Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75318 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 9 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #210 เมื่อ: กันยายน 21, 2012, 07:41:25 PM »

7 โรคจากการกินที่ "คนบ้านรวย" ควรระวัง! 

 


"บ้านรวยทำอะไรไม่ผิด"
เป็นวลีที่พูดปนเสียดสีให้แสบๆ คันๆ นิดหน่อย ซึ่งบ่อยครั้งที่ไม่จริงเสมอไป โดยเฉพาะในเรื่องสุขภาพที่ความรวยอาจไม่ได้ส่งผลให้ทำอะไรๆ ก็ไม่ผิด แต่อาจเป็นการทำผิดมากขึ้นก็เป็นได้

ความน่าสนใจของวลีข้างต้น นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ American Board of Anti-aging medicine เปิดเผยให้ฟังว่า เรื่องดังกล่าวนี้ทำให้บางคนกลัวมาก จนกลายเป็นคนเลือกกิน ซึ่งนับวันยิ่งมีให้เห็นมากขึ้น รวมทั้งหลากลัทธิสุขภาพก็ช่วยกัน "อวย" ให้งดกินของดีๆ อาทิ นมวัว มะเขือเทศ เนื้อสัตว์ และอื่นๆ ทั้งที่การเลือกกิน กับการกินเป็น หรือกินถูกนั้นต่างกันลิบลับ

"ถ้าจับเรื่องนี้มาวางแล้ว ก็เหมือนเด็กแว้นกับเด็กไทยใส่จุก ซึ่งเกี่ยวกับระดับความลึกของกระเป๋าอยู่เหมือนกัน ดูง่ายๆ ใครที่กระเป๋าลึก และสายป่านยาวมาก ก็มักมีทางเลือกมากกว่า เลยเลือกเสียให้สมใจ ใช้ทั้งยา อาหารเสริม เติมด้วยอาหารแพงที่คิดว่าดี ทั้งที่ไม่เป็นอย่างนั้นเสมอไป และฝังใจว่าต้องกินแต่อาหารสดเสมอ ถึงจะปลอดภัย ทั้งหมู เห็ด เป็ด ไก่ แต่กลับไม่ช่วยลดโรคภัยไข้เจ็บในคนรวยได้เลย มิหนำซ้ำกลับมากขึ้นจนถูกเผยว่าเป็นโรคคนรวยด้วยซ้ำ" นพ.กฤษดากล่าวเสริม

และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ คนบางคนยิ่งรวย แต่ทำไมกลับถูกโรคภัยรุมเร้า ซึ่งเรื่องนี้ นพ.กฤษดา มองว่า อาจเป็นเพราะความรวยไม่ได้ช่วยรับประกันด้านสุขภาพ แต่อยู่ที่ใครจะจับหลักได้มากกว่ากัน ซึ่งไม่ควรไปโทษอาหารรอบๆ ตัว แต่ควรพุ่งเป้ามาที่ตัวเราจะดีกว่า

"ความรวยเงินพร้อมรวยโรค ไม่ว่าอาชีพใดก็เกิดได้ แม้ในอาชีพบุคลากรด้านสาธารณสุขเองก็ตาม ที่กินดีอยู่ดี ประชุมไปกินเลี้ยงไป ทั้งอาหารกินเล่น กินจริง นอกจากนี้ยังมีภาวะกลับตาลปัตรเกิดขึ้นได้ คือคนไม่รวยก็มีสิทธิ์อ้วนได้ถ้าไม่รู้จักกิน"

ส่วนสาเหตุที่ว่าความอ้วนผอมเกี่ยวกับเศรษฐานะนั้น ได้มีกล่าวไว้อย่างละเอียดใน Agenda ของ Healtheconomics ซึ่งบ่งชี้ไว้ชัดว่าเกี่ยวพันกับการควบคุมตนเองและวินัยในใจด้วย


ดังนั้น ถ้ารวยแล้วแต่ไม่ดูแลตัวเองจะมีสิทธิ์รับโรคอะไรบ้าง คุณหมอคนเดียวกันนี้ได้แจกแจงไว้ 7 โรคดังนี้ต่อไปนี้

1. โรคอ้วน การกินดีอยู่ดีมักตีคู่มากับความรวยแต่ไม่อำนวยสุขภาพเพราะต้องคอยวิ่งเข้าออกโรงพยาบาลเป็นประจำ สุขภาพดีกับความรวยจึงกลายเป็นเส้นขนานที่ไม่มาพานพบกัน แต่ถ้ารวยแล้วคิดว่าอยากจะอยู่รวยต่อไปได้กินของอร่อยนานๆ ก็ต้องยอมทานแบบไม่รวยคือ "ทานจน" แล้วจะรวยสุขภาพดีตามมา

2. น้ำตาลพุ่ง เมื่อมีเงินก็มีความเสี่ยงที่จะตามใจปาก โดยเฉพาะความหวาน เห็นได้จากคนรวยหลายคนที่มีความเชื่อแบบผิดๆ ว่าถ้ามีเงินจะทำอะไรก็ได้ ซึ่งความคิดนี้เสี่ยงต่อการทำลายสุขภาพมาก ถ้าเกิดความอยากก็หาของใส่ปาก แล้วเอาเงินซื้อยากินทีหลังหรือไปนั่งสวยเข้าคอร์สสปา

3. ไขมันไม่รุ่ง คือมีไขมันดีต่ำ ซ้ำไขมันเลวยังขึ้นเอา ๆ โรคคนรวยแท้ ๆ เพราะแค่ยาลดไขมันเม็ดหนึ่งตั้งหลายสิบบาท ยิ่งกินยาเข้าไป ก็ยิ่งทำลายตับ แถมปวดกล้ามเนื้อ แต่ถ้าเปลี่ยนการใช้เงินแล้วนำไปซื้อ เส้นใย (Fiber) มารับประทานบ้าง ก็จะช่วยล้างไขมันได้ อาทิ รำข้าวโอ๊ต ซึ่งมีขายสำเร็จรูปหรือถั่วมันๆ ที่อุดมด้วยใยละลายน้ำ (Soluble fiber) ก็สามารถช่วยได้

4. ความดันยุ่ง เมื่ออ้วนจัดก็จะวัดความดันได้สูงตามกฎฟิสิกส์ที่ว่าแรงดันน้ำ(เลือด) จะสูงขึ้นเมื่อพื้นที่หน้าตัดเล็กลง สำหรับคนรวยเมื่อเริ่มเพลินลิ้น กินแบบเทกระเป๋าแล้วก็มักตามมาด้วยการติดรสที่ต้องปรุงให้ติดลิ้น ซึ่งนานเข้าก็อาจติดโรคเข้ามาแถมด้วย โดยเฉพาะความดันที่เกิดจากการปรุงกันมากเกินไป ขอให้ลองกินอาหารแบบไม่ปรุงให้ได้บ่อยขึ้น หาความสุขจากรสธรรมชาติที่เขาทำมาสำเร็จแล้วบ้างจะช่วยลดเสี่ยงความดันได้เป็นอย่างดี

5. สมาธิสั้น เกิดขึ้นได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะในของกินหลากหลายที่ใส่สารกันบูดนั้นทำให้ความจำสั้นลง เพราะมีกรดเบนโซอิก,ซัลไฟต์ และสารให้สี ปะปนอยู่ด้วย

6. หยุดหายใจขณะหลับ คนรวยมักต้องมีกิจวัตรออกงานสังคมเป็นประจำ กว่าจะเลิกก็ดึกดื่น และเมื่อเพลียก็จะหิว หิวก็ต้องกิน ทั้งกินดึก นอนดึก บ่อยๆ ลำตัวก็จะยิ่งพองเหมือนถูกสูบลม เวลาหายใจเหมือนจมไขมันตัวเองโดยเฉพาะเวลานอนเป็นช่วงอันตรายที่ต้องจับตา ส่วนในเด็กเล็กจะทำให้การเรียนแย่ลง ขณะที่ผู้ใหญ่อาจมีโรคเก่ากำเริบได้จนถึงหลับในยามขับรถ

7. ภูมิแพ้ ลำพังแค่อ้วนก็แย่พอตัวอยู่แล้ว แต่ความรวยนั้นอาจนำโรคภูมิแพ้มาให้ด้วยเพราะคนรวยที่ “เลือกกิน” นั้นใช่ว่าจะดีเสมอไป การ "กินถูก" ดูจะมีภาษีมากกว่าเพราะว่ายิ่งเลือกกินก็ยิ่งทำให้ภูมิในร่างกายอ่อนแอไม่ได้สัมผัสกับสารกระตุ้นภูมิแพ้บ้างนิดๆ หน่อยๆ ต้องคอยกินแต่ยา ซึ่งมีทั้งสเตียรอยด์และยาฆ่าเชื้อที่ทำให้ยิ่งดื้อยาและภูมิในร่างกายต่ำลงเรื่อยๆ กลายเป็น "อ้วนจากยา"

เห็นได้ว่า "ความรวย" มีส่วนกระตุ้นให้ป่วยได้ ถ้าไม่ระวังให้ดี ยิ่งรวยมาก ยิ่งเจริญอาหารมาก ซึ่งเป็นความรวยพ่วงด้วยโอษฐภัย ดังนั้น การที่มีเงินไม่ได้เชิญสุขภาพดีมาอยู่กับตัวเสมอไป แต่ถ้ารู้จักใช้ และมีระเบียบในใจตัวเองก็ไม่น่ากังวลมากนัก แม้จะมีอาหารรายล้อมอยู่ตรงหน้า แต่ทว่าคนรวยที่ "รวยคิด" ก็จะยับยั้งชั่งใจ และอยู่กินบนโลกนี้ไปอีกนาน


 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #211 เมื่อ: กันยายน 23, 2012, 02:24:13 PM »

ที่สุดในโลกที่มนุษย์สร้างขึ้น

1. สิ่งก่อสร้างที่ใหญ่ที่สุด....พีระมิด เมืองกิซ่า ประเทศอียิปต์
2.สิ่งก่อสร้างที่ใช้เวลานานที่สุด....หอเอนเมืองปิซา ประเทศอิตาลี (ใช้เวลาสร้าง 176 ปี
3.สิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในโลก....เสาอากาศวิทยุวาร์สซาวา   ในโปแลนด์   มีความสูง 646 เมตร
4.พระราชวังที่สวยงามที่สุด....พระราชวังแวร์ซายส์ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
5.หอคอยเหล็กที่สูงที่สุด....หอไอเฟล กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส
6.หอที่สร้างด้วยเหล็กที่สูงที่สุดในโลก....หอเอ็นซีทาวเวอร์   ในศูนย์การค้าเมโทรที่กรุงโตรอนโต   ประเทศแคนาดา  สูง 553.34  เมตร
7.วัดในพุทธศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก....วัดบุโรพุทโธ  ที่ประเทศอินโดนีเซีย
8.เจดีย์ที่เก่าแก่ที่สุด....เจดีย์ชเวดากอง เมืองย่างกุ้ง ประเทศเมียนม่า
9.เจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก.....พระปฐมเจดีย์ จ.นครปฐม ประเทศไทย
10.ตึกที่สูงที่สุด....ตึกเซียร์ทาวเออร์ เมืองชิคาโก สหรัฐอเมริกา
11.ตึกที่ใหญ่ที่สุด....ตึกเพนตากอน กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา (ปัจจุบัน พังทะลายไปแล้ว)
12.หอสมุดที่ใหญ่ที่สุด....หอสมุดสภาอเมริกา กรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา
13.หอดูดาวที่ใหญ่ที่สุด....หอดูดาวปาโลมา สหรัฐอเมริกา
14.หอนาฬิกาที่ใหญ่ที่สุด....หอนาฬิกาบิกเบน กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
15.พิพิธภัณฑ์ที่ใหญ่ที่สุด....British Museum ประเทศอังกฤษ และ American Museum of Natural History กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
16.หอประชุมที่ใหญ่ที่สุด....หอประชุมองกรค์หประชาชาติ กรุงนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา
17.ท่าเรือที่ใหญ่ที่สุด....ท่าเรือนิวยอร์ค กรุงนิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา
18.ท่าเรือที่มีทัศนียภาพสวยงามที่สุด....ท่าเรือนครซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย
19.ท่าอากาศยานที่ใหญ่ที่สุด....ท่าอากาศยานคิงคาลิดอินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศซาอุดิอาระเบีย
20.ปราสาทที่ใหญ่ที่สุด....ปราสาทวินเซอร์ ประเทศอังกฤษ
21.เขื่อนที่สูงที่สุด....เขื่อนโบลเดอร์ฮูเวอร์ สหรัฐอเมริกา
22.เขื่อนที่ใหญ่ที่สุด....เขื่อนซันเสีย กั้นเเม่น้ำเเยงซี ในสาธารณรัฐประชาชนจีน


อุโมงที่ยาวที่สุด....อุโมงรถไฟไซกัน (Seikan Rail Tunnel) ประเทศญี่ปุ่น ยาว 33-46 ไมล์
อุโมงที่กว้างที่สุด....อุโมงผ่านเกาะเยอร์บา บูนา (Yerba Buena) รัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา กว้าง 76 ฟุต
ถนนที่กว้างที่สุด....ถนนมานูเมน ตัลแอกซิส ประเทศบราซิล
สะพานที่ยาวที่สุด....สะพานฮัมเบอร์ ประเทศอังกฤษ ยาว 4,626 ฟุต
สะพานที่กว้างที่สุด....สะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์ กว้าง 160 ฟุต
เรือโดยสารที่ใหญ่ที่สุด....เรือควีนอลิซซาเบธที่ 2 ของประเทศอังกฤษ
เครื่องบินโดยสารที่ใหญ่ที่สุด....เครื่องบินจัมโบ้เจ็ต โบอิ้ง 747
สนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุด....สนามกีฬาสตราฮอฟ กรุงปราก ประเทศสาธารณรัฐเช็ค
เทวสถานที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย....นครวัด ประเทศกัมพูชา
พระราชวังที่ใหญ่ที่สุด....พระราชวังอิมพีเรียล (Imperial Palace) กรุงปักกิ่ง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน มีเนื้อที่ 177.9 เอเคอร์
สถานทูตที่ใหญ่ที่สุด....สถานทูตของสหภาพโซเวียต ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน
หอคอยที่สูงที่สุด....หอคอยซีเอ็นทาวเออร์ หรุงโตรอนโต ประเทศแคนาดา
โรงแรมที่ใหญ่ที่สุด....โรงแรมเอกซ์คาลิเบอร์ รัฐเนวาดา สหรัฐอเมริกา
บ้านที่ใหญ่ที่สุด....บ้านบิลท์มอร์ รัฐนอร์ธแคโรไลนา สหรัฐอเมริกา มี 250 ห้อง
สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุด....สวนสนุกดิสนีย์เวิลด์ รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา
ภัตตาคารที่ใหญ่ที่สุด....ภัตตาคารตำหนักไทย กรุงเทพ ประเทศไทย
กำแพงที่ยาวที่สุด....กำแพงเมืองจีน
ทางรถไฟที่ยาวที่สุด....ทางรถไฟสายทรานส์ไซบีเรีย จากเมืองมอสโกไปถึงเมืองวลาดิวอสต็อก ประเทศรัสเซีย ยาว 5864.5 ไมล์
อนุสาวรีย์ที่สูงที่สุด....อนุสาวรีย์โค้ง สหรัฐอเมริกา สูง 630 ฟุต
มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุด....มหาวิทยาลัยคารูอีน ประเทศโมร็อกโก
ปืนที่ใหญ่ที่สุดในโลก....ปืนใหญ่ซาร์ปุชก้า (ราชาแห่งปืนใหญ่) อยู่ในกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #212 เมื่อ: กันยายน 25, 2012, 08:29:03 PM »

5 วิธีเพิ่มการเผาผลาญในวัย 40 up



การลดน้ำหนักสำหรับสาวแรกรุ่นดูจะเป็นเรื่องไม่ยากเย็นนัก เพราะระบบเผาผลาญของสาว ๆ ยังทำงานได้ดีมีประสิทธิภาพอยู่ แต่ถ้าอายุเหยียบเลข 4 แล้วล่ะก็ ระบบเผาผลาญจะเริ่มทำงานช้าลงไปเรื่อย ๆ

                  ถ้าอายุเหยียบเลข 4 แล้วล่ะก็ ระบบเผาผลาญจะเริ่มทำงานช้าลงไปเรื่อย ๆ และถ้าคุณอยู่ในกลุ่ม 40Up แล้ว ต้องเร่งระบบการเผาผลาญให้ตัวเองได้แล้วล่ะ ด้วย 5 วิธีที่เราขอเสนอ

          1.ทานให้พอดี

                 รู้ไหม? หากคุณรับประทานอาหารน้อยกว่า 1,000 แคลอรี่ต่อวัน หรือเน้นแต่การไดเอตมากเกินไป นั่นจะยิ่งทำให้ระบบการเผาผลาญทำงานช้าลง เพราะอะไรน่ะหรือ? ก็เพราะร่างกายจะพยายามเก็บพลังงานเอาไว้ให้คุณนั่นไงล่ะ เพราะฉะนั้น ขอแนะนำให้คุณสาว ๆ วัย 40 อัพ พยายามทานอาหารมื้อย่อย ๆ บ่อย ๆ ซึ่งมันจะช่วยเร่งอัตราเมตาบอลิซึ่มให้คุณได้ ที่สำคัญ ควรเลือกทานอาหารที่ไม่ใช่อาหารแปรรูป เช่น ข้าวกล้อง ผักสีเขียว ผลไม้สด หรือโปรตีนที่ปราศจากไขมัน (Lean Protein) เช่น อกไก่ ไข่ขาว ปลา

         2.จำไว้! อาหารเช้าสำคัญมาก ๆ

              หากต้องการเร่งระบบเมตาบอลิซึ่ม คุณควรจะทานอาหารเช้าภายใน 2 ชั่วโมง หลังจากลุกจากที่นอน เพราะอาหารมื้อนี้แหละที่จะช่วยเติมพลังให้คุณไปทั้งวัน แนะนำให้เน้นการทานโปรตีน เช่น ไข่ขาว และผลไม้ อย่างเช่น เกรปฟรุต ซึ่งจะช่วยเติมพลังงานให้คุณเพียงพอที่จะทำงานได้อย่างสดชื่นทั้งวัน

        3.เติมโปรตีนในทุกมื้อ

             โปรตีนนี่แหละคือสารอาหารสำคัญที่สาว ๆ วัย 40 อัพ ไม่ควรมองข้าม เพราะมันจะช่วยทำให้คุณอิ่มไปได้นาน แถมยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย ได้ยินแบบนี้ สาว ๆ หลายคนอาจจะดีใจคิดจะทานเบคอน ไส้กรอก อย่างอิ่มหมีพีมันล่ะสิ หยุด! โปรตีนที่เราบอกหมายถึงโปรตีนจากถั่ว และอาหารประเภทนมจากโยเกิร์ตต่างหากล่ะ

       4.เคลื่อนไหวเยอะ ๆ

            อย่าลืมนะจ๊ะว่าคุณไม่ใช่สาวแรกรุ่นแล้ว หากคุณยังทำตัวเหมือนสมัยสาว ๆ นั่ง ๆ นอน ๆ วัน ๆ ทำแต่งาน โดยไม่ลุกไปไหน หรือไม่ออกกำลังกายเลย งานนี้ คุณแย่แน่ ๆ ค่ะ เพราะเมื่ออายุขึ้นเลข 4 แล้ว ร่างกายของคุณจะทำงานแตกต่างไปจากเดิม ระบบเผาผลาญทำงานน้อยลงกว่าเดิมมาก แต่การออกกำลังกายนี่แหละที่จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ยังช่วยทำให้คุณรู้สึกแข็งแรงขึ้นด้วย ถ้าคิดไม่ออกว่าจะออกกำลังกายแบบไหนดี การเต้นแอโรบิก หรือเดินไกล ๆ ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจค่ะ

      5.จิบชาเขียวทุกวัน

           ออกกำลังกายกันไปแล้ว ลองมาเพิ่มอัตราการเผาผลาญด้วยอาหารกันบ้างดีกว่า โดยมีผลวิจัยออกมาว่า ชาเขียว คือตัวเลือกที่ดีสำหรับคนที่อยากเพิ่มประสิทธิภาพของการเมตาบอลิซึ่ม เพราะมันประกอบด้วยสาร Epigallocatechin หรือ EGCG ซึ่งเป็นสารกลุ่มคาเทชิน ที่ช่วยกระตุ้นระบบการเผาผลาญ และยังช่วยลดน้ำหนักด้วย

          นอกจากนี้ กาเฟอีนในชาเขียวยังจะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนกลางให้ไปเผาผลาญไขมันในร่างกายได้มากขึ้นด้วย แต่กาเฟอีนในชาเขียวนี้ไม่มีผลต่อการทำให้คุณนอนไม่หลับหรอกนะ เพราะฉะนั้น อย่าลืมจิบชาเขียวทุก ๆ วันนะคะ

          สาว ๆ ทุกวัยล้วนต้องดูแลสุขภาพตัวเองทั้งนั้น สาว ๆ วัยกลางคนก็เช่นกัน ถ้าอยากผอมหุ่นดีเหมือนสมัยวัยรุ่นล่ะก็ ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นเป็นสองเท่าเลยนะ


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #213 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:24:43 PM »

ทานอาหารไขมันสูงทำให้เด็กหญิงเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเมื่ออายุมากขึ้น



ทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันพบหลักฐานที่โยงความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมกับโภชนาการของเด็กหญิิงวัยรุ่น


จากการศึกษาเรื่องนี้ในหนูทดลองที่มหาวิทยาลัย University of California Davis


คุณรัส โฮวี่ หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าทีมวิจัยศึกษาพัฒนาการของหนูทดลองตัวเมียที่ระบบการสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนถูกบล็อกไม่ให้ทำงาน ฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่มีบทบาทในพัฒนาการทางเพศของผู้หญิง รวมทั้งการเติบโตของเต้านม ในการทดลอง หนูตัวเมียไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเพศหญิงได้


หลังจากนั้นนักวิจัยให้หนูทดลองกินอาหารที่มีระดับแคลอรี่สูง เป็นอาหารทีมีกรดไขมันชนิด 10 และ 12 ซีแอลเอ อาหารที่มีกรดไขมันทั้งสองอย่างในปริมาณสูงทำให้หนูเริ่มพัฒนาอาการก่อนเป็นโรคเบาหวาน คือ เริ่มมีความผิดปกติในระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย มีระดับน้ำตาลในเลือดสูง น้ำหนักตัวเพิ่ม


ระดับคอเลสเตอรอลในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมากและมีความดันโลหิตสูงตามมา


คุณโฮวี่ หัวหน้าทีมวิจัยกล่าวว่าอาหารที่มีกรดไขมันสูงยังไปกระตุ้นให้เต้านมหนูทดลองโตขึ้นทั้งๆที่ระบบผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกายหนูทดลองจะถูกควบคุมไม่ให้ผลิตฮอร์โมนก็ตาม


คุณโฮวี่ กล่าวว่าสิ่งที่การวิจัยพบแสดงให้เห็นว่าอาหารที่มีกรดไขมันบางชนิดในระดับสูงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย แต่ที่สร้างความแปลกใจแก่ทีมงานมากที่สดุคือการค้นพบว่าแม้หนูทดลองตัวเมียจะไม่สามารถสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจน เต้านมของหนูยังโตขึ้น


นอกจากนี้นักวิจัยพบว่าอาหารที่มีไขมันสูงทำให้หนูทดลองบางตัวยังเกิดก้อนเนื้อในเต้านมด้วย แต่เนื่องจากไม่ได้เกิดกับหนูทดลองทุกตัว นักวิจัยสงสัยว่าพันธุกรรมน่าจะมีบทบาทที่ทำให้หนูทดลองบางตัวเกิดมะเร็งในเต้านม


ผลการวิจัยนี้ทำให้ทีมงานเชื่อว่าอาหารที่มีกรดไขมันบางอย่างสูง มีผลให้เด็กผู้หญิงวัยรุ่นเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและโรคอื่นๆเมื่ออายุมากขึ้น


คุณโฮวี่ กล่าวกับผู้สื่อข่าววีโอเอว่าเช่นเดียวกับโรคเบาหวานชนิดที่สองที่เกิดจากอาหาร ที่อาจจะมีผลให้เกิดความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้น โดยไม่เกี่ยวพันกับฮอร์โมนเอสโตรเจน


โรคเบาหวานประเภทสองที่เกิดจากการโภชนาการที่ไม่สมดุลกลายเป็นปัญหาสุขภาพของคนทั่วโลกในปัจจุบัน ผลการวิจัยของทีมนักวิทยาศาสตร์อเมริกันครั้งนี้ชี้ว่าโรคมะเร็งเต้านมกำลังกลายเป็นปัญหาที่ตามมาติดเพราะเชื่อว่าเป็นผลสืบเนื่องจากโรคเบาหวานประเภทที่สอง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #214 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:26:16 PM »

ดูแลฟันอย่างไร ในช่วงจัดฟัน





การจัดฟันเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ช่วยให้ฟันของคุณดูเรียงตัวสวยได้รูปขึ้น แต่หากจำเป็นต้องจัดฟันแล้วขาดการดูแลฟันอย่างถูกวิธีแล้วล่ะก็ ปัญหาเรื่องสุขภาพช่องปากคงต้องตามมาอีกเป็นขบวนแน่

การแปรงฟัน
การมีลวดจัดฟันจะทำให้แปรงฟันได้ยากขึ้น จึงควรเพิ่มเวลาในการแปรงฟันแต่ละครั้งให้นานขึ้นและแปรงบ่อยขึ้น อย่างน้อยวันและ 3 ครั้งหลังทานอาหาร

แปรงบริเวณ Brocket และลวดจัดฟัน วางขนแปรงบน Bracket ขยับและหมุนขนแปรงวนรอบ ๆ เหล็กจัดฟัน ในช่วงสั้น ๆ อย่างน้อย 5 ครั้งต่อซี่

แปรงด้านนอกของฟัน วางขนแปรงที่บริเวณคอฟันให้ขนแปรงจรดขอบเหงือกและทำมุม 45 องศากับแนวแกนฟัน ขยับขนแปรงไปมาในช่วงสั้น ๆ และปัดขนแปรงไปยังปลายฟัน

แปรงด้านในของฟัน วางขนแปรงที่บริเวณคอฟันทางด้านในของฟันให้ขนแปรงจรดระหว่างขอบเหงือกและคอฟัน ขยับขนแปรงไปมาในช่วงสั้น ๆ และปัดขนแปรงไปยังปลายฟัน

แปรงด้านบดเคี้ยว วางขนแปรงบนด้านบดเคี้ยว ขยับแปรงเข้าออกตามแนวฟันกราม เพื่อทำความสะอาดด้านบดเคี้ยวของฟัน

การใช้ไหมขัดฟัน
การแปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่สามารถทำความสะอาดบริเวณซอกฟันได้อย่างสมบูรณ์ จึงควรใช้ไหมขัดฟัน (Dental floss) ช่วยทำความสะอาดด้วย โดยใช้ Floss threader ซึ่งมีลักษณะคล้ายเข็มพลาสติกช่วยนำไหมขัดฟันสอดใต้ลวดดัดฟัน จากนั้นใช้ส่วนที่เป็นไหมขัดฟันถูฟันไปมา เพื่อขจัดคราบพลัคใต้ลวดดัดฟันและร่องเหงือกระหว่างฟันแต่ละซี่

การใช้แปรงซอกฟัน
แปรงซอกฟันจะสามารถเข้าไปทำความสะอาดซอกฟันและบริเวณใต้ลวดจัดฟันได้ ควรสอดหัวแปรงเข้าใต้ลวดระหว่างซอกฟัน และหมุนขยับเบา ๆ
 
 


ขอบคุณ : สาระดี @ plus.google และ APPEAL

 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #215 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:30:27 PM »

น้ำเกลือ คืออะไร ?



หลายคนสงสัยว่า น้ำเกลือ คือ อะไร ใช่น้ำผสมกับเกลือหรือไม่

จริงๆ แล้วน้ำเกลือนั้นมีองค์ประกอบเกลือแร่ต่างๆ เช่น โซเดียม คลอไรด์ ไบคาร์บอนเนต ฟอสเฟตบางชนิดจะมี โพแตสเซียม น้ำตาล ในปริมาณสัดส่วนต่างๆกัน ขึ้นกับชนิดของน้ำเกลือ โดยที่น้ำเกลือมีหลายชนิดแต่ละชนิดก็ความเข้มข้นต่างกัน

ชนิดของน้ำเกลือ ที่ใช้บ่อยได้แก่

1. นอร์มัลซาไลน์ (Normal saline solution/NSS)

หมายถึง น้ำเกลือเกลือธรรมดาที่มีความเข็มข้น 0.9% ซึ่งเท่ากับกับความเข้มข้นของเกลือในกระแสเลือดของ

คนปกติ มีอย่างขนาด 500 มล. และ 1,000 มล.

2. 5% เดกซ์โทรส ( 5% Dextrose in water หรือ 5%D/W) หมายถึงน้ำตาลเดกซ์โทรสที่มีความเข้นข้น

5% ไม่มีเกลือแร่ผสม มีอย่างขนาด 500 มล. และ 1,000 มล.

3. 5% เดกซ์โทรสในนอร์มัลซาไลน์ (5% Dextrose in NSS หรือ 5% D/NSS) หมายถึง น้ำตาลเดกซ์โทรส

เข้มข้น 5% ผสมกับน้ำเกลือธรรมดา

4. 5% เดกซ์โทรสใน 1/3 นอร์มัลซาไลน์ (5% Dextrose in 1/3 NSS) หมายถึง น้ำตาลเดกซ์โทรสเข้มข้น

5 % ผสมกับน้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.3% (เข้มข้นเพียง 1/3 ของน้ำเกลือธรรมดา) มีอย่างขนาด 500 มล.

และ 1,000 มล.

ข้อบ่งใช้น้ำเกลือจะให้ในผู้ป่วยที่มีอาการ ดังนี้

1. ขาดน้ำ (Dehydration) เนื่องจากท้องเดิน, อาเจียนรุนแรง (เช่น กระเพาะลำไส้อุดตัน ก้อนในสมอง), หอบ

(เช่น หืด ปอดอักเสบ หลอดลมฝอยอักเสบ) ควรให้น้ำเกลือที่มี NSS ผสม เช่น NSS, 5%D/NSS, 5% D

in 1/3 NSS

2. ช็อก (Shock) เนื่องจากเสียเลือด เสียน้ำ หรือจากสาเหตุอื่น ๆ ควรให้น้ำเกลือที่มี NSS ผสมเช่นเดียวกับข้อ 1

3. หมดสติ หรือกินข้าวและน้ำไม่ได้นาน ๆ ควรให้น้ำเกลือที่มีเดกซ์โทรสผสมกับน้ำเกลือ เช่น 5%D/NSS, 5%

D in 1/3 NSS

4. น้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) เนื่องจากอดอาหารนาน ๆ, ดื่มเหล้าจัด, ใช้ยารักษาเบาหวานเกินขนาด

ควรให้น้ำเกลือที่มีเดกซ์โทรสผสม เช่น 5%D/W, 5% D/NSS, 5% D in 1/3 NSS

5. ผู้ป่วยที่อดอาหารและน้ำก่อนและหลังผ่าตัด ควรให้น้ำเกลือที่มีเดกซ์โทรสผสมกับน้ำเกลือเช่นเดียวกับข้อ 3

6. ผู้ป่วยที่ต้องฉีดยาเข้าทางหลอดเลือดดำ วันละหลาย ๆ ครั้ง เลือกให้น้ำเกลือชนิดใดชนิดหนึ่งก็ได้ โดยให้ช้า ๆ

เพียงเพื่อให้มีสายน้ำเกลือคากับหลอดเลือดดำ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการฉีดยา

ผลข้างเคียง

1. ถ้าเครื่องใช้และน้ำยาไม่สะอาด หรือเทคนิคการให้ไม่ถูกต้อง อาจทำให้เกิดการอักเสบ หรือติดเชื้อได้

2. ถ้ามีฟองอากาศ เพราะไล่อากาศจากสายน้ำเกลือไม่หมด ฟองอากาศจะเข้าไปในหลอดเลือดดำ และเข้าสู่หัวใจ

อาจเป็นอันตรายได้

3. มีอาการไข้และหนาวสั่น จากการแพ้น้ำเกลือ

4. ถ้าใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นของเกลือมากกว่าความเข้มข้นของเกลือในเลือด อาจเป็นอันตรายถึงตายได้ โดย

เฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

5. ถ้าให้น้ำเกลือมากหรือเร็วเกินไป อาจทำให้บวม มีน้ำคั่งในปอด หรือหัวใจวายถึงตายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน

เด็กเล็ก คนสูงอายุ คนที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคไตอยู่ก่อน

ข้อควรระวัง

1. ผู้ป่วยที่เป็นโรคหัวใจ โรคไตวาย หรือมีอาการบวมทั่วตัว ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ และควรหลีกเลี่ยงการใช้

น้ำเกลือที่มีความเข้นข้นของเกลือมาก เพราะอาจทำให้หัวใจวาย หรือเกิดภาวะน้ำคั่งในปอด หรือปอดบวมน้ำ

(pulmonary edema) ได้

2. ผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง ควรหลีกเลี่ยงการใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นของเกลือมาก (เช่น NSS,

5%D/NSS) ยกเว้นในรายที่มีภาวะขาดเกลือร่วมด้วย

3. ผู้ป่วยที่เป็นเด็กเล็กไม่ควรใช้น้ำเกลือที่มี NSS ผสม ควรใช้น้ำเกลือที่มีความเข้มข้นน้อย ได้แก่ น้ำเกลือที่มี

ความเข้มข้น 0.3% เช่น 5% D in 1/3 NSS

4. ควรให้น้ำเกลือเฉพาะในรายที่มีความจำเป็น (มีข้อบ่งใช้) จริง ๆ เท่านั้น น้ำเกลือไม่ใช่ยาบำรุง ยาเพิ่มเลือด

หรือยาเพิ่มแรง และก็ไม่ใช่ยาที่ใช้แทนอาหาร จึงไม่ควรใช้อย่างพร่ำเพรื่อ

5. ควรเตรียมเครื่องใช้ให้สะอาด ปราศจากเชื้อโรค และทำตามเทคนิคที่ถูกต้อง

6. ควรให้น้ำเกลือช้า ๆ หรือ น้อย ๆ ไว้ก่อน เมื่อเห็นว่าน้อยไปก็เพิ่มเติมในภายหลังได้ อย่าให้เร็วเกินไป (ยกเว้นใน

กรณีที่มีภาวะขาดน้ำรุนแรง หรือช็อก ควรให้เร็ว ๆ ใน 1-2 ชม.แรก) มิฉะนั้นอาจทำให้บวม น้ำคั่งในปอด

หรือหัวใจวายได้

7. หมั่นตรวจดูผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด (โดยเฉพาะในเด็กเล็ก คนสูงอายุ คนที่เป็นโรคหัวใจ หรือโรคไตวาย) ถ้าหากมี

อาการบวม หายใจหอบ และฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ (crepitation) แสดงว่ามีน้ำคั่งในปอด เนื่องจากให้

น้ำเกลือมากเกินไป ต้องหยุดน้ำเกลือ และฉีดยาขับปัสสาวะ เช่น ลาซิกซ์ 1-2 หลอดเข้าหลอดเลือดดำทันที

หากยังหอบอยู่ให้รีบพาไปโรงพยาบาล

8. ถ้ามีอาการหนาวสั่น ระหว่างให้น้ำเกลือ แสดงว่าผู้ป่วยแพ้น้ำเกลือ ให้ถอดเข็มน้ำเกลือออก และฉีดยาแก้แพ้ เช่น

คลอร์เฟนิรามีน 1/2-1 หลอดเข้ากล้ามทันที ถ้าจำเป็นต้องให้น้ำเกลือต่อ ควรเปลี่ยนขวดใหม่

เสริมความเข้าใจ  อาการแสดงว่าให้น้ำเกลือแล้วดีขึ้น

ผู้ป่วยที่มีภาวะขาดน้ำหรือช็อก เมื่อให้น้ำเกลือแล้วมีอาการดังต่อไปนี้ แสดงว่าอาการดีขึ้น

1. มีความรู้สึกตัวดีขึ้น พูดคุยได้ดีขึ้น หน้าตาดูอิ่มขึ้น ผิวหนังเต่งตึงขึ้น หอบน้อยลง และกระสับกระส่ายน้อยลง

2. ความดันเลือดที่เคยตก เริ่มกลับคืนสู่ระดับปกติ

3. ชีพจรที่เคยเต้นเบาและเร็ว กลับเต้นแรงขึ้น และช้าลง

4. มีปัสสาวะออกมากขึ้น โดยให้ผู้ป่วยปัสสาวะลงกระโถน หรือขวด แล้วตวงดู จะพบว่าปัสสาวะออกอย่างน้อย

1 มล.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ต่อชั่วโมง เช่น ผู้ป่วยหนัก 30 กก. ใน 1 ชั่วโมง ควรมีปัสสาวะออกอย่างน้อย 30 มล.

น้ำเกลือไม่ใช่ยาบำรุง ยาเพิ่มเลือด หรือยาเพิ่มแรง ควรใช้เมื่อยามจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #216 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:35:33 PM »

เมื่อสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในทางเดินอาหารของลูก


บ่อยครั้งที่เรามักพบ เหตุการณ์สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านเข้าไปตามทางเดินอาหาร ซึ่งเกิดได้ทั้งในเด็ก และผู้ใหญ่ หากช่วยเหลือไม่ถูกวิธีอาจทำให้เสี่ยงต่อการบาดเจ็บที่รุนแรงได้ วันนี้เราจึงมีแนวทางดีๆ ในการปฐมพยาบาลเบื้องต้น เมื่อสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในทางเดินอาหารจากโรงพยาบาลเวชธานีมาฝากกัน

เมื่อพูดถึงสิ่งแปลกปลอม หมายรวมไปถึงวัตถุ เศษวัตถุ หรือสารใดๆ ที่เข้าไปในร่างกาย และทำให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น ซึ่งที่พบได้บ่อยไม่ว่าจะในเด็ก หรือผู้ใหญ่ คือ สิ่งแปลกปลอมในปากและคอ สิ่งแปลกปลอมในหลอดอาหาร และสิ่งแปลกปลอมเข้าสู่กล่องเสียงและหลอดลม

สิ่งแปลกปลอมในปากและคอ

ในปาก และคอ จะพบสิ่งแปลกปลอมชนิดแหลม หรือมีคม เช่น ก้างปลา ไม้กลัด ลวดเย็บกระดาษ สิ่งเหล่านี้จะติดที่บริเวณโคนลิ้น ผนังคอ ต่อมทอนซิล หรืออาจลึกลงไปถึงฝาปิดกล่องเสียง โดยอาการส่วนใหญ่จะมีความรู้สึกเจ็บคอเวลากลืนน้ำลายหรืออาหาร

สิ่งแปลกปลอมในหลอดอาหาร

มักพบสิ่งแปลกปลอมในบริเวณส่วนต้นของหลอดอาหารและเป็นวัตถุแหลมคม เช่น ก้างปลา ฟันปลอม กระดูกไก่ และเหรียญต่างๆ สำหรับในกรณีนี้ จะมีอาการเจ็บบริเวณคอเวลากลืนน้ำลายหรืออาหาร รับประทานอาหารไม่ได้ ต่อมาอาการเจ็บคออาจจะหายไปเนื่องจากสิ่งแปลกปลอมหลุดลงไปในกระเพาะอาหาร

สิ่งแปลกปลอมเข้าสู่กล่องเสียงและหลอดลม

ในกรณีเช่นนี้ มักจะเป็นวัตถุที่ลื่น เช่น เมล็ดพืช กระดุม เศษอาหาร เหรียญต่างๆ อาการ ส่วนใหญ่สิ่งแปลกปลอมจะลงไปติดในหลอดลม ถ้าติดในกล่องเสียงผู้บาดเจ็บจะหายใจขัด ตัวเขียว และอาจเสียชีวิตได้

ดังนั้น เมื่อสิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในทางเดินอาหาร การช่วยเหลืออย่างถูกวิธีจึงเป็นเรื่องสำคัญ ส่วนจะมีวิธีอย่างไรบ้างนั้น ไปติดตามกันได้เลยครับ

1.ถ้าเป็นก้างปลาเล็กๆ ให้กลืนน้ำอึกใหญ่ ข้าวเหนียวเป็นก้อน ไม่ต้องเคี้ยว ขนมปังปอนต์ หรือขนมสาลี สิ่งแปลกปลอมอาจจะหลุดไปเองได้

2.ถ้าไม่ออก อย่าพยายามเขี่ยหรือดึงออก

3.ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ ให้คุณพ่อคุณแม่ หรือผู้ปฐมพยาบาลรีบจับลำตัวคว่ำ ห้อยศีรษะลงต่ำแล้วตบกลางหลังแรงๆ เพื่อให้ไอออกมา

4.ถ้าเป็นเด็กโต หรือผู้ใหญ่ ให้ยืนก้มตัวลงมากๆ ให้ห้อยหัวลง ผู้ปฐมพยาบาลเข้าข้างหลังใช้แขนซ้ายสอดรั้งเอวไว้ ใช้มือขวาตบกลางหลังแรงๆ อาจไอออกมาได้ หรือให้นอนคว่ำหรือตะแคงศีรษะต่ำ ผู้ปฐมพยาบาลตบหลังผู้ป่วยระหว่างไหล่ทั้งสองข้างให้แรงพอสมควร ถ้ายังติดอยู่หรือติดอยู่ลึก ให้รีบพาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล

5.ถ้ามีการหายใจขัด หรือหยุดหายใจให้ช่วยหายใจก่อน แล้วรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาล

การปฐมพยาบาลก็เพื่อลดความ รุนแรงของการบาดเจ็บ ดังนั้นการช่วยเหลือผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว และถูกวิธีจึงเป็นสิ่งสำคัญ หากพบปฐมพยาบาลแล้วผู้ป่วยยังไม่มีอาการที่ดีขึ้น ไม่ควรรีรอ รีบนำส่งแพทย์โดยทันที
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #217 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:37:36 PM »

ใน'หน่อไม้'มีอะไร...?


แม้ใครหลายคนจะไม่ชอบหน้าฝนเพราะความเฉอะแฉะเปียกปอน แต่ขอบอกว่าสำหรับชาวนาแล้วหน้าฝนเป็นฤดูทองทีเดียวเชียว เพราะนอกจากข้าวจะให้ผลผลิตออกรวงดีแล้ว ยังมีพืชชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์มากและงอกงามให้ผลดีนักในช่วงที่ฝนตกชุก

พืชที่ว่านี้คือ "หน่อไม้" ที่แสนจะอร่อยและนำมาประกอบอาหารได้นับร้อยเมนูทีเดียว ง่ายๆ ตั้งแต่ต้มจิ้มน้ำพริกไปจนถึงแกงคั่ว แกงส้ม หน่อไม้เป็นต้นอ่อนของไผ่ที่จะเจริญเติบโตเป็นต้นไผ่ ที่สำคัญคือหน่อไม้มีประโยชน์มากกว่าที่คิดยิ่งในทางการแพทย์แผนจีนถือว่าหน่อไม้เป็นธาตุเย็น เลยนำมาทานเพื่อปรับสมดุลธาตุตอนที่ร่างกายร้อนเกินไป

ในทางโภชนาการ หน่อไม้ก็มีสารอาหารหลายอย่างที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายมากเลยทีเดียว ตั้งแต่มีเส้นใยอาหารสูงให้โปรตีนสูง มีทั้งวิตามินต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิตามินซี บี 1 บี 2 บี 5 และบี 6 เท่านั้นไม่พอยังมีฟอสฟอรัสกับเหล็กด้วย แล้วที่สำคัญยังให้กรดอะมิโนชนิดที่ร่างกายผลิตเองไม่ได้อีกด้วย คิดง่ายๆ ก็คือหน่อไม้เป็นหน่ออ่อนที่ต้นไผ่ใช้สะสมอาหารไว้ก่อนจะเจริญเติบโตเป็นต้นไผ่ ดังนั้นหน่อไม้สดจึงมีคุณค่าโภชนาการมากนั่นเอง

หน่อไม้มีสรรพคุณทางยา ช่วยลดการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันอาการท้องผูก ช่วยย่อยอาหาร เป็นสรรพคุณที่เห็นผลมาก เพราะหน่อไม้เป็นอาหารที่ให้เส้นใยสูงจึงช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ นอกจากนี้ยังช่วยขับพิษใต้ผิวหนังและแก้กระหาย ขับปัสสาวะ ละลายเสมหะ แก้ไอ บำรุงกำลังแก้อาการร้อนต่าง ๆ ได้ดีเพราะมีฤทธิ์เย็นเช่นเดียวกับเห็ด ยิ่งไปกว่านั้น คือทานแล้วไม่อ้วนเพราะมีน้ำตาลอยู่น้อยมาก มีแต่กากใยทำให้อิ่มง่ายจึงไม่อ้วน

หน่อไม้สามารถนำมาประกอบอาหารเป็นเมนูเด็ดๆได้มากมาย อาทิ ต้มจืดหน่อไม้สดซี่โครงหมู แกงคั่วหน่อไม้หน่อไม้ผัดไข่ ผัดเผ็ดแกงไตปลา แกงเหลืองแกงหน่อไม้ใบย่านาง แกงอ่อม ห่อหมก หรือนำไปดองเพื่อถนอมอาหารให้ทานได้ตลอดทุกฤดูกาล

แม้หน่อไม้ดองจะไม่มีคุณค่าโภชนาการเทียบเท่าหน่อไม้สด แต่ยังมีคุณค่าแฝงอยู่อีกคือ จะมีแบคทีเรียในหน่อไม้ดองที่ชื่อ คลอสทริเดียม โบทูลินัม แบคทีเรียชนิดนี้มีประโยชน์ โดยสำนักงานอาหารและยาหรือ FDA ของสหรัฐอเมริกาอนุญาตให้นำแบคทีเรียนี้ไปผ่านกระบวนการแยกสารพิษ เพื่อนำไปใช้ในการบำบัดรักษาโรคที่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อโดยตั้งชื่อใหม่ว่า โบท็อกซ์ (Botox) ที่วงการความงามรู้จักกันดีนั่นเอง

จริงๆ แล้วหน่อไม้มีไว้ทานเพื่อความอร่อย โดยมีสุขภาพที่ดีเป็นของแถมแต่ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะนำหน่อไม้มาสกัดเป็นเครื่องสำอางก็เป็นได้
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #218 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:39:05 PM »

หลากคุณประโยชน์จาก “ข้าว”


อาหารมาเป็นเวลายาวนานนับพันปี และด้วยความที่ข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจของคนไทย เราจึงคุ้นเคยและกินข้าวเป็นอาหารจานหลักมาตั้งแต่เล็ก

 นอกจากกินเพื่อให้อิ่มท้องแล้ว ข้าวยังเป็นพืชที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย นอกจากคาร์โบไฮเดรตแล้ว ยังมีสารอาหารอีกมากมายหลายชนิดที่จำเป็นต่อร่างกาย


วิตามินอี

สารแอนตี้ออกซิแดนด์ที่มีประโยชน์มากมาย ทั้งช่วยลดการจัดตัวเป็นลิ่มเลือด ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด และยังมีประโยชน์ในด้านของความสวยความงามที่ช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง

เบต้าแคโรทีน

มีส่วนช่วยในการบำรุงสายตา ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ และหลอดเลือดอีกเช่นกัน

ลูทีน

สารอาหารที่ช่วยบำรุงสายตา เหมาะสำหรับหนุ่มสาวออฟฟิศที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ หรือผู้ที่ต้องใช้สายตาอย่างหนัก เพราะลูทีนมีส่วนช่วยในการป้องกันโรคต้อกระจก

สารทองแดง

สารอาหารที่มีความสำคัญอีกตัวหนึ่ง เนื่องจากทองแดงเป็นส่วนประกอบในเอนไซม์ของอวัยวะในร่างกายหลายๆ ส่วนเลยทีเดียว เมื่อร่างกายขาดสารอาหารประเภทนี้จะทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง มีเม็ดเลือดขาวมากกว่าปกติและเม็ดเลือดแดงต่ำลง

ธาตุเหล็ก

ธาตุเหล็กอยู่ในเม็ดเลือดแดง โดยเป็นส่วนประกอบของฮีโมโกลบิน ซึ่งก็คือสารที่ให้สีของเม็ดเลือดแดง เป็นตัวส่งออกซิเจนในเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ ของร่างกาย รักษาและป้องกันการเกิดโรคโลหิตจาง ช่วยให้มีพลังและรู้สึกกระฉับกระเฉง

การจะกินข้าวให้ได้ประโยชน์ควรจะเลือกกินข้าวที่ไม่ผ่านการขัดขาวหรือข้าวกล้องนั่นเอง ซึ่งข้าวกล้องเป็นข้าวที่มีจมูกข้าวและรำข้าวติดอยู่รอบเมล็ด อุดมไปด้วยสารอาหารทั้งหมดที่กล่าวมา ต่างจากข้าวที่ผ่านการขัดขาวซึ่งให้เพียงพลังงานจากแป้งและน้ำตาลเท่านั้น

 

วิธีการหุงข้าว ก็มีผลต่อการเก็บรักษาคุณประโยชน์ที่อยู่ในเม็ดข้าวด้วยเช่นกัน การจะให้เกิดประโยชน์ก็คือซาวน้ำแค่ 1-2 ครั้ง เพื่อไม่ให้สารอาหารสูญเสียไปกับน้ำ และควรหุงข้าวในปริมาณที่พอดี กินได้หมดภายในมื้อเดียว เมื่อหุงข้าวจนสุกแล้วให้ถอดปลั๊กออกทันที การเสียบปลั๊กหม้อหุงข้าวทิ้งไว้นานๆ จะทำให้คุณค่าสารอาหารสลายไป
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #219 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:43:35 PM »

ภูมิปัญญาชาวบ้าน


การกำจัดแมลงสาบ
ในบ้านที่มักจะอยู่ตามครัว ตู้ โต๊ะ หรือตามซอกตามมุมต่างๆ เขาบอกว่าวิธีที่ได้ผลและง่ายแสนง่าย แต่คนมักไม่ทราบหรือคิดไม่ถึง นั่นก็คือใช้ " พริกไทยเม็ด " ไปวางตามจุดต่างๆ ที่แมลงสาบชอบออกมาไต่ยั้วเยี้ย หรือแอบมากินเศษอาหาร โดยวางไว้ที่ละ 4-5 เม็ดก็พอ แค่นี้ แมลงสาบได้กลิ่นก็ไม่มารบกวนแล้ว เพราะมันไม่ถูกกับกลิ่นพริกไทยเม็ด ไม่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงให้เสียเงิน หรือเป็นอันตรายต่อคนในบ้านพอกลิ่นหมด ก็คอยเปลี่ยนใหม่ ข้อสำคัญ ระวังเด็กเล็กในบ้านอย่าคลานไปกินเข้า จะร้องไห้จ้าเพราะความเผ็ด





 กำจัดยุงและแมลงตัวเล็กๆ

ไม่ให้มารบกวนตอนอ่านหนังสือหรือทำงานตอนกลางคืนเขาให้ใช้ "การบูร"มาห่อผ้าขาว หรือไปซื้ออย่างที่เขาห่อสำเร็จมาแล้วก็ได้จากนั้นนำมาแขวนไว้ใกล้ๆกับหลอดไฟหรือโคมไฟ เพื่อความร้อนจากหลอด หรือโคมจะทำให้กลิ่นการบูรค่อยๆ ระเหิดออกมาอย่างรวยริน ยิ่งกลิ่นออกมามากเท่าใด ยุงและแมลงก็จะบินหนีเพราะมันไม่ชอบกลิ่นการบูร แค่นี้ก็ไม่ต้องจุดยากันยุงหรือทายากันยุงให้เหนอะหนะเหนียวตัว





ขับไล่หนูชุกชุม
โดยไม่ต้องฆ่าให้บาปกรรม ด้วยการนำ น้ำมันระกำ 10 ส่วน ผสมกับน้ำมันสะระแหน่อีก 90 ส่วนให้เข้ากันแล้วเอาไปทาตามทางเดินของหนู หรือที่ๆ หนูชอบมา มันจะไม่มาอีกเลย เมื่อได้กลิ่นน้ำมันทั้งสองอย่างนี้แต่ทางที่ดีควรจะเก็บเศษอาหารให้หมด และทำบ้านเรือนให้สะอาด อย่ารกรุงรังเป็นดีที่สุด







วิธีต้มไข่ให้ปอกเปลือกง่าย
การต้มไข่นั้น ดูเป็นเรื่องไม่ยากแต่เชื่อไหมว่า หากจะต้มไข่ให้ปอกเปลือกง่ายๆ หลายคนกลับทำไม่ได้แถมปอกแล้วเนื้อไข่ติดเปลือกทำให้ไม่สวยงามอีก
ดังนั้นวิธีง่ายๆที่จะต้มไข่ให้ปอกเปลือกได้ง่ายเขามีเทคนิคพิเศษด้วยการ ต้มไข่แบบธรรมดานี่แหละ แต่ให้เอา" เกลือ " ใส่เข้าไปพอสมควร ให้น้ำที่ต้มมีความเค็มเล็กน้อย
กะว่าไข่สุกดีแล้ว ก็ให้เอาไข่นั้นแช่ในน้ำเย็นธรรมดาพอไข่ต้มเย็นลงพอควร ก็จับปอกเปลือกได้จะรู้สึกเลยว่าเปลือกไข่แกะออกง่าย และล่อนดีไม่ติดเหมือนปกติ
ทำให้ปอกไข่ต้มออกมาได้อย่างสวยงาม น่ากิน







ต้มถั่วดำ-ถั่วแดงให้สุกเร็ว
การต้มถั่วดูเหมือนจะง่ายคล้ายๆกับต้มไข่ แต่จริงๆแล้วใครที่เคยต้มทั้งถั่วดำ ถั่วแดง
จะรู้ดีว่ากว่าจะต้มสุกได้ต้องใช้เวลานานมากจนหลายคนเอือม ไม่คิดอยากกินถั่วอีกเลย หรือไม่ก็ไปซื้อเขาสบายกว่าบางคนก็ใช้วิธีแช่น้ำคืนหนึ่งก่อนนำมาต้ม
แต่เขาบอกว่าวิธีที่เร็วและสะดวกกว่าคือ
ก่อนนำถั่วไปต้ม ให้เอาไป " คั่ว " ในกะทะให้สุกเสียก่อนเป็นการทำให้สุกครั้งแรกที่ใช้เวลาไม่นาน จากนั้นจึงเอาหม้อใส่น้ำแล้วใส่ถั่วลงไป โดยกะน้ำให้พอดีกับถั่วที่จะต้ม
แล้วตั้งไฟต้ม คราวนี้แหละถั่วที่ต้ม ก็จะสุกเร็วขึ้นเมื่อถั่วสุกก็ใส่น้ำตาลลงไป
กะให้หวานพอเหมาะหรือตามแต่ชอบ





วิธีเก็บขนมปังให้นานวันขึ้น
โดยมิให้เสีย หรือหมดอายุเร็วเขาบอกว่าไม่ใช่เรื่องยาก
ขนมปังที่ซื้อมาแล้ว และเรากินไม่หมดก็ให้ห่อเก็บในพลาสติก
เหมือนเดิมนั่นแหละเพียงแต่ให้เอาผ้าขาวสะอาดๆมาห่อหุ้มเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง
จากนั้นให้ผูกด้วยเชือกหรือใช้ยางรัดให้แน่น
แล้วไปเก็บไว้ในตู้เย็นตามปกติธรรมดา
ไม่ต้องไปเข้าช่องแข็ง
ทำแบบนี้ขนมปังที่ว่าก็จะมีอายุนานขึ้นโดยไม่เสื่อมสภาพ
เมื่อเอาไปย่าง ปิ้ง ทาเนยแยม ก็ยังจะอร่อย
และคงความนุ่มไว้เหมือนเดิม






 วิธีหาเสี้ยน หรือหนามที่ตำ ให้เห็นง่ายๆ
เมื่อเราถูกเสี้ยนหรือหนามตำไม่ว่าที่ไหนก็ตาม
บางทีเสี้ยนมีขนาดเล็กและกลมกลืนไปกับสีผิว
ทำให้มองไม่เห็นแต่หากไม่เอาออกก็จะระคายเคือง เจ็บปวดไม่หาย
เขาบอกว่าวิธีการหาง่ายๆ
คือให้ใช้" ทิงเจอร์ไอโอดีน " แตะบริเวณที่ถูกเสี้ยนหรือหนามตำ
สีของทิงเจอร์ฯ จะทำให้เห็นรอยเสี้ยนที่หักคาอยู่อย่างเด่นชัด
ทำให้เราจัดการเอาออกได้โดยง่าย อีกทั้งทิงเจอร์ฯ
ยังช่วยรักษาแผลสดได้ดีอีกด้วย





วิธีบำรุงสายตาด้วยสมุนไพรราคาถูก
นั่นคือ " ผักบุ้ง "ที่เราส่วนใหญ่รู้ๆ กันอยู่แล้วนี่เอง
นอกจากจะกินผักบุ้งเพื่อให้ได้วิตามินเอ
ที่มีมากมายในตัวผักมาบำรุงสายตาแล้ว คนไม่น้อยคงไม่รู้ว่า
เราสามารถเอาผักบุ้งไทยมาล้างให้สะอาด
แล้วปั่นให้ละเอียดจากนั้น
เอาผ้าขาวบางไปต้มฆ่าเชื้อเสียก่อน แล้วผึ่งให้หมาด
นำมาปิดไว้ที่หน้าแล้วให้ผักบุ้งไทยปั่นที่ว่ามาโปะบนผ้าขาวบาง
บริเวณดวงตาทั้งสองข้าง ปล่อยไว้นานพอควรจนรู้สึกว่า
มีน้ำจากผักซึมเข้ามาที่ดวงตาที่หลับอยู่ ก็เอาออก
แล้วหลับตาล้างเปลือกตาให้สะอาด เขาว่าให้ทำเช่นนี้สัปดาห์ละครั้ง
จะช่วยสุขภาพของดวงตาให้ดีขึ้น ทำให้สายตาแจ่มใสอยู่เสมอ





วิธีแก้กลิ่นเต่าแรง
นอกเหนือไปจาก "สารส้ม"
ที่เขาแนะให้นำมาถูรักแร้ตอนอาบน้ำเสร็จใหม่ๆ แล้ว
ก็ยังมีอีกสูตรในการแก้กลิ่นเต่าแรงคือ
" ใบตำลึง " กับ " ปูนแดง " โดยให้ตำใบตำลึงให้เละที่สุด
แล้วนำมาผสมกับปูนแดงสักก้อนเล็กๆ ผสมให้ทั่วกันดีแล้ว
ก็นำมาทาที่รักแร้เพียงบางๆ แล้วปล่อยให้แห้งไปเอง
ควรทำตอนอาบน้ำก่อนไปทำงานตอนเช้า จะได้ทำงานได้ตลอดวัน
โดยไม่มีกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ ออกมารบกวนใครต่อใคร บางคนอาจคิดว่ายุ่งยาก
ลำบาก หาซื้อพวกโรลออนทาง่ายกว่า แต่แนะไว้เผื่อวิธีอื่นไม่ได้ผล
ก็ลองดูวิธีนี้ดูบ้าง





ว่ายน้ำแล้ว
มิให้เกิดเป็นตะคริวขึ้นมา** *ตะคริว หมายถึง
อาการที่กล้ามเนื้อกระตุกเกร็ง ชาไปหมด ความรู้สึกเสียไปถ้าเป็นบนบก ปล่อยให้อยู่นิ่งๆ
ก็จะหายไปเอง แต่ถ้าอยู่ในน้ำหรือกำลังว่ายน้ำอยู่จะอันตรายมาก
เพราะทำให้จมน้ำตายได้
วิธีแก้ไขหรือป้องกันมิให้เกิดเป็นตะคริวขณะว่ายน้ำ หรือเล่นน้ำอยู่นั้น
เขาให้ดื่มน้ำเกลือ เสียก่อนลงไปว่าย เกลือที่ใช้ก็คือ
เกลือแกงในครัวนั่นแหละโดยเอาไปละลายน้ำให้มีรสเค็มพอประมาณ
ดื่มเสียให้เรียบร้อยก่อนลงไปดำผุดดำว่ายในน้ำ ทีนี้รับรองไม่เป็นตะคริวแน่นอน





เป็นบิด
และไม่มียาแผนปัจจุบัน
โรคบิดเป็นโรคทางเดินทางอาหาร เวลาถ่ายจะปวดมวนท้องไส้มาก
โรคนี้ส่วนใหญ่ต้องแก้ด้วยยาแผนปัจจุบัน แต่หากไม่มี ก็ให้เอากระชายสัก 5 ราก เผาไฟบดให้ละเอียดผสมน้ำ
แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ดื่มน้ำนี้สักอึกสองอึก เว้นอีกสักชั่วโมงก็ดื่มอีก ไม่นานก็จะหาย





ลดอาการไข้ ตัวร้อน
ตามปกติเราก็กินยาแก้ปวดหัวตัวร้อน อย่างพาราเซตามอล
แต่หากไม่มี แล้วเกิดอาการปวดหัว ตัวร้อน เป็นไข้ขึ้นมา
เขาบอกว่าให้ดื่มน้ำมะพร้าวสัก 1 แก้ว แล้วนอนพักผ่อน
อาการไข้ก็จะทุเลาลง แล้วให้ดื่มแทนน้ำไปเรื่อยๆ
ไม่นานอาการที่ว่าก็จะหายเป็นปกติ





มีแผลในปากที่ทำให้เจ็บแสบ
น่ารำคาญ เขาบอกวิธีง่ายๆ ที่จะแก้ คือ
ให้กินสับปะรด ยิ่งตรงไหนเป็นแผลให้อมไว้ตรงนั้นนานๆ
ไม่ช้าไม่นานก็จะหายไปเอง
เหมือนหนามหยอกเอาหนามบ่ง ทั้งหมดนี้
เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนจกหนังสือดังกล่าวข้างต้น
ที่เป็นเทคนิคหรือความรู้แบบชาวบ้านๆ
ที่แม้ว่าโลกจะก้าวไปไกลเพียงไร
แต่ใช่ว่าความเจริญเข้าไปถึงหมดทุกแห่ง
ดังนั้นภูมิปัญญาเหล่านี้จึงยังมีประโยชน์และคุณค่าอยู่เสมอ
ซึ่งคนสมัยปัจจุบันก็ยังสามารถทดลองใช้ได้
ข้อสำคัญส่วนใหญ่มีราคาไม่แพงและทำให้พึ่งตนเองได้ด้วย




ที่มา FWD mail

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #220 เมื่อ: ตุลาคม 06, 2012, 07:45:19 PM »

9 อาหารใกล้ตัว รับรองกินแล้วสวย


อยากสวยต้องเริ่มจากภายใน และอะไรจะช่วยคุณได้ล่ะ ถ้าไม่ใช่อาหาร มาดูกันว่า อาหารอะไรบ้างที่จะทำให้คุณสวย

               1.เม็ดเก๋ากี้

               มีชื่อกิ๊บเก๋ว่า "โกจิเบอร์รี่" ถือได้ว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่มีสารอาหารเต็มเปี่ยมมากที่สุดที่คุณจะได้กิน เจ้าเม็ดเหล่านี้ มีกรดไขมันจำเป็น สารต้านอนุมูลอิสระ แร่ธาตุ วิตามินบี และกรดอะมิโน ซึ่งไม่เพียงช่วยเรื่องผิวเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ อีกด้วย

            2.อะโวคาโด และมะกอก

                อาหารที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวโมเลกุลเดี่ยวจะช่วยให้ผิวของคุณเยาว์วัยและเต่งตึงขึ้น เช่น มะกอก อะโวคาโด และบัควีต ซึ่งอย่างหลังยังมีฟลาวานอยด์ชื่อ Rutin ที่จะช่วยให้ผิวยืดหยุ่นอีกด้วย

            3.กิมจิและโยเกิร์ต

                อาหารตองตามธรรมชาติเหล่านี้จะมีโปรไบโอติกส์อยู่มาก ซึ่งจะช่วยให้ระบบขับถ่ายของคุณแข็งแรง และระบบขับถ่ายที่แข็งแรงจะช่วยดูดซึมสารอาหารที่จำเป็นและทิ้งกากกับสารพิษที่คุณไม่ใช้ออกไป อย่างไรก็ดี ควรจำไว้ว่า โปรไบโอติกส์จะตาย หากผ่านความร้อนสูง หรือการบรรจุกระป๋อง

            4.แตงกวา

               เห็นอย่างนี้แต่แตงกวาก็เต็มไปด้วยแร่ธาตุซิลิกา ที่ช่วยให้เส้นผมและเล็บของคุณแข็งแรง

            5.สาหร่าย

               สาหร่ายมีทั้งไอโอดีนและกรดอะมิโน ซึ่งจำเป็นอย่างมากต่อเส้นผมที่งดงาม

            6.ขิง

              เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนที่นอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ โดยขิงมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบ และใต้ตาบวมที่เกิดจากการนอนไม่พอได้

            7.คะน้า หัวหอม และกระเทียม

              เพราะซัลเฟอร์คือหนึ่งในสารที่ช่วยเพิ่มความสวยของคุณ โดยกระตุ้นการผลิตคอลลาเจนและทำให้ผิวเปล่งประกาย พร้อมกับช่วยล้างพิษในตับและผิวหนัง และสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันใหม่ นอกจากนี้ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระจำพวกฟลาวานอยด์ชื่อ Quercetin ที่ช่วยลดความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระอีกด้วย

           8.หอยแครงและหอยแมลงภู่

             สังกะสีในหอยเหล่านี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการซ่อมแซม และการสร้างใหม่ของผิวหนัง

           9.แครอท และผักใบเขียว

             การกินอาหารที่มีเบต้าแคโรทีนสูงจะทำให้คุณสวย (และแข็งแรง) มันช่วยขับสีผิวของคุณให้เปล่งปลั่งอย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะในสาว ๆ ที่มักจะบ่นว่าตัวเองผิวซีด


ขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #221 เมื่อ: ตุลาคม 13, 2012, 07:44:17 PM »

การตรวจเต้านมด้วยตนเอง

วิธีการตรวจเต้านมด้วยตัวเอง

การตรวจเต้านมด้วยตัวเองเป็นการตรวจหามะเร็งเต้านมในระยะเริ่มต้น ควรจะตรวจเป็นประจำตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป หากคลำได้ก้อน หรือสงสัยก็ควรจะปรึกษาแพทย์ ก่อนการตรวจด้วยตัวเองท่านต้องทราบขนาด และลักษณะเต้านมจะมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา บางคนจะมีขนาดโตขึ้น และแข็งมากขึ้นก่อนมีประจำเดือน เมื่อรับประทานยาคุมกำเนิดเต้านมก็จะมีขนาดโตขึ้น แต่บางคนเต้านมอาจจะแข็งตลอดเวลาที่มีประจำเดือน หลังเข้าสู่วัยทอง ขนาดของเต้านมจะเล็กลง ช่วงเวลาที่เหมาะในการตรวจเต้านมคือ 5-7 วันหลังมีประจำเดือนวันสุดท้าย เนื่องจากช่วงนี้เต้านมจะอ่อนนุ่ม สำหรับผู้หญิงวัยทองก็ตรวจตามสะดวก



วิธีการตรวจทำได้ 3 วิธี


ให้ตรวจดูเต้านมของท่านอย่างน้อยเดือนละครั้ง ซึ่งสามารถทำได้ทั้งในห้องนอน หรือขณะอาบน้ำ ควรจะใช้มือทำความสะอาดร่างกายแทนการใช้ฟองน้ำ หากสังเกตหรือสงสัยว่าผิดปรกติควรจะปรึกษาแพทย์




ตรวจหน้ากระจก

•ให้ยืนปล่อยแขนลงข้างลำตัวตามสบาย
•สังเกตสีผิว รอยบุ๋มของผิวหนังบนเต้านม หัวนมว่ามีของเหลวหรือมีแผลหรือไม่
•ยกมือขึ้นประสานเหนือศีรษะเพื่อเปรียบขนาดของเต้านมทั้งสองข้าง มีการบิดเบี้ยวของหัวนมหรือไม่ ผิวเต้านมมีรอยนูนหรือบุ๋ม
•จากนั้นก็ก้มลงเอามือจับที่เข่าให้นมห้อย แล้วใช้มือบีบหัวนมว่ามีสิ่งผิดปรกติไหลออกมาหรือไม่




ในท่านอนราบ

•นอนราบในท่าสบาย ยกแขนซ้านเหนือศีรษะเพื่อทำการตรวจเต้านมแบน•ใช้นิ้วชี้ นิ้วกลางและน้ำนางคลำ(ไม่ใช่บีบ)
•คลำเริ่มจากรอบหัวนมและขยายจนทั่วนม
•ถ้าคลำพบหรือสงสัยว่ามีก้อนให้ปรึกษาแพทย์




การคลำสามารถคลำในท่ายืนคลำเต้านมทั้งสองข้าง และคลำต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #222 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 09:19:42 PM »

ทึ่ง แปรงสีฟัน เชื้อโรคเยอะที่สุดในห้องน้ำ


นับเป็นเรื่องที่น่าตกใจไม่น้อย เมื่อ Charles Gerba นักจุลชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต รายงานว่า สิ่งที่สะสมเชื้อโรคมากที่สุดในห้องน้ำคือ “แปรงสีฟัน” โดยเฉพาะหากแปรงสีฟันนั้นวางไว้ใกล้กับชักโครกมากเกินไป เพราะเวลาที่คุณกดชักโครกขณะที่เปิดฝาทิ้งไว้ ละอองสิ่งสกปรกจะกระเด็นออกจากชักโครกไปติดตามพื้นผิวทุกอย่างในห้องน้ำ!

ที่สำคัญทุกครั้งที่แปรงฟันก็จะมีเศษอาหาร แบคทีเรีย คราบเลือด และน้ำลายติดมากับแปรงสีฟัน ซึ่ง หากไม่ทำความสะอาดดีๆ หลังแปรงฟัน สารพันเชื้อโรคก็จะกลับเข้าร่างกายอีกครั้งเมื่อแปรงฟันครั้งต่อไป ส่งผลให้เกิดโรคในช่องปากและปัญหาสุขภาพอื่นๆ ตามมาอีกเป็นพรวน

ขณะที่ Tom Glass แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคในช่องปากที่มหาวิทยาลัยโอคลาโฮมา บอกว่าแปรงสีฟันแต่ละอันมีจุลินทรีย์อย่างน้อย 10 ล้านตัว! ซึ่งรวมถึงไวรัสไข้หวัดใหญ่สตาฟีโลคอคคัส สเตร็ปโตคอคคัส รวมถึงแบคทีเรียอีกหลายชนิดที่เป็นสาเหตุของโรคเหงือกและหินปูน โดย คำแนะนำที่ดีคือ พยายามเก็บแปรงสีฟันของสมาชิกในครอบครัวให้ห่างกันอย่างน้อย 1 นิ้ว เพื่อไม่ให้เชื้อโรคติดต่อถึงกันได้ ให้เปลี่ยนแปรงสีฟันทุกครั้งหลังเป็นหวัด เป็นต้น
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #223 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 09:21:52 PM »

ทำไมจึงรู้สึกจั๊กจี้ฝ่าเท้า



ทำไมหนอเราจึงรู้สึกจั๊กจี้ หรือต้องยกเท้าหนี้เมื่อมีคนมาจั๊กจี้ที่ฝ่าเท้า

หากใครมาจี้ฝ่าเท้าเรา ก็มักจั๊กจี้จนต้องยกเท้าหนี เหตุผลก็คือ การรู้สึกจั๊กจี้เป็นธรรมชาติของมนุษย์ เพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด เพราะอาจเป็นงูก็ได้ที่เท้าเราอาจเหยียบเจอ นั่นเพราะคนในสมัยโบราณเดินเปลือย เท้าเปล่า และที่เท้าเราก็มีเส้นประสาทมากมายจึงทำให้เท้าไวต่อความรู้สึก

นอกจากเท้าที่จั๊กจี้แล้ว ก็ยังมีอวัยวะอื่น ๆ ที่ไวต่อความรู้สึก เช่น ท้อง รักแร้ และปลายนิ้ว และเราจะรู้สึกจั๊กจี้สุด ๆ เมื่อมันถูกสัมผัสโดยไม่รู้ตัว แต่ถ้าเราจี้เองกลับไม่รู้สึกจั๊กจี้นั่นเอง


ขอบคุณข้อมูลจาก Lisa
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #224 เมื่อ: ตุลาคม 20, 2012, 09:28:02 PM »

ดูแลผิวแต่ละวัย



ผิวสาวใสในวัยสาว คือสิ่งที่คนเราถนอมหวงแหนเป็นที่สุด และอยากให้คงสภาพผิวสดใส เปล่งปลั่งข้ามวัยไปนานๆ เพื่อให้ผิวดีอยู่คู่กับตัวต้องเริ่มดูแลตั้งแต่แรกรุ่นกันแล้วล่ะค่ะ

          วัย 20 ปี วัยนี้ธรรมชาติสร้างมาให้เป็นช่วงวัยที่ผิวกำลังเปล่งปลั่งเต็มที่ แต่ก็มีอุปสรรคเล็กน้อยคือเกิดสิว เนื่องจากมีฮอร์โมนเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง วัยนี้ควรเลือกใช้เครื่องสำอางที่อ่อนๆ (mild cleanser) ที่ผสมสารต้านการเกิดสิวเล็กน้อย เช่น ซาลิไซลิค แอซิด หรือซัลเฟอร์ และที่แน่นอนที่สุดต้องอย่าลืมใช้สารกันแสงแดดด้วยเสมอ

          วัย 30 ปี เป็นช่วงเวลาที่เริ่มจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของผิวให้เห็นกัน เช่น ผิวบางส่วนก็มัน บางส่วนก็แห้ง จนทำให้เจ้าตัวสับสนเลือกใช้เครื่องสำอางไม่ถูกกันเลย แพทย์ผิวหนังจึงมักแนะนำให้ใช้พวกที่ไม่มีส่วนผสมของสารใดๆ ที่เกี่ยวกับการรักษาสิว (noncomedogenic) และให้เลือกใช้ครีมหรือโลชั่นที่มีส่วนผสมของสารแอนตี้ออกซิแดนท์ เช่นผสมวิตามิน C วิตามิน E หรือเบต้าแคโรทีน เพื่อช่วยซ่อมแซมผิวที่ถูกทำลายเพราะแสงแดด นอกจากนี้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของทองแดง ชาเขียว หรือผสมสารอาหารที่เสริมสร้างคอลลาเจนก็น่าเลือกใช้เช่นกัน

         วัย 40 ปี การบำรุงเพื่อชะลอความเสื่อมสภาพของผิวเป็นเรื่องจำเป็น ต้องปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ช่วงวัยนี้ต่อมไขมันจะลดการผลิตลง ดังนั้นรอยเหี่ยวย่นปนตีนกาก็จะทยอยมาแทนที่ผิวตึงๆ โดยเฉพาะรอบๆ ปาก ดวงตา วัยนี้ก่อนการเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมบำรุงทั้งหลาย ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อตรวจดูสภาพผิว วัยนี้อาจจะเลือกใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของ alpha-hydroxy acid (AHA) เพื่อขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้วออกไป นอกจากนี้ประเภทครีมที่มีส่วนผสมของวิตามิน A ที่ช่วยบรรเทารริ้วรอยต่างๆ ก็มีประโยชน์เช่นกัน

          วัย 50 ปี ขึ้นไป ช่วงวัยนี้ผิวของคุณจะไม่ค่อยยึดหยุ่นและขาดน้ำหล่อเลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขาดคอลลาเจน หลายคนเริ่มมีกระ ฝ้า หรือสีผิวที่เปลี่ยนไปในบางบริเวณ หากมีความเปลี่ยนแปลงมากลองพบหมอผิวหนังตรวจสอบดูสักหน่อย เพราะคนวัยนี้ภูมิต้านทานลดลง ความแข็งแรงของผิวลดลง ได้สัมผัสมลพิษมาตลอดชีวิต จึงอาจเป็นช่วงที่เป็นโรคทางผิวหนังต่างๆ ได้ง่าย เช่น ผิวหนังอักเสบ มะเร็งผิวหนัง เชื้อราบนผิวหนัง เป็นต้น เครื่องสำอางที่เลือกใช้ควรเป็นประเภทที่มีสารบำรุงคอลลาเจน และตามที่คุณหมอแนะนำ จะเห็นว่าในแต่ละวัยนั้นควรเลือกใช้เครื่องประทินผิวที่มีสารบำรุงต่างกัน

          คนอายุยังน้อย ไม่ถึง 30 อย่าใจร้อนที่จะไปเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสารเข้มข้นลดริ้วรอยมาปรนเปรอผิวโดย ไม่จำเป็น เพราะอย่างน้อยหากคุณเป็นคนใส่ใจตัวเองทั้งเรื่องการพักผ่อน ออกกำลัง อาหารที่เป็นประโยชน์ รู้จักละซึ่งความเครียดความโกรธ ผิวก็สามารถฟื้นตัว และแข็งแรงขึ้นได้เองตามธรรมชาติอยู่แล้วค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 13 14 [15] 16 17 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: