Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: [1] 2 3 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75067 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 14 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« เมื่อ: ตุลาคม 21, 2009, 05:28:05 PM »

?3G? วิถีชีวิตไร้สาย ชีวิตคนไทยเปลี่ยนไปตลอดกาล




อีกไม่กี่อึดใจ เทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 3G ที่สุดแสนทันสมัย ก็จะเดินทางมาเยี่ยมมาเยือนเมืองไทย ซึ่งการมาถึงในครั้งนี้ ย่อมก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของผู้ใช้บริก ารในบ้านเราอย่างแน่นอน

ถึงแม้ว่า กว่า 3G จะเข้ามาได้ คงต้องผ่านวิบากกรรมเรื่องการประมูลจัดสรรอีกหลายขั้ นหลายตอน

3G ถึงแม้ว่าจะเข้ามาเมืองไทยช้าหน่อย ซึ่งนั่นอาจจะไม่สบอารมณ์คนวัยไอทีที่ชอบความรวดเร็ว สักเท่าไร

แต่เรื่องที่น่าสนใจก็คือ การเข้ามาของ 3G นั้น จะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรบ้างกับชีวิตของเราๆ ท่านๆ ที่อาศัยอยู่ท่ามกลางโลกเทคโนโลยี

ต่อไป เราจะไม่ต้องซื้อซีดีกับหนังสือในร้านแล้วหรือไม่? เราจะคุยกันน้อยลง เพราะมัวแต่ติดอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์หรือเปล่า? แล้วบรรดาพ่อบ้านที่นิยมโกหกแม่บ้านว่าติดประชุมจะทำ อย่างไร ในเมื่อ 3G ทำให้โทรศัพท์มีทั้งภาพและเสียง

แต่ก่อนอื่น เราไปทำความรู้จักกับเทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนชีว ิตเรากันดีกว่า ว่ามันคืออะไร...


รู้จักกับ ?3G?

ถึงแม้ว่าอีกไม่นาน ประชาชนชาวไทย ก็จะได้สัมผัสกับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 3G เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆ ที่ได้ใช้กันไปก่อนหน้าเรา จนเขาจะเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยี 4G กันแล้ว

แต่ก็ยังมีคนหลายคนยังไม่แน่ใจกับความหมายของ 3G เลยว่า แท้จริงแล้ว มันหมายถึงอะไรกันแน่

คำว่า 3G นั้น จริงๆ แล้วเป็นคำที่ย่อมาจาก Third Generation หรือเทคโนโลยีการสื่อสารรุ่นที่สามนั่นเอง

หากกล่าวโดยย่อ ยุค 1G นั้น เป็นยุคที่เทคโนโลยีการสื่อสาร ดำเนินไปด้วยวิธีการแบบ แอนะล็อก กล่าวคือใช้คลื่นวิทยุในการติดต่อสื่อสารกันแบบโต้งๆ ไม่มีการเข้ารหัสแบบดิจิตอลให้ยุ่งยาก ดังนั้น โทรศัพท์เคลื่อนที่ในยุค 1G จึงเปรียบเสมือนการเอาโทรศัพท์บ้านออกมาโทร.โดยไม่ต้ องเสียบสายเท่านั้นเอง มันไม่ได้มีความสามารถในการรับส่งข้อมูลอื่นๆ เลย ถ้ายังจำได้ ถึงโทรศัพท์เคลื่อนที่เครื่องยักษ์ ที่ใหญ่พอๆ กับแกลลอนน้ำมันได้ล่ะก็ นั่นแหละ คืออุปกรณ์ของยุค 1G

ต่อมาเนื่องจากปัญหาการขาดแคลนช่องสัญญาณในยุคแรก ทำให้เทคโนโลยีของโทรศัพท์เคลื่อนที่ ก้าวเข้าสู่การส่งข้อมูลแบบดิจิตอลผ่านสัญญาณไมโครเว ฟ นั่นทำให้โทรศัพท์เครื่องเล็กๆ ในมือเรา ส่งผ่านข้อมูลได้มากขึ้น พวกการส่ง sms จีบกัน หรือข้อมูลต่างๆ ที่นอกเหนือจากเสียงก็เริ่มต้นในยุคนี้นี่เอง และหลังจากนั้นในยุค 2G ก็ยังมีพัฒนาการแบ่งย่อยไปอีกเป็นยุค 2.5G ที่มีการนำเอาการรับส่งข้อมูลแบบ GPRS ซึ่งเร็วกว่าเดิมมาใช้

แล้วก็มาถึงพระเอกในยุคปัจจุบันของไทยที่จะเข้ามาถึง เทคโนโลยี 3G นั้น หากกล่าวรวมๆ ก็คือ จะมีการรับส่งข้อมูลไร้สายได้อย่างรวดเร็วขึ้นอย่างม าก และด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นสุดๆ นี่เอง ทำให้ผู้ใช้บริการสามารถทำอะไรๆ กับโทรศัพท์เครื่องเล็กในมือได้มากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นด้านภาพ หรือเสียง ซึ่งความเร็วในการรับส่งข้อมูล จึงทำให้สามารถคุยโทรศัพท์ พร้อมๆ กับเห็นหน้าคู่สนทนาไปพร้อมๆ กันก็ยังไหว อีกทั้งยังทำให้โทรศัพท์เป็นเหมือนคอมพิวเตอร์เครื่อ งเล็กๆ ที่เชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ตไว้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะดาวน์โหลด หนังสือ ภาพ หรือหนัง ก็สะดวกไปหมด

3G ยังมีความน่าสนใจอีกประการก็คือ เครื่องมือที่ใช้นั้น จะมีการเชื่อมต่อกับระบบตลอดเวลา ไม่ต้องรอการเชื่อมต่อแบบระบบ GPRS และจะเสียสตางค์ก็ต่อเมื่อเริ่มมีการโอนถ่ายข้อมูลเท ่านั้น ส่วน 4G นั้น ก็คือการ นำเอา 3G ไปรวมกับการรับส่งข้อมูลที่เร็วยิ่งขึ้นๆ เท่านั้นเอง

และที่สำคัญ การเข้ามาของ 3G จะทำให้วิถีชีวิตของผู้ที่สามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ ได้เปลี่ยนแปลงจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว...


?3G? ความสุขในอากาศ

พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ หนุ่มไอทีมากความสามารถที่สวมหมวกหลายใบ ไม่ว่าจะเป็น พิธีกรและผู้ผลิตรายการ ?แบไต๋ไฮเทค? รวมทั้ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท โชว์ไร้ขีด จำกัด หรือโชว์โนลิมิต แสดงทัศนะในเรื่องการมาถึงของเทคโนโลยี 3G ในเมืองไทย ที่จะส่งผลต่อพฤติกรรมการดาวน์โหลดหนัง เพลง เกม และคอนเทนต์ต่างๆ ของผู้ใช้โทรศัพท์มือถือชาวไทยว่า ความเร็วของอินเทอร์เน็ตบน 3G จะทำให้ ?สวรรค์ของนักดาวน์โหลด? เป็นจริง

การส่งเสริมให้ผู้ใช้โทรศัพท์ฯ ดาวน์โหลดกันมากๆ ถือเป็นการใช้ทรัพยากรเครือข่ายอย่างคุ้มค่า

?แน่นอนว่าเมื่ออินเทอร์เน็ตติดตัวไปทุกที่ ไลฟ์สไตล์ของผู้คนก็ฟรีสไตล์มากขึ้น การวางแผนจะน้อยลง เนื่องจากการใช้งานต่างๆ มันทำตาม ?จิตสั่งได้? คิดเดี๋ยวนั้น ทำได้เดี๋ยวนั้น ทุกอย่างจะไวไปหมด จนภาระหน้าที่การงานอาจตวัดกลับมาพันกับตัวเรากันอย่ างอุตลุด อย่าง BB ที่ใครๆ บอกว่าดี เช็คเมล์ คุยงานได้ทุกที่ ซึ่งคำว่า 'ได้ทุกที่' ก็แปลว่าเราอนุญาตให้งานตามตัวเราไปได้ทุกที่เช่นกัน ฉะนั้นต้องระวัง เพราะคนที่กำลังต้องการเรา อาจไม่เห็นความเป็นส่วนตัวของเราด้วย?

ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้ผลิตงานสร้างสรรค์ต้องจัดสรรกรรมวิธีการดาวน์โหลด แบบถูกต้องตามกฎหมายให้คลอดเป็นบริการที่แพร่หลายได้ มากกว่า Bit torrent ไม่เช่นนั้นผู้สร้างสรรค์จะตายกันยกแผง! เหมือนเช่นคำพยากรณ์ของพงศ์สุข

เขายกตัวอย่าง Apple ที่สามารถสร้างความภักดีจากลูกค้าได้ โดยการสร้าง AppStore แหล่งดาวน์โหลดโปรแกรมแบบเสียเงิน

?Apple มีกลยุทธ์ที่ดีในการปล่อยซอฟต์แวร์ฟรีๆ ไว้จำนวนหนึ่ง อยากได้ต้อง sign up บัตรเครดิตไว้ก่อน คนดาวน์โหลดของฟรีได้ไม่นาน ก็ใจอ่อนยอมจ่ายเงินให้มั่ง เนื่องจากแพ้ความดีของผู้ให้บริการ?

ส่วนคนจะหันมาดูทีวี หรือฟังวิทยุจากโทรศัพท์มือถือมากขึ้นหรือไม่ หนุ่มไอทีตั้งข้อสังเกตไว้อย่างน่าสนใจ

?ในยุคก่อน 3G จะมาถึง เราก็ซาบซึ้งไปแล้วว่า ?มือถือจีน? ทำได้ทุกอย่าง เพียงแค่ติดเสา ทีวี จูนเนอร์ เข้าไปก็ดูทีวี (แอนะล็อก) ได้ ผู้ใช้มือถือเฮาส์แบรนด์ทั่วทุกหัวระแหงเคยชินกับการ ดูทีวีผ่านมือถืออยู่แล้วล่ะครับ ส่วนผู้ใช้มือถืออินเตอร์แบรนด์ก็เชื่อขนมกินได้เลยว ่า เมื่อเน็ตบนมือถือมันแรงขึ้นได้ด้วย 3G การดูทีวีผ่านมือถือย่อมเป็นสิ่งที่หลายคนถวิลหา เนื่องจากทุกวันนี้ เราอยู่นอกบ้านกันนานขึ้นกว่าอดีตมาก?

แต่พฤติกรรมข้างต้นจะฮิตอินเทรนด์หรือไม่ พงศ์สุขตั้งข้อสังเกตว่า ขึ้นกับปัจจัย 2 ประการจากผู้ให้บริการ คือ 1.การออกแบบ ?หน้าเมนูรายการ? บนหน้าจอ ว่าจะดู Live ได้กี่ช่อง หรือ Archive รายการฮิตมีมากขนาดไหน และ 2. แพ็คเกจค่าบริการ ซึ่งถือเป็น ?คำตอบสุดท้าย? ปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งยวดในการตัดสินใจของผู้บริโภค
สุดท้ายแล้ว พงศ์สุขเชื่อว่าเทคโนโลยี 3G จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจจากการทำ โมบายล์ คอมเมิร์ซ ขายสินค้าและบริการ อีกทั้งเป็นการเชื่อมโยงอินเทอร์เน็ต ?ผ่านอากาศ? ไปสู่ถิ่นฐานที่ห่างไกลที่ ?สาย? ไม่เคยไปถึง และที่สำคัญ คนที่อยู่ห่างไกลออกไป จะมีโอกาส ?อินเทรนด์? ได้ใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เหมือนคนในเมืองหลวง

?3 G? เชื่อมโลกหรือแบ่งชนชั้น ?

?ผมมองว่า เทคโนโลยี 3G จะช่วยให้การติดต่อสื่อสารง่ายขึ้น เหมือนการย่อโลกไว้ในมือเรา โหลดคลิป โหลดหนัง ได้ง่ายขึ้น แล้วก็ส่งต่อให้เพื่อนๆ ดูได้ง่ายขึ้นด้วย มันก็เหมือนเรามีเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาอยู่ในมือ โดยที่ไม่ต้องพกคอมพิวเตอร์เครื่องใหญ่ๆ ไปไหนมาไหนด้วย ผมเองยังอยากได้เลยครับ โทรศัพท์ 3G?

พีระพงศ์ ดวงดี หนุ่มน้อยเมืองกรุง บอกกล่าวถึงมุมมองที่มีต่อ 3G ซึ่งในความเห็นของเขา ความสนุกและลูกเล่นสารพัดรูปแบบที่เจ้าคลื่นสุดไฮเทค นี้มอบให้นี่แหละ เป็นคุณสมบัติสุดพิเศษที่เจ้าตัวบอกว่าไม่ต่างจากการ ?ย่อโลกทั้งใบ? ไว้ในมือ ทั้งยังสามารถโหลดหนัง ฟังเพลง ดูดคลิปสนุกๆ จากทั่วทุกมุมโลก และแบ่งปันให้กับเพื่อนๆ ในแก๊งได้อย่างสะดวกสบาย โดยไม่ต้องเดินเข้าร้านอินเทอร์เน็ตหรือหอบหิ้วพกพาเ จ้าเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คให้เปลืองแรง

กระนั้น เราก็ไม่ควรจำกัดความเห็นไว้เฉพาะแค่วัยรุ่นในเมืองห ลวง แต่น่าจะลองฟังเสียงของหนุ่มชานเมืองบ้าง ว่าเขามีความเห็นเช่นไร ต่อเจ้าเทคโนโลยี 3G สุดล้ำ ที่กำลังย่างกรายเข้ามาสู่วิถีชีวิตของผู้คนในเมืองไ ทย เช่นที่ สุทธิลักษณ์ โตกทอง หนุ่มน้อยนักพัฒนาแห่งลุ่มน้ำแม่กลอง ลูกหลานคนตำบลแพรกหนามแดง จังหวัดสมุทรสงคราม บอกกับเราว่า

?ความทันสมัยของเทคโนโลยี 3G อาจจะแบ่งชนชั้นระหว่างกลุ่มคนที่สามารถเข้าถึงการใช ้งานของการสื่อสารแบบ 3G ได้ กับคนที่เข้าไม่ถึงการสื่อสารแบบนี้?

แล้วแบบไหน? อย่างไร? จึงเป็นการ ?แบ่งชนชั้น? ระหว่างผู้คนที่ครอบครอง 3G และคนที่ไม่อาจเข้าถึงความไฮเทคนี้ได้ หนุ่มแม่กลองตอบข้อสงสัยของเรา ด้วยการขยายความถึง ?ชนชั้น? ที่เขาหมายถึงในที่นี้ ว่า

?ความไฮเทคของเทคโนโลยี 3G ทำให้การเข้าถึงข้อมูลข่าวสารทำได้อย่างสะดวกสบาย และรวดเร็วมากขึ้น ซึ่งผมมองว่า การเข้าถึงข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ถือเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เกิดการพัฒนาในด้านต่างๆ เพราะฉะนั้น คนที่เขาเข้าไม่ถึงข้อมูลเหล่านี้ หรือไม่สามารถรับรู้ข่าวสารได้อย่างรวดเร็วเท่ากับคน ที่เข้าถึงเทคโนโลยี ก็อาจทำให้เกิดความแตกต่างกันมาก ในเรื่องของการนำข้อมูลต่างๆ มาใช้เพื่อการพัฒนา?

ในทรรศนะของสุทธิลักษณ์ การเข้าถึงข้อมูลได้ล่าช้าไม่รวดเร็วทันใจ อาจส่งผลทำให้การพัฒนาบุคคลและองค์กรเป็นไปอย่างล่าช ้ากว่ากลุ่มคนที่มี ?โลกทั้งใบ? อยู่ในมือ ด้วยอานุภาพของ 3G

แต่ถึงแม้จะให้ความสำคัญของการเข้าถึงข้อมูลข่าวสาร แต่หนุ่มน้อยจากลุ่มน้ำแม่กลองคนนี้ ก็ไม่ได้ ให้ค่า ให้ความสำคัญกับความล้ำยุคของ 3G สักเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อความทันสมัยของเจ้าคลื่นทรงอานุภาพนี้ มอบให้เขาเกินความจำเป็น

?ผมไม่สนใจหรือมุ่งมั่นอยากจะมี 3G นักหรอกครับ เพราะผมตามเทคโนโลยีไม่ทัน?
นั่นเป็นเหตุผลง่ายๆ ข้อแรก แต่เหตุผลหลักๆ ที่ตามมานี่สิ สะกิดความคิดได้ไม่น้อย

?ผมมองว่าความทันสมัยที่มากเกินไป มันก็เป็นสิ่งที่เกินความจำเป็น จริงอยู่ ที่มันทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำเรื่องการเข้าถึงข้อมู ล แต่ผมให้ความสำคัญกับ ?วิธีการ? เข้าถึงข้อมูลมากกว่า สำหรับผม การมี 3G หรือไม่มี จึงไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะถ้ามีคอมพิวเตอร์ มีอินเทอร์เน็ต และใช้อินเทอร์เน็ตค้นคว้าหาข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แค่นั้นก็เพียงพอแล้วครับ?

?มากเกินไปมันก็...ไม่พอเพียง? หนุ่มน้อยจากเมืองแม่กลอง ย้ำทิ้งท้าย

Huh?.

เรื่อง : ทีมข่าว CLICK
ภาพ : ทีมภาพ CLICK
 
 
 
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #1 เมื่อ: ตุลาคม 26, 2009, 09:24:10 AM »

บ้านเมืองอื่นเค้าไป 4G กันแล้ว  ลาว กัมพูชา  เวียดนาม ก็มี 3G ใช้กันเป็นปีแล้ว เมืองไทยบอกว่าเจริญทางเทคโนโลยี่มากกว่าแต่......เดี๋ยวนี้ถอยหลังเข้าคลองซะแร้ววว Grin
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #2 เมื่อ: ตุลาคม 28, 2009, 09:44:06 PM »

อ่านให้จบ เรื่องสำคัญมีประโยชน์มากๆ ... 


เรื่องที่ 1  21.00 ที่ลานจอดรถชั้นใต้ดินของห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง

ผมเป็นคนที่สังเกตสิ่งต่างๆรอบตัวอยู่เสมอ ดังนั้นหากมองเผินๆเหมือนกับว่าผมเดินไปดื่มน้ำในมือไปเรื่อยเปื่อย สิ่งที่ผมรู้สึกก็คือ รู้สึกว่ามีคนเดินตามผมห่างๆแต่ผมยังไม่คิดอะไรในทีแรก เพราะคงเป็นผู้มาใช้บริการที่จอดอยู่ชั้นเดียวกัน อีกอย่างที่รถที่จอดชั้นเดียวกับผมนี้ยังค่อนข้างเยอะ บังเอิญว่าผมอยากจะทิ้งแก้วน้ำในมือก็เลยมองหาถังขยะซึ่งมันไม่ค่อยมีหรอกตามที่จอดรถ เพราะทางศูนย์การค้าพวกนี้เค้ากลัวเรื่องการรอบวางระเบิด ระหว่างที่ผมเดินหาที่ทิ้งในดวงใจอยู่นั้น ผมก็เดินเลยที่จอดรถตัวเองไปหลายคันเหมือนกัน แต่ก็ไม่มี จะทิ้งมั่วๆมันก็น่าเกลียด ก็ตัดสินใจว่าเอาไปไว้ตรงที่วางแก้วในรถก่อนก็ได้( ซึ่งตลอดเวลาบ้านี่ก็ยังเดินตามผมอยู่) พอหมุนตัวจะกลับมาที่รถตัวเอง บ้านี่มันก็ทำเป็นเดินให้เลยผมไปก่อน แล้วก็หยุดเหมือนมองหารถมันว่าจอดไหน ช่วงที่หมุนตัวกลับมานี่เอง ที่ผมเห็นมันชัดๆว่า สภาพมันไม่ใช่ลักษณะคนขับรถเก๋งแน่นอน]คือมันมีสายร้อยกุญแจแบบ Flex (สายที่วนๆ คล้ายสปริง) กับกุญแจดอกเดียว ใส่แจ๊คเก็ตสีดำ แต่ก็ยังไม่มั่นใจว่าเป็นผู้ไม่หวังดีรึเปล่า ก็เลยแกล้งทำเป็นเดินเลยรถตัวเองอีกสักสี่ห้าคัน แล้วไปหยุดทำท่าทางจะไขกุญแจรถคันหนึ่ง ซึ่งมันก็รีบเดินตามกลับมาคงกลัวว่าจะไม่ทันเดี๋ยวผมขึ้นรถไปเสียก่อน แต่ผมก็ทำทางเป็นเปลี่ยนใจอีกครั้งมองหาที่ทิ้งแก้วน้ำ แล้วเดินสวนกับมันในระยะที่ปลอดภัยสำหรับผมเอง แต่เป็นอันตรายสำหรับมันเพราะผมก็พร้อมอยู่แล้ว แน่นอนว่าผมเดินกลับไปหารถผเองอย่างแท้จริง ซึ่งคราวนี้มันหลงกลผมเต็มๆ เพราะมันไปยืนอยู่ท้ายรถคันที่ผมทำท่าจะไขประตู มันไปยืนแบบแอบๆเพราะเดี๋ยวผมต้องกลับมาแน่นอน แต่คราวนี้ผมเดินไปปั๊บ กดรีโมทปุ๊บ ขึ้นรถได้ผมก็สตาร์ทเครื่อง กดเซ็นทรัลล็อค ขณะที่ผมขับออกไป ผมมองไปที่มันซึ่งกำลังทำหน้างงๆ แต่ไม่กล้ามองแบบเต็มๆนัก เห็นหน้าตามันเหวอๆ ผมก็เลยคิดว่ายังไงต้องแจ้ง ร.ป.ภ. ไว้ก่อน ไม่ว่ามันจะใช่อย่างที่ผมคิดหรือไม่ก็ตามแต่เพื่อความปลอดภัยของคนอื่นๆ ผมขับเลยไปจอดตรงที่คืนบัตรจอดรถ แล้วแจ้งทางเจ้าหน้าที่ห้าง รวมทั้งนำเจ้าหน้าที่ 4 คนไปเองด้วย เพราะผมรู้อยู่คนเดียวนินา ไปเจอมันผลุ๊บๆโผล่ๆอยู่ ทางเจ้าหน้าที่จึงตรงเข้าไปสอบถามว่า ทำอะไร มันตอบว่าไงรู้ไหมครับ......มันมาซื้อของแต่จำไม่ได้ว่าจอดรถไว้ตรงไหน แต่พอซักไปซักมาว่ารถยี่ห้ออะไร ทะเบียนอะไร มันก็อึกอักตอบมาว่า มันนึกขึ้นได้ว่าวันนี้เอามอเตอร์ไซด์มา มั่วๆแล้วก็แถ พอเจ้าหน้าค้นตัวก็พบมีดปอกผลไม้หนึ่งเล่ม ทีนี้หน้ามันซีดอย่างชัดเจน
ที่จริงหน้าผมก็ซีดครับ ผมก็เลยบอกให้เจ้าหน้าที่คุมตัวแล้วแจ้งตำรวจเพื่อขยายผลต่อไป...... ต้องระวังนะครับ อย่าประมาทเด็ดขาด ถ้าเป็นสุภาพสตรี อย่าลีลาอย่างผม เพราะไม่คุ้มแน่นอนถ้าเราพลาด เป็นห่วงทุกคนนะครับ

เรื่องที่ 2  อ่านเรื่องข้างล่างแล้วระวังตัวให้มากๆนะคะ

เพราะพี่ต่อก็เคยโดนลักษณะเดียวกัน โดยขับรถกลับบ้านตนเดียวประมาณ 2 ทุ่มกว่าๆ
พอเข้าซอยรู้สึกว่ามีรถมอเตอร์ไซด์ขับตามมา และเลี้ยวเข้าซอยเดียวกัน และตามมาเรื่อยๆ พอพี่ต่อจอดรถหน้าบ้านเขาก็ขับเลยเข้าไปในซอยซึ่งเป็นซอยตัน และเลี้ยวกลับมาจอดอยู่ใกล้ๆ และลงมาเปิดประตูข้างคนขับที่พี่ต่อนั่งอยู่ พอดีคอยระวังอยู่แล้วและคอยมองอยู่ และรถก็ล็อคอยู่ เขาจึงเปิดไม่ได้ แต่ทำท่าบุ้ยใบ้ให้เราเปิดประตูเหมือนจะถามอะไร พี่ต่อก็เลยบีบแตรดังมากๆหลายครั้ง แล้วโบกมือให้รู้ว่าไม่เปิด พอดีแม่บ้านเดินมาที่ประตู เขาก็รีบเดินไปขึ้นรถขับออกไป
ทั้งหมดนี่เกิดขึ้นเร็วมากนับจากที่จอดรถหน้าประตูบ้าน ประมาณ 2-3 นาทีเท่านั้น
ปกติเมื่อถึงบ้านพี่ต่อจะบีบแตร แล้วเปิดประตูรถ เพื่อส่งกุญแจประตูใหญ่ให้แม่บ้านไขประตูบ้านให้ พอดีวันนั้นมองเห็นรถมอเตอร์ไซด์คันนี้อยู่ เลยยังไม่ได้กดแตร
เขาอาจจะคิดว่าเราจะลงจากรถมาเปิดประตูบ้านเองก็ได้ ไม่อยากคิดเลยว่า ถ้ารถไม่ได้ล็อคอยู่จะเกิดอะไรขึ้น ต่อให้หน้าบ้านเราเอง พวกมิจฉาชีพพวกนี้จะลงมือเร็วมาก คนมาช่วยก็อาจช่วยไม่ทัน ดังนั้น ขอย้ำให้ระมัดระวังมากๆ เพราะเหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก และขอให้ทุกคนปลอดภัยนะคะ


เรื่องที่ 3
 ระหว่างที่รถผมหยุดรอไฟเขียว มีชาย 2 คนเดินมาข้างหลัง ทั้งคู่กระตุกประตูหลังคนละข้าง โชคดีที่ประตูล๊อกอยู่ 1 ใน 2 คนนั้นพยายามดึงแรงขึ้นอีก
แล้วทั้งคู่ก็เดินเร็วผ่านรถผม แล้วปนไปในฝูงชน เดี๋ยวนี้ เหตุร้ายเกิดได้ตลอดไม่ว่ามืดหรือสว่าง เราคงต้องระวังอย่าเผลอเชียวละ



เรื่องที่ 4 ภรรยาผม จะมีนิสัยเมื่อขึ้นรถแล้วต้องกดเซนทรัลล๊อคทั้งก่อนสตาร์ทเครื่องและก่อนดับเครื่อง

มีรถเก๋งคันหนึ่งสีเงิน มีคนสองคนเดินลงมาจากรถแล้วก็เดินมาที่รถของเราอย่างสุภาพ
ขณะที่ภรรยาผมกำลังเล่นกั บลูกอยู่ เพลินๆ ก็ได้ยินเสียงตึ๊กจากข้างหลัง ภรรยาผมก็ตกใจรู้สึกตัวว่ามีคนพยายามเปิดประตูหลังของรถเรา แต่เพราะรถล๊อคพวกเขาก็เดินกลับ ไปขึ้นรถเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนที่ภรรยาผมเล่าเรื่องนี้ให้ผมฟัง ผมคิดว่าเหลือเชื่อจริงๆ กลางวันแสกๆ แท้ๆ
ถ้าหากบังเอิญรถไม่ได้ ล๊อค ผมไม่กล้าคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น อยากจะให้ทุกคนมีนิสัย ขึ้นรถต้องล๊อครถ
พวกผู้ร้ายมักจะลงมือจากเบาะหลัง เพราะจะ ควบคุมสถานการณ์ได้ง่าย



เรื่องที่ 5 หลังจาก จ่ายเงินค่าจอดรถเลี้ยวออกจากโรงพยาบาล ก็จอดติดไฟแดง ขณะนั้น ( ยังไม่ ถึง 3 นาที ระบบล๊อคอัตโนมัติคงยังไม่ทำงาน ) ชายหนุ่ม สองคนก็เข้ามานั่งที่เบาะหลังของรถ โชคดีที่พ่อแม่ของผมไหวตัวเร็วมาก รีบถอดเข็มขัดนิรภัย ดับเครื่อง ดึงกุญแจออกแล้วออกมายืนนอกรถโดยเร็ว คนทั้งสองคนนั้นก็ยังนั่งอยู่ในรถหน้าตาเฉย จนกระทั่งคุณแม่ของผมตะโกนใส่พวกเขาว่า พวกเรายังมีเพื่อนฝูงอยู่ในโรงพยาบาลอีกเยอะ จะให้ เรียกพวกเขาลงมาคุยกับพวกแกไหม ?
พวกเขาจึงออกมาจากรถแล้วบอกว่าขอโทษขึ้นผิดคัน (นี่มันปล้นกันชัดๆ) แล้วรถคันข้างหลัง ( มีคนอยู่ในรถสองคน) ก็ขับมารับพวกเขาจากไป น่ากลัวที่สุด




เรื่องที่ 6 ตอนรถจอดติดไฟแดง รถของผมอยู่ห่างจากทางแยกประมาณคันที่สามหรือสี่ สักครู่ หนึ่ง จู่ ๆ ก็มีมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งจอดอยู่ท้ายรถผม บนรถมีชายหนุ่มอายุ ประมาณ 20 กว่า สองคน แล้วที่น่าสงสัยก็คือ พวกเขาพยายามมอ งเข้ามาในรถของผม ผมจึงจ้องพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง พอไฟเขียวก็ออกรถพร้อมมัน ผมบังเอิญได้ยินหนึ่งในนั้นพูดขึ้นว่า 'รถมันล๊อคหมด' แล้วก็ขับเลย ไป
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #3 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2009, 11:12:46 AM »

แท้งกิ้วนะ Grin
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #4 เมื่อ: ตุลาคม 30, 2009, 11:16:55 AM »

แท้งกิ้วนะ Grin
mai free na ma anh tong jay tung doi Grin
บันทึกการเข้า

finghting!!!
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #5 เมื่อ: พฤศจิกายน 03, 2009, 01:50:52 PM »

 Smiley  ไอศกรีมลดอาการเคมีบำบัด



นักวิจัยมหาวิทยาลัยโอ๊กแลนด์ นิวซีแลนด์ จับมือกับบริษัทฟอน เทอร์ราและแลคโตฟาร์มา คิดค้นไอศกรีมโคนสูตรใหม่รสสตรอว์เบอร์รี่

ช่วยบรรเทาผลข้างเคียงที่เกิดจากเข้ารับคอร์สเคมีบำบ ัดรักษา โรคมะเร็ง เจเรอมี่ ฮิลล์ หัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีฟอนเทอร์รา บริษัทจำหน่าย ผลิตภัณฑ์นมรายใหญ่ กล่าวว่า ไอศกรีม "เดอะรีชาร์จ" (เติมพลัง) ได้รับเงินสนับสนุนการวิจัย 70 ล้านบาท และปีหน้าเตรียม นำไปทดลองตามโรงพยา บาลใหญ่ๆ 8 แห่งทั่วนิวซี แลนด์

ตัวไอศกรีมจะมีส่วนผสมของไขมันและโปรตีนจากนม

ซึ่งเมื่อทานเข้าไปแล้วจะช่วย ป้องกันไม่ให้ปากกับลำไส้ของผู้รับเคมีบำบัดเกิดอาการแพ้สารเคมีมากเกินไป ส่วนเหตุที่เลือกผลิตรสสตรอว์เบอร์รี่เพราะเป็นรสยอด นิยม
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ข่าวสด


บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
moddang
Newbie
*
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 124



« ตอบ #6 เมื่อ: พฤศจิกายน 08, 2009, 08:06:45 AM »

ทุกเช้าก่อนออกจากบ้าน.......อย่าลืมคิดถึงสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำเหล่านี้ 
1. เครื่องประดับที่สวยที่สุดบนเรือนร่าง คือ รอยยิ้ม
2. งานที่ทำแล้วพอใจที่สุด คือ การช่วยเหลือผู้อื่น
3. ความสุขที่สุด คือ การให้
4. อาวุธร้ายแรงที่ต้องระมัดระวัง และเก็บรักษาให้ดีที่สุด คือ การพูดทำร้ายผู้อื่น
5. พลังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำให้ทุกอย่างสำเร็จ คือ ความรัก
6. ความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ การทำร้ายตัวเอง
7. ปัญหาที่ใหญ่ที่สุดที่จะต้องเอาชนะให้ได้ คือ ความกลัว
8. ยา นอนหลับที่ให้ผลดีที่สุด คือ ความสงบในใจ
วันนี้รุ่งพรุ่งมีร่วงดวงไม่แน่             วันนี้แย่พรุ่งนี้ยังกลับดังได้
วันนี้ดังพรุ่งนี้ดับกลับเปลี่ยนไป     โปรดจำไว้ทุกชีวิต...อนิจจัง 
 
พระอาจารย์ บุญร่วม กตปุญโญ
บันทึกการเข้า

สิ่งที่ควรทำคือความดี  สิ่งที่ควรมีคือคุณธรรม  สิ่งที่ควรจำคือบุญคุณ
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #7 เมื่อ: พฤศจิกายน 09, 2009, 09:56:48 AM »

 Winkสวัสดีค่ะ
Have agood time na kha
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Neung99k
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 565



« ตอบ #8 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2009, 02:46:16 AM »

แท้งกิ้วนะ Grin
mai free na ma anh tong jay tung doi Grin
Angry Tongueม่ายจ๋ายยยยยยยยย มีแต่แบงค์พันไม่มีใบยี่สิบ เทวดา
บันทึกการเข้า

http://www.smart90days.com/neung999kk/  ธุรกิจท่องเที่ยวรับเงินแสน
http://www.azpaypoint.com/chitdech  รายจ่ายจะกลับมาเป็นรายได้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #9 เมื่อ: พฤศจิกายน 10, 2009, 11:11:34 PM »

แท้งกิ้วนะ Grin
mai free na ma anh tong jay tung doi Grin
Angry Tongueม่ายจ๋ายยยยยยยยย มีแต่แบงค์พันไม่มีใบยี่สิบ เทวดา
kri wa ใบยี่สิบ  Angry
บันทึกการเข้า

finghting!!!
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #10 เมื่อ: พฤศจิกายน 12, 2009, 12:42:44 PM »

Smiley อาหาร 11 อย่างที่ควรเลี่ยงเมื่อปวดหัว    Smiley


อาการปวดหัวเป็นอาการที่ฟ้องเราหลายๆ เรื่อง นอกจากการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ทั้งการนอนให้เพียงพอ และพักผ่อนหย่อนใจไล่ความเครียด การกินอาหารอย่างถูกต้องก็มีส่วนช่วยให้หายเร็วขึ้นไ ด้ วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ จากคุณหมอเดวิด บุชฮอลส์ จากมหาวิทยาลัยจอนห์ฮอปกินส์ ถึงอาหารที่ควรเลี่ยงเมื่อมีอาการปวดหัว


1. เครื่องดื่มที่มีกาเฟอีน เช่น กาแฟ ชา น้ำอัดลมบางชนิด

2. ช็อกโกแล็ต

3. เนยแข็ง

4. โยเกิร์ต และซาวครีม

5. ถั่วเปลือกแข็งต่างๆ (อัลมอนด์ เม็ดมะม่วง) และเนยถั่ว

6. อาหารผ่านกรรมวิธี เช่น ไส้กรอก ฮอทด็อก เบคอน อาหารกระป๋อง ของหมักดอง

7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์

8. ผงชูรส

9. ผลไม้ตระกูลส้ม เช่น ส้มต่างๆ มะนาว รวมถึงน้ำผลไม้เหล่านี้

10. ผลไม้อื่นๆ เช่น กล้วย ลูกเกด อะโวคาโด สับปะรด

11. ผักบางชนิด เช่น หอมหัวใหญ่ ถั่วฝักชนิดต่างๆ


หากปวดหัวบ่อยๆ นอกจากปรับอาหารแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการปรับพฤติกรรมให้ไม่เครียด ก็จำเป็นเช่นเดียวกัน
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #11 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2009, 11:11:32 AM »

 
Smileyทำไมควรกินโยเกิร์ตหลังกินยา    Smiley


ผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของการกินยาปฏิชีวนะคือ ยาจะไปทำลายแบคทีเรียที่สร้างวิตามินบีในลำไส้เล็ก อย่าเพิ่งวิตกไปคะ เรามีวิธีกู้แบคทีเรียดีๆในลำไส้เล็กให้กลับมาปฏิบัต ิหน้าที่ได้อย่างขัน แข็ง


 วิธีการคือ หลัง จากรับประทานยาปฏิชีวนะจนครบตามที่แพทย์สั่ง เราควรรับประทานโยเกิร์ต วันละ 1 ถ้วย นาน 2 สัปดาห์ เพราะโยเกิร์ตจะมีจุลินทรีย์ที่เข้าไปช่วยทดแทนแบคที เรียที่ถูกทำลายไป และช่วยให้ลำไส้เล็กทำงานได้อย่างเป็นปกติ และควรเลือกกินโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่มีรสชาติไม่หวาน จะเป็นผลดีต่อสุขภาพ มากกว่





นี่แหละค่ะที่เขาเรียกกินอาหารเป็นยา






ที่มา ... ชีวจิต
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #12 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2009, 11:16:06 AM »

Smileyภาชนะที่ควรระวัง ให้ห่างไกลมะเร็ง Smiley


ภาชนะที่ควรระวัง ให้ห่างไกลมะเร็ง (สยามดารา)

มี คำเตือนจากโรงพยาบาล จอห์น ฮอปกินส์ สหรัฐอเมริกา เกี่ยวกับข้อมูลล่าสุดเรื่องมะเร็งในการ
1.ห้ามใส่ภาชนะพลาสติกในไมโครเวฟ
2.ห้ามใส่ขวดน้ำในช่องแช่แข็ง
3.ห้ามใส่อาหารที่ห่อหุ้มด้วยพลาสติกในไมโครเวฟ

โดยข้อมูลนี้ได้ถูกตีพิมพ์จากศูนย์กลางทางการแพทย์กองทัพบกแห่งวอลเตอร์ รีด เมื่อเร็ว ๆ นี้ ระบุว่า สาร ไดออกซินที่ก่อให้เกิดมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งทรวงอก เป็นอันตรายต่อเซลล์เนื้อเยื่อของร่างกาย จึงห้ามนำขวดน้ำแช่ในช่องแช่แข็งเด็ดขาด เพราะนั่นเป็นการนำสารไดออกซินออกมาจากพลาสติก

โดย ดร.เอ็ดเวิร์ด ฟูจิโมโต้ ผู้จัดการโปรแกรมสุขภาพดีของโรงพยาบาลแคสเซิล ออกทีวีอธิบายความเสี่ยงเรื่องนี้ต่ออีกว่า เราไม่ควรอุ่นอาหารด้วยไมโครเวฟ โดยการใช้ภาชนะพลาสติก เพราะอาหารที่มีไขมัน เมื่อไขมันรวมตัวกันในความร้อนสูง พลาสติกจะปล่อยสารไดออกซินลงในอาหาร ในที่สุดจะเข้าสู่เซลล์ของร่างกาย

คำ แนะนำคือ ให้ใช้แก้วแทน หรือภาชนะเซรามิคสำหรับอุ่นอาหาร ดังนั้นอาหารต่าง ๆ ที่โฆษณาทางทีวีตอนเย็น เช่น ราเมนและซุปสำเร็จรูป เป็นต้น ควรจะนำออกมาจากภาชนะบรรจุและนำไปอุ่นในภาชนะอื่น

บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #13 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 05:18:12 PM »

Smiley  ที่ไปและที่มาของการชู 2 นิ้ว (สู้ตายค่ะ)   Smiley


เคยสัยรึเปล่าคะว่าทำไม เวลาที่เราต้องการให้กำลังใจใครหรือให้กำลังใจตัวเอง (ประมาณว่า "สู้ๆ สู้ตาย")

หรือแม้กระทั่งเวลาถ่ายรูปกับเพื่อนเราจะต้องมีท่าบั งคับอย่างท่า "สู้ตาย" ชู 2 นิ้ว อยู่เสมอ... ทำไมต้องชูสองนิ้วด้วยล่ะ ชูสามนิ้วไม่ได้เหรอ???


สำหรับการชู 2 นิ้ว หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า "V sign" นั้น เป็นที่รู้จักกันดีในความหมายของ "ชัยชนะ" คือ V แทนคำว่า Victory ค่ะ ถ้าน้องๆ ลองไปเปิดดูอัลบั้มรูปเก่าๆ ของตัวเองน้องๆ จะพบว่าตั้งแต่เราเกิดมาเราถ่ายภาพด้วยท่าชู 2 นิ้วไว้มากมายโดยที่เราไม่รู้ตัว คิดอะไรไม่ออกก็ชู 2 นิ้วไว้ก่อนแล้วกัน ^^


นอกจากนี้การชูสองนิ้วยังหมายถึง "สันติภาพ" และ "การดูถูกท้าทาย" ได้อีกด้วย ...โดยหากเราไปแสดงอากัปกิริยาด้วยการ ชูสองนิ้วแต่หันฝ่ามือเข้าหาตัวเอง ในสหราชอาณาจักรอย่างอังกฤษ สกอตแลนด์แล้ว ถือว่าเป็นการแสดงท่าทางดูถูกต่อว่าอีกฝ่ายหนึ่งอยู่ ค่ะ

โดยความหมายของการทำเช่นนี้นั้น จะเหมือนกับการที่เราไปทำท่าที่หยาบคายอย่างการ "ชูนิ้วกลาง" (The Finger) ให้คนอื่นเลยทีเดียว ซึ่งพฤติกรรมนี้ถือว่าร้ายแรงและเป็นการเสียมารยาทเป ็นอย่างมากเลยล่ะ

ส่วนในประเทศสหรัฐอเมริกา การชู 2 นิ้วนั้นจะใช้กันในความหมายที่ว่า เป็นการแสดงสันติภาพมากกว่า โดยเริ่มได้รับความนิยมมาจากการที่ประชาชนออกมาเคลื่ อนไหวเพื่อให้เกิดสันติภาพในช่วงทศวรรษที่ 1960

สำหรับประเทศในทวีปเอเชียนั้น ส่วนใหญ่จะใช้กันตอนถ่ายรูปโดยไม่ได้มีความหมายอะไรซ ่อนอยู่เลย (กลายเป็นท่าฮิตไปซะอย่างงั้น -..-?) แต่ในเวลาต่อมา ผู้คนนอกทวีปเอเชียเริ่มหันมาชู 2 นิ้วตอนถ่ายรูปกันมากยิ่งขึ้น ซึ่งพฤติกรรมนี้เป็นผลสืบเนื่องมาจากบรรดาการ์ตูนของ ญี่ปุ่นที่ไปได้รับความนิยมในประเทศอื่นๆ นั่นเอง

นอกจากนี้บางคนยังเชื่อว่า การที่ชาวญี่ปุ่นนิยมชู 2 นิ้วนั้นต้องการสื่อถึงเรื่องสันติภาพ หลังจากที่ญี่ปุ่นโดนบอมบ์ด้วยระเบิดปรมณูไป (และที่สำคัญหลายคนมักจะคิดว่าการชูสองนิ้วถ่ายรูปนั ้นจะทำให้ตัวเองน่ารักเหมือนสาวญี่ปุ่น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วท่านี้ก็ไม่ได้ทำให้คนดูดีทุก คนหรอกค่ะ 55)


สำหรับจุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น ไม่มีการบันทึกเอาไว้อย่างแน่ชัดว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร ่ แต่ก็เป็นที่เชื่อกันมาอย่างยาวนานว่า จุดเริ่มต้นของการชู 2 นิ้วนั้น เริ่มจากพลธนูชาวเวลส์ ที่ต่อสู่ร่วมกับอังกฤษในการสู้รบที่หมู่บ้านอกินคอร ์ต ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 1415 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝร ั่งเศส ซึ่งมีการกล่าวไว้ว่า ทหารฝรั่งเศสจะตัดนิ้วมือข้างขวาของพลธนูชาวเวลส์ที่ ถูกจับตัวได้ไป 2 นิ้ว จนไม่สามารถยิงธนูได้อีก ด้วยเหตุนี้ บรรดาพลธนูชาวเวลส์ที่ยังไม่ถูกจับตัวจึงชูนิ้ว 2 นิ้วเป็นการดูถูกท้าทายทหารของฝรั่งเศส

ไม่น่าเชื่อเลยนะคะเนี่ยว่าท่าชู 2 นิ้ว ที่เราใช้เป็นท่าบังคับในการถ่ายรูปกัน จะมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนานขนาดนี้แถมยังมีความห มายที่ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่อีกต่างหาก... ว่าแต่ต่อไปนี้เวลาจะชู 2 นิ้ว ก็ระวังหน่อยแล้วกันนะคะ อย่าชูผิดด้านล่ะไม่อย่างนั้นล่ะ มีเรื่องแน่
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
cupid
Jr. Member
**
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 455


« ตอบ #14 เมื่อ: พฤศจิกายน 23, 2009, 10:39:54 PM »

แท้งกิ้วนะ Grin
mai free na ma anh tong jay tung doi Grin
Shockedนู๋ไม่เคยพูดปดนะฮะ นู๋อ่านแต่ของพี่นกเอี้ยง ของป้าจัยนู๋อ่านข้าม ไม่ต้องจ่ายตังค์ใช่ไหมฮะพี่หนึ่งสุดหล่อ Wink
บันทึกการเข้า
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: [1] 2 3 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: