน น้ำผลไม้สูตรนี้ไปเป็นเวลาประมาณไม่ถึง 1 เดือนปรากฏว่ามีผมงอกขึ้น และแข็งแรงขึ้นมากจนหมอตกใจ ลองนำไปปั่นทานกันดู..น่าจะดีต่อสุขภาพไม่มากก็น้อยส่วนประกอบก็ราคาไม่แพงมากด้วย

สูตรมีดังนี้
1. แอปเปิ้ล 1 ผล
2. แครอท 1 ลูก
3. ผักสลัด (ผักกาดแก้ว) 3 ใบ
4. ตั้งโอ๋ 2 ก้าน
5. มะนาว 1 ลูก
6. น้ำเสาวรส 1/2 แก้ว (ถ้าไม่มีสดให้ซื้อน้ำเสาวรสกระป๋องก็ได้ค่ะ)
7. น้ำผึ้งแท้ 1/2 แก้ว
8. น้ำเปล่า 1-2 แก้ว แล้วแต่ความชอบ
9. ฝรั่ง 1 ผล
10. มะเขือเทศสีดา (ลูกเล็กๆ) 5 ลูก
11. น้ำตาลทรายแดง 3 ช้อนโต๊ะ
นำทุกอย่างมาปั่นรวมกัน

สูตรนี้จะทำได้ประมาณ 1 ลิตร ในกรณีที่เป็นคนป่วยให้รับประทานวันละ 1 ลิตร

แต่ถ้าดื่มเพื่อสุขภาพเฉยๆ สามารถเก็บไว้ในตู้เย็นได้ประมาณ 2-3 วัน

ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.jatuka.com/ความรู้ทั่วไป/สูตรน้ำผักต้านมะเร็ง/


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #418 เมื่อ: มีนาคม 19, 2014, 06:50:42 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #419 เมื่อ: มีนาคม 25, 2014, 09:08:32 PM »




บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 26 27 [28] 29 30 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: