Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75372 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 5 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #270 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:53:26 PM »

ประโยชน์ของสีสันในผักและผลไม้


ผัก และผลไม้มีคุณประโยชน์ต่อร่างกายของเรายิ่งนัก ไม่ว่าจะเป็นไฟเบอร์หรือเส้นใยอาหารที่ช่วยในการย่อยและระบบขับถ่าย ยิ่งไปกว่านั้นสีสันของผักและผลไม้ต่าง ๆ ยังมีประโยชน์ อย่างที่เราคาดไม่ถึงอีกด้วย ซึ่งหลายคนอาจจะสงสัยว่าสีของผักและผลไม้จะไปมีประโยชน์ได้อย่างไรกัน? ในความเป็นจริงแล้วสีสันสวยงามในพืชผักและผลไม้ ไม่ว่าจะเป็นสีแดงสดใสในมะเขือเทศ สีเหลืองเปล่งปลั่งในมะม่วงสุก สีส้มเข้มข้นในแครอท หรือแม้แต่ผักต่าง ๆ ที่มีสีเขียวสด นอกจากจะช่วยให้เรามีความรู้สึกว่าอาหารนั้นมีหน้าตาน่ารับประทานและมีรส ชาติเอร็ดอร่อยแล้ว สีสันที่ว่านี้ยังมีคุณประโยชน์และมีบทบาทมากพอ ๆ กับวิตามินเลยทีเดียว
 

สีสัน ในพืช ผัก และผลไม้ที่เราเห็นกันนั้นมาจากสารเคมีตามธรรมชาติที่แตกต่างกันไป ได้แก่ คลอโรฟีลล์, แคโรทีนอยด์, เบตาแคโรทีน, แอนโทไซยานิน เป็นต้น โดยสารเคมีตามธรรมชาติที่ว่านี้จะมี คุณสมบัติที่ทำให้พืช ผัก และผลไม้แต่ละชนิดมีสีสันที่แตกต่างกันไป อย่างเช่น คลอโรฟีลล์เป็นสารที่ทำให้ผักมีสีเขียว, แคโรทีนอยด์ทำให้มีสีเหลืองและสีแดง สำหรับในผลไม้เองก็มีโมเลกุลชนิดที่เรียกว่า แอลฟาแคโรทีน แกมม่าแคโรทีน และไลโคฟีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของการสร้างสีของผลไม้ ตัวอย่างเช่น มะเขือเทศและแตงโมมีสีแดงสดเพราะมีไลโคพีนมากกว่าสารสีอย่างอื่น เป็นต้น แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ทำไมผลไม้บางชนิดตอนที่ยังดิบอยู่จะมีสีเขียว แต่พอสุกกลับมีสีเหลือง ยิ่งสุกก็ยิ่งเหลือง ซึ่งนั่นเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของ สารเคมีธรรมชาติที่ทำให้สีของผลไม้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อย่างมะม่วงจะมีการเปลี่ยนแปลงของคลอโรฟิลล์และแคโรทีนอยด์ กล่าวคือ ตอนที่เป็นมะม่วงดิบจะมีคลอโรฟิลล์มาก แต่เมื่อเวลาผ่านไปสารแคโรทีนอยด์ในมะม่วงจะเพิ่มมากขึ้นในขณะที่คลอโรฟีลล์ ลดลง จึงทำให้มะม่วงสุกเปลี่ยนจากสีเขียวเป็นสีเหลืองนั่นเอง

สาร สีแต่ละชนิดให้คุณประโยชน์อย่างไรกับร่างกายของเรา มีผู้สนใจทางเคมีวิทยาของพืชที่ชื่อว่า มาร์ ฟาร์กัวสัน ได้ทำการแยกไว้อย่างคร่าว ๆ พอให้เข้าใจได้ง่ายดังนี้ค่ะ


1. สารสีส้ม ได้แก่ เบต้าแคโรทีน (Betacarotene) ซึ่งเป็นเม็ดสีเหลืองส้มที่มีมากในแครอทและมะละกอ แคโรทีนเป็นสารที่มีศักยภาพสูงในการต่อต้านอนุมูลอิสระอันเป็นตัวก่อมะเร็ง และแคโรทีนยังสามารถทำลายเซลล์มะเร็ง โดยผลจากการทดลองกับหนูพบว่าแคโรทีนทำให้ขนาดก้อนมะเร็งลดลงได้ถึง 7 เท่าทีเดียว แถมยังสามารถลดการขยายตัวของก้อนมะเร็งในปอดและกระตุ้นการทำงานของเอนไซม์ใน การต้านมะเร็ง นอกจากนี้ เบตาแคโรทีนที่อยู่ในแครอทและมะละกอยังช่วยให้ผิวพรรณของเรามี สีเหลืองสวยงามได้ อีกด้วย และหากใครรับประทานมะละกอห่ามมาก ๆ นาน 2 ปี จะช่วยเปลี่ยนสีผิวหน้าที่เป็นฝ้าให้หายได้โดยไม่ต้องพึ่งครีมแก้ฝ้าเลย


2. สารสีแดง ไลโคพีน (Lycopene) เป็นตัวการทำให้เกิดมะเขือเทศและแตงโมมีสีแดงสดใส แต่ก็ยังมีสาร เบต้าไซซิน (Betacycin) ที่ให้สีแดงในลูกทับทิม บีทรูท และแคนเบอร์รี่เช่นกัน โดยทั้งไลโคพีนและเบต้าไซซินเป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidant) ซึ่งจะช่วยป้องกันการเกิดมะเร็งหลายชนิดเช่นกัน โดยเฉพาะไลโคพีนมีฤทธิ์ต้านมะเร็งมากกว่าเบต้าแคโรทีนถึง 2 เท่าทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือมะเร็งปอด เป็นต้น และผลจากการศึกษาวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด สหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ที่รับประทานอาหารใส่มะเขือเทศ ไม่ว่าจะเป็นซอสมะเขือเทศ หรือน้ำมะเขือเทศในหนึ่งอาทิตย์ไม่ต่ำกว่า 10 มื้อ จะแคล้วคลาดจากมะเร็งต่อมลูกหมากได้เกือบครึ่ง


3. สารสีเหลือง ได้แก่ ลูเทอีน (Lutein) คือ สารสีเหลืองที่ให้สีสันแก่ข้าวโพด ซึ่งช่วยป้องกันความเสื่อมของ จุดสี หรือแสงสีของเรตินาในดวงตา ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนแก่มองไม่เห็นได้


4. สารสีเขียว ได้แก่ คลอโรฟีลล์ (Chlorophyll) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้พืชผักต่าง ๆ มีสีเขียว ยิ่งผักที่มีสีเขียว เข้มมากก็ยิ่งมีคลอโรฟีลล์มาก เช่น ตำลึง คะน้า บร็อกโคลี่ ชะพลู ใบบัวบก เป็นต้น โดยสารคลอโรฟีลล์ที่ว่านี้มีคุณค่าอย่างมาก เพราะเมื่อคลอโรฟีลล์ถูกย่อยแล้ว จะสามารถป้องกันมะเร็งได้ ทั้งยังช่วยขจัดกลิ่นเหม็นต่าง ๆ ในตัวคนได้ดีด้วยค่ะ


5. สารสีม่วง พืชสีม่วงมีสารแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ที่ให้สีม่วงในดอกอัญชัน กะหล่ำม่วง ชมพู่ มะเหมี่ยว มะเขือม่วง แบล็กเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่าสารตัวนี้ช่วยลบล้างสารก่อมะเร็ง แถมสารแอนโทไซยานินยังออกฤทธิ์ในการขยายเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ และอัมพาตได้อีกด้วย

เห็น ไหมคะว่าสารสีต่าง ๆ ที่มีอยู่ในผักและผลไม้ทุกชนิดมีศักยภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระมากเพียงไร ซึ่งสามารถป้องกันการเกิดมะเร็งโรคที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากได้เป็นอย่างดี ทีเดียว ทีนี้น้อง ๆ ก็ทราบถึงคุณประโยชน์ของสารสีในพืชผักและผลไม้กันแล้ว หากน้องจะรับประทานอาหารในมื้อต่อไปก็อย่าลืมเลือกอาหารที่มีผักและตบท้าย ด้วยผลไม้สดนานาชนิด จะได้มีสุขภาพดีกันถ้วนหน้าค่ะ


ข้อมูลเพิ่มเติม "อนุมูลอิสระ" เป็นสารที่เกิดจากปฏิกิริยาย้อนกลับของออกซิเดน ซึ่งเป็นของเสียจากการที่ร่างกายเปลี่ยนสารอาหารให้เป็นพลังงาน โดยอนุมูลอิสระนี้เป็นสารตั้งต้นที่ทำให้เกิดกระบวนการทำลายเซลล์ต่าง ๆ ของร่างกาย อันเป็นสาเหตุความเสื่อมของร่างกายที่ก่อให้เกิดโรคร้ายต่าง ๆ ที่เกิดจากสภาพเซลล์เสื่อม เช่น โรคหลอดเลือดและหัวใจ โรคปอด โรคสมองเสื่อม โรคมะเร็ง เป็นต้น นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของการแก่ก่อนวัย ริ้วรอยเหี่ยวย่นบนผิวหนังได้ด้วย
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #271 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 06:55:06 PM »

ท่าโยคะกระตุ้นระบบขับถ่าย


ระบบขับถ่ายที่ทำงานเป็นปกติมีส่วนสำคัญต่อการมีสุขภาพดี ท่านี้ช่วยให้ไตและลำไส้ถูกนวด ทำให้ระบบขับถ่ายเดินเครื่องได้สมบูรณ์

1. นั่งตรงตัว เหยียดขาซ้ายออกไป พับขาข้างขวาเข้ามา โดยให้ส้นเท้าของขาขวาติด กับต้นขาข้างซ้าย มือวางไว้บนเข่าซ้าย
2. หายใจเข้าพร้อมกับเคลื่อนมือทั้งสองข้างยกขึ้นตรงเหนือศีรษะ แขนแนบใบหู
3. หายใจออกพร้อมกับค่อยๆ โน้มตัวต่ำลงไป เอามือทั้งสองข้างจับที่ปลายเท้าซ้าย โดยให้ข้อศอกทั้งสองข้างแตะพื้น หน้าผากวางลงบนเข่า
4. ค้างท่านับ 1-10 หายใจปกติ
5. ปฏิบัติเช่นเดียวกันนี้โดยทำสลับกับขาอีกข้างหนึ่ง
6. จาก 1-5 นับเป็นหนึ่งรอบ



เสร็จแล้ว ดื่มน้ำสักแก้ว จะรู้สึกสดชื่น สบายท้อง สบายตัว ลองทำดูนะคะ


ที่มา...ชีวจิต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #272 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 07:01:48 PM »

เครื่องทำน้ำเย็น ที่บ้านคุณ เป็นแบบนี้หรือป่าว


เครื่องทำน้ำเย็น ที่บ้านคุณ เป็นแบบนี้หรือเปล่าเอ่ย ตู้กดน้ำเย็น - ร้อน ที่มักจะวางอยู่ที่ทำงาน ออฟฟิศ ที่สาธารณะ หรือแม้แต่ที่บ้านคุณ เคยบ้างไหมที่จะแกะมาดูสายยางที่อยู่ข้างในว่ามี ตะไคร่น้ำเกาะอยู่บ้างไหม หากไม่เคยลองมาชมภาพเหล่านี้ดู แล้วเอาไปทำตามกันบ้างก็ดีนะ เพราะเห็นแล้วไม่อยากกินน้ำจาก เครื่องทำน้ำเย็น แล้วเลยทีเดียว












บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #273 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 07:03:20 PM »

อีก 2 เดือนระวังอันตราย ยุงลายรวมพลถล่มไทย!




เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวใกล้ตัวที่น่ากลัวกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า นั่นคือ การระบาดของไข้เลือดออก ที่ปีนี้ (พ.ศ.2556) คณะผู้เชี่ยวชาญและสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค ประเมินว่า การลุกลามของโรคจะรุนแรงกว่าปี พ.ศ.2555 คาดว่าจะมีผู้ป่วยสูงถึง 120,000-150,000 ราย และเสียชีวิตถึง 120-200 ราย เนื่องจากมีรายงานจำนวนผู้ป่วยเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถึง 9,824 ราย เฉลี่ยสัปดาห์ละ 800-1,000 ราย สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกือบ 4 เท่า และมีรายงานผู้เสียชีวิตแล้ว 12 ราย



ปัญหาหลักในการระบาดหนักคือ จำนวนยุงลายที่เพิ่มขึ้น นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข กล่าวพร้อมแนะว่า ต้องเร่งกำจัดลูกน้ำยุงลายในอาคารบ้านเรือนและโรงเรียนทั่วประเทศก่อนถึงฤดูฝน คาดว่าประมาณเดือนพฤษภาคมเป็นต้นไป ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขกำจัดได้เพียง 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่ายช่วยกำจัดลูกน้ำยุงลายจากแหล่งน้ำขังทุก 7 วัน



สำหรับยุงลายที่เป็นพาหนะนำโรคไข้เลือดออกในประเทศไทย แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ยุงลายบ้าน (Aedes Aegypti) และยุงลายสวน (Aedes Albopictus) ซึ่งแหล่งเพาะพันธุ์ของลูกน้ำยุงลายทั้งสองชนิดแตกต่างกัน ลูกน้ำยุงลายบ้าน จะอยู่ในภาชนะขังน้ำที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น โอ่ง, บ่อซีเมนต์, ถ้วยหล่อขาตู้กับข้าว, แจกัน, จานรองกระถางต้นไม้, ยางรถยนต์ และเศษวัสดุต่าง ๆ ที่มีน้ำขัง โดยยุงเหล่านี้จะอาศัยอยู่ในบ้านและบริเวณรอบ ๆ บ้าน ขณะที่ ยุงลายสวน มักเพาะพันธุ์อยู่ในแหล่งธรรมชาติ เช่น โพรงหิน, โพรงไม้, กระบอกไม้ไผ่, กาบใบพืชจำพวกกล้วย, ยางรถยนต์เก่า และรางน้ำฝนที่อุดตัน เป็นต้น ซึ่งยุงลายทั้ง 2 ชนิด ล้วนเป็นพาหะนำโรคไข้เลือดออกทั้งสิ้น



ก่อนกำจัดมารู้จักวงจรชีวิตของยุงลาย เพื่อการกำจัดอย่างถึงรากถึงโคน วงจรชีวิตของยุงลายมี 4 ระยะ คือ หลังจากกินเลือดแล้ว 4-5 วัน ก็จะวางไข่ ซึ่ง ไข่ เมื่อวางออกมาใหม่ ๆ จะมีสีขาวนวล ต่อมาจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลและดำสนิทภายใน 24 ชั่วโมง ก่อนจะกลายเป็น ลูกน้ำ ระยะนี้ใช้เวลาฟักตัว 4-5 วัน จึงกลายเป็น ตัวโม่ง และ1-2 วันหลังจากนั้นจะเข้าสู่ช่วง ตัวเต็มวัย



ฉะนั้น การกำจัดยุงลายให้สิ้นซาก ควรจัดการตั้งแต่ระยะลูกน้ำ เริ่มต้นจาก ปิดปากภาชนะเก็บน้ำ ด้วยผ้า ตาข่ายไนล่อน อะลูมิเนียม หรือวัสดุอื่นที่สามารถปิดภาชนะเก็บน้ำนั้นได้อย่างมิดชิด จนยุงไม่สามารถเข้าไปวางไข่ได้ ต่อมาให้ หมั่นเปลี่ยนน้ำทุก 7 วัน กรณีนี้เหมาะสำหรับภาชนะเล็ก ๆ เช่น แจกันดอกไม้ แจกันหิ้งบูชาพระ และแจกันประดับเป็นต้น หากบ้านไหนปลูกต้นไม้ในกระถางและเป็นกระถางขนาดใหญ่ให้ ใส่ทรายในจานรองกระถางต้นไม้ลึกประมาณ 3 ใน 4 ของความลึกของจาน กระถางต้นไม้นั้น เพื่อให้ทรายดูดซึมน้ำส่วนเกินจากการรดน้ำต้นไม้ หมั่นทำความสะอาดบ้านเรือน ทุกซอกทุกมุมให้สะอาด ปราศจากความอับชื้น ที่สำคัญ ทำลายเศษวัสดุที่ไม่ใช้และโละทิ้งของที่คิดว่าเผื่อจะใช้ในอนาคต อันเป็นแหล่งพักผ่อนของยุงลายด้วย



สำหรับคุณแม่บ้านที่ต้องการป้องกันแต่เนิ่น ๆ หวังผลให้ฤทธิ์ควบคุมยาว 3 เดือนโดยประมาณ แนะนำให้ใช้ ทรายอะเบท เพราะทรายชนิดนี้เป็นทรายเคลือบสารเคมีในกลุ่มออร์แกโนฟอสเฟต ใช้ใส่น้ำเพื่อกำจัดลูกน้ำยุงลาย ในอัตราส่วน ทรายอะเบท 1 กรัม ต่อน้ำ 10 ลิตร ซึ่งทรายอะเบทจะใช้ได้ผลดีกับแหล่งน้ำนิ่งที่ค่อนข้างสะอาด แต่ทรายอะเบทมีราคาค่อนข้างแพงและหาซื้อยาก จึงควรใช้ในกรณีที่จำเป็น

อย่างไรก็ตาม หากมีการขยายพันธุ์ของยุงลายแล้วและไข้เลือดออกระบาดหนักแล้ว การใช้ทรายอะเบทจะไม่ทันการ เพราะทรายอะเบทเป็นเคมีที่ใช้ฆ่าลูกน้ำ แต่ไม่ได้ฆ่าตัวยุงเต็มวัย

อีกวิธีเป็นของหาง่ายภายในบ้าน ได้แก่ เกลือแกง, น้ำส้มสายชู และ ผงซักฟอก เอาไปใส่ที่จานรองขาตู้กับข้าว เท่านี้ก็ป้องกันการวางไข่ได้แล้ว ยิ่งบ้านไหนเลี้ยงปลากินลูกน้ำ อาทิ ปลาหางนกยูง, ปลาสอด, ปลากัด ด้วยจะดีมาก

หากป้องกันแล้ว แต่ยังพลาดโดนยุงกัด ลองสังเกตเบื้องต้นตาม ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ นพ.สันต์ ใจยอดศิลป์ (http://visitdrsant.blogspot.com) ว่าใช่ไข้เลือดออกหรือไม่ ในข้อมูลระบุว่า ไข้เลือดออกหรือ Dengue Hemorrhagic Fever (DHF) เกิดจากเชื้อไวรัสเดงกี เป็น โรคที่ติดต่อจากคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง โดยมีพาหะคือยุงลาย เมื่อเชื้อเข้ามาสู่ตัวคนแล้วจะมีระยะฟักตัว 3-14 วัน จากนั้นจึงเข้าระยะเป็น ไข้สูงอยู่นาน 2-7 วันจากปฏิกิริยาที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายพยายามกำจัดเชื้อ อาจชักเพราะไข้สูง อาจมีจุดเลือดออกตามตัว มีตับโตเนื่องจากเกิดการอักเสบที่ตับแล้ว

เมื่อไข้เริ่มจะลงก็เข้าสู่ระยะช็อก จากการที่ผนังหลอดเลือดที่เกิดการอักเสบจนปล่อยให้สารน้ำในหลอดเลือดรั่วออกไปนอกหลอดเลือด ทำให้เลือดข้นขึ้นแต่ปริมาตรเลือดลดลงจนไม่พอไหลเวียน ผู้ป่วยจะมีอาการซึม เหงื่อออก มือเท้าเย็น ไม่ถ่ายปัสสาวะ ชีพจรเบาและเร็ว มีเลือดออกง่าย เพราะเกร็ดเลือดต่ำโดยไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด

ถ้าโรคเป็นมากก็ช็อกจนเสียชีวิตได้ ระยะนี้จะนาน 1-2 วัน เมื่อผ่านไปได้ก็จะเข้าระยะพักฟื้น คือค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายเป็นปกติ โรคนี้มีอัตราตายต่ำกว่า 1% แต่ถ้ามีอาการช็อกจะมีอัตราตายสูงถึง 12-44% การวินิจฉัยโรคนี้ต้องเจาะเลือดตรวจหาภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไข้เลือดออก หรือตรวจหาตัวเชื้อ (antigen) ไข้เลือดออกนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม เพื่อความสบายใจ หากไข้ไม่ลด 2-3 วัน แนะนำพบแพทย์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #274 เมื่อ: มีนาคม 07, 2013, 07:51:13 PM »

อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม


อันตรายจากน้ำมะนาวเทียม
ใครที่ชอบทานส้มตำคงคุ้นตาดีกับภาพแม่ค้าขายส้มตำปรุงรสด้วยน้ำมะนาวสีเขียว ใสๆ ที่บรรจุอยู่ในขวดแก้ว (อันที่จริงก็ไม่ถึงกับทุกร้านหรอกนะครับ) น้ำมะนาวที่เห็นนั้นเรียกว่าน้ำมะนาวเทียมหรือเกร็ดมะนาว ให้มีรสเปรี้ยวแหลม ราคาถูก อีกทั้งยังมีสีสันคล้ายคลึงกันกับน้ำมะนาวจริงเกือบทุกประการ



สิ่งที่ต้องระวังสำหรับผู้ที่ทานน้ำมะนาวเทียมเป็นประจำก็คือ เครื่องปรุงรสดังกล่าวผลิตมาจากกรด “ซิตริก” ซึ่งถูกใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม มีความบริสุทธิ์น้อยและมีสารปนเปื้อนที่สำคัญสามารถย่อยสลายสิ่งต่างๆได้ ไม่เว้นแม้แต่อวัยวะภายในระบบทางเดินอาหารของผู้บริโภค ผู้ที่ชื่นชอบอาหารรสแซบทั้งหลายไม่ว่าจะเป็นต้มยำ ส้มตำ หรือแม้แต่น้ำหวานหรือไอศกรีมรสมะนาวต้องคอยสังเกตวัตถุดิบที่พ่อค้า


นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของอาหารที่มีสารปนเปื้อนในความเป็นจริงแล้ว อาหารต่างๆ ที่ผ่านกระบวนการทางอุตสาหกรรม และมุ่งหวังผลประโยชน์การค้าเป็นสำคัญล้วนมีสารพิษชนิดใดชนิดหนึ่งที่เจือปนอยู่ทั้งนั้น นับเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่งของมนุษย์ยุคปัจจุบันที่ไม่อาจสืบทราบที่มา ตลอดจนเส้นทางการเดินทางของอาหารที่ตนทานได้

หนทางป้องก้น จึงควรที่จะหลีกเลี่ยงการบริโภคอาหารที่มีสารปนเปื้อน หรือใช้วิธีการบริโภคอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน หรือใช้วิธีการรับประทานอาหารเหล่านี้หมุนเนียนสับเปลี่ยนทานอาหารให้ได้หลากหลายประเภทโดยไม่ซ้ำหน้ากันก็จะช่วยลดความเสี่ยงสะสมในการรับและสะสมสารพิษภายในร่างกายลงได้

ส่วนการรณรงค์ให้ผู้ประกอบการ ลด ละ เลิก การใช้สารเคมีนั้น เป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลายาวนาน


ที่มาข้อมูลและภาพ eduzones.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #275 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 07:53:54 AM »

มาใส่ใจ "สมอง" ด้วยอาหารกันเถอะ



การรับประทานอาหารนั้นแน่นอนว่าย่อมสัมพันธ์กับการทำงานของสมอง อันที่จริงแล้วมีคนถึงกับกล่าวว่า สมองเป็นอวัยวะที่ตะกละตะกลามที่สุดในร่างกายของเราเลยทีเดียว สิ่งที่เรากินจึงส่งผลกระทบไปยังความคิด และพฤติกรรมของเราอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

นักวิชาการด้านอาหารของญี่ปุ่นแนะนำว่า ในหนึ่งวันควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็น 3 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็น และรักษาความสมดุลในแต่ละมื้อให้ดี เพราะด้วยความเร่งรีบในชีวิตประจำวันของคนสมัยใหม่ทำให้หลายๆ คนงดมื้อเช้า หรือบางคนห่วงสวย ต้องการลดอาหารก็จะงดมื้อเย็นเสีย ทำให้สมองไม่ได้รับสารอาหารอย่างเพียงพอ

ขณะที่ช่วงพักกลางวัน บ่อยครั้งที่สาวออฟฟิศจะบอกตัวเองว่างานยุ่ง ไม่ต้องลงไปพักก็แล้วกัน แต่การพักกลางวันนั้นอันที่จริงไม่ได้เป็นการพักรับประทานอาหารเท่านั้น แต่ยังเป็นการพักสมองของคุณด้วย ในหนึ่งชั่วโมงนี้ร่างกายควรได้รับทั้งสารอาหารและออกซิเจนอย่างเพียงพอ (อากาศจากเครื่องปรับอากาศในตึกมีออกซิเจนไม่เพียงพอต่อชีวิตนับหมื่นในตึก) เพื่อให้การทำงานในช่วงบ่ายเป็นไปได้อย่างกระปรี้กระเปร่า ไม่หงุดหงิดง่าย


สำหรับอาหารที่รับประทานนั้นก็ควรงให้ครบห้าหมู่ มีทั้งเนื้อสัตว์ ผัก และผลไม้ โดยเฉพาะท่านที่ย่างเข้าสู่วัยกลางคนก็ควรเลือกรับประทานเนื้อสัตว์จำพวกปลามากกว่าเนื้อหมูหรือวัวที่ย่อยยาก มิฉะนั้นจะทำให้ง่วงในช่วงบ่าย เพราะร่างกายต้องทุ่มเทพลังงานให้กับการย่อยมากเกินไป

วิตามินที่ช่วยบำรุงสมองนั้นได้แก่ วิตามิน B1 B6 และ B12 ช่วยดูแลการทำงานของสมอง นอกจากนี้ B12 ยังช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ วิตามิน A เป็นอาหารสมอง ส่วนวิตามินC และ E ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
 

โคเอนไซม์ คิว10 ช่วยรักษาสมดุลในการทำงานของสมอง สำหรับอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อสมองเหล่านี้ ได้แก่ เห็ด ถั่ว ข้าวซ้อมมือ ผัก และผลไม้ ส่วนจังค์ฟู้ด หรืออาหารขยะที่ชาวอเมริกันนิยมกันนั้นอาจทำให้สมองของคุณด้อยประสิทธิภาพลงเร็วกว่าที่ควร



ขอเสริมอีกนิดอย่างที่ได้กล่าวกันไปแล้วว่า ออกซิเจนนั้นเป็นหนึ่งในอาหารสมองที่สำคัญ แต่หลายๆ คนมักหายใจอย่างไม่มีประสิทธิภาพ บางท่านอาจจะงงว่าเราก็หายใจกันอยู่ทุกวินาที ไฉนจึงบอกว่าไม่มีประสิทธิภาพ แต่อย่าลืมว่าเราเพียงหายใจตามความเคยชินของตัวเองเท่านั้น ยกตัวอย่างสาวบางคนติดจะแขม่วหน้าท้องไว้เสมอ ก็จะทำให้หายใจไม่ลึก แถมมนุษย์ยุคใหม่ยังมีแนวโน้มจะหายใจถี่ สั้น ตามการดำรงชีวิตที่เร่งรีบ ทำให้ร่างกายไม่ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ


เรื่องการฝึกหายใจจึงเริ่มมีคนให้ความสนใจมากขึ้น ทุกเช้าหลังตื่นนอนให้ฝึกหายใจลึกๆ 5-10 ครั้ง ก็นับเป็นการเริ่มต้นวันที่ดี อ้อ! การนั่งสมาธิก็เป็นการฝึกหายใจได้ดีอีกวิธีหนึ่งนะคะ ไม่ว่าใครก็อยากมีสมองที่ดี ทำงานให้กับเราอย่างซื่อสัตย์ ยืนยาวกันทั้งนั้น มาเริ่มเอาใจใส่ ‘สมอง’ ของตัวเองและคนรอบข้างเสียแต่วันนี้เถอะค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #276 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 07:55:51 AM »

กินยาลดความดันให้ถูกวิธี


ความดันโลหิตสูงเป็นโรคที่พบได้บ่อย และจำเป็นจะต้องรักษาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนต่างๆ เช่น โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หัวใจวาย โรคไต หรือหลอดเลือดในสมองแตก เป็นต้น การรักษาโรคความดันโลหิตสูงนั้น มีทั้งการรักษาโดยใช้ยาและไม่ใช่ยาประกอบกัน หากผู้ป่วยต้องทานยาลดความดันโลหิต ควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องเกี่ยวกับการใช้ยาดังกล่าว

ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารด้านยา โรงพยาบาลเวชธานี ให้ข้อมูลว่า การทานยาลดความดันโลหิต ควรทานยาสม่ำเสมอ ไม่หยุดยา หรือปรับขนาดยาขึ้น ลง เอง  ผู้ป่วยหลายท่านเมื่อทานยาไประยะหนึ่งแล้วความดันโลหิตลดลง และไม่มีอาการผิดปกติอะไร อาจเข้าใจว่าหายแล้ว ไม่มีอันตราย จึงหยุดทานยาไปเอง  ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากโรคความดันโลหิตสูงเป็นโรคเรื้อรัง ไม่หายขาด ต้องใช้ยาอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง  การทานยาแล้วความดันโลหิตลดลงมาเป็นปกติแสดงว่าควบคุมความดันโลหิตได้ดี ลดโอกาสเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้  แต่หากหยุดยาเมื่อใด ความดันโลหิตจะกลับมาสูงอีกและอาจทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้

นอกจากนี้ หากมีเพื่อนหรือคนรู้จักแนะนำยา หรืออาหารเสริมที่ระบุว่ามีผลดีในการลดความดัน ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อน ไม่ควรเปลี่ยนยาหรือรับประทานยาเพิ่มเอง เนื่องจากการได้รับยาลดความดันโลหิตมากเกินไปอาจทำให้ความดันลดต่ำจนเป็นอันตรายได้

อย่างไรก็ตาม การทานยาลดความดันโลหิตนั้น ควรทานในเวลาเดิมทุกวัน เพื่อให้ยาออกฤทธิ์ควบคุมความดันได้อย่างสม่ำเสมอ เช่น ทานยาตอนเช้า ก็ควรทานตอนเช้าทุกวัน ไม่เปลี่ยนเป็นบางวันเช้า บางวันเย็น บางวันก่อนนอน เป็นต้น ส่วนจะทานยาก่อนหรือหลังอาหารนั้น ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของยาแต่ละชนิด ควรสอบถามแพทย์หรือเภสัชกรให้เข้าใจก่อนเริ่มทาน

กรณีลืมทานยา หากยังมีเวลาอีกนานกว่าจะถึงมื้อถัดไปให้ทานทันทีที่จำได้ แต่หากอีกไม่นานจะถึงมื้อถัดไปให้มื้อถัดไปตามปกติ ไม่ต้องทานเพิ่มเป็น 2 เท่า เพราะจะทำให้ความดันลดต่ำลงอย่างมาก และอาจเกิดอาการหน้ามืด เป็นลมได้

สำหรับผู้ป่วยที่ได้รับยาลดความดันโลหิตในกลุ่มยาขับปัสสาวะ จะทำให้ผู้ป่วยปัสสาวะบ่อยกว่าปกติ โดยทั่วไปหากทานวันละ 1 ครั้ง ควรทานตอนเช้า แต่หากต้องทานวันละ 2 ครั้ง ควรทานตอนเช้าและกลางวัน ไม่ควรทานตอนเย็นหรือก่อนนอน เพราะจะทำให้ต้องลุกมาปัสสาวะตอนกลางคืนบ่อยครั้ง

นอกจากการทานยาแล้ว ผู้ป่วยควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตร่วมด้วยเพื่อให้ควบคุมความดันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น เช่น หากผู้ป่วยมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน การลดน้ำหนักสามารถลดความดันโลหิตได้ 5-20 มิลลิเมตรปรอท ต่อการลดน้ำหนักตัว 10 กิโลกรัม

ควรทานผัก ผลไม้ให้มาก เพื่อลดปริมาณไขมันในอาหารโดยเฉพาะไขมันอิ่มตัว ลดทานเกลือโซเดียมให้น้อยกว่า 6 กรัมของโซเดียมคลอไรด์ต่อวัน ควรออกกำลังกายชนิดแอโรบิกอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดินเร็วๆ อย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน และเกือบทุกวัน จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกิน 2 ดริ้งค์ ต่อวันในผู้ชาย และไม่เกิน 1 ดริ้งค์ ต่อวันในผู้หญิงและคนน้ำหนักน้อย (1 ดริ้งค์ เทียบเท่ากับ 44 มิลลิลิตร ของสุรา 40% หรือเท่ากับ 355 มิลลิลิตร ของเบียร์ 5% หรือ 148 มิลลิลิตร ของเหล้าองุ่น 12%).
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #277 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 08:00:31 AM »

จัดการสิ่งแปลกปลอมเข้าตา


แม้ว่าดวงตาจะอยู่ในเบ้าตา ซึ่งมีโครงกระดูกปกป้องภยันตรายอย่างดี มีหนังตาคอยปิดป้องกันฝุ่นละอองหรืออันตรายอื่นๆ แต่อุบั ติเหตุหรือความประมาทเลินเล่อก็อาจจะเป็นเหตุให้มีสิ่งแปลกปลอมมาสัมผัสกับดวงตาได้เสมอ ความรู้เรื่องวิธีการดูแลเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งจำเป็น




สิ่งแปลกปลอมที่เยื่อบุตาขาว
มักจะเกิดจากวัตถุเล็กๆ ปลิวเข้าตา เช่น ฝุ่นละออง เศษดิน ปีกแมลง เศษผง ซึ่งจะก่อให้เกิดอาการเจ็บตา ระคายเคืองตาทันที แต่บางครั้งอาการอาจจะไม่มากนัก พอที่จะลืมตาได้เอง

วิธีดูแลเบื้องต้น ใช้ไฟฉายส่องดูว่ามีเศษวัสดุติด อยู่บริเวณไหนของเยื่อบุตา ส่วนวิธีที่เอาออกง่ายๆ คือ การลืมตาในน้ำหรือล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที หากอาการเคืองยังไม่หาย และเห็นวัสดุแปลกปลอมอยู่ ให้ใช้ไม้พันสำลีสะอาดเขี่ยออก แต่ถ้าเศษวัสดุนั้นติดแน่นอาจใช้คีมขนาดเล็กๆ คีบออก หรือหากมีเข็มอาจใช้เข็มค่อยๆ เขี่ยออก เพราะโดยปกติเยื่อบุตาขาวจะไม่ค่อยไวต่อความรู้สึก เมื่อเอาเข็มเขี่ยจะเจ็บไม่มาก จึงพอทำได้โดยไม่ต้องใช้ยาชาหยอด แต่ถ้ามียาชาชนิดหยอดช่วยจะทำให้เขี่ยออกได้ง่ายขึ้น หากเขี่ยไม่ออกหรือเมื่อเอาออกแล้วยังเจ็บเคืองตามาก ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุ

อนึ่ง มีเศษผงบางชนิดอาจติดที่เยื่อบุตาใต้หนังตา ซึ่งต้องพลิกหนังตาถึงจะเห็นผง ดังนั้นหากเอาไฟฉายส่องแล้วไม่พบเศษผง แต่ผู้ป่วยยังเจ็บเคืองตาอยู่ โดยเฉพาะเวลากระพริบตา ควรต้องพลิกหนังตาดูว่ามีเศษผงติดอยู่ด้านในหรือไม่ หากพบก็มักใช้ไม้พันสำลีเขี่ยออกได้ไม่ยาก

เศษผงติดที่กระจกตาหรือตาดำ

หากมีเศษผงติดอยู่ที่บริเวณนี้ ผู้ป่วยมักจะมีอาการเจ็บและเคืองตามากทันที ด้วยเหตุที่กระจกตามีประสาทรับความรู้สึกมากกว่าเยื่อบุตา โดยเศษผงที่มักติดอยู่ที่กระจกตาอาจเป็นเศษเหล็ก ซึ่งผิวขรุขระจึงเกาะและฝังอยู่ที่กระจกตาได้ง่าย และหากปล่อยทิ้งไว้จะมีสนิมเหล็กรอบๆ ในเวลาต่อมา หรืออาจจะเป็นแมลงปีกแข็ง โดยปีกอาจฝังอยู่และเกาะแน่น เช่นเดียวกับเศษไม้ที่มีขอบคมก็อาจฝังอยู่ได้ โดยวัตถุที่มีสีคล้ำอย่างเศษเหล็ก ปีกแมลง จะมองเห็นได้ง่ายด้วยไฟฉาย แต่หากเป็นวัสดุสีใส เช่น แก้วหรือพลาสติกอาจมองเห็นได้ยาก ต้องใช้ไฟฉายส่องหลายๆ มุม จึงจะมีเงาให้เห็น

วิธีดูแลเบื้องต้น หากพบหรือสงสัยว่ามีเศษผงติดที่กระจกตาให้ลองใช้น้ำสะอาดล้าง แต่หากจะลองเขี่ยออกเองต้องใช้ยาชาหยอดก่อน มิเช่นนั้นจะทำได้ยาก ถ้าไม่แน่ใจควรไปพบแพทย์จะปลอดภัยกว่า เพราะบางครั้งการเขี่ยผงที่ตาดำกันเองอาจเป็นเหตุให้ผงฝังลึกลงไปอีก ซึ่งจะเขี่ยออกได้ยากยิ่งขึ้น ที่สำคัญ แม้จะเอาผงที่ติดอยู่ที่กระจกตาออกได้แล้ว ก็ต้องคอยสังเกตอาการ เนื่องจากอาจมีการติดเชื้อตามมาได้ โดยแผลติดเชื้อของกระจกตาเป็นปัญหาที่สำคัญ เพราะอาจทำให้ตาบอดได้ถ้ารักษาไม่ถูกต้อง และมักพบในผู้ที่มีประวัติผงเข้าตานำมาเสนอ

สารเคมีเข้าตา
โดยอาจจะเป็นสารเคมีอ่อนๆ เช่น น้ำยาล้างจาน น้ำยาล้างห้องน้ำ แก๊สน้ำตาหรือวัตถุอันตรายที่รุนแรงกว่า เช่น น้ำกรดจากแบตเตอรี่รถยนต์ เป็นต้น หากสารเคมีที่เข้าตาเป็นสารเคมีอ่อนๆ ก็อาจทำลายเฉพาะผิวๆ ได้แก่ เยื่อบุตาหรือผิวหน้าของกระจกตาเท่านั้น แต่ถ้าเป็นกรดหรือด่างที่เข้มข้นก็อาจจะทะลุทะลวงผ่านกระจกตาเข้าไปทำลายสิ่งที่อยู่ภายในดวงตาอย่างม่านตา แก้วตา และก่อให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงภายในดวงตาถึงขั้นทำให้ตาบอดได้


โดยความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นกับดวงตาขึ้นอยู่กับ
• ขนาดพื้นผิวตาที่มีสัมผัสและระยะเวลาที่สารเคมีอยู่ในตา

• ชนิดของสารเคมี โดยทั่วไปด่างจะรุนแรงกว่ากรด และยิ่งสารเคมีมีความเข้มข้นมากก็จะยิ่งมีอันตรายมาก
• ความลึกที่สารเคมีซึมผ่าน โดยด่างจะมีความสามารถในการทะลุทะลวงได้ลึกกว่ากรด
• บริเวณที่สัมผัสสารเคมี หากเป็นบริเวณตาขาวต่อตาดำจะมีโอกาสถูกสารเคมีทำลายมาก และกระจกตาจะหายคืนสู่สภาพปกติได้ยาก เพราะเป็นบริเวณของ Stem Cell ซึ่งเป็นเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์บุผิวกระจกตา

สำหรับอันตรายของสารเคมีที่ควรระวัง ได้แก่

สารเคมีประเภทด่าง
- NH4OH เป็นด่างที่ทำลายดวงตาได้รุนแรงที่สุด เพราะสามารถซึมผ่านกระจกตาได้ทันทีและรวดเร็ว NH4OH มักอยู่ในรูปของแอมโมเนียที่พบได้ในปุ๋ย สารทำความเย็น สารทำความสะอาด ซึ่งเมื่อรวมกับน้ำจะเกิดไอระเหยของ NH4OH ซึมเข้าตาอย่างรวดเร็ว และทำอันตรายต่อดวงตาได้มาก
- โซดาไฟ (NaOH) พบในน้ำยาทำความสะอาดล้างท่อ เป็นด่างที่รุนแรงมาก
- แมกนีเซียมไฮดรอกไซด์ เป็นด่างที่มีอยู่ในดอกไม้ไฟ ไม่ค่อยรุนแรง แต่อาจมีผลเสียจากความร้อนได้
- ปูนขาว ปูนซีเมนต์ ปูนฉาบผนัง เป็นสาร Ca (OH)2 อันตรายจากสารเคมีประเภทนี้มักเกิดขึ้นบ่อยกับช่างปูน โดยมักมีความรุนแรงมากขึ้น ถ้ายังมีเศษปูนค้างอยู่

สารเคมีประเภทกรด
- กรดซัลฟูริค (H2SO4) พบในแบตเตอรี่รถยนต์ น้ำยาทำความสะอาดในภาคอุตสาหกรรม มีอันตรายต่อตาปานกลาง
- กรดซัลฟูรัส (H2SO3) มาจากสารที่ใช้กันบูดในผักหรือผลไม้ โดยถ้ารวมกับน้ำจะได้ซัลเฟอร์ ซึ่งซึมเข้าตาได้ง่าย
- กรดกัดกระจก (HF) มีในสารขัดกระจก กลั่นแร่ การปรับคุณภาพน้ำมันเบนซิน การผลิตซิลิโคน
- กรดน้ำส้ม ได้แก่ น้ำส้มสายชู กรดอะเซติคในน้ำแข็ง มีความรุนแรงไม่มากนัก
- กรดโครมิค พบในอุตสาหกรรมชุบโครเมี่ยม ทำให้เยื่อบุตาขาวเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล
- กรดเกลือ ที่ใช้เป็นสารละลาย

วิธีดูแลเบื้องต้น การรู้แหล่งที่มาของสารเคมีต้นเหตุและความรุนแรงของอุบัติเหตุ จะช่วยในการประเมินความเสียหายต่อดวงตา เช่น คุณแม่บ้านถูกน้ำส้มสายชูกระเด็นเข้าตาน่าจะเกิดจากกรดน้ำส้มที่ไม่ค่อยรุนแรง เมื่อเทียบกับคนงานล้างท่อถูกน้ำยาล้างท่อกระเด็นเข้าตา ซึ่งน่าจะเกิดจากโซดาไฟที่เป็นด่างอันตรายรุนแรง สำหรับวิธีการดูแลอันดับแรกที่ต้องทำด่วนคือ การขจัดสารเคมีออกจากตาโดยเร็วที่สุด โดยการล้างตาด้วยน้ำสะอาดที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด ล้างบ่อยๆ และนานพอ รวมถึงต้องไปพบแพทย์ ซึ่งมักจะต้องล้างตาซ้ำอีก เพื่อล้างทุกซอกให้สารเคมีหมดไปจากตา แล้วประเมินพยาธิสภาพที่เกิดขึ้นเพื่อการรักษาต่อไป หากเป็นสารเคมีที่ไม่รุนแรง เช่น น้ำส้มสายชู หรือน้ำยาล้างจานกระเด็น การล้างตาอาจทำให้หายเป็นปกติได้โดยเร็ว อย่าเข้าใจผิดว่า ถ้ากรดเข้าตาต้องเอาด่างเข้าไปล้างเด็ดขาด เพราะจะเกิดการทำลายอย่างรุนแรงจากสารเคมีทั้ง 2 ตัว ร่วมกับถูกความร้อนที่เกิดขึ้นทำลายตามากขึ้นไปอีก
สิ่งแปลกปลอมภายในลูกตา

มักจะเกิดจากอุบัติเหตุที่รุนแรงที่ทำให้เกิดแผลฉีกขาดของลูกตา โดยอาจจะเป็นการฉีกขาดของกระจกตาหรือ ตาขาว ทำให้เศษวัสดุแปลกปลอมผ่านรูฉีกขาดเข้าไปฝังอยู่ภายในลูกตา การบาดเจ็บลักษณะนี้มักจะมีประวัติชัดเจน เช่น เกิดจากการตอกตะปู โดนระเบิด ทำให้มีอาการเจ็บปวดและตามัวลง รวมถึงควรตรวจพบรอยฉีกขาด แต่ในบางครั้งรูที่ขาดอาจเล็กมากและแผลปิดได้เอง หรือถ้าเป็นเศษเหล็กชิ้นเล็กๆ ในตอนแรกอาจไม่มีอาการอะไรเลย

วิธีการดูแล หากมีประวัติว่าตอกตะปูแล้วคล้ายมีอะไรกระเด็นเข้าตา ต้องได้รับการตรวจตาจากแพทย์อย่างละเอียด หรือในบางครั้งอาจต้องใช้เอ็กซเรย์ช่วยตรวจว่ามีเศษเหล็กฝังอยู่หรือไม่ โดยหากเศษวัสดุที่ฝังอยู่ในตาเป็นเหล็กหรือทองแดงก็จำเป็นต้องเอาออก เพราะตาจะอักเสบรุนแรงหากทิ้งไว้ และทำให้ตาบอดได้ในภายหลัง เนื่องจากทั้งเหล็กและทองแดงจะทำลายภายในดวงตาได้ ต่างจากทองคำ เช่น ตะกั่ว อาจจะไม่เกิดปฏิกิริยามากนัก ถ้าฝังอยู่ในที่ไม่อันตรายอาจปล่อยทิ้งไว้ในตาได้ อย่างไรก็ตาม การมีวัสดุแปลกปลอมภายในตาทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อ เพราะวัสดุดังกล่าวจะนำเอาเชื้อโรคเข้าไปด้วย จึงต้องได้รับการดูแลรักษาจากแพทย์อย่างเคร่งครัด หรือหากสงสัยว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้าตาต้องไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจหาอย่างละเอียด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #278 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 08:02:14 AM »

ความลับในกระป๋องน้ำอัดลม


รู้หรือไม่ว่าน้ำอัดลมที่เรากินๆ กันเข้าไป มันมีอะไรอยู่ในนั้นบ้าง ส่งผลต่อร่างกายเราอย่างไรบ้าง...

สัดส่วนของเครื่องดื่มอัดลมกระป๋อง นอกจากจะมีโซดาเป็นส่วนประกอบใหญ่ที่ให้แคลอรี 150 แคลอรี ยังมีน้ำตาล 10 ช้อนโต๊ะ มีกาเฟอีนอยู่ตั้งแต่ 30-55 มิลลิกรัมอีกด้วย และมีสิ่งที่ผู้ผลิตแถมมาให้เราอีกก็คือ สีผสมอาหารและสารซัล ไฟต์ (สารกันบูดประเภทหนึ่ง) ซึ่งส่วนประกอบทั้งหมดสามารถส่งผลร้ายต่อสุขภาพของเราทั้งหมด 13 ข้อ ได้แก่...

- ความดันโลหิต
- ภาวะคอเลสเตอรอลสูง
- ระบบย่อยอาหารทำงานแย่ลง
- ฟันผุ
- กระดูกบางลง
- ภาวะร่างกายขาดน้ำ
- ตับถูกทำลาย
- โรคเบาหวาน
- โรคอ้วน
- อาการแสบร้อนกลางอก
- ไตถูกทำลาย
- โรคข้อ
- โรคมะเร็ง


รู้อย่างนี้แล้ว หันมาสั่งน้ำเปล่ากันดีกว่าไหม....


น้ำผลไม้แบบเป็นกล่อง มีคุณค่าหรือเปล่า


ที่มา...สุขกายสบายใจ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #279 เมื่อ: มีนาคม 26, 2013, 08:05:08 AM »

อาหารดิบ...ดีจริงหรืออันตราย?


เนื้อกึ่งดิบ หรือซาซิมินี่มันช่างหวานนุ่ม แต่กินแล้วมันดีกว่าอาหารปรุงสุกตรงไหน และอันตรายอย่างไร เป็นสิ่งที่คุณไม่รู้ไม่ได้ เขาอ้างกันว่า อาหารดิบนั้นมีเอนไซม์และสารอาหารจากธรรมชาติที่ดีต่อร่างกายที่สุด พร้อมกับช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ด้วย แต่ความจริงคืออะไร ลองไปดูกัน

ทฤษฎีของอาหารดิบ
เทคนิคการกิน Raw Food Diet นั้นมีหลากหลายมาก และคุณก็สามารถคิดค้นได้ด้วยตัวเองเสียด้วยซ้ำ โดยปกติแล้วร้อยละ 75-80 ของอาหารที่คุณกินจะมาจากพืช และไม่ปรุงด้วยความร้อนเกิน 115 องศาฟาเรนไฮต์ มีคนน้อยมากที่กินอาหารดิบจริง ๆ โดยนอกจากผักแล้วก็ยังเลือกกินซาซิมิ ปลาดิบ และเนื้อสัตว์ดิบบางชนิดได้ และคุณก็สามารถกินผักและผลไม้สดได้ อย่างหน่ออ่อนของพืช เมล็ดพืช และถั่ว รวมถึงเม็ดมะม่วงหิมพานต์ น้ำผลไม้สด น้ำมันมะกอกเอ็กซ์ตร้าเวอร์จิ้น น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์ และธัญพืช

สารอาหารและแร่ธาตุจากอาหารดิบ

ไขมัน : ด้วยความที่อาหารดิบจะเน้นผักกับผลไม้ ปริมาณไขมันที่รับจึงอยู่ระหว่างร้อยละ 20-35 ของปริมาณแคลอรี่ทั้งหมดที่ควรได้รับจากไขมันในแต่ละวัน ข้อดีคือไขมันเหล่านี้จะเป็นพวกไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีอีกด้วย
โปรตีน : แม้จะไม่ได้กินเนื้อสัตว์มากมาย แต่โปรตีนก็ยังอยู่ในระดับพอดีๆ ด้วยผักใบเขียว เมล็ดพืช และถั่ว
คาร์โบไฮเดรต : ไม่มากและไม่น้อยเกินไป
เกลือ : ต้องแยกระหว่างการกินอาหารแบบ Raw Food กับอาหารญี่ปุ่น โดยอย่างแรกนั้นคุณจะพบว่า การบริโภคเกลือน้อยลงมากและอยู่ในปริมาณที่แนะนำคือ โซเดียมไม่เกินวันละ 2,300 มิลลิกรัม (ยกเว้นผู้สูงอายุผู้ป่วยความดันโลหิตสูง เบาหวาน หรือโรคไตเรื้อรัง ซึ่งจำกัดไว้ไม่เกิน 1,500 มิลลิกรัม) ในทางตรงกันข้ามการใช้โชยุอาจทำให้ระดับโซเดียมพุ่งสูงขึ้นได้ง่ายๆ



สารอาหารที่จำเป็นอื่นๆ
ใยอาหาร : ไม่ต้องห่วงเรื่องใยอาหาร หากคุณกินผัก ผลไม้ ธัญพืช ถั่ว และเมล็ดพืชเป็นหลัก เพราะอาหารเหล่านี้มักจะมีใยอาหารสูงอยู่แล้ว ดังนั้น คุณน่าจะได้รับใยอาหารในปริมาณที่เหมาะสมคือ 22-34 กรัมต่อวัน
โพแทสเซียม : สารอาหารชนิดนี้มีความจำเป็นต่อการควบคุมระดับความดันโลหิต ลดความเสื่อมของมวลกระดูก และลดโอกาสเกิดนิ่วในไต อย่างไรก็ดี การกินโพแทสเซียมให้ได้ปริมาณ 4,700 มิลลิกรัมต่อวันนั้นค่อนข้างยาก (แม้กล้วยจะมีโพแทสเซียมสูง แต่นั่นก็หมายความว่าคุณต้องกินประมาณ 11 ผลต่อวัน)
แคลเซียม : แคลเซียมไม่ได้จำเป็นสำหรับกระดูกเท่านั้น แต่ยังสำคัญต่อการสร้างเม็ดเลือดและการทำงานของกล้ามเนื้อ ซึ่งการกินอาหารดิบอาจทำให้คุณได้รับแคลเซียมน้อยเกินไปก็ได้ ดังนั้น จึงจำเป็นต้องเลือกกินคะน้า ผักใบเขียว แอพริคอตแห้ง เพื่อช่วยทดแทน
วิตามินบี 12 : ผู้ใหญ่ควรได้รับสารอาหารชนิดนี้ อย่างน้อย 2.4 ไมโครกรัม มันจำเป็นอย่างมาก ต่อกระบวนการเมตาบอลิซึ่มของเซลล์ อย่างไรก็ดี วิตามินบี 12 พบในเนื้อสัตว์เป็นส่วนใหญ่ แม้ยีสต์ธรรมชาติอาจจะพอช่วยชดเชยได้บ้าง แต่การกินแคปซูลเสริมก็อาจจำเป็นเช่นกัน
วิตามินดี : ผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับแสงแดดมากพอ จำเป็นจะต้องได้รับวิตามินดีอย่างน้อย 15 ไมโครกรัมต่อวัน

อาหารดิบช่วยลดโรคหัวใจจริงหรือ
ยังไม่มีรายงานชัดเจน แต่การกินอาหารดิบอาจจะมีผลดีก็ได้ เนื่องจากการกินปลา ผัก และผลไม้ ถือว่ากินไขมันอิ่มตัวน้อยมาก โดยในปี 2005 วารสาร Nutrition เคยตีพิมพ์ผลการศึกษาว่า ผู้ใหญ่ 201 คนที่กิน Raw Food Diet เป็นเวลาสองปีจะมีระดับคอเลสเตอรอลโดยรวมลดลง มีเพียง 14% ที่มีระดับ LDL สูง ในขณะที่ไม่มีใครมีระดับไตรกลีเซอไรด์สูงเลย

ผลกับโรคเบาหวาน
ยังไม่มีรายงานชัดเจนเช่นกัน สิ่งที่เราควรทราบคือ การมีน้ำหนักตัวเพิ่มมากขึ้นจากการได้รับแคลอรี่ (ไม่ว่าแคลอรี่นั้นจะมาจากไหนก็ตาม) จะทำให้ระดับภาวะการต้านอินซูอินเพิ่มขึ้น ดังนั้น ในทางกลับกัน การลดน้ำหนักและรักษาให้อยู่ในระดับนั้นเอาไว้ ก็จะช่วยลดความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้



Sushi Pros & Cons

ข้อดี
โดยทั่วไปแล้วซูชิจะให้โปรตีนคุณภาพดี แต่แคลอรีต่ำ มันมีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลอยู่น้อยมากจึงดีต่อหัวใจของคุณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแซลมอน ซึ่งมีโอเมก้า-3 อยู่สูง เช่นเดียวกับปลาทูน่า ส่วนตัวสาหร่ายยิ่งเต็มไปด้วยแร่ธาตุมากมาย เช่น ไอโอดีน ซึ่งจำเป็นต่อระบบฮอร์โมนที่ปกติ นอกจากนี้ คุณยังได้แมกนีเซียม ธาตุเหล็ก และไฟโตนิวเทรียนต์ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ

นอกจากซูชิแล้ว น้ำส้มสายชูที่ใช้ในการทำซูชิก็มีคุณสมบัติต้านแบคทีเรียเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมน้ำส้มสายชูถึงถูกใช้ในการถนอมอาหารมาตั้งแต่โบราณ มันช่วยเรื่องการขับถ่าย ลดความเสี่ยงเป็นความดันโลหิตสูง และช่วยให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นด้วยไม่มากก็น้อย

ข้อเสีย
แคลอรี่แอบแฝง เพราะเครื่องปรุงส่วนใหญ่ของซูชิจะถูกม้วน หรือปั้นเป็นชิ้นเล็ก บางทีคุณก็อาจจะลืมไปว่า มันมีแคลอรี่มากขนาดไหน อย่างเช่น ซูชิทูน่าอาจมีน้อยกว่า 200 แคลอรี่ก็จริง แต่ถ้ารวมมายองเนส เทมปุระ หรือซอสอื่น ๆ คุณก็จะได้แคลอรี่เพิ่มขึ้นอีกมากโข (ซอสถั่วเหลือง มีแคลอรี่ต่ำก็จริง แต่มีโซเดียมสูง)

ระดับปรอท : แหล่งน้ำเปิด อย่างเช่น แม่น้ำ ทะเลสาบ และทะเล จะทำให้ปลาปนเปื้อนปรอท สารพิษต่อระบบประสาทที่เป็นที่รู้จักดี บรรดาปลานักล่าตัวใหญ่จะมีระดับปรอทสูงสุด รวมถึงปลาทูน่าที่พบในซูซิ ดังนั้น เด็กเล็ก สตรีมีครรภ์ หรือคนที่วางแผนจะตั้งครรภ์ควรอยู่ห่างจากปลาดิบเหล่านี้



Expert’s Corner

ภัยแฝงจากอาหารดิบ
ปลาดิบ ลาบ หลู้ อันตรายอย่างไร ลองมาฟัง นพ.ธวัช มงคลพร ผู้เชี่ยวชาญด้านทางเดินอาหารและตับ ร.พ.สมิติเวช สุขุมวิท



การกินอาหารดิบมีอันตรายอย่างไร
ภาพรวมคือ ถ้าเรากินเนื้อดิบ หรืออาหารดิบ ก็จะเสี่ยงกับการติดเชื้อแบคทีเรีย เช่น อาหารทะเลดิบๆ หรือแม้แต่อาหารปรุงสุกแล้วแต่ปล่อยไว้นานๆ ก็อาจจะทำให้ติดเชื้อได้ ยกตัวอย่างเช่น โรคหูดับที่เกิดจากการกินเนื้อหมูดิบปรุงไม่สุก ก็จะมีแบคทีเรียที่ทำให้หูหนวกได้

อย่างที่สองคือ ถ้าในกรณีที่เป็นเนื้อวัว หรือเนื้อหมู และมีพยาธิตัวตืดอยู่ เวลากินก็จะมีเม็ดสาคูซึ่งก็คือพยาธิที่ยังไม่โตเต็มวัย มันจะเจริญเติบโตภายในตัวเรา จนทำให้เกิดภาวะขาดสารอาหารบางอย่าง อีกกรณีหนึ่งก็ในเนื้อปลาดิบ โดยเฉพาะปลาทะเล น้ำลึกจะมีพวกพยาธิตัวกลม ซึ่งจะทำให้เราเป็น Accidental Host มาอยู่ในกระเพาะ หรือลำไส้และทำให้เราเจ็บปวดได้ ทีนี้ ถ้าเป็นปลาน้ำจืด ที่ติดมาก็จะเป็นพยาธิตัวจี๊ดที่จะไชเข้าไปในผิวหนัง หากพยาธิอยู่ที่ตาก็จะสามารถไชเข้าไปได้ทุกที่ หรือบางคนเข้าไขสันหลังก็จะทำให้สมองอักเสบได้

คนเราจะรู้รึเปล่าถ้ามีพยาธิอยู่ในตัว
ถ้าไม่มาตรวจก็จะไม่เจอ ขึ้นอยู่กับชนิดของพยาธิ พยาธิบางตัวต้องไปดูที่อวัยวะนั้น ๆ แต่ส่วนใหญ่ มันจะผลิตไข่ออกมากับอุจจาระ ต้องใช้วิธีตรวจอุจจาระ ซึ่งโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อนจะมีการตรวจที่ละเอียด คือปั่นให้ข้นแล้วเอาที่ข้น ๆ มาตรวจดู ก็จะตรวจหาไข่ของพยาธิได้ดีขึ้น

ความจริงในปัจจุบันพยาธิก็เป็นเรื่องไกลตัวพอสมควร เพราะเดี๋ยวนี้เรามีห้องน้ำในบ้าน แต่เราจะรู้ได้ยังไงว่า แม่ครัวล้างมือ สะอาดพอ หรือเขามีไวรัสตับอักเสบเอหรืออีไหม? หรือว่าเขาปรุงอาหารสุกขนาดไหน ถ้าเขาปรุงไม่สุกเราจะรู้รึเปล่า?



ฉะนั้น จึงอยากให้กินทุกอย่างที่ปรุงสุกแล้ว ในกรณีของเนื้อสัตว์ขอให้ปรุงสุกและใหม่ก็จะปลอดภัยกว่ามาก ส่วนผักสลัดก็ควรล้างด้วยตัวเอง โดยล้างแล้วเทน้ำทิ้ง เผื่อบางทีมีไข่ติดอยู่ และจะได้เอาสารเคมีออกไปด้วย ในกรณีที่สัตว์มีเปลือกอย่างหอยจะต้องต้มนานกว่าปกติ และที่สำคัญกว่านั้นก็คือถ้ามีอาการผิดปกติก็ต้องปรึกษาแพทย์

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #280 เมื่อ: เมษายน 01, 2013, 07:52:02 AM »

อยากหลับสบายกินอะไรดี


การนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอเป็นสิ่งสำคัญ และการกินก็ส่งผลกับการนอน แร่ธาตุและสารอาหารอะไรที่สำคัญกับการนอน


แมกนีเซียมและแคลเซียม ทั้งสองธาตุนี้จะทำงานด้วยกันในการเกร็งและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ หากขาดธาตุใดธาตุหนึ่งอาจจะทำให้มีตะคริวตอนกลางดึก พบว่าผ่อนคลายกล้ามเนื้อลำบากและประสาทสัมผัสตึงเครียด เราสามารถพบธาตุทั้งสองได้ในปลา ถั่ว เมล็ดพืชและผักใบเขียว แต่หากคุณต้องการแคลเซียมมากเป็นพิเศษก็น่าจะลองผลิตภัณฑ์จากนมอย่างเช่น โยเกิร์ตหรือชีสที่มีไขมันต่ำ (ความจริงแล้วนมไขมันต่ำหรือขาดมันเนยมักจะมีปริมาณแคลเซียมเท่ากับหรือ มากกว่านมธรรมดาเสียด้วยซ้ำ)


ทริปโตฟาน สำคัญกับการนอนอย่างมากเพราะร่างกายจะใช้กรดอะมิโนชนิดนี้ในการสร้าง เมลาโทนิน อันเป็นที่รู้จักกันในชื่อฮอร์โมนแห่งการนอนหลับ พบได้ใน กล้วย ไข่ ลูกพรุน สาหร่าย ไก่งวง และนม


วิตามิน จากวิตามินทั้งหมดที่ร่างกายต้องการ วิตามินบี ที่พบได้ในธัญพืชมีความสำคัญเป็นอันดับหนึ่งในแง่ของการนอน มันช่วยปรับอารมณ์ให้เป็นปกติ ร่างกายจะผ่อนคลายจนสามารถหลับลึก ในส่วนของวิตามินบี 6 มันจะรวมตัวกับทริปโตฟานเพื่อกระตุ้นกระบวนการนอนหลับอีกด้วย เราพบวิตามินเหล่านี้ได้จากซีเรียล เต้าหู้ ถั่ว เนื้อวัว ปลา ไก้ ไข่ หน่อไม้ฝรั่ง เห็ด คะน้า และบรอคโคลี นอกจากนี้ ยังมีวิตามินอื่นๆ อย่างเช่น วิตามินเอและซี ซึ่งพบได้มากในผักและผลไม้ เช่น บลูเบอร์รี่ (ที่มีทั้งวิตามินซี แคลเซียม และแมกนีเซียม) กีวี่ ผักใบเขียว ผลไม้ตระกูลส้ม มันฝรั่งหวาน ฟักทอง และบีตรูต


ระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาล (กลูโคส) ในเลือดเกี่ยวข้องกับการนอนหลับออย่างมากเพราะมันจะเป็นตัวชี้ว่าระบบต่างๆ จะทำงานอย่างไร หากน้ำตาลต่ำเกินไป ฮอร์โมนจะได้รับผลกระทบ เราก็อาจจะหลับๆ ตื่นๆ หรือมีปัญหานอนไม่หลับ แต่วิธีการป้องกันก็คือ ไม่กินอาหารที่มีน้ำตาลสูง เพราะเมื่อระดับน้ำตาลที่สูงมากตอนก่อนนอน พอกลางดึก น้ำตาลก็จะตกต่ำและเกิดปัญหาดังกล่าวขึ้น


Tip : การทำกิจวัตรซ้ำๆ ก่อนนอนทุกคืนจะช่วยเตือนให้ร่างกายรู้ว่าถึงเวลานอนแล้ว กิจกรรมที่ควรทำเป็นประจำอาจจะรวมถึงอาบน้ำอุ่น อ่านหนังสือ และฟังเพลงทุกคืน จากนั้นก็ปิดไฟให้ห้องมืดสนิท เท่านี้คุณก็หลับได้สบายแล้วค่ะ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #281 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 09:48:27 AM »

4 น้ำสมุนไพรมากประโยชน์


น้ำสมุนไพรมากประโยชน์



1. น้ำใบบัวบก : น้ำใบบัวบกมีวิตามินเอสูงมาก เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้สายตาทำงานหนักอยู่เป็นประจำ เพราะจะช่วยบำรุงสายตาได้อย่างดี และยังมีแคลเซียมและวิตามินบี1 สูงกว่าผักชนิดอื่นอีกด้วย ประโยชน์อื่นๆ ของน้ำใบบัวบกคือ ใช้แก้ช้ำใน แก้ฟกช้ำดำเขียว แก้ร้อนใน บำรุงสมอง บำรุงหัวใจ ถ้าดื่มทุกวันเป็นเวลา 1 อาทิตย์จะช่วยลดความดันโลหิตได้ แก้แผลอักเสบและรักษาแผลในกระเพาะอาหาร ทำให้เลือดแข็งตัวเร็ว ช่วยขับปัสสาวะ

 

2. น้ำว่านหางจระเข้ : ประโยชน์ของว่านห่างจระเข้อยู่ที่วุ้นซึ่งมีประสิทธิภาพในการสมานแผล ทำให้แผลหายเร็ว ช่วยเร่งการเจริญเติบโตของเซลล์ที่อยู่รอบๆ แผล และถ้าเอาไปทานก็จะช่วยบำรุงร่างกาย ทำให้หายอ่อนเพลีย ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นปกติ แต่เนื่องจากสารสำคัญในว่านหางจระเข้จะมีประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อใช้สดๆ ดังนั้นเมื่อตัดออกมาแล้วจึงควรใช้ทันที อย่าวางทิ้งไว้ และก่อนใช้ควรล้างยางสีเหลือๆ ออกให้หมดก่อน เพื่อไม่ให้เกิดอาการคันหรือแพ้ในภายหลัง

 

3. น้ำลูกเดือย : เป็นเครื่องดื่มที่อุดมไปด้วยฟอสฟอรัส จึงช่วยบำรุงกระดูกได้ดี เหมาะสำหรับเด็กที่กำลังเจริญเติบโต นอกจากนี้ยังมีวิตามินเอที่ช่วยบำรุงสายตา ช่วยให้เจริญอาหารและเหมาะที่เป็นอาหารสำหรับผู้ป่วยที่กำลังพักฟื้น คนสมัยก่อนใช้น้ำลูกเดือยเป็นยาขับปัสสาวะ แก้ร้อนใน บำรุงไต บำรุงกระเพาะอาหารและม้าม แก้อาหารคลื่นไส้อาเจียน และโรคท้องร่วงได้




4. น้ำขิง : อุดมไปด้วยแคลเซียมที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน สารเบต้าแคโรทีนในน้ำขิงสามารถช่วยต้านมะเร็งได้ และยังมีคุณสมบัติเป็นยาแก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ ขับเสมหะ คลื่นไส้อาเจียน เมารถหรือเมาเรือ ลดการจับตัวของลิ่มเลือด ช่วยเพิ่มการหลั่งน้ำดีและน้ำย่อย ทำให้ระบบย่อยทำงานได้ดีขึ้น
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #282 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 09:57:02 AM »

 14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี



14 วิธีขับถ่ายปัสสาวะ เพื่อสุขภาพที่ดี
ไม่น่าเชื่อว่า แม้คนเราจะขับถ่ายปัสสาวะกันมาก ตั้งแต่แรกเกิด แต่หลายคนไม่ทราบวิธีที่ดีที่ทำให้ระบบขับถ่ายปัสสาวะเป็นปกติวันนี้จะขอเสนอ

14 อุปนิสัยที่ดีในการขับถ่ายปัสสาวะ

1. อย่ากลั้นปัสสาวะ เมื่อรู้สึกปวดต้องไปปัสสาวะ

2. เวลาปัสสาวะไม่ควรรีบร้อนเบ่งมาก เพราะอาจทำให้หูรูดปัสสาวะชำรุดได้

3. ควรถ่ายปัสสาวะให้เหลือน้อยที่สุดในหนึ่งครั้ง นั่นคือเมื่อรู้สึกถ่ายหมดแล้วให้เบ่งต่ออีกนิดหน่อย ปัสสาวะที่เหลือจะไหลออกมา

4. ไม่ควรบังคับให้ตนเองถ่ายปัสสาวะบ่อย เพราะจะติดเป็นนิสัย เวลาที่เหมาะสมคือ 2-4 ชั่วโมงควรถ่ายปัสสาวะหนึ่งครั้ง

5. ให้สังเกตการถ่ายปัสสาวะ และน้ำปัสสาวะของตนเองทุกครั้งว่า ต้องเบ่งมากผิดปกติหรือไม่น้ำปัสสาวะลำพุ่งดีหรือไม่ ลำน้ำปัสสาวะมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมหรือไม่ น้ำปัสสาวะมีสีเหลืองใสหรือไม่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจเป็นอาการผิดปกติที่สามารถบอกโรคได้

6. อาจจะล้างทำความสะอาดหลังปัสสาวะ แต่อย่าให้บริเวณนั้นเปียกชื้น เพราะอาจเกิดเชื้อราได้ทางที่ดีหลังปัสสาวะทุกครั้ง ควรซับให้แห้ง

7. เมื่อปัสสาวะไม่ออก ต้องหาสาเหตุโดยการไปพบแพทย์ อย่าซื้อยาขับปัสสาวะรับประทานเพราะจะเกิดอันตรายได้

8. เมื่อเข้าสู่วัยกลางคน การบริหารอุ้งเชิงกรานโดยการขมิบ (ฝ่ายหญิงขมิบช่องคลอด ฝ่ายชายขมิบทวารหนัก) วันละ 100 ครั้ง จะช่วยป้องกันอาการปัสสาวะเล็ด

9. ดื่มน้ำสะอาด อย่างน้อยวันละ 10 แก้ว หรือหนึ่งลิตร จะช่วยให้น้ำปัสสาวะใส มีจำนวนพอดีและป้องกันภาวะปัสสาวะอักเสบ

10. ก่อนมีเพศสัมพันธ์ และหลังมีเพศสัมพันธ์ คุณผู้หญิงควรถ่ายปัสสาวะทิ้ง จะช่วยป้องกันการเกิดกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

11. น้ำปัสสาวะจะต้องเป็นน้ำเท่านั้น ถ้ามีมูก หนอง น้ำเหลือง เลือดปนออกมา ถือว่าผิดปกติต้องไปพบแพทย์

12. การขับถ่ายปัสสาวะ ต้องขับถ่ายคล่องไม่มีอาการเจ็บปวด ถ้าปัสสาวะแสบขัดลำบากนับว่าเป็นอาการผิดปกติ ต้องไปพบแพทย์อีกเช่นกัน
. คนเราทุกคนต้องปัสสาวะทุกวัน วันละ 4-6 ครั้ง ถ้าไม่ปัสสาวะเลย 1 วัน ถือว่าตกอยู่ในภาวะอันตราย ต้องไปพบแพทย์โดยด่วน

14. ก่อนเดินทางไกล ก่อนยกของหนัก ควรปัสสาวะทิ้งก่อนทุกครั้ง
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #283 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:02:05 AM »

ภัยเงียบ...จากแป้งฝุ่นทาตัว


ทุกครั้งหลังจากอาบน้ำให้ลูกน้อย คุณแม่ยุคก่อนจะประแป้งให้ลูก เวลาลูกมีผดผื่นเปียกชื้นก็จะประแป้ง แต่คุณแม่ยุคใหม่ปัจจุบันดูจะลดความสำคัญกับแป้งฝุ่นลงไป เพราะแพทย์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า "แป้งทาตัวเด็กส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกวัย"

รศ.ดร.ไสยวิชญ์ วรวินิต ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีแป้ง (Starch Technology) และนักเทคโนโลยีดีเด่นของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในราชูปถัมภ์ ประจำปี 2549 เผยว่า "แป้งฝุ่นโดยทั่วไปทำจากสารทัลคัม ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า Magnesium Silicate Hydroxide เนื่องจากหินแร่ทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ

"หากสูดเข้าไปทีละเล็กละน้อยเป็นเวลานานๆ เกิดการสะสมในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน ทำให้มีปัญหากับการหายใจ ถ้าเป็นเด็กทารกก็อาจทำให้ปอดอักเสบ เกิดเป็นโรคเนื้องอกในปอด (Talcosis) และเสียชีวิตได้"

ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น ภัยร้ายของทัลคัมคือ เมื่อสูดดมทัลคัมเข้าไปในปอดปริมาณมาก มีผลต่อปอดทำให้เกิดอาการไอ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของภูมิแพ้ เนื่องจากแป้งทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายได้

"นักวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้หญิงที่ใช้แป้งกับอวัยวะเพศเพื่อลดการอับชื้น มีอัตราเสี่ยงจากการจะเป็นมะเร็งรังไข่เพิ่มขึ้น โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอด มดลูก และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง"

รศ.ดร.ไสยวิชญ์บอกอีกว่า เนื่องจากความไม่ปลอดภัยในการใช้แป้งทัลคัม แพทย์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้แป้งทาตัวเด็กที่มีส่วนผสมของทัลคัม และเลือกใช้แป้งที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบธรรมชาติ อาทิ แป้งข้าวโพด รวมทั้งแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ไทยยังพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งเด็กภายใต้ชื่อแบรนด์ "ไรซ์แคร์" ซึ่งมีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า

"เนื่องจากปลอดภัยมากกว่าแป้งทัลคัม เพราะเป็นสารอินทรีย์ย่อยสลายได้ ไม่เกิดการสะสมในปอดหรือใต้ร่มผ้า ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และลดความเสี่ยงเกิดมะเร็งรังไข่" รศ.ดร.ไสยวิชญ์ทิ้งท้าย

ต่อไป เวลาซื้อแป้งคงต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อมากขึ้น









ที่มา : นสพ.มติชน
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #284 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:05:17 AM »

อาหาร 7 อย่างที่พึงเลี่ยงเมื่อท้องว่าง



เมื่อคนมันหิว อะไรใกล้มือก็มักจะคว้าเข้าปากกันไปก่อน ใครมีนิสัยอย่างนี้ขอให้ ลองปรับตัวเสียใหม่

เพราะอาหารบางอย่างอาจเป็นเมนูที่ไม่ ค่อยเหมาะกับร่างกายในยามนั้นได้ “7 เมนู ที่ควรหลีกเลี่ยงยามท้องว่าง” ที่จะนำมาบอกกล่าวในครั้งนี้ นำมาจากคอลัมน์ “สุข กาย” ในจดหมายข่าว “สร้างสุข” ของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ ( สสส.) เดือนพฤษภาคม 2550 มีรายการดังต่อไปนี้

1. เหล้า กระเทียม ทั้งสองอย่างนี้จะยิ่งกระตุ้นเยื่อบุกระเพาะอาหาร ส่งผลให้เป็นโรคกระเพาะอาหาร อักเสบ และเป็นแผลในกระเพาะอาหารได้
2. น้ำตาลหรืออาหารหวาน เช่น น้ำอัดลม ลูกอม ช็อกโกแลต เพราะจะทำให้โปรตีนรวมตัวกับน้ำตาล ส่งผลต่อการ ดูดซึมโปรตีนทุกชนิด และลดสมรรถภาพการทำงานของระบบหมุนเวียนเลือดและไต
3. ชาแก่ จะทำ ให้กรดเกลือของน้ำย่อยในกระเพาะอาหารเจือ จาง เกิดอาการใจสั่น เวียนศีรษะ มือเท้าไม่ มีแรง
4. ลูกพลับ เป็นตัวกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดเกลือออกมามาก ทำให้เจ็บหน้าอก คลื่นไส้ และเป็นแผลในกระเพาะอาหาร
5. กล้วย เพราะจะเพิ่มธาตุแมกนีเซียมในเลือดให้สูงขึ้น ทำให้สูญเสียสัดส่วนของแคลเซียม และแมกนีเซียม เป็นการยับยั้งการทำงานของหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งเป็นอันตรายต่อ สุขภาพอย่างมาก
6. ผัก เพราะหากรับประทานผักอย่างเดียวขณะท้องว่าง จะทำให้ท้องอืด
7. นมและถั่วเหลือง แม้จะอุดมด้วยโปรตีน แต่จะเกิดประสิทธิภาพสูงสุดเมื่อกระเพาะอาหารมีสารประเภท แป้งอยู่

แถมท้ายอีกนิดว่า ขณะท้องว่างไม่ควรอาบน้ำและออกกำลังกาย เพราะอาจทำให้เกิด อาการช็อกได้ง่าย เนื่องจากน้ำตาลในเลือดต่ำ
บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 17 18 [19] 20 21 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: