|
jainu
|
 |
« ตอบ #556 เมื่อ: มีนาคม 19, 2016, 10:17:45 AM » |
|
ภัยใกล้ตัว...ตะเกียบคร่าชีวิต กรุงเทพธุรกิจ (BangkokBizNews} หลายๆ ท่าน เมื่อไปรับประทานอาหารประเภท ปิ้งย่าง ชาบู หมูกะทะ สุกี้หรือจิ้มจุ่ม คงเคยชินกับการใช้ตะเกียบคีบหมูดิบลงหม้อและนำตะเกียบนั้นคีบอาหารเข้าปาก แต่รู้หรือไม่ พฤติกรรมแบบนี้ อาจนำไปสู่อันตรายถึงแก่ชีวิตได้ เพราะเชื้อโรคหรือพยาธิต่างๆ จะติดมากับตะเกียบหรือภาชนะอื่นๆ มาสู่ร่างกาย พ.ญ.ศุภมาศ วิบูรณ์สุขสันต์ อายุรแพทย์โรคสมองและระบบประสาท โรงพยาบาลเวชธานี ชี้ว่า พฤติกรรมดังกล่าว เปรียบเสมือนท่านรับประทานเนื้อหมูดิบหรือปรุงไม่สุก ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่างๆ เช่น การติดเชื้อพยาธิ ทำให้เกิดอาการปวดท้อง ท้องเสีย รวมถึงมีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคติดเชื้อเยื่อหุ้มสมองอักเสบชนิดหนึ่ง หรือโรคไข้หูดับ นั่นเอง
โรคไข้หูดับ เกิดจากการติดเชื้อสเตร็พโตค็อคคัส ซูอิส (Streptococcus suis) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรีย ที่ก่อให้เกิดโรคติดต่อจากหมูสู่คน โดยผู้ที่มีความเสี่ยงได้แก่ ผู้ที่รับประทานเนื้อหมูสุก ๆ ดิบ ๆ เช่น ลาบ หลู้ รวมไปถึงผู้ที่ใช้อุปกรณ์ในการรับประทานอาหารที่สัมผัสกับเนื้อหมูดิบ ดังที่กล่าวไปแล้วข้างต้น
นอกจากนี้ยังพบว่า การติดเชื้อในผู้ที่มีอาชีพเกี่ยวกับการเลี้ยงหมู การทำงานเกี่ยวกับการชำแหละเนื้อหมู โดยเชื้อจะเข้าตามบาดแผล ตามร่างกาย หรือเยื่อบุตา หรือไปสัมผัสสารคัดหลั่งของหมู เช่น น้ำลาย เป็นต้น
ผู้ป่วยที่มีอาการไข้หูดับ จะมีอาการไข้สูง และมีอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบได้แก่ ปวดศีรษะรุนแรง คอแข็งเกร็ง ระดับความรู้สึกตัวลดลง บางรายอาจมีอาการการติดเชื้อที่เยื่อบุหัวใจ การติดเชื้อในข้อ รวมถึงการติดเชื้อในกระแสโลหิต ซึ่งอาจทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักจะมีภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อเส้นประสาทหู ทำให้สูญเสียการได้ยินหรือหูดับ รวมถึงมีปัญหาการทรงตัว และเวียนศีรษะร่วมด้วย
หากท่านมีอาการดังกล่าว หลังจากที่สัมผัสหมู หรือมีประวัติรับประทานเนื้อหมูสุก ๆ ดิบ ควรรีบพบแพทย์ เพื่อการตรวจวินิจฉัย และการให้การรักษาโดยเร็ว ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดำ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ก็มักตอบสนองได้ดีและรักษาให้หายขาดได้ โดยระยะเวลาในการให้ยาปฏิชีวนะ ควรให้นานอย่างน้อย 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าหากรักษาล่าช้า ก็อาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หรือเกิดภาวะแทรกซ้อน
โดยเฉพาะอาการหูดับ ซึ่งแม้จะรักษาหายจากโรคแล้ว แต่อาการหูดับมักจะยังคงอยู่ทำให้เกิดหูหนวกถาวรได้เมื่อรู้ถึงอันตรายจากการรับประทานเนื้อหมูดิบแล้ว เราจึงควรปรุงอาหารให้สุกอยู่เสมอ ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหาร หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ที่ปรุงอาหารและนำอาหารเข้าปากร่วมกัน แม้กระทั่งง่าย ๆ อย่างการใช้ตะเกียบคีบอาหาร เราก็ไม่ควรมองข้าม นอกจากนี้ผู้ที่มีอาชีพเลี้ยงหมู หรือแล่เนื้อหมูก็ควรสวมถุงมือ สวมรองเท้า และใส่เสื้อผ้าที่รัดกุมก่อนสัมผัสเนื้อหมู หรือสารคัดหลั่งต่าง ๆ รวมถึงการสำรวจบาดแผลตามร่างกายก่อนสัมผัสทุกครั้ง http://www.msn.com/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #557 เมื่อ: มีนาคม 24, 2016, 04:18:52 PM » |
|
Toptenthailand.com
5 ประโยชน์ของ “ซองกันชื้น” สุดยอดของฟรี ที่คุณไม่ควรทิ้ง ซองกันชื้น ที่เราได้มาจากกล่องชนมหรือกล่องรองเท้าต่างๆนั้น สามารถช่วยให้คุณประหยัดทั้งเวลา พลังงาน และเงิน ซึ่งหากจะโยนมันทิ้งก็คงเป็นความคิดที่ไม่เข้าท่ามากเท่าไหร่นัก เพราะประโยชน์ของมันมีมากมายจริงๆ ซองกันชื้น หรือ ซองซิลิกาเจล ภายในจะบรรจุเม็ดเล็กๆ ของ silicon dioxide ไว้ซึ่งช่วยให้อะไรก็ตามที่อยู่รอบตัวมันแห้งอย่างรวดเร็ว แม้ว่าจะมีคำเตือนอยู่บนซอง แต่ว่ามันก็ไม่ได้เป็นสารพิษหรือเป็นพิษและเป็นอันตรายจริงๆ เพียงแต่มันเป็นสารที่เสี่ยงต่อการติดคอเด็ก เพราะฉะนั้นผู้ใหญ่อย่างเราจึงควรเก็บให้พ้นจากมือเด็กตามคำเตือน
นี่ก็คือ 5 ข้อดีของซองกันชื้น เพื่อการใช้ประโยชน์จากสุดยอดของฟรี หากพร้อมแล้วก็มาดูไปพร้อมๆกันเลยครับว่ามีอะไรบ้าง 1.โทรศัพท์มือถือตกน้ำกลับมาใช้ได้อีกครั้ง เพียงแค่คุณทิ้งโทรศัพท์เปียกน้ำไว้ในโหลปิดที่มีซองกันชื้น เพียงข้ามคืนเท่านี้ โทรศัพท์ของคุณก็จะฟื้นคืนชีพกลับมาใช้งานได้ปกติแล้วหล่ะครับ
2.ช่วยกำจัดฝ้าออกจากหน้ารถ หากจอดรถทิ้งไว้ แล้วข้างนอกมีอากาศหนาว ก็อาจทำให้ฝ้าขึ้นกระจกรถเป็นคราบได้ สิ่งที่ควรทำก็คือ นำซองกันชื้นไปวางไว้ภายในรถ(กระจกหน้ารถ) เพียงเท่านี้คราบฝ้ากวนใจก็จะไม่เกิดขึ้นอีกต่อไป 3.ช่วยยืดอายุใบมีดโกน ควรเก็บรักษามีดโกนของคุณไว้ในกล่องทัปเปอร์แวร์ที่มีซองกันชื้น เพราะจะทำให้แห้งเร็ว สนิมไม่ขึ้น 4.ช่วยให้กระเป๋าเก็บเสื้อผ้าไม่อับ ไม่ชื้น ไม่สกปรก คุณสามารถหลีกเลี่ยงเชื้อราและแบคทีเรีย ที่สะสมอยู่ในกระเป๋าเสื้อผ้า ที่นานๆจะซักทีของคุณได้ง่ายๆเพียง ใส่เจ้าซองกันชื้นเข้าไป เพียงเท่านี้กลิ่นและแบคทีเรียต่างๆก็จะไม่ยุ่งวุ่นวายกับเสื้อผ้าของคุณอีก 5.ช่วยเก็บรักษาภาพถ่ายเก่าๆไม่ให้ซีดจางเลือนลาง เพื่อนๆหลายคนมักจะเก็บภาพถ่ายเก่าๆ ไว้ในห้องใต้หลังคา ห้องใต้ดิน หรือที่ที่มีความชื้น ซึ่งจะทำให้ภาพถ่ายชำรุดเสียหายเร็วมากขึ้น แนะนำให้ลองเก็บภาพถ่ายไว้ในกล่องที่มีซองกันชื้น เพียงเท่านี้ ภาพแห่งความทรงจำดีๆ ก็จะคงอยู่ชัดตลอดไปแน่นอน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #558 เมื่อ: เมษายน 22, 2016, 08:40:38 PM » |
|
เครื่องดื่มที่เหมาะสมในหน้าร้อน ในฤดูร้อนที่เรามีการสูญเสียน้ำทางเหงื่อมาก การทดแทนน้ำในร่างกายที่เสียไปที่ดี คือ การดื่มน้ำเปล่า (ที่สุกแล้ว) หรือถ้าจะเสริมปรุงแต่งด้วยน้ำตาล เกลือ หรือสมุนไพรอื่นๆ ก็สามารถเลือกได้ตามความชอบและความเหมาะสม เช่น 1. การดื่มชาร้อน น้ำเก๊กฮวยน้ำดอกสายน้ำผึ้ง น้ำใบไผ่ น้ำบ๊วย น้ำถั่ว จะช่วยลดความร้อนของหัว ใจ (การไหลเวียนเลือด) ทำให้ตาสว่าง เพิ่มน้ำในร่างกาย บำรุงตับ บำรุงไต เจริญอาหาร ช่วยระบบย่อยและดูดซึมอาหาร ขับปัสสาวะเสริมพลังร่างกาย 2. การเติมน้ำตาลและเกลือ (ในปริมาณที่พอเหมาะ) ในเครื่องดื่มต่างๆ จะช่วยเสริมพลังและป้องกันการสูญเสียเกลือโซเดียมของร่างกายได้ โดยเฉพาะคนที่ทำงานกลางแจ้งหรือใช้แรงงานมาก
ตัวอย่าง เครื่องดื่มสมุนไพรเพื่อสุขภาพหน้าร้อน 1. ดอกเก๊กฮวย 10 กรัม ชาใบเขียว 10 กรัม ต้มใส่น้ำ 500 ซีซี กินแทนน้ำ ช่วยขับร้อน ทำให้ตาสว่าง เสริมสร้างน้ำในร่างกาย ดับกระหาย ลดอักเสบ ขับพิษร้อน 2. ใบบัวสด (บัวหลวง) 20 กรัม น้ำ 1,000 ซีซี นำมาต้ม เวลาดื่มเติมน้ำตาลเล็กน้อย จะช่วยขับร้อน ทำให้เย็น สร้างน้ำในร่างกาย ดับกระหาย ขับความชื้น ลดไขมันในเลือด 3. ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำอย่างละ 50 กรัม ต้มใส่น้ำตาลกินทั้งเปลือก มีสรรพคุณขับร้อน ทำให้เย็น ขับความชื้น บำรุงไต เพิ่มพลัง 4. บ๊วยดำ 100 กรัม น้ำ 1,000 ซีซี ต้มใส่น้ำตาลพอประมาณ ปล่อยทิ้งไว้ให้เย็นแล้วดื่ม มีสรรพคุณสร้างน้ำในร่างกาย ดับกระหาย หยุดไอ แก้ท้องเสีย การดื่มน้ำชาหรืออาหารสมุนไพรที่ร้อน มีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มการขับเหงื่อ กระจายความร้อน สังเกตได้ว่าหลังจากกินอาหารดังกล่าวจะทำให้รู้สึกสบาย สรรพคุณของสมุนไพรก็เพื่อทำให้ภายในร่างกายไม่ร้อนเกินไป และสร้างน้ำเพื่อไม่ให้เสียเหงื่อมาก แต่ไม่ควรดื่มน้ำชาใส่น้ำแข็ง เพราะมีผลเสียมากกว่าผลดี
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #559 เมื่อ: เมษายน 22, 2016, 09:20:16 PM » |
|
* * * โง่มาตั้งหลายเดือน! เปิดแอร์เร่งสุด แต่ทำไมไม่เย็นสักที ค่าไฟแพงกระฉูด อ่านแล้วกระจ่าง อธิบายได้ดีที่สุดhttp://www.siamupdate.com/news-182335
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #560 เมื่อ: เมษายน 25, 2016, 10:17:21 AM » |
|
https://www.youtube.com/watch?v=A9PMs_N33fUกว่าจะมาเป็นถุงมือยาง !! ขั้นตอนการผลิตถุงมือยางพาชมโรงงานผลิตถุงมือยาง กระบวนการผลิตถุงมือยาง กว่าจะมาเป็นถุงมือยาง ผ่านขั้นตอนอะไรบ้าง เครดิตจาก : bighoov1
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #561 เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2016, 03:45:04 PM » |
|
หลงทำผิดมาตั้งนาน. -วิธีพ่วงแบตตารี่อย่างถูกวิธี(บวกกับบวก ลบไม่ใช่กับลบ)https://www.youtube....eature=youtu.be
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #562 เมื่อ: มิถุนายน 02, 2016, 10:26:33 PM » |
|
# วิธีดับกลิ่นในตู้เย็น #
ตู้เย็นเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้สำหรับการถนอมอาหาร เพื่อให้อาหารของเราอยู่ได้ยาวนานขึ้น จึงก็ไม่แปลกหากตู้เย็นของเราจะเกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์จากอาหาร แต่หากเราปล่อยให้กลิ่นไม่พึงประสงค์เหล่านี้อยู่ภายในตู้เย็นต่อไป มีโอกาสที่กลิ่นจะกลับมาทำร้ายอาหารอื่นๆ ของเราให้หมดอายุเร็วขึ้นอีกด้วย ดังนั้นเราจึงควรหมั่นทำความสะอาด และกำจัดกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปจากตู้เย็นของเราให้เป็นประจำ เพื่อช่วยให้ตู้เย็นกลับมามีประสิทธิภาพในการถนอมอาหารเหมือนเดิม
ซึ่งการกำจัดกลิ่นภายในตู้เย็นก็อยู่มากมายหลายวิธี เช่น การนำถ่านหุงต้มใส่ภาชนะสัก 2-3 ก้อนไปวางในตู้เย็น 1 เดือน เพื่อให้ดูดกลิ่นไม่พึงประสงค์ให้หมดไป โดยวิธีถูกใช้กันมาหลายยุคหลายสมัยแล้ว หรือหากไม่มีถ่านสามารถนำกาแฟบด หรือใบชา มาใส่ลงในถุงพลาสติกหรือถุงผ้าแล้วนำไปวางไว้ในตู้เย็น เพื่อดูดกลิ่นออกไปก็ได้อีกเช่นกัน
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
cocore
Newbie
ออฟไลน์
กระทู้: 2
|
 |
« ตอบ #563 เมื่อ: มิถุนายน 03, 2016, 10:59:12 PM » |
|
อ่าาเยี่ยมเลยครัยบ
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #564 เมื่อ: มิถุนายน 07, 2016, 05:18:43 PM » |
|
ไม่อยากแก่ ไม่อยากเหี่ยวก่อนวัยอันควร ม.มหิดล มีเทคนิคชะลอความแก่ด้วยวิธีการธรรมชาติจากคณะกายภาพบำบัด มาแนะนำ ได้ทั้งหน้ากระชับ แถมหุ่นเป๊ะ สาวๆ ที่ไม่อยากเสี่ยง ไม่อยากเจ็บตัว ต้องติดตามในคลิป MU กับ ผศ.ดร.กภ.ภครตี ชัยวัฒน์ ชัยวัฒน์
ช่อง YouTube : Mahidol Channel YouTube :http://www.youtube.com/mahidolchannel Facebook :http://www.facebook.com/mahidolchannel Mahidol University มหาวิทยาลัยมหิดล :https://www.mahidol.ac.th/th Website : http://www.mahidolchannel.com/#MahidolChannel #มหิดล #คลิปMU YOUTUBE.COM=== บอกปริมาณมองภาพไม่ออก ศิริราช เลยตวงน้ำตาลให้ดูเลย   
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #565 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2016, 12:36:19 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #566 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2016, 12:36:49 PM » |
|
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #567 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2016, 12:37:49 PM » |
|
น้ำตำลึงมะนาว บำรุงสายตา กระดูก และป้องกันโรคโลหิตจาง คุณประโยชน์ : – มีวิตามินเอสูง บำรุงสายตา – วิตามินซี ป้องกันเลือดออกตามไรฟัน – ป้องกันโลหิตจาง และโรคมะเร็ง – ยังมีแคลเซียมและฟอสฟอรัส ช่วยบำรุงกระดูก
น้ำตำลึงมะนาว ส่วนประกอบ : – ใบตำลึง 50 กรัม – น้ำมะนาว 3 ลูก – น้ำผึ้ง 1/4 ถ้วยตวง (ตามความชอบ) – น้ำสะอาด 1 ลิตร – เกลือป่นเล็กน้อย วิธีทำ : – ล้างใบตำลึง นำมาปั่น กับน้ำให้ละเอียด กรองแยกเอากากออก – ปรุงรสด้วยน้ำมะนาว น้ำเชื่อม และเกลือ ที่มา : ภาควิชาเทคโนโลยีชีวภาพ คณะอุตสาหกรรมเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ http://kaijeaw.com/%E0%B8%99%E0%B9%89%E0%B8%B3%E0%B8%95%E0…/ Cr. http://blog.etcpool....ategory/health/
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #568 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2016, 12:40:50 PM » |
|
16 เหตุผลดีๆ ว่าทำไมเราควรกินสับปะรดเป็นประจำ!
สับปะรด ผลไม้มหัศจรรย์มากคุณค่า ลดริ้วรอย ชะลอวัย ทำให้ผิวขาว บำรุงสายตา บำรุงสมอง ป้องกันเบาหวาน มะเร็ง เก๊าต์ ลดอักเสบปวดกล้ามเนื้อ ปวดประจำเดือน ฯลฯ
สับปะรด เป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยหวานๆ เปรี้ยวนิดๆ ถูกปากถูกใจใครหลายคน ไม่ว่าผู้หญิง ผู้ชาย ต่างได้ลิ้มรสแล้วเป็นหยุดไม่ได้ สับประรดไม่เพียงแค่อร่อยเท่านั้น แต่ยังมีคุณประโยชน์มากมายอย่างคาดไม่ถึง ต้องอ่าน 16 เหตุผลว่าทำไมต้องกินสับปะรด ทั้งที่หลายคนบอกว่ามันเป็นผลไม้บ้านนอก
1.เพิ่มพลังงาน สับปะรด ช่วยเพิ่มระดับพลังงานได้อย่างที่คาดไม่ถึง เพราะในสับปะรด มีน้ำตาลจากธรรมชาติ ที่ช่วยเพิ่มระดับพลังงานได้เยี่ยมยอด
2. ลดริ้วรอย ชะลอวัย ทำให้ผิวขาว สับประรด มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก สับประรด ช่วยสังเคราะห์คอลลาเจน จึงช่วยในเรื่องการเกิดริ้วรอยทำให้ชะลอวัย ต้านความแก่ได้ดี บำรุงร่างกายและผิวพรรณ ต้องบำรุงจากภายในสำคัญกว่าภายนอก และยังช่วยลดการผลิตเมลานิน จึงมีส่วนช่วยทำให้ผิวคุณขาวขึ้นได้
3. ควบคุมน้ำหนักได้ การย่อยอาหารดีขึ้น ลดระดับคอเลสเตอรอล เนื้อของผลสับปะรด มีปริมาณเส้นใยสูง ปรับสมดุลระบบการย่อยอาหาร ช่วยในการลดน้ำหนักได้ดี สับปะรด ยังช่วยลดระดับของไขมันเลว (LDL) และทำให้ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้อีกด้วย
4. บำรุงดวงตา สับปะรด เป็นผลไม้ที่ดีสำหรับดวงตา สับปะรด มีวิตามินมากมาย และมีเบต้าแคโรทีน ที่ช่วยส่งเสริมวิสัยทัศน์ที่ดีในการมองเห็น ทำให้ดวงตามีสุขภาพดีขึ้น
5.ลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง การกินสับปะรด เป็นประจำ ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็งบางชนิดได้ เพราะสับปะรด เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพ มีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงของโรคมะเร็ง
6.ความจำดี บำรุงสมองของคุณ ถ้ารู้สึกหลงๆ ลืมๆ สับปะรด สามารถช่วยให้ความจำของคุณดีขึ้น เรียกได้ว่าสับปะรด เป็นอาหารของสมองเลย เมื่อใดที่รู้สึกว่าสมองเมื่อยล้า คิดอะไรไม่ออก หยิบสับปะรดมากิน จะช่วยให้สมองสดใสปิ๊งไอเดียใหม่ๆ ได้
8.ทำให้นอนหลับได้สบายมากขึ้น หากมีปัญหากับการนอนหลับ เป็นคนหลับยาก การกินสับปะรด อย่างสม่ำเสมอช่วยได้อย่างแน่นอน เพราะสับปะรดมีเมลาโทนินที่ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
9. ลดน้ำตาลในเลือด ป้องกัน-บรรเทาเบาหวาน สับปะรด ผลไม้สีสวย สีเข้มจนเกือบดำนี่เอง ที่มีสารแอนโธไซยานิน สรรพคุณช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ช่วยป้องกันการเกิดโรคเบาหวาน และบรรเทาอาการเบาหวาน
10. ป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อ กินสับปะรด ช่วยลดอาการปวดและบวม บรรเทาอาการปวดได้เป็นอย่างดี ป้องกันและรักษาโรคเกาต์ อาการข้ออักเสบปวดบวมตามข้อได้มากถึง 70% หากกินต่อเนื่องเป็นประจำ หรือปวดข้ออักเสบให้กินสับปะรด เข้าไปแทนการกินยา และสังเกตเลยว่ามันจริงหรือไม่
11.ช่วยป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ สับปะรด มีสารโพแทสเซียมสูงมาก พอๆ กับกล้วย โพแทสเซียมมีคุณสมบัติช่วยลดและป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ เราทราบกันดีว่ากล้วยราคาถูกกว่าและมีโพแทสเซียมสูง แต่หลายคนไม่ชอบกินกล้วย สับปะรด เป็นอีกทางเลือกหนึ่งได้
12. ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ สับปะรด ถือเป็นผลไม้หรืออาหารที่ดีสำหรับหัวใจ ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจ ดูแลสุขภาพหัวใจของคุณให้แข็งแรงได้ด้วยการกินสับปะรด
13. ช่วยลดอาการอักเสบ หนึ่งในประโยชน์ด้านสุขภาพที่สำคัญที่สุดของสับปะรดคือ ช่วยลดอาการอักเสบได้ดี เหมาะสำหรับนักวิ่งและนักกีฬาที่อาจจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ หรือได้รับบาดเจ็บหลังจากการออกกำลังกายหรือกิจกรรมหนักๆ กินสับปะรดช่วยได้จริงๆ
14. รักษาความปวดข้ออักเสบ สำหรับผู้ป่วยโรคข้ออักเสบ ที่กำลังทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวด ให้ลองดื่มน้ำสับปะรด คั้นบริสุทธิ์ วันละ 3 แก้ว ก่อนหรือหลังอาหาร 15 นาที จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดได้ดี
15. สับปะรดจะปลอดสารพิษตกค้าง เนื่องจากไม่มีการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงหรือสารกำจัดศัตรูพืชแต่อย่างใด เพราะสับประรด เป็นพืชที่ปลอดจากศัตรูพืชทุกชนิด
16. บรรเทาอาการปวดประจำเดือน โพแทสเซียมในสับปะรด ช่วยลดและป้องกันการปวดกล้ามเนื้อ ยังอาจช่วยบรรเทาอาการปวดประจำเดือนได้อีกด้วย ดื่มน้ำสับปะรด คั้นบริสุทธิ์ วันละ 3 แก้ว ก่อนหรือหลังอาหาร 15 นาที จะช่วยบรรเทาได้ กินสับปะรด ให้ได้คุณค่า ต้องกินแบบสดๆ นะคะ ถ้าเป็นน้ำสับปะรด ก็เป็นน้ำคั้นจากสับประรด 100% ไม่เติมน้ำตาลและวัตถุกันเสีย คุณจะได้คุณค่าจากสับปะรด ที่แท้จริง https://plus.google....chananat9/posts
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
jainu
|
 |
« ตอบ #569 เมื่อ: มิถุนายน 13, 2016, 09:53:03 PM » |
|
เปรียบเทียบการรักษาทางคลินิกแผนจีน - แผนตะวันตก (ตอนที่ 1) รักษาปรากฏการณ์และธาตุแท้
โพสโดย Anonymous เมื่อ 1 กรกฎาคม 2551 00:00
วันนี้มีเรื่องผู้ป่วยมาเล่าให้ฟัง เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์แผนจีนได้ชัดเจนขึ้น
ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษรายหนึ่งได้รับการเยียวยาด้วยยากดการทำงานของต่อมไทรอยด์ และยาลดอาการใจสั่นอยู่ นานประมาณ 2 ปี ผลการรักษาไม่ค่อยได้ผล ผู้ป่วยจึงได้รับการแนะนำให้กินน้ำแร่ และได้ยารักษาภาวะไทรอยด์ต่ำ (ยาฮอร์โมนไทรอยด์) มากิน
1 ปีหลังจากการกินน้ำแร่ ผู้ป่วยเปลี่ยนจากโรคภาวะไทรอยด์เกิน (เป็นพิษ) กลายเป็นผู้ป่วยภาวะฮอร์โมนไทรอยด์พร่อง (ขาด) เปลี่ยนจากอาการขี้ร้อน หงุดหงิด นอนไม่หลับ กลายเป็นคนหนาวง่าย เฉื่อยชา ง่วงนอนเก่ง
ถ้ามองโดยภาพรวมเหมือนตาชั่งที่มี 2 ข้าง แต่เดิมน้ำหนักถ่วงมาก ข้างหนึ่งเกิดการเสียสมดุล พอรักษาจบกระบวนความ กลายเป็นตาชั่งเอียงมาอีกข้างหนึ่ง
ความจริงเราต้องการตาชั่งให้มีความสมดุล ไม่ใช่ต้องการเอียงไปอีกข้างหนึ่ง การรักษาแบบนี้ถือว่ายังไม่ใช่การรักษาในเชิงอุดมคติ
สาเหตุของต่อมไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน ปกติการทำงานของต่อมไทรอยด์อยู่ภายใต้การควบคุมของต่อมใต้สมอง ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย ต่อมใต้สมองจะหลั่งฮอร์โมนมากระตุ้นให้ทำงานมาก แต่ถ้าต่อมไทรอยด์ทำงานมาก ต่อมใต้สมองจะลดการหลั่งฮอร์โมนมากระตุ้นทำให้ทำงานน้อยลง
ผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษ คือผู้ป่วยที่ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกิน โดยต่อมใต้สมองไม่สามารถควบคุมได้ ฮอร์โมนไทร็อกซีนที่มากเกินก็จะกระตุ้นการทำงานของเซลล์ต่างๆ ให้ทำงานมากผิดปกติ เกิดอาการต่างๆ เช่น มือสั่น หงุดหงิด ขี้ร้อน โมโหง่าย กินจุ น้ำหนักลด นอนไม่หลับ ความดันสูง เป็นต้น
มองแบบแพทย์จีน : ภาวะยินพร่อง ไฟกำเริบ ร่างกายผู้ป่วยไทรอยด์เป็นพิษจะมีภาวะหยางมาก หรือมีไฟ ระบบประสาทที่เกี่ยวข้องกับการเผาผลาญ การกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ มากกว่าปกติ มีลักษณะไปทางหยาง เช่น หิวเก่ง ใจสั่น รู้สึกร้อน ความดันสูง หงุดหงิด ท้องเสีย เป็นต้น
ความผิดปกติของร่างกายมีผลต่อระบบฮอร์โมนหลายชนิด หลายระบบ ตั้งแต่ระบบประสาทอัตโนมัติ ต่อมหมวกไต ระบบไฮโพทาลามัส ต่อมใต้สมอง ต่อมไทรอยด์ ต่อมเพศ ยังทำให้ระดับ C-AMP ในเลือดสูงขึ้น ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่ำลงอีกด้วย
สาเหตุส่วนใหญ่มาจากภาวะการเสียสมดุลแพทย์จีนเรียกว่า "ยินพร่อง" เป็นภาวะที่เซลล์แห้ง ขาดสารยิน (ขาดสารน้ำและของเหลวภายในเซลล์) ทำให้เกิดความร้อนภายในเซลล์ ซึ่งมีผลกระทบต่อทุกระบบของร่างกาย ไม่ใช่เฉพาะตัวต่อมไทรอยด์เท่านั้น
การแก้ปัญหาหรือมุ่งเน้นที่ตัวไทรอยด์อย่างเดียวจึงมีลักษณะจำเพาะเกินไป การรักษาแผนปัจจุบันใช้กลุ่มยาต้านไทรอยด์ (antithyroid drug) เช่น เมทิมาโซล (methimazole) หรือโพรพีลไทโอยูราซิล (propylthiouracil)
ถ้ารักษา 18-24 เดือนไม่ได้ผล แพทย์จะพิจารณากินน้ำแร่หรือการผ่าตัด การผ่าตัดยุ่งยากกว่า เพราะอาจมีโอกาสตัดต่อมพาราไทรอยด์ออกไปด้วย และอาจตัดถูกประสาทกล่องเสียง (laryngeal nerve) ทำให้เสียงแหบ การกินน้ำแร่ง่ายกว่า แต่โอกาสเกิดต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำได้สูงมาก
การปรับสมดุลยิน-หยาง โดยการบำรุงสารยินและระบายร้อน การปรับสมดุลยิน-หยางนั้น เป็นการสร้างเงื่อนไขและปรับสภาพของเซลล์ไม่ให้แห้งและลดภาวะไฟที่กำเริบ เป็นการปรับพื้นฐานเพื่อให้เซลล์เข้าสู่ภาวะสมดุลของยิน-หยาง และเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมฮอร์โมนไทรอยด์ที่สูงด้วยยาแผนปัจจุบัน การลดขนาดของยา และหยุดยาต้านไทรอยด์มีโอกาสประสบความสำเร็จสูง
การใช้ยาต้านไทรอยด์ การใช้ยาต้านไทรอยด์ กล่าวได้ว่า เป็นการรักษาปรากฏการณ์ของฮอร์โมนไทรอยด์สูง จวื่อเปียว ส่วนการปรับยิน-หยางของเซลล์และระบบต่างๆ ของร่างกายไม่ให้แห้ง และไม่ให้เกิดไฟ รวมทั้งการขับความร้อนภายในเซลล์ เรียกว่า การรักษาธาตุแท้จวื่อเปิ่น
แผนปัจจุบันมักรักษาอาการรักษาปรากฏการณ์ ใช้วิธีการลด ทำลาย เมื่อพบความผิดปกติที่จุดใดจุดหนึ่ง และอธิบายสาเหตุของความผิดปกติไม่ได้ มักจะลงเอยว่าเป็นปฏิกิริยาภูมิแพ้ตัวเอง หรือออโตอิมมูน (autoimmune) เวลาแก้ปัญหาปฏิกิริยาภูมิแพ้ ก็ใช้ยาไปกดภูมิคุ้มกันอีก (ไม่ใช่วิธีการไปปรับระบบภูมิแพ้) ซึ่งสร้างปัญหาและผลข้างเคียงของการรักษาจากยาให้กับผู้ป่วยอีก
การศึกษาวิจัยภาวะไทรอยด์เป็นพิษและการรักษา ปัจจุบันภาวะไทรอยด์เป็นพิษส่วนมากเมื่อวินิจฉัย ตามหลักการแยกภาวะโรคและร่างกาย หรือเปี้ยนเจิ้ง จัดเป็นภาวะยินพร่องไฟกำเริบ
ภาวะไฟกำเริบ 1. ไฟของตับ หงุดหงิด โมโหง่าย ปวดชายโครง ประจำเดือนผิดปกติ มือสั่น 2. ไฟของหัวใจ ใจสั่น นอนไม่หลับ ปลายลิ้นแดง 3. ไฟของกระเพาะอาหาร หิวเก่ง กินจุ ตัวผอมแห้ง
ภาวะยินพร่อง 1. ยินของหัวใจพร่อง ใจสั่น นอนไม่หลับ เหงื่อออกมาก หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ 2. ยินของตับพร่อง เวียนศีรษะ ตาแห้ง หงุดหงิด อาการสั่น 3. ยินของไตพร่อง ร้อนฝ่ามือฝ่าเท้าและกลางหน้าอก หน้าแดง โดยเฉพาะหลังเที่ยง เอว เข่า เมื่อยอ่อนล้า ผมร่วง เสียงดังในหู
การรักษาทางคลินิก 1. เสริมบำรุงยิน ระบายร้อน โดยวิธีการนี้ทำให้สามารถคุมระบบสมองใหญ่ ระบบต่อมใต้สมอง ระบบต่อมหมวกไต และมีผลต่อการควบคุมต่อมไทรอยด์ได้ดีขึ้น 2. เสริมพลังชี่ บำรุงยิน เป็นวิธีการเสริมภูมิคุ้มกันร่างกาย โดยเฉพาะกลุ่มเซลล์แมกโครฟาจ (macrophage) และปรับสมดุลของสารน้ำในเซลล์ควบคู่กันไป
สรุป ทฤษฎียิน-หยางของแพทย์จีน มุ่งเน้นการแยกแยะ สรรพสิ่งเป็น 2 ด้านเสมอ สิ่งก่อโรค (เสียชี่ ) กับ ภูมิร่างกาย (เจิ้งชี่ ) อาการของโรค กับ เหตุแห่งโรค ร่างกายภายนอก กับ อวัยวะภายใน โรคใหม่ที่เพิ่งปรากฏ กับ โรคที่เป็นอยู่ก่อน
สิ่งก่อโรค อาการของโรค สิ่งปรากฏภายนอกร่างกาย โรคที่เพิ่งปรากฏให้เห็น จัดเป็นปรากฏการณ์ บางทีเรียกว่า ปลายเหตุ
ภูมิร่างกาย เหตุแห่งโรค โรคอวัยวะภายใน โรคที่เป็นอยู่ก่อน จัดเป็นธาตุแท้ บางทีเรียกว่า ต้นเหตุ การรักษาโรคด้วยทัศนะแพทย์แผนปัจจุบัน มักจับเอาปรากฏการณ์เฉพาะส่วนมาวินิจฉัย ว่าเป็นโรคอะไร แล้วให้การรักษา ซึ่งจะได้ผลดีเฉพาะส่วน แต่ไม่ได้แก้ธาตุแท้และองค์รวมของปัญหาทั้งหมด การรักษาจึงมักเกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ต่อระบบต่างๆ
การรักษาโรคด้วยทัศนะแพทย์แผนจีน มักเน้นการปรับสมดุลพื้นฐานของร่างกาย เป็นการสร้างเงื่อนไข ไม่ให้เกิดโรคหรือทำให้โรคถูกควบคุมด้วยภาวะเงื่อนไขที่เปลี่ยนแปลงไป เป็นการรักษาที่ธาตุแท้ และมีลักษณะองค์รวม ร่วมกับการรักษาอาการ
การแพทย์ในเชิงบูรณาการคือการแก้ปัญหาทั้งปรากฏการณ์ที่พบ ที่การปรับสมดุลพื้นฐานของร่างกาย ซึ่งเป็นธาตุแท้ของการเกิดโรค โดยเลือกเอาข้อดีข้อเด่นของแต่ละศาสตร์มาร่วมกัน จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพสูงและป้องกันจุดอ่อนของความโน้มเอียงการรักษาทางการแพทย์ที่สุดขั้ว ข้อมูลสื่อ
ชื่อไฟล์: 351-014 นิตยสารหมอชาวบ้าน เล่มที่: 351 เดือน/ปี: กรกฎาคม 2551
คอลัมน์: แพทย์แผนจีน
นักเขียนหมอชาวบ้าน: นพ.วิทวัส (ภาสกิจ) วัณนาวิบูล https://www.doctor.or.th/article/detail/5710
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
finghting!!!
|
|
|
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
|
Thanks: ฝากรูป dictionary
---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ----------
---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc.
แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย
15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค
ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน
กพ และ กลางเดือน ตค -----
แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้
ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc.
Thanks: ฝากรูป dictionary
|
|
|
บันทึกการเข้า
|
|
|
|
|