Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75095 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #15 เมื่อ: พฤศจิกายน 26, 2009, 12:18:50 PM »

อาหารท้องถิ่นสงขลา
เต้าคั่ว  เป็นอาหารว่าง คล้ายยำสลัด มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน ประกอบด้วยเส้นหมี่ เต้าหู้ทอด หมูหั่นเป็นชิ้น กุ้งฝอยสดผสมแป้งและน้ำกะทิทอดกรอบ ไข่ต้ม ผักบุ้งลวก ถั่วงอกลวก แตงกว่าหั่นฝอย ราดด้วยน้ำยา ซึ่งทำจากน้ำส้มสายชูผสมน้ำตาลปี๊บ เจ้าอร่อยอยู่ด้านหลังตลาดกิมหยง
เต้าหู้ยี้เสวย  เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองสงขลา ต้นตำรับต้องของตระกูลสุมังคละ ถนนนางงาม ร้านนี้สืบทอดกรรมวิธีในการผลิตตามแบบบรรพบุรุษมา 4 ช่วงคน ที่ได้ชื่อว่า ?เต้าหู้ยี้เสวย? เพราะเคยทูลเกล้าฯ ถวายรัชกาลที่ 6 และรัชกาลที่ 9 มาแล้ว
ขนมดู  เป็นขนมขึ้นชื่อของสทิงพระ มีรสชาติหอมหวาน มัน ทำจากการนำข้าสารไปคั่วจนสุกกรอบ นำไปโม่ให้ละเอียดผสมกับน้ำตาลโตนดที่เคี่ยวจนข้น จากั้นใส่มะพร้าวแก่ขูด ใส่เกลือ คนจนขนมแห้ง ทิ้งไว้ให้เย็น แล้วปั้นเป็นก้อนแล้วคลุกแห้งเพื่อไม่ให้ติดมือ
ยำสาหร่าย  เป็นอาหารท้องถิ่นของชาวเกาะยอ รับประทานกับใบชะพลู นอกจากนั้นยังมีสาหร่ายตากแห้งนำไปใส่แกงจืดหรือผัดรับประทานแทนเส้นหมี่ ดีกว่าตรงที่เส้นมีความกรุบกรอบ
ปลาดุกร้า  ทำจากปลาดุกอุยนำไปหมักในภาชนะดินเผา ที่เรียกว่า เนียง จากนั้นนำไปตาก แล้วชุบน้ำตาลโตนดข้น แล้วหมักอีกครั้ง เวลารับประทาน นำมาทอดหรือย่าง สามารถเก็บไว้ได้นาน
คนสงขลา
สงขลา ตั้งอยู่บนเส้นทางติดต่อโลกวัฒนธรรมตะวันออก-ตะวันตก หมู่เกาะและแผ่นดินใหญ่ จึงเป็นบ้านหลอมทางชาติพันธุ์ เป็นขอบรอยต่อระหว่างวัฒนธรรมฮินดู-พุทธ-มุสลิม และเป็นแหล่งตั้งถิ่นฐานใหญ่ของชาวจีนโพ้นทะเล อันเป็นผลจากการที่สงขลาเป็นเมืองท่าการค้าเสรีมาตั้งแต่อดีต
คนไทยพุทธ
เป็นคนท้องถิ่นภาคใต้ มีทั้งคนท้องถิ่นสงขลา และที่อพยพมาจากพัทลุง นครศรีธรรมราช ส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำไร่และทำนา
คนไทยมุสลิม
อยู่ภายใต้วัฒนธรรมชวา-มลายู คนไทยมุสลิมส่วนใหญ่ประกอบอาชีพประมง หรือค้าขาย ตั้งถิ่นฐานบริเวณชายฝั่งทะเลสาบ และอ่าวไทย นอกจากนั้น ยังมีชุมชนชาวไทยมุสลิมในเขตรอยต่อวัฒนธรรมพุทธ ? มุสลิม ระหว่างจังหวัดสงขลา-ปัตตานี ในเขตอำเภอเทพา อำเภอจะนะ จังหวัดสงขลา และในเขตอำเภอสะบ้าย้อย จังหวัดยะลา
คนไทยเชื้อสายจีน
ชาวจีนฮกเกี้ยนเริ่มมาตั้งถิ่นฐาน และมีบทบาททางเศรษฐกิจ และการปกครองในสงขลาช่วงปลายกรุงศรีอยุธยา โดยเริ่มจากนายจีนเหยี่ยง แซ่เฮา คนจีน และวัฒนธรรมจีนเข้ามาผสมผสานกับวัฒนธรรมไทยอย่างเด่นชัดช่วงรัชกาลที่ 3-5 ปัจจุบันแหล่งคนจีนกลุ่มใหญ่ที่สุดอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ ซึ่งคนจีนเป็นผู้บุกเบิกเปลี่ยนป่าให้เป็นเมืองธุรกิจสำคัญในทุกวันนี้

ที่มา : เข้าใจถิ่น เข้าใจเที่ยว สงขลา

 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #16 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 09:14:57 PM »



เพิ่มพลังสร้างสรรค์ในตัวคุณ

ในยุคที่การแข่งขันสูงและไม่ได้สู้กันที่เงินทุนอีกต ่อไป ในยุคของเรากำลังก้าวเข้าสู่การแข่งขันเชิงไอเดียที่ ใครยิ่งมีความคิดสร้าง สรรค์เท่าไร ก็ยิ่งมีผลงานโดดเด่นมากขึ้นไปเท่านั้น
หากคุณอยู่ในหน้าที่การงานที่จะต้องวัดไอเดียตลอดเวล า แล้ววันหนึ่งถึงทางตัน คิดเท่าไรก็คิดไม่ออกหรือไม่ความคิดก็ดูธรรมดามากเสี ยจนไม่อยากเอาเข้าห้อง เสนองาน ลองปรับมาใช้วิธีเหล่านี้ดูสิ

อยู่อย่างสงบ 1 ชั่วโมงต่อวัน
ด้วยความที่หน้าที่ การงานยุ่งเหยิง คุณอาจจะไม่ได้ไขว่คว้าหาความสงบมากนัก นั่นอาจจะทำให้ไอเดียของคุณวุ่นวายและฟุ้งกระจายพอดู หากคุณได้นั่งเฉยๆ เงียบๆ คนเดียวบ้าง หรือนั่งสมาธิก่อนเข้านอนวันละ 1 ชั่วโมง ก็จะทำให้ความคิดที่ฟุ้งกระจายเหมือนผงในน้ำ จะตกตะกอนลงได้ แล้วความคิดคุณจะใสขึ้น และมีประเด็นแจ่มชัดมากขึ้นด้วย

ฟังเพลงอ่านหนังสือ
การฟังเพลงคลาสสิกที่มี อุปกรณ์ดนตรีหลายชั้น เช่น บาร์ค บีโธเฟ่น จะช่วยให้เซลล์สมองทั้งสองข้างเชื่อมต่อดีขึ้น รวมทั้งการอ่านหนังสือดีๆ ก็จะยิ่งทำให้สมองของคุณเปิดกว้าง มีความคิดใหม่ๆ เข้ามาโดยไม่ตีกรอบตัวเองจนเกินไป เชื่อมโยงไอเดียต่างๆ เข้าด้วยกัน และสร้างแรงบันดาลใจได้อย่างดี ทั้งนี้ อย่างน้อยๆ คุณควรอ่านหนังสือให้ได้ 3 เล่มต่ออาทิตย์

คุยกับคนอื่นเยอะๆ
ถ้าคุณมีโอกาสมากพอลองตั้ง ประเด็นแล้วพูดคุยกับคนที่อยู่ในหลายๆ สาขาอาชีพ เพราะคุณจะได้รู้ความรู้สึกและความต้องการของเขาว่าเ ป็นอย่างไร เมื่อสบโอกาสลองพูดคุยบนรถแทกซี่ ผับ บาร์ หรือแม้แต่สมาคมแม่บ้าน เราต้องเปิดโลกให้กว้างขวางแล้วไอเดียก็จะไหลเข้ามาเ อง

พกสมุดจดไอเดีย
ติดโน้ตบุ๊กเล่มเล็กๆ ไว้ในกระเป๋าดูบ้าง ยามไปไหนนั่งเงียบๆ บนรถ เกิดปิ๊งไอเดียขึ้นมาจะได้จดไว้ทัน เพราะสมองของคุณไม่สามารถจดจำได้หมดทุกๆ สิ่งอย่างที่คุณนึกออก สมุดเล่มนี้จะบันทึกข้อมูลได้มากกว่า 90%

เดินเล่นตามสวนสาธารณะ
หากคุณเครียดคิดอะไรไม่ ออกลองเล่นตามสวนต่างๆ ดูสิ เพราะจะทำให้ประสาทของคุณตื่นตัว เปลี่ยนบรรยากาศ เป็นการเปิดสมองของคุณให้เข้าที่เข้าทางด้วยการได้ออ กซิเจนและพื้นที่สี เขียวจะทำให้สมองปลอดโปร่งทำงานได้ดีขึ้น

ต์ปัญหาใส่กระดาษ
บางทีปัญหาที่อยู่แต่ใน หัวคุณ อาจจะมองภาพหนทางแก้ไขไม่เห็น ลองเขียนลงในกระดาษหรือคอมพิวเตอร์ดูก็ได้ คุณจะมองเห็นภาพปัญหาหรือเงื่อนไขที่คุณต้องคิดได้ชั ดเจนขึ้น เนื่องจากคุณจะมองเป็นรูปธรรมและมองเห็นภาพที่กว้างก ว่าเยอะกว่าอยู่ในหัว

ไอเดียดีๆ ต้องห้ามดูทีวี
การดูทีวีไม่ใช่การ ผ่อนคลายที่แท้จริง แต่เป็นการทำให้สมองทำงานช้าลงและยึดติดกับประสาททาง สายตาและทางหูมากขึ้น ประสบการณ์ที่คุณจะได้รับไปผลิตเป็นไอเดียนั้นจะถูกจ ำกัดในวงแคบมากกว่าจะ ได้ไอเดียใหม่ๆ จากทีวี



ขอขอบคุณ : Lisa ผู้สนับสนุนเนื้อหา
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #17 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 09:16:21 PM »

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2009, 09:20:22 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #18 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 09:26:37 PM »



พระจริยวัตร "ประหยัด" สื่อสอนสั่งลูกหลานไทย

 ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ข้าวของเครื่องใช้พากันปรับราคาสูงขึ้น หนทางแก้ไขเพื่อช่วยให้เราใช้ชีวิตอยู่อย่างมีความสุ ข ผ่านพ้นวิกฤติการณ์เหล่านี้ไปได้ ก็เห็นจะเป็นการกินอยู่อย่างประหยัด ไม่ฟุ่มเฟือย ไม่ฟุ้งเฟ้อ สมดังพระปณิธานแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที ่ทรงสอนสั่งลูกหลานไทยเสมอ...ให้รู้ซึ้งถึงความหมายข องคำว่า "พอเพียง"

ตลอดระยะเวลา 54 ปีแห่งการครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ไม่เพียงแต่จะทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจด้วยพระวิริยะอ ุตสาหะ มุ่งมั่นที่จะทำนุบำรุงบ้านเมืองและช่วยเหลือแก้ไขปั ญหาความเดือดร้อนให้กับราษฎรตามพระปฐมบรมราชโองการที ่ว่า "เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม" เท่านั้น แต่พระองค์ยังทรงเป็นเสมือนครูผู้เป็นพ่อพิมพ์ของชาต ิ เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับราษฎรไทยในเรื่องของการดำรงช ีวิตอย่างเรียบง่าย เพื่อความสุขที่แท้จริงอีกด้วย

"ทุกคราวที่บ้านเมืองต้องประสบกับเหตุการณ์คับขัน "ขวัญ กำลังใจ และสติ" ของคนไทยทั้งชาติจะได้รับการปลุกและปลอบประโลมด้วยพร ะบารมีแห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสมอมา เฉกเช่นเดียวกับยามนี้ ยามที่ประเทศชาติต้องเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจอย่างหนัก หน่วง แต่ถึงกระนั้น หากคนไทยทุกคนสามัคคีกัน พร้อมใจกันน้อมนำแนวพระราชดำริของพระองค์ไปประพฤติปฏ ิบัติตามโดยทั่วแล้ว เป็นที่เชื่ออย่างยิ่งว่า ครอบครัวและประเทศชาติของเราคงจะผ่านพ้นวิกฤติการณ์เ หล่านี้ไปได้อีกครั้ง"

ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา กล่าวแสดงทรรศนะพร้อมบอกเล่าถึงพระราชจริยวัตรอันงดง ามขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันเป็นแบบอย่างของการดำรงชีวิตอย่างประหยัด และเรียบง่ายว่า พระจริยวัตรงดงามเป็นแบบอย่างของความเรียบง่ายขององค ์เหนือหัวรัชกาลที่ 9 แจ้งประจักษ์แก่สายตาพสกนิกรไทยมาเนิ่นนานตั้งแต่ครั ้งยังทรงพระเยาว์ ซึ่งภาพเหล่านั้นล้วนประทับอยู่ในใจของพสกนิกรไทยมาช ้านาน

อันดับแรกคือเรื่องของ "ฉลองพระองค์" จากคำกล่าวเล่าของ ข้าราชบริพารท่านหนึ่ง เอ่ยว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ฉลองพระองค์ชุดเดิม และฉลองพระบาทคู่เดิมมาเป็๋นเวลานานหลายปี อาจจะเรียกได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ก็ว่าได้ นอกจากนี้เรายังสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ทรงโปรดฉลองพระองค์ที่เป็นผ้าไทยและเครื่องใช้ที่ผลิ ตขึ้นในประเทศไทยมากเสียยิ่งกว่าสิ่งของหรูหรา ที่มีตราประทับยี่ห้อดังสั่งตรงมาจากเมืองนอกเป็นไหน ๆ

สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า แม้พระองค์จะประสูติ และเติบโตที่เมืองนอกแต่ความเป็นไทยก็มิได้ทรงเหือดห ายไปจากพระราชหฤทัยแม้แต่น้อย

ผิดกับคนไทยสมัยนี้ที่ปล่อยให้อิทธิพลของชาติตะวันตก เข้ามาครอบงำ ทั้งในเรื่องของรสนิยมการแต่งกาย และค่านิยมที่จะต้องใช้ของแพง มียี่ห้อ จนไม่หลงเหลือความเป็นไทยไว้ให้ชื่นชม

อันดับสอง "หลอดยาสีพระทนต์" ซึ่งเรื่องนี้ ศาสตราจารย์พิเศษ ทันตแพทย์หญิง ท่านผู้หญิงเพ็ชรา เตชะกัมพุช ทันตแพทย์ประจำพระองค์ อดีตคณบดีคณะทันตแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เขียนเล่าให้ฟังว่า ได้กราบพระบาททูลขอพระราชทานหลอดยาสีพระทนต์ของพระบา ทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ใช้อย่างประหยัดยิ่ง หลอดยาสีพระทนต์เปล่าของพระองค์นั้น พระองค์ทรงใช้จนแบนราบเรียบโดยตลอด คล้ายแผ่นกระดาษโดยเฉพาะบริเวณคอหลอดยังปรากฏรอยบุ๋ม ลึกลงไปจนถึงเกลียวหลอด ซึ่งได้รับคำอธิบายจากพระองค์ว่า หลอดยาสีพระทนต์ที่เห็นแบนเรียบนั้นเป็นผลมาจากการใช ้ด้ามแปลงสีพระทนต์ช่วยรีดด และกดเป็นรอยบุ๋มอย่างที่เห็นนั่นเอง

หรือจะเป็นในเรื่องของ "ดินสอไม้ในพระหัตถ์" ก็เช่นกัน ในทุกครั้งที่พระองค์เสด็จพระราชดำเนินไปทรงงานในพื้ นที่ต่าง ๆ แทบทุกภูมิภาคของประเทศ ของสิ่งหนึ่งที่จะทรงใช้จดบันทึกข้อมูลอยู่ตลอดก็คือ ดินสอไม้ ซึ่งเหตุผลที่พระองค์ทรงใช้ดินสอไม้ราคาเยาทั้ง ๆ ที่พระองค์ทรงอยู่ในฐานะที่สามารถใช้ดินสอหรือปากการ าคาแพงได้อย่างมิต้องกังวลก็คือ ทรงเห็นว่า การใช้ดินสอเมื่อเขียนผิดจะสามารถลบออกได้อย่างง่ายด าย ไม่เลอะเทอะเปรอะเปื้อน หากใช้ปากกาเมื่อเขียนผิดจะลบออกก็ไม่ได้ แถมยังสิ้นเปลืองกระดาษแผ่นใหม่ที่จะต้องนำมาใช้แทนอ ีก ทั้ง ๆ ที่งานที่เราต้องการก็เพียงแค่ชิ้นเดียว หรือแผ่นเดียวเท่านั้น

นอกจากนี้ในเรื่องของ "เครื่องประดับ" พระองค์ก็มิทรงโปรดที่จะสวมใส่สักชิ้น นอกเสียจากว่าจะทรงแต่งองค์เพื่อเสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีต่าง ๆ หรือต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองเท่านั้น

ขณะเดียวกันที่ "ห้องทรงงาน" ของพระองค์ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่เตือนสติคนไทยได้อย่ างมาก โต๊ะทรงงาน หรือเก้าอี้โยกรูปทรงหรูหราไม่เคยมีปรากฏในห้องนี้ ดังพระราชดำรัสของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ตอนหนึ่งที่ว่า "...สำนักงานของท่านคือห้องกว้าง ๆ ไม่มีเก้าอี้ มีพื้น และท่านก็ก้มทรงงานอยู่กับพื้น..." นั่นเอง นับเป็นแบบอย่างของความพอดี ไม่ฟุ้งเฟ้อโดยแท้

หรือแม้แต่ "สบู่" ที่ตามปกติหากเราใช้จนเหลือก้อนเล็กแล้วก็มักทิ้ง แต่พระองค์ไม่ทำเช่นนั้น ข้าราชบริพารในวังเล่าให้ฟังอีกเช่นกันว่า สบู่ที่ทรงใช้จนเหลือก้อนเล็กจะไม่ทรงทิ้งสักครา ทรงนำไปปะติดกับก้อนใหญ่อีกที และจะทรงทำเช่นนี้ทุกครั้ง ซึ่งพระราชจริยวัติที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้ล่วนแล้วแต่ เป็นเครื่องบ่งชี้ และเตือนใจให้คนไทยในยุคนี้สมัยนี้ได้ซาบซึ้งและเห็น ถึงคุณค่าของวัตถุ และการมีชีวิตอยู่อย่างประหยัดได้เป็นอย่างดี

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเป็นแบบอ ย่างอันดีงามให้กับชาวไทยในเรื่องของการรู้จักใช้สิ่ งของต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างรู้คุณค่ามากที่สุดเท่านั้น พระองค์ยังทรงเป็นแบบอย่างของนักปฏิบัติสร้างสรรค์สิ ่งของที่ไร้ค่าให้เกิดประโยชน์อีกด้วย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงโปรดที่จะประดิษฐ์คิดค ้นสิ่งของต่าง ๆ จากวัสดุเหลือใช้ตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์ เช่น ทรงนำเศษตะกั่วมทาหลอมเป็นที่ทับกระดาษ ทรงประกอบวิทยุแร่ขึ้นไว้ใช้เอง ฯลฯ ซึ่ง ดร.สุเมธ ยังได้เล่าให้ฟังเพิ่มเติมว่า จากการที่ทำงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทมาเป็นเวลาน านนับ 20 ปี ไม่เคยเห็นสักคราที่จะทรงทำอะไรอย่างไร้แก่นสาร พระองค์จะทรงไตร่ตรองและพิจารณาอย่างรอบคอบเสมอก่อนท ี่จะลงมือทำสิ่งใด และจะทรงระลึกทุกคราว่า เงินทุกบาททุกสตางค์ที่นำมาใช้จ่ายเพื่อทำกิจกรรมใดน ั้นต้องเกิดประโยชน์และได้ผลคุ้มค่ามากที่สุด

ด้วยพระอุปนิสัยที่ทรงเป็นนักคิดค้นนักปฏิบัตินี้เอง จึงเป็นที่มาของการก่อเกิดโครงการอันเนื่องมาจากพระร าชดำริต่าง ๆ มากมาย ซึ่งแต่ละโครงการก็ล้วนแล้วแต่นำประโยชน์มหาศาลมาสู่ ประชาชนชาวไทยและประเทศชาติทั้งสิ้น

การดำรงชีวิตอย่างราบเรียบ เป็นธรรมชาติ รู้จักกินรู้จักใช้ คือวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทยที่ปู่ย่าตายายของเราเค ยยึดถือปฏิบัติมาโดยตลอด

แต่ปัจจุบันสิ่งดีงามเหล่านี้กำลังเลือนหายไป อาจเนื่องด้วยปัจจัยหลายอย่างทั้งทรงด้านสังคมและจิต ใจ

พระราชจริยวัติอันงดงามที่กล่าวมาข้างต้น จะเป็นหนทางสำคัญที่สามารถกระตุ้นเตือนให้คนไทยทุกคน หันกลับมาคิดทบทวนและเลือกที่จะประพฤติปฏิบัติตนในทา งที่ถูกอีกครั้ง
การดำเนินชีวิตตามรอยเบื้องพระยุคลบาท ไม่ใช่เพียงเพื่อการนำพาตัวเราไปพบกับความสุขที่แท้จ ริงของชีวิตเท่านั้น

แต่ยังเป็นการแสดงถึงความจงรักภักดี ช่วยแบ่งเบาพระราชภารกิจในการแก้ไขปัญหาและช่วยพัฒนา ชาติบ้านเมืองของเราให้เข้มแข็งและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้นสืบไปด้วย

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #19 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 09:39:45 PM »

รู้เรื่องในหลวงของเรา

?  วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๐ ตรงกับวันจันทร์ เดือนอ้าย ขึ้น ๑๒ ค่ำ ปีเถาะ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูอดุลเดช พระราชโอรสพระองค์เล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช กรมขุนสงขลานครินทร์ และหม่อมสังวาลย์ ประสูติ ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสสาซูเสตต์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เหตุที่ประสูติที่อเมริกา เพราะขณะนั้น ราชชนก เสด็จทรงศึกษาและปฏิบัติหน้าที่ราชการในต่างประเทศ ทรงมีพระเชษฐภคินีและสมเด็จเชษฐาธิราช คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล
 
 
 

 ?  พระนาม ? ภูอดุลยเดช ? ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ มีความหมายว่า ? ผู้ทรงกำลังอำนาจไม่มีอะไรเทียบในแผ่นดิน ?
 
 
 

 ?  หลังจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงประกาศสละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้กราบทูลเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งเป็นเชษฐาธิราช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติสืบสันตติวงศ์เป็นพระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๘ แห่งราชจักรีวงศ์ จากนั้นในวันที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๔๗๘ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูอดุลเดช ทรงได้รับเฉลิมพระนามเป็น ? สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูอดุลยเดช ? ในครั้งนั้นทั้งสองพระองค์ยังประทับอยู่ที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์
 
 
 

 ?  ในปี ๒๔๘๐ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูอดุลยเดช สายพระเนตรสั้นลง เป็นเหตุให้ต้องทรงฉลองพระเนตรนับตั้งแต่นั้นมา
 
 
 

 ?  ในปี ๒๔๘๘ หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอัญเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล ซึ่งขณะนั้นทรงพระชนมายุครบ ๒๐ พรรษา เสด็จกลับมาประทับเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทย ในการเสด็จนิวัตสู่ประเทศไทยครั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดช ในฐานะพระเจ้าน้องยาเธอฯ ได้เสด็จกลับมาด้วย โดยได้เสด็จถึงประเทศไทยเมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๘๘ อันตรงกับวันพระราชสมภพ ขณะมีพระชนมายุครบ ๑๘ ปีบริบูรณ์
 
 
 

 ?  ใน วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ประชาชนชาวไทยต้องประสบกับความสูญเสียอย่างใหญ่หลวง เมื่อ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวรรคต อย่างกระทันหันด้วยพระแสงปืน ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ในมหาราชวัง และในวันเดียวกันนี้เอง วงศานุวงศ์และคณะรัฐมนตรีก็ได้กราบบังคมทูล อัญเชิญสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูอดุลยเดช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น พระมหากษัตริย์ลำดับที่ ๙ แห่งราชจักรีวงศ์ และได้มีการประกาศเฉลิมพระนามว่า ? สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดช ? แต่เนื่องจากในขณะนั้นทรงมีพระชนมายุเพียง ๑๙ พรรษา ยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดินด้วยพระองค์เองได้ อีกทั้งยังมีพระราชภารกิจเรื่องการศึกษา จึงได้มีการแต่งตั้งพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมขุนชัยนาทนเรนทร และพระยามานวรราชเสวี เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
 
 
 

 ?  วันที่ ๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ ได้เสด็จกลับไปศึกษาต่อที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์พร้อมสมเด็จพระราชชนนี และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธออีกครั้ง โดยก่อนจากประเทศไทยในครั้งนั้น ได้ทรงเสด็จไปถวายบังคมลาศพเชษฐาธิราชที่มหาราชวัง ขณะที่ประทับรถยนต์พระที่นั่งไปยังสนามบินดอนเมือง ได้มีประชาชนคนหนึ่งตะโกนว่า ? อย่าละทิ้งประชาชน ? ซึ่งพระองค์ก็ได้ทรงมีพระราชนิพนธ์เรื่อง ? เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์ ? ว่าทรงอยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ? ถ้าประชาชนไม่ ? ทิ้ง ? ข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะ ? ละทิ้ง ? อย่างไรได้ แต่รถวิ่งเร็วและเลยไปไกลเสียแล้ว ..?
 
 
 

 ? เมื่อเสด็จกลับไปยังประเทศสวิสเซอร์แลนด์เพื่อศึกษาต่อ ก็ได้ทรงเปลี่ยนจากสาขาวิทยาศาสตร์ มาทรงศึกษารัฐประศาสนศาสตร์ และนิติศาสตร์ เพื่อเตรียมพระองค์ในการเป็นพระประมุขของประเทศ
 
 
 

 ?  ในปี ๒๔๙๓ เมื่อเสด็จนิวัตกลับประเทศไทยแล้ว ได้ทรงกำหนดพระราชพิธีถวายพระเพลิงศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลตั้งแต่วันที่ ๑๘ มีนาคม จนถึงวันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๔๙๓ อันเป็นวันถวายพระเพลิงศพ
 
 
 

 ?  หลังจากนั้นใน วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๔๙๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดชฯก็ได้ทรงจัดพระราชพิธีราชาภิเษกสมรสกับหม่อมสิริกิติ์ กิติยากร ซึ่งพระราชพิธีราชาภิเษกครั้งนี้ นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งแรกสำหรับพระมหากษัตริย์ไทยในยุคประชาธิปไตย ที่ได้ทรงจดทะเบียนสมรสตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่นเดียวกับปวงชนชาวไทย
 
 
 

 ?  ในวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๔๙๓ ได้ทรงจัด พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นพระมหากษัตริย์ปกครองแผ่นดินอย่างสมบูรณ์ โดยมีพระปรมาภิไธยว่า ? พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ? ซึ่งในครั้งนั้นได้ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการว่า ? เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม ? พร้อมกันนี้ได้ทรงสถาปนาเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ พระอัครมเหสี ขึ้นเป็น ? สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ราชินี ?
 
 
 

 ?  ในวันที่ ๒๒ ตุลาคม ๒๔๙๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดชได้ทรงผนวช ณ พระอุโบสถ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ในมหาราชวัง โดยมีสมเด็จพระวชิรญาณวงศ์ สมเด็จพระสังฆราช (หม่อมชื่น นภวงศ์) วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงเป็นพระราชอุปชฌาย์ และสมเด็จพระสังฆราชได้ถวายพระสมณฉายานามว่า ? ภูมิพโล ภิกขุ ? ทรงประทับจำพรรษา ณ พระตำหนักปั้นหยา วัดบวรนิเวศวิหาร ทรงดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตอยู่ ๑๕ วันจึงลาผนวชเมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน ๒๔๙๙ ในระหว่างทรงผนวช ได้มีราชโองการโปรดเกล้าฯให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ราชินีเป็นผู้สำเร็จราชการทรงปฏิบัติราชการแผ่นดินแทนพระองค์ ซึ่งทรงปฏิบัติราชกรณียกิจในตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ได้อย่างเรียบร้อยเป็นที่พอพระราชหฤทัย จึงได้มีราชโองการโปรดเกล้าฯสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ราชินี นาถ ในปีเดียวกันนี้เอง
 
 
 

 ?  ในปี ๒๕๐๒ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดช พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯราชินีนาถ ได้ เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศอย่างเป็นทางการครั้งแรกในรัชกาล โดยเริ่มจากประเทศสาธารณรัฐเวียดนาม อินโดนีเซีย และสหภาพพม่า และในปี ๒๕๐๓ ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา และประเทศในทวีปยุโรป รวม ๑๔ ประเทศ ตั้งแต่วันที่ ๑๔ มิถุนายน ๒๕๐๓-วันที่ ๑๘ มกราคม ๒๕๐๔ ซึ่งในการเสด็จฯเยือนต่างประเทศครั้งนั้น นอกจากจะช่วยกระชับความสัมพันธ์กับมิตรประเทศแล้ว ทั้งสองพระองค์ยังได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจจนบังเกิดผลสำเร็จ นำผลประโยชน์มาสู่ประเทศชาติและประชาชนชาวไทยมากมาย ทรงเป็นที่กล่าวขานถึงพระบารมีเลืองลือขจรไกล
 
 
 

 ?  ในปี ๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดช ทรงเจริญพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม ราชชนก จึงทรงโปรดเกล้าฯให้มีพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลในวโรกาสมหามงคลข้างต้นตามโบราณราชประเพณี ที่นิยมเฉลิมฉลองวโรกาสที่พระเจ้าอยู่หัวฯทรงเจริญพระชนมายุเสมอด้วยสมเด็จราชบุรพการี
 
 
 

 ?  ในวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๑๔ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ได้ทรงกระทำ ? พระราชพิธีรัชดาภิเษก ? อันเป็นพิธีเฉลิม ฉลองสิริราชสมบัติครบ ๒๕ ปี และในปี ๒๕๒๐ คณะบุคคลอันประกอบด้วยประชาชนทุกสาขาอาชีพ ได้พร้อมกันแสดงความจงรักภักดีและสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ด้วยการน้อมเกล้าฯถวายพระราชสมัญญา ? มหาราช ? พร้อมจัดงานถวายพระพรและเฉลิมพระเกียรติในวันเฉลิมพระชนมพรรษา โดยใช้ชื่อว่า ? ๕ ธันวามหาราช ? ต่อมาเพื่อความพร้อมเพรียงในหมู่พสกนิกรชาวไทยในอันที่จะถวายพระราชสมัญญา ? มหาราช ? จึงได้มีการสำรวจประชามติทั่วประเทศ ปรากฎว่าประชาชนมีความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ นายกรัฐมนตรีขณะนั้น จึงได้ขอพระราชทานราชานุญาต ถวายพระราชสมัญญา ? มหาราช ? เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๓๐
 
 
 

 ?  วันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๙ คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ ได้น้อมเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญา ? อัครศิลปิน ? แด่พระองค์ ด้วยทรงเป็นเลิศในศิลปะหลายสาขา อาทิ ดุริยางคศิลป์ ทัศนศิลป์ และนฤมิตศิลป์ เป็นต้น คำว่า ? อัครศิลปิน ? หมายถึง ผู้มีศิลปะอันเลอเลิศ หรือผู้เป็นใหญ่ในศิลปินก็ได้ เพราะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นอกจากจะทรงเป็นเลิศในศิลปะทั้งปวงแล้ว ยังทรงมีคุณูปการได้ทรงอุปถัมภ์แก่ศิลปินทั้งหลายด้วย
 
 
 

 ?  วันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๓๑ ได้มีการจัด ? ราชพิธีรัชมังคลาภิเษก ? อันเป็นพระราชพิธีเฉลิมฉลองเนื่องใน อภิลักษขิตสมัยที่ทรงครองราชสมบัติยาวนานกว่าสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้าแห่งราชอาณาจักรไทยทุกพระองค์ในอดีต ซึ่งเป็นมหามงคลวโรกาสที่หาได้ยากยิ่ง คือ ทรงครองราชย์สมบัติเป็นเวลา ๔๒ ปี ๒๒ วัน ซึ่งเป็นเวลาจำนวนปีและวันเท่ากับสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระอัยยิกาธิราช
 
 
 

 ?  วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๓๙ เป็นวันที่ ทรงครองราชย์สมบัติครบ ๕๐ ปี รัฐบาลได้จัดงานเฉลิมฉลองยิ่งใหญ่เพื่อถวายเป็นราชสักการะและถวายพระพรชัยมงคล พระองค์ได้โปรดเกล้าฯพระราชทานชื่องานว่า ? พระราชพิธีกาญจนาภิเษก ? นับเป็นมหามงคลสมัยพิเศษอีกวาระหนึ่งที่ไม่เคยมีปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์ไทย
 
 
 

 ?  วันที่ ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๔๓ ได้มีงาน ? พระราชพิธีสมมงคล พระชนมายุ ๗๓พรรษา เท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ? ( สมมงคล อ่านว่า สะ-มะ-มง-คล)คือวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระชนมายุได้ ๒๖,๔๖๙ วัน เท่ากับพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑
 
 
 

 ?  วันที่ ๙ มิถุนายน ๒๕๔๙ ปีนี้ เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ได้ทรงโปรดเกล้าฯพระราชทานชื่องานว่า ? พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ? ซึ่งหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมทั้งพสกนิกรชาวไทยต่างร่วมใจกันจัดกิจกรรมต่างๆเพื่อถวายเป็นราชสักการะ และร่วมเฉลิมฉลองวโรกาสมหามงคลครั้งนี้ทั่วประเทศ ที่สำคัญคือจะมีประมุขและวงศานุวงศ์จากมิตรประเทศมาร่วมถวายพระพรด้วย
 
 
 

 ?  และใน วันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ จะทรงเจริญพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ซึ่งได้โปรดเกล้าฯพระราชทานชื่อมาแล้วว่า ? พระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐ ?ทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น คือเหตุการณ์สำคัญต่างๆที่เกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดชมหาราช ? ในหลวง ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ? ซึ่งตลอดระยะเวลาแห่งการครองราชย์ นับตั้งแต่วันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙ ตราบจนปัจจุบัน เป็นเวลา ๖๐ ปีเต็ม จนกล่าวได้ว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก ได้ทรงอุทิศพระวรกาย พระราชหฤทัย และพระสติปัญญาบำเพ็ญพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่ทั้งปวงเพื่ออาณาประชาราษฎร์ของพระองค์อย่างมากมายมหาศาลตลอดมา จนยากยิ่งที่จะหาพระมหากษัตริย์พระองค์ใด หรือประมุขของประเทศใดในโลกมาเทียบเคียงได้ ดังนั้น ในโอกาสมหามงคลสมัยนี้ จึงขอเชิญชวนพี่น้องชาวไทยทั้งในและนอกประเทศได้น้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่าน ด้วยการตั้งใจ ? ทำความดี ? และ ? รู้รักสามัคคี ? ถวายเป็นพระราชสักการะ ให้สมกับที่พวกเราได้มีบุญเกิดบนผืนแผ่นดินไทย ที่มี ? พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดชมหาราช ? เป็นพระประมุขของชาติ 



ขอขอบคุณ  คุณอมรรัตน์  เทพกำปนาท   
  กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติเป็นที่มาของบทความ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #20 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 09:46:01 PM »

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดช

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดช ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งจักรี เสด็จขึ้นครองราชย์ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2489 จนถึงปัจจุบัน ทรงพระสถานะเป็นประมุขแห่งรัฐตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งนี้ ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่มีพระชนมชีพอยู่และทรงอยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดในโลก และเสวยราชย์ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยเช่นกั
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #21 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:09:32 PM »

ฉายาลักษณ์




       

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 04, 2009, 10:15:25 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #22 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:22:15 PM »

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #23 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:34:14 PM »

รัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดชมหาราช มีช้างเผือก 10 เชือก คือ พระเศวตอดุลยเดชพาหน พระเศวตวรรัตนกรี พระเศวตสุรคชาธาร พระศรีเศวตศุภลักษณ์ พระเศวตศุทธวิลาศ พระวิมลรัตนกิริณี พระศรีนรารัฐราชกิริณี พระเศวตภาสุรคเชนทร์ พระเทพรัชรกิริณี นขทัศ

1. พระเศวตอดุลยเดชพาหนฯ 
             เป็นช้างพลายเผือกโท เดิมชื่อ พลายแก้ว นายแปลกคล้องได้ที่ จังหวัดกระบี่ เมื่อ พ.ศ. 2499 เป็นช้างสำคัญในตระกูล พรหมพงศ์ จำพวกอัฐทิศ ชื่อ กมุท สีกายดังดอกกมุท หรือ บัวสายแดง สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น พระราชวังสวนดุสิต เมื่อวันที่ 11 พฤษศจิกายน พ.ศ. 2502 พระราชทานนามว่า ?พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสดิ์ประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการปรมินทรพิตรสารศักดิเลิศฟ้า


2. พระเศวตวรรัตนกรีฯ
              เป็นช้างพลายเผือก ลูกบ้านของนายแก้ว  ปัญญาคง อำเภอสันกำแพงจังหวัดเชียงใหม่ เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์จำพวกอัฎฐคช ชื่อ ดามพหัสดินทร์ สมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อวันที่ 24  ม.ค. 2509  พระราชทานนามว่า     "พระเศวตวรรัตนกรี นพีสีสิริพิงคนัทย์ เอกาทัศน์มงคลสุลักษณ์ ศุภนัขเนตราทิโควรรณ พิษณุพันธุ์ อัครคชาธาร อัฏฐกุลสารดามพหัสดิน ปรมินทรมหาราชพาหน สยามประชาชนสวัสดิคุณเดชอดุลยเลิศฟ้า" ปัจจุบันพระเศวตวรรัตนกรีได้ล้มแล้วที่จังหวัดเชียงใหม่ พ.ศ. 2510

 3.พระเศวตสุรคชาธารฯ
            เป็นช้างที่  นายเจ๊ะเฮง หะระดี กำนันตำบลการอ อำเภอรามัน จังหวัดยะลา เจอ ซึ่งเป็นลูกช้างที่พลัดหลงเข้ามาและมีลักษณะที่เป็นมงคลจึงแจ้งต่อผู้ว่าราชการจังหวัด  เป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวก ช้าง 10 หมู่ ชื่อดามพหัตถี สมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดยะลา เมื่อวันที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2511 ทรงพระราชทานนามว่า "พระเศวตสุรคชาธาร บรมนฤบาลสวามิภักดิ์ ศุภลักษณเนตราทิคุณ ทศกุลวิศิษฎพรหมพงศ์ อดุลยวงศ์ดามพหัตถี ประชาชนะสวัสดิวิบูลย์ศักดิ์ อัครสยามนาถสุรพาหน มงคลสารเลิศฟ้า" ในปัจจุบันพระเศวตสุรคชาธารได้ล้มแล้ว ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดาพระราชวังดุสิต ใน พ.ศ. 2520

4. พระศรีเศวตศุภลักษณ์ฯ
            เป็นช้างพังเผือก ลูกเถื่อน  เดิมชื่อเจ้าแต๋น ได้มาจาก จังหวัด ฉะเชิงเทรา เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฏฐคช ชื่อ ดามพหัสดินทร์   สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต เมื่อวันที่ 7  พฤษภาคม พ.ศ. 2519 พระราชทานนามว่า "พระศรีเศวตศุภลักษณ์ อรรครัตนกริณี  ดามพหัสดีพิษณุพงศ์  ดำรงสุทธสกนธ์สุคนธชาติ เฉลิมราชกฤดาบารมี  ศรีตรังคพิเศษสุทธิ์ อุดมสารเลิศฟ้า "

5. พระเศวตศุทธวิลาศฯ
              เป็นช้างพลายเผือกลูกเถื่อน ชื่อ บุญรอดเป็นลูกช้างที่คนของกรมป่าไม้พบที่ป่าบริเวณแม่น้ำแควน้อย จังหวัดกาญจนบุรี เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวก อัฏฐคช ชื่อ ดามพหัสดินทร์ สมโภชขึ้นระวาง ณ โรงช้างต้นสวนจิตรลดา พระราชวังสวนดุสิต เมื่อวันที่  25 มิถุนายน พ. ศ. 2520 ทรงพระราชทานนามว่า "พระเศวตสศทธวิลาศ อัฏฐคชชาตพิษณุพงศ์ดำรงประภาพมหิมัน  ตามรพรรณไพศิษฎ์ ผลิตวรุตตมมงคล ดาลศุภผลสวัสดิวิบุล อดุลยลักษณเลิศฟ้า


6. พระวิมลรัตนกิริณีฯ
           เป็นช้างพังเผือก  ลูกเถื่อน ชื่อ ขจร นายปรีชาและนางพิมพ์ใจ   วารวิจิตร ได้น้อมเกล้าฯ ถวายเป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์ จำพวก อัฏฐทิศ ชื่อ กมุท  สมโภชขึ้นระวาง  ณ โรงช้างต้น สวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต  เมื่อวันที่ 25  มิถุนายน พ.ศ. 2520 พระราชทานนามว่า " พระวิมลรัตนกิริณี กมุทศรีพรรณโศภิต  อัฏฐพงศ์กมลาสน์  อรรคราชทิพยพาหน ถกลกิตติคุณกำจร อมรสารเลิศฟ้า"  ปัจจุบันนำไปยืน  ณ โรงช้างต้น พระตำหนักภูพานราชนิเวศน์ จ.สกลนคร 

7. พระศรีนรารัฐราชกิริณีฯ
            เป็นช้างพังเผือก ลูกเถื่อนชื่อ จิตรา เป็นลูกช้างพลัดแม่ที่เทือกเขากือซา โดยนายมายิ   มามุ พบเห็นเข้า เป็นช้างสำคัญในตระกูลพรหมพงศ์จำพวกอัฐทิศ ชื่อ อัญชัน สมโภชขึ้นระวาง ณ จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2520 พระราชทานนามว่า" พระศรีนรารัฐราชกิริณี จิตรวดีโรจนสุวงศ์  พรหมพงศ์ อัฐทิศพิศาล พิเสฐธารธรณิพิทักษ์  คุณารักษกิตติกำจร อมร


8. พระเศวตภาสุรคเชนทร์ฯ
           เป็นช้างพลายลูกเถื่อน ชื่อเดิม ภาศรี  เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์จำพวกอัฏฐคช ชื่อ ดามพหัสดินทร์  น้อมเกล้าฯ ถวายขึ้นระวางที่โรงพระราชพิธี  จังหวัดเพชรบุรี เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2521 พระราชทานนามว่า "  พระเศวตภาสุรคเชนทร์ นวเมนทรพาหน สุทธวิมลวิษณุพงศ์ คุณธำรงดามพหัสดินทร์ สุพัชรินทร์อนันตพล คชมงคลเลิศฟ้า" 

9. พระเทพรัตนกิริณีฯ
           เป็นช้างพังเผือก ลูกเถื่อน ชื่อเดิม ขวัญตา เป็นช้างที่เจ้าอาวาสเลี้ยงที่วัดจังหวัด เพชรบุรี เป็นช้างสำคัญในตระกูลวิษณุพงศ์ จำพวกอัฎฐคช ชื่อ ดามพหัสดิน น้อมเกล้าฯ ถวายขึ้นระวางพระราชทานนามว่า  " พระเทพรัตนกิริณี ดามพหัสดีพิษณุพงศ์ โสตถิธำรงวิสุทธิลักษณ์ อำนรรฆคุณสบสกนธ์ วิมลสารโสภิต วิบูลกิตติ์เลิศฟ้


10. นัขทัศ
           ช้างพลายเผือก เล็บครบ ลูกเถื่อน ชื่อเดิม ดาวรุ่ง เป็นของเจ้าอาวาส ในจังหวัดเพชรบุรี เป็นช้างสำคัญในตระกูล วิษณุพงศ์ จำพวก อัฎฐคช ชื่อ ครบกระจอก เป็นช้างที่มีเล็บครบ  คือ เท้าละ 5 เล็บ ทั้ง 4  เท้า ครบ 20 เล็บ สมโภชขึ้นระวาง  ณ  จังหวัดเพชรบุรี  เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2521 พระราชทานนามว่า " นขทัศ  วัชรพาหน พิษณุพงศ์  โสตถิธำรงอัฎฐคช ดิเรกยศอนันตคุณ อดุลสารเลิศฟ้า"

 

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #24 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:41:14 PM »



พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดช (ขวา) สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี (กลาง) และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล กรมพระยาชัยนาทนเรนทร ทรงฉายใน พ.ศ. 2481 โดยสามารถเห็นผู้ทรงฉายฉายาลักษณ์ได้ในกระจกด้านหลัง


ทรงตั้งพระราชสัตยาธิษฐาน ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก


ทรงฉายฉายาลักษณ์ร่วมกับสมเด็จพระราชินีสิริกิติ์ในวันราชาภิเษกสมรส


ทรงรับบาตร ขณะทรงผนวช
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #25 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:46:34 PM »

รอยพระบาทรัชกาลที่ 9

ประวัติความเป็นมา


รอยพระบาทรัชกาลที่ 9 ประดิษฐานอยู่ในศาลารอยพระบาท ค่ายเม็งรายมหาราช อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานประทับรอยพระบาทลงแผ่นปูนพลาสเตอร์ ณ ฐานปฏิบัติการดอยพญาพิทักดิ์ บนสันดอยยาว อำเภอเทิง จังหวัดเชียงราย เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2525 เพื่อเป็นที่ระลึกในวีรกรรมทหารกล้าที่ร่วมกันปราบปรามกลุ่มขยวนการ ผกค. และได้อัญเชิญมาประดิษฐานในค่ายเม็งรายมหาราช

ปัจจุบัน พสกนิกรชาวจังหวัดเชียงรายทุกหมู่เหล่าได้พร้อมใจกันสร้างศาลารอยพระบาทหลังใหม่ ตั้งอยู่บนดอยโหยด ภายในบริเวณค่ายเม็งรายฯ ซึ่งเมื่อเสร็จเรียบร้อยแล้วจะได้ทำพิธีเปิดพร้อมกับอัญเชิญรอยพระบาทฯ ไปประดิษฐานไว้ที่นี่

การเดินทาง

ค่ายเม็งรายมหาราช อยู่บนถนนหน้าค่าย ทางไปหาดเชียงรายและไร่แม่ฟ้าหลวง เปิดให้ประชาชนเข้าสักการะรอยพระบาท ทุกวัน ระหว่างเวลา 08.00 - 16.30 น. โปรดแต่งกายสุภาพ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ กองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 17 โทรศัพท์ 0 537 1205 หรือ จังหวัดทหารบกเชียงราย โทรศัพท์ 0 5371 1202


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #26 เมื่อ: ธันวาคม 04, 2009, 10:50:48 PM »







บันทึกการเข้า

finghting!!!
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #27 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2009, 07:25:13 PM »



"ในหลวง" และหลัก10ประการ

แถลงการณ์ของสำนักราชเลขาธิการถึงการพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษา พุทธศักราช 2552 ว่า ในเช้าวันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม 2552 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จออกมหาสมาคม ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เป็นข่าวที่ทำให้หัวใจคนไทยเบิกบานด้วยความปลื้มปีติ อีกครั้ง

เป็นความเบิกบานยินดีเหมือนทุกครั้งที่ได้ยินข่าวดีเ กี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่เฝ้าติดตามพระอาการ 2 เดือนกว่ามานี้

ทั้งสะท้อนถึงความรักและความผูกพันระหว่างประชาชนกับ กษัตริย์ที่มีมายาวนานตั้งแต่ทรงพระเยาว์

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูอดุลยเดช ทรงพระราชสมภพเมื่อวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ.2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น เมืองเคมบริดจ์ รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา

ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ 3 ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม ราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี (หม่อมสังวาลย์)

มีพระเชษฐภคินี คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา ต่อมาได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ และเชษฐาธิราช คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8

เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จสวร รคตในวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูอดุลยเดช เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ สืบต่อจากเชษฐาธิราช เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชจักรีวงศ์ มาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 63 ปี
 


ทรงเป็นที่รักของประชาชน จากการที่ทรงทุ่มเทพระวรกาย พระสติปัญญา พระอัจฉริยภาพ และพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจ เพื่อยกระดับสภาพความเป็นอยู่และพัฒนาคุณภาพชีวิตพสก นิกร โดยเสด็จพระราชดำเนินไปยังท้องที่ต่างๆ พร้อมทอดพระเนตรพื้นที่เหล่านั้น เพื่อรับทราบปัญหาด้วยพระองค์เอง

ทรงมีหลัก 10 ประการ ที่ทรงยึดถือปฏิบัติในการมีพระราชวินิจฉัยแก้ปัญหา และเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับคนไทยได้ปฏิบัติตาม ได้แก่

1. ทำงานอย่างผู้รู้จริงและมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ ทรงเน้นการเป็นผู้รู้จริง ก่อนที่จะทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเพื่อประชาชนในทุก เรื่อง ทรงศึกษาหาความรู้เป็นอันดับแรก โดยทรงค้นคว้าจากเอกสารต่างๆ อย่างละเอียด เมื่อพร้อมแล้วจึงค่อยลงมือทำ ทุกคนจึงควรเป็นผู้รู้จริงในการทำงานเพื่อให้ผลงานเป ็นที่ยอมรับและบังเกิดผลดีต่อทุกฝ่าย

2. มีความอดทน มุ่งมั่น ยึดธรรมะและความถูกต้อง ทุกข์ที่เข้ามา สุขที่เข้ามา เราก็รับด้วยใจสงบ ไม่ตื่นเต้นหรือกังวลกับสิ่งที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ หากเกิดปัญหา เราก็ทำจิตใจให้รู้สึกท้าทายกับปัญหานั้น เห็นปัญหาแล้วกระโดดเข้าใส่ เป็นการท้าทายสติปัญญา อย่ากลัว และละลายปัญหาจากเรื่องยากเป็นเรื่องง่าย

 


3. ความอ่อนน้อมถ่อมตน เรียบง่ายและประหยัด ทรงใช้การแก้ไขปัญหาด้วยธรรมชาติ ราษฎรทำได้เอง หาได้ในท้องถิ่น โดยไม่ต้องลงทุนสูงหรือใช้เทคโนโลยีให้ยุ่งยาก

4. มุ่งประโยชน์คนส่วนใหญ่เป็นหลัก เมื่อส่วนรวมได้ประโยชน์ คนส่วนรวมก็ต้องช่วยคนกลุ่มเล็กที่เสียสละอย่างเต็มท ี่

5. รับฟังความเห็นของผู้อื่นและเคารพความคิดที่แตกต่าง ทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินไปในพื้นที่ต่างๆ จะทรงถามถึงความต้องการของประชาชน ความสมัครใจและให้ตกลงกันเองในกลุ่มที่จะได้รับประโย ชน์และกลุ่มที่ต้องเสียสละในขณะนั้นเลย จากนั้นจะทรงเรียกผู้นำท้องถิ่นมารับทราบและดำเนินกา รในเชิงบริหารและวิชาการต่อไปจนเสร็จสิ้นโครงการ

6. มีความตั้งใจจริงและขยันหมั่นเพียร ทรงมุ่งมั่นในเรื่องที่ทรงปฏิบัติมาก

7. มีความสุจริตและความกตัญญู ทรงแสดงให้ประจักษ์ในเรื่องของความกตัญญูต่อพระราชมา รดา และความสุจริตต่อแผ่นดิน และต่อสิ่งต่างๆ ที่เป็นประโยชน์โดยเฉพาะส่วนรวม ทรงเตือนให้ยึดสิ่งนี้ไว้เพราะเป็นเรื่องที่จำเป็นมี ความสำคัญและมีคุณค่ายิ่ง

8. พึ่งตนเอง ส่งเสริมคนดีและคนเก่ง ทรงสอนให้ชาวไทยสามารถดำรงชีวิตด้วยตนเองได้ และต้องช่วยเหลือเกื้อกูลกันเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ ายชุมชนที่แข็งแรง และยึดหลัก พออยู่ พอกิน พอใช้ หรือตามทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียงที่พระราชทานให้แก่ประชา ชนไทยให้อยู่ได้ด้วยตนเองในระดับพื้นฐาน

9. รักผู้อื่น ครั้งหนึ่งมีรับสั่งกับดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ว่า คนที่รับราชการ ซึ่งถือว่ารับงานของราชามาทำต่อ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ต้องรักประชาชนและทำงานเพื่อประชาชน เฉกเช่นเดียวกับพระองค์

10. การเอื้อเฟื้อซึ่งกันและกัน ต้องรู้จักเสียสละเพื่อส่วนรวม ดังที่พระราชทานพระราชดำรัสแก่คนไทยว่า "...สังคมใดก็ตาม ถ้ามีความเอื้อเฟื้อเกื้อกูลกันด้วยความมุ่งดี มุ่งเจริญต่อกัน สังคมนั้นย่อมเต็มไปด้วยไมตรีจิตร มิตรภาพ มีความร่มเย็นเป็นสุข น่าอยู่..."


ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระชนมาย ุครบ 82 พรรษา ในวันที่ 5 ธันวาคม 2552 รัฐบาล และหน่วยงานของราชการ เอกชน และประชาชนพร้อมใจกันจัดงานเฉลิมฉลองเพื่อเฉลิมพระเก ียรติ ในหลายสถานที่ ทั้งลานรูปฯ ถนนราชดำเนิน สวนลุมพินี ตลอดต้นเดือนธันวาคม

ซึ่งจะเป็นเทศกาลแห่งความสุขของคนไทย หลังจากตึงเครียดจากสถานการณ์ต่างๆ มาอย่างยาวนาน

แต่งานเฉลิมฉลองจะยิ่งใหญ่ยาวนานปานใด ก็ไม่สามารถบรรยายพระกรณียกิจ และน้ำพระราชหฤทัยที่มีต่อพสกนิกรได้ครบถ้วน

ทรงพระเจริญ

บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #28 เมื่อ: ธันวาคม 07, 2009, 07:28:37 PM »


ประวัติ วันพ่อแห่งชาติ


ความเป็นมาของวันพ่อแห่งชาติ

วันพ่อแห่งชาติ ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรก เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2523 โดยคุณหญิงเนื้อทิพย์ เสมรสุต นายกสมาคมผู้อาสาสมัครและช่วยการศึกษาเป็นผู้ริเริ่ม

หลักการและเหตุผลในการจัดตั้งวันพ่อแห่งชาติ

โดยที่พ่อเป็นผู้มีพระคุณมีบทบาทสำคัญต่อครอบครัวและ สังคม สมควรที่ผู้เป็นลูกจะเคารพเทิดทูนตอบแทนพระคุณด้วยคว ามกตัญญู และสมควรที่สังคมจะยกย่องให้เกียรติรำลึกถึงผู้เป็นพ ่อ จึงถือเอาวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาเป็น ?วันพ่อแห่งชาติ? ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท ี่ทรงมีต่อพสกนิกรชาว ไทยอย่างนานัปการ ทรงเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระราชธิดาทรงรักใ คร่และห่วงใยตั้งแต่พระ เยาว์จนถึงปัจจุบันรวมทั้งพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าโส มสวลีพระวรราชาทินัดดา มาตุ เรืออากาศเอกวีรยุทธ ดิษยศริน พระสวามีในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์วลัย ลักษณ์และพระเจ้าหลาน เธอทุกพระองค์ ต่างซาบซึ้งและปลาบปลื้มในพระมหากรุณาธิคุณอย่างมิรู ้ลืม พระองค์ทรงเป็น ?พ่อ? ตัวอย่างของปวงชนชาวไทยที่เปี่ยมล้นด้วยพระเมตตากรุณ า ทรวงห่วงใยอย่างหาที่เปรียบมิได้ ดังบทร้อยกรองเทิดพระเกียรติว่า

?อันราชาเลี้ยงรักษาซึ่งทวยราษฎร์ ประดุจเป็นปิตุราชอยู่ทุกเมื่อ
ควรที่บุตรสุดรักจักจุนเจือ พระคุณนั้นให้อะเคื้อด้วยภักดี


และอีกบทหนึ่งเทิดพระเกียรติว่า
?ทุกบุปผามาลัยคือใจราษฎร์ ภักดีบาทองค์บพิตรเป็นนิจสิน
พระคือบิดาข้าแผ่นดิน ร่วมร้อยรินมาลัยถวายพระพร
ลุ 5 ธันวามหาราช ?วันพ่อแห่งชาติ? คือองค์อดิเรก
พระเปี่ยมล้นด้วยเมตตาเอื้ออาทร พสกนิกรเป็นสุขทุกคืนวัน?

ซึ่ง นอกจากพระองค์จะเป็นพระราชบิดาของพระราชโอรสและพระรา ชธิดา ทรงทะนุบำรุงพระราชโอรสธิดาด้วยความรัก และทรงอบรมอนุศาสน์ให้ทรงเจริญวัยสมบูรณ์ และทรงบำเพ็ญคุณานุประโยชน์แก่ประเทศชาติและประชาชน เจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทแล้ว พระองค์ยังทรงพระมหากรุณาทะนุบำรุงจัดทุกข์ผดุงสุขพส กนิกรถ้วนหน้า พระองค์ทรงเป็น ?พ่อแห่งชาติ? ที่อาณาประชาราษฎร์เทิดทูนด้วยความจงรักภักดี สำนักในพระมหากรุณาธิคุณ และยึดมั่นในการเจริญรอยตามเบื้องพระยุคลบาทในการทะน ุบำรุงชาติบ้านเมืองให้ วัฒนาถาวรสืบไป


ดอกพุทธรักษา สัญลักษณ์วันพ่อแห่งชาติ


คณะกรรมการจัดงานวันพ่อแห่งชาติได้กำหนดให้ดอกพุทธรักษาดอกไม้ที่มีนามเป็นมงคลนี้เป็นสัญลักษณ์


วัตถุประสงค์ของการจัดวันพ่อแห่งชาติ


1. เพื่อเทิดทูนพระเกียรติคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัว
2. เพื่อเทิดทูนพระคุณของพ่อ และยกย่องบทบาทของพ่อที่มีต่อครอบครัวและสังคม
3. เพื่อให้ลูกได้แสดงความกตัญญูต่อพ่อ
4. เพื่อให้ผู้เป็นพ่อได้สำนึกในหน้าที่และความรับผิดชอ บของตน


กิจกรรมที่ควรปฎิบัติในวันพ่อแห่งชาติ

1. ประดับธงชาติที่อาคารบ้านเรือน
2. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการบำเพ็ญประโยชน์หรือทำบุญใส่บา ตร เพื่ออุทิศส่วนกุศลและระลึกถึงพระคุณพ่อ
3. จัดกิจกรรมเกี่ยวกับการส่งเสริมยกย่องผู้ที่ สมควร ได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อ ตัวอย่าง

วัน ที่ 5 ธันวาคม นอกจากจะเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเ จ้าอยู่หัวพลอดุลย เดช และเป็นวันพ่อแห่งชาติแล้ว ยังถือว่าว่าวันนี้ เป็น ?วันชาติของไทย? อีกด้วย
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ธันวาคม 07, 2009, 07:32:30 PM โดย nokeang » บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
nokeang
Full Member
***
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 720



« ตอบ #29 เมื่อ: ธันวาคม 10, 2009, 02:07:01 PM »

ความเป็นมาวันรัฐธรรมนูญ



วันรัฐธรรมนูญ ตรงกับวันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันที่ระลึกคล้ายวันที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทาน รัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยามฉบับถาวร เพื่อเป็นหลักในการปกครองประเทศตามระบอบประชาธิปไตยใ ห้แก่ประชาชนชาวไทย

ความเป็นมา

การเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ นับว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์การปก ครองของชาติไทย เนื่อง จากเป็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบประชาธิปไตย โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญอ ันเป็นกฎหมายสูงสุดของ ประเทศ

สาเหตุที่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง

๑. พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งจักรีทรงมีพระราชประสงค์ที่จะพระราชทานรั ฐธรรมนูญ เพื่อเป็นหลักในการปกครองของประเทศให้แก่ประชาชนชาวไ ทย

๒. หลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ เศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ผลอันนี้ได้กระทบมาถึงไทยด้วย พระองค์ได้แก้ไขเศรษฐกิจโดยปลดข้าราชการออก ยังความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการ

๓. อิทธิพลจากตะวันตกเกี่ยวกับอุดมการทางการเมือง ทำให้กลุ่มคนหนุ่มต้องการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน

๔. รัฐบาลได้ออกกฏหมายเก็บภาษี อาทิ ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน จากราษฎร

จาก สาเหตุดังกล่าวข้างต้น ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่ข้าราชการทหาร และราษฎรทั่วไปจึงทำให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยการปฏิวัติ มีคณะผู้รักษาการพระนครฝ่ายทหาร ซึ่งประกอบด้วยพันเอก พระยาพหลพยุหเสนา พันเอกพระยาทรงสุรเดช และพันเอกพระฤทธิอาคเนย์ เป็นผู้บริหารประเทศ

วันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวเรียกว่า "พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว" สาระสำคัญของธรรมนูญการปกครองฉบับนี้ได้แก่ การที่กำหนดว่าอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนา จอธิปไตยเป็นของราษฎร ทั้งหลาย การใช้อำนาจสูงสุดก็ให้มีบุคคลคณะบุคคลเป็นผู้ใช้อำน าจแทนราษฎรดังนี้ คือ

๑. พระมหากษัตริย์

๒. สภาผู้แทนราษฎร

๓. คณะกรรมการราษฎร

๔. ศาล

ลักษณะ การปกครองแม้จะเปลี่ยนระบอบการปกครองมาเป็นประชาธิปไ ตยแต่ก็ถือว่าพระมหา กษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ เป็นสถาบันที่ถาวรและมีการสืบราชสมบัติต่อไปในพระราช วงศ์ การปฏิบัติราชการต่างๆ จะต้องมีกรรมการราษฎรผู้ลงนามรับสนองราชโองการ โดยได้รับความยินยอมจากคณะกรรมการราษฎรจึงจะใช้ได้ สถาบันที่เกิดใหม่คือ สภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมีอำนาจทางนิติบัญญัติออกกฎหมายต่างๆ ซึ่งเมื่อพระมหากษัตริย์ลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้แล้ว จึงมีผลบังคับได้ เหตุนี้ในระยะแรกของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สภาผู้แทนจึงเป็นสถาบันที่มีอำนาจสูงสุดในทางการเมือ ง ส่วนการใช้อำนาจตุลาการยังคงให้ศาลยุติธรรมที่มีอยู่ แล้วพิจารณาพิพากษาคดี ให้เป็นไปตามกฎหมายได้ตามเดิม

กระทั่งถึง วันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ได้ พระราชทานรัฐธรรมนูญราชอาณาจักรสยาม ฉบับถาวร ซึ่งมีหลักการต่างกับฉบับแรกในวาระสำคัญหลายประการ อาทิได้เปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นการปกครองแบบรัฐสภา ทั้งนี้เนื่องจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ.๒๔๗๕ ได้บัญญัติให้พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นประมุขไม่ต้องรับผิดชอบทางการเมืองเป็นผู้ใช ้อำนาจทางคณะรัฐมนตรี ซึ่งพระมหากษัตริย์ ทรงแต่งตั้งให้บริหารราชการแผ่นดิน แต่คณะรัฐมนตรีจะต้องรับผิดชอบในการบริหารราชการแผ่น ดินต่อสภาผู้แทน รัฐสภาซึ่งเป็นฝ่ายนิติบัญญัติมิได้ใช้แต่เพียงอำนาจ นิติบัญญัติเท่านั้น แต่มีอำนาจที่จะควบคุมคณะรัฐมนตรีในการบริหารแผ่นดิน ด้วย แต่อย่างไรก็ตาม คณะรัฐมนตรีรวมทั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งประกอบกันเป็นร ัฐบาลก็มีอำนาจที่จะยุบ สภาผู้แทนได้ หากเห็นว่าได้ดำเนินการไปในทางที่จะเป็นภัยหรือเสื่อ มเสียผลประโยชน์สำคัญ ของรัฐที่มีผลเท่ากับถอดถอนสมาชิกสภาที่ได้รับเลือกต ั้งมาเพื่อให้ราษฎร เลือกตั้งใหม่ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์นั้นได้บัญญัติ ว่าพระมหากษัตริย์ดำรง อยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้ ้

รัฐ ธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เป็นเครื่องกำหนดระเบียบแบบแผนของสังคม เพื่อเป็นการระลึกถึงรัฐธรรมนูญฉบับแรก อันเป็นฉบับถาวร และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานให้กับปวงชนชาวไทย ทางราชการจึงกำหนด วันที่ ๑๐ ธันวาคมของทุกปี เป็นวันรัฐธรรมนูญ
 
บันทึกการเข้า

ไม่มีน้ำหนักใด...หนักกว่ากรรม
ไม่มีหนทางใด...ยาวเท่าหนทางแห่งกรรม
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: