Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75327 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 8 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #195 เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 08:05:59 PM »

กินไข่ทุกวัน อันตราย หรือปลอดภัย



มีข้อกล่าวถึง ไข่ แหล่งโปรตีนราคาถูกไปในทางดีและทางร้ายอยู่ตลอดเวลา

อะไรคือข้อเท็จจริง

ไข่เจียวร้อน ๆ กับพริกขี้หนูสด ฟาสต์ฟู้ดคนไทยที่อร่อยสุดยอด หรือไข่ออมเลตแบบอเมริกันเบรกฟาสท์ กินไข่ปลอดภัยหรือทำร้ายหัวใจของเรา
 
ผู้ที่รักสุขภาพมากมายเริ่มรังเกียจความอร่อยของไข่ เพราะกลัวโคเลสเตอรอลที่มากับไข่แดง บางคนถึงกับแยกกินเฉพาะไข่ขาวปราศจากไข่แดง น่าเสียดาย เรากำลังโยนทิ้งคุณค่าอาหารที่ดีที่สุดในไข่แดงเหมือนกับเรากินข้าวขัดสีสวยงามที่ขัดเอาวิตามินออกไปเสียหมด


ไข่แดงมีโคเลสเตอรอลสูง เป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ แต่ร่างกายเราจำเป็นต้องมีโคเลสเตอรอลที่เหมาะสมในกระบวนการเผาผลาญอาหารหล่อเลี้ยงเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย หากเรากินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลต่ำตลอดเวลา ร่างกายก็ต้องผลิตออกมาเพื่อสร้างความสมดุล


ถ้าคุณมีโคเลสเตอรอลสูงกว่าปกติอยู่แล้ว ไข่แดงก็ควรจะหลีกเลี่ยง แต่ทว่าขอให้ระลึกไว้ด้วยว่า ภาวะโรคหัวใจ โรคหลอดเลือด โคเลสเตอรอลไม่ได้เป็นปัจจัยเดียวที่ก่อให้เกิดปัญหา(ส่วนใหญ่เกิดจากความเครียด ไม่ออกกำลังกายหรือกินมากไป)


การเลือกกินเฉพาะไข่ขาวเพราะกลัวโคเลสเตอรอล ทำให้คุณพลาดคุณค่าที่ดีของไข่แดง เพราะในไข่แดงมีสารอาหารมากมายไม่ว่าจะเป็นวิตามินบี วิตามินเอ โฟเลต
โคลีน และบรรดาเกลือแร่ต่าง ๆ แคลเซี่ยม เหล็ก
 
กินไข่ไขมันดีเพิ่มมหาวิทยาลัย North Carolina สหรัฐอเมริกา สนับสนุนให้กินไข่ทุกวันเพราะเป็นแหล่งสารอาหารที่ถูกมากโดยเฉพาะโคลีนที่มีมากในไข่แดง ซึ่งช่วยให้ระบบเซลล์สื่อประสาททำงานได้ดี ช่วยเรื่องความจำ เด็ก ๆ ควรกินสม่ำเสมอเพราะไม่ต้องห่วงเรื่องโคเลสเตอรอล

กินไข่ทำให้โคเลสเตอรอลตัวดี HDL เพิ่มมากขึ้น การมี HDL เพิ่มมากขึ้นทำให้อัตราส่วนโคเลสเตอรอลรวมกับHDL ดีขึ้น สัดส่วนที่ดีหมายถึงเอาโคเลสเตอรอลรวมหารด้วย HDL ค่าที่ดีควรอยู่ที่ 2-3 ในผู้หญิง และ 3-4 ในผู้ชาย
 
กินไข่ไม่ทำให้อ้วน จากการติดตามศึกษากลุ่มคนที่รับประทานอาหารเช้าเป็นไข่เทียบกับกลุ่มที่ทานซีเรียลและขนมปัง เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่กินไข่เป็นอาหารเช้าจะมีน้ำหนักตัวเฉลี่ยต่ำกว่าอีกกลุ่ม เป็นเพราะโปรตีนจากไข่ร่างกายจะค่อย ๆ ย่อยเป็นพลังงานอย่างช้า ๆ ไม่เหมือนกับการกินคาร์โบไฮเดรตหรือไขมันที่จะย่อยเร็วกว่า จึงทำให้หิวเร็วกว่าและทานซ้ำมากกว่า


แม้ว่าไข่จะมีโคเลสเตอรอลสูงถึง 200 มิลลิกรัมซึ่งสมาคมโรคหัวใจของอเมริกา (American Heart Association) ได้ให้ข้อกำหนดว่าเราควรกินอาหารที่มีโคเลสเตอรอลไม่เกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน


มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดได้ทำการศึกษาว่าการกินไข่มากกว่าวันละฟองไม่ทำให้ความเสี่ยงของโรคหัวใจเพิ่มขึ้น แต่การปฏิเสธไม่กินไข่เลยหรือเลือกกินเฉพาะไข่ขาวไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเพราะร่างกายหากได้โคเลสเตอรอลไม่เพียงพอร่างกายเราก็จะพยายามผลิตออกมาเอง ซึ่งอาจจะมากกว่าการกินเข้าไป


การกินแบบพอดี ไข่วันละฟองหรือสัปดาห์หนึ่ง 3-4 ฟอง ไม่ก่อปัญหาให้มากแต่ที่เป็นปัญหาส่วนใหญ่เกิดจากการได้ไขมันส่วนเกินจากเครื่องเคียงเสียมากกว่า เช่น ไส้กรอกทอดที่อุดมด้วยน้ำมันทั้งนอกและใน ไข่เจียวอมน้ำมัน หรือขนมปังทาเนยจริงหรือเทียม ล้วนเป็นตัวสร้างปัญหาให้มากกว่าตัวไข่เอง


กินไข่ต้มรับรองว่าคุณได้สารอาหารที่ครบคุณค่าและปลอดภัยจากไขมันที่มาจากการปรุง สำหรับผู้ใหญ่ที่มีปัญหาสุขภาพก็ควรระมัดระวัง แต่สำหรับเด็ก ๆ ไข่คืออาหารที่วิเศษที่คุ้มค่าราคาเมื่อเทียบกับประโยชน์ที่ได้รับ


 
 
ขอบคุณ never-age.com
 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #196 เมื่อ: กันยายน 01, 2012, 08:08:52 PM »

น้ำลูกเดือย ช่วยบำรุงกระดูก และบำรุงสายตา


ประโยชน์ของการดื่มน้ำลูกเดือย นอกจากจะช่วยบำรุงกระดูกสำหรับเด็กๆ ที่กำลังเจริญเติบโตแล้ว น้ำลูกเดือยยังบำรุงสายตา และเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่กำลังรักษาตัว





น้ำลูกเดือยเป็นเครื่อง ดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส ที่ช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น คนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วงได้ดี
วิธีทำการทำน้ำลูกเดือย
เตรียมส่วนผสมดังต่อไปนี้
            ลูกเดือยต้มสุก                            4          ถ้วยตวง
            น้ำเปล่า                                     10        ถ้วยตวง
            น้ำตาลทราย                              2          ถ้วยตวง
            เกลือป่น                                    1          ช้อนชา
ขั้นตอน
นำลูกเดือยต้มสุกผสมกับน้ำ ต้มให้เปื่อย พอเดือดแล้วจึงยกลง พักไว้ให้เย็น
จากนั้นจึงนำมาปั่นให้ละเอียด
เมื่อได้น้ำลูกเดือยแล้ว นำมาตั้งไฟผสมน้ำตาลทราย เกลือ คนให้ละลายเข้ากัน พอเดือดแล้วจึงยกลง
เพียงเท่านี้คุณก็จะได้น้ำลูกเดือดที่มีประโยชน์สำหรับทั้งคุณ และเด็กๆ เอาไว้ดื่มได้นานๆ แล้วล่ะค่ะ


--------------------------------------------------------------------------------

ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จาก
รพ.ธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติและวิชาการดอทคอม และ naturezonesthome.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #197 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 07:43:52 PM »

7 ข้อสงสัย "สายตาเอียง"


หากพูดถึงปัญหาสายตาเอียง (Astigmatism) มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยังเข้าใจผิด และมีคำถามคาใจมากมาย ครั้งนี้มุมสุขภาพมีข้อเท็จจริงจากฝ่ายวิชั่นแคร์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพตา ของจอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ประเทศไทย) มาไขข้อสงสัยใน 7 ข้อควรรู้เกี่ยวกับปัญหาสายตาเอียง

เริ่มจาก "คนสายตาเอียงต้องใส่แว่นสายตาเพียงอย่างเดียว" ข้อมูลจากฝ่ายวิชั่นแคร์ ระบุว่า "ไม่จริง" แม้หลายคนเชื่อว่า แว่นสายตา คือคำตอบเดียวสำหรับผู้มีปัญหาสายตาเอียง แต่ในปัจจุบันมีคอนแทคเลนส์ที่พัฒนาและผลิตขึ้นมาพิเศษสำหรับคนกลุ่มนี้ โดยเฉพาะคอนแทคเลนส์รายวันสำหรับสายตาเอียงที่ไม่เพียงช่วยแก้ไขค่าสายตาเท่านั้น ยังให้ความรู้สึก ชุ่มชื้นสบายตา สะดวกสบาย และสะอาดถูกสุขอนามัยในการสวมใส่ ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ และไม่ต้องคอยกังวลกับผลข้างเคียงต่างๆ ทั้งอาการวิงเวียนและอาการปวดศีรษะอีกต่อไป

ข้อถัดมา "ปกติแล้วคนเราไม่เกิดปัญหาสายตาเอียงกันง่ายๆ" ตอบคือ "ไม่จริง" เพราะจากสถิติพบว่า จากสถิติพบว่า ร้อยละ 50 ของผู้มีปัญหาสายตา มักมีสายตาเอียง ร่วมอยู่ในค่าสายตาด้วย และที่สำคัญสายตาเอียง ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีค่าสายตาเยอะๆ เท่านั้น สายตาเอียงเป็นอาการทางสายตาชนิดหนึ่ง แตกต่างจากสายตาสั้น หรือสายตายาว อธิบายวิธีสังเกตง่ายๆ คือ ผู้ที่มีสายตาสั้น หรือสายตายาว จะมองเห็นตัวเลข ตัวอักษร ชัดเท่าๆ กันทุกตัว หรือมัวเท่าๆ กันทุกตัว แต่ผู้ที่มีสายตาเอียง จะมองเห็นตัวเลข หรือตัวอักษรบางตัวชัด บางตัวไม่ชัด

ข้อต่อมา "คนที่สายตาเอียง มักเป็นเพราะนอนอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ มากเกินไป" ความเข้าใจข้อนี้ก็ "ไม่จริง"เนื่องจากสายตาเอียง คือความผิดปกติของสายตาที่เกิดจากความโค้งของกระจกตาในแต่ละแนวไม่เท่ากัน ซึ่งนับเป็นความผิดปกติทางกายภาพ ถือเป็นปัจจัยภายใน และแม้การนอนอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ในที่มืดบ่อย อาจก่อให้เกิดความเมื่อยล้าของดวงตา เนื่องจากการเพ่งสายตาในระยะเวลานาน แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสายตาเอียง

"คนที่สายตาเอียงจะรู้สึกเวียนศีรษะง่าย เมื่อดูโทรทัศน์ 3 มิติ ใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ทโฟนมากเกินไป"ข้อนี้ถือ "เป็นเรื่องจริง" เนื่องจากผู้ที่มีสายตาเอียงจะไม่สามารถจับภาพที่มีลักษณะเบลอ รวมถึงภาพที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้อย่างชัดเจนนัก

ส่วนข้อคาใจที่ว่า "การหรี่ตา คืออีกหนึ่งสัญญาณว่าเราอาจจะมีปัญหาสายตาเอียง" ตอบคือ "จริง" เพราะนอกจากจะทำให้สาวๆ เสียบุคลิก การหรี่ตาเป็นประจำยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ ผู้ที่ชอบหรี่ตาบ่อยๆ อาจกำลังประสบปัญหาสายตาเอียง เนื่องจากผู้ที่สายตาเอียงจะมองเห็นภาพไม่ชัด จึงมักจะพยายามเพ่งสายตาเพื่อปรับโฟกัสของภาพตามธรรมชาติ ด้วยการหรี่ตานั่นเอง

"คนที่มีสายตาเอียงน้อย สามารถทดค่าสายตาได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขสายตาเอียง" ตอบคือ "ไม่จริง"หลายคนเชื่อว่าค่าสายตาเอียงเล็กน้อย สามารถแก้ไขได้ด้วยการทดค่าสายตา เช่น สายตาสั้น 900 แต่มีปัญหาสายตาเอียง 200 ก็ใช้วิธีทดค่าสายตา โดยใช้เลนส์แก้ปัญหาสายตาสั้น 950 เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้นและกลบปัญหาสายตาเอียง แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเราใช้สายตามากขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้สมาร์ทโฟน หรือดูทีวี ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็สามารถกระตุ้นให้มองเห็นภาพเบลอ และอาจทำให้เริ่มมึนหัวได้ การทดค่าสายตาจึงไม่ใช่วิธีที่แก้ปัญหาได้เสมอไป

และ "สายตาเอียง ไม่ได้มีผลอะไรมากนักกับชีวิตประจำวัน ไม่ต้องไปสนใจนักก็ได้" ซึ่งทางผู้เชี่ยวชาญตอบว่า"ไม่จริง" เพราะหากไม่แก้ไข นอกจากจะทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้าสายตา เวียนหัว ปวดศีรษะ และแน่นอนว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงกับชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ตลอดจนการเดินทางขับรถ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ที่สายตาจะไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนนัก

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงควรตรวจวัดระดับสายตาที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการตรวจวัดสายตาชั้นนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาค่าสายตาจริง และหาทางแก้ไขที่ถูกต้องจากผู้เชี่ยวชาญ.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #198 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 07:48:06 PM »

รู้กันไหม??...น้ำแข็งเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกเมื่อไหร่



น้ำแข็ง เราเคยเห็นมาแต่เด็กหากินง่ายมาก แต่จะมีกี่คน ที่รู้ประวัติของ "น้ำแข็งในไทย"

มีบันทึกการเข้ามาว่าของน้ำแข็งในสมัยที่ 4ว่าต้องสังมาจากสิงค์โปร์โดยการนำเข้ามากับเรือกลไฟชื่อ"เจ้าพระยา"ซึ้งเดินทางไปมาระหว่าง กรุงเทพกับสิงคโปร์และส่งตรงเข้ามาในวังเท่านั้น พวกในรั้วในวังก็ได้ชิมเพราะได้รับจากการพระราชทานเท่านั้น



ต่อมาในปี พ.ศ. 2448 สมัยที่ 5 นายเลิศ เศรษฐบุตร(คนเดียวกับที่ทำรถเมล์คนแรก)ได้ตั้งโรงน้ำแข็งในไทยแห่งแรกที่สะพานเหล็กล่าง ตรงถนนเจริญกรุง ชื่อว่า"น้ำแข็งสยาม"แต่ชาวบ้านเรียกว่าโรงน้ำแข็งนายเลิศ


ที่นิยมที่สุดก็เอาน้ำแข็งมาทำให้เป็นเกล็ดมาอัดเป็นแท่งเสียบไม้แล้วราดด้วยน้ำหวาน เป็นที่ถูกใจคนไทยสมัยนั้นและช่วยคลายร้อนได้ที่สุดในสมัยนั้นเลย




ที่มา : หนังสือ เรื่องเก่า เล่าสนุก

ของ : โรม บุนนาค

เรียบเรียง : วาทิน ศานติ์ สันติ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #199 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 07:51:31 PM »

น้ำแร่และน้ำเปล่าแตกต่างกันอย่างไร 


น้ำเปล่า เป็นน้ำที่บริสุทธิ์ ไม่มีสารอาหารใดๆ เป็นโมเลกุลที่มีขั้ว ประกอบไปด้วยไฮโดรเจน 2 อะตอม และออกซิเจน 1 อะตอมยึดเหนี่ยวกันด้วยพันธะไฮโดรเจน น้ำเป็นตัวทำละลายที่ดีมากๆ และร่างกายสามารถดูดซึ่มได้รวดเร็วและดีที่สุดเมื่อเทียบกับน้ำชนิดอื่นๆ


น้ำแร่ เป็นน้ำที่อยู่ใต้ดินซึ่งประกอบไปด้วยสารอาหารมากมาย แต่แร่ธาตุจะมากหรือจะน้อยขึ้นอยู่กับแหล่งที่เกิดทางธรณีวิทยา เช่น ถ้าเกิดในบริเวณชั้นหินที่มีอายุเยอะแล้วจะมีความอุดมสมบูรณืของแร่ธาตุดีมาก แต่สารอาหารในน้ำแร่ ก็มีทั้งที่ดีและไม่ดีกับร่างกาย สารอาหารที่ดีต่อร่างกายในน้ำแร่ก็อย่างเช่น เกลือซัลเฟต ช่วยในการขับถ่าย , ฟลูออไรด์ , แคลเซียม , โพแทสเซี่ยม ช่วยในกระบวนการเมทาบอลิซึ่ม , โซเดียม ช่วยรักษาสมดุลน้ำในร่างกาย เป็นต้นและน้ำแร่แบ่งได้อีกหลายชนิด ตามแหล่งที่เกิดและสรรพคุณที่ช่วยในการรักษาโรค ส่วนสารอาหารที่ส่งผลเสียต่อร่างกาย เช่น สารหนู โครเมียม ไซยาไนด์ โมลิบดินัม แวนาเดียม เป็นต้น


สิ่งที่เหมือนกันระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า คือ เป็นสิ่งที่ร่างกายต้องการเพื่อนนำน้ำไปใช้ในกระบวรการต่างๆของร่างกาย เช่น ขับของเสียออกจากร่างกาย


สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า

ความแตกต่างระหว่างน้ำแร่และน้ำเปล่า จะต่างกันที่น้ำแร่มีแร่ธาตุที่ร่างกายต้องการมากกว่าน้ำเปล่าเท่านั้นเอง แต่แร่ธาตุเหล่านี้ เราจะได้รับอยู่แล้วในทุกๆ วัน ซึ่งได้จากการรับประทานอาหาร ถ้าร่างกายได้รับแร่ธาตุมากเกินไป ก็จะถูกขับออกมาในรูปของของเสีย ทำให้ดื่มไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรขึ้นมาสำหรับท่านใดที่ดื่มน้ำแร่แทนน้ำเปล่าก็ลองพิจรณากันดูอีกทีนะ เพราะราคาที่แพงกว่าแต่คุณค่ามีเท่าๆกัน


ข้อเสียสำหรับผู้ที่ไม่ชอบดื่มน้ำหรือน้ำเปล่า

โดยการเลือกดื่ม น้ำหวาน น้ำอัดลม หรือ กาฟแทน หรือบางท่านอาจดื่มเฉพาะเวลาที่รู้สึกกระหายน้ำเท่านั้น ขอบอกว่าให้เลิกพฤติกรรมนี้ซะ เพราะว่าเซลล์ทุกเซลล์ในร่างกานจะไปกระไปด้วยน้ำ ถ้าคุณไม่ดื่มน้ำหรือดื่มแต่น้ำหวาน จะส่งผลให้เซลล์ในร่างกายเหี่ยว ร่างกายเข้าสู่ภาวะขาดน้ำ สุขภาพย่ำแย่ ไม่มีสมาธิเพราะสมองขาดน้ำ รู้สึกเหนื่อยและหงุดหงิดง่าย อาจเกิดการตกผลึกของเกลือแร่ทำให้เกิดโรคนิ่วในไตได้ง่าย หัวใจต้องทำงานหนักเป็นอย่างมากเพราะ ในเลือดไม่มีน้ำ แต่กลับมีน้ำตาลอยู่ ทำให้เลือด เหนี่ยวและข้น ยากต่อการที่จะส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกาย ปาก คอ ผิวพรรณ แห้ง มันมีผลเสียมาเลยใช่ไหมค่ะ กับการที่ร่างกายขาดน้ำ สำหรับท่านใดที่ไม่ชอบดื่มน้ำเปล่า ก็เริ่มมาดื่มด้วยวิธีการจิ๊บน้ำแทนก่อน จิบบ่อยๆ และค่อยๆเพิ่มปริมาณขึ้นค่ะ และเราก็จะเคยชินกับการดื่มน้ำไปเอง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #200 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 08:03:06 PM »

ฟักข้าว พืชพื้นบ้าน ช่วยต้านมะเร็งชั้นยอด



ได้รับความนิยมในหมู่คนรักสุขภาพมาพักหนึ่งแล้ว สำหรับผักพื้นบ้านที่มีชื่อว่า "ฟักข้าว"

                  เชื่อว่าหลายคนคงคุ้น ๆ กับชื่อนี้ แต่อาจจะยังไม่รู้ว่า "ฟักข้าว" มีประโยชน์อย่างไร ใครที่ยังไม่รู้ว่า สรรพคุณของฟักข้าวมีดังนี้

            ฟักข้าว เป็นพืชไม้เลื้อยอยู่ในวงศ์แตงกวาและมะระ มีชื่อสามัญว่า Spring Bitter Cucumber เป็นพืชที่ขึ้นตามรั้วบ้าน หรือตามต้นไม้ต่าง ๆ มีมือเกาะคล้ายกับตำลึง ใบเป็นรูปหัวใจคล้ายใบโพธิ์ ขอบใบหยักเว้าลึกเป็นแฉก 3-5 แฉก ดอกจะมีสีขาวแกมเหลือง ตรงกลางมีสีน้ำตาลแกมม่วง
 
            ผลของฟักข้าว 2 ลักษณะ คือ ทรงกลม และทรงรี ผลกลม ๆ จะยาวประมาณ 4-6 เซนติเมตร ส่วนผลรีจะยาวประมาณ 6-10 เซนติเมตร ถ้ายังเป็นผลอ่อนอยู่ ผลจะมีสีเขียวอมเหลือง มีหนามถี่ ๆ อยู่รอบผล แต่เมื่อสุกแล้ว ผลจะมีสีแดง หรือแดงอมส้ม และหากผ่าผลฟักข้าวออกดูข้างใน ก็จะเห็นเมล็ดจำนวนมากเรียงตัวกันคล้ายเมล็ดแตง แต่ละผลหนักประมาณ 0.5-2 กิโลกรัม

           หลายคนที่อยู่ต่างจังหวัดอาจจะไม่คุ้นชื่อกับ "ฟักข้าว" แต่คุณอาจจะคุ้นกับชื่อที่เรียกกันในท้องถิ่น อย่างจังหวัดปัตตานี จะเรียก "ฟักข้าว" ว่า "ขี้กาเครือ" จังหวัดตาก จะเรียกว่า "ผักข้าว" จังหวัดแพร่ เรียก "มะข้าว" เป็นต้น

           เห็นหน้าค่าตารู้จัก "ฟักข้าว" กันไปแล้ว ลองมาดูกันบ้างดีกว่า ว่า "ฟักข้าว" นำไปทำประโยชน์อะไรได้บ้าง ที่เห็นชัด ๆ เลยก็คือ คนนิยมนำผลอ่อนของฟักข้าวมาปรุงอาหาร เพราะรสชาติของฟักข้าวอร่อยออกขมนิด ๆ แต่นุ่มลิ้น และเพราะว่า "ฟักข้าว" เป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็นเช่นเดียวกับพืชตระกูลแตง การรับประทาน "ฟักข้าว" จึงช่วยลดความร้อนในร่างกายได้ด้วย ซึ่งวิธีปรุงอาหารจาก "ฟักข้าว" ก็ไม่ยาก แค่นำ "ฟักข้าว" มาลวก หรือต้มให้สุก แล้วจิ้มกินกับน้ำพริก หรือใส่ในแกง เช่น แกงเลียง แกงส้ม ก็ได้เมนูอร่อยเด็ดอีกจานแล้ว


ขอบคุณข้อมูลจาก หมอชาวบ้าน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #201 เมื่อ: กันยายน 14, 2012, 08:07:14 PM »

“กินผัก”อย่างไรให้ปลอดภัยจาก“ยาฆ่าแมลง”

กินผัก”อย่างไรให้ปลอดภัยจาก“ยาฆ่าแมลง”




สวัสดีวันศุกร์ในฤดูฝนกันนะคะ สัปดาห์ที่ผ่านมาได้มีโอกาสไปแอ่วบนดอยชื่อ “ม่อนแจ่ม” จ.เชียงใหม่ ที่นี่มีคนบอกว่า หน้าฝนบนดอยที่ม่อนแจ่มมีทะเลหมอกสวย นอกจากวิวสวยแล้ว ยังมีโครงการหลวงหนองหอย โครงการในพระราชดำริของในหลวง เพื่อส่งเสริมอาชีพให้ชาวเขาปลูกผักผลไม้ขาย ภายใต้แบรนด์ “ดอยคำ” ให้เลือกรับประทานกัน

วิวแปลงผักที่นี่สวยสบายตามากค่ะ ดอยทั้งดอยถูกเนรมิตเป็นแปลงปลูกผัก มองไปจะมีสีเขียวอ่อนไปจนเขียวเข้มของผักถูกสลับไล่ระดับกันไปมา เห็นแล้วอดไม่ได้ที่ต้องหาเมนูสลัดผักสดๆชามใหญ่ๆกับน้ำสลัดฟักทองมาทาน



เมื่อพูดถึงเรื่องผัก พลันนึกถึงประสบการณ์ที่เคยตรวจฟาร์มตรวจโรงงานผักผลไม้ให้หลายแห่งที่ส่งออกไปต่างประเทศ ทำให้ได้ทราบว่า กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป, อเมริกา ออสเตรเลียหรือแม้แต่ประเทศเอเชีย อย่าง ญี่ปุ่น เขามีกฏหมายควบคุมปริมาณสารกำจัดศัตรูพืช หรือยาฆ่าแมลงตกค้างสำหรับผักผลไม้ทั้งสดและแปรรูปที่จะนำเข้าไปยังประเทศดังกล่าว แต่ส่วนที่ปลูกเพื่อขายภายในประเทศเราเองกลับไม่มีอะไรควบคุมเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเลย



อย่างที่ทราบกันว่า การปลูกผักในปัจจุบันมีการใช้สารเคมีและสารกำจัดศัตรูพืชมากมายเหลือเกิน ยกเว้นพวกผักออแกนิคที่ใช้ต้นทุนสูงมากในการเพาะปลูก ทำให้มีสารเคมีและยาฆ่าแมลงตกค้างในผักและมีโอกาสสะสมจนเกิดผลเสียต่างๆ กับร่างกาย



เคยมีการสุ่มตรวจพืชผักที่ขายในตลาดบ้านเราพบว่า พืชผักที่พบสารเคมีตกค้างมากที่สุด ล้วนแต่เป็นของสามัญประจำมื้อ จำพวกพริกขี้หนู ผักคะน้า ผักกวางตุ้ง ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ-มะเขือเปราะ ผักชี กะหล่ำปลีและแตงกวา





สาระคอลัมน์ “กินดี” กับเดลินิวส์ออนไลน์วันนี้ จึงอยากนำเสนอวิธีกินผักให้ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงค่ะ


เริ่มจากผักออแกนิคหรือผักที่มีสัญลักษณ์ Q Mark สีเขียวๆ อยู่บนถุงน่ะค่ะ เคยเห็นกันไหมคะ จัดเป็นผักที่ค่อนข้างปลอดภัยตามมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร ผักชนิดนี้ต้องปลูกตามระบบที่เรียกกันว่า แก่บ (GAP : Good Agricultural Practice) โดยควบคุมการใช้สารเคมีตามรายการที่อนุญาตให้ใช้เท่านั้น อีกทั้งกำหนดให้เก็บเกี่ยวในระยะเวลาที่ปลอดภัย แต่ข้อจำกัด คือ ราคาสูงกว่าผักทั่วไปมากกว่าเท่าตัว แถมยังหาซื้อยาก เพราะมักมีขายเฉพาะในห้างสรรพสินค้า



ดังนั้นหากยังจำเป็นต้องซื้อผักจากตลาดสดทั่วไป วิธีที่ช่วยได้มาก คือ การล้างก่อนการบริโภค ย้ำว่าสำคัญมากจริงๆ นะคะ ซึ่งวิธีการล้างผักให้สะอาด ปลอดภัยจากยาฆ่าแมลงตกค้าง มีคำแนะนำดังนี้คะ



1.ล้างด้วยน้ำยาล้างผัก จะช่วยลดสารพิษได้ประมาณ ร้อยละ 25



2.ล้างผัก ผลไม้ แล้วแช่ในด่างทับทิมสีชมพูอ่อนๆ นาน15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 40



3.ล้างผัก ผลไม้ โดยเปิดก๊อกน้ำไหลผ่านตลอดเวลา พร้อมทั้งถูผักผลไม้ 3-5 นาที ลดสารพิษได้ ร้อยละ 60



4.ล้างผัก ผลไม้ แล้วแช่ในน้ำส้มสายชู (ผสมน้ำส้มสายชู 250 ซีซี : น้ำ 2 ลิตร ) แช่ไว้นาน 5 นาที จะลดสารพิษได้เกือบหมด



5.ใช้เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำ 1 กะละมัง แช่นาน 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดอีกที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 29-38



6.ใช้โซเดียมไปคาร์บอเนต (ผงฟู) 1 ช้อนโต๊ะ ผสมน้ำอุ่น 1 กะละมัง (20 ลิตร) แช่นาน 15 นาที ลดปริมาณ สารพิษได้ร้อยละ 90-95



7.ลอกหรือปอกเปลือกชั้นนอกของผัก ผลไม้ออกทิ้ง เด็ดผักเป็นใบ ๆ แล้วแช่น้ำสะอาดนาน 10-15 นาที ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 27-72



8.ต้มหรือลวกผักด้วยน้ำร้อน ลดปริมาณสารพิษได้ร้อยละ 48-50



ถึงตอนนี้หลายคนอาจมีคำถามว่า แล้วในกรณีของแม่บ้านถุงพลาสติกไม่ได้ทำอาหารเองล่ะ จะทานอย่างไรให้ปลอดภัย ตอบว่า ผู้เขียนมีเทคนิคส่วนตัวซึ่งใช้ได้กับการทานอาหารทุกกรณีที่ต้องการลดการสะสมของสารเคมีในอาหาร นั่นคือการเลือกทานอาหารให้หลากหลายเข้าไว้ค่ะ อย่าทานผัก หรืออาหารชนิดใดชนิดหนึ่งที่เราชอบบ่อยๆ เป็นระยะเวลานานๆ ไม่ใช่ทานคะน้าทุกมื้อ หรือกะหล่ำปลีผัดหมูทุกวัน



อีกวิธีคือทานพืชผักสวนครัวที่เราปลูกเองได้ง่ายๆ อย่างตำลึง แบบนี้สบายใจได้แน่ว่าไม่มีสารตกค้าง



รู้วิธีกินผักให้ปลอดภัยกันแล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ อย่าลืมที่เคยย้ำกันนะคะว่า You are what you eat ทานอะไรก็เป็นแบบนั้น ไม่อยากมีโรคภัยไข้เจ็บที่เกิดจากยาฆ่าแมลงสะสม ก็ต้องรู้จักทำเหตุเพื่อลดความเสี่ยงอย่างที่บอกมานะคะ.


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #202 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:36:00 PM »

กินแบบไทย ไล่มะเร็ง


อยู่ดี ๆ ไม่มีอาการอะไรผิดปกติ แต่พอไปตรวจสุขภาพ หมอบอกเป็นมะเร็งเต้านมระยะสุดท้าย อีก 6 เดือนต้องตาย เป็นไปได้อย่างไร?

                  แม้วงการแพทย์ยังไม่ฟันธงถึงสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดโรคมะเร็ง แต่จากการศึกษาติดต่อกันมาเนิ่นนานพอจะระบุได้ว่า ต้นเหตุของโรคมะเร็งส่วนน้อยนิดไม่ถึง 20% เกิดจากกรรมพันธุ์ แต่อีก 75-80% ไปสัมพันธ์กับวิถีชีวิต มลพิษ และสิ่งแวดล้อม ทั้ง 3 สิ่งนี้มนุษย์เป็นผู้กระทำให้ตนเองเกิดโรคมะเร็ง ทั้งตั้งใจ และไม่ได้ตั้งใจ

              วิถีชีวิตที่เครียดกับการทำงาน และการดำเนินชีวิตท่ามกลางการแข่งขันที่ดุเดือดปากกัดตีนถีบ มีเวลาพักผ่อนน้อย ทุ่มเทชีวิตให้กับงาน ไม่เคยสนใจออกกำลังกาย หมกมุ่นอยู่แต่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวัน ทั้งหมดก่อให้เกิดโรคมะเร็งอารมณ์ ชีวิตจึงเหี่ยวเฉา เซ็ง หน้าเคร่งเครียด อารมณ์บูดตลอด ทั้งหมดมีผลกระทบทำให้เซลล์ผิดปกติ หากเกิดติดต่อกันนาน ๆ นำไปสู่มะเร็งทางกายได้ในที่สุด

              ส่วนสาเหตุมะเร็งที่เกิดจากสิ่งแวดล้อมมีหลายสาเหตุย่อย แต่เชื่อไหมส่วนมากเกิดจากอาหาร บุหรี่ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นสิ่งที่เราเสพเข้าไปทั้งนั้น ดั้งนั้น เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว เราสามารถที่จะป้องกันมะเร็งไม่ให้เกิดกับตัวเราด้วยตัวเราเอง แต่เชื่อเถอะคุณไม่สนใจที่จะดูแลตัวเองเรื่องการกิน มะเร็งจึงได้เข้าโจมตีคุณโดยไม่บอกคุณล่วงหน้า

              การกินอาหารไทย ๆ (ต้องไทยแท้ ๆ) สามารถป้องกันมะเร็งได้ ขอฟันธง เพราะสิ่งที่จะบอกต่อไปนี้ สามารถอธิบายได้ ทางวิทยาศาสตร์ขององค์ประกอบของอาหารไทย ที่ป้องกันมะเร็งได้หลายเหตุผล อาทิ อาหารไทยแท้แบบดั้งเดิมเป็นอาหารที่ปรุงประกอบมาจากอาหาร หรือวัตถุดิบธรรมชาติ ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ นั้น ย่อมปลอดภัยจากสารพิษปนเปื้อนและสารก่อมะเร็ง เรียกว่า กินตามธรรมชาติให้มา และที่สำคัญการกินอาหารไทยเน้นปลาเป็นหลัก กินผักเป็นพื้น เมนูอาหารไทยแท้จะปรุงมาจากปลาเป็นส่วนใหญ่ซึ่งมีไขมันต่ำ และเป็นโปรตีนที่ดีย่อยง่าย ป้องกันมะเร็งได้

            อาหารไทย ๆ มักเน้นการปรุงแบบ ต้ม ปิ้ง ย่าง และยำ ไม่เน้นการทอด ไขมันจึงต่ำ อาหารไทยมีรสชาติปานกลางกลมกล่อมไม่หวานจัด มันจัด เค็มจัด อาหารไทยในหนึ่งสำรับ หรือหนึ่งจานครบ 5 หมู่ และมีความสมดุลของสารอาหาร และพลังงาน จึงถือได้ว่าอาหารไทย คือ อาหารบาลานท์ไดเอท (Balance Diet) เหตุผลทั้งหมด จะอธิบายได้เต็มปาก หากกินอาหารไทยจะไล่บี้มะเร็งได้ จริง ๆ นะ

            การป้องกันมะเร็งนอกจากปรับพฤติกรรมหันมากินอาหารไทย ๆ ให้มากขึ้นตามที่กล่าวมาแล้วนั้น ยังจะต้องหลีกเลี่ยงการกินอาหารปิ้งย่างจนไหม้เกรียม อาหารมันจัด เช่น หนังหมู หนังไก่ อาหารทอด โดยเฉพาะทอดน้ำมันลอยที่ใช้น้ำมันทอดซ้ำ อาหารสีฉูดฉาด อาหารหมักดอง อาหารที่ผ่านกระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมอาหาร (Process Food) และหาโอกาสออกกำลังกายสม่ำเสมอ ตลอดจนหลีกเลี่ยงความเครียด และหาทางสลัดมันออกโดยเร็วเมื่อรู้ตัวว่าเครียด ลด หรือ งดสูบบุหรี่ และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้ได้



ขอบคุณข้อมูลจาก สุขกายสบายใจ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #203 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:41:01 PM »

มือใหม่เริ่มวิ่งทำอย่างไร


ที่เราหันมาสนใจการออกกำลังกายด้วยการเดินเร็ว ร่างกายก็จะค่อย ๆ เพิ่มความแข็งแรงมากขึ้น คุณจะรู้สึกว่าเดินได้ระยะทางมากหรือไม่ก็เดินได้เร็วมากขึ้น โดยที่ไม่เหนื่อยเหมือนเก่าหรือเหนื่อยน้อยลง



คราวนี้คุณคงอยากจะเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งบ้างแล้ว เพราะรู้สึกว่าแค่เดินจะไม่ทันใจเสียแล้ว ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เรามาดูข้อดีของการออกกำลังกายประเภทเดินเร็วหรือวิ่งจ๊อกกิ้งกันว่า อรรถประโยชน์แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร




การออกกำลังกายที่หัวใจและปอดได้ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การไหลเวียนเลือดเป็นไปอย่างดี เราเรียกการออกกำลังกายประเภทนี้ว่า แอโรบิก เอ็กเซอร์ไซส์ คำจำกัดความแท้จริงคือ การใช้ออกซิเจนอย่างสม่ำเสมอในการออกกำลังกาย ซึ่งไม่ใช่แค่การเต้นแอโรบิก แต่รวมถึงการเดินเร็ว วิ่งจ๊อกกิ้ง ว่ายน้ำ ขี่จักรยาน หรือแม้แต่เล่นสกี

การออกกำลังกายเหล่านี้ จะต้องอาศัยการทำงานของปอดและหัวใจอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอเหมือนรถที่วิ่งในความเร็วคงที่ ไม่กระโชกโฮกฮาก แบบการเล่นกีฬาบางประเภทที่มีทั้งอยู่กับที่ วิ่งเร็วบ้าง วิ่งช้าบ้าง แบบนั้นไม่ใช่การออกกำลังกายแบบแอโรบิก ซึ่งทำร้ายการทำงานของหัวใจมากกว่าการช่วยให้หัวใจแข็งแรง ซึ่งเรามักได้ยินข่าวอยู่บ่อยที่เล่นฟุตบอลหัวใจวาย เล่นเทนนิสหัวใจวาย



สำหรับมือใหม่หัดวิ่งหรือหัดเดินเร็ว สิ่งที่สมควรลงทุนมากสุดคือรองเท้าที่ดีเหมาะสมกับเราหนึ่งคู่ หากท่านได้เริ่มเดินจนรู้สึกดีมาระยะหนึ่งแล้วก็เรามาเริ่มวิ่งจ๊อกกิ้งกัน



แต่อีกอย่างที่สำคัญไม่แพ้กันคือการยืดเส้นยืดสาย อบอุ่นร่างกาย ให้เตรียมพร้อมกับการออกกำลังกาย ทั้งก่อนและหลังการวิ่ง เป็นเรื่องที่ลดการบาดเจ็บและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อได้ดีมาก



เสื้อผ้าที่ใส่ไม่ต้องมิดชิดมาก คนเริ่มวิ่งใหม่ ๆ มักจะอายหรือไม่คุ้นกับตัวเอง มักใส่เสื้อผ้ารุ่มร่าม ขอแนะนำ เสื้อยืดแขนสั้นหลวม ๆ สีอ่อน(เพราะจะไม่ดูดแสงทำให้ร้อนไป) กางเกงขาสั้นดีกว่าขายาว แต่แรก ๆ ยังเขิน ๆ ก็พออนุโลมกันได้


วิ่งที่ไหนดี

คำตอบคือที่ไหนก็ได้ที่มีที่ให้เราวิ่ง ในหมู่บ้าน สวนสาธารณะใกล้บ้าน ริมถนนที่ไม่ค่อยมีรถ วิ่งได้ทั้งนั้นไม่จำเป็นต้องลงทุนไปที่ยิม เพราะบางทีจะเสียเงินฟรี กับการจ่ายค่าสมาชิกแล้วไปไม่กี่ครั้ง


วิ่งเร็วแค่ไหน

เริ่มแรกไม่ต้องเน้นความเร็ว การออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ประโยชน็ให้เน้นที่ระยะเวลามากกว่าระยะทาง เริ่มแรกควรวิ่งได้ต่อเนื่องอย่างน้อย 20 นาที ในระยะเวลา 20 นาทีนี้ถ้ามีเพื่อนวิ่งด้วย ให้วิ่งแบบวิ่งไปคุยกันไปรู้เรื่อง ถ้าเริ่มคุยไม่ได้ เริ่มหอบ หายใจไม่ทัน แสดงว่าวิ่งเร็วเกินไปแล้ว ให้ลดความเร็วลงมา

ท่าวิ่งสำคัญ อย่าลงปลายเท้า

วิ่งจ๊อกกิ้งไม่ใช่วิ่งเร็วหรือวิ่งแข่ง การลงเท้าสัมผัสพื้นเป็นเรื่องที่ต้องใส่ใจ อย่าลงด้วยปลายเท้าแบบนักวิ่งร้อยเมตรเพราะเราไม่ได้เน้นความเร็ว ขอให้วิ่งลงส้นเท้าหรือตั้งแต่กลางเท้าสัมผัสพื้นก่อน แล้วค่อยตามด้วยปลายเท้าด้านหน้า

วิ่งแบบนี้จะวิ่งได้นาน น่องจะไม่เกร็ง
ไม่ล้า ไม่ปวดเมื่อย และป้องกันการบาดเจ็บ
ได้มาก ส่วนแขนสองข้างงอขึ้นมาสบายๆ กำมือหลวมๆ อยู่ราวหน้าอก ไม่ต้องกุมอกแน่นแบบสาวๆ หลายคน ที่กลัวหน้าอกหน้าใจจะถูกแรงโน้มถ่วงดึงลงมา หลักง่ายๆ ไม่ต้องเกร็ง ไม่ต้องยกสูง

อย่าฝืนวิ่ง ไม่ไหวสลับเดินได้

ตั้งเป้าไว้ว่าต้องวิ่งให้ได้เท่านั้นเท่านี้ บางทีมือใหม่อาจหน้ามืดเป็นลมเป็นแล้งไปได้ ถ้ารู้สึกว่าร่างกายไม่เอาด้วย อย่าได้ฝืน วิ่งให้ช้าลง หรือไม่ไหวจริงๆ ก็สลับเดินได้ อย่าได้วิ่งแล้วหยุดกึกทันที ทำแบบนี้จะอันตรายหน้ามืดได้ ต้องเดินต่อเนื่องให้ร่างกายได้ปรับตัว พอหายเหนื่อยก็กลับไปวิ่งเหยาะในความเร็วเดิมได้

ทำแบบนี้บ่อยๆ ในช่วงเริ่มต้น คุณจะแปลกใจกับความแข็งแกร่งของร่างกาย รู้สึกว่าเหนื่อยน้อยลง หรือไม่ก็วิ่งโดยไม่ต้องหยุดได้ครบระยะเวลาที่ตั้งใจ


เตรียมตัวอย่างไรก่อนวิ่ง

ไม่ควรกินอาหารหนักก่อนวิ่งอย่างน้อย 1 ชั่วโมง เพราะร่างกายต้องการเลือดส่วนใหญ่ไปที่กระเพาะอาหาร เพื่อช่วยการย่อยอาหาร หากเราไปออกกำลังกายช่วงนี้ เลือดในร่างกายก็ถูกดึงไปใช้เลี้ยงกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ ท้องอืด ท้องเฟ้อ และทำให้จุกเสียดท้องได้

แต่ไม่ใช่ว่าต้องท้องว่าง คุณอาจทานอะไรเบา ๆ เพื่อเป็นพลังงานในการเตรียมการออกกำลังกาย เช่น น้ำผลไม้ นมครึ่งแก้ว ผลไม้ชิ้นสองชิ้น ทำให้เราออกำลังกายได้สนุกมากขึ้น

เรื่องน้ำดื่ม อย่าได้เชื่อผิด ๆ ว่าระหว่างการวิ่งอย่ากินน้ำทำให้จุก จะเป็นจริงก็เพราะดื่มมากไป การวิ่งหรือเล่นกีฬา ต้องมีการจิบน้ำเป็นระยะ เพื่อให้ความสดชื่นแก่ร่างกายที่เสียเหงื่อออกไป และช่วยลดความร้อนในร่างกายขณะออกกำลัง


วิ่งบ่อยถี่แค่ไหนเหมาะสม

ตามทฤษฎี สัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง ครั้งละไม่ต่ำกว่า 20 -30 นาที ร่างกายถึงจะได้ประโยชน์ หัวใจและปอดจะแข็งแรงดี แต่ถ้าทำได้มากกว่านั้นก็ยิ่งมีประโยชน์ แต่ส่วนใหญ่จะทำได้น้อยกว่านี้ ช่วงแรก ๆ พยายามทำให้ได้ตามนี้ เมื่อทำเป็นนิสัยคุณจะรู้ว่าการออกกำลังกายจะทำให้คุณปลอดโปร่งได้มากแค่ไหนทั้งภายในร่างกายและสภาพจิตใจ




อ่านจบแล้ว นึกอยากออกไปวิ่ง อยากออกไปเดิน ทำได้ทันที ไม่ต้องรอใครไม่ต้องชวนเพื่อน เอารองเท้าออกมา ใส่ชุดสบาย ๆ เอา IPOD หรือ MP3 โทรศัพท์มือถือเปิดเพลงมัน ๆ ไปกับเราด้วย ให้เวลาตัวเองซักครึ่งชั่วโมง ทำไมจะหาไม่ได้ ในเมื่อเราให้คนอื่น เรายังให้ได้มากกว่านี้


Never-Age.com


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #204 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:42:39 PM »

10 วิธีคืนความสมดุลให้กับร่างกายรับหน้าฝน


ความสมดุลในร่างกาย คือ การที่ระบบอวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายทำงานอย่างสัมพันธ์กัน โดยความสมดุลของร่างกายอยู่ที่ประมาณ 37 องศา

                  ซึ่งเป็นอุณหภูมิที่ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าอุณหภูมิภายนอกจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นร้อน เย็น หรือชื้น ร่างกายก็จะปรับอุณหภูมิภายในให้อยู่สภาวะคงที่ 37 องศา เราจึงควรสร้างสมดุลให้กับตัวเองเพื่อสุขภาพร่างกายที่แข็งแรง ด้วย 10 วิธีง่าย ๆ ช่วยรับมือกับอากาศแปรปรวนในหน้าฝน

            1. ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อย 1.5 ลิตร เพื่อให้สมดุลของอุณหภูมิในร่างกายคงที่ จะช่วยทำให้โอกาสการติดเชื้อลดลง

            2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่างน้อย 6-8 ชั่วโมง ถ้านอนหลับยาก ลองรับประทานกล้วยหอมก่อนนอน ซึ่งกล้วยหอมจะมีสารทริปโตเฟน ช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายและหลับได้ง่ายขึ้น

            3. หน้าฝนมักจะไม่ค่อยเสียเหงื่อ เพราะอากาศชื้น ควรออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายได้ขับของเสีย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่มภูมิต้านทานให้กับร่างกายวิธีหนึ่งด้วย

            4. อาหารที่ควรรับประทานอาหาร ได้แก่ ขิง ข่า ตะไคร้ ใบกะเพรา กระชาย เป็นต้น เพราะเป็นอาหารที่มีความเผ็ดร้อน เป็นการเพิ่มอุณหภูมิให้แก่ร่างกาย

            5. อาหารที่ควรหลีกเลี่ยงรับประทาน คือ อาหารที่มีฤทธิ์เย็น รสขม เพราะจะทำให้อุณหภูมิในร่างกายลดต่ำลงมากกว่าเดิม ส่งผลให้ระบบการย่อยทำงานหนัก ย่อยยาก

            6. ไม่ควรอยู่ในที่อึดอัด เพราะจะทำให้ติดเชื้อได้ง่าย ควรอยู่ที่อากาศแห้งและถ่ายเทสะดวก เปิดประตูหน้าต่างเพื่อระบายอากาศ และทำตัวเป็นมนุษย์สะอาด ล้างมือทุกครั้งหลังทำกิจกรรมเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค

            7. หน้าฝนอากาศไม่ปลอดโปร่ง ทำให้คนมีจิตใจหดหู่ ควรหาเวลาไปพักผ่อนเพื่อเพิ่มออกซิเจนบริสุทธิ์ให้กับร่างกาย

            8. อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย ทำให้ร่างกายเสียสมดุลได้ง่าย เสริมภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายด้วยการรับประทานวิตามินซีเสริมวันละ 500-1,000 มิลลิกรัม

            9. ควรใส่เสื้อผ้าสีสดใส เพื่อเติมพลังงานให้กับจิตใจ ใครจะคิดบ้างว่าแค่การปรับเปลี่ยนสีเสื้อผ้าก็ทำให้อารมณ์คุณเปลี่ยนแล้ว

           10. นอกจากเตรียมความพร้อมของร่างกายแล้ว ควรเตรียมความพร้อมด้านจิตใจ ทำจิตใจให้สงบนิ่ง ด้วยการนั่งสมาธิ เพื่อรับมือกับทุกสภาวะ



ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #205 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:44:08 PM »

10อาชีพอนาคตที่จะมา'แรงส์'สุดๆ


1. วิศวกรเนื้อเยื่อ

อนาคตโลกเราจะมีผิวหนังปลอม และกระดูกอ่อนเทียมออกวางจำหน่าย นักวิจัยสามารถสร้างลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะใหม่ขึ้นมาในช่องท้องของสัตว์ เป็นการเริ่มต้นสร้างเนื้อเยื่อของตับ หัวใจ และไต ขึ้น




2. นักวางโครงสร้างยีน

แผนผังโครงสร้างทางพันธุกรรม (ยีน) ของมนุษย์ ทำให้ช่างเทคนิคสามารถสร้างหรือเปลี่ยนแปลงหน่วยทางพันธุกรรมของมนุษย์แต่ละคนได้ ด้วยการเขียนรหัสคอมพิวเตอร์ขึ้นมาใหม่ เมื่อมีการสแกนภาพของดีเอ็นเอเราเพื่อหาข้อบกพร่อง แล้วหมอจะใช้การบำบัดทางพันธุกรรม มีการคัดเลือกเอาแต่โมเลกุลที่ฉลาดๆ เพื่อป้องกันปัญหาบางอย่าง เช่น โรคมะเร็ง




3. ชาวนา

เกษตรกรยุคใหม่ จะปลูกพืชพรรณต่างๆ มีการเลี้ยงสัตว์ ซึ่งผ่านการดูแลทางด้านพันธุวิศวกรรมมาก่อนแล้ว โครงการนี้เริ่มก้าวหน้ามากแล้ว มีทั้งวัคซีนที่จะฉีดให้มะเขือเทศโต และวิทยาการอื่นๆ




4. ผู้ตรวจสอบเรื่องอาหาร

ไม่ต้องกังวลว่าจะมีอะไรกินในมื้อค่ำ เมื่อมีปลาที่โตเร็ว และมีการตัดต่อทางพันธุกรรม ทำให้มีอาหารพอสำหรับประชากรที่ล้นโลก แต่ก็จะต้องระวังเรื่องผลกระทบทางพันธุกรรมต่างๆ ด้วย




5. นักขุดข้อมูล

อนาคตจะมีนักวิจัยผู้เชี่ยวชาญมาจัดการข้อมูลของที่ต่างๆ เขาจะรู้รูปแบบพฤติกรรมของผู้คน ทำให้เป็นประโยชน์ต่อนักการตลาดมาก




6. ช่างซ่อมด่วนตามสาย

ถ้าคุณไม่สามารถจัดการกับบรรดาเครื่องเล่นวิดีโอหรือว่าดีวีดีได้ละก็ คุณจะมีรีโมทที่ทำหน้าที่ดูแล อุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างในบ้าน แต่ก็น่าจะยังมีช่างซ่อมที่เราจะเรียกใช้บริการตามสายผ่านวิดีโอโฟนอยู่บ้าง




7. นักแสดงแบบ Virtual Reality

การชมโทรทัศน์แบบเสียเงินจะกลายเป็นการจ่ายต่อครั้งที่มีการแสดง ต่อไปนักแสดงจะมีปฏิกิริยากับเราได้ในโลกของละคร Cyber Space อาชีพนักเขียนบทก็ยังจะมีคนต้องการสูงเพราะคงจะมีบทแปลกๆ อีกมาก




8. นักโฆษณาเพื่อคนๆ เดียว

อุตสาหกรรมโทรทัศน์จะมุ่งเน้นไปที่บุคคลมากขึ้น นักโฆษณาจะสร้างสรรค์เนื้อหาโฆษณาของสินค้า เพื่อผู้บริโภคแต่ละคนโดยเฉพาะ แต่ก็จะมีโฆษณาอื่นๆ ที่พยายามดึงความสนใจเราด้วยกลิ่นและรส เพื่อส่งกระแสกระตุ้นให้เราอยากซื้อสินค้าในทันที




9. มนุษย์เลียนแบบ

วิศวกรคอมพิวเตอร์ ยังคงพยายามที่จะเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ ในอนาคตเราจะแยกไม่ออกเลยว่าเรากำลังคุยกับคนหรือหุ่น เจ้ามนุษย์หุ่นยนต์นี้จะทำหน้าที่ดูแลลูกค้า หรือเป็นคนคอยสรุปอีเมลให้เรา หรือแม้กระทั่งตอบจดหมายแทนเราเลย




10. วิศวกรแห่งความรู้

นักเลียนแบบสติปัญญาของมนุษย์ จะแปลผลงาน หรือการทำงานของเราลงไปเป็นซอฟท์แวร์ ทำให้สมองพวกเรามีขนาดเล็กลง


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #206 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 05:51:23 PM »

จริงๆแล้วซูชิมีกี่ประเภท?

ในบางวันที่อาจจะมีการนัดประชุม พบปะลูกค้า แล้วเลือกเป็นร้านอาหารญี่ปุ่น ซึ่งในเมนูยอดนิยมคือ ซูชิ เราลองมารู้จักเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของการกินซูชิกันดีกว่าที่นอกจากจะเป็นความรู้รอบตัวแล้ว เผื่อว่าวันหนึ่งลูกค้าที่คุณต้องติดต่อด้วยเป็นชาวญี่ปุ่น จะได้สร้างความประทับใจ



ทำไมถึงต้องเป็นซูชิ?
ชาวญี่ปุ่นมีเหตุผลหลักๆ ที่สร้างสรรค์เมนูอร่อยก้องโลกอย่างซูชิด้วยกัน 3 ข้อ คือ เพื่อการถนอมอาหาร เพื่อปรุงอาหารให้มีขนาดที่พอดีคำ สะดวกในการกิน พกพาไปในที่ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย และข้อสุดท้ายที่ซูชิต้องปั้นเป็นคำๆ เพื่อให้สามารถใช้มือหยิบกินได้สะดวก ซึ่งปัจจุบันร้านอาหารญี่ปุ่นแท้ระดับสูงมักจะมือในการหยิบ


จริงๆแล้วซูชิมีกี่ประเภท?

ซูชิมีทั้งหมด 4 ประเภทด้วยกัน





1. นิงิริซูชิ ( Nigiri Sushi ) เป็นซูชิพบได้บ่อยในภัตตาคาร ซูชิจะมีลักษณะข้าวเป็นก้อนรูปวงรีแล้ววางเนื้อปลาดิบ ปลาหมึก ฯลฯ ไว้ข้างบน อาจจะใส่วาซาบิเล็กน้อย หรือตกแต่งด้วยสาหร่ายทะเลก็ได้ ซูชิแบบนี้เป็นที่นิยมมากที่สุด



2. มากิซูชิ ( Maki Sushi ) มีวิธีทำ 3 แบบด้วยกัน (1) ม้วนข้าวไว้ด้านในสาหร่ายทะเลอยู่ด้านนอก (2) ม้วนสลับกับแบบแรกโดยที่สาหร่ายอยู่ด้านในส่วนข้าวอยู่ด้านนอก (3) ห่อเป็นรูปกรวย เรียกว่า แคลิฟอร์เนียมากิ


3. ชิราชิซูชิ ( Chirashi Sushi ) เป็นการจัดปลาดิบ ปลาหมึก กุ้ง ผัก ฯลฯ ที่หั่นเป็นชิ้นๆ วางเรียงบนข้าวที่ใส่อยู่ในกล่อง




4. โอชิซูชิ ( Oshi Sushi ) หรือรูปแบบคันไซจากเมืองโอซาก้า เอาข้าวมาอัดลงในแม่พิมพ์รูปสี่เหลี่ยมตามยาวหั่นขนาดพอดีให้รับประทานเป็นคำๆ แล้ววางเนื้อปลาไว้ด้านบน

 
 

ส่วนหน้าของซูชิก็มีหลายอย่าง คือ ซูชิหน้าปลาแซลมอน ซูชิหน้าปลาโอ ซูชิหน้าไข่หวาน ซูชิหน้าไข่กุ้ง ซูชิหน้าไข่ปลา ซูชิหน้าปลาหมึกยักษ์ ซูชิหน้ากุ้ง ซูชิหน้าสาหร่าย ซูชิหน้าปลาซาบะ ซูชิหน้าแตงกวา ซูชิหน้าปลาไหล และซูชิหน้าอื่น ๆ อีกหลายอย่าง คนที่ชอบทานซูชิทั้งหลายคงคุ้นหน้าตาใช่มั้ยล่ะ




ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก
• yodnapa.bloggoo.com
www.dek-d.com
www.flickr.com

ที่มา www.lekcooking.com

 
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #207 เมื่อ: กันยายน 18, 2012, 06:05:50 PM »

ความมืดมีประโยชน์ ช่วยต้านมะเร็ง แถมลดน้ำหนัก



นักวิชาการต่างประเทศชี้ว่า ความมืดเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ ช่วยให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับโรคมะเร็ง และช่วยลดน้ำหนักตัวได้ด้วย

                  แสงสว่างในตอนกลางคืนจะรบกวนการผลิต "ฮอร์โมนความมืด" นั่นคือ เมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารตามธรรมชาติชนิดหนึ่งที่ช่วยต้านมะเร็ง ผลิตจากต่อมไพเนียล หรือต่อมใต้สมอง นอกจากนั้นแล้ว ความมืดยังส่งผลดีดังนี้

            ช่วยให้อารมณ์ดี

                 การไม่ได้ใช้ชีวิตอยู่ในความมืดสามารถส่งผลต่ออารมณ์ของคนเราได้ นักจิตวิทยาของมหาวิทยาลัยโอไฮโอพบว่า การดูทีวีจนดึกดื่นจะทำให้ซึมเศร้า อันเป็นผลจากแสงที่ปล่อยมาจากหน้าจอ ดังเช่น เมื่อหนูทดลองถูกเลี้ยงไว้ในห้องที่เปิดไฟตลอด 24 ชั่วโมง พวกมันมีอาการซึมเศร้ากว่าพวกหนูที่อยู่ในแสงสว่างสลับความมืดเป็นวงจร

            ช่วยให้นอนหลับ

                 ผลวิจัยบอกว่า แสงสว่าง ทั้งแสงตามธรรมชาติและแสงจากไฟฟ้า เป็นปัจจัยที่ทำให้นอนหลับได้ไม่ดี งานของมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนียแสดงให้เห็นว่า คนงานระบบกะที่ได้นอนหลับในห้องที่มีการดับไฟหรือม่านบังแสง จะนอนหลับได้ดีกว่าคนที่นอนในห้องที่สว่าง

            ช่วยลดน้ำหนักตัว

                 เมื่อถึงยามกลางคืน การดับไฟอยู่ในที่มืดจะช่วยลดการกินจุบกินจิบในตอนดึก คนที่ใช้ชีวิตในแสงสว่างมาก ๆ มักไม่สามารถลดน้ำหนักตัวได้ ความมืดเป็นสิ่งส่งสัญญาณว่าเราต้องการนอนหลับ แสงสว่างเป็นสิ่งส่งสัญญาณว่าเราต้องตื่นและกิน ถ้าละเลยจังหวะตามธรรมชาติของกลางวันสลับกลางคืน เราก็จะกินมากขึ้นในเวลาที่ไม่ควรกิน

            ตั้งนาฬิกาชีวภาพใหม่

                ความมืดเป็นสิ่งจำเป็นในการรักษาความเที่ยงตรงของนาฬิกาในตัวเรา แต่ขณะที่บรรพบุรุษของเราเข้านอนเมื่อมืดลง และนอนเร็วขึ้นในฤดูหนาวนั้น พวกเรากลับตื่นอยู่จนดึกดื่นค่อนคืน บางคนยังคงช็อปปิ้ง ทำงาน ใช้คอมพิวเตอร์ ดูทีวี หรือนอนหลับก็ยังเปิดไฟ การรบกวนวงจรเวลาของร่างกายเช่นนี้ ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพหลายอย่าง ตั้งแต่ความเครียด โรคหัวใจร่วมหลอดเลือด อาหารไม่ย่อย แผลเปื่อยพุพอง

                ข้อแนะนำก็คือ ปิดทีวีให้เร็วขึ้น ให้เวลาตัวเองปรับตัวเข้ากับความมืด ปล่อยให้ร่างกายเปิดสวิตช์ผลิตเมลาโทนิน


ขอบคุณข้อมูลจาก ไทยโพสต์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #208 เมื่อ: กันยายน 21, 2012, 07:37:17 PM »

ขวดพลาสติก ใส่น้ำอีกครั้ง เป็นอันตรายจริงหรือ 




หลายคนอาจเคยได้ยินได้ฟังข่าวเกี่ยวกับการนำขวดน้ำพลาสติกใส่บรรจุน้ำดื่ม หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า ขวด PET นั้นว่า หากเรานำกลับมาใช้ซ้ำเพื่อใส่น้ำดื่ม หรือทิ้งขวดตากแดดไว้นานๆ สาร DEHA (diethyl hydroxylamine) ซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งที่ผสมอยู่ในเนื้อขวดพลาสติกนั้น สามารถออกมาปนเปื้อนกับน้ำในขวดได้จนทำให้ใครต่อใคร ไม่แน่ใจในความปลอดภัยและพากันใช้แล้วทิ้งขวดน้ำเหล่านั้นไปอย่างน่าเสียดาย

       ขวด PET ที่เราใช้กันมากมายทุกวันนี้ ทำจาก พลาสติกโพลีเอทีลีนเทอเรพทาเลท (Polyethylene Terephthalate) หรือ PET ซึ่งเป็นพลาสติกมีความโปร่งใส แข็งแรงทนทาน เหนียว ไม่แตกง่าย สามารถป้องกันการซึมผ่านของก๊าซ (Gas) ได้ดี และทนต่ออุณหภูมิได้ไม่เกิน 70 ถึง 100 องศาเซลเซียส ปัจจุบัน เรามักนำไปใช้เป็นขวดบรรจุน้ำอัดลม น้ำดื่ม น้ำมัน น้ำมันพืช น้ำปลา น้ำยาบ้วนปาก กล่องขนม ฯลฯ เนื่องจากมีความใสที่ใกล้เคียงกับขวดแก้วแต่มีน้ำหนักเบาและมีราคาที่ถูกกว่าแก้ว พลาสติกชนิดนี้จึงได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง

         หลายสถาบันได้ออกประกาศยืนยันความปลอดภัยในการใช้งาน ขวด PET อาทิ สมาคมพลาสติกสหรัฐอมเริกา (The America Plastics Council) ยืนยันว่า “วัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตขวด PET ไม่มีสาร DEHA เป็นสารประกอบ” ส่วนองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา (The US Food and Drug Administration)และองค์กรด้านความปลอดภัยทางอาหาร (Food Safety Authority) แห่งประเทศนิวซีแลนด์ ก็ออกมายืนยันแล้วว่า “ขวด PET ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยของภาชนะบรรจุอาหาร” เช่นกัน ซึ่งสอดคล้องกับ การศึกษาของสถาบันวิทยาศาตร์ธรรมชาติแห่งสหรัฐอเมริกา (Institutional Life Sciences Institute) ที่กล่าวว่า“ระดับความเป็นไปได้ที่สารปนเปื้อนจะแพร่ออกจากขวด PET ต่ำกว่ามาตรฐานด้านความปลอดภัยที่กำหนดไว้ และปริมาณของสารปนเปื้อนก็ต่ำกว่าระดับที่จะก่อให้เกิดผลทางพิษวิทยา”

       จากคำยืนยันที่กล่าวมา คงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้บริโภคอย่างเราๆ ท่านๆ ถึงความปลอดภัยในการใช้ซ้ำขวด PET กันได้มากขึ้น ซึ่งนอกจากจะช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าตังค์กันได้โขแล้ว ถือว่าเรายังจะเป็นอีกแรงที่ได้ช่วยรักษาทรัพยากรและสภาพแวดล้อมที่ดีให้กับโลกของเราใบนี้อีกด้วย



ขอขอบคุณ : ข้อมูลองค์ความรู้ "สภาวิศวกร" และ สาระดี @ plus.google
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #209 เมื่อ: กันยายน 21, 2012, 07:39:12 PM »

อย่าไว้ใจทาง อย่าวางใจโฟม! 






หลายคนรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ใช้ภาชนะโฟมใส่อาหารไม่เหมาะสม ใส่อะไร ใส่อย่างไร เสี่ยงรับสารก่อมะเร็ง

 

หากมีการสำรวจพฤติกรรมของคนยุคนี้ด้วยคำถามว่า

“เคยทานอาหารที่บรรจุในกล่องโฟม หรือถ้วยโฟม กันไหมคะ?”

เชื่อว่าในร้อยคน จะมีผู้ตอบว่า เคยกันเกินครึ่งแน่ๆ และเผลอๆอาจเกือบทั้งหมดเลยด้วยซ้ำ เพราะคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเจ้าภาชนะที่ทำจากโฟมนี้ มีอิทธิพลกับมนุษย์ยุคเรากันมากจริงๆ

อาจเพราะผู้ประกอบธุรกิจอาหารในยุคปัจจุบัน เห็นว่าภาชนะบรรจุอาหารที่ทำจากโฟมนั้นราคาไม่สูง สะดวกในการซื้อหา น้ำหนักเบา ใช้แล้วทิ้งได้เลย ไม่ต้องตามกลับมาล้างให้วุ่นวาย จึงเป็นที่นิยมแพร่หลายตั้งแต่แผงลอย รถเข็น ร้านอาหาร ไปถึงตามนิทรรศการ งานแฟร์ต่างๆ ทั้งในรูปของจาน กล่อง ถ้วยกาแฟโฟม กระทั่งถาดโฟมใส่เนื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต

ด้วยการขาดความรู้หรือข้อมูลด้านความปลอดภัยของอาหารที่ไม่ดีพอของผู้ประกอบการ แม่ค้าพ่อค้าขายอาหารและผู้บริโภคในบ้านเรา จึงทำให้ภาชนะโฟมถูกนำมาใช้บรรจุอาหารผิดประเภท และมีความเสี่ยงสูงในการเกิดพิษสะสมในร่างกายของผู้บริโภค

โดยปกติแล้วกล่องโฟม ถ้วยโฟมประเภทนี้ ส่วนใหญ่จะทำมาจากพลาสติกขนิดที่มีชื่อว่า โพลีสไตรีน โฟม (Polystyrene Foam หรือ PS foam หรือ Styrofoam) ค่ะ ซึ่งเป็นสารโพลิเมอร์ (polymer) จำพวกหนึ่ง

กรรมวิธีผลิตก็คือ เอา PS foam นั้นไปผ่านการให้ความร้อนด้วยไอน้ำ จากนั้นจะถูกนำไปรีดให้เป็นแผ่น เรียกว่า แผ่นโพลิ-สไตรีน โฟม (Polystyrene Paper Foam หรือย่อว่า PSP) ก่อนที่จะนำไปขึ้นรูปเป็นภาชนะบรรจุอาหารรูปร่างต่างๆ ตามต้องการ อย่างที่เราเห็นๆ และใช้กันอย่างหลากหลายในท้องตลาดอยู่ทุกวันนี้

ถ้าถามว่า มีอาหารประเภทไหนที่นำไปบรรจุในภาชนะโฟม แล้วจะเกิดอันตรายบ้าง?

คำตอบคือ หากใช้บรรจุอาหารที่มีอุณหภูมิสูง หรือที่เรียกง่ายๆว่า อาหารร้อนๆ รวมทั้งอาหารที่มีไขมันหรือแอลกอฮอล์ จะทำให้เกิดการปลดปล่อยสารสไตรีน (styrene) ออกมา ซึ่งสารนี้เป็นสารก่อมะเร็งชนิดหนึ่ง ในร่างกายมนุษย์และสัตว์ ออกมาปะปนกับอาหารที่เราทาน โดยที่เรามองไม่เห็น และไม่รู้ตัว

ซึ่งปริมาณของสารสไตรีนที่หลุดออกมาปะปนในอาหาร จะขึ้นกับสามปัจจัยหลักได้แก่ 1.อุณหภูมิของอาหารที่บรรจุ 2.ปริมาณไขมันในอาหาร และ 3.ระยะเวลาที่ภาชนะโฟมสัมผัสอาหาร

หลักการคือ สารดังกล่าวจะละลายได้ดีในน้ำมันและแอลกอฮอล์ ดังนั้นเมื่อใช้ภาชนะโฟมบรรจุอาหารที่มันๆทั้งหลาย ยิ่งถ้าเป็นของปรุงใหม่ๆร้อนๆ แล้วมีการตักหรือบรรจุ ทิ้งให้อาหารสัมผัสกับภาชนะโฟมเป็นเวลานานด้วยแล้ว ยิ่งมีการปลดปล่อยสารสไตรีนออกมาสู่อาหารได้มากขึ้น

ไม่แต่เฉพาะของร้อน แม้แต่อาหารที่เป็นของแข็งที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน หรือ เนยแข็งที่บรรจุอยู่ในถาดโฟมในซุปเปอร์มาร์เก็ตเอง ก็ถูกปนเปื้อนด้วยสารสไตรีนจากถาดโฟมที่บรรจุอยู่ได้เช่นเดียวกัน

ไม่เพียงแค่ต้องระวังการใช้โฟมกับอาหารเท่านั้นนะคะ เนื่องจากส่วนผสมบางอย่างในเครื่องดื่ม เช่นแอลกอฮอล์ หรือกรดในชามะนาวเอง ก็มีผลให้การละลายของ สารสไตรีนลงสู่อาหารที่บรรจุอยู่ได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

ทราบข้อมูลกันแบบนี้แล้ว คงไม่แปลกใจว่าทำไมคนยุคเราถึงมีอัตราการป่วยเป็นมะเร็งกันมาก เพราะมีความเสี่ยงอยู่ใกล้ตัว และรอบตัวแบบนี้เอง จึงขอแนะนำให้ทุกท่านหลีกเลี่ยงเสียตั้งแต่วันนี้ เพื่อชีวิตที่ยืนยาวและสุขภาพดีของท่านเอง

อย่าลืมนะคะว่า You are what you eat ทานอะไรก็จะส่งผลให้ร่ายกาย เจ็บป่วยได้ตามของที่เราทานกันนั่นแหละคะ ด้วยความเป็นห่วงนะคะ พบกันวันศุกร์หน้า ในสาระดีๆกับมุมสุขภาพคะ.

"PrincessFangy"
twitter.com/PrincessFangy

ข้อมูลบางส่วนอ้างอิงมาจากเว็บไซต์ภาควิชาเภสัชเคมี คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร http://www.pharm.su.ac.th
[/size]

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: