Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75289 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 12 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #180 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 09:24:01 PM »

ต้นขจร อาหารบำรุงฮอร์โมนหญิง


ว่าแล้วอย่ารอช้า เรามาทำความรู้จักกับ ต้นขจร หรือที่รู้จักกันอีกชื่อว่า ต้นสลิด กันค่ะ

คุณค่าทางอาหาร ทั้งยอดอ่อน ผลอ่อน และดอกของขจรสามารถนำมาทำอาหารได้ทั้งนั้น โดยเฉพาะใช้เป็นผักต้มหรือผักลวกจิ้มน้ำพริก หรือทำเป็นอาหารอื่นๆ เช่น แกงส้มดอกขจร ยำดอกขจร แกงจืดดอกขจร ข้าวต้มดอกขจร เป็นต้น และส่วนที่มีคุณค่าทางอาหารมากที่สุดคือส่วนยอดอ่อน ทั้งนี้ดอกขจรมีคุณค่าวิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ได้แก่ วิตามินเอ วิตามินซี แคลเซียม และฟอสฟอรัสสูง

สรรพคุณทางยา
ดอกขจร มีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการวิงเวียนศีรษะ คลื่นไส้อาเจียน รักษาหวัดที่เกิดจากการตากลมหรืออากาศเย็น ช่วยบำรุงตับ บำรุงสายตา บำรุงเลือด บำรุงฮอร์โมนของสตรี ช่วยขับเสมหะ และแก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ราก เป็นเครื่องยาสมุนไพรใช้หยอดรักษาตา อีกทั้งมีสรรพคุณทำให้อาเจียน ถอนพิษเบื่อเมา ดับพิษได้อีก ใครว่าต้นไม้ไทยๆ จะสวยแต่รูปใช่ไหมค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก ชีวจิต


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #181 เมื่อ: กรกฎาคม 13, 2012, 09:25:59 PM »

มะเขือเปราะผักพื้นบ้านต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ


ในบ้านเรามีพืชผักสมุนไพรหลายอย่างที่ช่วยชูรสอาหาร อีกทั้งยังให้ประโยชน์แก่ร่างกายมากอีกด้วย อย่าง “มะเขือเปราะ” ก็ เป็นมะเขืออีกชนิดหนึ่งที่เรานิยมนำมาประกอบในอาหาร ไม่ว่าจะเป็นแกงเขียวหวาน แกงป่า หรือบางคนก็นิยมกินสดๆ จิ้มน้ำพริก หรือใส่ในยำต่างๆ ก็ได้รสอร่อยเช่นกัน ดังนั้นจึงไม่สมควรปล่อยให้มะเขือเปราะต้องวางทิ้งอยู่ข้างจานอีกต่อไป

สำหรับประโยชน์มะเขือเปราะนั้นก็มีมากทีเดียว โดยในอินเดียนั้นจะนำมะเขือเปราะมาทำเป็นยา โดยผลมะเขือเปราะนั้นจะช่วยขับพยาธิ ลดการอักเสบ ช่วยย่อยอาหารและช่วยในการขับถ่าย

อีกทั้งยังมีงานวิจัยที่พบว่าผล มะเขือเปราะมีฤทธิ์ลดการบีบตัวกล้ามเนื้อ เรียบ ต้านมะเร็ง บำรุงหัวใจ และลดความดันเลือด และยังลดปริมาณน้ำตาลในเลือดสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวานได้อีกด้วย โดยสารสกัดจากมะเขือเปราะนั้นจะออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน โดยช่วยเสริมการใช้งานกลูโคสอย่างมีประสิทธิภาพ และมีผลเชิงบวกต่อการทำงานของตับอ่อน นอกจากนั้นยังมีวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 2 วิตามินซีอีกด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #182 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2012, 12:17:39 PM »

เรื่องน่ารู้ ศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า



ในแวดวงศัลยกรรมปัจจุบันนี้ มีนวัตกรรมเพื่อการแก้ปัญหาผิวหน้ามากมาย ทั้งการการฉีดฟิลเลอร์เพื่อเติมริ้วรอยให้ตื้นขึ้น การยิงเลเซอร์เพื่อกระตุ้นการทำงานของคอลลาเจนใต้ชั้นผิวทำให้ผิวหน้าเนียนกระชับ การลอกผิวให้หน้าใส กำจัดจุดด่างดำ การกรอผิวให้ริ้วรอยและรอยแผลเป็นดูตื้นขึ้น หรือการฉีดโบท็อกซ์เพื่อยับยั้งการเกิดริ้วรอย แต่หากเป็นปัญหาเรื่องผิวขาดความกระชับ หย่อนยาน จนทำให้หนังตาตก หนังเป็นรอบพับเห็นริ้วรอยลึกชัดเจน หรือผิวหย่อนจนเกิดคางสองชั้น วิธีที่จะแก้ปัญหาได้ดีที่สุด ยังคงเป็นการ "ศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า" อยู่นั่นเอง
          การศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า (facelift surgery) นี้ เป็นกระบวนการศัลยกรรมผิวเพื่อความสวยงามแบบแรก ๆ ที่มี แต่ก็ถูกกระบวนการที่ทันสมัยกว่าในปัจจุบันเข้าแทนที่ เพื่อแก้ไขปัญหาอื่น ๆ ที่ตรงจุด และเจ็บตัวน้อยกว่า แต่การศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้าก็ยังคงได้เปรียบกว่าในเรื่องของผู้ที่มีปัญหาผิวหย่อนคล้อยลงตามอายุ เพราะสามารถแก้ปัญหาได้อย่างตรงจุด และเห็นผลที่ดี คือผิวหน้าดูตึงขึ้น ไม่คล้อยห้อยลงตามแรงโน้มถ่วงของโลกเช่นเดิม ว่าแล้วเรามาทำความรู้จักการศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้าให้มากกว่านี้กันดีกว่าค่ะ

     ปัญหาผิวหน้าเช่นไรที่แก้ไขได้ด้วยการศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า

           ผิวหน้าหย่อนคล้อยลงตรงส่วนกลางใบหน้า

            หนังตาเหี่ยวและรอยพับลึก หรือหนังตาเหี่ยวคล้อยลงมาทับรอยพับที่เปลือกตา

            ร่องลึกข้างแก้มจากปลายจมูกไปยังมุมปาก ซึ่งเกิดจากผิวทั่วทั้งใบหน้าหย่อนคล้อย

            ไขมันบนผิวหน้าที่ห้อยย้อยลง หรืออยู่ผิดตำแหน่ง

            ผิวคล้อยลงร่วมกับไขมันสะสมที่ใบหน้า ทำให้ไหลลงมาใต้คาง และดูเป็นคนมีคางสองชั้น ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้ในรายที่มีน้ำหนักปกติ

     การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า

          เพื่อการเตรียมตัวที่ดีในการเข้ารับการผ่าตัด แพทย์จะแนะนำให้คุณงดอาหาร ยา และพฤติกรรมบางอย่าง ที่จะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดและการรักษาตัวของบาดแผล รวมทั้งสอบประวัติการใช้ยาของคุณด้วย

            งดการใช้ แอสไพริน ยาแก้อักเสบชนิดไม่ผสมสเตียรอยด์ และยาละลายลิ่มเลือด ก่อนเข้ารับการผ่าตัด 2 สัปดาห์ เนื่องจากยาเหล่านี้กระตุ้นการให้เลือดไหลได้ดี

            งดการรับประทานอาหารเสริมอย่าง วิตามินอี โอเมก้า3 ใบกิงโกะ และชาเขียว เพราะสามารถเพิ่มอัตราการไหลของเลือดได้เช่นกัน ซึ่งส่งผลไม่ดีกับบาดแผลทั้งระหว่างและหลังการผ่าตัด แต่ให้เสริมด้วยการสมุนไพรอย่างอาร์นิก้า และบรอมีเลน ซึ่งเป็นสารสกัดจากสับปะรด อันจะช่วยลดอาการช้ำบวมของแผลหลังผ่าตัดได้

            งดบุหรี่ เนื่องจากสารนิโคตินในทำให้อัตราออกซิเจนในเส้นเลือดต่ำลง ส่งผลให้แผลหายช้า และอาจเกิดอาการเนื้อตายตามมา

          อย่างไรก็ตาม หากคุณรับประทานยาที่มีความเสี่ยงใด ๆ อยู่ อย่าเพิ่งหยุดยาเองโดยกระทันหัน แต่ให้ปรึกษาแพทย์ของคุณก่อนเสมอ

     กระบวนการศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า

          การปรึกษากับแพทย์ศัลยกรรมเป็นสิ่งที่คุณต้องทำเป็นอันดับหนึ่ง ก่อนตัดสินใจว่าต้องการผ่าตัดดึงผิวหน้าจริงหรือไม่ เมื่อตัดสินใจแล้ว แพทย์จึงดูรูปหน้า ความยืดหยุ่นของผิว โครงหน้า และลักษณะปัญหาของคุณ เพื่อพิจารณารูปแบบการศัลยกรรมผ่าตัดเป็นลำดับถัดไป

            การใช้ยาชา การผ่าตัดเพื่อดึงผิวหน้ามักใช้ยาระงับประสาทอย่างอ่อน (sedative) ร่วมกับยาชาเฉพาะจุด (local anesthesia) และการใช้ยาชาอย่างอ่อนผ่านหลอดเลือดดำ (mild intravenous anesthesia) แต่ในบางกรณีแพทย์อาจเลือกใช้เพียงยาชาเฉพาะจุด หรือยาสลบ (general anesthesia) ก็ได้

            การผ่าตัด รอยผ่าตัดจะอยู่ที่บริเวณด้านหน้าและหลังใบหู ซึ่งอาจเลยไปถึงแนวไรผมด้วยก็ได้ โดยในกรณีเช่นนี้ แพทย์จะดูความเหมาะสมให้แผลอยู่ที่บริเวณรอยพับตามธรรมชาติของผิวหนัง เพื่อความกลมกลืนเป็นธรรมชาติ ส่วนในผู้ป่วยเพศชายนั้น รอยผ่าตัดอาจอยู่ที่แนวไรเครา

             การดึงกระชับผิวหน้า เมื่อลงมือผ่าตัดแล้วกระบวนการดึงกระชับผิวหน้าก็เริ่มต้นขึ้น ชั้นผิวส่วนต่าง ๆ ของผิวหน้าจะถูกทำให้ตึงขึ้น ผิวหนังส่วนเกินจะถูกตัดออกไป รวมทั้งไขมันบางส่วนอาจถูกดูดออกไปด้วยกระบวนการดูดไขมัน ในบางกรณีผิวหนังและเนื้อเยื่อกล้ามเนื้อจะได้รับการจัดแต่งใหม่ ชั้นกล้ามเนื้อจะถูกจัดแต่งใหม่ให้ตึงขึ้น โดยจะทำเป็นไปพร้อม ๆ กับการดึงผิวหนัง หรือทำแยกชั้นกันก็ได้ จากนั้นจึงเย็บปิดแผลด้วยไหมหรือไหมละลาย และพันผ้าพันแผล


     การพักฟื้นหลังการศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า

          กระบวนการผ่าตัดโดยทั่วไปนั้นใช้เวลา 2-4 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับความซับซ้อนของแต่ละกรณี หลังจากนั้นผู้ป่วยมักต้องนอนพักที่โรงพยาบาลเพื่อพักฟื้น ทั้งนี้หลังการผ่าตัด 24 ชั่วโมง ผู้ป่วยอาจมีอาการสลึมสลือจากฤทธิ์ยาระงับประสาทหรือยาสลบ รวมทั้งแพทย์จะต่อสายยางเพื่อระบายเลือดที่คั่งบางส่วนออกจากบาดแผล ผู้ป่วยอาจมีอาการเปลือกตา หรือส่วนอื่น ๆ ของใบหน้าบวม แต่ก็จะค่อย ๆ ยุบลงได้ และผ้าพันแผลที่พันมาหลังผ่าตัด อาจถูกแทนที่ด้วยผ้ายืดเพื่อช่วยกระชับ และลดอาการบวม


          หลังการผ่าตัด 2 วัน ผู้ป่วยสามารถสระผมได้ และหลังจากนั้นจำเป็นต้องงดเว้นกิจกรรมที่ออกแรงมาก จนกว่าอาการบวมของแผลจะหายไป ซึ่งอาจใช้เวลาราว 4-6 สัปดาห์ แผลคุณจะเริ่มหายและดูดีขึ้น สามารถออกไปทำกิจกรรมเบา ๆ กับคนใกล้ชิด อย่างกินข้าวกับเพื่อนหรือคนครอบครัวได้ภายใน 2-3 เดือน แต่อย่างไรก็ดี ยิ่งมีเวลารักษาบาดแผลนาน ใบหน้าก็จะดูเข้ารูปมากขึ้นตามไปด้วย

     ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ในการทำศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า

          การศัลยกรรมยกกระชับผิวหน้า ก็มีความเสี่ยงเช่นเดียวกับกระบวนการผ่าตัดทั่วไป โดยความเสี่ยงที่อาจขึ้นได้มีดังนี้

            รอยแผลไม่พึงประสงค์

            เลือดคั่งใต้ผิวหนัง

            อักเสบ

            เนื้อตายบริเวณรอยผ่าตัด

            ความเสี่ยงจากการใช้ยาสลบ

            เส้นประสาทที่ผิวหน้าได้รับความเสียหาย

            ใบหน้าเสียสมมาตร

            อาการชา หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ ที่ผิวหนัง

            เกิดไตไขมันใต้ผิวหนัง อันเกิดจากเนื้อเยื่อไขมันถูกทำลาย แต่ไม่ได้ถูกกำจัดออกมานอกร่างกาย

            ของเหลวคั่งใต้ผิวหนัง

            อาการบวม และสีผิวไม่สม่ำเสมอ

            ขนหรือผมร่วง

            เส้นเลือดขอด

            อาจต้องการการผ่าตัดแก้ไขอีกครั้ง


          การศัลยกรรมกระชับผิวหน้านับเป็นการแก้ปัญหาผิวหย่อนยานลงตามวัย แต่ก็ต้องไม่สับสนกับปัญหาริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าซึ่งเป็นคนละกรณีกัน อย่างไรก็ตามในการการผ่าตัดยกกระชับผิวหน้า อาจมีกระบวนการอื่น ๆ เข้ามาเสริมอย่างการศัลยกรรมตกแต่งเปลือกตา การฉีดฟิลเลอร์ เพื่อให้ได้ผลของใบหน้าที่มีผิวหน้ากระชับขึ้น และริ้วรอยดูเรียบตื้นขึ้นตามที่ต้องการ แต่ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการแบบไหนผู้ที่สนใจก็ต้องหาข้อมูลอย่างละเอียด และปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้งนะคะ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #183 เมื่อ: กรกฎาคม 15, 2012, 12:22:17 PM »

การปฐมพยาบาลเมื่อสิ่งแปลกปลอมเข้าตา หู จมูก

ในชีวิตประจำวัน เรามีโอกาสได้รับอุบัติเหตุจากการที่สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกายได้เสมอ อาจโดยบังเอิญหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เช่น เศษวัตถุ ฝุ่นละออง เมล็ดผลไม้ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้เมื่อเข้าไปติดอยู่ในอวัยวะต่างๆ เช่น ตา หู คอ จมูก จะทำให้เกิดอันตรายได้ หากรู้วิธีการช่วยเหลือที่ถูกต้อง ก็จะช่วยลดการบาดเจ็บหรืออันตรายที่จะเกิดขึ้นได้






สิ่งแปลกปลอมเข้าตา

เมื่อเศษฝุ่นละออง ขนตา หรือแมลงตัวเล็กๆ เข้าตา จะทำให้เกิดอาการระคายเคือง คัน ตาแดง น้ำตาไหล เจ็บปวด บางครั้งอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย ให้หลีกเลี่ยงการขยี้ตา ล้างมือให้สะอาด และอาจนำเศษผงออกเองได้โดยการลืมตาในน้ำสะอาด หรือล้างตาด้วยน้ำอุ่น

หากมองเห็นเศษของสิ่งแปลกปลอมอยู่ที่เปลือกตาด้านล่าง ให้เงยหน้าขึ้น แล้วดึงเปลือกตาล่างลง ใช้มุมผ้าบางๆ ที่สะอาดหรือกระดาษทิชชูเขี่ยออกเบาๆ ไม่ควรใช้สำลี เพราะเศษของสำลีจะเหนียวติดที่ตา

หากสิ่งแปลกปลอมติดอยู่ที่เปลือกตาบน ให้จับและดึงเปลือกตาบนด้วยนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้ พับหนังตาบนด้วยไม้พันสำลี แล้วมองลงต่ำ จะเห็นบริเวณเปลือกตาและดวงตา จากนั้นใช้มุมผ้าสะอาดหรือทิชชูค่อยๆ เขี่ยสิ่งแปลกปลอมออก

หากกะพริบตาแล้วยังรู้สึกระคายเคืองหรือเจ็บตาอยู่ ให้ปลิ้นเปลือกตาขึ้น โดยใช้ก้านไม้พันสำลีกดที่เปลือกตาบนแล้วดึงเปลือกตาขึ้น ตรวจดูว่า มีเศษผงติดอยู่ที่เปลือกตาบนหรือไม่ จากนั้นใช้มุมผ้าสะอาดค่อยๆ เขี่ยเศษผงออก แล้วกลับเปลือกตาให้อยู่ในสภาพปกติ

หากมองไม่เห็นสิ่งแปลกปลอม แต่ยังระคายเคืองที่ตาด้านล่าง ให้เหลือบตาลงด้านล่าง แล้วจับเปลือกตาบนดึงขึ้นดึงลงเบาๆ เป็นการกระตุ้นให้น้ำตาไหล น้ำตาจะช่วยชะล้างสิ่งแปลกปลอมให้หลุดออกมา

หลังจากนำสิ่งแปลกปลอมออกได้แล้ว ให้ทำความสะอาดตาด้วยน้ำยาล้างตาหรือน้ำอุ่นสะอาดๆ หากยังระคายเคืองตา หรือไม่สามารถนำสิ่งแปลกปลอมออกได้ ให้รีบไปพบแพทย์หากสิ่งแปลกปลอมซึ่งมีความแหลมคมฝังติดอยู่ในตา เช่น สะเก็ดหิน อย่าขยี้ตาหรือพยายามเขี่ยสิ่งแปลกปลอมออกเอง ให้หลับตาและใช้ผ้าก๊อซสะอาดปิดตา พันผ้าไว้เพื่อยึดไม่ให้เคลื่อนไหว แล้วรีบไปพบแพทย์



สิ่งแปลกปลอมเข้าหู

สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในหูส่วนมากมักจะเป็นแมลงตัวเล็กๆ เช่น มดหรือแมลงกลางคืน หากแมลงยังไม่ตายในทันที และบินวนอยู่ในหูเพื่อหาทางออก จะมีอาการปวดหูมาก การได้ยินอาจเสียไปเล็กน้อย อย่าใช้นิ้วแคะหรือใช้ไม้พันสำลีเช็ดหูเพื่อพยายามเอาแมลงออก ให้ใช้น้ำมันพืชค่อยๆ หยอดลงไป แมลงจะสำลักน้ำมันตาย และหยุดการเคลื่อนไหว จากนั้นจึงไปพบแพทย์

หากเป็นเด็กที่เล่นซน เช่น ใส่ของเล่นชิ้นเล็กๆ หรือสิ่งแปลกปลอมอย่างอื่นเข้าไปในหูโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ให้เอียงหูข้างนั้นต่ำลงแล้วกระตุกใบหู วัตถุอาจจะเลื่อนออกมาเองได้ หรือหากมองเห็นวัตถุนั้นชัดเจน และมั่นใจว่า สามารถนำออกมาได้อย่างแน่นอน ให้ใช้คีมถอนขนปลายแคบค่อยๆ คีบออก

แต่หากมองไม่เห็นวัตถุนั้น หรือมองเห็นไม่ชัด หรือไม่แน่ใจว่าจะสามารถนำออกมาได้ อย่าพยายามใช้นิ้วมือ ไม้แคะหู หรือคีมคีบออก เพราะจะทำให้สิ่งนั้นเลื่อนลึกลงไปอีก ห้ามใช้น้ำหรือน้ำมันหยอดหู เพราะวัตถุบางอย่างอาจดูดซับน้ำและพองตัวใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ควรรีบไปพบแพทย์

สิ่งแปลกปลอมที่หลุดเข้าไปในหูอาจกระทบกระเทือนถึงหูชั้นในได้ อาจทำให้เยื่อแก้วหูฉีกขาดหรือแก้วหูแตก เนื่องจากเยื่อแก้วหูเป็นอวัยวะที่บอบบาง บางครั้งถ้าได้ยินเสียงดังมากๆ ถูกสิ่งของกระแทกเข้าไปในช่องหู หรือเกิดการติดเชื้อ เยื่อแก้วหูอาจถูกทำลายได้ สังเกตได้ว่าจะไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยอย่างกะทันหัน มีอาการปวด บางครั้งอาจมีเลือดออกทางช่องหู ให้รีบนำคนเจ็บส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก

สิ่งแปลกปลอมเข้าจมูกจะพบในเด็กเล็กเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากความซนและอยากรู้อยากเห็น ที่พบได้บ่อยๆ คือมีเมล็ดผลไม้ ลูกแก้ว ก้อนหิน หรือชิ้นส่วนของเล่น ติดคาอยู่ที่รูจมูก ความตกใจจะทำให้หายใจถี่ขึ้น มีอาการคัดจมูก มีน้ำมูกใสๆ และจามในระยะแรก หากปล่อยทิ้งไว้นานอาจเป็นแผลมีหนอง มีเลือดออก และมีกลิ่นเหม็น ส่วนใหญ่มักเป็นข้างเดียว

หากมีน้ำมูกไหลอาจทำให้วัตถุที่พองตัวเมื่อถูกน้ำมีขนาดใหญ่ขึ้น ดังนั้นควรจะนำสิ่งแปลกปลอมออกให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ควรใช้นิ้วหรือไม้แคะออก เพราะจะทำให้วัตถุนั้นเลื่อนลึกลงไปอีก

วิธีง่ายๆ คือ ให้ปิดรูจมูกอีกข้างหนึ่ง แล้วพ่นลมหายใจออกแรงๆ ถ้ายังไม่ออก ให้หายใจช้าๆ ลึกๆ และทำซ้ำอีกครั้ง อีกวิธีคือพยายามทำให้จามด้วยการใช้กระดาษทิชชูแหย่เข้าไปในรูจมูก จะกระตุ้นให้จามได้ และจะช่วยให้สิ่งแปลกปลอมกระเด็นหลุดออกมา หากทำทั้งสองวิธีแล้วยังไม่ได้ผล ให้รีบไปพบแพทย์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #184 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:23:26 PM »

กินช้าๆ สร้างหุ่นสวยทันใจ

อาจารย์สาทิส อินทรกำแหง กูรูต้นตำรับชีวจิต แนะนำให้เคี้ยวอาหารคำละ 50 ครั้ง ล่าสุด มีงานวิจัยพบว่า กินอาหาร 1 คำ เคี้ยว 40 ครั้ง ช่วยลดน้ำหนักได้! โดย Harbin Medical University ประเทศจีน ศึกษาวิจัยพบว่า การเคี้ยวอาหารให้ละเอียดช่วยลดระดับฮอร์โมนเกรลิน (ghrelin) ซึ่งเป็นฮอร์โมนสำคัญ ที่กระตุ้นให้เกิดความรู้สึกหิว



นักวิจัยแบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม จากนั้นให้กลุ่มแรกเคี้ยวอาหาร 15 ครั้งก่อนกลืน ส่วนกลุ่มที่สองเคี้ยวอาหาร 40 ครั้งก่อนกลืน หลังตรวจเลือดพบว่า อาสาสมัครกลุ่มหลังมีระดับฮอร์โมนเกรลินน้อยกว่า ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วกว่า จึงกินอาหารน้อยลง ทั้งยังพบอีกว่า อาสาสมัครที่มีรูปร่างอ้วน ส่วนใหญ่มีพฤติกรรมกลืนอาหารเร็ว เนื่องจากใช้เวลากินอาหารน้อยกว่าคนที่มีน้ำหนักปกติ

ฉะนั้น หากคิดจะลดน้ำหนัก ไม่เพียงต้องควบคุมปริมาณอาหาร แต่ควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียดตามคำแนะนำ พร้อมกับกินอาหารให้ช้าลง ตามขั้นตอนต่อไปนี้

• ตักอาหารใส่จานในปริมาณที่กินแล้วอิ่มพอดี

• พิจารณาอาหารในจาน กำหนดสติว่ากำลังจะกินอาหาร แล้วจึงตักใส่ปาก

• เคี้ยวอาหารช้าๆ โดยพยายามเคี้ยวให้ได้อย่างน้อยคำละ 40 ครั้งก่อนกลืน

• ตัก เคี้ยว และกลืนอาหาร อย่างมีสติทุกคำจนหมดจาน

• เมื่อกินอาหารหมดแล้วไม่ควรตักเพิ่ม

• หากรู้สึกอิ่มก่อนกินอาหารหมดจาน ควรหยุดกิน แล้วอย่าลืมลดปริมาณการตักอาหารในมื้อต่อไป เคี้ยวให้ละเอียดลดหุ่นสวยจะยิ่งได้ผลดี เมื่อกินอาหารชีวจิต โดยเฉพาะสูตร 2 ค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #185 เมื่อ: กรกฎาคม 20, 2012, 08:25:15 PM »

แคปซูลใยไหม กัน’ความร้อน-แสง-ยืดอายุยา’




ไหมนอกจากทอผ้าสวยและมีราคาดีแล้ว ในอนาคตจะเข้าสู่วงการแพทย์ในรูปแบบของวัสดุห่อหุ้มตัวยา หรือวัคซีนด้วย หลังจากมีการค้นพบว่าเมื่อนำมาทำให้อยู่ในลักษณะแผ่นฟิล์มบางๆ สามารถยืดอายุยาปฏิชีวนะหรือวัคซีนที่ห่อหุ้มอยู่ได้ ซึ่งเหมาะสำหรับการส่งตัวยาสำคัญไปยังประเทศโลกที่ 3

ปกติ แล้ววัคซีนและยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่จำเป็นต้องแช่แข็งเพื่อรักษาคุณภาพเอาไว้ ระหว่างการขนส่ง ซึ่งขั้นตอนดังกล่าวไปเพิ่มต้นทุนให้กับราคายาบางตัวสูงถึงร้อยละ 80 อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าแม้จะแช่แข็งแล้วแต่มียามากกว่าครึ่งที่เสียหายไปในขั้นตอนดังกล่าว

ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยทัฟต์ รัฐแมสซาชูเซ็ตส์ นำโดย ดร.เดวิด แค็ปแลน ประสบความสำเร็จในการสร้างฟิล์มใยไหมซึ่งเป็นโพลีเมอร์ชีวภาพชนิดโปรตีนที่ ทำจากเส้นไหม เมื่อนำมาใช้ในรูปของเหลวมันจะสามารถห่อหุ้มโมเลกุลของสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ ที่อยู่ในยาปฏิชีวนะและวัคซีนได้

ทีมดังกล่าวพบว่าองค์ประกอบทางเคมี โครงสร้างและกระบวนการของการผสมโพลีเมอร์ชีวภาพชนิดโปรตีนของเส้นไหมเข้ากับตัวยา สามารถสร้างเกราะคุ้มกันนาโนที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาได้ เพราะไม่เพียงกันความร้อน แต่ยังกันแสงได้ด้วย นัก วิจัยทดลองแล้วพบว่ารักษาวัคซีนโรคหัด หัดเยอรมันและคางทูม เตตระไซคลินและเพนิซิลลินไว้ที่อุณหภูมิ 113 องศาฟาเรนไฮต์ (45 องศาเซลเซียส) นาน 6 เดือนในสภาพแวดล้อมของห้องทดลองได้สำเร็จและ เชื่อว่าจะสามารถรักษาตัวยาและวัคซีนบางตัวที่อุณหภูมิสูงถึง 130 องศาฟาเรนไฮต์ (54 องศาเซลเซียส) ได้ด้วย และน่าจะสามารถเก็บไว้ได้นานกว่า 6 เดือน ในสภาพคงเดิมทุกประการ ซึ่งจากนี้นักวิจัยจะทดลองในสภาพแวดล้อมจริง

หากว่า ผลการทดลองได้ผลอีก ในอนาคตก็ไม่จำเป็นต้องใช้ตู้แช่แข็ง ซึ่งจะทำให้ราคายาลดลง และเข้าถึงประชาชนยากจนในประเทศด้อยพัฒนา หรือในพื้นที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ได้ด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #186 เมื่อ: กรกฎาคม 29, 2012, 05:38:41 PM »

กระเจี๊ยบแดงคู่แข่งเบอร์รี่




กระเจี๊ยบแดงจัดเป็นไม้พุ่มขนาเล็กที่มีประโยชน์มากมายทั้งในการใช้เป็นเครื่องดื่มและสมุนไพรเพื่อดูแลสุขภาพ

ส่วนที่ใช้ของกระเจี๊ยบแดงคนทั่วำปมักเรียกว่าดอกกระเจี๊ยบนั้นแท้จริงแล้วคือส่วนของกลีบเลี้ยงหรือฐานรองดอก ที่อุดมไปด้วย Anthrocyanin เป็นสารที่ทำให้กระเจี๊ยบมีสีแดง และเป็นกลุ่มเดียวกับที่พบในผลไม้ตระกูลเบอร์รี่แต่ต้องบอกว่าประโยชน์ของกระเจี๊ยบเหนือกว่าหลายเท่าตัวนัก ไม่ว่าจะเป็นมีฤทธิ์ช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันมะเร็ง ป้องกันตับจากการถูกทำลาย ปกป้องไม่ให้หลอดเลือดแข็งตัว รวมถึงการปกป้องโรคหัวใจขาดเลือดได้ น้ำต้มกระเจี๊ยบมีรสเปรี้ยวอุดมไปด้วยวิตามินซี วิตามินเอสูง มีคุณสมบัติที่ทราบกันโดยทั่วไปว่าขับปัสสาวะ ขับยูริค ป้องกันนิ่วในทางเดินปัสสาวะ และลดความดันโลหิต

โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เริ่มมีอาการความดันโลหิตสูงหรือรับประทานยาลดความดันไม่เกิน 2 ชนิด หากรับประทานกระเจี๊ยบร่วมด้วยก็มีประโยชน์ให้ควบคุมความดันโลหิตสูงได้ดียิ่งขึ้น ช่วยลดระดับไขมันในเลือด ควบคุมน้ำหนักสำหรับคนที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตราฐาน

จากการศึกษาในหนูอ้วนที่ได้รับน้ำต้มกระเจี๊ยบป้อนให้กินต่อเนื่องเป็นเวลา 2 เดือน พบว่าช่วยให้น้ำหนักตัวของหนูลดลงได้ โดยไม่มีผลต่อตับและไต และหากท่านเป็นผู้ที่มีภาวะอ้วนลงพุง หรือ Metabolic syndrome (หมายถึง ผู้ที่มีภาวะดื้อต่ออินซุลิน ภาวะอ้วน รอบลงพุง ซึ่งมักมีระดับน้ำตาลและไขมันใเลือดสูงร่วมด้วย) การรับประทานกระเจี๊ยบจะมีผลดีอย่างมาก โดยผลการศึกษาทางวิทยาศาสตร์พบว่าการรับประทานกระเจี๊ยบต่อเนื่องเป็นเวลา 1 เดือน ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ระดับไขมันในเลือดทั้งคอเลสเตอรอล ไตรกลีเซอไรด์ LDL ลดลง และยังเพิ่มไขมันชนิดดีคือ HDL ได้ด้วย

วิธีรับประทานก็ใช้กระเจี๊ยบสดหรือแห้ง ราว 5-10 กรัม ต้มกับน้ำประมาน 300 ซีซี อาจใช้วิธีการชงแบบชาหรือต้มรับประทานวันละ 2-3 ครั้ง

เป็นข้อมูลสนับสนุนสำหรับสมุนไพรที่ตอบโจทย์ปัญหาสุขภาพในโลกยุคดิจิตอล “กระเจี๊ยบแดง” อีกทางเลือกเพื่อการมีสุขภาพที่ดีขึ้น


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #187 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 04:12:40 PM »

9 จุด เตรียมบ้านรับหน้าฝน


9 จุด เตรียมบ้านรับหน้าฝน (GM)
เรื่อง : Openspace

หลาย คนอาจจะยังลุ้นอยู่ว่าปีนี้พายุฝนที่เทกระหน่ำลงมาตอนนี้ จะช่วยให้ชาวนามีฝนพอทำมาหากินได้ หรือว่าจะทำให้ชาวกรุงอย่างเรา ต้องเตรียมกระสอบทรายกันขนานใหญ่เพื่อรอรับน้ำท่วมที่กำลังจะมาถึง ไม่ว่าจะออกหัวหรือก้อย การเตรียมตัวไว้ก่อนน่าจะเหมาะกับสภาวะตอนนี้ที่สุด เราขอเสนอวิธีเตรียมบ้านให้ห่างไกลจากความเสียหายในหน้าฝนนี้



1. ตัดแต่งกิ่งไม้ใหญ่ใกล้หลังคาบ้าน

ป้องกันความเสียหายจากกิ่งไม้ขนาดใหญ่ ที่อาจหักโค่นลงเมื่อเจอกับพายุฝนที่รุนแรง คุณควรตัดแต่งกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้กับตัวบ้าน และหลังคาบ้าน รวมทั้งกิ่งไม้ที่อยู่เหนือที่จอดรถด้วยเช่นเดียวกัน เราหมายถึงตัดนะครับ ไม่แนะนำให้โค่น

2. รางน้ำฝนอย่าให้อุดตัน

รีบเคลียร์เศษกิ่งไม้ใบไม้ที่ค้างอยู่ในรางน้ำฝนบริเวณชายคาบ้านให้เรียบ ร้อย หากฝนตกหนักแล้วไม่สามารถระบายน้ำได้ทัน อาจทำให้น้ำฝนไหลเอ่อย้อน เข้าได้แผ่นหลังคาไปสร้างความเสียหายภายในบ้านได้มากอย่างที่คุณคาดไม่ถึง

3. ตรวจดูรางระบายน้ำ –บ่อพักน้ำก่อนอุดตัน

บ่อยครั้งที่น้ำฝนที่ไหลมาจากรางน้ำฝน ไม่อาจระบายออกสู่ภายนอกเพราะเศษใบไม้หรือขยะอาจลงไปอุดตันอยู่ในรางระบาย น้ำและบ่อพักน้ำ ให้จัดการเก็บออกให้หมด ถ้าน้ำยังไหลได้ไม่ดีอีก อาจเป็นเพราะรางระบายน้ำมีความลาดชันน้อย และบ่อพักน้ำมีขนาดเล็กเกินไป




4. หลังคาแตกร้าวรั่ว

ปัญหานี้ กว่าที่เจ้าของบ้านจะรู้ตัว ก็คงต้องผ่านฝนแรกไปเรียบร้อยแล้ว เราแนะนำว่าให้สังเกตจุดที่มีคราบน้ำรั่วหยดลงบนฝ้าแล้วเปิดฝ้าขึ้นไปดู ก็จะรู้ว่ามีหลังคาแตกร้าวรั่วอยู่ตรงไหน แล้วไปแก้ไขเปลี่ยนหลังคาให้เรียบร้อย

5. วงกบประตู-หน้าต่างรั่วซึม

รอยต่อระหว่างวงกลประตูหน้าต่างเป็นจุดสำคัญที่น้ำฝนซึมเข้าสู่บ้านโดยปกติ จะต้องมีซิลิโคนยาแนวไว้ แต่อาจหมดอายุ ให้ขูดซิลิโคนเก่าออกแล้วลงซิลิโคนยาแนวใหม่แทน นอกจากนี้ตามรอยร้าวบนผนังก็อาจเป็นจุดที่ฝนรั่วซึมเข้ามาภายในบ้าน ให้ใช้อะครีลิกกันรั่วซึมโป๊วลงไป

6. เฟอร์นิเจอร์โดนน้ำเสียหาย

ในจุดที่มีรอยแตกร้าวมักเป็นมุมของบ้านซึ่งมักเป็นที่วางเฟอร์นิเจอร์ เมื่อสังเกตพบรอยร้าวและการรั่วซึมให้รีบย้ายเฟอร์นิเจอร์ออกมาเพื่อป้องกัน ความเสียหายที่เกิดจากน้ำหากเปียกน้ำ ให้รีบนำเฟอร์นิเจอร์ไปตากให้แห้งก่อนที่จะซ่อมแซม

7. พื้นบ้านลื่นจากน้ำฝน

บริเวณที่น้ำฝนกระเซ็นหรือจุดปล่อยน้ำจากรางน้ำอาจมีตะไคร่เกาะฝังแน่นที่ ผิววัสดุปูพื้น ทำให้พื้นลื่น รวมทั้งมีคราบสกปรกมากกว่าปกติ ให้ใช้น้ำยาทำความสะอาดที่เหมาะกับ ลักษณะพื้นผิวล้างให้สะอาดเพื่อป้องกันการลื่นล้ม

8. สัตว์ร้ายหนีฝนเข้าบ้าน

มด แมลง หรือสัตว์มีพิษที่หนีน้ำเข้ามาในบ้านทางช่องว่างเล็ก ๆ อาจทำอันตรายผู้อยู่อาศัยได้ ให้รีบเคลียร์บ้านเก็บซอกหลืบที่รกรุงรัง เพื่อไม่ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายเหล่านี้




. ไฟรั่ว ไฟช็อตที่มาพร้อมกับฝน

หมั่นสังเกตบริเวณปลั๊ก สวิตซ์ไฟหรือบริเวณที่วางเครื่องใช้ไฟฟ้าว่ามีน้ำฝน รั่วซึมเข้ามาถึงหรือไม่ เพราะอาจเป็นจุดที่เราต้องสัมผัสอยู่เป็นประจำ ซึ่งเสี่ยงต่อการโดนไฟช็อตไฟดูดได้ ส่วนปลั๊กหรือสวิตช์ไฟนอกบ้านให้ใช้รุ่นที่มีฝาปิดกันน้ำจะปลอดภัยมากขึ้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #188 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 04:19:59 PM »


มะพร้าว ธรรมชาติบำบัด





มะพร้าว เป็นพืชยืนต้นที่คนไทยคุ้นเคยมานานแสนนาน ในอดีตบรรพบุรุษของเราเรียนรู้ที่จะใช้ประโยชน์จากทุกส่วนของ พืชชนิดนี้และได้บอกต่อลูกหลาน จนกลายเป็นภูมิปัญญาไทย ที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน


ยก ตัวอย่างเช่น การนำใบมะพร้าว ทั้งอ่อนและแก่รวมถึงก้านใบมาใช้มุงหลังคา ทำเครื่องจักสาน และไม้กวาดทางมะพร้าว การนำเปลือกมะพร้าวไปแยกเอาเส้นใย ใช้ทำเชือก รวมถึงการนำกะลามาทำเป็นภาชนะ เครื่องประดับ และเครื่องดนตรีอย่างซออู้ที่หลายคนรู้จักกันดี


เหล่านี้ยังไม่นับรวมถึงคุณประโยชน์ของมะพร้าวที่นำมาประกอบอาหารและมีสรรพคุณทางยานานัปการ
นอกจากเนื้อและยอดมะพร้าวที่นิยมนำมาทำเป็นอาหารทั้งคาวหวานแล้ว คนไทยยังเชื่อว่าน้ำมะพร้าวคือสุดยอดเครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพที่หาได้ง่ายๆ จากธรรมชาติ เนื่องจากมะพร้าวมีลำต้นสูง การลำเลียงสารอาหารมายังลูกมะพร้าวจึงต้องผ่านการกลั่นกรองตามชั้นต่างๆ ของลำต้น ทำให้น้ำมะพร้าวที่ได้มีความบริสุทธิ์และอุดมไปด้วยแร่ธาตุหลายชนิด เช่น โพแทสเซียม เหล็ก โซเดียม แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ทองแดง กรดอะมิโน กรดอินทรีย์ และวิตามินบี แถมยังมีน้ำตาลกลูโคสที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ภายใน 5 นาที ชึ่งสามารถช่วยในการขับสารพิษและชำระล้างร่างกายได้อีกด้วย


มากกว่าประโยชน์ในแง่ของการขับพิษ หลายคน ไม่คาดคิดว่าการดื่มน้ำมะพร้าวทุกวันจะช่วยชะลออาการอัลไซเมอร์ได้ โดยผลจากงานวิจัยพบว่า ในน้ำ มะพร้าวมีฮอร์โมนชนิดหนึ่งคล้ายกับฮอร์โมนเพศหญิงหรือเอสโตรเจน ซึ่งมีผลช่วยชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์หรือความจำเสื่อมในสตรีวัยทอง


 สำหรับสาวๆ ท่านใดที่อยากมีผิวพรรณสดใส น้ำมะพร้าวก็สามารถช่วยให้ผิวเปล่งปลั่งและขาวเด้งขึ้นได้จากภายในสู่ภายนอก เพราะ อุดมไปด้วยเอสโตรเจนซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างคอลลาเจนและอีลาสติน ช่วยให้ผิวกระชับ ยืดหยุ่น และชะลอการเกิดริ้วรอยก่อนวัย อีกทั้งความเป็นด่างของน้ำมะพร้าวยังช่วยปรับสมดุลของร่างกายในช่วงที่มี ความเป็นกรดสูง ทำให้กลไกการทำงานของระบบภายในเป็นปกติ แถม ในน้ำมะพร้าวยังมีสารที่สามารถกระตุ้นการเจริญเติบโต มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ช่วยสมานแผลให้หายเร็วขึ้นกว่าปกติและไม่ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วยปกติและไม่ ทิ้งรอยแผลเป็นอีกด้วย


ถึง แม้ว่าน้ำมะพร้าวจะเป็นเครื่องดื่มจากธรรมชาติที่สามารถรับประทานได้ทุกเพศ ทุกวัย เนื่องจากไม่มีการปรุงแต่งและไม่มีสารตกค้างเหมือนน้ำหวานหรือน้ำอัดลมที่ จำหน่ายตามท้องตลาด แต่กระนั้นก็ควรบริโภคในปริมาณที่เหมาะสม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสตรีที่กำลังมีประจำเดือนควรหลีกเลี่ยงการดื่มน้ำ มะพร้าว เพราะจะทำให้ประจำเดือนหยุด เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศหญิงที่ทำให้ผนัง เยื่อบุมดลูกหยุดการลอกตัว


 วิธีที่ดีที่สุดในการดื่มน้ำมะพร้าว ควรเปิดฝาลูกมะพร้าวแล้วรับประทานให้หมดทันทีในครั้งเดียว เพื่อ คุณประโยชน์และสารอาหารที่ร่างกายพึงได้รับอย่างเต็มที่ หรือถ้าจะให้ดีกว่านั้นควรเลือกบริโภคมะพร้าวจากแหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ อย่างที่ตลาดไท ก็นับเป็นตลาดกลางจำหน่ายสินค้าเกษตรอีกแห่งหนึ่งที่เราวางใจได้ เพราะที่นี่เค้ามีกระบวนการตรวจสอบสินค้าเกษตรที่ได้มาตรฐาน ยึดมั่นในคุณภาพและความปลอดภัยเหนือสิ่งอื่นใด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #189 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 05:44:52 PM »

อันตราย…ถ้าไม่คิดก่อนกิน



เรื่องดีๆ ที่น่าจะรู้ไว้

1. พวกขนมปังปี๊บ กระบวนการผลิตบางแห่งไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นไส้สับปะรด, มันแกวหรือพืชอื่นๆ มักกวนใส่น้ำตาล และใส่กลิ่นกับแกนสัปปะรดไปนิดหน่อย


2. เชอรี่บนขนมเค้กราคาถูกตามตลาดสด คือ มะเขือเปาะฟอกสีจนใสเป็นวุ้น แล้วย้อมสีแดง (ผงฟอกสีทำให้เป็นโรคไต) พวกที่ใช้สารฟอกสีอื่นๆ เช่น มะม่วงกวน (แผ่นใสๆ) ยอดมะพร้าวขาวๆ


3. ซูชิในตลาดนัดที่อากาศร้อน แบคทีเรียจะเจริญเติบโตเร็ว ชูชิต้องเสริฟเย็นเท่านั้น


4. เอแคลร์กับลูกชุบ หรือขนมอะไรที่ต้องมีการปั้นๆ ถูๆ ต้องพึงระวังสุขอนามัย ควรซื้อกับร้านค้าที่รู้จักหรือมีชื่อเสียงเท่านั้น


5. ลูกอมสีอื่นๆ เช่น ฟ้า เขียว ม่วง เป็นสีที่ขายไม่ดีไม่ควรซื้อเพราะใช้สีที่เก็บไว้นาน ทานลูกอมสีแดง ขาว ได้


6. ปลายหน้าร้อนต่อต้นหน้าฝน ไม่ควรกินอาหารทะเล เพราะฝนเริ่มตกจะชะฝุ่นบนพื้นดินลงทะเลและสัตว์ทะเลจะกินเข้าไป จะมีแต่ไวรัส แบคทีเรีย โอกาสท้องเสียมีสูง


7. พวกอาหารแพ็คสำเร็จรูป มา อุ่นด้วย microwave ที่บ้าน wave ได้ ครั้งเดียวเท่านั้น ไม่ควรล้าง Package ภาชนะที่ใส่อาหารมาใช้ด้วยการเข้า microwave ซ้ำเพราะสารพิษจะออกมา


8. โยเกริ์ตต่างๆจะมีแป้งผสมอยู่ประมาณ 20% ควรทานโยเกริ์ต Home made ถ้วยเล็กๆ (ลองหยดไอโอดีนพิสูจน์ดูก็ได้ จะพบว่าโยเกริ์ตเป็นสีน้ำเงิน)

9. น้ำปลาเปิดขวดแล้ว ควรมีอายุการใช้ไม่เกิน 1 เดือน


10. ระวังเชื้อราตามคอขวดที่เปิดแล้วต่างๆ


11. กระดาษหนังสือพิมพ์ อย่าเอามาห่อผักแช่ตู้เย็น (เพราะมีสารพิษ จากหมึก)


12. อาหารกระป๋องถ้าใช้ไม่หมดควรเอาออกจากกระป๋องใส่ภาชนะอื่นแช่ตู้เย็น


13. ฟองน้ำล้างจานที่มีน้ำยาผสมน้ำทิ้งไว้ (เป็นน้ำๆ) ทิ้งไว้ได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง แบคทีเรียจะขึ้น ควรเททิ้งไปหรือล้างฟองน้ำให้สะอาดทุกครั้งที่ใช้งาน


14. อาหารหมักดองต้องระวังมีไวรัสที่ทำลายกล้ามเนื้อ ทำ ให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ผักกาดดองตามท้องตลาด ในโรงงานบางแห่งจะมีกระบวนการผลิตที่ไม่สะอาด (ใช้คนลงไปในอ่างดอง เราไม่แน่ใจว่าคนนั้นๆ มีโรคหรือไม่) ควรใช้ผักกาดดองกระป๋องที่เชื่อถือได้


15. เบียร์สดจะไม่กรองยีสต์ที่ตายแล้วออก เรา จะกินยีสต์ที่ตายแล้วเข้าไปด้วย (เบียร์ขวดจะถูกกรองไปแล้ว) ยีสต์ที่ตายและจะเหลือผนังเซลล์ของยีสต์มีประโยชน์เป็นแหล่งโปรตีนคุณภาพ กินได้ไม่เป็นไร

นี่ เป็นแค่เพียงบางส่วน ยังมีอาหารอีกมากมายที่เรายังไม่รู้ ดังนั้น ก่อนจะรับประทานหรือเลือกซื้ออาหาร ขอให้คิดนิดนึง ก็เพื่อสุขภาพที่ดีของเราเองล้วนๆ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #190 เมื่อ: สิงหาคม 13, 2012, 05:47:52 PM »

แก้นิสัยชอบกินตอนกลางคืน



แก้นิสัยชอบกินตอนกลางคืน (Lisa)

เอ้า…ใครชอบลับ ๆ ล่อ ๆ ลงมาเปิดตู้เย็นหาของหม่ำตอนดึก ๆ ลองมาอ่านทริคดี ๆ ที่จะช่วยให้คุณคลายหิวมื้อดึกได้กันค่ะ

 1.กินอาหารให้ครบทั้งสามมื้อ เช้า กลางวัน และเย็น คนที่หิวตอนกลางคืนมักชอบงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง หรือไม่กินอาหารอย่างสมดุลในระหว่างวัน

 2.ติดป้ายไว้ที่ประตูตู้เย็น หรือตู้กับข้าวว่า “งดบริการหลังอาหารค่ำ”

 3.แปรงฟันทันทีหลังอาหารค่ำ เพื่อเตือนตัวเองว่า ห้ามกินอาหารอีกแล้ว

 4.ไม่กินอาหารพร้อมกับการทำกิจกรรมอื่น ๆ ไปด้วย เช่น อ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ดูทีวี หรือนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ เพื่อที่จะได้ไม่กินมากเกินไปโดยไม่รู้ตัว

 5.การกินมื้อดึกอย่างเดียว ไม่ได้เป็นสาเหตุของน้ำหนักขึ้น แต่เกี่ยวกับจำนวนแคลอรีที่คุณกินมากกว่าเวลากิน ฉะนั้น เลือกกินอาหารแคลอรีต่ำไว้ก่อน ถ้าไม่อาจเลี่ยงการกินตอนกลางคืนได้จริง ๆ

 6.ถ้าคุณกินตอนกลางคืน เนื่องจากปัญหาทางจิตใจ คุณต้องหันมาใส่ใจปัญหาที่เกิดขึ้น และดูแลตัวเองในวิธีการที่ได้ผลจริง ๆ หาวิธีการที่ไม่ใช่การกินในการรับมือกับความเครียดของคุณแทน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #191 เมื่อ: สิงหาคม 18, 2012, 09:33:16 AM »


เลือกซื้อหมอนอย่างไรให้นอนหลับสบาย





การนอนเป็นการพักผ่อนที่ดีที่สุด … เพราะร่างกายผ่านการทำงานมาอย่างหนัก เมื่อถึงเวลาพักผ่อนเราจึงควรที่จะให้ความสำคัญกับความสบายในการนอนให้มาก ที่สุด

การที่เราต้องให้ความสำคัญกับการเลือกหนอนนั้น นอกจากในเรื่องของความสบายแล้วเรื่องของสุขภาพมาเป็นปัจจัยสำคัญที่เราควร คำนึงถึงด้วย เนื่องจากกระดูกสันหลังของคนเรามีลักษณะคล้ายกับตัว S ที่ช่วงหน้าอกจะงอไปข้างหลัง ช่วงคอจะงอมาด้านหน้า ทำให้เวลานอนคนเราจำเป็นต้องมีหมอนหนุนคอ เพื่อให้ได้โค้งงอไปตามธรรมชาติ ซึ่งก็ไม่ใช่หมอนทุกแบบนะครับที่ช่วยให้รูปกระดูกของเราเป็นไปตามธรรมชาติ เพราะหมอนที่ดีนั้นควรมีความอ่อนนุ่มหนุนสบาย หมอนหนุนที่ศีรษะและคอ หมอนที่ดีควรจะรองตั้งแต่ต้นคอจรดถึงศีรษะ ความสูงของหมอนประมาณ 4-6 นิ้วโดยหมอนควรจะนุ่มเพื่อที่ส่วนที่รองศีรษะยุบจนกระทั่งหมอนสามารถรองรับ บริเวณคอได้ทั้งหมด

ทีนี้แล้วเราจะเลือกหมอนยังไงล่ะ ?

- ถ้าเลือกซื้อหมอนที่เตี้ยและนุ่มมากเกินไป เวลานอนหมอนจะยุบลง ทำให้แรงดันในหลอดเลือดสูง โดยเฉพาะกับผู้ที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง เมื่อตื่นขึ้นมาจะเกิดอาการมึนศีรษะ หน้าและหนังตาบวม อาจทำให้มีอาการเหมือนคนตกหมอน ปวดเคล็ดต้นคอ และหันลำบาก

- ถ้าเลือกซื้อหมอนที่สูงและแข็งเกินไป จะทำให้ส่วนของศีรษะสัมผัสกับหมอนน้อย และบริเวณที่สัมผัสกับหมอนเลือดจะไหลเวียนไม่สะดวก และทำให้คอตั้งมากเกินไป เลือดไปเลี้ยงสมองไม่สะดวก อาจทำให้เป็นโรคเกี่ยวกับข้อต่อกระดูกต้นคอทับหลอดเลือด และเส้นประสาท หรือเกิดอาการเป็นเฉพาะที่ เช่น ปวดต้นแขน และผู้ที่อาการหนักยังอาจทำให้นอนกรนอีกด้วย



- ถ้าเป็นคนที่มีโรคประจำตัวเป็นโรคปอดหรือโรคหัวใจ เลือกซื้อหมอนสูงเพื่อเวลานอนหมอนสูงจะช่วยให้หัวใจและปอดทำงานเบาขึ้น

- ถ้าคนไหนเป็นไข้หวัดบ่อย ควรเลือกซื้อหมอนน้ำเพื่อให้ความเย็นและช่วยลดความร้อนที่ศีรษะให้ดีขึ้นได้

และท้ายที่สุดถ้าคุณเป็นคนที่รักสุขภาพ ปัจจุบันมีหมอนที่มีออฟชั่นเสริมให้เลือกมากมาย ทึ้งแบบกันไรฝุ่น หมอนสมุนไพร หมอนน้ำ ซึ่งต้องดูความเหมาะสมและองค์ประกอบของตัวคุณเองด้วย

ลองกลับไปดูหมอนของตัวเองดูว่าเลือกได้ถูกต้องตามหลักรึเปล่า ถ้าไม่ล่ะก็รีบหามาเปลี่ยน เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณนั่นเอง




ที่มา สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #192 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 04:28:35 PM »

กว่าจะมาเป็น’ไข่ปลาคาเวียร์’แสนแพง

กว่าจะมาเป็น ‘ไข่ปลาคาเวียร์’ ที่มีราคาแสนแพง ที่หลายคนเชื่อว่าเป็นไข่ปลาที่อร่อยที่สุดในโลก

 ”คาเวียร์” หรือ “ไข่ปลาคาเวียร์” (Caviar eggs) เป็นไข่ปลาที่มีราคาแพงที่สุดในโลก เพราะ มีราคากิโลกรัมละหลายแสนกันเลยทีเดียว คำว่า “คาเวียร์” มาจากภาษาเปอร์เซีย ซึ่งมีความหมายว่า “ไข่ปลาที่ปรุงรส” โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน ซึ่งคาเวียร์ยังได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่ สุดในโลก

ทั้งนี้ในปัจจุบันคาเวียร์ ที่มีชื่อเสียงจะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และรัสเซีย คาเวียร์มีหลายประเภทและหลายสีโดยคาเวียร์สีทอง ที่ได้มาจากปลาสเตอร์เลต (sterlet) เป็นคาเวียร์ที่หายาก นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์ โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไปและ ทำให้เกิดการสูญพันธุ์ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาวันนี้เราจึงมีภาพวิธีการหาไข่ปลาคาเวียร์มาให้ได้ ชมกัน แล้วจะรู้ว่าทำไม๊…ทำไม ไข่ปลาคาเวียร์ถึงได้มีราคาแพงแสนแพงขนาดนี้ ”

คม ชัด ลึก” ออนไลน์





คาเวียร์ หรือไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ที่จริงแล้ว ไม่ใช่ได้มาจากปลาคาเวียร์ เพียงอย่างเดียว แต่อย่างใด แต่เป็นไข่ปลา ที่ผ่านการปรุงรสมาแล้ว โดยไข่นั้นได้มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากจะนำมาจาก ไข่ปลาสเตอร์เจียน
โดยแหล่งที่ขึ้นชื่อว่ามีปลาสเตอร์เจียนชุกชุม คือทะเลสาบแคสเปียน ใน อดีตเคยอาศัยอยู่อย่างอุดมสมบูรณ์ให้ชาวประมงรัสเซียได้จับกันเป็นจำนวนมาก จนทำให้ปลาลดจำนวนลงมาก รัฐบาลรัสเซียจึงต้องออกกฎหมายห้ามจับโดยเด็ดขาด




ไข่ปลาคาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า “เพชร”) ที่ได้มาจากปลา “เบลูก้า สเตอเจียน” อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000บาท/ก.ก.) ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 – 10,000เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก.(ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.)




ในปัจจุบันทั้งในทวีปยุโรป และอเมริกาเหนือ มีการล่าจับปลาสเตอร์เจียนกันมาก จนองค์การ CITES (อนุสัญญาว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่าและพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์) ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการค้าสัตว์และพืชที่ใกล้สูญพันธุ์ทั้งหมดราว 30,000 ชนิด ได้เข้ามาควบคุมการทำร้ายปลาสเตอร์เจียนด้วย เพื่อไม่ให้สูญพันธ์ ทั้งนี้เพราะได้มีการพบว่า ผู้คนส่วนใหญ่ยังเชื่อว่า คาเวียร์ จากทะเลสาบแคสเปียนมีคุณภาพดีที่สุด จึงทำให้มีการซื้อขายคาเวียร์ทำเงินได้ปีละตั้งแต่ 2,000–4,000 ล้านเหรียญ แต่ CITES ก็ตระหนักดีว่าการปกป้องคุ้มครองปลาจำพวกนี้นั้น จำต้องได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย ทั้งศุลกากร, นักวิทยาศาสตร์ และชาวประมง จึงได้ออกกฎหมายบังคับห้ามจับปลาสเตอร์เจียน ในปริมาณที่เกินกำหนด อีกทั้งห้ามชาวประมงไม่ให้สร้างมลภาวะที่ร้ายแรงในทะเลสาบ และห้ามฆ่าปลาสเตอร์เจียนในช่วงก่อนอายุวางไข่ (15 ปี) รวมถึงให้มีการจำกัดโควตาการผลิต คาเวียร์ โดยให้ทุกประเทศที่อยู่เรียงรายรอบทะเลสาบแคสเปียนปฏิบัติตาม













บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #193 เมื่อ: สิงหาคม 26, 2012, 04:30:18 PM »

มอสพุดเดิ้ล(Poodle Moth)ตาโปนขนฟู




สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า (24 ส.ค.) ดอกเตอร์อาร์เธอร์ อันเคอร์ นักวิทยาศาสตร์ ได้โพสต์ภาพลงบนเว็บไซต์ Flickr โดยมีคำบรรยายใต้ภาพว่า “มอสพุดเดิ้ล(Poodle Moth)” ซึ่ง แสดงให้เห็นภาพสัตว์ประหลาดมีดวงตาปูดโปนและมีขนฟูปกคลุมร่างกาย ซึ่งในเวลาต่อมาก็ทราบว่า สัตว์ประหลาดตัวนี้คือตัวมอสที่มีอยู่จริงตามธรรมชาติในเวเนซุเอลา ซึ่งเป็นสถานที่ที่คอดเตอร์อาร์เธอร์ใช้กล้องบันทึกภาพไว้ได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #194 เมื่อ: สิงหาคม 30, 2012, 11:34:55 AM »

ดูแลตัวเอง ให้ห่างไกล มะเร็ง

ลดเสี่ยงห่างไกลมะเร็ง กับการดูแลตัวเองขั้นพื้นฐาน (ไทยโพสต์)

         มะเร็งเป็นโรคที่เกิดกับใครก็ได้ ไม่ว่าเด็กหรือแก่ ผู้หญิงหรือผู้ชาย จะร่ำรวยหรือยากจน มะเร็งยังคงเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักของการเสียชีวิต ของผู้คนทั้งในประเทศที่พัฒนาแล้วและกำลังพัฒนา

       ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุของโรคมะเร็งได้รับการพัฒนาไปมากพอ จนเราเรียนรู้ที่จะป้องกันตัวเองจากโรคมะเร็งได้ และนี่คือคำแนะนำ 10 ประการ ที่คุณสามารถลงมือปฏิบัติได้ เพื่อชีวิตที่ห่างไกลจากโรคมะเร็ง

        1. ลดหรือเลิกบุหรี่ ในแต่ละปีมะเร็งปอดคร่าชีวิตผู้คนไปมากที่สุดในบรรดามะเร็งชนิดต่าง ๆ ทั้งหมด ดังนั้น หากคุณติดบุหรี่ การเลิกสูบเสียแต่วันนี้จะเป็นการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมครั้งสำคัญที่สุด ที่จะลดความเสี่ยงจากมะเร็งปอดและโรคอื่นๆ ที่มีสาเหตุมาจากบุหรี่ เลิกบุหรี่อาจไม่ใช่เรื่องง่าย แต่คุณสามารถขอคำปรึกษาถึงวิธีการเลิกแบบต่าง ๆ จากแพทย์ได้ ทั้งการรักษาด้วยยา หรือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งวิธีการเหล่านี้จะช่วยทำให้คุณเลิกบุหรี่ได้

        2. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลายคนคงยังจำได้ดีเวลาถูกพ่อแม่บังคับให้กินผัก และก็คงไม่ได้คิดว่าพวกท่านจะทราบอะไรดี ๆ ที่พวกเราไม่รู้ แต่การถูกบังคับให้กินผักนี้กลับเป็นประโยชน์มากต่อตัวเราเอง เพราะผักจำพวก บร็อกโคลี กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี และกะหล่ำดาว ที่คนส่วนน้อยจะชอบรับประทานนั้น กลับอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นในการต่อสู้กับมะเร็ง รวมทั้งเป็นส่วนประกอบสำคัญในตำรับอาหารต้านมะเร็ง

          นอกจากนี้ ผลเบอร์รี่ ถั่วแดง และชาเขียว ก็อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ เช่นเดียวกับไวน์แดง ช็อกโกแลต และถั่วพีแกน ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ช่วยร่างกายต่อต้านปฏิกิริยาเคมีที่ส่งผลร้ายต่อเซลล์ปกติ ซึ่งในท้ายที่สุดอาจกลายเป็นเซลล์มะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรเลือกรับประทานแต่พอประมาณ

        3. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายนานครั้งละ 30 นาที 3-5 วันต่อสัปดาห์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งหลายชนิด อาทิ มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งลำไส้ การออกกำลังกายในที่นี้ ไม่จำเป็นต้องเป็นการออกกำลังกายอย่างหนักหน่วงแบบนักกีฬา แต่การเล่นโยคะ เดิน หรือเต้นแอโรบิกก็ถือเป็นการออกกำลังกายที่ช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งได้ดีที่สุดเช่นกัน นอกจากนี้ การออกกำลังกายยังช่วยไม่ให้คุณเป็นโรคอ้วน ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งหลายชนิด

        4. ตรวจสุขภาพประจำปี มีหลักฐานยืนยันว่า การตรวจสุขภาพประจำปีและการตรวจพบมะเร็งแต่เนิ่น ๆ ทำให้โอกาสที่จะรักษาจนหายก็มีมากขึ้นเท่านั้น และยังช่วยให้การรักษาฟื้นฟูทำได้เร็วขึ้นโดยมีผลข้างเคียงลดลง ดังนั้น ควรตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ และขอคำแนะนำจากแพทย์เรื่องการตรวจคัดกรองมะเร็งที่เหมาะกับวัยของคุณ เช่น ผู้หญิงในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรทำเมมโมแกรมเพื่อตรวจหามะเร็งเต้านม หรือชายในวัย 40 ปีขึ้นไป ควรตรวจหามะเร็งต่อมลูกหมาก โดยที่มะเร็งบางชนิดอาจไม่แสดงอาการในระยะเริ่มแรก

        5. ดื่มแต่พอดี การดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินไปอาจเป็นผลร้ายต่อตับมากเป็นพิเศษ แม้แพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ ดื่มแอลกอฮอล์ในปริมาณที่พอเหมาะ (ไม่เกิน 2 แก้วต่อวัน)

        6. สืบสาวเรื่องราวครอบครัว มะเร็งหลายชนิดมักเกี่ยวข้องกับกรรมพันธุ์ หรือพูดง่าย ๆ มะเร็งสามารถสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่นได้ ดังนั้น การได้ทราบว่าคนในครอบครัวของคุณมีประวัติเจ็บป่วยด้วยมะเร็งชนิดใด ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญในการป้องกันมะเร็ง โดยการพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยง และควรแจ้งประวัติการเจ็บป่วยของคนในครอบครัวให้แพทย์ทราบ เพื่อแพทย์จะสามารถให้คำแนะนำและดูแลคุณได้อย่างเหมาะสม

        7. หลีกเลี่ยงแสงแดด รังสีอัลตราไวโอเลต (ยูวี) ในแสงแดดเป็นสาเหตุหลักของมะเร็งผิวหนัง ซึ่งส่วนมากแล้วสามารถป้องกันได้ง่าย ๆ 2 วิธี คือ ใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 30 ขึ้นไปเมื่อต้องอยู่กลางแจ้ง และพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญแสงแดดโดยตรงในช่วงเวลา 10.00-16.00 น. ซึ่งเป็นช่วงที่รังสียูวีมีความเข้มสูงสุด

        8. มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย เพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัยไม่เพียงช่วยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งปากมดลูก ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญในการเสียชีวิตของผู้หญิงไทยและผู้หญิงทั่วโลก เชื่อกันว่าประมาณร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูก มีสาเหตุมาจาก Human Papillomavirus (HPV) ที่สำคัญเชื้อ HPV นี้ยังเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งที่ทวารหนักและอวัยวะเพศอีกด้วย แต่ปัจจุบันมีการพัฒนาวัคซีนชนิดใหม่ซึ่งมีประสิทธิภาพในการป้องกันเชื้อ HPV ได้ในระดับหนึ่ง โดยต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์

        9. นอนหลับให้สนิท จากการศึกษาพบว่า การนอนหลับให้สนิทจะมีผลไม่ทำให้เป็นมะเร็ง เนื่องจากมีผลการศึกษาพบว่าสารเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สมองผลิตในระหว่างการนอนหลับมีคุณสมบัติในการต่อสู้กับมะเร็ง แต่เมลาโทนินจะช่วยป้องกันมะเร็งได้อย่างมีประสิทธิภาพก็ต่อเมื่อการนอนนั้นเป็นการนอนหลับอย่างสนิท ต่อเนื่องในห้องมืดเท่านั้น

        10. หลีกเลี่ยงการเผชิญกับสารเคมีอันตราย สารจำพวกยาฆ่าแมลง น้ำยาทำความสะอาด น้ำมันเบนซิน นั้น เต็มไปด้วยสารเคมีอันตรายที่เกี่ยวโยงกับการเกิดมะเร็ง แม้การควบคุมสิ่งแวดล้อมรอบตัวจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่การจำกัดหรือหลีกเลี่ยงการใช้สารเคมีเหล่านี้ในบ้าน หรือที่ทำงาน ย่อมเป็นการลดโอกาสในการสัมผัสกับสารก่อมะเร็ง นอกจากนี้ ควรหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่ใช้สารกันไฟ หรือ PBDE ซึ่งมักจะใช้กับผ้า เฟอร์นิเจอร์ และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน


บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 11 12 [13] 14 15 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: