Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75602 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 3 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #60 เมื่อ: กันยายน 03, 2010, 09:06:27 AM »

superbrain

อ่านมาแล้วน่าสนจัยเลยเอามาฝากค่ะ

http://homeopathyplus.com./poor-memory-can-be-improved-by-one-simple-exercise/

ลองเข้าไปฟังดูน๋ะค้ะ Wink
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #61 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 10:07:29 AM »

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว



พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ฯ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระพุทธเจ้าหลวง ทรงเป็นที่ 5 แห่ง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู 20 กันยายน พ.ศ. 2396 เป็นพระราชโอรสองค์ที่ 9 ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และเป็นที่ 1 ในสมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี เสวยราชสมบัติ เมื่อวันพฤหัสบดี เดือน 11 ขึ้น 15 ค่ำ ปีมะโรง (พ.ศ. 2411) รวมสิริดำรงราชสมบัติ 42 ปี เสด็จสวรรคต เมื่อวันเสาร์ เดือน 11 แรม 4 ค่ำ ปีจอ (23 ตุลาคม พ.ศ. 2453) ด้วยโรคพระวักกะ รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา

พระองค์ทรงปกครองอาณาประชาราษฎร ให้ร่มเย็นเป็นสุข ทรงโปรดการเสด็จประพาสต้น เพื่อให้ได้ทรงทราบถึงความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร ทรงสนพระทัยในวิชาความรู้ และวิทยาการแขนงต่าง ๆ อย่างกว้างขวาง และนำมาใช้บริหารประเทศให้ เจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว พระองค์จึงได้รับถวายพระราชสมัญญานามว่า สมเด็จพระปิยมหาราช และมีความหมายว่า พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน




 
ครองราชย์ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2411
ระยะครองราชย์ 42 ปี
ก่อนหน้า พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ถัดไป พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดประจำ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม

ข้อมูลส่วนพระองค์
พระราชสมภพ 20 กันยายน พ.ศ. 2396
วันอังคาร เดือน 10 แรม 3 ค่ำ ปีฉลู
สวรรคต 23 ตุลาคม พ.ศ. 2453
รวมพระชนมพรรษา 58 พรรษา

พระราชบิดา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชมารดา สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินี
พระมเหสี สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ ราชชนนีพันปีหลวง
พระราชโอรส/ธิดา 77 พระองค์




พระราชนิพนธ์

ทรงมีพระราชนิพนธ์ ทั้งหมด 10 เรื่อง
ไกลบ้าน
เงาะป่า
นิทราชาคริต
อาบูหะซัน
พระราชพิธีสิบสองเดือน
กาพย์เห่เรือ
คำเจรจาละครเรื่องอิเหนา
ตำรากับข้าวฝรั่ง
พระราชวิจารณ์จดหมายเหตุความทรงจำของกรมหลวงนรินทรเทวี
โคลงบรรยายภาพรามเกียรติ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 23, 2010, 10:21:45 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #62 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 10:25:10 AM »


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #63 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 10:32:57 AM »

คาถาบูชาสมเด็จพระปิยมหาราช (ที่5)

(จุดธูป ๙ ดอก)

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ

พระสยามมินทร์โธ
วะโรอิติ
พุทธะ สังมิ
อิติอะระหัง
สะหัสสะกายัง
วะรัง พุทโธ
นะโมพุทธายะ







« แก้ไขครั้งสุดท้าย: ตุลาคม 23, 2010, 10:49:24 AM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #64 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 10:52:06 AM »







บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #65 เมื่อ: ตุลาคม 23, 2010, 11:00:50 AM »




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #66 เมื่อ: พฤศจิกายน 20, 2010, 10:23:25 PM »



วันลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา "มักจะ" ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไปในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ "กระทง" จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาพระแม่คงคาด้วย

เดิมเชื่อกันว่าประเพณีลอยกระทงเริ่มมีมาแต่สมัยสุโขทัย ในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง โดยมีนางนพมาศหรือท้าวศรีจุฬาลักษณ์ เป็นผู้ประดิษฐ์กระทงขึ้นครั้งแรก โดยแต่เดิมเรียกว่าพิธีจองเปรียง ที่ลอยเทียนประทีป และนางนพมาศได้นำดอกโคทม ซึ่งเป็นดอกบัวที่บานเฉพาะวันเพ็ญเดือนสิบสองมาใช้ใส่เทียนประทีป แต่ปัจจุบันมีหลักฐานว่าไม่น่าจะเก่ากว่าสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยอ้างอิงหลักฐานจากภาพจิตรกรรมการสร้างกระทงแบบต่างๆ ในสมัยรัชกาลที่ 3

ปัจจุบันวันลอยกระทงเป็นเทศกาลที่สำคัญของไทย ที่มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศมาเที่ยวปีละมากๆ ทั้งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวมักจะเป็นช่วงต้นฤดูหนาว และมีอากาศดี

ในวันลอยกระทง ยังนิยมจัดประกวดนางงาม เรียกว่า "นางนพมาศ"



         
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #67 เมื่อ: ธันวาคม 16, 2010, 02:30:36 PM »

ขาลไป –กระต่ายมา...เรื่องน่ารู้รับ "ปี



แม้ปี 2553 จะเป็นปีขาลปีแห่งเสือร้าย ที่มาพร้อมกับความสูญเสียของเราหลายต่อหลายเรื่องแต่ อุทกภัยปลายปีที่ผ่านมา ก็ได้พลิกวิกฤตเป็นโอกาสทำให้เราได้เห็นความสามัคคีแ ละ “น้ำใจ”ของคนไทยด้วยกันที่ท่วมท้นกว่ากระแสน้ำหลั่งไ หลไปยังทั่วทุกภาคของ ประเทศ ซึ่งน่าจะเป็นนิมิตหมายอันดีของปีกระต่ายที่กำลังมาใ นปีพ.ศ. 2554

และเพื่อให้ได้รู้จักกับกระต่ายหรือ “เถาะ” อัน เป็นปีที่ 4 ของรอบปีนักษัตร (ชวด ฉลู ขาล เถาะ ฯลฯ) ดียิ่งขึ้น กรมส่งเสริมวัฒนธรรมกระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับกระต่ายมาเล่าสู่กั นฟัง ดังต่อไปนี้

“กระต่าย”สัตว์ หน้าตาน่ารัก น่าเอ็นดู ซึ่งเป็นที่นิยมเลี้ยงไว้ดูเล่นโดยทั่วไปนี้ เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ประเภทสัตว์เลือดอุ่น มีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ ลักษณะเด่นอย่างหนึ่งของกระต่ายคือมีฟันหน้าบนถึง 4 ซี่ที่เห็นได้ชัด กระต่ายถือกำเนิดมาในโลกเมื่อ 50 ล้านปีมาแล้วบริเวณทวีปเอเชียและอเมริกาเหนือ กระต่ายที่พบเห็นทั่วโลก จะมีอยู่ด้วยกัน 58 ชนิด จัดอยู่ในวงศ์กระต่ายธรรมดา(Leporidae) 44 ชนิด และวงศ์กระต่ายหูสั้น(Ochotonidae)อีก 14 ชนิด กระต่ายธรรมดาจะมีขาหลังที่ยาว ทำให้วิ่งได้เร็ว ใบหูยาวหมุนไปมาได้ และมีหางสั้น ส่วนกระต่ายหูสั้นจะมีขาทั้งคู่หน้าและคู่หลังสั้นพอ ๆกัน ใบหูจะสั้นเป็นมนกลม และจะไม่เห็นหางจากภายนอก

นอกจากนี้ในวงศ์กระต่ายธรรมดายังแบ่งออกเป็นกระต่ายเ ลี้ยง (Rabbit)ซึ่งชอบอยู่กันเป็นฝูง และกระต่ายป่า (Hare)ที่ชอบอยู่โดดเดี่ยว กระต่ายอยู่ในสภาพแวดล้อมได้หลายแบบทั้งเขตร้อนและหน าว อาหารของมันได้แก่หญ้า พืชล้มลุก รากไม้ เปลือกไม้ เป็นต้น กระต่ายมีนิสัยอย่างหนึ่งที่แปลกคือ มันชอบกินขี้ของมันเอง โดยมันจะถ่ายเป็นมูลอ่อนที่มีวุ้นเคลือบออกมาในตอนกล างคืน เมื่อบักเตรีในมูลอ่อนทำปฏิกิริยากับอากาศก็จะสร้างว ิตามินบางชนิดที่จำเป็น ต่อสุขภาพกระต่ายขึ้นมา

พอตอนเช้ามันก็จะกินมูลอ่อนนี้เข้าไป เพราะถ้ามันไม่กิน มันก็จะตายภายในเวลาไม่นาน โดยทั่วไปกระต่ายจะมีอายุประมาณ 10 ปี มันเป็นสัตว์ที่แพร่พันธุ์ได้รวดเร็วมาก ดังนั้น นอกจากจะเลี้ยงไว้ขายเพื่อดูเล่นแล้ว ยังมีผู้เลี้ยงกระต่ายเพื่อเอาเนื้อและขนไปขายอีกด้ว ย ซึ่งสายพันธุ์ที่นิยมเลี้ยงกันได้แก่ พันธุ์เท็ดดี้แบร์ มินิล็อป อังโกล่าล็อป นิวซีแลนด์ เนเธอร์แลนด์ดวาร์ฟ ไลออนด์เฮด และเจอรี่วู๊ดดี้ เป็นต้น


จากกระต่ายจริงมาสู่นิทานเกี่ยวกับกระต่ายที่คนส่วนใ หญ่รู้จักกันดี นั่นคือ นิทานอีสปเรื่อง “เต่ากับกระต่าย”ที่กล่าวถึงกระต่ายตัวหนึ่งได้ท้าวิ ่งแข่งกับเต่า ด้วยคิดว่าเต่านั้นคลานต้วมเตี้ยมไม่มีวันชนะตนได้แน ่ ดังนั้น เมื่อถึงวันวิ่งแข่ง กระต่ายที่วิ่งนำไปก่อน จึงเกิดความชะล่าใจ หยุดพักผ่อนนอนหลับอยู่ใต้ต้นไม้ โดยคิดว่ากว่าเจ้าเต่าจะมาถึง มันก็สามารถวิ่งนำไปได้อีก แต่เอาเข้าจริง เจ้ากระต่ายจอมประมาท ก็นอนเพลิน จนเต่าน้อยสามารถคลานไปถึงเส้นชัยก่อนจนได้ เรื่องนี้จบด้วยคติสอนใจที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” อันสะท้อนให้เห็นว่า หากคนเรามีความมานะพยายามแล้ว สิ่งที่ดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ ย่อมเป็นไปได้ เช่นเดียวกับเต่าที่สามารถชนะกระต่าย

นิทานชาดกอีกเรื่องที่เราได้เรียนกันมาแต่เล็กๆคือเร ื่อง “กระต่ายตื่นตูม” ที่พูดถึงสมัยพระโพธิสัตว์เกิดเป็นราชสีห์อาศัยอยู่ใ นป่าใหญ่แห่งหนึ่ง กาลครั้งนั้นมีกระต่ายตัวหนึ่งอาศัยอยู่ใต้ต้นตาลใกล ้ต้นมะตูม วันหนึ่งเจ้ากระต่ายออกไปเที่ยวหากินจนอิ่ม จึงมานอนพักอยู่ในใต้ต้นตาลดังกล่าว ขณะที่มันกำลังนอนเพลินๆนั้นเอง ผลมะตูมสุกได้หล่นลงไปถูกใบตาลแห้งเสียงดังสนั่นหวั่ นไหว เจ้ากระต่ายตกใจคิดว่าเป็นเสียงแผ่นดินถล่ม มันจึงร้องสุดเสียงว่า “แผ่นดินถล่มแล้วๆ”พร้อมกระโดดวิ่งหนีไปสุดชีวิต โดยไม่ได้เหลียวหลังมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น สัตว์อื่นๆเมื่อเห็นมันวิ่งหนี และได้ทราบจากมันว่าเกิดแผ่นดินถล่ม ก็วิ่งเตลิดไปตามๆกัน จนเกือบจะตกหน้าผาสูงชันโดยไม่รู้ตัว

ดีแต่ว่าสัตว์ทั้งหลายได้วิ่งไปเจอราชสีห์เสียก่อน ราชสีห์จึงถามถึงสาเหตุ เมื่อทราบว่ามาจากกระต่ายตัวแรกที่วิ่งหนีมา จึงพากันไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ แล้วก็พบความจริงว่าเกิดจากผลมะตูมที่หล่นลงมา ราชสีห์จึงกลับมาบอกความจริงแก่สัตว์ทั้งหลาย ทำให้พวกมันหายตื่นกลัว นิทานเรื่องนี้จบลงด้วยคำสอนที่ว่า “ก่อนจะเชื่อใคร ควรจะพิจารณาตรวจสอบความเป็นจริงให้รอบคอบเสียก่อน” นอกจากกระต่ายในนิทานแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เราคุ้นเคยมาแต่เด็ก ก็คือ


“กระต่ายในดวงจันทร์” ซึ่งแท้จริงแล้ว เป็นหลุมอุกกาบาตขนาดใหญ่บนดวงจันทร์ ซึ่งน่าแปลกที่ว่าไม่เพียงแต่คนไทยเท่านั้นที่จินตนา การเห็นหลุมอุกกาบาตที่ ว่าเป็นรูปกระต่าย แต่ยังมีอีกหลายชาติที่มองเห็นเป็นรูปกระต่ายเหมือนก ัน เช่น จีน อินเดีย และญี่ปุ่น เป็นต้น จนต่างก็มีตำนานเล่าถึงเรื่องดังกล่าวต่างๆกันไป

แม้แต่ไทยเราเองก็เช่นกัน เช่น บางแห่งก็เล่าว่า ครั้งหนึ่งพระพุทธเจ้าได้หลงทางอยู่กลางป่า ต้องอดอาหาร มาพบกระต่ายตัวหนึ่งที่ได้ถวายตัวเป็นอาหารแด่พระพุท ธเจ้าโดยกระโดดเข้ากอง ไฟ แต่พระพุทธองค์ได้แสดงบุญญาภินิหารช่วยชีวิตกระต่ายข ึ้นจากไฟ แล้วนำกระต่ายไปไว้บนดวงจันทร์ อีกเรื่องหนึ่งก็เล่าว่า ครั้งหนึ่งเมื่อพระพุทธเจ้าเสวยชาติเป็นกระต่าย ได้ยอมพลีร่างกายเป็นอาหารแก่สัตว์ที่กำลังอดอยากหิว โหย อีกเรื่องหนึ่งก็ว่า พระโพธิสัตว์กระต่ายได้ทรงสละเนื้อตัวเองแก่พระอินทร ์ที่แปลงร่างเป็น พราหมณ์มาขอบริจาคทาน พระอินทร์จึงได้วาดรูปกระต่ายลงบนดวงจันทร์เพื่อให้ท ุกคนได้มองเห็น และรำลึกถึงคุณความดี ตลอดจนความเสียสละตนของกระต่าย

ตามตำราพรหมชาติ ฉบับหลวง กล่าวถึงคนเกิดเถาะว่า เป็นพวกธาตุไม้ พระพุธเป็นปาก การเจรจาจึงเป็นที่ชอบใจของผู้ใหญ่ พระศุกร์เป็นใจ ทำให้มักโกรธง่าย แต่กล้าหาญ ชอบอาสาเจ้านาย พระจันทร์เป็นที่นั่ง จึงทำให้ใฝ่ใจในกามารมณ์ พระพฤหัสบดีและพระเสาร์เป็นมือ ส่งผลให้ทำการงานเรียบร้อย รักสวยรักงาม เจ้าระเบียบ

พระอาทิตย์กับพระอังคารเป็นเท้า จึงชอบท่องเที่ยวเดินทางไกล เพื่อแสวงหาความรู้และประสบการณ์ ส่วนตำราจีนก็ว่าผู้ที่เกิดปีนี้ชอบมีมิตรสหาย ชอบสังคม มีความสุขเมื่ออยู่กับเพื่อน โดยธาตุแท้เป็นคนยอมจำนนง่าย ไม่ชอบดิ้นรน ไม่ชอบการเผชิญหน้าที่รุนแรง แต่หากเจออันตราย ก็สามารถแสดงความกล้าหาญได้อย่างเหลือเชื่อ เป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน และมีวิจารณญาณในการมองนิสัยคนได้อย่างยอดเยี่ยม
ในปัจจุบันมีคนนิยมไปไหว้พระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิดตา มจังหวัดต่างๆมากขึ้นพอๆกับการไหว้พระเก้าวัด



ซึ่งพระธาตุประจำปีเกิดของคนปีกระต่าย คือพระธาตุแช่แห้ง อยู่ในอำเภอเมือง จังหวัดน่าน ตามพงศาวดารเมืองน่านได้กล่าวว่า เจ้านครน่านได้อัญเชิญสารีริกธาตุจากกรุงสุโขท ัยมาประดิษฐานไว้ที่ดอย ภูเพียงแช่แห้งโดยมีตำนานเล่าว่า ในสมัยพุทธกาล สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จมาประทับสรงน้ำที่ ริมฝั่งแม่น้ำน่านที่ บ้านห้วยไค้และได้เสวยผลสมอแห้ง ที่พระยามลราชนำมาถวาย แต่ผลสมอนั้นแห้งมาก จึงทรงนำผลสมอไปแช่น้ำก่อนเสวย พร้อมทรงพยากรณ์ไว้ว่า ต่อไปที่นี่จะมีสารีริกธาตุมาประดิษฐาน จึงได้เรียกพระสถูปที่ประดิษฐานสารีริกธาตุแห่ งนี้ว่า “พระธาตุแช่แห้ง"

ซึ่งเรื่องพระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิดนี้เป็นคติความเช ื่อดั้งเดิมของ ชาวล้านนา ที่เชื่อว่าก่อนที่วิญญาณใดจะมาปฏิสนธิในครรภ์ของผู้ เป็นมารดา วิญญาณนั้นจะต้องลงมาพักที่เจดีย์แห่งใดแห่งหนึ่งก่อ น โดยมีสัตว์ประจำนักษัตรพามาพักไว้ และเมื่อได้เวลาดวงวิญญาณก็จะเคลื่อนออกจากพระเจดีย์ ไปสถิตอยู่บนกระหม่อม ของผู้เป็นบิดาเป็นเวลา7 วัน ก่อนจะเคลื่อนเข้าสู่ท้องของมารดาต่อไป และเมื่อเสียชีวิต ดวงวิญญาณนั้นก็จะกลับมาพักที่เจดีย์นั้นๆตามเดิม ด้วยเหตุนี้ ทางล้านนาจึงเชื่อว่า บุคคลที่เกิดปีนักษัตรใดก็ตาม สมควรที่จะหาโอกาสไปกราบไหว้พระธาตุเจดีย์ประจำปีเกิ ดอย่างน้อยครั้งหนึ่งใน ชีวิต เพื่อความเป็นสิริมงคล และเป็นอานิสงส์ให้อายุยืน ตายแล้วย่อมไม่ไปสู่ทุคติภพแน่นอน

นอกเหนือไปจากความเชื่อข้างต้นแล้ว ยังมีการนำรูป “กระต่าย”ไปเป็นตราสัญลักษณ์ของสิ่งต่างๆอีกด้วย เช่น นายฮิวจ์ เฮฟเนอร์ ผู้ก่อตั้งนิตยสารเพลย์บอย ได้ใช้รูปกระต่ายสวมชุดทักซิโดเป็นโลโก้ของหนังสือฉบ ับนี้ โดยต้องการสื่อความหมายถึงความเซ็กซี่ ซุกซน และสนุกสนานตามสไตล์หนุ่มเจ้าสำราญ ซึ่งชุดดังกล่าวจะมีผ้าผูกคอ ที่ผูกเป็นโบสั้นๆ มีสองชายอย่างที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Bow tieแต่ไทยเราเรียกว่า “โบหูกระต่าย” ด้วยในประเทศไทยมีจังหวัดที่ใช้กระต่ายเป็นสัญลักษณ์ ได้แก่ จังหวัดจันทบุรีใช้รูปกระต่ายในดวงจันทร์ เป็นเครื่องหมายประจำเมือง ส่วนจังหวัดนครศรีธรรมราชมีเครื่องหมายประจำจังหวัดเ ป็นรูปพระธาตุเปล่ง รัศมี ล้อมรอบด้วยสิบสองนักษัตร ซึ่งแทน 12 เมืองขึ้นของนครศรีธรรมราชใน สมัยโบราณ เช่น ใช้ปีชวด-หนู แทนเมืองสายบุรี ปีฉลู-วัว แทนเมืองปัตตานี ปีขาล-เสือ แทนเมืองกะลันตัน และปีเถาะ-กระต่ายแทนเมืองประหังเป็นต้น

นอกจากนี้ก็ยังมีเครื่องอุปโภคบริโภคอื่นๆที่ใช้กระต ่ายเป็น สัญลักษณ์อีก เช่นยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน ของบริษัทห้างยาไทย 1942 จำกัด อันเป็นยาพวกแก้ท้องเสีย ท้องอืดท้องเฟ้อ จุกเสียดแน่นท้องที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกันดีมา ตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายาย ของเราจนถึงปัจจุบัน และที่โด่งดังไม่แพ้กันแต่เป็นอดีตไปแล้วก็คือ บเสียงและแผ่นเสียงตรากระต่าย ของนายต.เง็กชวน ธันวารชร ซึ่งได้ใช้รูปกระต่าย(อันปีเกิดของเขา)
ยืนอยู่บนแผ่นเสียงเป็นเครื่องหมาย

สำหรับ “กระต่ายขูดมะพร้าว”ซึ่งเคยเป็นอุปกรณ์คู่ครัวมาแต่โ บราณ ใช้ในการขูดมะพร้าวที่ยังไม่ได้กะเทาะออกจากกะลาเพื่ อทำอาหาร ปัจจุบันเราแทบจะไม่ได้เห็นกันแล้ว เพราะสาวยุคใหม่สามารถหาซื้อกระทิบรรจุกล่องได้ แต่กระนั้นก็เชื่อว่าหลายคนคงจะหวนหากระต่ายขูดมะพร้ าวอีกครั้ง เมื่อได้ชมหนังเรื่อง “แม่เบี้ย”ที่มีมะหมี่ นภคปภา นาคประสิทธิ์ทำท่าเซ็กซี่ขูดมะพร้าวยั่วพระเอกในเรื่ องเมื่อหลายปีก่อน

สำนวน ภาษิตและคำพังเพยเกี่ยวกับกระต่ายก็มีอยู่หลายสำนวนไ ด้แก่ กระต่ายตื่นตูมใช้เปรียบเทียบกับคนที่แสดงอาการตื่นต กใจง่าย
โดยไม่ทันสำรวจให้ถ่องแท้เสียก่อน /กระต่ายสามขาหมายถึง การยืนกรานไม่ยอมรับ บางแห่งก็ใช้กระต่ายขาเดียว /กระต่ายหมายจันทร์หมายถึง ผู้ชายที่หมายปองหญิงสาวที่มีฐานะดีกว่าตน /ยิงกระต่ายหมายถึง การจอดรถเพื่อแวะไปปัสสาวะข้างทาง(ใช้กับผู้ชาย ถ้าเป็นผู้หญิงมักใช้คำว่าไปเก็บดอกไม้) /หนวดเต่าเขากระต่ายหมายถึง ของดีของวิเศษที่หาได้ยากหรือหาไม่ได้เลย /กระต่ายแก่แม่ปลาช่อนหมายถึงคนที่เต็มไปด้วยมายาเล่ห ์เหลี่ยม ภายหลังคำนี้ได้เพี้ยนไปเป็น “ไก่แก่แม่ปลาช่อน”ที่หมายถึงหญิงค่อนข้างมีอายุที่ม ีมารยา เล่ห์เหลี่ยมและมีจริตกิริยาจัดจ้าน

ส่วนคนดังหรือบุคคลสำคัญที่เกิดปีกระต่าย ได้แก่ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์เกิดเมื่อปี พ.ศ.2422 เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก เป็นนักฟิสิกส์ทฤษฎีที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวงการวิท ยาศาสตร์และมีผลงาน มากกว่า 300 ชิ้น เขาได้รับรางวัลโนเบล สาขาฟิสิกส์ เมื่อปีพ.ศ.2464 และแม้เขาจะเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจไปตั้งแต่ปีพ.ศ. 2498 แต่ในปีพ.ศ.2542 นิตยสารไทม์ได้ยกย่องให้เขาเป็น “บุรุษแห่งศตวรรษ”ปัจจุบันคำว่า “ไอน์สไตน์”เป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่บ่งบอกถึงความเป็น“ อัจฉริยะ”

ในประเทศไทยมีศิลปินแห่งชาติที่เกิดปีเถาะหรือกระต่า ย จำนวน 10 คน ได้แก่ ดร.สุเมธ ชุมสายณ อยุธยา(ด้านสถาปัตยกรรมร่วมสมัย) นายวิเชียร
คำเจริญหรือครูลพ บุรีรัตน์ (ด้านนักแต่งเพลงลูกทุ่ง) ม.ร.ว.ถนัดศรี สวัสดิวัตน์(ด้านดนตรีไทยสากล-ขับร้อง) นางผ่องศรี วรนุช(ด้านนักร้องลูกทุ่ง)
นายสำราญ เกิดผล(ด้านดนตรีไทย) นางเจริญใจ สุนทรวาทิน(ด้านคีตศิลป์) นายถวัลย์ ดัชนี(ด้านจิตรกรรม) นายอาจินต์ ปัญจพรรค์(ด้านวรรณศิลป์)นายสมเศียร พานทองหรือชาย เมืองสิงห์ (ด้านนักร้อง-นักแต่งเพลงลูกทุ่ง) และศาสตราจารย์กิตติคุณเดชา บุญค้ำ(ด้านภูมิสถาปัตยกรรม) และที่พิเศษคือ ศาสตราจารย์ (พิเศษ)ประกิต บัวบุศย์ศิลปินแห่งชาติ (ด้านจิตรกรรม)ที่แม้จะมิได้เกิดปีกระต่าย แต่ในปีเถาะนี้ท่านจะมีอายุครบ 100 ปีในวันที่ 5 เมษายน 2554

และสุดท้ายบุคคลที่สำคัญที่สุดของประเทศไทยที่ทรงพระ ราชสมภพในปีเถาะ คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดใน ประวัติศาสตร์ชาติไทย และยาวนานที่สุดในโลก นับตั้งแต่ทรงมีพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรมเพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชา วสยาม”ที่แสดงถึงพระราช ปณิธานอันแน่วแน่ที่มีต่ออาณาประชาราษฎร์ใต้ร่มพระบร มโพธิสมภารแล้ว นับแต่นั้นมา ประชาชนชาวไทยก็ได้เห็นพระองค์ทรงอุทิศพระวรกายและพร ะวิริยะอุตสาหะในการ ปฏิบัติพระราชกรณียกิจน้อยใหญ่มาโดยตลอดพระชนม์ชีพ

พระอัจฉริยภาพในหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นด้านชลประทาน การเกษตร สิ่งแวดล้อม แม้กระทั่งด้านศิลปวัฒนธรรมล้วนเป็นที่ประจักษ์แก่ชา วไทยและชาวต่างประเทศ นอกจากนี้โครงการในพระราชดำรินับพันโครงการก็ยังผลให ้ราษฎรของพระองค์อยู่ดี กินดียิ่งขึ้น

ในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงเจริญพระช นมพรรษาครบ 84 พรรษาในวันที่ 5 ธันวาคม 2554 อันตรงกับปีนักษัตรพระราชสมภพนี้
กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรมจึงขอเชิญชวนประชาชนชาวไทยทุกหมู่เหล ่าได้น้อมจิตอธิษฐาน ตั้งใจปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเพื่อให้บ้านเมืองข องเรากลับมาปกติสุข และเป็นผืนแผ่นดินที่ให้ความร่มเย็นแก่ลูกหลานของเรา สืบต่อไปในอนาคต

เรียบเรียงโดย ทัศชล เทพกำปนาท กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #68 เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 02:55:23 PM »


สวัสดีปีใหม่ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #69 เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 07:54:12 PM »

25 ธันวาคม วันคริสต์มาส
25 ธันวาคม วันคริสต์มาส


ตำนานวันคริสต์มาส

คำว่า "คริสต์มาส" เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษว่า Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณว่า Christes Maesse ที่แปลว่า "บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า" ซึ่งพบครั้งแรกในเอกสารโบราณที่เป็นภาษาอังกฤษในปี ค.ศ. 1038 และในปัจจุบันคำนี้ก็ได้เปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

          เทศกาล Christmas หรือ X’Mas ตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี ซึ่งวันที่ 25 ธันวาคมนั้นเป็นวันประสูติของพระเยซู ศาสดาแห่งศาสนาคริสต์ โดยพระองค์ประสูติที่เมืองเบ็ธเลเฮ็มและเติบโตที่เมืองนาซาเรท ซึ่งปัจจุบันคือประเทศอิสราเอล ตามหลักฐานในพระคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า พระเยซูเจ้าประสูติในสมัยที่จักรพรรดิซีซาร์ ออกุสตุส แห่งจักรวรรดิโรมัน ซึ่งทรงสั่งให้จดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งแผ่นดิน โดยฝ่ายคีรีนิอัส เจ้าเมืองซีเรียก็รับนโยบายไปปฏิบัติให้มีการจดทะเบียนสำมะโนครัวทั่วทั้งอาณาเขต แต่ในพระคัมภีร์ ไม่ได้ระบุว่า พระเยซูประสูติวันหรือเดือนอะไร



ด้านนักประวัติศาสตร์ก็มีความเห็นที่ต่างออกไปโดยได้วิเคราะห์ว่า เดิมทีวันที่ 25 ธันวาคม เป็นวันที่จักรพรรดิเอาเรเลียนแห่งโรมัน กำหนดให้เป็นวันฉลองวันเกิดของสุริยะเทพ ตั้งแต่ปี ค.ศ.274 ชาวโรมันซึ่งส่วนใหญ่นับถือเทพเจ้าฉลองวันนี้เสมือนว่า เป็นวันฉลองของพระจักรพรรดิไปในตัวด้วย เพราะจักรพรรดิก็เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ ที่ให้ความสว่างแก่ชีวิตมนุษย์ แต่ชาวคริสต์ที่อยู่ในจักรวรรดิโรมัน รวมถึงชาวโรมันที่เปลี่ยนไปนับถือคริสต์อึดอัดใจที่จะฉลองวันเกิดของสุริยเทพ จึงหันมาฉลองการบังเกิดของพระเยซูซึ่งเปรียบเสมือนความสว่างของโลก และเหมือนดวงจันทร์เป็นความสว่างในตอนกลางคืนแทน หลังจากที่ชาวคริสต์ถูกควบคุมเสรีภาพทางศาสนาตั้งแต่ปี ค.ศ. 64-313 จนถึงวันที่ 25 ธันวาคม ปี ค.ศ.330 ชาวคริสต์จึงเริ่มฉลองคริสต์มาสอย่างเป็นทางการและเปิดเผย


 เทศกาลคริสต์มาสจึงเป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองวันประสูติของพระเยซู และเป็นการฉลองความรักที่พระเจ้ามีต่อมนุษย์โลก โดยส่งบุตรชาย คือ "พระเยซู" ลงมาเกิดเป็นมนุษย์เพื่อช่วยไถ่บาป และช่วยให้มนุษย์รอดพ้นจากการทำชั่วนั่นเอง ดังนั้นในวันนี้ถือเป็นวันที่มีความหมายสำคัญชาวคริสต์ทั่วโลก และมีการส่งบัตรอวยพร ให้ของขวัญ แก่กันและกัน รวมทั้งประดับประดาตกแต่งบ้านเรือนด้วยแสงไฟ และต้นคริสต์มาสอย่างสวยงาม

องค์ประกอบในงานคริสต์มาส

ซานตาครอส


เป็นสิ่งแรกๆ ที่คนจะนึกถึงในฐานะสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส ซึ่งว่ากันว่าซานตาคลอสคนแรก คือ นักบุญ (เซนต์) นิโคลัส ผู้เป็นสังฆราชแห่งเมืองไมรา มีชีวิตอยู่ในศตวรรษที่ 4 และเหตุที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นซานตาครอสคนแรก มาจากวันหนึ่งที่ท่านปีนขึ้นไปบนหลังคาบ้านของเด็กหญิงยากจนคนหนึ่ง แล้วทิ้งถุงเงินลงไปทางปล่องไฟ บังเอิญถุงเงินหล่นไปทางถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้ข้างเตาผิงพอดี

นักบุญนิโคลัส นั้นเป็นนักบุญที่ชาวฮอลแลนด์นับถือว่าเป็นนักบุญผู้อุปถัมภ์ของเด็กๆ เมื่อชาวฮอลแลนด์กลุ่มหนึ่งอพยพไปอยู่ในสหรัฐฯ ก็ยังรักษาประเพณีการฉลองนักบุญ นิโคลาส ในวันที่ 5 ธันวาคม เอาไว้ ซึ่งหมายถึงนักบุญนี้จะมาเยี่ยมเด็กๆ และเอาของขวัญมาให้เด็กอื่นๆ ที่ไม่ใช่ลูกหลานของชาวฮอลแลนด์ที่อพยพมา ประเพณีนี้จึงเริ่มเป็นที่รู้จักและแพร่หลายในอเมริกา โดยมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง คือ ชื่อนักบุญนิโคลัสก็เปลี่ยนเป็น ซานตาคลอส และแทนที่จะเป็นสังฆราชก็กลายเป็นชายแก่ที่อ้วนและใส่ชุดสีแดง อาศัยอยู่ที่ขั้วโลกเหนือ มีเลื่อนเป็นยานพาหนะที่มีกวางเรนเดียร์ลาก และจะมาเยี่ยมเด็กทุกคนในโลกนี้ในโอกาสคริสต์มาส โดยลงมาทางปล่องไฟของบ้านเพื่อเอาของขวัญมาให้เด็กเหล่านั้นตามความประพฤติของเขา

          ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียงตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย อาทิ ความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง

ถุงเท้า


จากที่นักบุญนิโคลัสได้ปีนขึ้นไปบนปล่องไฟของบ้านเด็กหญิงยากจน เพื่อที่จะมอบเหรียญเงินให้เป็นของขวัญ แต่เหรียญนั้นกลับตกไปอยู่ในถุงเท้าที่เด็กหญิงแขวนตากไว้หน้าเตาผิง พอรุ่งเช้าเด็กหญิงตื่นมาเจอเหรียญเงินในถุงเท้าจึงดีใจมาก และกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการที่ผู้คนมากมายต่างพากันแขวนถุงเท้าคริสต์มาสไว้ เพื่อหวังจะได้รับของขวัญเช่นเดียวกันบ้าง

ต้นคริสต์มาส


นอกจากนี้อีกอย่างที่ขาดไม่ได้ก็คือ ต้นคริสต์มาส ซึ่งต้นคริสต์มาสก็คือต้นสนที่นำมาประดับประดาด้วยลูกแอปเปิ้ลและขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท และก็ได้มีวิวัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยจนมาถึงการประดับด้วยดวงไฟหลากสีสัน ขนม และของขวัญ อย่างในทุกวันนี้ การตกแต่งแบบนี้ต้องย้อนไปในศตวรรษที่ 8 เมื่อเซนต์บอนิเฟส มิชชันนารีชาวอังกฤษที่เดินทางไปประกาศเรื่องพระเจ้าในเยอรมนี ได้ช่วยเด็กที่กำลังจะถูกฆ่าเป็นเครื่องสังเวยบูชาที่ใต้ต้นโอ๊ก

โดยเมื่อโค่นต้นโอ๊กทิ้งก็ได้พบต้นสนเล็กๆ ต้นหนึ่งขึ้นอยู่ที่โคนต้นโอ๊ก ท่านจึงขุดให้คนที่ร่วมพิธีกรรมเหล่านั้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของชีวิต และตั้งชื่อว่า ต้นกุมารพระคริสต์ ต่อมา มาร์ติน ลูเธอร์ ผู้นำคริสตจักรชาวเยอรมัน ตัดต้นสนไปตั้งในบ้านในเดือนธันวาคม ปี ค.ศ.1540 หลังจากนั้นในศตวรรษที่ 19 ต้นคริสต์มาสจึงเริ่มแพร่ไปสู่ประเทศอังกฤษและทั่วโลก และอีกเหตุผลที่ใช้ต้นสนก็เพราะว่ามันหาง่าย

          ในสมัยโบราณนั้นต้นคริสต์มาส หมายถึง ต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และทำบาป ไม่เชื่อฟังพระเจ้า โดยตามพระคัมภีร์นั้นได้เปรียบพระเยซูเจ้าเสมือนเป็นต้นไม้แห่งชีวิต ซึ่งเป็นต้นไม้ที่เขียวเสมอในทุกฤดูกาล สื่อถึงนิรันดรภาพของพระเยซูเจ้า อีกทั้งความสว่างของพระองค์ยังเหมือนแสงเทียนที่ส่องสว่างในความมืด และรวมถึงความชื่นชมยินดี และความสามัคคี ที่พระเยซูประทานให้ เพราะต้นไม้นั้นเป็นจุดศูนย์รวมของครอบครัวในเทศกาลคริสต์มาส

ต้นฮอลลี่


ต้นฮอลลี่ เป็นต้นไม้พุ่มเตี้ย และเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของวันคริสต์มาส เชื่อกันว่า สีเขียวของต้นฮอลลี่มีความหมายถึง การมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ และมีความสัมพันธ์กับพระเยซู โดยผลสีแดงของต้นฮอลลี่นั้นหมายถึงหยดเลือดของพระเยซูที่ไหลลงบนไม้กางเขน ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความรักที่มีต่อพระเจ้า ใบไม้ที่มีหนามของต้นฮอลลี่เป็นสิ่งที่เตือนพวกเราถึงมงกุฏหนามที่พวกชาวทหารโรมันได้นำมาวางไว้บนศีรษะของพระเยซูคริสต์

 ดอกไม้คริสต์มาส หรือ Poinsettia


ตำนานของดอก Poinsettia ที่กลายมาเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของวันคริสต์มาส มาจากเรื่องราวของเด็กหญิงจนๆ คนหนึ่ง ที่ต้องการหาของขวัญไปมอบให้พระแม่มารีในวันคริสต์มาสอีฟ แต่เนื่องจากเธอไม่มีสิ่งของใดๆ ติดตัว จึงเดินทางไปตัวเปล่า และระหว่างทางเธอได้พบกับนางฟ้าที่บอกให้เธอเก็บเมล็ดพืชไว้ ต่อมาเมล็ดพืชนั้นกลับเจริญเติบโตเปลี่ยนเป็นดอกไม้สีเลือดหมูสดใส ซึ่งก็คือดอก Poinsettia ตั้งแต่นั้นดอก Poinsettia ก็ได้รับความนิยมใช้ประดับประดาบ้านในงานคริสต์มาส

ดอกคริสต์มาส Christmas Rose

          มีต้นกำเนิดที่ประเทศอังกฤษ ลักษณะเป็นดอกสีขาว และมักออกดอกในช่วงฤดูหนาว ตำนานของดอกคริสต์มาสนี้มีอยู่ว่า ในช่วงที่พระเยซูประสูติ มีผู้รอบรู้ 3 คน กับคนเลี้ยงแกะเดินทางมาพบพระเยซู ระหว่างทางพวกเขาพบกับ มาเดลอน เด็กหญิงที่เลี้ยงแกะคนหนึ่ง เมื่อเธอทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาเพื่อมอบของขวัญให้พระเยซู มาเดลอนก็เสียใจที่ไม่มีของขวัญใดไปมอบให้พระเยซูบ้าง ก่อนที่นางฟ้าที่เฝ้ามองเธออยู่จะเกิดความเห็นใจจึงร่ายมนตร์เสกดอกไม้สีขาวน่ารักและมีสีชมพูอยู่ตรงปลายกลีบให้เธอ และดอกไม้นั้นคือ ดอกคริสต์มาสนั่นเอง

เพลงวันคริสต์มาส

          เพลงคริสต์มาสเริ่มมีขึ้นในศตวรรษที่ 5 แต่งโดยพระสงฆ์และฆราวาส มีเนื้อร้องเป็นภาษาลาติน ลักษณะของเพลงเป็นแบบสง่า เน้นถึงความหมายของการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า แต่ในศตวรรษที่ 12 ได้มีการแต่งในท่วงทำนองที่ร่าเริงสนุกสนานมากขึ้น เริ่มจากประเทศอิตาลี โดยนักบุญฟรังซิส อัสซีซี และนักบวชคณะฟรังซิสกัน เป็นผู้สนับสนุน ให้มีเพลงคริสต์มาสแบบใหม่

          เพลงคริสตมาสแบบใหม่นี้ เป็นที่ชื่นชอบของชาวบ้าน เพราะมีท่วงทำนองที่ร่าเริงกว่า และเน้นถึงความชื่นชมยินดีในโอกาสคริสต์มาส เพลงเหล่านี้มีทั้งที่เป็นภาษาลาติน และภาษาพื้นเมือง เพลงหนึ่งที่แต่งในสมัยนั้น (แต่งคำร้องในปี ค.ศ.1274) และยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน คือ เพลง Oh Come, All Ye Faithful หรือ Adeste Fideles ในภาษาลาติน เพลงคริสต์มาสที่นิยมร้องมากที่สุดในปัจจุบันได้แต่งขึ้นในศตวรรษที่ 19 จากประเทศเยอรมัน และประเทศอังกฤษเป็นส่วนใหญ่ เพลงที่มีชื่อเสียงมากได้แก่ เพลง Silent Night, Holy Night

          ความเป็นมาของเพลงนี้มาจากวันก่อนวันฉลองคริสต์มาส ของปี ค.ศ.1818 คุณพ่อโจเซฟ โมห์ (Joseph Mohr) เจ้าอาวาสวัดที่โอเบิร์นดอฟ (Oberndorf) ประเทศออสเตรีย ได้ข่าวว่าออร์แกนในวัดเสีย ทำให้วงขับร้องไม่สามารถร้องเพลงตามที่ซ้อมไว้ได้ จึงมีการแต่งเพลงคริสต์มาสใหม่ นำไปให้เพื่อนชื่อ ฟรานซ์ กรูเบอร์ (Franz Gruber) ใส่ทำนองในคืนวันที่ 24 นั่นเอง และเล่นเพลง Silent Night เป็นครั้งแรก โดยมีการเล่นกีตาร์ประกอบการขับร้อง ซึ่งกลายเป็นเพลงที่นิยมมากที่สุดทั่วโลก

สีประจำวันคริสต์มาส

สีที่เกี่ยวข้องในวันคริสต์มาสประกอบด้วย     


          สีแดง : เป็นสีของผลฮอลลี่ หรือซานตาครอส เป็นสีของเดือนธันวาคม ที่แสดงถึงความตื่นเต้น และหากเป็นสัญลักษณ์ตามศาสนา สีแดงจะหมายถึง ไฟ, เลือด และความโอบอ้อมอารี

          สีเขียว : เป็นสีของต้นไม้ สัญลักษณ์ของธรรมชาตื หมายถึงความอ่อนเยาว์และความหวังที่จะมีชีวิตเป็นนิรันดร์ เปรียบได้กับว่าเทศกาลคริสต์มาสคือเทศกาลแห่งความหวัง

          สีขาว : เป็นสีของหิมะ และเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา คือแสงสว่าง ความบริสุทธิ์ ความสุข และความรุ่งเรือง สีขาวนี้จะปรากฎบนเสื้อคลุมนางฟ้า, เคราและชายเสื้อของซานตาครอส

          สีทอง : เป็นสีของเทียนและดวงดาว เป็นสัญลักษณ์ของแสงอาทิตย์และความสว่างไสว

 การทำมิสซาเที่ยงคืน     

     การถวายมิสซานี้เกิดขึ้นหลังจากพระสันตะปาปาจูลีอัสที่ 1 ได้ประกาศให้วันที่ 25 ธันวาคมเป็นวันฉลองพระคริสตสมภพ (วันคริสต์มาส) ในปีนั้นเองพระองค์และสัตบุรุษ ได้พากันเดินสวดภาวนา และขับร้องไปยังตำบลเบธเลเฮม และไปยังถ้ำที่พระเยซูเจ้าประสูติ เมื่อไปถึงตรงกับเวลาเที่ยงคืนพอดี พระสันตะปาปาทรงถวายบูชามิซซา ณ ที่นั้น เมื่อเดินทางกลับมาที่พักได้เวลาตี 3 พระองค์ก็ถวายมิสซาอีกครั้ง และ สัตบุรุษเหล่านั้นก็พากันกลับ แต่ยังมีสัตบุรุษหลายคนไม่ได้ร่วมขบวนไปด้วยในตอนแรก พระสันตะปาปาก็ทรงถวายบูชามิสซาอีกครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่ 3 เพื่อสัตบุรุษเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้เองพระสันตะปาปาจึงทรงอนุญาตในพระสงฆ์ถวายบูชามิสซาได้ 3 ครั้ง ในวันคริสต์มาส เหมือนกับการปฏิบัติของพระองค์ นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจึงมีธรรมเนียมถวายมิสซาเที่ยงคืน ในวันคริสต์มาส และพระสงฆ์ก็สามารถถวายมิสซาได้ 3 มิสซา ในโอกาสวันคริสต์มาส

 เทียนและพวงมาลัย

         พวงมาลัยนั้นเป็นสัญลักษณ์ที่คนสมัยก่อนใช้หมายถึงชัยชนะ แต่สำหรับการแขวนพวงมาลัยในวันคริสต์มาสนั้น หมายถึงการที่พระองค์มาบังเกิดในโลก และทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างครบบริบูรณ์ตามแผนการณ์ของพระเป็นเจ้า ซึ่งธรรมเนียมนี้ เกิดจากกลุ่มคริสตชนกลุ่มหนึ่งในประเทศเยอรมันได้เอากิ่งไม้มาประกอบเป็นวงกลมคล้ายพวงมาลัย แล้วเอาเทียน 4 เล่ม วางไว้บนพวงมาลัยนั้น ในตอนกลางคืนของวันอาทิตย์แรกของเทศกาลเพื่อเตรียมรับเสด็จ ทุกคนในครอบครัวจะจุดเทียนหนึ่งเล่ม สวดภาวนา และร้องเพลงคริสต์มาสร่วมกันเป็นเวลา 4 อาทิตย์ก่อนถึงวันคริสต์มาส ประเพณีเป็นที่นิยมอยางมากในประเทศอเมริกา ต่อมาได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยนำเทียน 1 เล่มนั้นมาจุดไว้ตรงกลางพวงมาลัยสีเขียว และนำไปแขวนไว้ที่หน้าต่าง เพื่อเป็นการเตือนให้คนที่เดินผ่านไปมาได้รู้ว่าใกล้ถึงวันคริสต์มาสแล้ว ส่วนเหตุผลที่พวงมาลัยมีสีเขียวนั้น เป็นเพราะมีการเชื่อกันว่าสีเขียวจะช่วยป้องกันบ้านเรือนจากพวกพลังอันชั่ว ร้ายได้

 ระฆังวันคริสต์มาส

          เสียงระฆังในวันคริสต์มาสคือการเฉลิมฉลองให้กับการประสูติของพระพุทธเจ้า โดยมีตำนานเล่าว่า มีการตีระฆังช่วงก่อนเวลาเที่ยงคืนของวันคริสต์มาสเพื่อลดพลังความมืด และบ่งบอกถึงความตายของปีศาจ ก่อนที่พระเยซูผู้ที่จะมาช่วยไถ่บาปให้กับมวลมนุษย์จะถือกำเนิดขึ้น และระฆังนี้มีเสียงดังกังวาลนานนับชั่วโมง ก่อนที่ในเวลาเที่ยงคืนเสียงระฆังนี้จะกลับกลายมาเป็นเสียงแห่งความสุข

 ดาว

เครื่องประดับและแอปเปิ้ล


ในบางแห่งเชื่อว่า ลำต้นของแอปเปิ้ล มองดูคล้ายกับต้นไม้ในสรวงสวรรค์ จึงมีการนำเอาแอปเปิ้ลมาประดับตามต้นไม้ในวันคริสต์มาส ส่วนเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ ที่ตกแต่งต้นคริสต์มาสนั้นเป็นงานศิลปะที่จำลองจากผลไม้ และที่มีสีสันสดใสนั้นเพื่อให้เกิดความรื่นเริงในบ้าน อีกทั้งแสงระยิบระยับที่สะท้อนไปมา ยังดูสวยงามคล้ายแสงเทียนและแสงไฟ

 ของขวัญวันคริสต์มาส


การแลกเปลี่ยนของขวัญในวันคริสต์มาสนั้น เริ่มต้นจากเมือง Saturnalia ในช่วงยุคโรมัน ต่อมาชาวคริสต์รับประเพณีนี้เข้ามา ด้วยความเชื่อว่า การให้ของขวัญนี้มีความเกี่ยวเนื่องกับของขวัญประเภททอง, ยางสนที่มีกลิ่นหอม และ ยางไม้หอม ซึ่งพวกนักเวทย์จากตะวันออกที่เดินทางมาคารวะพระเยซูคริสต์ นำมาให้ตอนที่ท่านประสูติ

          ทั้งหมดนั้นก็คือการเฉลิมฉลองให้กับพระเยซู ที่เกิดมาเพื่อชำระบาปให้แก่ชาวคริสต์ทั้งหลาย และเป็นเทศกาลที่นำความสุข สนุกสนาน มาสู่หมู่มวลมนุษย์




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
- wikipedia.org
- ru.ac.th
- educatepark.com

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #70 เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 08:02:14 PM »



















บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #71 เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 08:18:41 PM »


เพลงวันปีใหม่ (เพลงพรปีใหม่ เพลงพระราชนิพนธ์ในหลวง)

ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ


สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ



เพลงพรปีใหม่

สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #72 เมื่อ: มกราคม 01, 2011, 08:30:59 PM »


ประวัติความเป็นมา วันปีใหม่


ความหมายของ วันขึ้นปีใหม่
ความหมายของวันขึ้นปีใหม่ ตามพจนานุกรม ฉบับราชตบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของคำว่า " ปี" ไว้ดังนี้ ปี หมายถึง เวลา ชั่วโลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ครั้งหนึ่งราว 365 วัน : เวลา 12 เดือนตามสุริยคติ
ประวัติความเป็นมา

วันปีใหม่ มีประวัติความเป็นมาซึ่งเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยและความเหมาะสม ตั้งแต่ในสมัยเริ่มแรกเมื่อชาวบาบิโลเนียเริ่มคิดค้นการใช้ปฏิทิน โดยอาศัยระยะต่าง ๆ ของดวงจันทร์เป็นหลักในการนับ เมื่อครบ 12 เดือนก็กำหนดว่าเป็น 1 ปี และเพื่อให้เกิดความพอดีระหว่างการนับปีตามปฏิทินกับปีตามฤดูกาล จึงได้เพิ่มเดือนเข้าไปอีก 1 เดือน เป็น 13 เดือนในทุก 4 ปี

ต่อมาชาวอียิปต์ กรีก และชาวเซมิติค ได้นำปฏิทินของชาวบาบิโลเนียมาดัดแปลงแก้ไข อีกหลายคราวเพื่อให้ตรงกับฤดูกาลมากยิ่งขึ้นจนถึงสมัยของกษัตริย์จูเลียต ซีซาร์ ได้นำความคิดของนักดาราศาสตร์ชาวอียิปต์ชื่อ โยซิเยนิส มาปรับปรุง ให้ปีหนึ่งมี 365 วัน ในทุก ๆ 4 ปี ให้เติมเดือนที่มี 28 วัน เพิ่มขึ้นอีก 1 วัน เป็น 29 วัน คือเดือนกุมภาพันธ์ เรียกว่า อธิกสุรทิน

เมื่อเพิ่มในเดือนกุมภาพันธ์มี 29 วันในทุก ๆ 4 ปี แต่วันในปฏิทินก็ยังไม่ค่อยตรงกับฤดูกาลนัก คือเวลาในปฏิทินยาวกว่าปีตามฤดูกาล เป็นเหตุให้ฤดูกาลมาถึงก่อนวันในปฏิทิน

และในวันที่ 21 มีนาคมตามปีปฏิทินของทุก ๆ ปี จะเป็นช่วงที่มีเวลากลางวันและกลางคืนเท่ากัน คือเป็นวันที่ดวงอาทิตย์จะขึ้นตรงทิศตะวันออก และลับลงตรงทิศตะวันตกเป๋ง วันนี้ทั่วโลกจึงมีช่วงเวลาเท่ากับ 12 ชั่วโมง เท่ากัน เรียกว่า วันทิวาราตรีเสมอภาคมีนาคม (Equinox in March)

แต่ในปี พ.ศ. 2125 วัน Equinox in March กลับไปเกิดขึ้นในวันที่ 11 มีนาคม แทนที่จะเป็นวันที่ 21 มีนาคม ดังนั้น พระสันตะปาปาเกรกอรี่ที่ 13 จึงทำการปรับปรุงแก้ไขหักวันออกไป 10 วันจากปีปฏิทิน และให้วันหลังจากวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2125 แทนที่จะเป็นวันที่ 5 ตุลาคม ก็ให้เปลี่ยนเป็นวันที่ 15 ตุลาคมแทน (เฉพาะในปี 2125 นี้) ปฏิทินแบบใหม่นี้จึงเรียกว่า ปฏิทินเกรกอเรี่ยน จากนั้นได้ปรับปรุงประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม เป็นวันเริ่มต้นของปีเป็นต้นมา

ความเป็นมาของ วันขึ้นปีใหม่ไทย
ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน
การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก

การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์

ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป

เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย

กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น

กิจกรรมใน วันขึ้นปีใหม่
วันที่ 1 มกราคม ของทุกปี จะมีการทำบุญตักบาตรและอุทิศส่วนกุศลผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว ฟังเทศน์ ปล่อยปลา ปล่อยนก อวยพรซึ่งกันและกัน หรืออาจจะส่งการ์ดบัตรอวยพร ของขัวญไหว้ผู้ใหญ่เพื่อรับพร และสรงน้ำพระพุทธรูป ประดับธงชาติ และจะเตรียมทำความสะอาดบ้าน และที่พักอาศัย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #73 เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 02:55:16 PM »

ในวันที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 คณะรัฐมนตรีมีมติให้วันที่ 16 มกราคมของทุกๆ ปี เป็น วันครู และการจัดงานวันครู ได้มีขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2500 และให้ดำเนินเรื่อยมาทุกปี นับตั้งแต่บัดนั้นมา โดยจัดให้มี วันครู ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศ 


ครู หมายถึง ผู้อบรมสั่งสอน ผู้ถ่ายทอดความรู้ ผู้สร้างสรรค์ภูมิปัญญา และพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อนำไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองของสังคมและประเทศชาติ


ความสำคัญของครู

          ในชีวิตของคนเราถือว่า บิดามารดา เป็นผู้มีพระคุณอันสูงสุด เพราะท่านเป็นผู้ให้ชีวิต ให้ความรัก ให้ความเมตตา มีความห่วงใย และเสียสละเพื่อลูก นอกจาก บิดามารดา แล้ว ก็มีครูเป็นผู้มีพระคุณคล้าย บิดามารดา คือ เป็นผู้อบรมสั่งสอนถ่ายทอดวิชาความรู้ให้ รวมทั้งให้ความรัก ความเมตตาต่อศิษย์ทุกคน นับได้ว่าครูเป็นผู้เสียสละที่ไม่แพ้บุพการี

          ครูจึงนับเป็นปูชนียบุคคลที่มีความสำคัญอย่างมาก ในการให้การศึกษาเรียนรู้ ทั้งในด้านวิชาการ และประสบการณ์ ตลอดเป็นผู้มีความเสียสละ ดูแลเอาใจใส่ สั่งสอนอบรมให้เด็กได้พบกับแสงสว่างแห่งปัญญา อันเป็นหนทางแห่งการประกอบอาชีพเลี้ยงดูตนเอง รวมทั้งนำพาสังคมประเทศชาติ ก้าวไปสู่ความเจริญรุ่งเรือง ฉะนั้นวันที่ 6 ตุลาคม จึงได้เป็นวันครูสากล เพื่อคนที่เป็นครูทั่วโลกที่เสียสละนำพาเราทุก ๆคน ไปถึงฝั่งฝันนั่นเอง

ประวัติความเป็นมา

          วันครู ได้จัดให้มีขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 สืบเนื่องมาจากการประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษาเมื่อปี พ.ศ.2488 ซึ่งระบุให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการเรียกว่า คุรุสภา เป็นนิติบุคคลให้ครูทุกคนเป็นสมาชิกคุรุสภา โดยมีหน้าที่ในเรื่องของสถาบันวิชาชีพครูในขณะเดียวกัน ก็ทำหน้าที่ให้ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาและวินัยของครู รักษาผลประโยชน์ ส่งเสริมฐานะของครู จัดสวัสดิการให้ครู และครอบครัวได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้ และความสามัคคีของครู

          ทุกปีคุรุสภาจะจัดให้มีการประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้แทนครูทั่วประเทศแถลงผลงานในรอบปีที่ผ่านมา และซักถามปัญหาข้อข้องใจต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินงานของคุรุสภาโดยมีคณะกรรมการอำนวยการคุรุสภา เป็นผู้ตอบข้อสงสัย สถานที่ในการประชุมสมัยนั้นใช้หอประชุมสามัคคยาจารย์ หอประชุมของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และในระยะหลังใช้หอประชุมคุรุสภา

          พ.ศ.2499 ในที่ประชุมสามัญคุรุสภาประจำปี จอมพล ป.พิบูล สงคราม นายกรัฐมนตรี และประธานกรรมการอำนวยการคุรุสภากิตติศักดิ์ ได้กล่าวคำปราศรัยต่อที่ประชุมครูทั่วประเทศว่า

          "ที่อยากเสนอในตอนนี้ก็คือว่า เนื่องจากผู้เป็นครูมีบุญคุณเป็นผู้ให้แสงสว่างในชีวิตของเราทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่า วันครู ควรมีสักวันหนนึ่งสำหรับให้บรรดาลูกศิษย์ทั้งหลายได้แสดงความเคารพสักการะต่อวันสงกรานต์ เราก็นำเอาอัฐิของผู้มีพระคุณบังเกิดเกล้ามาทำบุญ ทำทาน คนที่สองรองลงไปก็คือครูผู้เสียสละทั้งหลาย ข้าพเจ้าคิดว่าในโอกาสนี้จะขอฝากที่ประชุมไว้ด้วย ลองปรึกษาหารือกันในหลักการ ทุกคนคงจะไม่ขัดข้อง"

          จากแนวความคิดนี้ กอปรกับความเห็นของครูที่แสดงออกทางสื่อมวลชนและอื่นๆ ที่ล้วนเรียกร้องให้มีวันครูเพื่อให้เป็นวันแห่งการรำลึกถึงความสำคัญของครูในฐานะที่เป็นผู้เสียสละ ประกอบคุณงามความดีเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นอันมาก ในปีเดียวกันที่ให้มีวันครูเพี่อเสนอคณะกรรมการอำนวยการต่อไป โดยได้เสนอหลักการว่า เพื่อจะได้ประกอบพิธีระลึกถึงคุณบูรพจารย์ ส่งเสริมความสามัคคีธรรมระหว่างครูและพื่อส่งเสริมความเข้าใจอันดีระหว่างครูกับประชาชน

          คณะมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2499 ให้วันที่ 16 มกราคมของทุกปีเป็น วันครู โดยถือเอาวันที่ประกาศพระราชบัญญัติครูในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2488 เป็น วันครู และให้กระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้นักเรียนและครูหยุดในวันดังกล่าว

          งานวันครูได้จัดเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ.2500 ในส่วนกลางใช้สถานที่ของกรีฑาสถานแห่งชาติเป็นที่จัดงาน ได้กำหนดเป็นหลักการให้มีอนุสรณ์งานวันครูไว้แก่อนุชนรุ่นหลังทุกปี อนุสรณ์ที่สำคัญ คือ หนังประวัติครู หนังสือที่ระลึกวันครู และสิ่งก่อสร้างที่เป็นถาวรวัตถุ


บทสวดเคารพครู        


    (สวดนำ) ปาเจราจริยาโหนฺติ (รับพร้อมกัน) คุณุตฺตรานุสาสกา

          ปญฺญาวุฑฺฒิกเร เต เต ทินฺโนวาเท นมามิหํ


สวดทำนองสรภัญญะ)

          (สวดนำ) อนึ่งข้าคำนับน้อม (รับพร้อมกัน) ต่อพระครูผู้การุณย์

          โอบเอื้อและเจือจุน อนุศาสน์ทุกสิ่งสรรพ์

          ยัง บ ทราบก็ได้ทราบ ทั้งบุญบาปทุกสิ่งอัน

          ชี้แจงและแบ่งปัน ขยายอรรถให้ชัดเจน

          จิตมากด้วยเมตตา และกรุณา บ เอียงเอน

          เหมือนท่านมาแกล้งเกณฑ์ ให้ฉลาดและแหลมคม

          ขจัดเขลาบรรเทาโม หะจิตมืดที่งุนงม

          กังขา ณ อารมณ์ ก็สว่างกระจ่างใจ

          คุณส่วนนี้ควรนับ ถือว่าเลิศ ณ แดนไตร

          ควรนึกและตรึกใน จิตน้อมนิยมชม

(กราบ)




ประเทศที่มี วันครู เป็นวันหยุด

          - แอลเบเนีย วันครูตรงกับวันที่ 7 มีนาคม
          - จีน วันครูตรงกับวันที่ 10 กันยายน
          - สาธารณรัฐเช็ก วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
          - อิหร่าน วันครูตรงกับวันที่ 2 พฤษภาคม
          - ละตินอเมริกา วันครูตรงกับวันที่ 11 กันยายน
          - โปแลนด์ วันครูตรงกับวันที่ 14 ตุลาคม
          - รัสเซีย วันครูตรงกับวันที่ 5 ตุลาคม
          - สิงคโปร์ วันครูตรงกับวันที่ 1 กันยายน
          - สโลวีเนีย วันครูตรงกับวันที่ 28 มีนาคม
          - เกาหลีใต้ วันครูตรงกับวันที่ 15 พฤษภาคม
          - ไต้หวัน วันครูตรงกับวันที่ 28 กันยายน
          - ไทย วันครูตรงกับวันที่ 16 มกราคม
          - สหรัฐอเมริกา วันอังคารในสัปดาห์แรกที่เต็ม 7 วันในเดือนพฤษภาคม
          - เวียดนาม วันครูตรงกับวันที่ 20 พฤศจิกายน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #74 เมื่อ: มกราคม 18, 2011, 03:02:58 PM »




ดอกมะเขือ เป็นดอกที่โน้มต่ำลงมาเสมอ ไม่ได้เป็นดอกที่ชูขึ้น คนโบราณจึงกำหนดให้เป็นดอกไม้สำหรับไหว้ครู ไม่ว่าจะเป็นครูดนตรี ครูมวย ครูสอนหนังสือ ก็ให้ใช้ดอกมะเขือนี้ เพื่อศิษย์จะได้อ่อนน้อมถ่อมตนพร้อมที่จะเรียนวิชาความรู้ต่างๆ นอกจากนี้มะเขือยังมีเมล็ดมาก ไปงอกงามได้ง่ายในทุกที่



หญ้าแพรก เป็นหญ้าที่เจริญงอกงาม แพร่กระจายพันธ์ ไปได้อย่างรวดเร็วมาก หญ้าแพรกดอกมะเขือจึงมีความหมายซ่อนเร้นอยู่ คนโบราณจึงถือเอาเป็นเคล็ดว่า ถ้าใช้หญ้าแพรกดอกมะเขือไหว้ครูแล้ว สติปัญญาของเด็กจะเจริญงอกงามเหมือนหญ้าแพรกและ ดอกมะเขือนั่นเอง




ดอกเข็ม เพราะดอกเข็มนั้นมีปลายแหลม สติปัญญาจะได้แหลมคมเหมือนดอกเข็ม และก็อาจเป็นได้ว่า เกสรดอกเข็มมีรสหวาน การใช้ดอกเข็มไหว้ครู วิชาความรู้จะให้ประโยชน์กับชีวิต ทำให้ชีวิตมีความสดชื่น



ข้าวตอก
 เป็นสัญลักษณ์ของความมีระเบียบวินัย แม้ว่าโดยธรรมชาติแล้วคนเรามักจะมีความซุกซน ความเกียจคร้าน เป็นสมบัติมากบ้าง น้อยบ้างก็ตาม ตาเมื่อเขามีความต้องการศึกษาหาความรู้ เขาก็ต้องรู้จักควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบ ในระเบียบหรือในกฎเกณฑ์ที่สถาบันได้กำหนดไว้ ใครก็ตามหากตามใจตนเอง ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ บุคคลนั้นก็จะเป็นเหมือนข้าวเปลือกที่ถูกคั่ว แต่ไม่มีโอกาสได้เป็นข้าวตอก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 3 4 [5] 6 7 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: