Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 33 34 [35] 36 37 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75587 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 7 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #510 เมื่อ: มีนาคม 18, 2015, 08:23:27 PM »

5 ผลไม้ลดความอ้วนได้นะ





ถ้าจะพูดถึงเรื่องลดความอ้วน สาวๆ หนุ่มๆ หลายคนมักจะนึกถึงสาวๆ อาหารประเภทผัก ผลไม้ ก่อนเป็นอันดับต้นๆ แต่ช้าก่อนต้องคิดนิสนึงนะค่ะว่าผลไม้นั้นมีระดับแคลอรี่ หรือน้ำตาล แป้ง มากน้อยประมาณไหน

      หลายคนมักจะคิดว่ามันเป็นผลไม้ เป็นสิ่งที่กินแล้วไม่อ้วน แต่ผลไม้บางชนิดกินก็ทำให้อ้วนได้นะ ปริมาณการกินก็มีส่วนดีและไม่ดีด้วย หากกินในปริมาณมากๆ ก็อ้วนนะจ๊ะ เพราะฉะนั้นคิดนิสนึงเนอะ จะลดความอ้วนแต่กินทุเรียนก็คงจะไม่ใช่เรื่องมะ เพราะแต่จำนวนแคลอรี่แต่ละเม็ดของเจ้าทุเรียนเนี่ยก็มีจำนวนแคลอรี่ 129 -169 แล้วนะ ถ้ากินมากกว่านั้นก็บวกรวมได้เลย เพิ่มน้ำหนักให้คุณสาวๆ ได้ไม่น้อยเลยนะ และถ้ากินในปริมาณมากๆ แน่นอนว่าไม่ดีต่อสุขภาพแน่ๆ

       เอาละวันนี้แอดมินมีผลไม้สำหรับคนที่กำลังไดเอททั้งจริงจังและไม่จริงจัง หรือคนที่กลัวอ้วนแต่ต้องกินผลไม้บ้างก็เลือกกินได้ดังต่อไปนี้เลยจ้า....

สตรอเบอร์รี่




การกินผลไม้ในปริมาณที่เหมาะสมจะช่วยให้ร่างกายลดไขมันได้อย่างมี ประสิทธิภาพ เพราะมันสามารถควบคุมปริมาณแคลอรีแถมยังให้วิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อ ร่างกายด้วย สตรอเบอร์รี่มีแคลอรีเพียง 50 แคลอรี และ มีน้ำตาล 7 กรัม แต่มีเส้นใยอาหารถึง 3 กรัม แต่สิ่งที่สุดยอดเกี่ยวกับสตรอเบอร์รี่(และผลเบอร์รี่ทั้งหมด) คือ มันตอบสนองความต้องการของหวานและน้ำตาลของคุณได้เป็นอย่างดี แถมยังมีสารอาหารที่น่าประทับใจอื่นๆ อีกมากมาย

เบอร์รี่




ผลเบอร์รี่เช่น บูลูเบอร์รี่, แบล็คเบอร์รี่ และ ราสเบอร์รี่ เต็มไปด้วนสารอาหารและมีน้ำตาลน้อยกว่าผลไม้ชนิดอื่นๆ เช่น มะม่วง หรือ กล้วย นั้นคือเหตุผลที่ผลเบอร์รี่มักถูกยกย่องให้เป็นผลไม้เผาผลาญไขมันที่ดี ผลเบอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางอาหารสูงและมีแคลอรีต่ำแถมยังหวานแบบมี ประโยชน์ เส้นใยในผลเบอร์รี่ช่วยให้อิ่มเร็ว อิ่มนาน และยังมีวิตามินแร่ธาตุ สารต่อต้านอนุมูลอิสระ ดังนั้นอย่าลืมใส่ผลเบอร์รี่ลงในตารางอาหารของคุณด้วย

แอปเปิ้ล




ราชาของ ผลไม้ลดความอ้วน คงหนีไม่ผลแอปเปิ้ล เขียวๆ แดงๆ แอปเปิ้ลมีเส้นใยอาหารมาก ช่วยเวลากินเข้าไปจะช่วยให้อิ่มนาน ช่วยให้ร่างกายไม่รู้สึกหิว แอปเปิล 1 ลูก ยังมีแคลอรีเพียงแค่ 59 แคลอรี แถมยังมีวิตามินและแร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอีกมากมาย โดยเฉพาะ เพกติน มีคุณสมบัติพองตัว มันจึงเพิ่มกากใยอาหาร ทำให้ระบบขับถ่ายดี ช่วยป้องกันมะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่วยดักจับคอเลสเตอรอลในร่างกาย แถมยังช่วยกำจัดสารพิษในร่างกายอีกด้วย

อะโวคาโด




  หลายคนอาจไม่รู้จักผลไม้ชนิดนี้ อะโวคาโด คือผลไม้ชนิดหนึ่ง เป็นที่นิยมในแถบทวีปอเมริกาและยุโรป เพราะมันมีสารอาหารสูงและหลากหลายมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่บางคนอาจไม่ชอบ เพราะมันไม่หวาน แถมมีไขมันสูง กินแล้วอาจอ้วนได้ แต่อย่าพึ่งเข้าใจผิด กรดไขมันในอะโวคาโดเป็ดกรดไขมันที่ดี คืออะโวคาโดมันมีกรดไมมันไม่อิ่มตัวถึง 70เปอร์เซ็นต์ มีคุณสมบัติช่วยลดไขมันร้ายในหลอดเลือด ทำให้โอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ และหัวใจวาย ลดลง

เกรปฟรุต




ผลไม้ที่ดีที่สุดในการลดไขมัน ช่วยให้คุณกินแคลอรีน้อยกว่าที่คุณเผาออกไป ตัวอย่างเช่น คุณกินเกรปฟรุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหาร จะช่วยให้น้ำหนักคุณลดลงอย่างเหลือเชื่อ นักวิจัยในสหรัฐอเมริกาพบว่า การกินเกรปฟุตครึ่งลูกก่อนมื้ออาหารนั้น จะช่วยให้คุณลดแคลอรีได้ถึง 150 แคลอรีต่อวัน แถมเกรปฟรุตครึ่งลูกมีแคลอรีอยู่เพียง 39 แคลอรีเอง ดังนั้นคนที่กำลังลดความอ้วน อย่าลืมที่จะใส่เกรปฟรุตลงในตารางอาหารของคุณด้วย

        จริงๆ แล้วผลไม้ทั้งหมดก็มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นควรกินเลือกผลไม้ที่ส่งผลดีต่อร่างกาย หรือกินในปริมาณที่พอเหมาะก็จะดีนะคะ สาวๆ หนุ่มๆ คนไหนอยากจะแนะนำผลไม้ที่กินแล้วไม่อ้วนเพิ่มเติมคอมเม้นต์มาได้เลยจ้าจะได้เป็นอีกทางเลือกให้กับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ได้เลือกกินกันเนอะ

       วันนี้แอดมินขอไปซื้อผลไม้กินก่อนนะจ๊ะ ช่วงนี้ลดหุ่นด้วยสิ ^^ อย่าลืมติดตามเรื่องดีๆ แบบนี้กันที่ได้ที่นี่กับแอดมินคนเดิม เรื่องหน้าจะมาแชร์เป็นเรื่องอะไรนั้นรอติดตามจ้า....

เรียบเรียงข้อมูลโดย : Admin Kimji
ขอบคุณที่มาจาก www.18fat.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #511 เมื่อ: มีนาคม 18, 2015, 08:26:32 PM »

วิธีกำจัดคราบรอยไหม้บนหน้าเตารีดแบบโฮมเมด



How to Clean Your Iron การทำความหน้าเตารีดที่เกิดรอยไหม้ หรือคราบไอน้ำสีดำติดที่หน้าเตารีด ด้วยเทคนิคง่ายๆ เพียงใช้เกลือ เทลงบนกระดานรีดผ้าหรือที่รองรีดผ้าของคุณแล้วนำเตารีดมานาบกับเกลือ สิ่งสกปรกบนเหล็กของคุณจะติดกับเกลือทำให้การทำความสะอาดได้ง่ายขึ้น



อุปกรณ์

เกลือ
ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้

     1. ปรับตั้งค่าความร้อนให้อยู่ตำแหน่งสูงสุด พร้อมกับปิดปุ่มไอน้ำไม่ให้น้ำซึมออกมา

     2. เมื่อความร้อนได้ที่นำเตารีดนาบลงบนเกลือคราบสกปรกที่ติดอยู่บนเตารีดจะถูกเกลือดูดซับไว้และคราบที่ติดกับเกลือหลุดออกเพียงเท่านี้คุณก็จะได้หน้าเตารีดเหมือนซื้อใหม่เลยทีเดียว

     ว้าวๆ มันน่าทึ่งมากๆ แค่มีเกลือติดบ้านไว้ก็สามารถกำจัดคราบสกปรกออกจากหน้าเตารีดของเราให้เงาวับเหมือนได้เตารีดใหม่เลยทีเดียว แอดมินหวังว่าเพื่อนๆ จะนำสูตรที่แอดมินกิมจินำมาแชร์ให้ไปลองทำกันบ้างนะจ๊ะ เพราะถือว่ามีประโยชน์และไม่เปลืองค่าใช้จ่ายอีกด้วย เรื่องหน้าจะเป็นเคล็ดลับหรือไอเดียอะไรมาแชร์อีกนั้นโปรดติดตามตอนหน้า จ้า....

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย: Admin Kimji
อ้างอิงโดย :  http://www.listotic.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #512 เมื่อ: มีนาคม 18, 2015, 08:30:17 PM »

สูตรน้ำยาขัดกระเบื้องแบบโฮมเมด



วิธีทำความสะอาดกระเบื้องแบบโฮมเมดภายในครัวหรือในห้องน้ำให้สะอาด หลายๆ คนคงจะพอทราบกันบ้างแล้วว่ามีสูตรน้ำยาที่ช่วยขจัดปัญหาคราบสกปรกแบบทำเองได้ แต่อีกหลายคนที่ยังไม่รู้ก็สามารถนำเอาสูตรน้ำยาโฮมเมดทำเองนี้ไปใช้ทำความสะอาดกระเบื้องภายในครัวและห้องน้ำของคุณเองได้แบบง่ายๆ เลย แถมคราบสกปรกหลุดง่ายและสะอาดตาขึ้นในพริบตาเลยทีเดียว ไปลุยกันเลย



อุปกรณ์ที่ต้องใช้มีดังต่อไปนี้

      1.3/4 C กกิ้งโซดา
      2. 1/4 C สารฟอกขาว
      3. แปรงสีฟันเก่าหรือแปรงขัด

วิธีทำ

      1. ผสมโซดาและสารฟอกสีเข้าด้วยกันในชาม จากนั้นใช้ป้ายไปที่คราบสกปรกตามเส้นยาแนวกระเบื้อง และปล่อยทิ้งไว้ ประมาณ 5 -10 นาที

      2.หลังจากที่ทิ้งน้ำยาบนคราบสกปรกประมาณ 5-10 นาที แล้วให้ขัดด้วยแปรงสีฟันของคุณทำความสะอาดลึกลงไปในแนวดิ่ง

      3.รออีกประมาณ 5-10 นาทีแล้วล้างทำความสะอาดออกด้วยน้ำเปล่าเทเป็นแนวดิ่ง หากคุณมีหัวฝักบัวมือถือล้างทำความสะอาดก็ได้

      หวังว่าสูตรที่แอดมินกิมจินำมาแชร์ให้ได้ลองไปทำกันนั้น จะเป็นประโยชน์และเป็นผลดีต่อพื้นกระเบื้องของคุณนะค่ะ เรื่องหน้าจะเป็นเคล็ดลับหรือไอเดียอะไรมาแชร์อีกนั้นโปรดติดตามตอนหน้าจ้า....

 

เรียบเรียงข้อมูลโดย: Admin Kimji
อ้างอิงโดย :  www.listotic.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #513 เมื่อ: มีนาคม 22, 2015, 08:44:10 PM »

เนื้อหาบางส่วนโดย Dodeden.com
ผู้หญิงที่เริ่มมีอายุมากขึ้นก็ต้องมีรอยเหี่ยวย่น รอยตีนกาเป็นเรื่องธรรมดา แต่ไม่ว่าใครก็ไม่อยากมีกันหรอกจริงไหมค่ะ บางคนอายุไม่เท่าไรก็มีรอยตีนกามาถามหาซะแล้ว วันนี้ Dodeden.com เลยมี 3 วิธีง่ายๆ มาฝากคุณผู้หญิงทุกคน ที่สามาระช่วยชะลอการเกิดรอยตีนกาบนใบหน้าของคุณได้ ทำให้คุณดูอ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลา!!




1. พยายามไม่เครียด ความเครียดเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของริ้วรอย ไม่เฉพาะรอยตีนกาเท่านั้น ยังส่งผลให้ใบหน้าผิวพรรณหมองคล้ำ สุขภาพจิตแย่ลง มีผลกระทบต่อทุกระบบในร่างกาย ดังนั้นหันมายิ้มและหัวเราะให้มากๆ ดีกว่า ลืมเรื่องๆ เครียดไปซะ ยิ่งเครียดริ้วรอยก็ยิ่งมา บางทีมาก่อนวัยอันควรด้วยนะคะ
2. ออกกำลังกาย การออกกำลังกาย นอกจากจะช่วยให้มีสุขภาพที่ดีแล้ว ยังช่วยเรื่องผิวพรรณอีกด้วย เนื่องจากร่างกายจะสูบฉีดเลือดไปยังส่วนต่างๆ ได้ดี ทำให้ผิวพรรณดูเปล่งปลั่ง สดใส รอยตีนกาก็ไม่มาเยือนค่ะ
3. พักผ่อนให้เพียงพอ อย่างนอนจะต้องนอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 7-8 ชั่วโมง เพราะไม่เพียงแต่ผิวพรรณเท่านั้นที่จะดีขึ้น สุขภาพร่างกายก็ดีขึ้นไปด้วยค่ะ
รู้อย่างนี้แล้วถ้าอยากให้ใบหน้าของคุณดูสดใส ดูอ่อนเยาว์อยู่ตลอดเวลา ก็ทำ 3 วิธีง่ายๆ ด้านบนกันนะค่ะ ตีนกาจะได้ไม่ถามหาค่า!!
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #514 เมื่อ: มีนาคม 23, 2015, 08:38:05 PM »

กินให้มีผลต่อสุขภาพ
1.กินอาหารที่ไม่สะอาด
อาหารที่ไม่สะอาดทำให้มีเชื้อโรค พยาธิ สารพิษ เข้าสู่ร่างกาย เกิดอาการปวดท้องแน่นท้อง อาเจียน เป็นบิด มีพยาธิ อาหารที่เน่าเหม็น ทำให้เกิดการหมักหมม มีพิษสะสม เกิดอาการต่างๆ ตามมามากมาย

2.เวลาและปริมาณที่กินไม่เหมาะสม
หลักการเลือกปริมาณการกิน คือ หลักที่ว่าไม่ควรให้หิวจัดหรืออิ่มจัด และ “อาหารเช้าต้องดี อาหารเที่ยงต้องอิ่ม อาหารเย็นต้องน้อย” ปริมาณมื้อเช้าร้อยละ 35 มื้อเที่ยงร้อยละ 40 มื้อเย็นร้อยละ 25 โบราณกล่าวว่า “มื้อเย็นลดน้อยหน่อย ชีวิตยืนยาวถึงเก้าสิบ” เป็นการเน้นถึงปริมาณอาหารมื้อเย็น ควรอยู่ในปริมาณที่น้อยเมื่อเทียบกับมื้ออื่น เพื่อลดการทำงานของระบบการย่อยอาหาร ป้องกันการตกค้างของอาหารในกระเพาะอาหาร ลำไส้ ป้องกันภาวะอ้วน ป้องกันการนอนหลับไม่สนิท ลดการรบกวนภาวะพักผ่อนฟื้นฟูของร่างกาย ซึ่งเป็นพื้นฐานของการบำรุง ดูแลสุขภาพ เพื่อให้เกิดอายุยืนยาว นอกจากนี้หลังอาหารใหม่ๆ ไม่ควรนอนหลับทันที

3.เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ลิ้มรสอาหารอย่างตั้งใจ
ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด ตั้งใจลิ้มรสชาติของอาหาร เป็นการกระตุ้นระบบการย่อย กระตุ้นความอยากอาหาร ซึมซาบธรรมชาติของรสอาหาร
4.มีสมาธิในการกิน ไม่ทำกิจกรรมอื่นควบคู่ไปด้วย
ควรสร้างนิสัยการกินอาหารที่ถูกต้อง การทำกิจกรรมอื่น เช่น อ่านหนังสือ พูดคุย ครุ่นคิด ทั้งนี้รวมถึงพฤติกรรมการรีบทำงานหรือกิจกรรมอย่างเคร่งเครียด ภายหลังกินอาหารอิ่มใหม่ๆ นอกจากจะไม่สามารถดูดซับธรรมชาติของรสชาติอาหารแล้ว ยังทำให้การย่อยดูดซึมอาหารขาดความสมบูรณ์ คนจีนจึงแนะนำสืบทอดกันมาว่า “ขณะกินข้าว ไม่ควรพูดคุยกัน” ก็ด้วยเหตุดังกล่าว

5.สังเกตความรู้สึกอยากอาหาร
คนที่มีความรู้สึกอยากอาหาร เวลากินอาหารแล้วมีรสชาติ มีความสุข ถ้ากินได้ปริมาณพอเหมาะ แสดงว่าระบบการย่อยทำงานปกติ คนที่เบื่ออาหาร ถึงเวลากินอาหารก็ไม่อยากกิน กินแล้วก็ไม่ถูกปาก ไม่มีรสชาติ ถ้าเป็นผลจากภาวะตึงเครียดหรือเจ็บป่วยชั่วคราว ไม่นับว่าเป็นอันตรายใดๆ แต่ถ้าเบื่ออาหารเรื้อรัง ยาวนาน ทำให้น้ำหนักลด อ่อนเพลียไม่มีแรง สีหน้าเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ท้องเสียบ่อย แน่นหน้าอก ท้องอืดง่าย แขนขารู้สึกหนักตึง ฝ้าบนลิ้นหนามาก แสดงว่ามีระบบการย่อย (กระเพาะอาหารและม้าม) พร่อง ถ้าความร้อนชื้นในกระเพาะมากขึ้น (ดูจากฝ้าขาวบนลิ้นหนามาก) และมีผิวหนังสีเหลืองจากน้ำดี เป็นดีซ่าน แสดงว่าเป็นตับอักเสบ ซึ่งถือว่าเป็นโรคเกี่ยวกับระบบการย่อยผิดปกติ




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #515 เมื่อ: มีนาคม 23, 2015, 08:48:37 PM »

การรดน้ำต้นไม้ที่ถูกวิธี
เคยสังเกตกันไหมว่าทำไมต้นไม้ใบหญ้าในสวนบ้านเราถึงได้เหี่ยว เหลือง ไม่เขียวชอุ่ม ทั้ง ๆ ที่ก็รดน้ำต้นไม้จนชุ่มฉ่ำทุกวัน หนำซ้ำต้นไม้บางต้น หรือต้นหญ้าบางหย่อมยังพากันเหี่ยวตายเป็นหลักฐานทิ้งไว้ซะอีก เอ๊ะ หรือจะเป็นเพราะเรารดน้ำต้นไม้ไม่ถูกวิธีกันอยู่รึเปล่านะ ถ้ากำลังสงสัยอย่างนี้เหมือนกัน เอาเป็นว่ามาดูวิธีรดน้ำต้นไม้ที่ถูกต้องกันก่อนดีกว่า

การรดน้ำต้นไม้ที่ถูกวิธี
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกันก่อนว่า ต้นไม้ทุกต้นไม่ได้ต้องการน้ำในปริมาณที่เท่ากัน ต้นไม้บางชนิดชอบน้ำมาก เช่น ต้นราตรี
ไผ่ คัดเค้า พุทธรักษา โมก หมากแดง ดาหลา เป็นต้น แต่ต้นไม้ที่ไม่ชอบน้ำเลยก็มี เช่น ต้นเฟื่องฟ้า กระบองเพชร ลีลาวดี ดังนั้นก่อนจะเลือกปลูกต้นไม้ก็ควรต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานของต้นไม้แต่ละชนิดก่อน เพื่อให้เรารดน้ำ ใส่ปุ๋ย รวมทั้งบำรุงดูแลต้นไม้ทุกต้นได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้การจะรดน้ำให้ต้นไม้ได้รับประโยชน์อย่างสูงสุด ก็ต้องคำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ ต่อไปนี้ด้วย

สำหรับใครที่ปลูกต้นกล้าที่เพิ่งเพาะพันธุ์ ควรต้องรดน้ำให้มาก ๆ เอาไว้ก่อน แม้ว่าดินจะดูชุ่มชื้นดีก็ตาม เพราะต้นกล้าเป็นพืชที่ยังโตไม่เต็มที่ รากของต้นกล้าดูดน้ำจากใต้ดินไม่ค่อยถนัดเท่าไร ฉะนั้นจึงต้องรักษาความชื้นในดินรอบ ๆ โคนต้นไม้อยู่เสมอ
พืชที่ปลูกแนวตั้ง

การปลูกพืชแบบแนวตั้ง หรือการปลูกพืชให้เป็นสวนริมรั้วกำแพง เป็นไอเดียการปลูกต้นไม้ที่สวยและแปลกใหม่ก็จริง แต่ข้อเสียก็คือ ต้นไม้จะไม่ค่อยได้รับน้ำฝน และน้ำค้างจากอากาศมากเท่าที่ควร เพราะถูกกำแพงและชายคาบ้านบดบัง ดังนั้นดินปลูกต้นไม้เหล่านี้จะแห้งมาก ซึ่งการแก้ปัญหาก็คือ ควรจะปลูกต้นไม้ให้ห่างจากรั้วกำแพงประมาณ 45 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นไม้พ้นจากเงาของกำแพง อีกทั้งก็ต้องรดน้ำให้มากขึ้นอีกนิด และควรปลูกพืชคลุมดินเอาไว้รอบ ๆ โคนต้นด้วย

พืชที่ปลูกด้วยการเพาะเมล็ด ถ้าเลือกปลูกพืชด้วยการหว่านเมล็ด จะต้องให้ความชุ่มชื้นกับดินและเมล็ดพืชที่ปลูกอยู่เสมอ
เพราะหากว่าดินแห้งขาดน้ำ รากก็จะตายได้ง่าย ๆ เลยทันที

ฉะนั้นทางที่ดีต้องนำกระถางที่เพาะเมล็ดวางไว้ในน้ำเลย
หรืออย่างน้อย ๆ ก็ต้องรดน้ำต้นไม้ให้ชุ่ม และหาพืชคลุมดินมาป้องกันความชื้นให้ต้นไม้ด้วย
ไม้จำพวกสน สนทุกชนิดเป็นพืชที่ชอบน้ำมาก บางชนิดขาดน้ำแล้วล้มตาย ไม่งอกขึ้นมาอีกเลย หรือมีบางพวกที่ทนความแล้งได้บ้าง ซึ่งถ้าคิดจะปลูกต้นสน ก็ควรต้องปลูกในพื้นที่ชุ่มน้ำพอสมควร และพยายามให้น้ำเขาเยอะ ๆ ด้วยนะจ๊ะ

สนามหญ้า ถ้าเพิ่งปูหญ้าให้สนามหญ้าใหม่ ๆ ต้องหมั่นรดน้ำให้ชุ่มอยู่เสมอ จนกว่าต้นหญ้าจะยึดหน้าดินได้ เพราะถ้าหญ้าได้รับน้ำน้อย ใบหญ้าจะเหลืองแห้ง ไม่สวยงาม แต่ก็จะไม่ถึงกับล้มตาย เพียงแค่ต้องรอให้ต้นหญ้าได้รับน้ำฝนก่อนจึงจะฟื้นฟูและกลับมาเขียวชอุ่มได้อีกครั้ง

ผักและผลไม้ใกล้เก็บเกี่ยว ใครปลูกผักและผลไม้ที่ให้ผลผลิต ควรต้องรดน้ำต้นไม้ให้ชุ่มกว่าปกติ ในช่วงที่ใกล้จะเก็บเกี่ยวผลผลิต โดยเฉพาะถ้าสังเกตเห็นต้นไม้ออกดอกสวยงาม

ใกล้จะออกเป็นลูกอ่อน ๆ แล้ว เพื่อเสริมให้ต้นไม้ออกดอกออกผลที่สวยงามมากขึ้น
กุหลาบพันปี ต้นกุหลาบพันปีเป็นพืชที่ชอบน้ำมากเช่นกัน
โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน หรือในวันที่มีแดดจัด ๆ ก็ควรรดน้ำต้นไม้ให้มากกว่าเดิม และพยายามหันปากใบเข้าเงาร่มให้ได้มากที่สุด เพื่อป้องกันต้นกุหลาบพันปีคายน้ำมากเกินไป

ต้นไม้ในกระถาง สำหรับต้นไม้ที่ปลูกในกระถาง ก็ควรต้องรดน้ำให้มาก เนื่องจากดินในกระถางมีชั้นดินที่ตื้นกว่าพื้นดินธรรมดา ทำให้น้ำซึมหาย และแห้งเหือดได้เร็วกว่า รากต้นไม้ก็อาจจะดูดซึมน้ำได้ไม่เพียงพอ ยิ่งถ้าเข้าช่วงหน้าร้อน ก็ต้องรดน้ำมากขึ้นเป็น 2 เท่า และหมั่นสำรวจความชื้นในดินอยู่เสมอด้วย

นอกจากนี้การรดน้ำที่ถูกต้องควรรดในช่วงเช้า หมั่นรดน้ำต้นไม้ทุกวัน เพราะในตอนเช้าอากาศและความชื้นที่พอดีจะช่วยให้ต้นไม้รับน้ำได้เต็มที่มากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้ดินมีความชื้นในระดับที่พอดีได้ตลอดทั้งวัน แต่ถ้าเลือกรดน้ำต้นไม้ในตอนเย็น แดดร่มลมตก อากาศไม่ร้อนมากก็จริง แต่ก็เสี่ยงที่ความชื้นในดินจะมีมากเกินไป จนเปิดโอกาสให้เหล่าเชื้อรา และแบคทีเรียมากัดกินรากต้นไม้ตายได้

อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่จะทำให้ต้นไม้เจริญเติบโตได้ดีต้องครอบคลุมทั้งความสมบูรณ์ของแร่ธาตุและสารอาหารภายในดิน ปริมาณน้ำ แสงแดด และปุ๋ยด้วยนะคะ ถ้าดูแลได้ครบรอบด้านอย่างถูกวิธี ต้นไม้ก็จะเติบโตได้อย่างสวยงามแน่นอนจ้า
: http://home.kapook.com/view71219.html


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #516 เมื่อ: มีนาคม 23, 2015, 08:58:21 PM »

ปลูกมะนาว ในกระถางไม่ยากอย่างที่คิด

ปลูกมะนาว ในกระถางไม่ยากอย่างที่คิด

Home » สวนของฉัน » ปลูกมะนาว ในกระถางไม่ยากอย่างที่คิด
ปลูกผักสวนครัว มะนาว



วันนี้ Decor.Mthai จะนำเรื่องการ ปลูกมะนาว ในกระถางกินเองที่บ้าน มาฝากเพื่อนๆ กันค่ะ มะนาวถือเป็นไม้ผลที่มีความนิยมมากที่สุดในการประกอบอาหาร ทำให้ราคามะนาวในปัจจุบันค่อนข้างแพงเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในช่วงฤดูแล้ง เดือนธันวาคม-พฤษภาคม ราคามะนาวอาจสูงถึงลูกละ 10 กว่าบาท เลยทีเดียว เพราะฉนั้นถ้าเรา ปลูกมะนาวในกระถาง ไว้ทานเองที่บ้านได้ก็จะเป็นเรื่องที่ดีมาก
ปลูกมะนาว ในกระถางไม่ยากอย่างที่คิด




ถ้าพูดถึงมะนาว จริงๆ แล้วมะนาวมีหลายพันธุ์นะคะ แต่พันธุ์ที่แอดมินจะแนะนำให้ปลูกมีดังนี้ มะนาวแป้น มะนาวแป้นพันธุ์พิจิตร มะนาวพันธุ์พวงเพชร และมะนาวไข่ เป็นต้นค่ะ



1. ประหยัดพื้นที่ เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินน้อย

2. สามารถปลูกได้บนดาดฟ้าหรือระเบียงห้องบนตึกหรืออาคารสูง
3. ง่ายต่อการดูแล และการให้น้ำ
4. สามารถบังคับให้ออกลูกนอกฤดูกาลได้ง่าย
5. ยกหรือเคลื่อนย้ายได้ง่าย
6. สามารถจัดเป็นไม้ประดับได้อีกทาง

วัสดุอุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

1. กระถางดินเผาหรือกระถางพลาสติก กระถางที่ใช้อาจเป็นกระถางดินเผา กระถางเซรามิกส์หรือกระถางพลาสติก
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 15 นิ้ว และต้องมีรูระบายน้ำด้านล่าง นอกจากนัั้น เราสามารถประยุกต์ใช้ภาชนะอื่นสำหรับการปลูกได้
เช่น ถัง กะละมัง ตุ่มน้ำ เป็นต้น

2. ดิน ดินที่ใช้ปลูกจะใช้ดินร่วนผสมกับมูลสัตว์ หรือผสมวัสดุอื่น เช่น ขี้เถ้า แกลบ กากมะพร้าว เป็นต้น
ในอัตราส่วน 1: 2 ผสมด้วยปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ขนาด 1 กำมือ

3. กิ่งพันธุ์มะนาวตอน สามารถหาซื้อได้ตามสวนมะนาวหรือตลาดเกษตรทั่วไป

4. ไม้ไผ่

5. ก้อนอิฐหรือแท่งไม้

การปลูกมะนาว

1. จัดเรียงอิฐวางในที่ตั้งกระถาง โดยให้มีช่องว่างตรงกลางบริเวณรูกระถาง แล้วนำกระถางเปล่าตั้ง การเลือกสถานที่ตั้งนั้น สำคัญต้องให้มีแดดส่องถึง
2. นำดินที่ผสมวัสดุปลูกอื่นๆแล้วเข้าใส่ในกระถาง โดยให้ระดับดินอยู่ต่ำจากปากกระถางประมาณ 1 ใน 3
3. ใช้มีดปลายแหลมกรีดถุงมะนาว และดึงถุงพลาสติกออก แล้วนำลงปลูก โดยให้ดินกลบเหนือเขตลำต้นประมาณ 5 เซนติเมตร และให้ดินต่ำกว่างระดับขอบกระถางประมาณ 1 นิ้ว
4. รดน้ำให้ชุ่ม และนำฟางข้าว แกลบหรือเศษใบไม้มากลบบริเวณโคนต้น และปากกระถาง




การให้น้ำ จะทำการให้น้ำด้วยการดหรือให้น้ำผ่านอุปกรณ์การให้น้ำ เช่น อุปกรณ์ให้น้ำหยด โดยให้วันละครั้งในระยะแรก และเมื่อมะนาวตั้งต้นได้อาจให้ให้น้ำเป็นวันเว้นวัน การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ประมาณครึ่งกำมือ 2 เดือน/ครั้ง หรืออาจผสมกับน้ำรดบริเวณโคนต้นก็ได้ การตัดแต่งกิ่ง ให้ตัดแต่งกิ่งที่ยาวหรือสูงเกินไป หากมีทรงพุ่มขนาดใหญ่ให้ใช้ไม้ไผ่สอบที่ประถางในทั้ง 4 มุม และใช้เชือกหรือตีกรอบด้วยไม้ไผ่ขึงรอบบริเวณทรงพุ่ม เพื่อไม่ให้ทรงพุ่มแพร่กว้าง


การทำให้ออกลูกนอกฤดู

1. ให้เลือกต้นมะนาวที่มีอายุการปลูกตั้งแต่ 8-12 เดือน
2. ทำการตัดปลายกิ่งที่ต้องการให้มีการติดลูก และควรเลือกกิ่งแก่
3. ทำการไม่ให้น้ำมะนาวเป็นเวลา 7-10 จนใบเหี่ยวหรือเริ่มร่วง
4. ให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24หรือ 15-15-15 พร้อมรดน้ำให้ชุ่มหรืออาจให้ปุ๋ยด้วยการละลายน้ำ
5. ให้น้ำปกติ วันละครั้งหรือวันเว้นวัน
6. มะนาวจะแตกกิ่ง และออกใบใหม่ประมาณ 15-20 วัน พร้อมแตกดอก
7. ให้ฉีดพ่นด้วยน้ำต้มสมุนไพรหรือสารป้องกันหนอนหรือแมลงขณะแตกใบอ่อน

การปลูกมะนาวในกระถาง ถือเป็นแนวทางหนึ่งสำหรับคนในเมือง ที่ไม่มีที่ดินหรือมีที่ดินน้อย
แต่ต้องการปลูกมะนาวไว้รับประทานเองเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายในการประกอบอาหารแต่ละมื้อ
ถ้าเพื่อนๆ อยากปลูกมะนาวไว้ทานก็ลองนำวิธีนี้ไปใช้ดูนะคะ
ขอบคุณ : puechkaset
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #517 เมื่อ: มีนาคม 29, 2015, 12:03:09 PM »

มะนาว : ลดคอเลสเตอรอล
นอกจากช่วยป้องกันรักษาโรคลักปิดลักเปิดมาแต่โบราณแล้ว น้ำมะนาวยังมีสารที่สำคัญ คือ "ฟลาโวนอยด์ส้ม" ซึ่งช่วยลดปริมาณคอเลสเตอรอลในเลือด ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหญิงวัยทอง นอกจากนี้ยังใช้รักษามาลาเรีย โรครูมาติสม์เรื้อรังและโรคเกาต์ ใช้ในการป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ป้องกันการตกเลือดหลังคลอด และช่วยบรรเทาอาการระคายคอจากการติดเชื้อ
สรรพคุณทางยา
1.เปลือกผล เปลือกผลแห้งมีรสขม ช่วยขับลมได้ดี รักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ แน่นจุกเสียด นำเอาเปลือก ของผลสดมาประมาณครึ่งผล คลึงหรือทุบเล็กน้อยพอให้น้ำมันออก ฝานเป็นชั้นบางๆ ชงกับน้ำร้อนดื่มเวลามีอาการหรือหลังอาหาร 3 เวลา
2.น้ำคั้นผลมะนาว ใช้แก้ไอขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ ลดอาการไอ ใช้ผลสดคั้นน้ำได้น้ำมะนาวเข้มข้น ใส่เกลือเล็กน้อย (หรือผสมน้ำผึ้ง 1 ส่วนน้ำมะนาว 3 ส่วน) แล้วจิบบ่อยๆ หรือจะทำเป็นน้ำมะนาวใส่เกลือและน้ำตาล ปรุงรส ให้เข้มข้นพอประมาณดื่มบ่อยๆ
3.น้ำมะนาวใช้ในด้านความงาม ผลัดเซลล์ผิว ลดรอยด่างดำ ใช้น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้สักครู่ ล้างออกด้วยน้ำสะอาดแล้วซับให้แห้ง ทำสัปดาห์ละครั้ง ผิวหน้าจะดูสดใส หรือใช้น้ำมะนาวผสมน้ำแช่อาบ
4.น้ำมะนาวผสมผงกำมะถัน ใช้ทาก่อนนอน แก้อาการกลาก เกลื้อน หิด
5.ใช้น้ำมะนาวทาที่ตุ่มคัน ทิ้งไว้ให้แห้ง ล้างน้ำสบู่แล้วเช็ดให้แห้ง แล้วใช้แป้งทาตุ่มคัน แก้น้ำกัดเท้า

(เครดิตภาพ : ehow.com, goodlife.co.th, Roberta, Misspandapilin, ทุกคนไม่ได้รู้ทุกสิ่ง)
** สมุนไพรใกล้ตัว มุ่งเสนอสรรพคุณทางยา การนำไปใช้ควรพิจารณาอย่างรอบด้าน **


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #518 เมื่อ: มีนาคม 29, 2015, 12:17:28 PM »

วิตามินซีมีมากในส้มประเภทไหน ?
Q : นอกจากส้มแล้วผลไม้อื่นๆ อย่างกีวี สตรอว์เบอร์รี่ก็มีวิตามินซีเยอะใช่มั้ยคะ แต่ถ้าพูดถึงส้ม ส้มอะไรให้วิตามินซีมากกว่ากันคะ ระหว่างส้มเขียวหวาน ส้มเช้ง ส้มโอ ส้มซันคลิก ส้มสายน้ำผึ้ง และ ส้มลูกเล็กๆ หรือ อย่างเกรฟฟรุ้ตก็ถือเป็นส้มใช่มั้ยคะ เราต้องกินเท่าไรถึงจะได้วิตามินซีตามที่ร่างกายต้องการ ทราบว่าต้องเยอะมากๆ มิน่าคนถึงหันไปกินชนิดเม็ดกันหมด แต่เคยอ่านที่พี่หม่องแนะนำแล้วจำได้ว่า กินอาหารเสริมได้ ถ้ากลัวตกค้างต้องเว้นระยะการกินบ้างใช่มั้ยคะ

A : ส้มจัดเป็นผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง นอกจากวิตามินซีแล้ว ส้มยังอุดมไปด้วยวิตามินเอ โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสและเหล็ก ส้มมีใยอาหารสูงด้วย เป็นผลไม้ที่มีสรรพคุณช่วยต้านอนุมูลอิสระได้ดีทีเดียวค่ะ โดยเฉลี่ยส้ม 100 กรัม มีวิตามินซี ประมาณ 18-50 มิลลิกรัม แต่ถ้าเทียบส้มแต่ละชนิดในปริมาณที่เท่ากัน คือ 100 กรัม จะได้ดังต่อไปนี้ค่ะ
• ส้มเขียวหวาน มีวิตามินซีประมาณ 18 มิลลิกรัม
• ส้มเช้ง มีวิตามินซีประมาณ 43 กรัม
• ส้มโอ มีวิตามินซีประมาณ 53 กรัม
• ส้มซันควิก มีวิตามินซีประมาณ 32 มิลลิกรัม
• ส้มสายน้ำผึ้ง มีวิตามินซีประมาณ 18 กรัม
• เกรฟฟรุตเป็นส้มชนิดหนึ่งที่มีวิตามินซีค่อนข้างสูงมากกว่าส้มโอประมาณ 1 เท่าค่ะ
ส่วนปริมาณวิตามินซีที่ร่างกายต้องการในหนึ่งวันประมาณไม่ควรน้อยกว่า 60-100 มิลลิกรัมต่อวัน แต่คุณสามารถรับได้ถึง 1000 มิลลิกรัม ในวิตามินซีชนิดเม็ดร่างกายสามารถดูดซึมได้ ประมาณ 40-50% เท่านั้น และก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ภายในระยะเวลาประมาณ 30 นาที แต่วิตามินเม็ดส่วนมากเป็นวิตามินที่สังเคราะห์ ซึ่งแตกต่างจากวิตามินที่ได้จากธรรมชาติ วิตามินที่ได้จากธรรมชาติเช่น จากส้ม มะนาว หรือผลไม้ต่างๆ ระยะเวลาในการเก็บก็มีส่วนทำให้วิตามินซีที่อยู่ในส้มลดลงเช่นกันค่ะ ดังนั้น
ถ้าต้องการเสริมวิตามินซีจากธรรมชาติ อาจต้องกินส้มอย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 5-10 ผล จึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกายขั้นต่ำใน 1 วัน แต่ของสดก็ย่อมดีกว่าของที่สังเคราะห์อยู่แล้ว
แต่อาจต้องระวังเรื่องน้ำตาลสักนิด เพราะอาจจะมีผลต่อน้ำหนักได้ค่ะ
ส่วนการกินอาหารเสริมเพื่อความสบายใจไม่ต้องกังวลว่าจะมีการตกค้างในร่างกาย เมื่อรับประทานหมดกล่อง แต่ละครั้งควรพักสัก 1-2 สัปดาห์ ก็สามารถรับประทานต่อได้
: คุณรุ่งเรือง คลองบางลอ
โภชนากร ฟิลิปเวน
http://health.haijai.com/2677/


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #519 เมื่อ: เมษายน 01, 2015, 10:47:37 AM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #520 เมื่อ: เมษายน 01, 2015, 10:48:53 AM »




"ประโยชน์ดีๆ จากเบอร์รี่ไทย"

หากพูดถึง “ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” เพื่อนๆ จะนึกถึงผลไม้ชนิดใดเป็นอันดับแรกๆคะ สตรอเบอร์รี่ บูลเบอร์รี่หรือราสเบอร์รี่ ที่ส่วนใหญ่จะต้องนำเข้าจากต่างประเทศ แต่ที่จริงแล้วบ้านเราก็มีเบอร์รี่แบบไทยๆ ที่มากด้วยประโยชน์ไม่แพ้ผลไม้นำเข้า แถมยังราคาถูก แล้วบางทีอาจจะหาได้ง่ายใกล้ตัวมากกว่าอีกด้วย งั้นมาดูกันค่ะว่าเรานำเบอร์รี่แบบไทยๆชนิดไหนมากฝากเพื่อนๆ กันบ้าง

1. "ลูกหม่อน"
ลูกหม่อนหรือจะเรียกเก๋ๆ อีกชื่อว่า “มัลเบอร์รี่” รูปทรงเรียวยาวผลที่ยังไม่แก่จัดมีสีแดง รสชาติเปรี้ยว เมื่อสุกจะมีสีแดงเข้มจนดำ รสหวาน จัดเป็นสุดยอดเบอร์รี่ก็ว่าได้เพราะลูกหม่อน 100 กรัม มีสารต้านอนุมูลอิสระมากกว่าบลูเบอร์รี่ 2-3 เท่า และจากงานวิจัยพบว่าสารสกัดจากลูกหม่อนสามารถช่วยควบคุมความหิว ควบคุมน้ำหนักได้อีกด้วย

2. "มะยม" แค่ได้ยินชื่อน้ำลายก็สอกันแล้วใช่ไหมคะ มะยมรสเปรี้ยวๆ หวานๆ อมฝาดนิดๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี และสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอวัย และความเสื่อมของเซลล์ต่างๆ ในร่างกายได้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติและลดการสะสมของเสียในร่างกาย

3. "มะขามป้อม" สมุนไพรหรือผลไม้เพื่อสุขภาพ มีรสฝาดอมเปรี้ยวแต่เมื่อดื่มน้ำตามจะชุ่มคอ แก้กระหาย สรรพคุณที่เด่นชัดของมะขามป้อมคือมีวิตามินซีสูงมาก โดยมะขามป้อม 1 ผล จะมีปริมาณวิตามินซีเท่ากับส้ม 1-2 ผลเลยทีเดียว และมีแร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น แคลเซียม ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก เป็นต้น ถึงแม้ว่าผลสดจะทานยากเนื่องจากมีรสฝาด วิธีการทานให้อร่อยขึ้นด้วยการผ่าเอาแต่เนื้อมะขามป้อม ปรุงรสด้วยน้ำตาลทราย เกลือและพริกป่น แค่นี้ก็อร่อยลืมเลยล่ะค่ะ

4. "เชอร์รี่ไทย" ผลไม้ลูกเล็กๆ สีแดงสดสวย มีรสชาติ และกลิ่นที่เฉพาะตัวแบบไทยๆ อุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอ เบต้าแคโรทีน ไลโคปีน และยังมีสารสำคัญในกลุ่มแอนโทไซยานินซึ่งช่วยลดอาการอักเสบและเจ็บปวดกล้ามเนื้อได้ ช่วยบรรเทาอาการซึมเศร้าได้ ถ้ากินเป็นประจำจะทำให้อารมณ์ดีและกระปรี้กระเปร่า

5. "ลูกหว้า"
ลูกหว้า ผลไม้ที่ได้ยินชื่อบ่อยๆแต่หาทานได้ยาก มีรสชาติออกเปรี้ยวหวานอมฝาดเล็กน้อย ผลสุกจะมีสีม่วงเข้มจนถึงดำคล้ายองุ่น เห็นลูกเล็กๆ แบบนี้แต่มีสารต้านอนุมูลอิสระช่วยชะลอวัย ธาตุเหล็กเสริมสร้างกระดูกและฟัน และช่วยลดอัตราความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจได้ด้วย

6. "ตะขบ"
ตะขบลูกเล็กๆ รสหวานหอม มีใยอาหารสูงช่วยดูดซับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงการเป็นมะเร็งและเส้นเลือดอุดตัน พร้อมแร่ธาตุจัดเต็มอย่างโพแทสเซียม แคลเซียม ฟอสฟอรัสที่ช่วยบำรุงกระดูก ตะขบยังมีสารสีแดงอย่างสารไลโคปีน ที่มีอยู่ในมะเขือเทศช่วยต้านอนุมูลอิสระ ปกป้องและชะลอความเสื่อมของเซลล์ไม่ให้แก่เร็ว

7. "มะเม่าหรือหมากเม่า" ผลไม้พื้นบ้านพบมากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ผลเล็กๆ เกาะกันเป็นพวงคล้ายพวงองุ่น สีแดงสดเมื่อสุกจะแดงเข้มจนดำ นิยมนำมาแปรรูปเป็นน้ำผลไม้ ไวน์และแยม มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงเช่นเดียวกับเบอร์รี่ทั้งหลาย แต่พิเศษตรงที่มีธาตุเหล็กสูงจึงใช้ผลไม้ชนิดนี้ในการรักษาภาวะโลหิตจางและบำรุงเลือดได้ด้วย มีประโยชน์ต่อสุขภาพผู้หญิงอย่างเราๆ มากเลยทีเดียวค่ะ

8. "มะเกี๋ยง" ผลไม้พื้นบ้านทางภาคเหนือ ลักษณะคล้ายลูกหว้าแต่มีขนาดเล็กกว่า มีสีม่วงออกแดง รสเปรี้ยว นอกจากมีวิตามินซีสูงแล้วยังมีสารประกอบฟีนอลิกที่ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระที่กระตุ้นให้เกิดเซลล์มะเร็ง บำรุงประสาทและช่วยในการดูดซึมวิตามินบี 12

9. "โทงเทงฝรั่ง"
เป็นพืชจำพวกหญ้าจัดเป็นพืชตระกูลมะเขือ พริก มีชื่อเรียกแตกต่างกันในแต่ละท้องถิ่น เช่น บ่าตอมต๊อก (ภาคเหนือ), หญ้าเถาเถง (ภาคกลาง), ปุงปิง (ภาคใต้) ลักษณะเป็นลูกเล็กสีเหลืองสวยแปลกตา เพราะมีกลีบสีน้ำตาลหุ้มอยู่รอบผล มีรสเปรี้ยวอมหวานและกลิ่นหอม อุดมไปด้วยวิตามินซี ช่วยให้สายตาดี ผมสวย ผิวสวย มีวิตามินเอ วิตามินบี และสารแคโรทีนอยย์สูงป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็ง และโรคหัวใจอีกด้วย นอกจากหน้าตาสวยแล้วประโยชน์ก็มีมากด้วย

ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ไทยหรือต่างประเทศ ต่างก็มีประโยชน์ไม่แพ้กัน และจะให้ดีเลือกทานผลไม้แบบสดๆ ที่ปราศจากน้ำตาลจากการแปรรูปนั้นจะดีที่สุดค่ะ

Cr: dailynews , http://www.sharp-wee...px?id=4&bid=271


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #521 เมื่อ: เมษายน 01, 2015, 10:50:22 AM »


Cr มูลไส้เดือนฟาร์มดี
มะนาวแป้นพิจิตร มะนาวแป้นจริยา มะนาวแม่ไก่ไข่ดก และ มะนาวน้ำหอมทูลเกล้าไม่มีเมล็ด ทั้ง 4 สายพันธุ์ถือเป็นมะนาวเด่นที่ได้รับความนิยมปลูกอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน เคยแจกแจงรายละเอียดในคอลัมน์ไปทุกพันธุ์แล้ว บางพันธุ์มีผลทะวายหรือตลอดปี ให้น้ำเยอะ รสเปรี้ยวจัด ติดผลดก แต่ละพันธุ์ที่กล่าวข้างต้นปลูกแล้วคุ้มค่ามาก โดยเฉพาะมะนาวแป้นพิจิตร เป็นพันธุ์ใหม่ล่าสุดที่นักวิชาการเกษตรบำรุงพันธุ์ให้ทนทานต่อโรคแมลงทุกชนิด และยังสามารถติดผลดกในช่วงฤดูแล้งที่ผลมะนาวมีราคาแพงด้วย เกษตรกรในปัจจุบันจึงนิยมปลูกมะนาวสายพันธุ์ แป้นพิจิตรอย่างแพร่หลาย —
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #522 เมื่อ: เมษายน 09, 2015, 09:43:18 PM »

ดีท็อกซ์ง่ายๆ ด้วยผลไม้ใกล้ตัว




เป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่มนุษย์ได้คิดค้นการ"ดีท็อกซ์" เพื่อลดสารพิษในร่างกายและเติมอาหารให้ร่างกายแข็งแรง ทั้งยังช่วยป้องกันเชื้อโรค แถมยังเป็นตัวช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดี ซึ่งเว็บไซต์ Eat Local Grown ได้ยกเอาประโยชน์จากผักผลไม้ใกล้ตัวที่ช่วยดีท็อกซ์ร่างกายมาเป็นตัวอย่างให้คุณสาวๆ ได้เลือกสรรกันง่ายๆ อาทิ

"แอปเปิล" เพราะเต็มไปด้วยสารอาหารชนิดต่างๆ ทั้งไฟเบอร์ วิตามิน และยังมีสารอาหารช่วยกระตุ้นกระบวนการขับสารพิษจากตับ ช่วยชะลอวัยได้ด้วย

"อัลมอนด์"  ที่ได้ชื่อว่าเป็นแหล่งวิตามินอีที่ดีที่สุด ในหนึ่งออนซ์จะมีอัลฟ่า โทโคฟีโรล วิตามินอี ในระดับที่เหมาะกับร่างกาย ทั้งยังช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและล้างสารเจือปนจากลำไส้ได้

"ใบโหระพา"  ด้วยมีสารแอนตี้แบคทีเรียและแอนตี้ออกซิแดนท์ ช่วยปกป้องตับ และมีส่วนผสมของสารเทอพีนอยด์ ที่ช่วยขจัดสารพิษจากร่างกาย

"บลูเบอรี่"  การทานบลูเบอรี่ 300 กรัม จะช่วยปกป้องดีเอ็นเอของร่างกายไม่ให้ถูกทำลาย ทั้งยังช่วยป้องกันแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ และป้องกันการติดเชื้อได้ด้วย

"กระเทียม" ผักยอดนิยมของผู้ชื่นชอบการดีท็อกซ์ เหตุเพราะว่ากระเทียมช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกายที่จะช่วยดูแลตับของคุณ ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าได้ผลดีกว่ายาปฏิชีวนะด้วยซ้ำ

"ผลไม้ตระกูลส้ม"  เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ คอลลาเจน วิตามินต่างๆ ที่ช่วยให้ขับถ่ายได้ดี ทั้งยังช่วยล้างสารพิษในร่างกายและต้านอนุมูลอิสระ ยับยั้งสัญญาณของโรคมะเร็งบางชนิด ข้อแนะนำคือควรทานส้มเป็นลูกมากกว่าน้ำส้ม เพราะจะช่วยให้ได้รับกากใยมากกว่านั่นเอง

"มะนาว" การดื่มน้ำมะนาวเป็นอย่างแรกหลังจากตื่นนอนจะช่วยบาลานซ์กรดในร่างกาย และมีส่วนผสมช่วยการขับถ่ายในตับ นอกจากนี้น้ำมะนาว 1 แก้วยังอุดมด้วยสารที่ป้องกันมะเร็งถึง 20 ชนิดอีกด้วย

"ตะไคร้"  สมุนไพรอันโด่งดังจากประเทศไทยที่ช่วยล้างสารพิษในอวัยวะต่างๆ ในคราเดียว ทั้งตับ ช่วยฟอกไต และกระเพาะปัสสาวะ การนำมาปรุงอาหารหรือเป็นส่วนผสมในชาจะช่วยให้ระบบล้างสารพิษในร่างกายเราดีขึ้นอย่างแน่นอน

ได้เวลาเข้าสวนเด็ดผักหลังบ้านกันแล้ว


msn
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #523 เมื่อ: เมษายน 09, 2015, 09:48:54 PM »

ยุติหลากช่องทางซ้ำวิกฤติเชื้อดื้อยา





แม้ในประเทศไทยจะมีความพยายามมาหลายปีในการแก้ปัญหาเชื้อดื้อยาในมนุษย์ แต่สถานการณ์ก็ไม่ได้ดีขึ้นไปกว่าเดิม เหตุเพราะพฤติกรรมการใช้ยาของคนยังไม่เปลี่ยนไป ไม่เพียงแค่ใช้ยาพร่ำเพรื่อ แต่ยังใช้ยาไม่ถูกกับโรค โดยเฉพาะ “ไข้หวัด” ไม่ว่าจะเป็น หวัดธรรมดา หวัดลงคอ หวัดลงไซนัส หวัดลงหลอดลม หรือแม้แต่ไข้หวัดใหญ่ ซึ่งล้วนแล้วแต่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเป็นส่วนใหญ่ ที่ยาปฏิชีวนะไม่ได้มีผลในการฆ่าเชื้อเหล่านี้เลย แต่คนไทยก็แห่กันใช้ยาตัวนี้ด้วยความเชื่อที่ผิด ๆ

จากพฤติกรรมเหล่านี้ ผศ.นพ.พิสนธิ์ จงตระกูล อาจารย์ประจำภาควิชาเภสัช วิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ระบุว่า ยาปฏิชีวนะจะให้ผลในการรักษาโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียได้เป็นอย่างดี เช่น โรคปอดบวม กระเพาะปัสสาวะอักเสบ การติดเชื้อที่ไต การติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น แต่คนไทยยังมีความเข้าใจผิด ไม่ตรงโรค รับประทานไม่ครบโดสตามที่แพทย์สั่ง เช่นไข้หวัดที่เกิดจากเชื้อไวรัสรับประทานยาปฏิชีวนะไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะเชื้อไวรัสเจ้าปัญหาก็ไม่ได้ถูกกำจัดออกไป แต่แบคทีเรียชนิดดีที่ไม่ก่อโรคเกิดการล้มตาย และบางส่วนที่เหลืออยู่ก็พัฒนาตัวเองเพื่อหาทางรอด จนกลายเป็นเชื้อดื้อยาในที่สุด




ปัจจุบันคนไทยมีปัญหาเจ็บป่วยจากเชื้อดื้อยาปีละประมาณ 1 แสนคน ในจำนวนนี้เสียชีวิตปีละประมาณ 3 หมื่นคน นอน รพ.นานขึ้นกว่าเดิมถึง 1 ล้านวันต่อปี และเสียเงินในการแก้ปัญหาเชื้อดื้อยา มากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี”

นอกจากปัญหาจะเกิดจากพฤติกรรมการรับประทานแล้วยังมีอีก 2 กรณีที่พบในเมืองไทยและเป็นการซ้ำสถานการณ์เชื้อดื้อยาให้แก้ไขยากขึ้นไปอีก 2 กรณีคือ 1. การใช้ยาปฏิชีวนะมาผสมอาหารเลี้ยงสัตว์เพื่อหวังให้สัตว์เหล่านั้นอุดมสมบูรณ์ สวยงามขายได้ราคาดี ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการจ่ายยาตามที่สัตวแพทย์สั่ง หรือกรณีที่ชาวบ้านธรรมดา ๆ คลุกยากับอาหารให้สัตว์กินเองตามบ้านก็ตาม

ถามว่ายาปฏิชีวนะที่ใช้ในสัตว์เกี่ยวอะไรกับภาวะเชื้อดื้อยาในมนุษย์ เพราะหลายคนยังไม่เข้าใจและอ้างว่าเป็นเพราะยาตัวนี้สัตว์เลี้ยงถึงอยู่รอดและปลอดโรค ผศ.นพ.พิสนธิ์ ได้อธิบายว่า ยาปฏิชีวนะมีทั้งชนิดที่สลายไปตามธรรมชาติ และชนิดที่คงทนถาวร แม้แต่ความร้อนก็ไม่สามารถทำลายได้ เมื่อสัตว์รับประทานเข้าไปแล้ว เกิดกลไกเดียวกับมนุษย์คือมีทั้งฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และทำให้แบคทีเรียต่อต้านจนเกิดการดื้อยา แถมยังสะสมอยู่ในเนื้อสัตว์เหล่านั้นไม่ไปไหน ต่อเมื่อมนุษย์รับประทานเนื้อสัตว์เหล่านี้เข้าไป ก็ไม่พ้นติดเชื้อแบคทีเรียดื้อยาในที่สุด แต่ก็มีเรื่องให้น่ายินดีเมื่อกรมปศุสัตว์ได้เล็งเห็นโทษของมันจึงได้ออกประกาศอย่างชัดเจนว่าจากนี้เป็นต้นไปห้ามเด็ดขาดไม่ให้มีการนำเอายาปฏิชีวนะมาผสมอาหารเลี้ยงสัตว์อีกต่อไปเว้นเสียแต่ว่าสัตว์เหล่านั้นป่วยด้วยโรคติดเชื้อแบคทีเรียเท่านั้น เรียกได้ว่าเป็นการแก้ปัญหาได้เร็วกว่าการแก้ไขปัญหาในมนุษย์เสียอีก

กรณีที่ 2 การทิ้ง หรือกำจัดยาปฏิชีวนะเหลือใช้ หรือยาหมดอายุไปแล้ว ซึ่งขณะนี้ประเทศไทยไม่มีกฎหมายหรือหลักเกณฑ์การกำจัดยาอันตรายเช่นนี้อยู่เลย ต่างคนต่างทิ้งไปตามวิธีการของตัวเอง เช่น ทิ้งถังขยะ ทิ้งลงชักโครก ปล่อยให้ยาเหล่านั้นไหลไปตามท่อซึ่งอุดมไปด้วยเชื้อแบคทีเรีย แน่นอนว่าส่วนหนึ่งจะถูกฆ่าตาย และอีกส่วนจะพัฒนาตัวเองเป็นเชื้อดื้อยา ในขณะที่ระบบกำจัดของเสียของประเทศไทยยังไม่ดีพอ ทำให้พบการนำสิ่งปฏิกูล อุจจาระที่ดูดมาจากส้วมไปปล่อยทิ้งตามธรรมชาติ จึงเป็นเรื่องง่ายมากที่วันนี้จะมีเชื้อดื้อยาอยู่ในทุก ๆ ที่ ซึ่งแม้จะไม่ชัดเจนเหมือนพฤติกรรมการรับประทานยาปฏิชีวนะโดยตรง แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือส่วนหนึ่งของปัญหาเพราะไม่ว่าคนเราจะรับเชื้อเข้าสู่ร่างกายผ่านช่องทางใดก็ตามล้วนแต่ก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยาได้ทั้งสิ้น

ตอนนี้แบคทีเรียหลายตัวดื้อต่อยาปฏิชีวนะแล้ว เชื้อบางตัวเกิดการดื้อไปแล้วร้อยละ 80-90 มีโอกาสรักษาหายเพียงประมาณร้อยละ 20 เท่านั้น ในทางการแพทย์ถือว่าเมื่อใดก็ตามที่ยาปฏิชีวนะใดมีประสิทธิภาพต่ำกว่าร้อยละ 70 ถือว่าเป็นยาที่ไม่มีประสิทธิภาพในการรักษาแล้ว เพราะโอกาสหายมีไม่มาก การรักษาโรคเข้าขั้นวิกฤติ ที่สำคัญโรคที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียตอนนี้โอกาสในการรักษาหายลดต่ำลงเรื่อย ๆ

การแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในตอนนี้คือเราร่วมกันปรับพฤติกรรมการใช้ยาอย่างสมเหตุผล จัดการลดโอกาสแพร่กระจายเชื้อก่อนที่อนาคตจะทำได้เพียงแค่สวดมนต์ภาวนาหลังเกิดโรคติดเชื้อแบคทีเรียในร่างกาย

อภิวรรณ เสาเวียง : รายงาน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #524 เมื่อ: เมษายน 17, 2015, 05:54:21 PM »

สารเคลือบผิวผลไม้เป็นอันตรายหรือไม่
สารเคลือบผิวผลไม้ ได้มาจากไขผสมทั้งที่เป็นไขจากแหล่งตามธรรมชาติ และที่สังเคราะห์ขึ้น แต่จะใช้ได้ต้องผ่านการควบคุมและตรวจสอบเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค การเคลือบผิวช่วยปิดบังริ้วรอยขีดข่วนที่ผิวผลไม้ซึ่งเกิดขึ้นได้ระหว่างการเก็บเกี่ยวทดแทนไขธรรมชาติที่หลุดออกระหว่างการทำความสะอาด
และช่วยยืดอายุการสุกของผลไม้ซึ่งเกิดขึ้นได้ระหว่างการเก็บเกี่ยวทดแทนไขธรรมชาติที่หลุดออกระหว่างการทำความสะอาด และช่วยยืดอายุการสุกของผลไม้ให้ยาวนานขึ้น การเคลือบยังทำให้ผู้บริโภค ส่วนใหญ่ตัดสินใจซื้อสินค้าจากรูปลักษณ์ภายนอก
เพราะความเงางาม สีสันแวววาว

นอกจากนี้สารเคลือบปกป้องการสูญเสียน้ำด้วย ผักและผลไม้ส่วนใหญ่จะมีองค์ประกอบเป็นน้ำและเกิดการสูญเสียน้ำได้ง่ายการสูญเสียน้ำมาก ทำให้ผิวผลไม้เหี่ยว ดังนั้น บรรจุภัณฑ์ จึงต้อง
ช่วยรักษาน้ำผลิตภัณฑ์ด้วย ซึ่งเป็นความขัดแย้งกับความต้องการทำให้ผลิตผลเย็น ฉะนั้น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ต้องคำนึงถึงปัจจัยทั้งสองควบคู่กัน แต่การจัดปัจจัย 2 อย่างให้มีความพอดีไม่ใช่เรื่องง่าย จึงต้องใช้วิธีการอื่นๆ ช่วย เช่น การเคลือบผิวผลิตผล หรือการเคลือบด้วยพลาสติก
สารเคลือบแบ่งได้ 2 ประเภท คือ
1.แวกซ์ ให้ความเงางามสว่างตา มีจำหน่าย 3 ชนิด คือ
เทเซอร์ ซี ซีพี แชลแล็ก + ออกซิไดซ์เอธีลีน สำหรับเคลือบผิว ทำให้ผิวมัน ลดการระเหยและลดการหายใจของผลไม้ เป็นสารเคลือบเงาราคาประหยัดที่สุด
เทฌวอร์ ซี จีแอลพี คือ คลอโรฟินิลเรซิน + ออกซิไดซ์เอธิลีน
ใช้กันแพร่หลายในยุโรปและอเมริกา
เทฌวอร์ ซี จีแอลเค คือ แชลเล็ก+ คาร์นาอูบา ใช้ในญี่ปุ่น
2. สารเคลือบทีสามารถกินได้ ให้ความเงางามน้อยกว่าชนิดแรก แต่ยืดอายุคุณภาพผลไม้ได้ยาวนานกว่า ได้แก่ กัสเทค ซี สเปรย์ นิยมใช้กับผลไม้ประเภท แอปเปิ้ล แพร์ พลับ มะเขือเทศ ผู้ปริโภคสามารถรับประทานได้ทั้งเปลือก ไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายสำหรับประเทศไทยนิยมสารเคลือบผิวผลไม้แบบแรก คือ แวกซ์
ฝ่ายโภชนาการและโภชนาการและโภชนบำบัด โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ให้ข้อมูลดังนี้ สารเคลือบผงไม้ที่ส่วนใหญ่จะเห็นชัดเจนบนผิวแอปเปิ้ลหรือส้มเขียวหวาน เรียกชื่อเต็มว่า Wax Soluble มีคุณสมบัติละลายในน้ำปกติได้ ถ้ากินเข้าไปบ้าง
ก็ไม่เป็นอันตราย เพราะไตสามารถขับออกได้ แต่ไม่ขอแนะนำเพราะร่างกายคนเราไม่เหมือนกัน ฉะนั้น ควรล้างทำความสะอาด หรือเช็ดออกให้ละอาดทุกครั้งที่จะรับประทาน ส่วนสารที่มีคุณสมบัติให้ความเงามันเหมือน Wax Suloble ที่นิยมใช้อีกอย่างคือ “ไขเทียนที่ไม่ใส่สี” ตัวนี้ยิ่งต้องทำความสะอาดออกให้มาก เพราะเป็นสารที่ไม่มีคะณสมบัติละลายน้ำได้โดยเฮพาะเมื่ออยู่ในร่างกาย
http://www.sarinclinic.com/home.php?section=9&subsection=20



บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 33 34 [35] 36 37 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: