ขาลไป –กระต่ายมา...เรื่องน่ารู้รับ "ปีแม้ปี 2553 จะเป็นปีขาลปีแห่งเสือร้าย ที่มาพร้อมกับความสูญเสียของเราหลายต่อหลายเรื่องแต่ อุทกภัยปลายปีที่ผ่านมา ก็ได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสทำให้เราได้เห็นความสามัคคีแ ละ “น้ำใจ”ของคนไทยด้วยกันที่ท่วมท้นกว่ากระแสน้ำหลั่งไ หลไปยังทั่วทุกภาคของ ประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีของปีกระต่ายที่กำลังมาใ นปีพ.ศ. 2554 และเพื่อให้ได้รู้จักกับกระต่ายหรือ
“เถาะ” อัน เป็นปีที่ 4 ของรอบปีนักษัตร (ชวด ฉลู ขาล เถาะ ฯลฯ) ดียิ่งขึ้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกระต่ายมาเล่าสู่กั นฟัง ดังต่อไปนี้
“กระต่าย”สัตว์ หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู ซึ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นโดยทั่วไปนี้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประเภทสัตว์เลือดอุ่น มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของกระต่ายคือมีฟันหน้าบนถึง 4 ซี่ที่เห็นได้ชัด กระต่ายถือกำเนิดมาในโลกเมื่อ 50 ล้านปีมาแล้วบริเวณทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ กระต่ายที่พบเห็นทั่วโลก จะมีอยู่ด้วยกัน 58 ชนิด จัดอยู่ในวงศ์กระต่ายธรรมดา(Leporidae) 44 ชนิด และวงศ์กระต่ายหูสั้น(Ochotonidae)อีก 14 ชนิด กระต่ายธรรมดาจะมีขาหลังที่ยาว ทำให้วิ่งได้เร็ว ใบหูยาวหมุนไปมาได้ และมีหางสั้น ส่วนกระต่ายหูสั้นจะมีขาทั้งคู่หน้าและคู่หลังสั้นพอ ๆกัน ใบหูจะสั้นเป็นมนกลม และจะไม่เห็นหางจากภายนอก
นอกจากนี้ในวงศ์กระต่ายธรรมดายังแบ่งออกเป็นกระต่ายเ ลี้ยง (Rabbit)ซึ่งชอบอยู่กันเป็นฝูง และกระต่ายป่า (Hare)ที่ชอบอยู่โดดเดี่ยว กระต่ายอยู่ในสภาพแวดล้อมได้หลายแบบทั้งเขตร้อนและหน าว อาหารของมันได้แก่หญ้า พืชล้มลุก รากไม้ เปลือกไม้ เป็นต้น กระต่ายมีนิสัยอย่างหนึ่งที่แปลกคือ มันชอบกินขี้ของมันเอง โดยมันจะถ่ายเป็นมูลอ่อนที่มีวุ้นเคลือบออกมาในตอนกล างคืน เมื่อบักเตรีในมูลอ่อนทำปฏิกิริยากับอากาศก็จะสร้างว ิตามินบางชนิดที่จำเป็น ต่อสุขภาพกระต่ายขึ้นมา
พอตอนเช้ามันก็จะกินมูลอ่อนนี้เข้าไป เพราะถ้ามันไม่กิน มันก็จะตายภายในเวลาไม่นาน โดยทั่วไปกระต่ายจะมีอายุประมาณ 10 ปี มันเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก ดังนั้น นอกจากจะเลี้ยงไว้ขายเพื่อดูเล่นแล้ว ยังมีผู้เลี้ยงกระต่ายเพื่อเอาเนื้อและขนไปขายอีกด้ว ย ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันได้แก่ พันธุ์เท็ดดี้แบร์ มินิล็อป อังโกล่าล็อป นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ดวาร์ฟ ไลออนด์เฮด และเจอรี่วู๊ดดี้ เป็นต้น
จากกระต่ายจริงมาสู่นิทานเกี่ยวกับกระต่ายที่คนส่วนใ หญ่รู้จักกันดี นั่นคือ นิทานอีสปเรื่อง “เต่ากับกระต่าย”ที่กล่าวถึงกระต่ายตัวหนึ่งได้ท้าวิ ่งแข่งกับเต่า ด้วยคิดว่าเต่านั้นคลานต้วมเตี้ยมไม่มีวันชนะตนได้แน ่ ดังนั้น เมื่อถึงวันวิ่งแข่ง กระต่ายที่วิ่งนำไปก่อน จึงเกิดความชะล่าใจ หยุดพักผ่อนนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ โดยคิดว่ากว่าเจ้าเต่าจะมาถึง มันก็สามารถวิ่งนำไปได้อีก แต่เอาเข้าจริง เจ้ากระต่ายจอมประมาท ก็นอนเพลิน จนเต่าน้อยสามารถคลานไปถึงเส้นชัยก่อนจนได้ เรื่องนี้จบด้วยคติสอนใจที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อันสะท้อนให้เห็นว่า หากคนเรามีความมานะพยายามแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ย่อมเป็นไปได้ เช่นเดียวกับเต่าที่สามารถชนะกระต่าย
นิทานชาดกอีกเรื่องที่เราได้เรียนกันมาแต่เล็กๆคือเร ื่อง “กระต่ายตื่นตูม” ที่พูดถึงสมัยพระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ใ นป่าใหญ่แห่งหนึ่ง กาลครั้งนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล ้ต้นมะตูม วันหนึ่งเจ้ากระต่ายออกไปเที่ยวหากินจนอิ่ม จึงมานอนพักอยู่ในใต้ต้นตาลดังกล่าว ขณะที่มันกำลังนอนเพลินๆนั้นเอง ผลมะตูมสุกได้หล่นลงไปถูกใบตาลแห้งเสียงดังสนั่นหวั่ นไหว เจ้ากระต่ายตกใจคิดว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม มันจึงร้องสุดเสียงว่า “แผ่นดินถล่มแล้วๆ”พร้อมกระโดดวิ่งหนีไปสุดชีวิต โดยไม่ได้เหลียวหลังมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น สัตว์อื่นๆเมื่อเห็นมันวิ่งหนี และได้ทราบจากมันว่าเกิดแผ่นดินถล่ม ก็วิ่งเตลิดไปตามๆกัน จนเกือบจะตกหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว
ดีแต่ว่าสัตว์ทั้งหลายได้วิ่งไปเจอราชสีห์เสียก่อน ราชสีห์จึงถามถึงสาเหตุ เมื่อทราบว่ามาจากกระต่ายตัวแรกที่วิ่งหนีมา จึงพากันไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ แล้วก็พบความจริงว่าเกิดจากผลมะตูมที่หล่นลงมา ราชสีห์จึงกลับมาบอกความจริงแก่สัตว์ทั้งหลาย ทำให้พวกมันหายตื่นกลัว นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยคำสอนที่ว่า “ก่อนจะเชื่อใคร ควรจะพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงให้รอบคอบเสียก่อน” นอกจากกระต่ายในนิทานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เราคุ้นเคยมาแต่เด็ก ก็คือ
“กระต่ายในดวงจันทร์” ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งน่าแปลกที่ว่าไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่จินตนา การเห็นหลุมอุกกาบาตที่ ว่าเป็นรูปกระต่าย แต่ยังมีอีกหลายชาติที่มองเห็นเป็นรูปกระต่ายเหมือนก ัน เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น เป็นต้น จนต่างก็มีตำนานเล่าถึงเรื่องดังกล่าวต่างๆกันไป
แม้แต่ไทยเราเองก็เช่นกัน เช่น บางแห่งก็เล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้หลงทางอยู่กลางป่า ต้องอดอาหาร มาพบกระต่ายตัวหนึ่งที่ได้ถวายตัวเป็นอาหารแด่พระพุท ธเจ้าโดยกระโดดเข้ากอง ไฟ แต่พระพุทธองค์ได้แสดงบุญญาภินิหารช่วยชีวิตกระต่ายข ึ้นจากไฟ แล้วนำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์ อีกเรื่องหนึ่งก็เล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นกระต่าย ได้ยอมพลีร่างกายเป็นอาหารแก่สัตว์ที่กำลังอดอยากหิว โหย อีกเรื่องหนึ่งก็ว่า พระโพธิสัตว์กระต่ายได้ทรงสละเนื้อตัวเองแก่พระอินทร ์ที่แปลงร่างเป็น พราหมณ์มาขอบริจาคทาน พระอินทร์จึงได้วาดรูปกระต่ายลงบนดวงจันทร์เพื่อให้ท ุกคนได้มองเห็น และรำลึกถึงคุณความดี ตลอดจนความเสียสละตนของกระต่าย
ตามตำราพรหมชาติ ฉบับหลวง กล่าวถึงคนเกิดเถาะว่า เป็นพวกธาตุไม้ พระพุธเป็นปาก การเจรจาจึงเป็นที่ชอบใจของผู้ใหญ่ พระศุกร์เป็นใจ ทำให้มักโกรธง่าย แต่กล้าหาญ ชอบอาสาเจ้านาย พระจันทร์เป็นที่นั่ง จึงทำให้ใฝ่ใจในกามารมณ์ พระพฤหัสบดีและพระเสาร์เป็นมือ ส่งผลให้ทำการงานเรียบร้อย รักสวยรักงาม เจ้าระเบียบ
พระอาทิตย์กับพระอังคารเป็นเท้า จึงชอบท่องเที่ยวเดินทางไกล เพื่อแสวงหาความรู้และประสบการณ์ ส่วนตำราจีนก็ว่าผู้ที่เกิดปีนี้ชอบมีมิตรสหาย ชอบสังคม มีความสุขเมื่ออยู่กับเพื่อน โดยธาตุแท้เป็นคนยอมจำนนง่าย ไม่ชอบดิ้นรน ไม่ชอบการเผชิญหน้าที่รุนแรง แต่หากเจออันตราย ก็สามารถแสดงความกล้าหาญได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และมีวิจารณญาณในการมองนิสัยคนได้อย่างยอดเยี่ยม
ในปัจจุบันมีคนนิยมไปไหว้พระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิดตา มจังหวัดต่างๆมากขึ้นพอๆกับการไหว้พระเก้าวัด
ซึ่งพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีกระต่าย คือพระธาตุแช่แห้ง อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดน่าน ตามพงศาวดารเมืองน่านได้กล่าวว่า เจ้านครน่านได้อัญเชิญสารีริกธาตุจากกรุงสุโขท ัยมาประดิษฐานไว้ที่ดอย ภูเพียงแช่แห้งโดยมีตำนานเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับสรงน้ำที่ ริมฝั่งแม่น้ำน่านที่ บ้านห้วยไค้และได้เสวยผลสมอแห้ง ที่พระยามลราชนำมาถวาย แต่ผลสมอนั้นแห้งมาก จึงทรงนำผลสมอไปแช่น้ำก่อนเสวย พร้อมทรงพยากรณ์ไว้ว่า ต่อไปที่นี่จะมีสารีริกธาตุมาประดิษฐาน จึงได้เรียกพระสถูปที่ประดิษฐานสารีริกธาตุแห่ งนี้ว่า “พระธาตุแช่แห้ง"
ซึ่งเรื่องพระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิดนี้เป็นคติความเช ื่อดั้งเดิมของ ชาวล้านนา ที่เชื่อว่าก่อนที่วิญญาณใดจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของผู้ เป็นมารดา วิญญาณนั้นจะต้องลงมาพักที่เจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่งก่อ น โดยมีสัตว์ประจำนักษัตรพามาพักไว้ และเมื่อได้เวลาดวงวิญญาณก็จะเคลื่อนออกจากพระเจดีย์ ไปสถิตอยู่บนกระหม่อม ของผู้เป็นบิดาเป็นเวลา7 วัน ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ท้องของมารดาต่อไป และเมื่อเสียชีวิต ดวงวิญญาณนั้นก็จะกลับมาพักที่เจดีย์นั้นๆตามเดิม ด้วยเหตุนี้ ทางล้านนาจึงเชื่อว่า บุคคลที่เกิดปีนักษัตรใดก็ตาม สมควรที่จะหาโอกาสไปกราบไหว้พระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิ ดอย่างน้อยครั้งหนึ่งใน ชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นอานิสงส์ให้อายุยืน ตายแล้วย่อมไม่ไปสู่ทุคติภพแน่นอน
นอกเหนือไปจากความเชื่อข้างต้นแล้ว ยังมีการนำรูป “กระต่าย”ไปเป็นตราสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆอีกด้วย เช่น นายฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ผู้ก่อตั้งนิตยสารเพลย์บอย ได้ใช้รูปกระต่ายสวมชุดทักซิโดเป็นโลโก้ของหนังสือฉบ ับนี้ โดยต้องการสื่อความหมายถึงความเซ็กซี่ ซุกซน และสนุกสนานตามสไตล์หนุ่มเจ้าสำราญ ซึ่งชุดดังกล่าวจะมีผ้าผูกคอ ที่ผูกเป็นโบสั้นๆ มีสองชายอย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bow tieแต่ไทยเราเรียกว่า “โบหูกระต่าย” ด้วยในประเทศไทยมีจังหวัดที่ใช้กระต่ายเป็นสัญลักษณ์ ได้แก่ จังหวัดจันทบุรีใช้รูปกระต่ายในดวงจันทร์ เป็นเครื่องหมายประจำเมือง ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชมีเครื่องหมายประจำจังหวัดเ ป็นรูปพระธาตุเปล่ง รัศมี ล้อมรอบด้วยสิบสองนักษัตร ซึ่งแทน 12 เมืองขึ้นของนครศรีธรรมราชใน สมัยโบราณ เช่น ใช้ปีชวด-หนู แทนเมืองสายบุรี ปีฉลู-วัว แทนเมืองปัตตานี ปีขาล-เสือ แทนเมืองกะลันตัน และปีเถาะ-กระต่ายแทนเมืองประหังเป็นต้น
นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆที่ใช้กระต ่ายเป็น สัญลักษณ์อีก เช่นยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน ของบริษัทห้างยาไทย 1942 จำกัด อันเป็นยาพวกแก้ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้องที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีมา ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ของเราจนถึงปัจจุบัน และที่โด่งดังไม่แพ้กันแต่เป็นอดีตไปแล้วก็คือ บเสียงและแผ่นเสียงตรากระต่าย ของนายต.เง็กชวน ธันวารชร ซึ่งได้ใช้รูปกระต่าย(อันปีเกิดของเขา)
ยืนอยู่บนแผ่นเสียงเป็นเครื่องหมาย
สำหรับ “กระต่ายขูดมะพร้าว”ซึ่งเคยเป็นอุปกรณ์คู่ครัวมาแต่โ บราณ ใช้ในการขูดมะพร้าวที่ยังไม่ได้กะเทาะออกจากกะลาเพื่ อทำอาหาร ปัจจุบันเราแทบจะไม่ได้เห็นกันแล้ว เพราะสาวยุคใหม่สามารถหาซื้อกระทิบรรจุกล่องได้ แต่กระนั้นก็เชื่อว่าหลายคนคงจะหวนหากระต่ายขูดมะพร้ าวอีกครั้ง เมื่อได้ชมหนังเรื่อง “แม่เบี้ย”ที่มีมะหมี่ นภคปภา นาคประสิทธิ์ทำท่าเซ็กซี่ขูดมะพร้าวยั่วพระเอกในเรื่ องเมื่อหลายปีก่อน
สำนวน ภาษิตและคำพังเพยเกี่ยวกับกระต่ายก็มีอยู่หลายสำนวนไ ด้แก่ กระต่ายตื่นตูมใช้เปรียบเทียบกับคนที่แสดงอาการตื่นต กใจง่าย
โดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้เสียก่อน /กระต่ายสามขาหมายถึง การยืนกรานไม่ยอมรับ บางแห่งก็ใช้กระต่ายขาเดียว /กระต่ายหมายจันทร์หมายถึง ผู้ชายที่หมายปองหญิงสาวที่มีฐานะดีกว่าตน /ยิงกระต่ายหมายถึง การจอดรถเพื่อแวะไปปัสสาวะข้างทาง(ใช้กับผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงมักใช้คำว่าไปเก็บดอกไม้) /หนวดเต่าเขากระต่ายหมายถึง ของดีของวิเศษที่หาได้ยากหรือหาไม่ได้เลย /กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนหมายถึงคนที่เต็มไปด้วยมายาเล่ห ์เหลี่ยม ภายหลังคำนี้ได้เพี้ยนไปเป็น “ไก่แก่แม่ปลาช่อน”ที่หมายถึงหญิงค่อนข้างมีอายุที่ม ีมารยา เล่ห์เหลี่ยมและมีจริตกิริยาจัดจ้าน
ส่วนคนดังหรือบุคคลสำคัญที่เกิดปีกระต่าย ได้แก่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อปี พ.ศ.2422 เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการวิท ยาศาสตร์และมีผลงาน มากกว่า 300 ชิ้น เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ เมื่อปีพ.ศ.2464 และแม้เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจไปตั้งแต่ปีพ.ศ. 2498 แต่ในปีพ.ศ.2542 นิตยสารไทม์ได้ยกย่องให้เขาเป็น “บุรุษแห่งศตวรรษ”ปัจจุบันคำว่า “ไอน์สไตน์”เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็น“ อัจฉริยะ”
ในประเทศไทยมีศิลปินแห่งชาติที่เกิดปีเถาะหรือกระต่า ย จำนวน 10 คน ได้แก่ ดร.สุเมธ ชุมสายณ อยุธยา(ด้านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย) นายวิเชียร
คำเจริญหรือครูลพ บุรีรัตน์ (ด้านนักแต่งเพลงลูกทุ่ง) ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์(ด้านดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) นางผ่องศรี วรนุช(ด้านนักร้องลูกทุ่ง)
นายสำราญ เกิดผล(ด้านดนตรีไทย) นางเจริญใจ สุนทรวาทิน(ด้านคีตศิลป์) นายถวัลย์ ดัชนี(ด้านจิตรกรรม) นายอาจินต์ ปัญจพรรค์(ด้านวรรณศิลป์)นายสมเศียร พานทองหรือชาย เมืองสิงห์ (ด้านนักร้อง-นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) และศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำ(ด้านภูมิสถาปัตยกรรม) และที่พิเศษคือ ศาสตราจารย์ (พิเศษ)ประกิต บัวบุศย์ศิลปินแห่งชาติ (ด้านจิตรกรรม)ที่แม้จะมิได้เกิดปีกระต่าย แต่ในปีเถาะนี้ท่านจะมีอายุครบ 100 ปีในวันที่ 5 เมษายน 2554
และสุดท้ายบุคคลที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยที่ทรงพระ ราชสมภพในปีเถาะ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดใน ประวัติศาสตร์ชาติไทย และยาวนานที่สุดในโลก นับตั้งแต่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชา วสยาม”ที่แสดงถึงพระราช ปณิธานอันแน่วแน่ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ใต้ร่มพระบร มโพธิสมภารแล้ว นับแต่นั้นมา ประชาชนชาวไทยก็ได้เห็นพระองค์ทรงอุทิศพระวรกายและพร ะวิริยะอุตสาหะในการ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่มาโดยตลอดพระชนม์ชีพ
พระอัจฉริยภาพในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านชลประทาน การเกษตร สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งด้านศิลปวัฒนธรรมล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่ชา วไทยและชาวต่างประเทศ นอกจากนี้โครงการในพระราชดำรินับพันโครงการก็ยังผลให ้ราษฎรของพระองค์อยู่ดี กินดียิ่งขึ้น
ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระช นมพรรษาครบ 84 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 อันตรงกับปีนักษัตรพระราชสมภพนี้
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมจึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล ่าได้น้อมจิตอธิษฐาน ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเพื่อให้บ้านเมืองข องเรากลับมาปกติสุข และเป็นผืนแผ่นดินที่ให้ความร่มเย็นแก่ลูกหลานของเรา สืบต่อไปในอนาคต
เรียบเรียงโดย ทัศชล เทพกำปนาท กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม