Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75208 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 4 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #105 เมื่อ: มกราคม 03, 2012, 08:39:03 PM »




ขออภัยด้วยค่ะ มือไว ปิดข้อความไปแย้วววว ค่อยมาหาใหม่น้ะเจ้าค่ะ :Smiley
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #106 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 11:15:34 AM »

ผลไม้แห่งความรัก…ฉบับนานาชาติ




ผลไม้แห่งความรัก…ฉบับนานาชาติ (สุขกายสบายใจ)

เรื่อง : สุธารัชฎ์ รัตนารามิก
          ผลไม้หลายชนิด เช่น แอปเปิ้ลหรือทับทิม นอกเหนือจากจะได้รับการรับรองจากนักโภชนาการว่ามีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพอย่าง ดีเยี่ยมแล้ว ยังได้รับการยกย่องให้เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความสัมพันธ์ เป็นดั่งผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ในหลายๆ ดินแดนทั่วโลก ในฉบับวันแห่งความรักปีนี้ Fruitful Tips ขอพาไปย้อนรอยตำนาน ของผลไม้ 5 อย่าง ได้แก่ แอปเปิ้ล สาเก มะพร้าว มะเดื่อ และทับทิม กับเรื่องราวของความเชื่อที่ว่าผลไม้เหล่านี้เป็นตัวแทนแห่งความรัก ที่ถูกสอดแทรกอยู่ในตำนานและเทพนิยายของวัฒนธรรมจากทั่วโลกที่แตกต่างกันออก ไป




แอปเปิ้ล ผลไม้ที่สื่อถึงการแสดงความรัก

          ในนิยายปรัมปราของกรีกบทหนึ่งได้เขียนเล่าไว้ว่า เทพเจ้า ไดโอนซุส (Dionysus) มักจะให้ผลแอปเปิ้ลกับเทพีอโฟรไดท์ (Aphrodite) เพื่อเป็นการแสดงความพึงพอใจต่อนาง และสุดท้ายก็สามารถเอาชนะใจนางได้ ทำให้ชาวกรีกเชื่อว่า ผลแอปเปิ้ลเป็นสัญลักษณ์แห่งความปิติยินดี ความอุดสมบูรณ์ และการเต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก หากลองนำผลแอปเปิ้ลมาผ่าครึ่งแล้วจะพบว่า มีลักษณะคล้ายกับปากช่องคลอดอันเป็นสัญลักษณ์แห่งความเป็นเพศหญิง ความรัก และความสวยงาม
 
สาเก ผลไม้แห่งความรัก ความมีน้ำใจต่อเพื่อมนุษย์ด้วยกัน

          สาเก หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า Breadfruit อันเนื่องมาจากการที่ผลไม้ชนิดนี้ สามรถนำมานึ่งแล้วใช้กินแทนขนมปังได้ สาเกเป็นอาหารหลักของชาวโปลินีเซีย (Polynesia) หรือประเทศโพ้นทะเลในมหาสมุทรแปซิฟิก ได้แก่ ฮาวาย ซามัวร์ และหมู่เกาะคุก ซึ่งมีนิยายโบราณที่ชาวโปลินิเซียเล่าขานต่อกันมา คือ ในสมัยที่หมู่เกาะฮาวายประสบปัญหาอดอยากชายคนหนึ่งชื่อฮูลู เสียชีวิตลงเพราะความอดอยากนี้ ศพของเขาถูกฝังอยู่ใกล้บ่อน้ำพุธรรมชาติ มีอยู่คืนหนึ่ง คนในครอบครัวของฮูลูได้ยินเสียงเหมือนคนเดินเหยียบไปไม้ดังกรอบแกรบ ตามมาด้วยเสียงหล่นดังตุบของวัตถุหนักสิ่งหนึ่ง เมื่อมาดูในตอนเช้า ก็พบว่ามีคนในหมู่บ้านมายืนมุงดูต้นสาเกที่เติบโตอยู่ใกล้ ๆ บ่อน้ำพุธรรมชาตินั้น ต่อมาผลสาเกได้กลายเป็นสิ่งที่ช่วยชีวิตทุกคนในเกาะให้พ้นจากความอดอยากได้

มะพร้าว ของขวัญบูชาความรักของทูน่า

          ประชากรในประเทศเขตร้อนที่ตาฮิติมีมะพร้าวมากมายไว้กินบนเกาะ ซึ่งมะพร้าว 1 ลูกก็สามารถกินได้ทั้งนมมะพร้าว เนื้อมะพร้าวน้ำมันมะพร้าว และยังสามารถดัดแปลงเอากะลามาใช้งานอื่น ๆ ได้อีกในตำนานความเชื่อของเกาะตาฮิติ เล่าขานกันมาว่า ความจริงแล้วมะพร้าว คือหัวของปลาไหลที่ชื่อว่าทูน่า ซึ่งไฮน่าเทพธิดาแห่งดวงจันทร์ได้มาตกหลุมรักปลาไหลทูน่า แต่เมาอิผู้เป็นน้องชายกลับพลั้งไปฆ่าทูน่าตาย และให้ไฮน่าเอาหัวปลาไหลฝังไว้ที่ก้นทะเล แต่นางกลับเอาไปฝังไว้ข้างลำธารแทน เวลาที่ยาวนานทำให้ไฮน่าลืมเลือนเรื่องทูน่าไป แต่เมื่อนึกขึ้นได้ก็รบเร้าให้เมาอิพาไปค้นหาหัวทูน่า เมื่อไปถึงข้างลำธารแล้ว สิ่งที่ไฮน่าพบกลับกลายเป็นต้นมะพร้าวที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ อาจเป็นไปได้ว่าทูน่าได้แสดงความรักต่อไฮน่า ด้วยการกลายร่างเป็นมะพร้าว และทำให้คนบนเกาะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย

มะเดื่อ ผลไม้แห่งความรักความผูกพัน

          ในพระคัมภีร์ใบเบิลบันทึกไว้ว่า ผลไม้ต้องห้ามที่อดัมกับอีฟกินคือผลแอปเปิ้ล แต่นักศึกษาพระคัมภีร์บางคนแย้งว่าผลไม้ต้องห้ามควรเป็นผลมะเดื่อมากกว่าผล แอปเปิ้ล เพราะที่มาของพระคัมภีร์อยู่ในอิสราเอล ซึ่งเป็นประเทศเมืองร้อน และไม่มีทางที่จะปลูกพืชเมืองหนาวอย่างแอปเปิ้ลได้ จากข้อโต้แย้งนี้ค่อน ข้างสัมพันธ์กับเรื่องราวในพระคัมภีร์ว่าอดัมกับอีฟใช้ใบมะเดื่อปกปิดอวัยวะ เพศ และเป็นต้นเหตุของอารมณ์ทางเพศที่ทำให้อดัมกับอีฟมีลูกหลานสืบมาจนทุกวันนี้ เพราะเรื่องราวในพระคัมภีร์นี่เองจึงทำให้มะเดื่อกลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความรักและการสืบพันธุ์ อีกตำรากหนึ่งของชาวอียิปต์โบราณ ที่นิยมใช้ลำต้นมะเดื่อป่าทำโลงศพมัมมี่ แล้วเอาผลวางที่หน้าตักคนตายเพราะเชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งการแสดงความรัก ความผูกพันต่อบุคคลที่เสียชีวิตไปแล้ว
 
ทับทิม คือตัวแทนของการแต่งงานและการเจริญพันธุ์

          ในธรรมเนียมชาวโรมันถือว่า ทับทิมเป็นผลไม้ที่แสดงถึงการแต่งงาน การมีคู่ครอง เจ้าสาวจะถูกแต่งองค์ทรงเครื่องด้วยมงกุฎที่ร้อยจากกิ่งของทับทิม เพื่อสื่อให้เห็นว่าเจ้าสาวมีความบริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนกับเทวีนาน่า ผู้เป็นพรหมจารีย์ สำหรับธรรมเนียมชาวจีนถือว่า ต้นทับทิมเป็นไม้มงคล เป็นสัญลักษณ์แห่งการเจริญพันธุ์ ความหมายถึงการมีลูกหลานมาก เหมือนดังเม็ดในผลทับทิม จึงนิยมให้ผลทับทิมเป็นของขวัญแก่บ่าวสาวในพิธีแต่งงาน เพื่ออวยพรให้มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมืองนั่นเอง
         
                       จากหลากหลายตำนานและนิทานปรัมปรานานาชาติ หากพิจารณาแล้ว ความหมายของตำนานผลไม้เกือบทุกประเทศ ส่วนใหญ่จะสื่อความหมายถึงความบริบูรณ์ ความรื่นรมย์ ความน่ายินดี เพราะไม่ว่าจะเป็นต้นไม้อะไรก็ตาม หากมีการออกดอก ออกผลแล้ว ย่อมหมายถึงพื้นที่นั้นมีความอุดมสมบูรณ์อยู่ไม่น้อย อีก ทั้งในการมอบผลไม้ให้กันเป็นของขวัญ ก็ยิ่งถือเป็นเรื่องดีที่ว่ามนุษย์เราได้มีการส่งต่อสิ่งที่ดีงามให้แก่กัน นับเป็นของขวัญทางใจที่แสดงถึงความรัก ความเอาใจใส่กันและกันได้อย่างหนึ่งเช่นกัน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #107 เมื่อ: กุมภาพันธ์ 26, 2012, 11:55:34 AM »

พิสดารจากงานศพทั่วโลก



เมื่อ ผู้หนึ่งผู้ใดในบ้านเสียชีวิต สมาชิกในครอบครัวย่อมถือเป็นหน้าที่ในการจัดการศพ ให้เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรักใคร่ไยดีในผู้ตาย ฐานะ ตลอดจนความถูกต้องตามธรรมเนียมประเพณีของท้องถิ่นนั้นๆ คราวนี้จึงขอนำเอาประวัติศาสตร์พิธีศพมาเล่าสู่กันฟัง

หลักฐานการทำศพที่ดึกดำบรรพ์ ที่สุดของโลกเห็นจะได้แก่ สุสานของมนุษย์ นีนเดอร์ธาล(Neanderthal) บรรพ ชนครึ่งคนครึ่งลิงของมนุษย์ ซึ่งขุดค้นพบทางตอนเหนือของอิรักในปี ค.ศ.1951 แต่ละศพได้รับการฝังอย่างประณีต ดินรอบๆ หลุมมีเกสรของดอกไม้ 12 ชนิดปะปนอยู่ แสดงถึงการนำบุปผชาติมาเคารพศพ


 

หลักฐานเก่าแก่ถัดมาก็คือ พีระมิดอันมโหฬาร ของชาวไอยคุปต์นั่นเอง ในครั้งกระโน้น นักบวชแห่งที่ราบลุ่มเมโสโปเตเมีย กับอียิปต์ได้ค้นพบวิธีการพิทักษ์ พระศพของฟาโรห์ โดยการทำมัมมี่ เพื่อให้คงอยู่ ตลอดกาลนาน พระศพของฟาโรห์จะถูกควักอวัยวะภายในออกแช่ น้ำเกลือ แล้วพันไว้ ด้วยผ้าชุบน้ำมัน สอง-สามเดือนหลังจากนั้น พระศพก็จะแห้งแข็งและผิวเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ แล้วมัมมี่ก็จะถูกนำไปใส่ในโลง ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นโลงศพแรกๆ ของโลก จากนั้นจึงบรรจุโลงไว้ในสุสาน พร้อมด้วยสิ่งของเครื่องใช้และสิ่งมีค่าต่างๆ ทั้งนี้ ชนไอยคุปต์เชื่อว่ากษัตริย์ของพวกเขาย่อมได้ไปเป็นผู้นำหรือพระเจ้าของปรโลก จึงควรมีข้าทาสและทรัพย์สมบัติเฉกเช่นเดียวกับเมื่อครั้งดำรงพระชนม์อยู่ใน โลกนี้



สำหรับการเผาศพนั้น มีมาตั้งแต่ครั้งในยุคหิน (Stone Age) แล้ว แต่เพิ่งเผากันอย่างมีพิธีรีตองในสมัยกรีก โดยชาวกรีกฝังใจว่า เมื่อตายแล้วก็จะไปอยู่ยังที่ใหม่ คือ สวรรค์ ดังนั้น วิญญาณของผู้ตายควรเป็น อิสระปราศจากสิ่งผูกพัน และวิธีการปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระได้ ดีที่สุด ก็คือการเผาร่างกายเสียให้สิ้นซากไปเลย

โรมัน ซึ่งเจริญรุ่งเรืองต่อ จากกรีกนั้นใช้วิธีทั้งเผาและฝัง สุสานของโรมัน ซึ่งอยู่ที่กรุงโรมนั้นมีขนาดมหึมา เรียกว่า คาทาคอมบ์ (catacomb)

ในสมัยต้นคริสตกาล ชาวยิวจัดการกับศพ โดยใช้ผ้าห่อหุ้มแล้วนำไปเก็บไว้ในถ้ำ แต่จะไม่ปิดปากถ้ำเป็นเวลา 3 วัน ในช่วง 3 วันนี้ ญาติๆ จะแวะเวียนเข้าไปคารวะศพ ด้วยเหตุผลอันใดหรือ ? ก็เนื่องจากในครั้งกระโน้นการแพทย์ยังไม่ก้าวหน้า

ไม่มีการชันสูตร ให้รู้แน่ว่าผู้ตายเสียชีวิตจริงหรือไม่ ดังนั้น จึงต้องเก็บไว้ตรวจตรากันก่อน ซึ่งก็เคยมีครับ ที่ศพฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาได้ แต่หากว่าถ้าเนื้อหนังเน่าเหม็น ก็เป็นอันว่าตายไปแล้วจริงๆ ก็ปิดปากถ้ำได้
ต่อมาในยุค กลางของยุโรป ผู้คนนิยมนำศพไปฝังไว้ใต้พื้นโบสถ์ ทั้งนี้ เพื่อให้ใกล้ชิดกับพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แล้วก็ยังมีผู้คนมาสวดมนต์ให้เป็นประจำด้วย เมื่อใครๆ ก็เอาศพญาติมาไว้โบสถ์ มิช้ามินานโบสถ์ก็เต็มไปด้วยศพ และโดยเหตุที่สมัยโน้นไม่มีการใช้น้ำยาดองศพเช่นปัจจุบัน กลิ่นเน่าจึงคละคลุ้งโบสถ์จนพระทนไม่ไหว จึงเริ่มต้นเปลี่ยนใหม่ ด้วยการทำสุสานไว้ในบริเวณด้านนอก หรือแยกไกลออกไปแล้วเอาศพไปฝังไว้ที่นั่นแทน




และ ก็ในยุคกลางนี้เอง ที่เกิดกาฬโรคระบาดมีคนตายนับไม่ถ้วน รวมทั้งมีสงครามเกิดขึ้นบ่อยๆ ซึ่งก็มีศพเกิดขึ้นมากมายเช่นกัน ผู้ตายบางรายอยู่ห่างไกลจากบ้านเกิด แต่ญาติพี่น้องต้องการศพ กลับไปทำพิธีทางศาสนา การส่งศพเดินทางไปหลายๆ วันนั้นย่อมเป็นสิ่งสาหัสสากรรจ์ ดังนั้น จึงต้องใช้วิธีการที่สะดวกกว่า นั่นคือ นำศพไปต้มเดือดนานหลายชั่วโมง จนเนื้อหนังหลุดเปื่อยออกหมด เหลือแต่กะโหลกกับโครงกระดูก จัดใส่สองสิ่งนี้ในกล่องหรือหีบ แล้วส่งไปให้ญาติโกโหติกานำไปฝังในโบสถ์หรือเก็บไว้ในปราสาทของตนเองก็แล้ว แต่

ความจริงยุโรปสมัย นั้น ก็เคยนิยมเผาศพ แต่การเผาต้องใช้ฟืนเป็นปริมาณมาก กว่าศพจะมอดไหม้เป็นเถ้า ก็ทำเอาต้นไม้ใกล้จะหมดป่า จึงต้องหันกลับมาใช้วิธีฝังอีก




สู้พวกทิเบตในยุคกลางเดียวกันนี้ไม่ได้ เพราะชาวทิเบต จะนำร่างศพไปวางไว้ในลานวัด แล้วปล่อยให้สุนัขแทะทึ้งกินซากศพ !! ถือกันว่าสุนัขเหล่านี้เป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ การถูกกัดกินจึงเป็นการได้ รับเกียรติ

ในอินเดียก็คล้ายกับทิเบต ชนฮินดูบางเผ่าจะมีสถานศักดิ์สิทธิ์ที่เรียกว่า “หอคอยแห่งความสงัด” เป็นบริเวณที่มีรั้วกั้นโดยรอบและมีแท่นหิน พวกเขาจะนำศพไปวางบนแท่นหินเพื่อให้แร้งมาจิกกิน บางคนอาจคิดว่าป่าเถื่อน แต่จริงๆ แล้วพิธีนี้มีความเชื่อแฝงอยู่ นั่นคือพวกเขาใช้นกเป็นเครื่องมือในการย่อยสลายซากศพให้สิ้นไป และเมื่อนกบินไปพร้อมกับถ่ายอุจจาระตามที่ต่างๆ ก็เป็นการกระจายวิญญาณของผู้ตายให้ไปสิงสถิตหรือเกิดใหม่ ยังที่นั้นๆ ฟังแล้วก็ละม้ายกับการลอยอังคารของเราเหมือนกัน




และ อีกวิธีการหนึ่ง ของชาวฮินดูที่ทำกันมานานนับพันปีแล้ว ก็ได้แก่ นำศพไปทิ้งลงในแม่น้ำคงคา โดยถือว่าเป็นแม่น้ำ ศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำดวงวิญญาณไปสู่สวรรค์ ผลก็คือมีซากศพลอยตุ๊บ ป่องๆ เหม็นตลบเกลื่อนแม่น้ำคงคา จนรัฐบาลอินเดียต้องขอความร่วม มือกับราษฎร ให้เปลี่ยนมาใช้วิธีการเผา เพื่อเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
แต่…การเผาศพตามประเพณีฮินดูนั้นก็กลับส่งผลร้ายกาจเนื่องจากมีธรรมเนียมที่ให้ ภรรยาของผู้ตายโดดเข้ากองไฟตายไปพร้อมๆ กับสามี

การให้สุนัขหรือแร้งกินซากศพก็ยังพอฟังได้ แต่บางชนชาติถึงขั้นกินศพญาติตัวเอง !! ชนเหล่านั้นมีมาแต่โบราณกาล เช่น ชาวแอสเท็คแห่งอเมริกากลาง ชนเมลานีเซีย แห่งแปซิฟิกตอนใต้ ชาวเกาะปาปัวนิวกินี แม้กระทั่งชาวพื้นเมืองทางตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกา ชนอินเดียบางเผ่าถือว่าการกินเนื้อบรรพบุรุษ เป็นการเพิ่มพละกำลังและอำนาจให้กับตน





ในปี ค.ศ.1861 เมื่อสงครามกลางเมือง ระหว่างรัฐเหนือ-ใต้ของอเมริกาบังเกิดขึ้น ปัญหาเรื่องศพยังไม่ค่อยมีเท่าใดนัก แต่เมื่อสงคราม ดำเนินไป 4 ปี จำนวนผู้ล้มตายทั้ง 2 ฝ่าย มีถึง 66,000 ศพ เรียกว่าไม่มี ครอบครัวใดในสหรัฐฯ ที่จะไม่ได้รับผลกระทบจากสงครามนี้ ผู้ที่อยู่ข้างหลังต่างก็อยากได้ศพลูก หรือหลานชายของตน กลับมาทำพิธีทางศาสนา



ดังนั้น ประธานาธิบดีลินคอล์นจึงมีคำสั่งให้ศัลยแพทย์ใช้วิธีดองศพไม่ให้เน่าเหม็น แล้วส่งให้กับครอบครัวของผู้ตาย หมอคนแรกที่ดำเนินการนี้ชื่อว่า ดร.โธมัส โฮล์มส์ เขาปฏิบัติการโดยเริ่มจากนำศพทหาร ไปฝังพร้อมกับจดจำตำแหน่งหลุมศพไว้ แล้วเขียนจดหมายถึงพ่อแม่หรือเมียของผู้ตาย ถ้าหากทางครอบครัวอยากได้ศพ หมอโฮล์มส์ก็จะลงมือดองหรือสตัฟฟ์ ด้วยการใช้น้ำยาที่มีสารหนูเข้มข้น สารหนูนั้นเป็นสารพิษและจะฆ่าจุลินทรีย์ทั้งหลายที่เป็นตัวการให้ศพเน่าเหม็นและมีกลิ่น หมอโฮล์มส์อัดน้ำยาสารหนูเข้าสู่ร่างศพโดยใช้เครื่องสูบน้ำมือโยก น้ำยาจะเข้าไปแทนที่เลือดซึ่งถูกระบายออกมา วิธีการนี้ได้ผลอย่างสมบูรณ์ ศพทหารทั้งหลายเดิน ทางกลับบ้านโดยปราศจากกลิ่นเน่าเหม็นแต่อย่างใด

ทุกวันนี้ การจัดการศพได้แปรเปลี่ยนไปในสภาพที่น่าดูขึ้น แม้กระทั่งโลงศพก็ได้รับการออกแบบที่หรูหราวิจิตร โดยมีบริษัทผลิตโดย เฉพาะ เช่น บริษัท บาเตสวิลล์ คาสเก็ต ซึ่งใหญ่ที่สุดในอเมริกา มีอัตราการผลิตโลงศพเร็วถึง 53 วินาที/1 โลง หลายรูปแบบและสีสัน





และ ศพไหนที่ยังไม่ตายจริง ก็ไม่ต้องกลัวโดนฝังทั้งเป็น เพราะมีแบบกรุ กระจกไว้ด้านหนึ่ง ระหว่างตั้งทำพิธี ถ้าหากมีไอน้ำมาเกาะกระจกด้านใน ก็แสดงว่าร่างที่นอนอยู่นั้นยังมีชีวิตอยู่ อีกแบบจะเป็นโลง ที่มีสายกระดิ่งห้อยอยู่ข้างใน และตัวกระดิ่งอยู่ภายนอก ถ้าศพฟื้นคืนชีพขึ้นมา ก็สามารถดึงกระดิ่งให้คนมาช่วยได้ (ถ้าไม่ตาแหกเผ่นหนีไปก่อน)

แต่ ที่ทันสมัยที่สุดน่าจะเป็น บริษัท เซเลสติส แห่งเมืองฮิวส์ตัน, สหรัฐฯ บริษัทนี้รับบริการส่งอัฐิของผู้ตายออกไปอวกาศ! ด้วยสนนราคาที่แพงกว่าพิธีศพทั่วไปราว 4 เท่า ในการนี้เจ้าภาพจะต้องจัดการเผาศพให้เหลือเถ้าอัฐิหนัก 14 กรัมส่งให้แก่บริษัท ซึ่งบริษัทจะคัดเอาเพียง 7 กรัม บรรจุใส่โกศ จารึกชื่อ แล้วใส่ในแคปซูลอีกทีหนึ่ง จากนั้นก็ยิงส่งสู่อวกาศด้วยจรวด แคปซูลจะล่องลอยอยู่นอกโลกราว 30-40 ปี แล้วก็ตกกลับสู่ชั้นบรรยากาศ และเสียดสีกับอากาศมอดไหม้เป็นจุณไปเช่นเดียวกับดาวตก


 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #108 เมื่อ: มีนาคม 02, 2012, 09:36:28 PM »

8 อาหาร ที่ทำให้ง่วงนอนตลอดเวลา


[color=purple]คุณเคยส่งสัยตัวเองบ้างไหมค่ะว่าทำไมถึงได้มีอาการง่วงนอนตลอด เวลาไม่ว่าจะ ทำอะไรก็ตาม นั้นคุณลองสังเกตตัวเองดูนะค่ะว่าได้กินอาหารที่มีสาเหตุของการง่วงนอนตลอดเวลาบ้างรึเปล่าค่กาแฟ ดื่มกาแฟตอนเช้าโดยที่กระเพาะอาหารยังว่างเปล่าจะทำให้ง่วงได้ เพราะหลังจากดื่มกาแฟได้ 30 นาที กาเฟอีนจะเข้าไปในกระแสเลือดและไปที่สมองส่งผลให้ออกซิเจนที่ส่งไปยังสมองถูกสกัดกั้นแล้วความง่วงก็จะตามมา


2. กล้วย เป็นผลไม้ที่ให้พลังงานอย่างรวดเร็วช่วยสลายความเครียด ฮอร์โมนเซโรโทนินและนอร์เอพิเนฟรินจากกล้วยจะช่วยให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนแห่งความสุข แต่ถ้ารับประทานกล้วยมากเกินไปจะทำให้เราเกียจคร้านและไม่อยากขยับเคลื่อนไหวร่างกาย


3. ช็อกโกแลต สาร Phenylethylamine ในช็อกโกแลตจะทำให้ง่วงนอน ดังนั้น ช็อกโกแลตจึงเปรียบเสมือนยาที่ช่วยให้นอนหลับและถ้าหากมีโกโก้ในปริมาณสูงก็จะทำให้รู้สึกมีความสุข


4. ครัวซองต์ หากรับประทานครัวซองต์ 2-3 ชิ้นจะรู้สึกง่วงนอน เพราะครัวซองต์มีปริมาณแป้งขัดขาวมากและอุดมไปด้วยไขมันอีกด้วยซึ่งไขมันจำเป็นต้องใช้พลังงานในการย่อย ดังนั้น เมื่อรับประทานครัวซองต์เข้าไปร่างกายก็จะดึงเลือดจากสมองไปที่กระเพาะเป็นจำนวนมากเมื่อสมองมีเลือดหล่อเลี้ยงไม่เพียงพอก็จะทำให้ง่วงนอน หากคุณต้องทำงานเร่งด่วนก็ควรรับประทานครัวซองต์ได้แค่ชิ้นเล็กๆ หนึ่งชิ้น


5. ขนมปังขาวและข้าวขาว อาหารทุกชนิดที่ทำมาจากแป้งขัดขาวเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจะทำให้ง่วง เหตุผลก็คือ มันเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดเร่งด่วนจึงทำให้ตับอ่อนต้องหลั่งอินซูลินออกมามาก จึงทำให้น้ำตาลในเลือดขึ้นสูงและทำให้ง่วงนอน


6. ถั่วเปลือกแข็ง มีกากใยอาหารมากซึ่งจะไปชะงักกระบวนการย่อยอาหารและยังถูกส่งต่อไป ยังลำไส้ ใหญ่โดยไม่ได้ย่อย และกระตุ้นแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่มีหน้าที่จัดการกับกากใยอาหาร ผลก็คือทำให้ท้องอืดเฟ้อและง่วงนอนโดยเฉพาะถ้ารับประทานถั่วผสมเกลือก็จะ ทำลายวิตามินบางชนิด เช่น วิตามินบีซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า


7. ของหวาน เช่น ขนมหวาน เค้ก คุกกี้ เครื่องดื่มหวานๆ น้ำตาล ทำให้ง่วงนอนและยังเป็นตัวแย่งวินามินบีไปจากร่างกายเราด้วย เช่น วิตามินบี 1 บี 3 บี 6 และกรดโฟลิก และเมื่อร่างกายขาดแคลนวิตามินดังกล่าวก็จะทำให้เรี่ยวแรงถดถอยจึงส่งผลให้รู้สึกง่วง


8. ผลิตภัณฑ์นมหรือโยเกิร์ต เป็นอาหารที่มีประโยชน์แต่ถ้ารับประทานโยเกิร์ตเข้าไปมากก็จะทำให้ร่างกาย ได้รับแคลเซียมและโปรตีน แต่ในขณะเดียวกันโปรตีนที่ว่านี้ก็จะแยกกรดอะมิโนจากร่างกายซึ่งจะส่งผลให้มีกรดมากเกินในร่างกายและทำให้ง่วงตลอดเวลา


 
 
ขอบคุณ LISAWEEKLY
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #109 เมื่อ: มีนาคม 02, 2012, 09:38:26 PM »

คนไทยกับภัย "อาหารถุง" 
 

เชื่อหรือไม่ อาหารถุงทั่วเมืองไทยปนเปื้อนเชื้อโคลิฟอร์มเกินครึ่ง โดยเฉพาะเมนูที่ปรุงด้วยกะทิ พวกแกงเผ็ด แกงเขียวหวาน รวม ถึงขนมไทย ที่เข้าป้ายมาเป็นอันดับหนึ่ง ตามมาติดๆ ด้วยอาหารประเภทผัดและผักลวก

        เชื้อโคลิฟอร์ม เป็นแบคทีเรียก่อโรคทางเดินอาหาร ที่ทำให้เกิดอาการตั้งแต่อาเจียน เป็นไข้ ปวดศีรษะ ท้องร่วง จนถึงขั้นร้าย แรงคือเสียชีวิตได้ แต่หากจะให้งดอาหารถุงเลยคงเป็นเรื่องยาก ฉะนั้นการกินอาหารถุงให้ปลอดภัยจึงอยู่ที่การเลือกซื้อจากร้านที่ ทำอาหารสะอาด คนขายสะอาด ภาชนะสะอาด มีเตาอุ่นร้อนตลอดเวลา และเมื่อซื้อกลับบ้านแล้วต้องอุ่นให้ร้อนอีกครั้งก่อนรับ ประทาน เพราะเชื้อโรคนี้จะตายเมื่อโดนความร้อน ที่สำคัญควรซื้อแต่พอรับประทานเท่านั้น


ที่มา .... Health & Cuisine
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #110 เมื่อ: มีนาคม 02, 2012, 09:41:48 PM »

7 จุดอันตรายในบ้าน 


คุณพ่อคุณแม่ทั้งหลายคะ อย่าเพิ่งวางใจว่า บ้านคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้วสำหรับลูก หากยังไม่ได้จัดการบ้านให้เรียบร้อย เจ้าตัวเล็กอาจจะเจ็บตัว เพราะจุดอันตรายในบ้านเหล่านี้ได้

1.พื้นห้อง

         ควรรีบเช็ดพื้นห้องเปียกชื้นให้แห้ง หรือห้ามไม่ให้เด็กไปเล่นในบริเวณที่มีพื้นลื่น ๆ เพราะอาจจะทำให้ลื่นหกล้ม

         ทำความสะอาดพื้นให้เกลี้ยง อย่าให้มีเศษของเล็ก ๆ เช่น กระดุม เมล็ดถั่ว ลวดเย็บกระดาษ ข้าวสาร ยา ตกหล่นหลงเหลืออยู่ เพราะลูกอาจจะเก็บกินเข้าไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และติดคอเป็นอันตรายได้

         หากใช้พรมปูพื้น ควรหมั่นดูดฝุ่นออกจากพรม เพื่อไม่ให้เกิดการหมักหมมเก็บฝุ่นและเชื้อโรคเอาไว้

         ขณะปัดกวาดทำความสะอาด ควรแยกให้เด็กอยู่ที่ห้องอื่น

2.ตู้-โต๊ะ

         ปิดล็อกตู้ ลิ้นชักทุกครั้ง เพื่อกันเด็กไปดึงหรือเปิดเล่น เพราะของในตู้หรือลิ้นชัก อาจจะหล่นลงมาทับเด็กได้

         ตู้หรือลิ้นชักที่เก็บของใช้ที่มีอันตราย เช่น ยา ผงซักฟอก น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ หรือของมีคมอย่าง มีด กรรไกร ต้องเก็บให้มิดชิด ล็อกให้ดีทุกครั้ง หรือนำไปเก็บในที่ที่แน่ใจว่าปลอดภัยพ้นมือเด็ก เพื่อป้องกันเด็กเอาของอันตรายเหล่านี้ไปเล่น

         หิ้งวางของที่แขวนตามข้างฝา ควรติดตั้งให้มั่นคง ไม่ควรใส่ของมากจนรับน้ำหนักไม่ไหว และบอกให้ลูกรู้ว่าหิ้งไม่ใช่ปีนป่ายเล่นสำหรับเด็ก ๆ

         หากโต๊ะที่ใช้มีมุมแหลมเหลี่ยมคม ซึ่งเป็นอันตรายกับลูก ควรหาซื้อยางปิดมุมมาใส่เพื่อป้องกัน และถ้าไม่จำเป็นต้องใช้ ก็ควรเลิกใช้ไปก่อน (โดยเฉพาะโต๊ะกระจกที่แตกง่าย)

         ไม่ควรใช้ผ้าคลุมโต๊ะหรือโต๊ะกาแฟ เพราะเด็กอาจจะดึงชายผ้าทำให้ของบนโต๊ะเช่น แก้ว จาน ชาม ตกแตก หรือน้ำร้อน ๆ หกมาโดนลูกได้

3.ประตู-หน้าต่าง

         ปิดประตูหรือหน้าต่างที่ไม่ได้ใช้งานให้ดี เพื่อป้องกันอันตรายจากการถูกประตูหน้าต่างหนีบมือ

         เมื่อเปิดปิดประตู ควรระวังประตูกระแทกโดนเด็กที่อยู่ใกล้ ๆ ประตูด้วย และไม่ควรปล่อยให้เด็ก ๆ มาเล่นแถวประตูและหน้าต่างซึ่งเป็นจุดที่เกิดอันตรายได้ง่าย

         ลูกบิดประตูควรอยู่สูงพ้นมือเด็ก เพื่อกันการเปิดหรือปิดล็อกขังตัวเอง

         สำหรับประตูห้องที่ไม่ต้องการให้ล็อก เช่น ห้องน้ำ คุณพ่อคุณแม่อาจใช้ผ้าขนหนูผืนเล็ก ๆ พาดที่ขอบประตูเพื่อกันการล็อกได้ และควรมีกุญแจสำรองไว้เสมอ

4.บันได

         ให้ติดประตูกั้นตรงบริเวณทางลงบันได และลงกลอนให้แน่นหนาทุกครั้ง เพื่อป้องกันเด็กพลัดตกลงมา

         อย่าปล่อยให้ลูกเล็กขึ้นลงบันไดตามลำพัง ถึงแม้ว่าจะเริ่มขึ้นบันไดเป็นบ้างแล้วก็ตาม

         ติดยางที่ขอบบันไดเพื่อกันลื่นและปิดเหลี่ยมคม ๆ ของบันได

5.ปลั๊กไฟ

         ถ้าปลั๊กไฟอยู่ต่ำใกล้มือเด็ก ควรใส่ที่ครอบปลั๊กไฟไว้ เพื่อป้องกันเด็กถูกไฟดูดจากการเล่นปลั๊กไฟ

         บริเวณใดในบ้านที่ไม่มีการใช้ไฟฟ้า หรือนาน ๆ ถึงจะใช้ที ก็ควรสับสะพานไฟลงเสีย

6.ของใช้ไฟฟ้า

         เครื่องใช้ไฟฟ้าให้ความร้อน เช่น เตารีด เตาอบ เครื่องปิ้งขนมปัง ต้องเก็บหรือตั้งไว้ที่พ้นมือเด็ก และต้องบอกกับเด็กว่าของเหล่านี้ร้อนมาก ห้ามจับหรือเล่นเด็ดขาด

         ย้ำเตือนถึงอันตรายของเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น พัดลม เครื่องดูดฝุ่น เตาร้อนต่าง ๆ ฯลฯ ให้ลูกจดจำและระวังตัวอยู่เสมอ

         หลังใช้งานควรเก็บให้เรียบร้อย ไม่ปล่อยสายไฟยาวเกะกะ เพราะสายไฟอาจจะทำให้สะดุดหกล้ม หรือพันคอเด็กจนหายใจไม่ออกได้

         ควรปิดฝาถังเครื่องซักผ้าทุกครั้ง ทั้งในระหว่างและหลังจากใช้งานเสร็จ เพื่อป้องกันอันตรายจากการปีนเข้าไปเล่น หรือพลัดตกลงไปในเครื่องซักผ้า

7.อ่างน้ำ-สระว่ายน้ำ

         ทิ้งให้เด็กเล็กเล่นน้ำ อาบน้ำตามลำพัง ไม่ว่าจะเป็นในอ่างน้ำ สระว่ายน้ำ หรือในถังน้ำตามลำพัง เพราะน้ำตื้น ๆ ก็ทำให้เด็กจมน้ำได้

         ถ้าที่บ้านมีสระว่ายน้ำ บ่อเลี้ยงปลา ควรเพิ่มความระวังเป็นพิเศษ และถ้าเป็นไปได้ควรทำรั้วหรือประตูกั้นที่มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กเข้าไปเล่นได้
เพื่อลูกรักปลอดภัย

        การป้องกันอันตรายที่ดีที่สุดสำหรับลูกซึ่งพ่อแม่ทำได้ก็คือ ไม่ทิ้งลูกไว้คนเดียว
 
        อย่ามองข้ามความสามารถของเด็ก ๆ เช่น คิดว่าลูกตัวเท่านี้ยังปีนที่สูง ๆ ไม่เป็น เพราะความประมาทนี้จะทำเกิดอุบัติเหตุกับลูกได้ง่ายขึ้น

        อย่าละเลยจุดอันตรายต่าง ๆ เพราะคิดว่าบ้านของเราปลอดภัยดีแล้ว

        การติดตั้งอุปกรณ์ป้องกันต่าง ๆ เช่น ยางปิดปลั๊กไฟ ที่ล็อกตู้-ลิ้นชัก ราวกั้นหน้าต่างและบันได จะเป็นทางหนึ่งที่ช่วยลดอุบัติที่จะเกิดขึ้นกับเด็ก ๆ ได้




FW
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #111 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 08:19:22 PM »

คุณประโยชน์ของปลากระป๋อง




รู้ กันอยู่แล้วว่าปลามีประโยชน์มากมาย เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ย่อยง่าย อุดมด้วยสารทอรีนซึ่งมีผลต่อพัฒนาการทางสมองของเด็ก และมีกรดไขมันจำเป็นที่ชื่อ น้ำมันปลา หรือโอเมก้า 3 ซึ่งสามารถใช้ลดไขมันในเลือด ลดความดันเลือด และยังแก้อาการอักเสบในร่างกายได้

         ปลากระป๋องก็มีคุณสมบัติเช่นเดียวกับเนื้อปลาธรรมชาติ แต่จุดอ่อนของปลากระป๋องก็คืออยู่ในกระป๋องและไม่สดเช่นเดียวกับปลาจากแหล่ง น้ำ ที่อร่อยกว่า

ทอรีน เป็นกรดอมิโนที่พบมากในปลาและสัตว์น้ำ สารตัวนี้จำเป็นสำหรับสุขภาพของประสาท กล้ามเนื้อ และเกล็ดเลือดของเรา หากร่างกายได้รับทอรีนไม่พอในเด็กอาจจะมีผลกระทบต่อพัฒนาการทางสมอง โดยเฉพาะเด็กที่ดื่มนมวัว แต่ในนมแม่มีทอรีนเพียงพอ

สรุปบทบาทของทอรีนต่อสุขภาพโดยทั่วไป คือ สามารถ ลดอัตราเสี่ยงต่อโรคหัวใจขาดเลือด ช่วยขับคอเลสเตอรอลออกจากร่างกาย ช่วยป้องกันตับอักเสบโดยเฉพาะในรายที่กินเหล้ามาก่อน ช่วยควบคุมน้ำตาลในรายที่เป็นเบาหวาน ช่วยให้เลือดไหลเวียนได้คล่องและช่วยป้องกันอาการซึมเศร้า

      น้ำมันปลา หรือกรดไขมันจำเป็นชนิดโอเมก้า 3 มีชื่อเรียกอย่างอื่นคือกรด EPA (eicosapentaenoic acid) และ DHA (docosahexaenoic acid) คนละอย่างกันและมีประโยชน์ต่างจากน้ำมันตับปลา ซึ่งเป็นวิตามินเอ


บทบาทที่สำคัญของน้ำมันปลาคือ จะ ช่วยลดอาการอักเสบนานาประการทั่วร่างกาย หากกินมากพอจะช่วยควบคุมระดับไขมันในเลือด ลดได้ทั้งคอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันเลือดสูง ป้องกันอาการกังวล อาการซึมเศร้า และป้องกันมะเร็ง

         รู้เช่นนี้แล้ว หันมากินปลากันเถอะ หรือหากมีปลากระป๋องในบ้าน จะได้รื้อเอาออกมากินก่อนจะหมดอายุ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #112 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 08:23:18 PM »

เติมพลังความสดชื่นด้วยแอปเปิ้ลและเบอร์รี่ 



เติมพลังความสดชื่นด้วยแอปเปิ้ลและเบอร์รี่


สวย ใส เปล่งประกายออร่า วิ้ง ๆ มาแต่ไกล เป็นสิ่งที่สาว ๆ หลายคนใฝ่ฝัน แต่จะทำยังไงให้เข้าใกล้สิ่งนั้นได้มากที่สุด!!

วันนี้มีทางลัดที่ลับเฉพาะมาบอกสาว ๆ ด้วยการเลือกกินผลไม้ สีสันน่ากินแถมชื่อยังน่ารักอย่าง “แอปเปิ้ล” และ “เบอร์รี่”  ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุ วิตามินและสารอาหารที่มีส่วนช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดชื่นมีเสน่ห์สดใส จนหนุ่ม ๆ เหลียวมองจนตัวเอียง ที่สำคัญยังช่วยชะลอความเสื่อมโทรมของผิวพรรณไม่ให้ร่วงโรยไปกับกาลเวลาอีกด้วย 

ประโยชน์ของแอปเปิ้ลและเบอร์รี่มีข้อมูลจาก “วอลล์  ฟรุตทาเร่” เผยไว้ว่า แอปเปิ้ลได้ชื่อว่าเป็นราชาแห่งผลไม้ลดน้ำหนัก

กินแอปเปิ้ล 1 ผลโดยไม่ปอกเปลือกจะมีพลังงาน 80 แคลอรี่ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิด อาทิ เบต้าแคโรทีน วิตามินซี และสารในกลุ่มฟลาโวนอยด์ ซึ่งมีส่วนช่วยให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นและยังเป็นสารต้านอนุมูลอิสระช่วยในการเสริมสร้างคอลลาเจนภายใต้ชั้นผิว ทำให้ผิวพรรณสดใส น้ำตาลที่อยู่ในผลแอปเปิ้ลเป็นน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว ที่ร่างกายสามารถดูดซึมและนำไปใช้ประโยชน์ได้ในเวลาไม่เกิน 10 นาที ดังนั้นการกินแอปเปิ้ลจึงมีส่วนช่วยลดความอยากอาหารและควบคุมน้ำหนักได้ นอกจากนี้เปลือกและเนื้อมีเส้นใยอาหาร “เพคติน” ช่วยเพิ่มกากใยในระบบทางเดินอาหาร ทำให้อวัยวะในทางเดินอาหารมีการทำงานเป็นปกติ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย

ส่วนสาว ๆ ที่อยาก “สวยไม่มีวันหยุด กับผลไม้ตระกูลเบอร์รี่” ไม่ว่าจะเป็น สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ราสเบอร์รี่ แบล็คเบอร์รี่

นอกจากลักษณะผลที่มีความสวยงามน่ากิน มีรสเปรี้ยวอมหวานสีสันสดใส และยังอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยบำรุงผิวพรรณ ชะลอความชราสายตา และยังป้องกันโรคมะเร็งได้อีกด้วย

“บลูเบอร์รี่” เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ในเมืองหนาว มีผิวสีน้ำเงินเข้ม อุดมไปด้วยกากใยอาหารสูงโดยเฉพาะเพคติน ทำหน้าที่ช่วยลดระดับคอเลส เตอรอล และช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด รวมถึงสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณที่สูง ที่ช่วยต้านการทำลายเซลล์ของร่างกาย ช่วยชะลอความแก่ บำรุงร่างกาย ระบบประสาทและความจำ

ส่วน “ราสเบอร์รี่” อุดมไปด้วยวิตามินเอและบี ที่มีส่วนช่วยในการบำรุงผิวพรรณทำให้ผิวพรรณสดใส โพแทสเซียม วิตามินเค และ ไบโอฟลาโวนอยด์ ที่ช่วยในการแข็งตัวของเลือด สารสีแดงในราสเบอร์รี่มีคุณสมบัติช่วยในการหมุนเวียนโลหิต และสารต้านอนุมูลอิสระ ที่สามารถลดความเสี่ยงการเป็นโรคมะเร็งบางชนิดและอัลไซเมอร์
 
“แบล็คเบอร์รี่” เป็นแหล่งที่มีกรดฟีโนลิก วิตามินซี และโฟเลตสูงสุด ช่วยเสริมสร้างและฟื้นฟูคอลลาเจนได้ ทำให้ผิวหนังไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร แบล็คเบอร์รี่มีสารเคมีชนิดหนึ่งเรียกว่า “ซาลิไซเลต” ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้และโรคหัวใจ และ “สตรอเบอร์รี่” ถือเป็นผลไม้ที่ให้วิตามินซีสูงรวมไปถึงวิตามินเอ ธาตุเหล็กฟอสฟอรัส และแคลเซียม สำหรับวิตามินซีและวิตามินเอนั้นเป็นสารสำคัญที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ บำรุงสายตา สตรอเบอร์รี่จึงเป็นผลไม้ที่มีประสิทธิภาพในการต้านอนุมูลอิสระได้สูงกว่าผลไม้อื่น ๆ นอกจากนี้ยังช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งส่งเสริมการทำงานของสมอง ช่วยล้างสารพิษในร่างกาย โรคหลอดเลือดอุดตัน

รู้สรรพคุณของผลไม้ที่มากด้วยคุณประโยชน์ทั้งแอปเปิ้ลและเบอร์รี่กันไปแล้ว สาว ๆ อย่าลืมลองมองหาผลไม้ซูเปอร์ฟรุ๊ตทั้งสองมาเติมพลังความสดชื่นสดใสให้ตัวเอง ถ้าไม่มีเวลาหรือไม่สะดวกลองมองหาผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ตามท้องตลาดมากมายที่มีคุณประโยชน์มาทดแทน อาทิ น้ำผลไม้หรือจะเป็นไอศกรีมรสผลไม้ปราศจากไขมัน นอกจากอร่อยสดชื่นมีประโยชน์แถมคงรสชาติของผลไม้สด ๆ ให้สาว ๆ ได้ลิ้มลองความอร่อยได้อีก.


 
 
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #113 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 08:24:28 PM »

ประโยชน์ดีดีของส้มตำ



ประโยชน์ดีดีของส้มตำ ส้มตำชื่อที่ใครหลายๆ คนมักรู้จักกันดี ทั่วทุกภาคต่างชื่นชอบเพราะนอกจากส้มตำจะมีรสชาติเผ็ดร้อนและยังทำให้สาวๆ ไม่อ้วนอีกด้วย

ส้มตำเป็นอาหารยอดนิยม ประเภทหนึ่ง  ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันมีรสชาติอร่อยและถูกปากคนไทยหลายๆ คน ทั่วทุกภาคของประเทศไทย   แต่จะมีใครรู้บ้างว่านอกจากความอร่อยแล้ว  ส้มตำมีประโยชน์อย่างอื่นอีกหรือไม่

ส้มตำนั้นเป็นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา คุณค่าจากพืชสมุนไพรที่เป็นองค์ประกอบในส้มตำ  อาทิ
มะละกอ เป็นยาบำรุงน้ำนม ขับพยาธิ แก้บิด แก้เลือดออกตามไรฟัน แก้ริดสีดวงทวาร ช่วยย่อยอาหาร ขับน้ำดี น้ำเหลือง
มะเขือเทศ รสเปรี้ยว เป็นผักที่ใช้แต่งสีและกลิ่นอาหาร ช่วยระบาย บำรุงผิว
มะกอกรสเปรี้ยว ฝาด หวาน แก้โรคธาตุพิการเพราะน้ำดีไม่ปกติแก้บิด แก้โรคเลือดออกตามไรฟัน ผลสุกทำให้ชุ่มคอ แก้กระหายน้ำ
พริกขี้หนู รสเผ็ดร้อนช่วยเจริญอาหาร ขับลม ช่วยย่อย
กระเทียม รสเผ็ดร้อน ขับลมในลำไส้ แก้ไอ ขับเสมหะ ช่วยย่อยอาหาร แก้โรคผิวหนัง น้ำมันกระเทียมมีฤทธิ์ยับยั้งการเจริญของเชื้อรา แบคทีเรีย
และไวรัส ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในหลอดเลือด
มะนาว เปลือกผลรสขม ช่วยขับลมน้ำในลูกรสเปรี้ยวแก้เสมหะ แก้ไอ แก้เลือดออกตามไรฟัน ฟอกโลหิต
ผักแกล้มต่างๆ ได้แก่ ถั่วฝักยาว รสมันหวาน ช่วยกระตุ้นการทำงานของกะเพาะลำไส้ บำรุงธาตุดิน
กะหล่ำปลีรสจืดเย็น กระตุ้นการทำงานของกระเพาะลำไส้ บำรุงธาตุไฟ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #114 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 08:26:08 PM »

กินแป้งคืนชีพมะเร็งเต้านม



คนที่เพิ่งพ้นจากภัยโรคมะเร็งเต้านม หากคุณยังชื่นชอบอาหารคาร์โบไฮเดรต อาจนำโรคร้ายกลับมาเยือนได้

        ข้อมูลจากทีมวิจัยมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานดิเอโก พบว่าอาหารจำพวกแป้ง(คาร์โบไฮเดรต) เช่น มันฝรั่ง ข้าว พาสต้า ขนมปังขาว ฯลฯ ล้วน ส่งผลให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นมะเร็งเต้านมอีกครั้งได้ เพราะหลังจากแป้งเข้าสู่ระบบการย่อยในร่างกายแล้ว จะไป กระตุ้นระดับอินซูลินในเลือดให้สูงขึ้น กลายเป็นอาหารให้เซลล์มะเร็งเต้านมเติบโตขึ้นใหม่นั่นเอง

         โดยผลทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง ทำให้ทราบว่าการกินแป้งวันละ 233 กรัม อาจคืนชีพมะเร็งเต้านมได้ประมาณร้อยละ 14 ภายในหนึ่งปีเท่านั้น และที่สำคัญยังอาจไป กระตุ้นมะเร็งอื่นๆ ได้อีก

เห็นอย่างนี้แล้วยอมเทใจให้โฮลวีทดีกว่า สบายใจกว่ากันเยอะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #115 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 08:41:46 PM »

ดวงอาทิตย์ ส่องแสงได้อย่างไร


ดวง อาทิตย์เป็นกลุ้มก้อนก๊าซที่มีขนาดมหึมาในระบบสุริยะจักรวาลของเรา ในใจกลางของกลุ้มก้อนก๊าซก้อนนี้มีอุณหภูมิสูงประมาณ 13,000,000 องศาเซลเซียส

ซึ่งเป็นผลมาจากปฏิกิริยานิวเคลียร์ ทำให้ก๊าซไนโตรเจนเปลี่ยนไปเป็นก๊าซฮีเลียมในระหว่างที่เกิดปฏิกิริยานี้ อยู่ พลังนิวเคลียร์ส่วนหนึ่งก็ถูกปล่อยออกมาซึ่งมีบางส่วนที่มาถึงโลกของเรา ในรูปของแสงและความร้อนเราเรียกว่า แสงอาทิตย์

หากโลกของเราปราศจาก แสงอาทิตย์แล้ว สิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ก็ไม่อาจจะมีชีวิตดำรงอยู่ได้ เพราะสิ่งมีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยแสงอาทิตย์ จะเห็นว่ามนุษย์เราใช้พืชและสัตว์เป็นอาหาร ในขณะที่สัตว์กินพืชเป็นอาหารและพืชก็ใช้แสงอาทิตย์มาช่วยในการสังเคราะห์ แสงต่ออีกทอดหนึ่งด้วย ดังนั้นจุดเริ่มต้นของชีวิตจึงมาจากแสงอาทิตย์

ความ ร้อนที่เราได้รับจากเชื้อเพลิงประเภทน้ำมันหรือถ่านหินก็ดี สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ล้วนแต่มีจุดกำเนิดมาจากแสงอาทิตย์ทั้งสิ้น เพราะถ่านหินก็คือซากของพืชในสมัยก่อนประวัติศาสตร์และน้ำมันก็คือซากของ สิ่งมีชีวิตที่หมักหมมกันมานับเป็นล้านๆ ปี นักวิทยาศาสตร์ได้คาดการณ์ว่าอีกประมาณ 1 ล้านปีข้างหน้า ดวงอาทิตย์จะดับ นั่นก็หมายความว่าอีก 1 ล้านปีข้างหน้า สิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่อยู่บนโลกย่อมดับสูญไปด้วย ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นมนุษย์คงจะต้องคิดค้นหาวิธีการเพิ่อความอยู่รอดของตน ต่อไป



ข้อมูลจาก : ปัญหา 108 วิทยาศาสตร์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #116 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 09:47:39 PM »

ยาสลบกับการศัลยกรรม



ความ กังวลอีกประการหนึ่งของผู้ที่ตัดสินใจเข้ารับการทำศัลยกรรม นอกจากจะกังวลเรื่องผลที่จะได้หลังเสร็จสิ้นกระบวนการแล้ว ยังมีความกังวลเรื่องการเตรียมตัวเข้ารับการทำศัลยกรรม อย่างการใช้ยาชาหรือยาสลบอีกด้วย เพราะในช่วงเวลาเหล่านี้เท่ากับว่าผู้ป่วยหรือผู้ที่เข้ารับการทำศัลยกรรม ได้ทิ้งชีวิต และความไว้ใจทั้งปวงเอาไว้ในมือแพทย์แล้ว แต่อย่างไรก็ตามการใช้ยาชาหรือยาสลบก็เพื่อบรรเทาความกลัว ความเจ็บปวด และความรู้สึกผิดปกติกับร่างกายระหว่างกระบวนการผ่าตัดนั่นเอง เพื่อลดความกังวล และสร้างความเข้าใจที่ดีระหว่างแพทย์และตัวผู้เข้ารับการทำศัลยกรรม ลองมาดูสิ่งที่ผู้เข้ารับการทำศัลยกรรมควรทราบก่อนเข้าสู่กระบวนการเสริม ความงามกันค่ะ

 ใครคือผู้ทำการให้ยาชา/ยาสลบ ?

การได้ทราบว่าผู้ที่จะวางยาชา/ยาสลบแก่คุณคือใคร ก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการได้รู้จัก และได้ศึกษาประวัติ ข้อมูลของแพทย์ผู้จะลงมือศัลยกรรมให้กับคุณ ในการผ่าตัดศัลยกรรมนั้น แพทย์ผู้ลงมือผ่าตัดไม่ใช่ผู้วางยาชาหรือสลบเสมอไป แต่ผู้ที่ทำหน้าที่นี้โดยตรงเรียกว่า วิสัญญีแพทย์ ซึ่งมาจากบุคคลสองกลุ่มดังต่อไปนี้

1. แพทย์ผู้ศึกษามาทางวิสัญญีวิทยา เป็นแพทย์ผู้จบการศึกษาวิชาสายวิสัญญีวิทยามาโดยเฉพาะ มีความเชี่ยวชาญด้านการวางยาชาและยาสลบเป็นพิเศษ

2. พยาบาลผู้จบหลักสูตรวิสัญญีวิทยาและทำงานภายใต้การควบคุมของแพทย์ เป็นผู้ศึกษามาทางการพยาบาล แต่ได้มาศึกษาเพิ่มเติมเรื่องการให้ยาชาและยาสลบ แต่อย่างไรก็ตามต้องทำงานภายใต้การดูแลควบคุมของแพทย์อีกทีหนึ่ง

หากผู้ให้ยาชาหรือยาสลบเป็นหนึ่งในบุคคลสองกลุ่มนี้ คุณก็สามารถวางใจในการผ่าตัดครั้งนี้ไปได้เปลาะหนึ่งแล้ว ทีนี้มาทำความรู้จักประเภทของยาชาและยาสลบกันบ้างดูบ้างนะคะ

 ประเภทของยาชา/ยาสลบ

1. ยาชาเฉพาะจุด (Local Anesthesia)

ยาชาแบบนี้ใช้ในการผ่าตัดเล็กทั่วไป เป็นการทำให้เกิดอาการชาในบริเวณเล็ก ๆ รู้สึกถึงแรงกด แต่ไม่เจ็บ เช่น การเย็บปิดบาดแผล ถอนฟัน ฯลฯ โดยผู้ป่วยจะรู้ตัวตลอดการผ่าตัด

2. ยาชาออกฤทธิ์เฉพาะบริเวณ (Regional Anesthesia)

การฉีดยาชาเฉพาะที่คือการฉีดยาชาเข้าไปรอบ ๆ กลุ่มเส้นประสาท เพื่อให้บางส่วนของร่างกายเกิดอาการชา ไร้ความรู้สึก เช่นที่ แขน ขา ฯลฯ โดยที่ผู้ป่วยจะยังรู้สึกตัวและมีสติอยู่ตลอดเวลา ในบางกรณีแพทย์อาจให้ยากล่อมประสาทร่วมด้วย เพื่อให้ผู้ป่วยหลับและคลายความกังวล

3. ยาสลบ (General Anesthesia)

ในกรณีนี้ผู้ป่วยจะถูกทำให้หมดสติโดยสมบูรณ์ โดยการทำให้สลบผ่านการให้ยาสลบทางหลอดเลือดดำ (Intravenous Sedation) หรือการสูดดมไอระเหยผ่านทางหน้ากากก็ได้ ซึ่งจะใช้ในการผ่าตัดใหญ่ที่ต้องการตัดทั้งเรื่องความเจ็บปวดและความวิตก กังวลของผู้ป่วย


การ ที่แพทย์จะเลือกใช้ยาชา/ยาสลบชนิดไหนกับคุณนั้น ขึ้นอยู่กับประเภทของการผ่าตัด ว่าเป็นการผ่าตัดเล็กหรือใหญ่ รวมทั้งพิจารณาจากสภาพร่างกายของคนไข้ด้วย ..และนี่ก็คือเรื่องราวเกี่ยวกับยาสลบและยาชาที่ผู้ที่จะเข้ารับการทำ ศัลยกรรมควรจะทราบเอาไว้ในเบื้องต้นค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #117 เมื่อ: มีนาคม 03, 2012, 09:50:18 PM »

7 เหตุผล ที่คุณไม่ควรทำศัลยกรรม




 ในโลกนี้ไม่มีใครที่เกิดมาเพอร์เฟ็กต์ไปทุกอย่างแน่นอน ยิ่งเป็นเรื่องของรูปร่างหน้าตายิ่งมั่นใจได้เลยว่าไม่มีใครสวยหมดจดได้ราว กับนางฟ้าในเทพนิยาย คนสวยที่มีจุดบกพร่องบ้าง ให้ความรู้สึกว่าดูติดตาน่ามองมากกว่าคนที่ไปปรับแต่งตัวเองให้สวยแบบสมัย นิยมเสียอีก ผ่านมีดหมอมาแล้วสวยก็จริง แต่ไม่สะดุดตา และไม่น่าจดจำ แล้วอย่างนี้คนไม่สวยอย่างเราจะต้องดิ้นรนเพื่อการทำศัลยกรรมปกปิดจุด บกพร่องของตัวเองไปทำไมกันคะ ยิ่งไปกว่านั้นลองมาดู 7 เหตุผล ที่สาว ๆ ไม่ควรไปทำศัลยกรรมกันดีกว่าค่ะ
 
1. ศัลยกรรมหน้า ทำให้คุณหน้าตาอย่างกับแมว

          การศัลยกรรมใบหน้าโดยเฉพาะการดึงผิวหน้าตึง ทำให้ใบหน้าคุณดูเสียรูปไปจากที่ควรจะเป็น ผิวหนังที่ถูกกรีดแล้วขึงใหม่ให้เรียบกระชับทำให้องค์ประกอบต่าง ๆ บนใบหน้าดูตึง และชี้ออก ตั้งแต่หางตาไปจนถึงมุมปากทั้งสองข้าง ดูแล้วอย่างกับแมวยังไงยังงั้น

 2. เพียงครั้งเดียวก็สามารถชักนำสู่การทำศัลยกรรมครั้งต่อ ๆ ไป

          เมื่อมีครั้งที่หนึ่งแล้ว ในไม่ช้าก็อาจมีครั้งที่ 2 และ 3 ตามมา และอาจตามมาอีกเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ผลตามที่พอใจ ตรงนี้สวยพอใจแล้ว ตรงนั้นแก้อีกนิดก็คงดี ตรงนี้ก็ด้วยอีกนิดหน่อย เป็นอย่างนี้เรื่อย ๆ เข้าจนกลายเป็นการเสพติดศัลยกรรมไปอย่างช่วยไม่ได้

 3. ศัลยกรรมทำหน้าเด็ก จบเห่ด้วยกลายเป็นซากที่มีชีวิต

          ฟังดูแสนจะโหดร้าย แต่มันก็มีส่วนจริงนะจ๊ะ ลองคิดถึงใครสักคนในวัยใกล้เกษียณ ผิวหนังก็เริ่มจะแห้งเหี่ยวลงไปตามอายุ แต่ใบหน้ากลับยังตึงอยู่ แล้วแบบนี้ยิ่งแก่ตัวลงเรื่อย ๆ  ร่างกายก็ยิ่งทรุดโทรม แต่หน้ายังเด็กอยู่เลย มันดูขัด ๆ ยังไงไม่รู้แฮะ

 4. ผู้ชายไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องริ้วรอยและตีนกาขนาดนั้น

          ขณะที่ผู้หญิงจิตตกแทบเป็นแทบตายกับริ้วรอยและตีนกาบนใบหน้า แต่คุณผู้ชายไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับมันมากมายขนาดนั้น เขาเคยแสดงอาการรังเกียจจะเป็นจะตายเพราะตีนกาที่หางตาคุณหรือเปล่าล่ะ ..ก็ไม่ เพราะฉะนั้นถ้าคิดจะไปยกเครื่องใบหน้าเอาใจหนุ่ม ๆ ล่ะก็ เปลี่ยนความคิดซะดีกว่านะ

 5. หน้าเด็ก ผิวกระชับ แต่น้องสาวก็บอกอายุได้

          ใช่แล้ว เรากำลังพูดถึงน้องสาวของผู้หญิงทุก ๆ คนอยู่นั่นแหละ นี่เป็นเรื่องจริงที่ไม่ได้ลามกทะลึ่งตึงตัง เพราะต่อให้คุณหยุดอายุใบหน้าไว้ที่ 25 กระชับสัดส่วนทำให้ผิวกายทั่วร่างนวลเนียน แต่คุณก็ไม่สามารถหยุดการร่วงโรยตามกาลเวลาที่น้องสาวของคุณได้หรอกค่ะ ต่อให้ปัจจุบันจะมีทั้งการศัลยกรรม ทั้งทำเลเซอร์ตกแต่งยกกระชับช่องคลอดหรืออะไรก็ตามที แต่มันก็ไม่สามารถชุบชีวิตกระชากวัยให้น้องน้อยของคุณได้หรอกนะ แม้ว่าใบหน้าจะหยุดที่อายุเอ๊าะ ๆ เท่าไหร่ แต่จุดซ่อนเร้นตรงนั้นก็ฟ้องอายุจริงคุณได้อยู่ดี

 6. ใคร ๆ ก็ดูออกว่าคุณ “ทำ” มา

          ไม่กี่วันก่อนยังมีตีนกา หน้ายังมีรอยย่นอยู่เลย เจอกันใหม่หน้าเรียบตึงเปรี๊ยะเสียแล้ว ต่อให้ทำออกมาแล้วดูเนียนเป็นธรรมชาติแค่ไหน แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนั่นแหละที่จะฟ้องว่าคุณไปทำอะไรมา เพราะฉะนั้นอย่าได้คิดว่า ถ้าไปทำมาแล้วจะลอยหน้าลอยตาบอกใคร ๆ ว่านี่สวยธรรมชาติไม่ได้นะจ๊ะ

 7. หน้าอกปลอม สุดแสนจะไม่ธรรมชาติ

          ใครคิดจะอัพไซส์ให้อวบอึ๋มคงต้องทบทวนกันหนัก ๆ สักหน่อย เพราะรับรองจริง ๆ เลยว่า ต่อให้ได้หมอฝีมือดี ทำมาเนียนขนาดไหน ก็ยังดูออกอยู่ดีว่า อกอิ่มคู่นี้ไม่ใช่ของแท้แม่ให้มา แถมทำมาแล้วยังต้องดูแลระมัดระวัง จะให้กระทบกระเทือนมากก็ไม่ได้เดี๋ยวจะเสียรูป หรือไม่ก็อักเสบไปเสียก่อน ของไม่ธรรรมชาติก็ต้องดูแลยุ่งยากอย่างนี้แหละ


         เฮ้อ อ่านแลวก็นึกขยาดศัลยกรรมขึ้นมาเสียจริง ๆ ถึงจะไม่สวยมากมาย แต่ก็พอใจในตัวเองเท่านี้แหละ ดีแล้ว   
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #118 เมื่อ: มีนาคม 04, 2012, 05:30:38 PM »

ชุดดำ กับ การไว้ทุกข์


ชุดดำ


ชุดสีดำเป็นสีที่คนโบราณถือนักถือหนาว่า เป็นสีแห่งความทุกข์โศก ใช้ใส่เฉพาะงานศพเท่านั้น หรือหากจะใช้แต่งกายสีดำ ก็ไม่ควรเป็นสีดำทั้งชุด ควรเป็นครึ่งท่องใส่ผสมกับสีอื่นๆ ชุดสีดำ จึงไม่นิยมใส่เข้าไปในงานมงคลต่างๆ เช่นงานวันเกิด งาน แต่งงาน หรือแม้กระทั่งไป เยี่ยมผู้ป่วยก็เหมือนกัน เท่ากับว่า เป็นการแช่งหรือ เดาเหตุการณ์ล่วงหน้าให้ผู้ป่วยนั้นตายเร็วขึ้น ทำให้จิตใจผู้ป่วยหดหู่และหมด กำลีงใจ เกิดอาการทรุดลงได้ง่ายจึงไม่ให้ใช้สีดำ ควรเป็นสีที่สดใสและแสดงใบหน้าที่สดชื่นอีกด้วย
การไว้ทุกข์ในสมัยก่อนนั้นมีอยู่หลายอย่างต่างชนิด คือ

1. สีดำ สำหรับผู้ใหญ่หรือผู้ที่มีอายุแก่กว่าผู้ตาย
2. สีขาว สำหรับผู้เยาว์หรือผู้ที่มีอายุอ่อนกว่าผู้ตาย
3. สีม่วงแก่หรือน้ำเงินแก่ สำหรับผู้ที่มิได้เป็นญาติเกี่ยวดองกับผู้ตายแต่ประการใด

ฉะนั้นในงานศพคนหนึ่งๆ หรือในงานเผาศพก็ตาม เราจะได้ความรู้ว่า ใครเป็นอะไรกับใครเป็นอันมากเพราะผู้ที่แต่งตัวตัวไปในงานนั้นๆ จะต้องรู้เรื่องราวเกี่ยวข้องกับตัวเองโดยถูกต้องจึงจะแต่งสีให้ถูกได้ ถ้าผู้ใดแต่งสีและอธิบายไม่ได้ ก็มักจะถูกดูหมิ่นว่าเป็นผู้ไม่มีความรู้ แม้เรื่องเลือดเนื้อของตัวเอง

ของทุกอย่างมีดีก็ต้องมีเสีย แต่ก่อนก็ดีที่ได้รู้จักกันว่าใครเป็นใคร แต่ก็ลำบากในการแต่งกายเป็นอันมาก ถ้าจะต้องไปพร้อมกัน 2 ศพในวันเดียวกัน ก็จะต้องกลับบ้านเพื่อไปผลัดสีให้ถูกต้องอีก

ฉะนั้นในการที่มาเลิกสีอื่นหมด ใช้สีดำอย่างเดียวเช่นทุกวันนี้ก็สะดวกดี แต่ก็ขาดความรู้จักกันเจ้าของกระทู้จึงได้นำมาเพื่อให้คนในยุคนี้ได้รับทราบกันเอาไว้




ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก Ghost wiki

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #119 เมื่อ: มีนาคม 14, 2012, 08:00:35 PM »

ตำรายา จากอาหารที่เราบริโภคในชีวิตประจำวัน  



ตำรายา จากอาหารที่เราบริโภคในชีวิตประจำวัน


สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อ " ยามหัศจรรย์สำหรับคุณ " เช่น

1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง

2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้
ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว

3. โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ
สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด

4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็นประจำ
สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี

5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง

6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่
ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ( ปลาโอ ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง ) น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง

7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูก
และขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป

8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี
( ไม้เมืองหนาว ) กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้

9.. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย
ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้

10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรด
ซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้

11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆ
ซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี

12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง
กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย

13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง

14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดี

15. มะเร็งปอด กินส้ม และ ผักใบเขียว
 มีวิตามินเออยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน

16 แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลี
ซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้

17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก

18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี " โมโรอันแซตเทอเรต "

19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่ายพืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมี

20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วง คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 6 7 [8] 9 10 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: