Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75260 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 6 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #150 เมื่อ: เมษายน 18, 2012, 07:37:01 PM »

รู้มั้ย !!ตำแหน่ง"สิว"บนใบหน้า บอกอะไร


สัญญาณเตือนภัยจากตำแหน่งสิวบนผิวหน้า 

ถ้าคุณเป็นสิวที่

1.หน้าผากด้านซ้ายและขวา  เกี่ยวข้องกับระบบย่อยอาหาร กระเพาะปัสสาวะ และต่อมหมวกไต
สาเหตุ มีความเครียดสูง ล้างหน้าไม่สะอาด ทารองพื้นหรือแต่งคิ้วมากไป

2. บริเวณหว่างคิ้ว อาจมีปัญหาในการย่อยแลคโทส ( ดื่มนมวัวไม่ได้ )
สาเหตุุ เพราะกินอาหารรสจัด หรือกินอาหารดึกเกินไป

3.บริเวณใบหูทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต   
สาเหตุ ล้างแชมพูหรือสบู่ออกไม่หมด ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป ดื่มกาแฟ แอลกอฮอล์ หรือกินเนื้อสัตว์มากเกินไป หรือหากมีปัญหาสิวอุดตันช่วงใบหู อาจแสดงว่าฟันกรามมีปัญหา หรือว่าเพิ่งผ่าตัดฟันมา หรืออาจเกิดจากการมีรอบเดือน

4.บริเวณแก้มทั้ง 2 ด้าน แก้มส่วนบน เกี่ยวข้องกับไซนัสและปอด แก้มส่วนล่าง เกี่ยวข้องกับเหงือกและฟัน
สาเหตุ  สูบบุหรี่จัด หรือแพ้ควันบุหรี่   ภูมิแพ้ เป็นหวัดเรื้อรังหรืออาจใช้บลัชออนและรองพื้นไม่เหมาะสม แต่ถ้าเป็นริ้วรอยลึกบริเวณโหนกแก้มอาจบ่งบอกถึงปัญหาเรื่องปอดหรือการหายใจ ถ้ามีสิวแบบเป็นๆหายๆที่แก้มด้านล่างอาจมีปัญหาเรื่องเหงือกและฟัน หรือโทรศัพท์มือถือไม่สะอาด

5.บริเวณรอบดวงตาทั้ง 2 ข้าง เกี่ยวข้องกับการทำงานของไต โรคภูมิแพ้
สาเหตุเครื่องสำอางที่ใช้อาจไม่เหมาะกับสภาพผิวหรือใส่แว่นตาที่เสียดสีมากรอยคล้ำอาจเกิดจากการมีสารพิษตกค้างในร่างกายมาก หรือพักผ่อนน้อย เปลือกตาหากมีการระคายเคืองอาจมาจากการเป็นภูมิแพ้หรือขาดสารอาหาร

6. บริเวณจมูกและเหนือริมฝีปาก เกี่ยวกับการทำงานของหัวใจและระบบสืบพันธุ์ หากมีผิวสีแดงเข้มที่จมูก
สาเหตุ อาจบ่งบอกถึงโรคความดันโลหิตสูง การอุดตันหรือสีผิวไม่สม่ำเสมอ บอกถึงผลกระทบจากฮอร์โมนเช่น กำลังมีประจำเดือน วัยทอง การใช้ยาคุมกำเนิด

7.บริเวณใต้ริมฝีปากด้านซ้ายและขวา เกี่ยวข้องกกับการทำงานของรังไข่
สาเหตุ อาจทำความสะอาดไม่ดีพอ หรือมาจากขาดความสมดุลทางฮอร์โมน 

8.บริเวณปลายคาง เกี่ยวข้องกับกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก 
สาเหตุ อาจกินอาหารรสจัดเกินไปจนลำไส้เป็นแผล หรือมีปัญหาในการดูดซึม


รู้แล้วก็ดูแลตัวเองด้วยนะ  สิวจะได้ไม่มากวนใจอีก



ขอขอบคุณข้อมูลจาก Living in shape


 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #151 เมื่อ: เมษายน 19, 2012, 07:51:44 PM »

คำที่คุณต้องเลิกเขียนผิด คะ/ค่ะ/นะคะ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: เมษายน 19, 2012, 07:55:52 PM โดย nujai » บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #152 เมื่อ: เมษายน 19, 2012, 07:57:08 PM »

‘กระเทียม‘ กลิ่นฉุน…แต่อุดมคุณประโยชน์



หากพูดถึง ‘กระเทียม’ คง ทำให้ใครหลายๆ คนนึกถึงกลิ่นที่แสนฉุนและรสชาติอันเผ็ดร้อนเป็นอันดับต้นๆ แต่หากคุณมองข้ามกลิ่นและรสชาติที่ไม่ถูกปากนี้ไป คุณก็จะพบสรรพคุณที่หลากหลายจากกระเทียมกลีบเล็กๆ ที่ห่อหุ้มด้วย เยื่อบางสีขาวอมชมพูนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวช่วยลดความดันโลหิตสูง ป้องกันโรคหลอดเลือดอุดตัน เนื่องจากกระเทียมมีสารที่ช่วยละลายไขมันในหลอดเลือด ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของผนังกระเพาะและลำไส้ หากนำกระเทียม 5-7 กลีบ มาบดให้ละเอียด ผสมกับน้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะ ปรุงรสนิดหน่อยด้วยน้ำตาลและเกลือเล็กน้อย แล้วกรองเพื่อสกัดเอาแต่น้ำ ดื่มวันละ 3 ครั้ง หลังรับประทานอาหาร ก็จะช่วยขับลมในกระเพาะอาหาร แก้ปัญหาท้องอืดท้องเฟ้อได้อีกด้วย


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #153 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:04:24 PM »

รังแค คืออะไร และวิธีการกำจัด รังแค



รังแคคืออะไร  รังแคเป็นโรคผิวหนังชนิดนึง  โดยทั่วไปเกิดขึ้นที่บริเวณหนังศีรษะที่พัฒนาในระหว่างการเจริญเติบโตตาม ปกติศีรษะ  ผิวของเซลล์ในหนังศีรษะปกติเซลล์เก่าตายและหลุดออกมา  โดยสาเหตุของการเกิดรังแคแบ่งได้ตามนี้คือ  รังแคที่เกิดจากภายในและรังแคที่เกิดจากภายนอก

รังแคที่เกิดจากสาเหตุภายใน  อาจจะเกิดจากความไม่สมดุลของฮอร์โมน, โรคภูมิแพ้ให้นม, ถั่ว, ช็อตโลแกต  หรือหอย  ขาดการพักผ่อนหรือว่าเกิดความเครียดการบริโภคน้ำตาลหรืออาหารที่มีไขมันมาก เกินไปก็ทำให้เกิดรังแคได้  นอกจากนี้ในบางคนยังเป็นรังแคที่เกิดจากพันธุกรรมอีกด้วย

รังแคที่เกิดจากสาเหตุภายนอก  เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์แต่งผมไม่ถูกต้อง  และอาจใช้ในจำนวนที่มากเกินไปอย่างเช่นแพ้น้ำยายืดผม  แพ้น้ำยาตัดผม  แพ้สีทำผม  สระผมแล้วล้างแชมพูไม่หมด  ทั้งนี้รวมไปถึงสภาพแวดล้อมทางอากาศเช่น  อากาศเย็น  ความร้อนแห้งความอับซื้นบนหนังศีรษะ

  วิธีแก้ปัญหาเมื่อรังแคมาเยือน

สระผมด้วยน้ำเย็น  จะช่วยให้หนังศีรษะไม่แห้งและลอกเป็ยขุยซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดรังแค  และยังทำให้ผมดูนุ่มสวยเงางามได้อีกด้วย
หลักเลี่ยงแสงแดดที่จัด  เพราะแสงแดดเป็นตัวการสำคัญที่ทำลายเส้นผมและหนังศีรษะ  ทำให้เกิดหนังศีรษะแห้ง  เส้นผมชี้ฟู  ขาด น้ำหนัก  และไม่เงางาม
นวดบำบัดขจัดรังแค  ทุกครั้งที่สระผมควรรวดศีรษะเบาๆ  ซึ่งนอกจากช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว  ยังสามารถขจัดเซลล์หนังศีรษะที่ตายให้หลุดออกได้ง่ายขึ้น
เลือกยาสระผมให้เหมาะสม  ควรเลือกให้ยาสระผมที่ช่วยขจัดรังแคอย่างสม่ำเสมอ  และควรล้างแชมพูให้สะอาดทุกครั้งหลังสระผม  เพื่อขจัดสารเคมีที่ตกค้าง
รับประทางอาหารที่มีประโยชน์  ควรรับประทานอาหารที่มีส่วนปะรกอบของธาตุสังกระสีวิตามินบี ซี  และอี  อยู่เสมอ  เพื่อการบำรุงหนังศีรษะ


ที่มา : นิตยสาร Spicy


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #154 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:06:12 PM »

ดูฉลากโภชนาการให้เป็น



ตามข้างกล่อง  ข้างถุง  หรือข้างกระป๋องของอาหารต่างๆ  ที่เราซื้อมานั้น  หากใครลองมาจับพลิกดูคงจะเป็นกรอบสี่เหลี่ยมที่เขียนเอาไว้ว่า “ข้อมูบโภชนาการ”  ซึ่งก็คือการแสดงข้อมูลโภชนาการของอาหารนั้นๆ  ในรูปของชนิดและปริมาณสารอาหาร  นอกเหนือไปจากการระบุชื่อที่อยู่ผู้ผลิต  วันผลิต  น้ำหนักสุทธิ  ที่ต้องระบุอยู่แล้ว   โดยข้อมูลโภชนาการนี้มีทั้งแบบเต็มและแบบย้อด้วย

บางคนอ่านเจ้าข้อมูลโภชนาการแล้วก็ยังงงๆ  อยู่  ไม่รู้ว่าหมยาถึงอะไร “108 เคล็ดกิน”  จึงจะมาไขข้อข้องใจในฉลากโภชนาการแบบย่อให้ฟังกัน  เริ่มจาก”หนึ่งหน่วยบริโภต”  ก็หมายถึงปริมาณการกินหรือดื่มต่อครั้ง  เช่น  หนึ่งหน่วยบริโภค : 1  กล่อง  (160 กรัม) หมายถึงกินครั้งละ 1 กล่องหรือ 160 กรัม  แต่ถ้าเขียนว่าหนึ่งหน่วยบริโภค : 5 ลูก (150 กรัม) หมายถึง  ห่อ  ขวด  หรือกล่องนี้กินได้กี่ครั้ง  เช่น  จำนวนหน่วย บริโภคต่อกล่อง: 1 หมายความว่า  สามารถกินหมกกล่องภายใน 1 ครั้ง  แต่ถ้าเขียนว่า  จำนวนหน่วยบริด๓คต่อกล่อง : 3 ก็หมายความว่า 1 กล่องให้แบ่งกินได้ 3 ครั้ง

ส่วน “คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค”  หมายถึงเมื่อกินตามปริมาณที่ระบุไว้หนึ่งหน่วยบริโภคแล้วจะได้รับพลังงานและ สารอาหารอะไรบ้างในปริมาณน้ำหนักจริงเท่าใด  และปริมาณที่กินนี้คิดเป็นร้อยละเท่าไรของปริมาณที่ควรกินได้รับต่อวัน “ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน”  หมายถึง  สารอาหารที่ได้รับจากการกินแต่ละครั้งตามปริมาณที่ระบุไว่ในหนึ่งหน่วย บริโภคคิดเป็นสัดส่วนเท่าใดของปริมาณที่ระบุไว้ในหนึ่งหน่วยบริโภคคิดเป็น สัดส่วนเท่าใดของปริมาณที่ควรได้รับต่อวัน เช่น  ถ้าปริมาณอาหารที่กินต่อครั้งให้คาร์โบไฮเรต 8%  ของปริมาณที่แนะนำให้กินต่อวัน  ก็ต้องกินคาร์โบไฮเดรตจากอาหารอื่นๆ  อีก 92% และสุดท้าย  “Thai  RDT”  หมายถึง  ปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้กินต่อวันสำหรับคนไทย 6 ปีขึ้นไป  เช่น  วันหนึ่งๆ  ควรได้รับคาร์โบไฮเครตประมาณ 300 กรัม  ไขมันน้อยกว่า 65 กรัม  เป็นต้น


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #155 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:09:00 PM »

กำจัดแก๊สในร่างกายด้วยท่าง่าย ๆ


กำจัดแก๊สในร่างกายด้วยท่าง่าย ๆ (คู่หูเดินทาง)

          หลาย ๆ คนมีลมอัดแน่นอยู่ในช่องท้องจนอยากเรอ อยากผายลมอยู่บ่อย ๆ บางคนทั้งเรอและผายลมแล้วก็ยังรู้สึกว่ามีลมหลงเหลืออยู่ ส่งผลให้ท้องอืดเกิดอาการไม่สบายท้อง

          มีอีกวิธีที่สามารถช่วงขับลมที่ไม่ต้องการออกจากช่องท้องได้ นั่นคือ การยืดเส้นยืดสายในท่า "นอนกอดเข่า" ซึ่งท่านี้ทำได้ง่าย ๆ เพียงนอนราบ จากนั้นงอเข่าทั้งสองข้างขึ้นมาถึงยอดอก พร้อมทั้งใช้มือทั้งสองข้างกอดเข่าเอาไว้ แล้วหายใจเข้าและออก ก่อนยกศีรษะโน้มเข้าหาเข่า จากนั้นตะแคงตัวไปด้านข้างขณะที่ยังนอนกอดเข่าอยู่ โดยตะแคงค้างนาน 10 วินาทีแล้วเบี่ยงตัวกลับท่าเดิม และตะแคงตัวไปอีกข้าง

          ท่านอนกอดเข่าแบบนี้ นอกจากจะช่วยขับลมแล้ว ยังสามารถผ่อนคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวของคอและหลังได้อีกด้วย

thanks


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #156 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:13:00 PM »

เห็ดหอมแห้งของดีที่ต้องระวัง



เห็ด หอมถือเป็นอาหารที่หลายๆ คนยกย่องว่าเป็นอาหารชั้นเลิศ เพราะเชื่อกันว่ามีสรรพคุณทางยา ทานแล้วให้ประโยชน์ต่อร่างกาย ดีต่อสุขภาพ แต่ ก็มีบางคนที่กลัวว่าเห็ดหอมแห้งที่วางขายตามท้องตลาดทั่วไปดูไม่ค่อยปลอดภัย เพราะการเก็บรักษาดูไม่ค่อยสะอาด แถมที่สำคัญยังมีราคาสูงอีกต่างหาก

        โครงการพัฒนากลไกการเฝ้าระวังความปลอดภัยด้านอาหารของผู้บริโภค และนิตยสารฉลาดซื้อ ได้ร่วมกันลงมือสุ่มเก็บตัวอย่าง เห็ดหอมแห้ง ในพื้นที่ดำเนินโครงการทั้งหมด 8 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ สมุทรสงคราม ขอนแก่น มหาสารคาม เชียงใหม่ พะเยา สตูล และสงขลา รวมจำนวนตัวอย่างเห็ดหอมแห้งทั้งหมด 17 ตัวอย่าง ซึ่งเราจะนำมาทดสอบกันดูว่าเห็ดหอมแห้งที่เราซื้อมาประกอบเมนูซุปหรือเมนู ตุ๋นต่างๆ มีสารปนเปื้อนที่ไม่พึงประสงค์แปลกปลอมมาด้วยหรือเปล่า

การทดสอบครั้งนี้เราดูเรื่องการตกค้างของสาร 3 ชนิดด้วยกัน 1.สาร ตกค้างทางการเกษตรประเภทยากันราหรือคาร์เบนดาซิม (Carbendazim) 2.สารตกค้างทางการเกษตรกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต (Organophosphate)และ 3. การปนเปื้อนของสารพิษจากเชื้อราอะฟลาท็อกซิน (Aflatoxin)

         ซึ่งจากการทดสอบตัวอย่างเห็ดทั้ง 17 ตัวอย่าง เราพบเห็ดหอมแห้งปนเปื้อนยากันราหรือคาร์เบนดาซิมจำนวน 12 ยี่ห้อ โดยค่าเฉลี่ยของสารเคมีที่พบเท่ากับ 0.33 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ส่วนการปนเปื้อนของสารกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟต พบว่ามีการปนเปื้อน 9 ตัวอย่าง มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.016 มิลลิกรัม/กิโลกรัมซึ่งตามประกาศของกระทรวงสาธารณสุขเรื่อง อาหารที่มีสารพิษตกค้าง ไม่มีการกำหนดปริมาณของคาร์เบนดาซิมและออร์กาโนฟอสเฟต แต่สารทั้ง 2 ชนิดเป็นสารเคมีทางการเกษตรในกลุ่มกำจัดศัตรูพืช จึงไม่ควรมีตกค้างมาในพืชผักหรืออาหารที่เราทาน

ส่วนการปน เปื้อนของสารพิษจากเชื้อราอะฟลาทอกซิน มีเห็ดหอมแห้งจำนวน 5 ที่มีการปนเปื้อน โดยปริมารค่าเฉลี่ยที่พบเท่ากับ 5.42 ไมโครกรัม/กิโลกรัม ซึ่งตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 98) พ.ศ.2529 เรื่องมาตรฐานสารปนเปื้อน กำหนดให้มีสารอะฟลาทอกซินได้ไม่เกิน 20 ไมโครกรัมต่ออาหาร 1 กิโลกรัม

นอกจากนี้เรายังทดสอบดูเรื่องความสะอาดในส่วนของเชื้อรา ซึ่งมี 7 ตัวอย่างที่พบเชื้อราสูงเกินเกณฑ์มาตรฐานกรมวิทย์ฯ ที่กำหนดไว้ที 500 โคโลนี/กรัม ขณะที่อัตราค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 1,764.3 โคโลนี/กรัม แสดงให้เห็นว่าเห็ดหอมแห้งที่นำมาทดสอบถูกเก็บไว้นาน

การ ปนเปื้อนทั้งหมดที่เราทดสอบตัวอย่างเห็ดหอมแห้งในครั้งนี้ โดยภาพรวมยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่สูงนัก ไม่น่าจะก่อให้เกิดอันตรายฉับพลันจากการบริโภค แต่หากเป็นไป ได้ก็ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ดูไม่สะอาดและไม่น่าไว้วางใจ ควรเลือกซื้อเห็ดหอมแห้งที่บรรจุเรียบร้อย ปลอดภัย มีการแจ้งวันเดือนปีที่ผลิตวันหมดอายุ และแจ้งผู้ผลิตชัดเจนจะดีกว่า


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #157 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:17:19 PM »

ทาครีมหอมๆ...อันตรายถึงมะเร็ง!



หากมีคนถามว่า มอยเจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวหน้าที่คุณใช้อยู่ ให้กลิ่นหอมชวนรู้สึกดีทุกครั้งที่ใช้หรือเปล่า? แถมมองชื่อส่วนผสม ยังเจอคำว่า Synthetic Fragrance การันตีความเป็นสารสังเคราะห์เข้าอีกต่างหาก...รู้แล้วอย่างนี้ เรารู้สึกยังไงกันบ้าง


ตราบใดที่ครีมกระปุกนั้นให้ผลลัพธ์ที่ดี เชื่อว่าสาวๆ หลายๆ คนคงยังไม่ทันฉุกคิดเป็นแน่ ว่าครีมที่เราทาลงบนผิวทุกวัน จะมีสารพิษชนิดหนึ่งซ่อนพิษร้ายไว้ทำลายผิวในวันข้างหน้าได้ และมากับน้ำหอมที่ทำให้เครื่องสำอางยิ่งน่าใช้นั่นเอง


เบื้องหลังที่เราไม่รู้

เบื้องหลังการใส่น้ำหอมลงใน ครีมบำรุงผิวก็เพื่อให้กลิ่นเครื่องสำอางชวนประทับใจ หรือเดิม เนื้อครีมอาจมีกลิ่นไม่น่าใช้มากนัก เนื่องจากมีสารเคมีผสมกันหลายตัว น้ำหอมจึงเป็นตัวช่วยที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น น้ำหอม เกิดจากการที่เรานำเอาสารละลายหอมระเหยที่ทำจากน้ำมัน กับแอลกอฮอล์มาผสมกัน จึงแปลได้ว่า ไม่ว่าตัวทำความหอมจะมาจากการสังเคราะห์หรือจากธรรมชาติ กว่า 95 เปอร์เซ็นต์ของมัน คือที่มาจากการสังเคราะห์จากปิโตรเคมีนั่นเอง


ที่น่ากลัวคือน้ำหอมกว่า 4,000 ชนิดในท้องตลาดนั้น บางชนิดมีสารพิษที่อาจก่อให้เกิดมะเร็ง โดยที่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าเครื่องสำอางที่เราวางใจ ไม่ว่าจะเป็น แชมพู ครีมโกนหนวด เจลแต่งผม หรือครีมทาผิว เลือกใช้น้ำหอมตัวไหน และมีคุณภาพมากน้อยแค่ไหนมาผสม และน้ำหอมไม่เพียงแต่ทำให้ผิวแพ้ที่ภายนอก แต่ด้วยกลิ่นที่เข้าไปได้ถึงระบบประสาท จึงสามารถอยู่กับร่างกายได้นาน เรียกได้ว่าถ้าใช้ต่อเนื่อง ก็สามารถอยู่ได้ไปตลอดชีวิต เพราะน้ำหอมที่เราสูดดมเข้าไปอย่างต่อเนื่อง สามารถเข้าไปทำลายระบบประสาทส่วนกลางจนทำให้เกิดผลต่างๆ ได้เช่น ซึมเศร้า ตื่นตัว หรือระคายโพรงจมูกได้ (อย่าประมาทเชียวกลิ่นมีอานุภาพมากจริงๆ )

คราวหน้า เลี่ยงคำว่า Fragrance

แน่นอนเชียวว่า เพื่อความปลอดภัยต่อสุขภาพและผิวพรรณ การเลี่ยงส่วนผสมที่เขียนว่า Fragrance ไว้ก่อน เป็นดีที่สุด หรือที่ระบุว่า ปราศจากน้ำหอม (Fragrance Free) แถมยังเป็นการกันไว้ดีกว่าแก้ เพราะมีงานวิจัยบอกด้วยว่า คนเราสามารถพัฒนาการแพ้น้ำหอมได้และนำไปสู่การเป็นโรคหอบหืดได้ไม่ยาก


อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้แปลว่าเราอดใช้เครื่องสำอางกลิ่นดีๆ เสมอไป เพราะมีกลิ่นที่ทดแทนได้อย่างน้ำมันหอมระเหยที่เสี่ยงน้อยกว่ามาก และมีให้เลือกหลายกลิ่น ในเวลาเดียวกัน เมื่อเราเลี่ยงน้ำหอมแล้ว ก็ควรเลี่ยงสารเคมีจำพวก Mineral Oil ที่มากับน้ำหอมด้วย เมื่อเป็นสาเหตุที่ทำให้ผิวหนังอุดตัน เกิดการแพ้ แล้วหันมาใช้น้ำมันที่สกัดมาจากพืชแทนที่ เช่น น้ำมันรำข้าว น้ำมันโจโจบา เป็นต้น การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มาจากธรรมชาติ จะลดความเสี่ยงได้หลายๆ ทาง และยังเป็นมิตรกับการทำงานในร่างกายจริงๆ


ระวัง! อาการแบบนี้ แพ้น้ำหอมแน่

ระคายเคือง ง่ายๆ กับการสังเกตว่าเราฉีดน้ำหอมที่หลังหรือใช้แชมพูกลิ่นหอมๆ ทีไร สิวมักเกิดบนแผ่นหลังหรือเปล่า หรือหลังทาครีมที่ใบหน้า เราจะรู้สึกคันๆ เคืองๆ บนผิวยิบๆ แต่สักพักอาการก็หายไป แต่ได้ผดขึ้นมาแทนที่ เป็นไปได้มากว่านี่คือการแพ้น้ำหอม
หายใจไม่สะดวก สำหรับคนที่เป็นภูมิแพ้ เมื่อได้รับกลิ่นจะมีอาการได้ในทันที กับกลิ่นที่เข้าไปรบกวนการทำงานของทางเดินหายใจ ทำให้หายใจติดขัด และระคายเคืองในโพรงจมูกทุกครั้งที่ได้กลิ่นนั้นๆ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #158 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:21:49 PM »

น้ำหอมที่คุณใช้..เป็นพิษหรือเปล่า?


น้ำหอมที่คุณใช้..เป็นพิษหรือเปล่า? (ไทยโพสต์)

          น้ำหอมกับผู้หญิงนั้นถือเป็นของคู่กัน เพราะน้ำหอมนั้นถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่นอกจากช่วยเสริมสร้างเสน่ห์ ยังสามารถบ่งบอกถึงบุคลิกจากกลิ่นที่คุณสาว ๆ เลือกใช้ ได้พอ ๆ กับการแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา และแม้ว่าในปัจจุบันจะมีคำเตือนเกี่ยวกับน้ำหอมที่เราใช้นั้น อาจปนเปื้อนไปด้วยสารเคมี หรือสารสังเคราะห์ที่อาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ เนื่องจากวัตถุดิบจากธรรมชาติที่นำมาผลิตน้ำหอมนั้นค่อนข้างหายาก ประกอบกับองค์การอาหารและยาไม่ได้กำหนดให้บริษัทผู้ผลิตน้ำหอม ใช้ส่วนผสมในน้ำหอมเป็นรายการเดียวกันทั้งหมด ดังนั้นเพื่อเป็นการช่วยให้คุณสาว ๆ รู้จักพิษภัยจากน้ำหอมขวดโปรดนั้น มีคำแนะนำดี ๆ ในการเลือกน้ำหอมอย่างถูกวิธีมาฝากกัน

          เริ่มกันที่น้ำหอมที่มีส่วนประกอบของ "สารพทาเลท, สารพาราเบน, โพลีไซคลิก/ไนโตรมาร์ค" นั้น กล่าวกันว่า สามารถกระตุ้นการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้หากคุณใช้เป็นเวลานาน ๆ เพราะเมื่อใดก็ตามที่สารพทาเลทและสารพาราเบนผสมอยู่ในน้ำหอม รวมไปถึงผลิตภัณฑ์สินค้าสำหรับความงามอื่น ๆ เช่น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว และยาทาเล็บนั้น คุณสมบัติหลัก ๆ ของสารดังกล่าว ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความยืดหยุ่น หรือสารกันบูด ช่วยให้กลิ่นหอมคงทน จะคงประสิทธิภาพอยู่ในผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม รวมถึงผิวของคุณ ตราบเท่าอายุการใช้งานของสารอันตรายเหล่านี้

          อย่างไรก็ตาม สารที่ขึ้นต้นด้วยตัว P ทั้ง 3 ชนิดนี้ ถูกแสดงให้เห็นว่า มันส่งผลกระทบต่อระบบฮอร์โมนในร่างกาย และรบกวนการผลิตฮอร์โมนตามธรรมชาติ และสร้างความไม่สมดุลในร่างกายของคุณ และจากการวิจัยยังชี้ให้เห็นว่าการใช้ชะมดสังเคราะห์ หรือสารโพลีไซคลิก/ไนโตรมาร์คนั้น มีข้อเสียในแง่ของการเป็นพิษต่อร่างกาย เนื่องจากพบว่าสารสังเคราะห์ชะมดมีความเป็นพิษรุนแรงมากกว่าสารพิษชนิดอื่น ๆ และสารดังกล่าวอาจทำให้เซลล์ในร่างกายเสียหายมากขึ้น

          ในอดีตที่ผ่านมาสารทั้ง 3 ชนิดนี้ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ระบุว่ามีความปลอดภัย แต่เนื่องจากพวกมันถูกนำไปใช้ในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ ไม่ว่าจะเป็นผงซักฟอก ผลิตขวดน้ำพลาสติก ผลิตภัณฑ์ชำระล้างร่างกาย รวมถึงเทียนไข จากสิ่งที่ติดตามร่างกายในปริมาณที่น้อย แต่หากใช้บ่อย ๆ อาจก่อให้เกิดการสะสมสารเหล่านี้ได้ ดังนั้นทางเลือกที่ดีคือการใช้ให้น้อยที่สุด หรือเลือกใช้น้ำหอมที่สกัดจากธรรมชาติจะดีที่สุด



         รองลงมาเป็นน้ำหอมที่สกัดจาก "ธรรมชาติ และสารอินทรีย์" เช่น มะกรูด ดอกพุด ดอกมะลิ ดอกกุหลาบ ดอกไม้สีส้ม เครื่องเทศ และวนิลา ลาเวนเดอร์ ที่นับเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่รักสุขภาพ และต้องการหลีกให้ไกลจากยาฆ่าแมลงและสารปนเปื้อน ที่อาจก่อให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บได้ นายแดนนี ซีโร ผู้เชี่ยวชาญด้านนิเวศวิทยา ในรัฐเพนซิลเวเนีย ได้อธิบายว่า

          "การเลือกกลิ่นหอมจากธรรมชาติหรือสารอินทรีย์ เช่น ลาเวนเดอร์ กลีบกุหลาบ และกลิ่นวนิลานั้น หมายความว่าคุณมีแนวโน้มที่จะหลีกเลี่ยงอัตราที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ หรือความอ่อนแอที่เกิดจากสารเคมีลงได้" เนื่องจากน้ำหอมเหล่านี้สกัดได้จากโมเลกุลของพืชที่มาจากธรรมชาติ และไม่ได้ใช้ยาฆ่าแมลง และที่สำคัญในน้ำหอมเหล่านี้ยังมีแอลกอฮอล์ที่ได้จากการหมักเมล็ดธัญพืชตามธรรมชาติ จึงไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองหรืออาการแพ้แต่อย่างใด จึงอาจกล่าวได้ว่า น้ำหอมที่สกัดจากธรรมชาติและสารอินทรีย์นั้น เป็นน้ำหอมที่อยู่แถวหน้าของน้ำหอมในท้องตลาดทั่วไป จึงนับเป็นหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ใส่ใจในการดูแลสุขภาพ

          ส่วนที่ยังลังเลระหว่างการเลือก "น้ำมันหอมระเหย และ "สารเคมีสังเคราะห์" นั้น ลองตัดสินใจจากคำแนะนำต่อไปนี้




     แม้สารเคมีสังเคราะห์จะมีประโยชน์ ในแง่ของการใช้ทดแทนกลิ่นหอมบางชนิดที่ไม่สามารถกลั่นเป็นน้ำมันหอมระเหยได้ แต่การเพิ่มหมายเหตุว่าน้ำหอมดังกล่าวไม่ได้สกัดจากธรรมชาติ หรือมีส่วนผสมของสารเคมีสังเคราะห์ ก็ถือได้ว่าเป็นคำเตือนให้กับผู้บริโภคปลอดภัยจากการชะโลมน้ำหอมได้ทางหนึ่ง โดยเฉพาะสารสังเคราะห์จำพวกปิโตรเลียมเคมี สารพทาเลท สารพาราเบน สารฟีนอล ฯลฯ ที่ก่อให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคหอบหืด การหายใจดังเสียงฮืด ๆ ปวดศีรษะ และโรคผิวหนังที่สามารถติดต่อได้

          ดังนั้นการเลือกน้ำหอมที่มีส่วนผสมของ น้ำมันหอมระเหยที่ได้มาจากกระบวนการที่เรียกกันว่า การกลั่นไอน้ำ โดยเลือกใช้ใบ ลำต้น ดอก หรือเปลือกของพืชนั้น น้ำมันหอมระเหยกลิ่นที่คุณชอบจะช่วยสร้างความสดชื่นให้กับร่างกายของคุณได้

          อย่างไรก็ตามมีข้อควรระวังว่า แร่ธาตุที่ได้จากธรรมชาตินั้นสามารถก่อให้เกิดอันตรายและอาการระคายเคืองได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีอาการภูมิแพ้ที่รุนแรง



thanks

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #159 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:45:02 PM »

 ประโยชน์เด่น 'ข้าวโอ๊ตโยเกิร์ต'


เมนูง่ายๆ เพื่อสุขภาพ อุดมด้วยใยอาหาร โดนใจคนกลัวอ้วน แถมลดเสี่ยงป่วยโรคหัวใจ

ช่วงนี้เด็กในวัยเรียนกำลังปิดเทอม อาจจะเอ็นจอย อีทติ้ง เพลิดเพลินกับเรื่องรับประทานจนน้ำหนักตัวเพิ่ม มีผลให้ชุดยูนิฟอร์มคับแน่น ต้องซื้อใหม่ ส่วนผู้ใหญ่ก็ใช่ว่าจะต่าง หากกินมาก กินจุบจิบ ความอ้วนมาเยือนได้ไม่ยาก

เพื่อไม่ให้หิวบ่อย รับประทานถี่ คงต้องเลือกอาหารที่อิ่มอยู่ท้อง อย่าง "ข้าวโอ๊ต" ธัญพืชมากคุณประโยชน์ที่รับประทานแล้วทำให้รู้สึกอิ่มนาน เมื่อไม่มีอาหารลงท้องบ่อยๆ ก็เท่ากับได้ควบคุมน้ำหนัก หรือลดอ้วนไปในตัว

นอกจากนี้ ข้าวโอ๊ตยังอุดมด้วยไฟเบอร์ชนิดละลายน้ำ ชื่อ เบต้า-กลูแคน ช่วยเสริมประสิทธิภาพระบบขับถ่าย และที่สำคัญคือ ไฟเบอร์หรือกากใยอาหารในข้าวโอ๊ตทำหน้าที่ราวกับฟองน้ำซับคอเลสเตอรอลในลำไส้ แล้วขับออกมาจากร่างกาย จึงช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล ลดความเสี่ยงปัญหาหลอดเลือด และโรคหัวใจ

ทราบประโยชน์ของข้าวโอ๊ตแล้วอยากรับประทาน แต่ติดอยู่ที่รสชาติไม่ได้อร่อยถูกปาก โปรดอย่าเพิ่งถอดใจ ลองทำเมนูของว่างง่ายๆ เช่น "ข้าวโอ๊ตโยเกิร์ต" เพียงแค่มีโยเกิร์ตรสธรรมชาติสัก 1 ถ้วย ใส่ข้าวโอ๊ตลงไปผสมราว 2 ช้อนโต๊ะ แล้วเติมน้ำผึ้งเพิ่มรสหวานเล็กน้อย จะช่วยชูรสให้กลมกล่อม รับประทานได้ง่ายขึ้น ทั้งยังสามารถใส่ผลไม้ เช่น กล้วย สตรอเบอรี่ เข้าไปได้อีก 

ทว่าไม่ชอบรับประทานโยเกิร์ต ลองเปลี่ยนใช้นมสดแทน โดยใช้นมสดสัก 1 แก้ว ใส่หม้ออุ่นให้ร้อน ระหว่างนั้นเติมข้าวโอ๊ต และน้ำผึ้ง คนเรื่อยๆ จนส่วนผสมให้เข้ากันเป็นอันเสร็จ ตักใส่ชาม รับประทานตอนอุ่นๆ แต่ไม่ควรปล่อยให้เย็นชืด เพราะข้าวโอ๊ตจะอืดนม ดูไม่น่ารับประทานและเสียรสชาติ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #160 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 07:48:29 PM »

วิธีแก้ อาการง่วงเหงาหาวนอน




อาการออฟฟิศซินโดรมอย่างหนึ่ง ที่รบกวนการทำงานของคนในสำนักงานคือ อ่อนเพลียง่วงเหงาหาวนอน ทำงานต่อไปไม่ไหว เหมือนกับอาการ ‘แบตหมด’

ทั้งหมดนี้ไม่ได้เป็นโรค แต่เป็นอาการที่ร่างกายพยายามจะบอกเจ้าตัวว่า ไม่สามารถทนความเครียด ความร้อน ความเร่งรีบต่อไปได้อีกแล้ว เป็นเพียงอาการเล็ก ๆ ทางสมอง ส่งสัญญาณมาว่า “จะขอพักละนะ”

นักวิทยาศาสตร์พบว่า อาการดังกล่าวเกิดจาก2 สาเหตุหลักคือ ออกซิเจนที่ไปเลี้ยงสมองลดต่ำลง และน้ำตาลในเลือดลดลง เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ เซลล์สมองจะทำงานต่อไปไม่ไหว มันก็จะปิดตัว ไม่รับคำสั่ง ทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย ง่วงเหงา ดังกล่าว หากฝืนตัวเองให้ทำงานต่อไป ร่างกายก็จะประท้วงมากขึ้น จะเกิดอาการปวดศีรษะ วิงเวียน หากใช้กาแฟกระตุ้น ซึ่งคนทั่วไปทำเช่นนี้ ก็รั้งแต่จะทำให้ประสาทเครียด สมองสั่งงานแบบไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งอาจจะเกิดอาการนอนไม่หลับ หรือหลับไม่สนิท ฝันมาก ตามมา

ดังนั้นวิธีการแก้ไขอาการง่วงเหงาหาวนอน ไม่มีแรง ‘แบตหมด’ สามารถทำได้ดังนี้

* ใช้ต้นไม้เพิ่มออกซิเจนในห้องทำงาน
* งดของหวาน กินอาหารแป้งเชิงซ้อน
เซลล์สมองต้องการน้ำตาลกลูโคสในการทำงานค่อนข้างมาก จึงจำเป็นที่ร่างกายต้องมีระดับน้ำตาลมากกว่า 80 มก./ดล. ดังกล่าว แต่ไม่ได้หมายความว่าให้คุณไปกินน้ำตาล หรือน้ำหวาน หรือขนมหวาน

ตรงกันข้าม การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้ได้เพียงพอ จะทำได้ต่อเมื่อคุณกินอาหารประเภทแป้งที่เป็นเชิงซ้อน เป็นอะไรที่ร่างกายต้องเสียเวลาย่อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโพด ลูกเดือย ขนมปังก็ต้องเป็นโฮลวีท หรือเมล็ดธัญพืชต่าง ๆ ที่ไม่ขัดขาว ระดับน้ำตาลในเลือดจึงจะเพียงพอ ให้สมองใช้

* ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
* ฝึกหายใจทุกวัน
การฝึกหายใจทำให้ได้ผล 2 ประการคือ ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น และหากทำนานพอก็จะคลายเครียดได้ด้วย

ต่อไปนี้เป็นเครื่องดื่มที่จะเรียกเอาพลังงานกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว โดยไม่ต้องพึ่งคาเฟอีนจากชาจีน ชาฝรั่ง ชาเขียว หรือกาแฟ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #161 เมื่อ: พฤษภาคม 03, 2012, 08:19:48 PM »

ไขความลับโรค "ใหลตาย"


การเสียชีวิตในขณะนอนหลับ (Brugada syndrome) หรือ "โรคใหลตาย" ชื่อที่คนไทยคุ้นหู อีกหนึ่งโรคลึกลับที่คร่าชีวิตคนไทยมาร่วมร้อยปี ในอดีตคนไทยอาจรู้จักโรคใหลตายว่าเป็นโรคท้องถิ่นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ซึ่งทำให้ชายหนุ่มที่ดูปกติแข็งแรงดี กลายเป็นศพในตอนเช้าโดยไม่ทราบสาเหตุ โรคใหลตายพบได้ทุกภาคในประเทศไทย แต่ที่พบมากที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ ภาคเหนือ ส่วนภาคอื่นพบได้ประปราย เป็นได้ทั้งหญิงและชาย แต่เพศชายเสียชีวิตจากโรคใหลตายมากกว่า ครอบครัวใดที่มีพี่ชาย ญาติพี่น้องเป็นโรคใหลตายมากๆ จึงจะพบในผู้หญิงบ้าง




สาเหตุของโรคใหลตาย



การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคใหลเกิดจากการเต้นระริกที่ไม่มีการบีบตัวเองของกล้ามเนื้อหัวใจ ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดการเต้นระริกที่ไม่มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ คือ การสูญเสียโปตัสเซียมแมกนีเซียมจากร่างกาย (เช่น จากการอาเจียน ท้องร่วง กินยาขับปัสสาวะ หรือดื่มกาแฟ ชา หรือเหล้า ซึ่งมีฤทธิ์ขับปัสสาวะเช่นกัน) รวมทั้งการมีไข้สูง การเกิดความเครียดจากการอดนอนทำงานหนัก สาเหตุของโรคใหลตายบางส่วนมีความเกี่ยวข้องกับสารเคมีในร่างกายเสียสมดุล เช่น ความเครียดทำให้ร่างกายหลั่งสารบางตัวออกมามากผิดปกติ นอกจากนี้ยังพบว่า พฤติกรรมการรับประทานอาหารหมักดอง ดื่มเหล้า เบียร์ สูบบุหรี่ รวมทั้งน้ำปลามีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคใหลตายได้อย่างชัดเจน



อาการของโรคใหลตาย



อาการที่แสดงออกของโรคใหลตายที่สังเกตได้ชัดเจน ได้แก่ คอบวม อกแฟบ แขนตึง ตาเหลือง เหงื่อออกที่อุ้งมือ หัวใจเต้นผิดปกติ โคนลิ้นขาว ปวดบริเวณหัวใจหรือลิ้นปี่ กระหายน้ำ ปวดสันไหล่ รวมถึงอาการทางจิต เช่น ใจหวิวบ่อยๆ เครียดง่าย ตื่นเต้นสูง นอนไม่หลับ อารมณ์ผันแปรง่าย คิดอะไรไม่ออกและเก็บกด เป็นต้น โรคใหลไม่ได้พบเฉพาะในคนไทยเพราะการเสียชีวิตในลักษณะเช่นนี้ยังพบได้ในภาคเหนือ (เรียกว่า หลับรวด) ในประเทศลาว (เรียกว่า ทำมะลา) ในประเทศฟิลิปปินส์ (เรียกว่า Bangungut) หรือในญี่ปุ่นซึ่งเรียกว่าโรค Pokkuri ความหมายของคำเหล่านี้ล้วนบ่งถึงการเสียชีวิตในขณะนอนหลับทั้งสิ้น



โรคใหลตายกับหัวใจเต้นผิดจังหวะ



การเสียชีวิตกะทันหันจากโรคใหลเกิดจากการเต้นระริกที่ไม่มีการบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจที่เกิดขึ้นเอง (Spontaneous Ventricular Fibrillation, VF) ทำให้สมองขาดเลือดและออกซิเจนกะทันหันเป็นผลให้กล้ามเนื้อตามตัว แขนขาเกิดอาการเกร็งและหายใจเสียงดังจากการมีเสมหะในหลอดลม บางรายจะมีอุจจาระปัสสาวะราด จากการสูญเสียการควบคุมของระบบประสาทอัตโนมัติ ผู้ป่วยจะมีใบหน้า ริมฝีปากเขียวคล้ำและเสียชีวิตในเวลารวดเร็ว หากไม่ได้รับการกู้ชีวิตที่มีประสิทธิภาพ



ผลจากการวิจัยชี้ให้เห็นว่า ผู้ป่วยโรคใหลที่รอดชีวิตร้อยละ 90 มีคลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติ และมีลักษณะเฉพาะ คือมีการยกตัวของคลื่น ST เหมือนกับที่คนไข้ที่เสียชีวิตกะทันหันในยุโรป ซึ่งวิธีที่จะป้องกันโรคใหลตาย คือ ปลูกฝังเครื่องกระตุกหัวใจ (ICD) ส่วนการรับประทานยาต้านหัวใจเต้นผิดจังหวะนั้น ไม่มีผลในการช่วยชีวิตแต่อย่างใด เพราะการใช้ไฟฟ้ากระตุกหัวใจให้กลับมาทำงานเป็นปกติ เพื่อหยุด VF โดยเร็วที่สุด ในบางครั้ง VF อาจหยุดเองได้และผู้ป่วยจะรอดตายได้เช่นกัน แต่ก็อาจจะเกิดสมองพิการถาวรหากขาดออกซิเจนนาน อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาดูเหมือนว่าการตรวจหัวใจไม่ว่าจะเป็นลิ้นหัวใจ กล้ามเนื้อและหลอดเลือดอย่างละเอียดจะให้ผลปกติ แต่กลับพบความผิดปกติของคลื่นไฟฟ้าหัวใจ สามารถกระตุ้นการเต้นระริกที่ไม่มีการบีบตัว  (ventricular fibrillation, VF) ได้โดยง่าย "คลื่นไฟฟ้าหัวใจดังกล่าวอาจกลับเป็นปกติได้ แต่จะสามารถตรวจพบด้วยการวางตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือใช้ยาบางชนิด"



นอกจากนี้การวิจัยยังพบข้อมูลที่น่าสนใจ โดยร้อยละ 30 ของครอบครัวผู้ป่วยใหลในไทยและ Pokkuri ในญี่ปุ่นมีความผิดปกติในหน่วยพันธุกรรม (gene) จริง มีผลให้การควบคุมประจุไฟฟ้าโซเดียมในระดับเซลล์ลดลง หรือไม่ทำงาน จึงเกิดการเต้นระริกขึ้นได้



การศึกษาเพื่อหาทางรักษาและป้องกันการเสียชีวิตจากโรคอันตรายนี้ยังคงดำเนินอย่างต่อเนื่อง โดยสถาบันวิจัยหัวใจเต็นผิดจังหวะ แปซิฟิก ริม โรงพยาบาลกรุงเทพ (Pacific Rim Electrophysiology Research Institute at Bangkok Hospital) ร่วมกับโรงพยาบาลภูอดุลยเดช ภายใต้การสนับสนุนของมูลนิธิดวงตะวัน และมูลนิธิเวชดุสิต ในพระอุปถัมภ์ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์คมชัดลึก
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #162 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 09:03:16 PM »

กินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างฉลาด



เกือบจะไม่มีคนไทยรายใดที่ไม่รู้จัก บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ซึ่งส่วนมากมักจะเรียกชื่อตามตราหรือยี่ห้อ เช่น มาม่า ยำยำ ไวไว โคคา
 

และอื่น ๆ เป็นอาหารยอดนิยมของคนไทยติดอันดับตลอดมา หากจะนำตัวเลขยอดของคนไทยกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาเปิดเผยแล้วหลายคนจะตาค้าง
 
คาดไม่ถึงจากรายงานระบุว่า ในแต่ละวัน คนไทยกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป 6 - 7 ล้านซอง ตกคนละประมาณ 50 ซองต่อปี กลุ่มที่กินมากที่สุดเห็นจะเป็นเด็ก และวัยเรียน วัยรุ่น โดยเฉพาะเด็กหอพัก แทบจะพูดได้ว่า กินกันทุกวัน บางราย เช้า-เย็น และกินติดต่อกันเป็นเวลานาน จนกว่าจะเบื่อ แต่บางรายไม่รู้จักเบื่อเพราะกินแทนข้าวเป็นอาหารหลักประจำไปเลย
 
มีหลายเหตุผลที่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เป็นอาหารยอดฮิตในสังคมไทย อันได้แก่ ปรุงง่ายสะดวก ไม่เสียเวลา เหมาะสำหรับคนมีเวลาน้อย และทำกับข้าวไม่เป็น ใครๆ ก็ปรุงได้และหาซื้อง่ายราคาไม่แพง ที่สำคัญคือ มีหลากหลายยี่ห้อและรสชาติให้เลือกตามรสนิยมของคนไทย รสชาติอร่อยซึ่งส่วนมากเพราะผงชูรส
 
เมื่อ 5 ปีที่ผ่านมา นักโภชนาการจัดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารด้อยคุณค่า ไม่สมดุลมีแต่แป้งและผงชูรส ต่อมาทานกระแสการบริโภคที่มาแรงของคนไทยไม่ได้ จึงร่วมมือกันนำมาพัฒนาให้มีคุณค่ามากขึ้น โดยการเสริมสารอหาร 3 ชนิด ในเครื่องปรุง คือ วิตามินเอ ไอโอดีน และธาตุเหล็กแล้วส่งเสริมการบริโภคให้ถูกหลักโภชนาการ
 
การกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโดยเพียงแค่เติมน้ำร้อนแล้วกินเลยนั้น ถือได้ว่ากินไม่ถูกต้องโดยเฉพาะกินแบบนี้ติดต่อกันจนเป็นนิสัย ที่เห็นยิ่งไปกว่านั้น คือ ฉีกซองกินทั้งดิบๆ เป็นขนมกินเล่นการกินลักษณะนี้ติดต่อกันเป็นประจำ จะทำให้ร่างกายขาดสารอาหารได้ เพราะเท่ากับว่าได้กินเฉพาะแป้ง
 
บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นอาหารที่นับว่าใช้ได้ ไม่ได้เลยร้ายมากมายอะไร หากรู้จักปรุงกินให้ถูกวิธี โดยเริ่มตั้งแต่การเลือกซื้อเฉพาะตำรับหรือยี่ห้อที่บนซองระบุว่า มีสารไอโอดีน เหล็ก และวิตามินเอ อยู่เท่านั้น เมื่อนำมาปรุงจะต้องเติมไข่ หรือเนื้อสัตว์และผักลงไปทุกครั้ง ผักที่เติมอาจเป็นถั่วงอก คะน้า ตำลึง ผักบุ้ง ผักกาด ก็ได้ แต่ที่สำคัญคือ จะต้องไม่ลืมฉีกซองเครื่องปรุงใส่ลงในบะหมี่ทุกครั้งที่ปรุง และไม่ควรใส่น้ำมาก ใส่น้ำพอดี เวลากินจะต้องซดน้ำให้ได้มากที่สุด หมดชามยิ่งดี เพราะเท่ากับว่าเราได้สารอาหาร 3 ชนิดนั้น เข้าสู่ร่างกายได้เต็มที่
 
ไม่ควรกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปติดต่อกันเป็นประจำนานๆ ซึ่งถือว่าเป็นการกินอาหารที่ซ้ำซาก ควรกินสลับกับอาหารประเภทแป้งอื่น โดยเฉพาะควรกินข้าวเป็นอาหารหลัก การกินอาหารที่ผ่านขบวนการผลิตซ้ำซากจะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการสะสมสารพิษบางชนิดในร่างกาย และทำให้ร่างกายได้รับสารอาหรไม่ครบถ้วน หรือได้รับอย่างใดอย่างหนึ่งมากจนเกินไปบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกินได้ แต่ต้องใส่ใจกินให้ถูก ปรุงให้สุก เติมเนื้อสัตว์ และผักทุกครั้ง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #163 เมื่อ: พฤษภาคม 07, 2012, 09:07:29 PM »

 
พลุที่แตกออกมาเป็นรูปหน้าคุณ 



Personalised Fireworks เป็นพลุสั่งทำที่เมื่อยิงขึ้นไปบนฟ้าแล้วจะแตกออกมาเป็นรูปใบหน้าของคุณเอง ด้วยการใช้พลุทั้งหมด 200 นัดยิงขึ้นไปบนท้องฟ้าซึ่งสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนในระยะรัศมี 20 ไมล์จากจุดที่ถูกจุด เหมาะมากๆสำหรับคนที่อยากโปรโมทตัวเองด้วยวิธีที่ไม่เหมือนใคร ด้านล่างนี้คือคำบรรยายสรรพคุณของนวัตกรรมใหม่นี้ว่ามีการทำงานอย่างไร


หลายคนคงสงสัยว่าพลุตัวนี้มีการทำงานอย่างไร? สิ่งที่คุณต้องเตรียมก็แค่รูปโปรไฟล์หน้าของคุณเท่านั้น เบื้องหลังของการประดิษฐ์พลุตัวนี้ก็คือเหล่านักวิทยาศาสตร์ชาวจีนได้ใช้ advanced mapping software ในการระบุจุดเด่นต่างๆที่อยู่บนใบหน้าของคุณ หลังจากนั้นก็ทำการเลือกส่วนผสมจากพลุจรวดต่างๆที่มีมากมายถึง 5000 แบบต่างกัน ด้วยขั้นตอนการผลิตแบบอัตโนมัติซึ่งมันจะช่วยตัดสินใจว่าจะทำอย่างไรให้การระเบิดออกมาเป็นภาพที่ดีที่สุด หลังจากนั้นก็จะบรรจุพลุที่ทำเสร็จแล้วเรียงในกล่องตามลำดับ เพื่อให้ง่ายต่อการจุดและการขนย้าย


โดยเฉลี่ยแล้วกล่องที่บรรจุ Personalised Fireworks จะมีขนาดประมาณ 40 x 40 นิ้ว มีความสูง 3 นิ้ว แต่ทั้งนี้มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของรูปที่คุณอยากได้ด้วย ส่วนข้อเสียของมันก็คือเมื่อพลุระเบิดออกมาแล้ว รูปใบหน้าของคุณก็จะส่องสว่างเพียงแค่ 5 วินาทีเท่านั้นและจะเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดในระยะห่างออกไป 6 ไมล์จากจุดที่จุดพลุ ถ้าใครสนใจก็สามารถเข้าไปสั่งทำได้ที่เว็บ firebox ในสนนราคา 81.29 $ หรือประมาณ 2,440 บาทค่ะ



dailygizmo

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #164 เมื่อ: พฤษภาคม 08, 2012, 04:09:12 PM »

8 วิธีรับมือ เคมีร้ายในอากาศ


สืบเนื่องจากเหตุสารเคมีรั่วภายในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ เตือนให้ระวังอันตรายจากสารเคมีที่ปนเปื้อนมาในอากาศ



โดยบรรดาเคมีพิษในอากาศมีอยู่หลายชนิดที่ก่อให้เกิดพิษร้ายถึงขั้นส่งผลต่อสุขภาพ ดังจะขอแบ่งง่ายๆ เป็น 2 พวก คือ “พิษเฉียบพลัน” และ “พิษสะสม” ส่วนลักษณะการเกิดพิษนั้นอาจแบ่งได้เป็น “พิษเฉพาะที่” กับ “พิษทั่วตัว” ทั้งสองนี้อาจเกิดพร้อมกันไปก็ได้ ทั้งนี้ไม่ใช่แค่กับนิคมอุตสาหกรรมเท่านั้น ที่ใดที่มีสารเคมีก็ควรต้องระวังไว้ทั้งสิ้น และยังไม่เฉพาะกับซากกากเคมีเท่านั้น แต่ซากพืช ซากสัตว์ก็หมักจนเกิดพิษได้ อย่างเช่น ก๊าซมีเทน เป็นต้น



สำหรับตัวผู้ร้ายของเราที่เพิ่งระเบิดแถวนิคมอุตสาหกรรม คือ “โซเดียมไฮโปคลอไรท์” เป็นสารฆ่าเชื้อหรือใช้ฟอกขาวทำโซดาไฟก็ได้ มีกลิ่น “ฉุน” มาก ถ้ารั่วออกมามากเช่นนี้ กลิ่นจะเตะจมูกคนจนรู้สึกได้



อาการเจ็บป่วยจากการได้สารพิษมีชื่อเรียกว่า “ท็อกซิโดรมส์” มาจากท็อกซินผนวกกับซินโดรม ซึ่งผลของพิษที่ออกฤทธิ์ต่อสุขภาพมีดังต่อไปนี้ ระคายเยื่อบุอ่อน อาทิ เยื่อบุตา จมูก ช่องคอ ทางเดินหายใจ, เยื่อบุโพรงจมูกอักเสบ คออักเสบ หลอดลมบวมตีบ หายใจไม่ออก, คลื่นไส้อาเจียน, วิงเวียนสับสน, และอื่นๆ เช่น ฤทธิ์ต่อระบบประสาท สมอง ตับ ไต หัวใจ และกล้ามเนื้อ



ส่วนวิธีปฐมพยาบาลเบื้องต้น กรณีสูดดม สัมผัสหรือเข้าหูเข้าตา โดยเฉพาะโซเดียมไฮโปคลอไรท์ และโทลูอีน เริ่มจาก “ดูอวัยวะ” ดูทางพิษเข้า เช่น กลืนเข้าคอ, สูดเข้าจมูก, สัมผัสกับผิวหนังหรือทางอื่นๆ เพราะแต่ละช่องทางการสัมผัสสารพิษจะเป็นตัวกำหนดการดูแลปฐมพยาบาลเบื้องต้น เช่น ถ้าเข้าคอก็ต้องกลั้วคอล้าง หรือเป็นหมอกควันพิษที่แสบหูแสบตาไปหมด ก็ต้องล้างออกด้วยน้ำสะอาด หรือน้ำเกลือปลอดเชื้อดังนี้ เป็นต้น



ต่อมา “ผละให้ไว” ไปยัง Support zone ที่จัดไว้ให้ไวที่สุด สารกลุ่มโซเดียมไฮโปคลอไรท์เป็นสารระเหยที่ลอยอ้อยอิ่งอยู่ในอากาศได้จึงต้องรีบออกมาจากสถานที่เกิดเหตุนั้นโดยไว แต่ก็ต้องไม่ตระหนกจนเกินไปเพราะในความสับสนนั้นอาจทำให้เกิดการฟุ้งกระจายของสารนั้นมากยิ่งขึ้นได้



“ให้ดูพิษ” ถ้าเราทราบแหล่งที่มาของสารพิษนั้นด้วยได้จะดีเพราะเป็นข้อมูลที่บอกชนิดของพิษนั้นได้ว่าจะทำอันตรายกับอวัยวะใดของเราบ้าง การมีตัวอย่างสารพิษหรือมีข้อมูลโรงงานผลิตจะช่วยคุณหมอในการดูแลรักษาเบื้องต้นได้มาก



“ไล่ตามปิด” เมื่อทราบชนิดของพิษแล้วก็จะรู้ว่าอวัยวะที่เป็นเป้าใหญ่คืออะไร ให้มาพุ่งเป้าที่ส่วนนั้นๆ เช่น ไฮโปคลอไรท์จะทำให้เยื่อบุตาอักเสบ คอเจ็บก็หาอุปกรณ์มาปิดตาปิดปากส่วนที่เสี่ยงเอาไว้ หรืออย่างโทลูอีนก็เป็นสารที่ระเหยได้หรือเป็นของเหลวให้สัมผัสได้ก็ต้องหาเสื้อกันสารเคมีชนิดที่มิดชิดมิดเม้นจะได้เลี่ยงสัมผัสเราง่าย



“ทิศทางลม” ใช้ได้กับสารระเหยที่เป็นเคมีลอยล่องอยู่ในอากาศรอบตัว โดยปกติถ้าเป็นก๊าซจะอยู่ได้ไกลถึง 600 เมตรในที่ลมสงบ แต่ถ้าลมแรงก็จะลอยไปไกลกว่านั้นมาก หากรู้ทิศแล้วจะได้หลบไว้ไม่ไปอยู่ใต้ลม เพราะเคมีบางชนิดก็เป็นก๊าซหนักจะลอยลงไปปกคลุมคนที่นอนอยู่ได้ เช่น กรณียูเนียนคาร์ไบด์ที่อินเดีย



“ผสมน้ำ” การปฐมพยาบาลด้วยน้ำสะอาดยังเป็นสิ่งที่ใช้ได้อยู่เสมอ หากแสบหูแสบตามากให้ล้างด้วยน้ำสะอาดหลายๆ น้ำ หรือเปิดน้ำก๊อกให้ไหลผ่าน ถ้าเปื้อนตามตัวให้ถอดเสื้อผ้าที่เปื้อนนั้นออก แล้วล้างน้ำให้มากเข้าไว้ จะช่วยให้ไม่ต้องเสี่ยงต่อการสัมผัสเคมีพิษซ้ำสอง



“ไม่ซ้ำอาเจียน” สำหรับท่านที่เผลอกลืนเข้าไป การให้อาเจียนไม่ใช่ทางแก้ที่ดีนัก เพราะความตกใจอยู่แล้วอาจทำให้สำลักลงปอดยิ่งพาให้สารนั้นเข้าปนเปื้อนในตัวเราหนักขึ้นถึงขั้นปอดอักเสบ หรือถ้าไม่สำลักสารก็มักขึ้นมาในหลอดอาหารอีกครั้งทำอันตรายขึ้นมาได้ซ้ำสองอีกครั้งหนึ่ง



และ “พบหาหมอ” เมื่อแก้เบื้องต้นแล้วก็ยังไม่พ้นคุณหมอ โดยคุณหมอด้านเกี่ยวกับพิษต่อสุขภาพนี้คือ “นักพิษวิทยา” เป็นเชี่ยวชาญอาการพิษจากเคมี เมื่อไปหาแล้วให้ข้อมูลท่านละเอียดก็จะบอกได้ถึงชนิดของพิษนั้นและวิธีแก้หรือการส่งต่อไปหาคุณหมอเฉพาะทางในแต่ละด้าน เช่น โดนสารเคมีเข้าตาก็ส่งไปพบจักษุแพทย์.


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เดลินิวส์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 9 10 [11] 12 13 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: