Forex-Currency Trading-Swiss based forex related website. Home ----- กระดานสนทนาหน้าแรก ----- Gold Chart,Silver,Copper,Oil Chart ----- gold-trend-price-prediction ----- ติดต่อเรา
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 42   ลงล่าง
พิมพ์
ผู้เขียน หัวข้อ: Sa La Na Roo  (อ่าน 75439 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 18 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #285 เมื่อ: เมษายน 11, 2013, 10:07:58 AM »

ไอศครีม...คุณค่าที่คุณเลือกได้


ไอศครีมเป็นของหวานทำด้วย ครีม ไข่ กะทิ น้ำตาล ที่ทำให้แข็งด้วยความเย็น ส่วนประกอบต่าง ๆ ล้วนแต่เพิ่มน้ำหนักให้กับผู้บริโภคทั้งสิ้น จึงควรเลือกชนิดของไอศครีมที่เหมาะสมหรือหลีกเลี่ยงไอศครีมชนิดที่มีไขมันสูง และไม่ควรรับประทานบ่อย ไอศครีมที่มีขายตามท้องตลาดมีหลายชนิด การเลือกรับประทานชนิดที่เหมาะสมจะทำให้ไม่เพิ่มไขมันและน้ำหนักตัวให้เป็นปัญหาสุขภาพตามมาภายหลัง ไอศครีมชนิดต่าง ๆ มีดังนี้

ไอศครีมธรรมดา ได้แก่ ไอศครีมวานิลลา กาแฟ ช็อคโกแลต ไอศครีมประเภทนี้ทำจามครีม ซึ่งเป็นไขมันจากนม นมผง (Milk Solids) และมีการปรุงแต่งรสชาติ ไอศครีมเหล่านี้มีไขมันจากนม อย่างน้อยร้อยละ 10 และมีนมผงอย่างน้อยร้อยละ 20
ไอศครีมนม (Ice Milk) มีไขมันจากนมอยู่ระหว่างร้อยละ 2-7 และมีนมผงอย่างน้อยร้อยละ 11

 ไอศครีมเชอร์เบท (Sherbet) เป็นไอศครีมที่ไม่มีไขมันจากนมเนย และมีนมผงอยู่ระหว่าง 2-5 นอกจากนี้สิ่งที่แตกต่างจากไอศครีมอื่น ๆ ก็คือ ไอศครีมเชอร์เบทจะมีรสเปรี้ยว ซึ่งเกิดจากกรดผลไม้ที่อยู่ในส่วนผสม โดยทั่วไปไอศครีมเชอร์เบทจะมีกรดอยู่ไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.35
ไอศครีมโยเกิร์ต (Frozen Yogurt) เป็นไอศครีมที่ทำจากโยเกิร์ตและเติมส่วนผสมอื่น ๆ เช่น ผลไม้ เจลาตินลงไป ปริมาณไขมันในไอศครีมประเภทนี้ขึ้นอยู่กับชนิดของโยเกิร์ตที่นำมาทำไอศครีม
ไอศครีมกะทิ เป็นไอศครีมที่มีการทดแทนไขมันจากนมด้วยกะทิ เป็นไอศครีมแบบไทย ๆ ที่มีความหวานมันและรสชาติอร่อย ไอศครีมกะทิสามารถเติมส่วนประกอบอื่นได้หลากหลาย เช่น ไอศครีมลอดช่อง ไอศครีมเผือก ไอศครีมถั่วดำ ไอศครีมเหล่านี้ไม่มีสูตรการทำที่แน่นอน ปริมาณไขมันจึงแตกต่างกันไปตามปริมาณกะทิที่ผู้ผลิตใส่ลงไป
ไอศครีมหวานเย็น ทำจากน้ำหวานหรือน้ำผลไม้แช่แข็ง ไอศครีมชนิดนี้ไม่มีไขมันเป็นส่วนประกอบเลย

หลายคนคงไม่ปฏิเสธว่าไอศครีมชนิดไหนก็อร่อยทั้งนั้น แต่สิ่งที่ต้องระวังในการบริโภคก็คือ ไอศครีมแต่ละชนิดมีไขมันเป็นส่วนประกอบ ทั้งไอศครีมจากนมและกะทิ ซึ่งมีผลทำให้ระดับคลอเรสเตอรอลสูงขึ้นได้ ผู้ที่มีปัญหาทางด้านโภชนาการ จึงควรพิจารณาเลือกรับประทานไอศครีมตามความเหมาะสมดังนี้
ผู้ที่มีระดับคลอเรสเตอรอลสูง ควรเลือกไอศครีมที่มีส่วนผสมของไขมันน้อย หรือเลือกไอศครีมที่ไม่มีไขมันเลย เช่น ไอศครีมเชอร์เบท หรือไอศครีมหวานเย็น
ผู้ที่มีไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ ควรรับประทานไอศครีมเป็นครั้งคราว และจำกัดปริมาณไอศครีมทุกชนิด เนื่องจากส่วนผสมของไขมันและน้ำตาลที่มีอยู่ในปริมาณมาก มีผลทำให้ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ใสเลือดสูงขึ้นได้
ผู้ที่เป็นเบาหวาน ควรเรียนรู้เรื่องการแลกเปลี่ยนอาหาร โดยปริมาณของไอศครีมขนาดเท่ากับ 1 ลูกปิงปอง จะเท่ากับข้าวครึ่งทัพพี และไขมันหรือน้ำมัน 1 ช้อนชา
ผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก ควรหลีกเลี่ยงไอศครีมที่มีไขมันสูง หากจะรับประทานไอศครีมให้เลือกไอศครีมเชอร์เบท หรือไอศครีมหวานเย็นและรับประทานเป็นครั้งคราว

"ไอศครีมของหวานรสชาติอร่อย ถูกปากถูกใจ และยังให้ความสดชื่นแก่ผู้บริโภค แต่ก็ต้องระมัดระวังรู้จักเลือกชนิดให้เหมาะกับร่างกายด้วย จะได้ทั้งความอร่อยและไม่เสียสุขภาพ"


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #286 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 10:20:28 AM »

รู้โรคจากกลิ่นลมหายใจ




สิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้ามนั่นคือ กลิ่นปาก หรือกลิ่นลมหายใจ ไม่ใช่ปัญหาเล็กๆ ที่ทำให้เราสูญเสียความมั่นใจเท่านั้น ยังสามารถสื่อถึงอาการของโรคต่างๆ ที่แอบแฝงในร่างกายเราได้ ดังนั้นคนที่มีกลิ่นปากหรือกลิ่นลมหายใจเหม็น หรือผิดปกติ คุณควรให้ความใส่ใจดูแลบ้าง

กลิ่นแบบไหน สื่อถึงโรคใด

 กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นคล้ายเนย ระวัง ... โรคไซนัสอักเสบ
 กลิ่นลมหายใจ คล้ายผลไม้หอมหวาน ระวัง ... โรคเบาหวาน
 กลิ่นลมหายใจ คาว ระวัง ... โรคตับ
 กลิ่นลมหายใจ คล้ายกลิ่นปัสสาวะ ระวัง ... โรคไต แสดงว่าขับของเสียไม่หมด มีการดูดกลับเข้ากระแสเลือด
 กลิ่นลมหายใจ คล้ายกลิ่นคาวเลือด ระวัง ... โรคเหลือง
 กลิ่นลมหายใจ คล้ายโรงเลี้ยงสัตว์ เหม็นคาว ระวัง ... โรคไข้ทรพิษ
 กลิ่นลมหายใจ คล้ายขนมปังอบใหม่ ระวัง ... โรคไข้รากสาดน้อย
 กลิ่นลมหายใจ เหม็นเน่า ระวัง ... โรคเลือดออกตามไรฟัน
 กลิ่นลมหายใจ คล้ายขนมปังเหม็นบูด ระวัง ... โรคขาดสารอาหารพวกไนอาซิน และวิตามินบี 6
 กลิ่นลมหายใจ มาจากเสมหะเหม็นน่า แสดงถึงการติดเชื้อขั้นรุนแรง
 กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นเหมือนแก๊ซ ส่วนใหญ่พบในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษเข้าไป ร่างกายมีการขับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมา
 กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นฝรั่งสุก ส่วนใหญ่พอในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษพวกฟอสฟอรัสเข้าไป
 กลิ่นลมหายใจ มีกลิ่นหญ้าไหม้ พบในผู้ป่วยที่ได้รับสารพิษพวกกัญชา


แค่สังเกตลมหายใจ ก็สามารถวินิจฉัยโรคได้เบื้องต้นแล้ว ...




บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #287 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 10:22:17 AM »

ข้าวเหนียวมะม่วง...กินมากระวังโรค


ข้าวเหนียวมะม่วง เป็นของหวานที่หลายคนชื่นชอบ เพราะความหวานของมะม่วงและความหอมหวานของข้าวเหนียวทำให้หลายคนติดอกติดใจ ทานแล้วอร่อยชื่นใจจนต้องทานบ่อย ๆ ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้แล้วล่ะก็ยิ่งทานแล้วยิ่งอร่อยทวีคุณ แต่อยากจะบอกว่าขึ้นชื่อว่าเป็นของหวานแล้วนั้น ทานมาก ๆ ก็ไม่ค่อยจะดีต่อสุขภาพได้เช่นกัน...

เพราะปริมาณแคลอรีในข้าวเหนียวมะม่วงนั้นมีสูงมาก ทั้งจากน้ำตาล น้ำกะทิ ข้าวเหนียว มะม่วง จึงอุดมไปด้วยไขมัน ความหวานจากน้ำตาล จากมะม่วง คาร์โบไฮเดรตจากข้าว หากคนที่มีสุขภาพดีปกติไม่มีโรคประจำตัว และออกกำลังกายบ่อย ๆ ทานมากคงจะไม่ค่อยมีอันตรายใด ๆ แต่หากทานมาก ๆ เป็นประจำก็มีความเสี่ยงที่จะมีโรคภัยตามมาได้

นอกจากนี้ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างโรคเบาหวาน ทานมากคงไม่ดีนัก เพราะจะไปเพิ่มไขมันและน้ำตาลในร่างกายให้เพิ่มขึ้นดันก็จะเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย อีกทั้งความเค็มที่มากับเกลือหรือจากน้ำกะทิ ก็จะมีผลต่อไตและปริมาณน้ำหนักอาจจะเพิ่มมากขึ้นอาการปวดตามข้อต่าง ๆ ก็อาจจะเข้ามาร่วมด้วยอีกเช่นกัน

ฉะนั้นแล้ว ผู้ที่มีโรคประจำตัวอย่างเบาหวาน ไม่ว่าจะของหวานใด ๆ ก็ควรทานให้อยู่ในปริมาณที่พอเหมาะ หรือผู้ที่ไม่มีโรคภัยใด ๆ ก็ตาม ก็ไม่ควรที่จะทานมาก เพราะโรคภัยไข้เจ็บนั้นอาจจะตามมาอยู่ในร่างกายโดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้ ทานในปริมาณที่พอเหมาะพร้อมกับออกกำลังกายเป็นประจำจะดีที่สุด


บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #288 เมื่อ: เมษายน 13, 2013, 10:43:56 AM »

สคบ.เตือนเล่นแป้งสงกรานต์ระวังดินสอพองปลอม


สคบ.เตือนดินสอพองยิปซัมระบาด หลังพบผู้ค้าหัวใสแอบขายไว้เล่นช่วงสงกรานต์ ระบุมีอันตรายต่อร่างกาย เกิดการระคายเคือง และอาจแพ้รุนแรงได้


วันนี้ (11 เม.ย.) นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ.ขอแจ้งเตือนผู้บริโภคที่เตรียมเล่นแป้งดินสอพองในเทศกาลสงกรานต์ต้องระมัดระวังดินสอพองปลอมที่ระบาดในตอนนี้ เพราะล่าสุดจากการลงพื้นที่เก็บตัวอย่างดินสอพองบริเวณตลาดขายของเล่นสงกรานต์หลายแห่งในกรุงเทพมหานคร พบว่า ผู้ค้าบางรายมีการนำดินสอพองปลอมที่ดัดแปลงจากผงยิปซัม ซึ่งเป็นวัสดุที่ใช้ทำฝ้าเพดานมาทำเป็นดินสอพองจำหน่ายให้ผู้บริโภค ซึ่งจากการตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่กรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุผลออกมาว่า ผงยิปซัมดังกล่าวหากนำมาเล่นถือเป็นอันตรายต่อร่างกายมาก เช่น เมื่อนำมาทาบริเวณผิวหนังจะเกิดการระคายเคือง หากผู้ใดแพ้ฝุ่นอาจเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรงได้



“ตอนนี้สคบ.ไม่ได้ออกกฎระเบียบว่าต้องจับคนที่ขาย เพราะกฎหมายของสคบ.ไม่ได้ระบุให้ดินสอพองเป็นสินค้าควบคุม แต่เชื่อว่าเมื่อเกิดกรณีอย่างนี้ขึ้นก็อาจทำรายละเอียดเสนอให้คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคพิจารณาแนวทางควบคุม”



สำหรับดินสอพองปลอมนั้น มีลักษณะคล้ายกับแป้งดินสอพองจริง แต่มีขนาดเล็กกว่า และมีน้ำหนักที่เบากว่ามาก

บรรจุขายเป็นถุงขนาดเล็ก ราคาถุงละประมาณ 10 บาท และมีแบบผสมสีหลายสี ทั้ง สีแดง เหลือง เขียว และฟ้า ซึ่งสีที่ผสมส่วนมากเป็นสีที่อันตรายไม่เหมาะที่จะนำมาเล่น เพราะจะเกิดอาหารระคายเคืองที่ผิวหนังหากสัมผัส ซึ่งจากการตรวจสอบดินสอพองปลอม พบว่ามีเชื้อโรคเจือปนอยู่มาก ขณะเดียวกันยังมีคุณสมบัติคล้ายแป้งชอล์ก สามารถนำมาเขียนเป้นตัวหนังสือได้ แตกต่างจากแป้งดินสอพองจริง

อย่างไรก็ตามหากผู้บริโภคอยากพิสูจน์ว่าดินสอพองที่ซื้อมาเป็นของจริงหรือไม่ สามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเอง โดยใช้น้ำมะนาวหยดใส่ หากเกิดปฏิกิริยาทางเคมี เช่น เกิดการฟูขึ้นมาถือว่าเป็นของจริง แต่ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้นจะถือว่าเป็นดินสอพองปลอม.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #289 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 09:34:26 AM »

จุดไหนร้อนที่สุดบนโลกเรา



โลกเรากำลังร้อนขึ้น ทั่วโลก การบันทึกสถิติปีที่ร้อนที่สุดสิบครั้งอยู่ในห้วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมาทั้งสิ้น บันทึกสถิติระดับชาติก็ถูกทำลายลงด้วย ดังที่สภาพอากาศแบบสุดขั้วกำลังกลายมาเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นปกติทั่วไป




เดือนมกราคม ปี 2012 ที่ผ่านมา องค์การสมุทรศาสตร์และชั้นบรรยากาศแห่งชาติสหรัฐอเมริกาออกมา ประกาศให้ ปี 2012 เป็นปีที่ร้อนที่สุด




ส่วนออสเตรเลีย กำลังประสบกับสภาพอากาศที่ไม่ต้องการ ขณะนี้ออสเตรเลียกำลังประสบกับคลื่นความร้อน  ไฟป่าไหม้รุนแรงได้ส่งผลให้ ครอบครัวเป็นพัน ๆ ต้องทิ้งบ้านเรือน อีกทั้งอุณหภูมิในช่วงหน้าร้อนยังลบสถิติเดิมอีกด้วย




สำนักงานอุตุนิยมวิทยา ของออสเตรเลีย ได้เพิ่มสีลงไปในแผนที่เพื่อแสดงให้เห็นถึง ความร้อนที่อาจขึ้นถึง 54 องศาเซลเซียส และคาดคะเนว่าความร้อนอาจพุ่งสูงเกินกว่า 52 องศาเซลเซียส ซึ่งจะร้อนกว่าในปี ค.ศ. 1960 ซึ่งร้อนที่ 50.6 องศาเซลเซียส

 
 


ขอบคุณ : thaihealth.or.th
 
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #290 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 09:39:25 AM »

เมื่อแพ้อาหาร..แล้วออกอาการที่ผิว


สุขภาพที่ดี ต้องดีมาจากภายในสู่ภายนอก ที่ฝรั่งมักจะพูดกันว่า “You are what you eat.” คุณกินอย่างไร คุณก็เป็นอย่างนั้นยังไงล่ะคะ เพื่อสุขภาพที่ดี สาว ๆ ผู้รักสุขภาพทั้งหลายจึงมักจะสรรหาสารพัดเมนูมาบำรุงร่างกายให้แข็งแรง หากยิ่งมีการออกกำลังกายอย่างพอเหมาะควบคู่ไปกับการรับประทานอาหารดีมีประโยชน์แล้ว สุขภาพกาย สุขภาพผิว และสุขภาพจิต ย่อมดีไปกันทั้งหมดแน่นอนค่ะ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องน่าเศร้าสำหรับบางคนที่ไม่อาจรับประทานอาหารบางอย่างได้ เพราะว่าเกิดอาการแพ้อาหาร หรือบางคนอาจคิดไปเองว่าตัวเองแพ้ ทำให้อดรับประทานอาหารบางอย่างไปตลอดชีวิต จะแพ้จริงหรือไม่จริงเป็นอย่างไร ก็ต้องลองสำรวจด้วยตัวเองกันดูก่อนนะคะ


แพ้อาหารเป็นอย่างไร

อาการแพ้มักจะเกิดกับอาหารที่เคยสัมผัสมาแล้ว เพราะร่างกายคนเราจะสร้างสารต่อต้านหรือภูมิต้านทาน (Antibody) ที่เรียกว่า IgE (Immunoglobin E) ซึ่งเป็นอาการแพ้แบบเฉียบพลัน ในกรณีของการแพ้อาหาร เมื่อได้รับประทานอาหารชนิดที่แพ้นั้นอีกครั้ง อาหารจะไปกระตุ้นให้มีการสร้าง IgE ขึ้นมามาก และ IgE นี้ก็จะไปเกาะบนผิวของแม็สเซลล์ (Mast cell) ซึ่งเป็นเซลล์ขนาดใหญ่ที่อยู่ตามเนื้อเยื่อเกี่ยวพันต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่ขนานกับหลอดเลือด ทำให้เกิดการหลั่งสารเคมีที่ทำให้เกิดอาการแพ้อย่าง “ฮีสตามีน” (Histamine) ขึ้นมา พูดง่าย ๆ ก็คือ ร่างกายจะสร้างสารต่อต้านก็ต่อเมื่อเคยรู้จักกับสารนั้นๆ มาแล้ว ถ้ามีการหลั่งของฮีสตามีนบริเวณใด ก็จะมีอาการคันหรือบวมที่ตรงนั้น เช่น ที่ปาก คอ ก็จะทำให้หายใจลำบาก หรือกลืนอาหารลำบาก

อาการแพ้อาหาร อาจมีสาเหตุจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ผู้ที่มีอาการแพ้ จึงมักมีคนในครอบครัวที่มีอาการภูมิแพ้อยู่ อาการแพ้นั้น มีตั้งแต่แพ้เพียงเล็กน้อยจนถึงขั้นรุนแรง คือ อาจจะแค่คัน บวม หรืออาจมีความดันโลหิตลดอย่างเฉียบพลัน และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ ปฏิกิริยาของการแพ้อาหารที่พบได้บ่อยที่สุดคือ

 1. อาการทางผิวหนัง ซึ่งเป็นอาการที่สามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนที่สุด เช่น เป็นลมพิษ มีผื่น รู้สึกคัน มีผิวหนังสากๆ หรือผิวหนังอาจบวมหรือนูนขึ้นมา และรู้สึกแสบร้อน
 2. อาการทางระบบทางเดินหายใจ เช่น การไอ หรือหอบ หากเป็นมาก ๆ อาจทำให้ร่างกายขาดอากาศและหมดสติได้ คนไข้บางราย อาจมีอาการแพ้ที่แสดงออกทางระบบทางเดินอาหาร ทำให้รู้สึกคลื่นไส้ อาเจียน หรือปวดท้อง ซึ่งอาจเป็นอาการแพ้แบบแอบแฝง หรือ IgG (Immunoglobin G) ซึ่งไม่ได้มีสาเหตุเกี่ยวข้องกับแม็สเซลล์ แต่เกิดจากการที่ร่างกายได้รับการที่อาหารที่แพ้บ่อยๆ ทำให้ร่างกายสร้าง IgG อยู่อย่างต่อเนื่อง จนถึงจุดที่เม็ดเลือดขาวจะต้านทานไว้ได้ ทำให้เกิดกระบวนการที่ไปกระตุ้นให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายเกิดการอักเสบอย่างต่อเนื่อง เกิดความไม่สมดุล ทำให้เจ็บออด ๆ แอด ๆ อาจพบผู้ที่เกิดอาการแพ้ชนิดนี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง เช่น กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง หวัดเรื้อรัง ไซนัสเรื้อรัง เป็นต้น จึงควรสังเกตอาการของร่างกายคุณให้ดีค่ะ

สังเกตตัวเอง

ไม่มีใครรู้อาการเจ็บป่วยของเราได้ดีกว่าตัวเราเองหรอกนะคะ ลองสังเกตดูว่า คุณมีอาการแพ้เมื่อได้รับประทานอาหารชนิดใด อาหารบางอย่าง อาจมีส่วนประกอบหรือส่วนผสมที่คุณแพ้ เช่น ขนมปังก็มีทั้งข้าวสาลี ไข่ นม เนย คุณอาจแพ้แค่อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างก็ได้ หากไม่ทราบก็ลองไปค้นหาดูสูตรเครื่องปรุงของเมนูจานต่าง ๆ ดู


ที่มา ... chicministry.com
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #291 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 09:42:44 AM »

กระบวนท่าแก้ปวดหลัง




การนั่งจุ้มปุ๊กอยู่กับที่นานๆ เช่น นั่งทำงานที่โต๊ะ หรือขับรถแล้วต้องจอดติดอยู่บนถนน เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง ทางศูนย์กระดูกสันหลัง โรงพยาบาลเวชธานี เผยท่ากายบริหารง่ายๆ ที่ช่วยบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง สร้างความยืดหยุ่น แข็งแรง ป้องกันการปวดเรื้อรังหรือลุกลามไปเป็นโรคอื่น


การบริหารกล้ามเนื้อดังกล่าวมีอยู่ด้วยกัน 9 กระบวนท่า


 เริ่มจากท่าแรก นอนหงายชันเข่า 2 ข้าง แขนแนบข้างลำตัว ทำจังหวะที่ 1 เกร็งกล้ามเนื้อท้อง เพื่อกดหลังให้แนบกับพื้น นับ 1-3 ช้าๆ ต่อด้วยจังหวะที่ 2 คลายกล้ามเนื้อปล่อยพักตามสบาย ทำ 5-6 ครั้งในวันแรก แล้วเพิ่มขึ้นในวันต่อไป


ท่าที่สอง นอนหงายชัยเข่า 2 ข้าง ผงกศีรษะค้างไว้นับ 1-2 แล้ววางลง เริ่มทำครั้งแรก 10 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มจนถึง 25 ครั้ง ในวันต่อไป


ท่าที่สาม นอนหงายเหยียดขาทั้ง 2 ข้าง ยกขาข้างหนึ่งให้ตั้งฉากกับลำตัว โดยเข่าไม่งอ แล้วค่อยๆ วางลง จากนั้นยกอีกข้างหนึ่งสลับกัน เมื่อวางลงแล้วจึงยกพร้อมกันทั้ง 2 ข้างอีกครั้ง ตอนแรกให้เริ่มทำที่ 3 ครั้ง แล้วค่อยเพิ่มให้ถึง 10 ครั้ง


ท่าที่สี่ นอนคว่ำขาเหยียดตรงแล้วยกขาข้างหนึ่งขึ้นค้างไว้ นับ 1-3 จังวางลงสลับกับยกขาอีกข้าง ทำเหมือนกันโดยที่เข่าไม่งอขณะยกขาประมาณ 5 ครั้ง ต่อไปค่อยเพิ่มขึ้น


ท่าที่ห้า ยืนตั้งหลังตรง จากนั้นย่อตัว โดยงอเข่า งอสะโพกลง นั่งให้ชิดพื้นมากที่สุดโดยหลังไม่งอ เริ่มทำ 3 ครั้ง และเพิ่มขึ้นเป็น 10 ครั้งในวันต่อๆไป


ท่าที่หก นั่งหลังตรง ขาข้างหนึ่งเหยียดยาวเข่าตรง ขาอีกข้างงอขึ้นมาตั้งไว้ เริ่มทำโดยเหยียดแขนทั้งคู่ แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าให้ไกลที่สุด จนรู้สึกตึงที่หลังขาข้างที่เหยียด นับ 1-3 แล้วค่อยเอนหลังกลับตามเดิม ทำ 5-6 ครั้ง ต่อไปเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ


ท่าที่เจ็ด นอนหงายงอเข่าขึ้นตั้งไว้ 2 ข้าง มือประสานไว้ตรงเข่า จากนั้นดึงขาเข้ามาชิดอก พร้อมกับยกศีรษะขึ้นด้วย นับ 1-3 แล้วกลับไปอยู่ที่เดิม


ท่าที่แปด นอนหงายงอเข่าขึ้นตั้งไว้ ทำจังหวะที่ 1 โดยเกร็งกล้ามเนื้อท้องไว้หลังติดพื้น จังหวะที่ 2 ยกก้นขึ้นพ้นพื้นในเวลาเดียวกัน นับ 1-3 แล้วกลับสู่ท่าเดิม


และท่าสุดท้าย ยืนตรง มือทั้งสองข้างยันกำแพงไว้ ให้ปลายเท้าห่างจากกำแพงครึ่งเมตร จากนั้นโน้มตัวไปข้างหน้าเข้าหากำแพง โดยลำตัวยังตรงอยู่ ส้นเท้าก็ยังคงแตะอยู่ที่พื้นเช่นเดิม นับ 1-3 แล้วดันตัวกลับมายืนเช่นเดิม


หากมีกิจวัตรที่ต้องนั่งนานๆ อย่าลืมจัดสรรเวลาบริหารกล้ามเนื้อหลังและหน้าท้อง แต่ถ้าทำแล้วไม่ช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง แถมยังปวดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ แนะปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจความผิดปกติโดยด่วน.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #292 เมื่อ: พฤษภาคม 01, 2013, 10:33:37 AM »

ทายสิ? "คนไทย" กินบะหมี่กึ่งสำเร็จ อันดับเท่าไหร่ของโลก




บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมีวางขายมานาน 50 ปีแล้ว และยอดขายก็พุ่งสูงอีกครั้งเมื่อปีที่แล้ว โดยจีนถือเป็นประเทศที่มีคนกินบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากที่สุด ตามมาด้วยอินโดนีเซียอันดับ 2 และญี่ปุ่น อันดับ 3 ในขณะที่ไทยอยู่ในอันดับ 8 ตามการเปิดเผยของสมาคมบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปโลกในญี่ปุ่น

ผลสำรวจนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่า บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปกลายเป็นอาหารที่คนทั่วโลกขาดไม่ได้ไปแล้ว และคาดว่า ยอดขายจะพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา

และถ้าเทียบกันเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน จะเห็นว่า อินโดนีเซียนำมาเป็นอันดับหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ในฐานะ ชาติที่บริโภคบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากสุดในอาเซียน ตามมาด้วย เวียดนาม ไทย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย พม่า กัมพูชา และสิงคโปร์

เมื่อปีที่แล้ว มีบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปขายได้ทั่วโลกทะลุ 1 แสนล้านหน่วย ทั้งแบบซองและแบบถ้วย เนื่องจากเป็นอาหารที่ปรุงกินได้อย่างง่ายๆ จึงทำให้ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปเป็นที่นิยมไปทั่วโลก ผู้ที่คิดค้นอาหารประเภทนี้ขึ้นก็ คือ โมโมฟุกุ อันโดะ ผู้ก่อตั้งนิสชิน ฟู้ดส์ ผู้ผลิตอาหารยักษ์ใหญ่ของโลกในปัจจุบัน

ขอบคุณข่าวจาก สปริงส์นิวส์
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #293 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:36:30 AM »

วันหมดอายุของอาหารนั้นสำคัญไฉน?




วันหมดอายุของอาหารยึดถือได้จริงหรือ ผ่านกำหนดวันไปแล้วยังทานได้ไหม ปลอดภัยหรือเปล่า


ด้วยวิถีชีวิตในยุคปัจจุบัน เราทั้งหลายต่างมีข้อจำกัดเรื่องเวลา จึงจำเป็นต้องพึ่งพาอาหารสำเร็จรูปหรือแปรรูป มากักตุนไว้เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการทาน ไปซูเปอร์มาร์เก็ตทีก็ขนซื้อมายกใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป กลายเป็นว่า หมดอายุไปก่อนที่จะทานได้หมด


เป็นเช่นนี้หลายคนที่มักนำอาหารพวกนี้แช่ตู้เย็นไว้ คงเคยสงสัยว่า อาหารที่พ้นวันหมดอายุไปแล้ว แต่กลิ่น รส รูปร่างยังไม่เปลี่ยนแปลงเนื่องจากเก็บรักษาไว้ในตู้เย็นนั้น จะยังทานได้หรือไม่ เพราะจะทิ้งไปก็รู้สึกเสียดาย เช่น ไส้กรอก ขนมปัง...ถ้าต้องการรู้คำตอบ วันนี้ผู้เขียนมีมาบอก แต่ก่อนอื่นขอเล่าสิ่งที่ควรเข้าใจ อย่างเรื่องวันหมดอายุของอาหารกันก่อนนะคะ


สำหรับการกำหนดอายุของผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปต่างๆ อย่างที่เราคุ้นตากัน ก็เช่น EXP….(วันหมดอายุ), BBE…(ควรบริโภคก่อน) นั้น ในทางหลักกฏหมายสากล โรงงานผู้ผลิตอาหารจำเป็นจะต้องทำการทดลองจัดเก็บผลิตภัณฑ์นั้นๆ ตามคำแนะนำสภาพการจัดเก็บที่ได้ระบุไว้บนฉลากตามจริง เช่น เก็บที่อุณหภูมิห้อง, ควรจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 4 องศา, หรือจัดเก็บไว้ในสภาวะแช่แข็ง ฯลฯ และในระหว่างการทดลองโรงงานจำเป็นจะต้องสุ่มทำการตรวจเช็ค ทั้งทางด้านคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้าเป็นระยะๆ จนครบอายุการจัดเก็บที่ได้อ้างไว้บนฉลากเพื่อให้มั่นใจได้ว่า สินค้านั้นๆ จะยังคงมีคุณภาพและความปลอดภัยจนถึงวันที่หมดอายุลง


ทว่ามีตัวแปรที่สำคัญมาก คอยจะส่งผลให้อาหารเสื่อมเสีย ก็คือ ปริมาณเชื้อจุลินทรีย์ที่มีอยู่ในผลิตภัณฑ์นั้นๆ และการเปลี่ยนแปลงทางเคมีของอาหารแต่ละชนิด แม้โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าเก็บไว้ตามสภาวะที่ระบุไว้บนฉลาก ผลิตภัณฑ์นั้นๆ ก็จะสามารถนำมาทานได้อย่างปลอดภัยจนถึงวันหมดอายุ แต่จากประสบการณ์การตรวจโรงงานผลิตอาหารหลายร้อยแห่ง พบว่า ผู้ผลิตบางรายเคยเจอปัญหาร้องเรียน เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารเสื่อมหรือเสียก่อนวันหมดอายุ ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นอาหารที่ต้องแช่เย็น หรือแช่แข็ง ทั้งๆ ที่กระบวนการผลิตและการจัดเก็บก็ถูกต้องตามหลักการผลิตที่ดี สาเหตุที่ทำให้เสียเร็วกว่ากำหนด ส่วนใหญ่มักมาจากการขนส่ง และร้านค้าปลีกที่นำไปขายหน้าร้านดูแลจัดเก็บไม่ดี เก็บในอุณหภูมิสูงกว่าที่กำหนดไว้


เหตุนี้เองล่ะค่ะ ที่จะบอกผู้อ่านว่า อาหารประเภทแช่เย็น และแช่แข็งนั้น อุณหภูมิการจัดเก็บมีผลโดยตรงต่อการเจริญและเพิ่มจำนวนของจุลินทรีย์จนส่งผลให้อาหารนั้นเสื่อมเสียเร็วกว่าวันหมดอายุที่ได้ระบุไว้บนฉลาก ในทางกลับกันหากเรานำอาหารแช่เย็นมาแช่แข็งแน่นอนคะว่า อาหารนั้นจะสามารถมีอายุยืนยาวกว่าที่ได้ระบุไว้บนฉลากเป็นแน่ เพราะอุณหภูมิแช่แข็งจะสามารถชะลอการเจริญเติบโตและแบ่งตัวของจุลินทรีย์ได้อย่างมาก ดังที่เห็นได้จาก อาหารแช่แข็งมักมีอายุเป็นปีๆ ส่วนอาหารแช่เย็นมีอายุแค่ไม่ถึงครึ่งเดือน แต่เมื่อเรานำอาหารแช่เย็นมาเก็บรักษาโดยการแช่แข็งแล้ว เราจะไม่มีทางทราบได้เลยว่าแล้วจะหมดอายุอีกทีเมื่อไหร่ หากไม่ทำการส่งตัวอย่างไปตรวจวิเคราะห์


แต่เพื่อความปลอดภัย ยังจำเป็นที่จะต้องสังเกตอาหารหลังละลายน้ำแข็ง ก่อนนำมาปรุงหรือรับประทาน สิ่งที่ต้องสังเกต มีทั้ง


1.ก๊าซในอาหาร : หากอาหารถูกจัดเก็บไว้ในถุงที่ปิดมิดชิด แล้วถุงกลับพองขึ้น นั้นหมายถึง จุลินทรีย์กำลังทานอาหารชนิดนั้น และปลดปล่อยก๊าซออกมา ยิ่งถ้าถุงบวมเป่งแล้ว หรืออาหารกระป๋องที่บวมกว่าปกติแล้ว ไม่ควรเสี่ยงทานเลย


2.กลิ่นของอาหาร : ให้ใช้วิธีดมกลิ่นก่อนที่จะทาน หากกลิ่นผิดเพี้ยนหรือแปลกไปจากกลิ่นปกติ ให้สงสัยว่า อาหารกำลังจะเสื่อมเสีย


3.เมือกตามผิวของอาหาร หรือลักษณะเป็นวุ้นๆ สำหรับอาหารเหลว : ธรรมชาติของจุลินทรีย์ที่ทำให้อาหารเสื่อมเสียมักสร้างเมือกขึ้นมาในระหว่างการเจริญ ดังนั้นจะสังเกตว่า อาหารเริ่มเสื่อมเสีย มักมีเมือกลื่นๆเคลือบอยู่ที่ผิวของอาหาร หรือ ถ้าอาหารชนิดนั้นเป็นของเหลว ก็ให้สังเกตเนื้อของเหลวนั้นว่ามีการข้นเป็นวุ้นปะปนหรือไม่


4.สี รสชาติ และลักษณะทางกายภาพ : สีของอาหารก็มีส่วนสำคัญ หากสีเปลี่ยนหรือแตกต่างไป รวมถึงลักษณะทางกายภาพของอาหารที่เป็นชิ้นๆ ให้สังเกตรา หรือลักษณะแปลกปลอมที่มีในอาหาร หากผิดปกติแนะนำว่าทิ้งดีกว่า


เห็นไหมค่ะว่า บางทีวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากก็ไม่ใช่ตัวชี้วัดที่ตายตัวเสมอไป หากแต่ยังมีปัจจัยในเรื่องการขนส่งและจัดเก็บ โดยเฉพาะอาหารแช่เย็นหรือแช่แข็ง หากซื้อมาแล้วควรรีบนำมาจัดเก็บในตู้เย็นให้เร็วที่สุด เพราะหากปล่อยเวลาให้อยู่ในอุณหภูมิปกตินานเท่าใด นั่นแสดงว่า เรากำลังทำให้จุลินทรีย์ที่มีในอาหารนั้นเจริญเติบโตและเพิ่มจำนวนได้ดีเลยล่ะค่ะ


สุดท้าย ผู้เขียนขอฝากไว้อีกสักนิด สำหรับเรื่องวัตถุกันเสียในอาหาร หรือสารกันบูด หากผลิตภัณฑ์อาหารใส่สารดังกล่าวมากเกินไป บางทีผ่านวันหมดอายุแล้ว แต่อาหารนั้นก็ยังไม่แสดงถึงสภาพการเสื่อมเสียใดๆ เพราะวัตถุกันเสียมีผลโดยตรงต่อจุลินทรีย์ในอาหาร และวัตถุกันเสียเหล่านี้ยังเป็นอันตรายทางเคมีที่ส่งผลร้ายต่อร่างกายในระยะยาวได้  ทางที่ดีเราควรเลือกซื้อเลือกทานอาหารที่ไม่ใช้วัตถุกันเสีย ซึ่งสามารถสังเกตได้จากส่วนผสมที่ระบุไว้บนฉลากของผลิตภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ไหนใช้วัตถุกันเสียก็เลี่ยงๆ แล้วกันนะคะ.
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #294 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:43:12 AM »

7 ความเชื่อคาใจ เกี่ยวกับ “สายตาเอียง”


มาคลายปัญหาคาใจ แนะนำเคล็ดลับและเกร็ดความรู้ดีๆ เกี่ยวกับ “สาเหตุ” “การดูแลรักษา” ตลอดจน “การแก้ไข” เรื่องน่าปวดหัวอย่าง สายตาเอียง

 ความเชื่อ 1 คนที่ “สายตาเอียง” ต้องใส่แว่นตาเพียงอย่างเดียว!

ความจริง ... ไม่จริง!
อาจมีหลายๆ คนเชื่อว่า แว่นสายตา คือคำตอบเดียวสำหรับผู้มีปัญหาสายตาเอียง แต่ในปัจจุบันมีคอนแทคเลนส์ที่พัฒนาและผลิตขึ้นมาพิเศษสำหรับคนกลุ่มนี้เพื่อแก้ไขค่าสายตาเอียงได้ง่ายและสะดวกสบายขึ้น โดยเฉพาะคอนแทคเลนส์รายวันสำหรับสายตาเอียงที่ไม่เพียงช่วยแก้ไขค่าสายตาเท่านั้น ยังให้ความรู้สึก ชุ่มชื้นสบายตา สะดวกสบาย และสะอาดถูกสุขอนามัยในการสวมใส่ เราจึงมั่นใจได้ว่าผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียง สามารถใช้ชีวิตได้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องคอยกังวลกับปัญหาด้านสายตา รวมถึงผลข้างเคียงต่างๆ ทั้งอาการวิงเวียนและอาการปวดศีรษะอีกต่อไป

 ความเชื่อ 2 ปกติแล้วคนเราไม่ “สายตาเอียง” กันง่ายๆ หรอก!

ความจริง ... ไม่จริง!
จากสถิติพบว่า 50 เปอร์เซ็นต์ ของผู้มีปัญหาสายตา มักมีสายตาเอียง ร่วมอยู่ในค่าสายตาด้วย และที่สำคัญสายตาเอียง ไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้ที่มีค่าสายตาเยอะๆ เท่านั้น สายตาเอียงเป็นอาการทางสายตาชนิดหนึ่ง แตกต่างจากสายตาสั้น หรือสายตายาว อธิบายวิธีสังเกตง่ายๆ คือ ผู้ที่มีสายตาสั้น หรือสายตายาว จะมองเห็นตัวเลข ตัวอักษร ชัดเท่าๆ กันทุกตัว หรือมัวเท่าๆ กันทุกตัว แต่ผู้ที่มีสายตาเอียง จะมองเห็นตัวเลข หรือตัวอักษรบางตัวชัด บางตัวไม่ชัด

 ความเชื่อ 3 คนที่สายตาเอียง มักเป็นเพราะนอนอ่านหนังสือ ดูโทรทัศน์ มากเกินไป!

ความจริง ... ไม่จริง!
สายตาเอียง คือความผิดปกติของสายตาที่เกิดจากความโค้งของกระจกตาในแต่ละแนวไม่เท่ากัน ซึ่งนับเป็นความผิดปกติทางกายภาพ (ปัจจัยภายใน) และถึงแม้ว่า การนอนอ่านหนังสือ รวมถึงการดูโทรทัศน์ในที่มืดบ่อยเกินไป อาจก่อให้เกิดความเมื่อยล้าของดวงตาเนื่องจากการเพ่งสายตาในระยะเวลานาน แต่ไม่ได้เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดสายตาเอียงแต่อย่างไร

 ความเชื่อ 4 คนที่สายตาเอียง จะรู้สึกเวียนหัวง่าย เมื่อดูโทรทัศน์ 3 มิติ ใช้คอมพิวเตอร์ รวมถึงสมาร์ทโฟนมากเกินไป!

ความจริง ... จริง!
ผู้ที่มีสายตาเอียง มักรู้สึกวิงเวียนง่ายกว่าผู้อื่นเมื่ออ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ที่มีลักษณะ 3 มิติ เนื่องจากผู้ที่มีสายตาเอียงจะไม่สามารถจับภาพที่มีลักษณะเบลอ รวมถึงภาพที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วได้อย่างชัดเจนนัก

 ความเชื่อ 5 การ “หรี่ตา” คือ อีกหนึ่งสัญญาณ ว่าเราอาจจะมีปัญหา “สายตาเอียง”!

ความจริง ... จริง!
การหรี่ตา คือสัญญาณของปัญหาหลายอย่าง เพราะนอกจากจะทำให้สาวๆ เสียบุคคลิก การหรี่ตาเป็นประจำยังเป็นอีกหนึ่งสาเหตุของการเกิดริ้วรอยก่อนวัย นอกจากนี้ ผู้ที่ชอบหรี่ตาบ่อยๆ อาจกำลังประสบปัญหาสายตาเอียง เนื่องจากผู้ที่สายตาเอียงจะมองเห็นภาพไม่ชัด จึงมักจะพยายามเพ่งสายตาเพื่อปรับโฟกัสของภาพตามธรรมชาติ ด้วยการหรี่ตานั่นเอง

 ความเชื่อ 6 คนที่มีสายตาเอียงน้อย สามารถทดค่าสายตาได้ โดยไม่จำเป็นต้องแก้ไขสายตาเอียง!

ความจริง ... ไม่จริง!
หลายคนเชื่อว่าค่าสายตาเอียงเล็กน้อย สามารถแก้ไขได้ด้วยการทดค่าสายตา แต่ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเราใช้สายตามากขึ้น เช่น อ่านหนังสือ ใช้คอมพิวเตอร์ ใช้สมาร์ทโฟน หรือดูทีวี ติดต่อกันเป็นเวลานาน ก็สามารถกระตุ้นให้มองเห็นภาพเบลอ และอาจทำให้เริ่มมึนหัวได้

ความเชื่อ 7 “สายตาเอียง” ไม่ได้มีผลอะไรมากนักกับชีวิตประจำวัน เราไม่ต้องไปสนใจนักก็ได้!

ความจริง ... ไม่จริง!
ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียง หากไม่แก้ไข นอกจากจะทำให้มองเห็นไม่ชัดเจน อาจก่อให้เกิดอาการเมื่อยล้าสายตา เวียนหัว รวมถึงปวดศีรษะได้ และแน่นอนว่าอาการเหล่านี้มีผลกระทบโดยตรงกับประสิทธิภาพในการทำงานและไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน ตลอดจนการเดินทางขับรถ โดยเฉพาะช่วงกลางคืน ที่สายตาจะไม่สามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนนัก


ข้อแนะนำ ... ควรไปตรวจวัดระดับสายตาที่โรงพยาบาลหรือสถานบริการตรวจวัดสายตาชั้นนำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจหาค่าสายตาจริง และหาทางแก้ไข นอกจากนี้ ผู้ที่มีปัญหาสายตาเอียงควรได้รับการตรวจและแก้ไขอย่างถูกต้อง เพื่อสุขภาพดวงตาที่ดีและสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติสุข


ที่มา...จอห์นสัน แอนด์ จอห์นสัน (ประเทศไทย) จำกัด
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #295 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:47:10 AM »

ภัยย้อนรอยในเครื่องปรับอากาศ



ยิ่งอากาศร้อนจัดขึ้น เราก็ยิ่งหันมานิยมใช้เครื่องปรับอากาศมากขึ้นทั้งในกลางวัน และตอนกลางคืน เรียกได้ว่า ชีวิตของใครหลายคนทบจะอยู่ในไอเย็นของเครื่องปรับอากาศกันแทบ 24 ชั่วโมง และนี่คือสิ่งที่น่ากลัวมากมาย เพราะได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า สาเหตุหลักที่ทำให้เรามีโรคแปลก ๆ หรือร่างกายอ่อนแอร์ติดต่อเชื้อง่ายนั้น มาจากเครื่องปรับอากาศทั้งในรถยนต์ บ้าน และออฟฟิศนั่นเอง

สาเหตุสำคัญคือ ความไม่สะอาดถูกสุขอนามัยของเครื่องที่สะสมฝุ่น และเชื้อโรค อาจดูน่ากลัว แต่ที่จริงแล้วภัยเหล่านี้กำจัดได้ง่ายดาย คำตอบไม่ใช่การหยุดใช้งาน แต่คือการรู้จักทำความสะอาด และนี่คือ 9 เรื่องที่คุณควรอ่าน

แอร์ในบ้าน...เครื่องปล่อยสารพัดเชื้อร้าย 24 ชั่วโมง
เครื่องปรับอากาศ คือภัยที่หลายคนมองข้ามในฐานะแหล่งเพาะเชื้อโรคหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะเชื้อที่มีการแพร่ทางอากาศ ยิ่งเปิดนาน ก็ยิ่งรับการสะสมภัยอันตรายมาก และนี่คือ 5 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน

 แพทย์ยืนยันชัดเจนว่ามีเชื้อโรคนานาชนิดอยู่ในเครื่องปรับอากาศ และเชื้อโรคที่อยู่ในเครื่องปรับอากาศทั้งเชื้อแบคทีเรีย ไวรัส เชื้อรา มักเป็นเชื้อโรคที่เจริญเติบโตได้รวดเร็ว และแพร่เชื้อผ่านทางอากาศ ส่งผลให้คนที่ใช้เครื่องปรับอากาศสุขภาพเสื่อมโทรม และเป็นโรคต่าง ๆ มากมาย ทั้ง วัณโรค เชื้อไวรัส โรคสุกใส งูสวัด โรคภูมิแพ้ หืดหอบ ปอดบวม และหัดเยอรมัน

 อาการโรคภูมิแพ้ จากเครื่องปรับอากาศคือ ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการคันจมูก คันตา จามบ่อย แน่นจมูก และเมื่อตื่นนอนขึ้นมาจะมีอาการระคายคอ และหากมีอาการป่วยรุนแรงมาก จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้
ควรสังเกตว่า เวลาที่เปิดเครื่องปรับอากาศถ้ามีกลิ่นอับชื้นที่มากับความเย็น กลิ่นอับชื้นเหล่านี้มักมาจากเชื้อโรคที่ออกมาจากช่องระบายความเย็น และแผ่นกรองอากาศของเครื่องปรับอากาศ โดยความชื้นจะเป็นแหล่งสะสมเพาะพันธุ์อย่างดีของเชื้อโรค และเมื่อสะสมมาก ๆ เข้า เชื้อโรคก็จะหลุดลอยออกมาปะปนกับอากาศเย็นภายในห้อง

 ควรล้างทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศอย่างสม่ำเสมอ โดยดูตามความเหมาะสมจากสภาพแวดล้อมและการใช้งาน ด้วยวิธีการล้างแผ่นกรองอากาศอย่างน้อยเดือนละครั้ง โดยใช้น้ำฉีดแรง ๆ ที่ด้านหลัง ด้านที่ไม่ได้รับฝุ่น ให้ฝุ่นและสิ่งสกปรกหลุดออก และในแต่ละปีควรล้างเครื่องปรับอากาศแบบเต็มระบบ

 ควรปรับอุณหภูมิห้องให้เหมาะสม โดยทั่วไปควรตั้งไว้ที่ 25 องศาเซลเซียส และเปิดพัดลมระบายอากาศ เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้อย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดมลพิษ ในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ เช่น การสูบบุหรี่ การปรุงอาหาร ที่สำคัญ ควรดูแลสิ่งแวดล้อมในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ โดยกำจัดฝุ่น กำจัดแหล่งที่อยู่ของแมลงสาบ ละอองเกสรพืช ไรฝุ่นในที่นอน ขนสัตว์ และแมลงอื่น ๆ ที่อาจเป็นสาเหตุของโรคภูมิแพ้ หมั่นทำความสะอาดบ่อย ๆ และควรทำความสะอาดเพดาน ม่าน กำแพง ทุก ๆ 2 -3 เดือน กำจัดแหล่งเชื้อรา อย่าให้เกิดความชื้น หรือกลิ่นอับขึ้นภายในบ้านหรือในห้องที่ใช้เครื่องปรับอากาศ
ตู้แอร์ในรถยนต์...เครื่องปล่อยเชื้อโรคเคลื่อนที่

ตู้แอร์รถยนต์ ไม่เพียงแค่เป็นแหล่งรวมของฝุ่นละออง แต่ยังเป็นที่อยู่ของเชื้อโรค เชื้อรา เชื้อแบคทีเรียหลายชนิด ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพคุณและครอบครัว เพื่อสุขภาพอนามัย เราจึงควรล้างตู้แอร์ อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง และนี่คือ 4 เรื่องที่คุณไม่รู้ที่ควรอ่าน

 ฝุ่น จากภายนอกรถจะเข้ามาในระบบแอร์ทุกครั้งที่เปิดแอร์ เมื่อฝุ่นละอองมาเกาะอยู่ตามแผงคอยล์เย็นในตู้แอร์ ทุกครั้งที่เปิดแอร์ ลมแอร์ก็จะพัดเอาฝุ่นเล็ก ๆ เข้ามาในตัวรถ ยิ่งนั่งอยู่ในรถนาน ก็ยิ่งสูดฝุ่นเข้าไปในร่างกาย สะสมไปเรื่อย ๆ นานวันก็จะกลายเป็นสาเหตุของปัญหาโรคภูมิแพ้ โรคเยื่อบุในระบบทางเดินหายใจ

 ซากแมลงที่เน่าเปื่อยตายอยู่ในตู้แอร์ เป็นสิ่งที่พบได้เสมอ และนับเป็นอันตรายที่มองไม่เห็นและส่งผลต่อสุขภาพอย่างร้ายแรง นอกจากคุณจะสูดฝุ่นละอองเข้าไป คุณยังสูดเชื้อรา เชื้อแบคทีเรีย นั่นทำให้ร่างกายรับสารและก่อให้เกิดโรคแปลก ๆ ที่ไม่คาดคิดมากมาย โดยเฉพาะโรคจากการติดเชื้อในปอด และอวัยวะภายในร่างกาย

 เครื่องฟอกอากาศส่วนใหญ่จะอยู่ด้านหลัง แต่ตัวคุณขับรถอยู่ด้านหน้า ลมแอร์ที่เป่าออกมา จึงเหมือนส่งตรงเข้าจมูก ปอด ให้สูดก่อนที่เครื่องฟอกอากาศจะฟอกอากาศ ในขณะที่การหาซื้อเครื่องฟอกอากาศคุณภาพดีมาติดตั้ง ต้องใช้เงินมากกว่ามาก ดังนั้นการกำจัดที่สาเหตุ ด้วยการล้างตู้แอร์จึงเป็นทางหลีกเลี่ยงโรคภัยที่ดี และประหยัดกว่า

 หนึ่งในการล้างตู้แอร์ที่ได้รับการตรวจสอบ และรับรองโดยองค์การอาหารและยา คือการนำตู้แอร์มาทำความสะอาด ผ่านการล้างน้ำยาด้วยน้ำร้อนที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส ซึ่งสามารถแวะทำความสะอาดได้กับศูนย์บริการใกล้บ้าน

เพียงเท่านี้คุณก็จะมีความสุขในบรรยากาศแสนสบาย กับเครื่องปรับอากาศคู่ใจแล้วค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Twenty-four Seven
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #296 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:51:55 AM »

“ปวยเล้ง” ผักป้องกันโรคสมองเสื่อม




ปวยเล้งมีชื่อเรียกหลากหลาย ทั้ง ปวยเหล็ง สปิแนช ผักโขมจีน จนพากันสับสนว่า ชื่อไหนจริง ชื่อไหนลวง
ปวยเล้ง ต้านสมองเสื่อม

ปวยเล้งคือหนึ่งในผักใบเขียวที่นักวิจัยจาก Brigham and Women's Hospital ประเทศสหรัฐอเมริกา ยืนยันว่า ช่วยชะลออาการสมองเสื่อมในคนสูงอายุได้

นักวิจัยได้ทำการศึกษาโดยให้อาสาสมัครหญิงวัย 60 ปี ร่วมทำแบบทดสอบความจำ และตอบคำถามเรื่องการกินอาหารในชีวิตประจำวัน หลังจากทำแบบทดสอบ 10 ปี นักวิจัยให้อาสาสมัครหญิงชุดเดิมทำแบบทดสอบอีกครั้ง

การศึกษาพบว่า แม้ประสิทธิภาพการทำงานของสมองในหญิงสูงวัยส่วนใหญ่ลดลงตามวัย แต่ผู้ที่กินผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง เป็นประจำ มีคะแนนความจำดีกว่าผู้ที่ไม่กิน ทั้งพบว่า หากกินผักสัปดาห์ละ 8 ทัพพี สมองจะทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่กินผักน้อยกว่าสัปดาห์ละ 5 ทัพพี

แม้ไม่ได้ทดลองในเพศชาย แต่นักวิจัยเชื่อว่าจะให้ผลเช่นเดียวกัน พร้อมเสริมว่า นอกจากปวยเล้ง การกินบรอกโคลีและผักกาดหวาน (romaine lettuce) ก็ช่วยต้านโรคสมองเสื่อมได้เช่นกัน

 ขั้นตอนก่อนเข้าครัว

เลือกซื้อ ควรเลือกลำต้นสีเขียวอ่อน มีใบใหญ่สีเขียวเข้ม ไม่ควรเลือกใบหนา สีเหลือง เพราะเป็นผักที่ใกล้เสียแล้ว
เก็บรักษา หากไม่ทำอาหารทันที ควรล้างทำความสะอาด แล้วเก็บในถุงพลาสติกหรือกล่องใส่อาหาร แช่ในตู้เย็น ช่องเก็บผัก สามารถเก็บได้นาน 3 - 4 วัน


เมื่อพร้อมแสดงฝีมือ ก็เลือกสัก 1 เมนู ปวยเล้งสามารถกินเป็นผักสดกับน้ำพริก หั่นใส่สลัด หรือทำแกงเลียง แกงส้ม ต้มจืด สุกี้ ผัดไฟแดง ก็อร่อย ได้ประโยชน์และบำรุงสมองในคราวเดียว

 ผู้ป่วยโรคนิ่วควรหลีกเลี่ยง

ปวยเล้งมีประโยชน์แต่ก็อาจก่อโทษหากกินมากเกินไป โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคนิ่วค่ะ

สาเหตุหนึ่งของโรคนิ่วเกิดจากร่างกายดูดซึมและขับสารออกซาเลตผิดปกติ เมื่อสารนี้สะสมจนถึงจุดอิ่มตัว จะทำให้เกิดผลึกก่อนนิ่วได้

ปวยเล้งมีกรดออกซาลิก (Oxalic acid) สูง จากข้อมูลจากกลุ่มวิเคราะห์คุณค่าทางโภชนาการ กองโภชนาการ พบว่า มีกรดออกซาลิก 970 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 100 กรัม ในขณะที่ผักคะน้า และผักกาดหอมมี ประมาณ 7.5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก100 กรัมเท่านั้น

แม้สามารถกินกรดออกซาลิกจากอาหารได้วันละ 22,000 มิลลิกรัม หรือ 22 กรัม (สำหรับคนที่มีน้ำหนักตัว 60 กิโลกรัม) โดยไม่มีเกิดโรค แต่เพื่อลดความเสี่ยงผู้ที่มีประวัติเป็นโรคนิ่ว หรือเป็นโรคนิ่วอยู่ขณะนี้ ก็ควรหลีกเลี่ยง

รู้จักปวยเล้ง แถมวิธีกินอย่างฉลาด ไม่ว่าวัยไหนก็มีสมองใส ความจำแจ๋วได้



ที่มา...ชีวจิต
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #297 เมื่อ: พฤษภาคม 14, 2013, 08:53:49 AM »

คิดให้ดีก่อนซื้อ..ชุดออกกำลังกาย





เห็นสาวน้อย สาวใหญ่ หนุ่มน้อย หนุ่มใหญ่ ยุคใหม่ใส่ใจออกกำลังกายอยู่เป็นประจำแล้ว ทำให้คิดว่าต่อไปคงจะมีแต่คนหุ่นดี สุขภาพดีเยอะแยะเต็มไปหมดเลยนะคะ และเพราะทุกวันนี้มีคนหันมานิยมออกกำลังกายกันมากขึ้น ก็เลยทำให้เกิดแฟชั่นชุดออกกำลังกายออกมามากมายหลายสีสันหลากสไตล์ ที่ใส่แล้วดูลุคเป็นสาว เปรี้ยว หนุ่มเท่ห์กันทั้งนั้น

แต่ก่อนจะตัดสินใจซื้อชุดออกกำลังกายที่คิดว่าอินเทรนด์สุดๆ แล้วล่ะก็ อย่าลืมค่ะ…อย่าลืมว่า ต้องคิดถึงจุดประสงค์ของการใช้งานด้วย เพราะชุดออกกำลังกายที่ดีต้องใส่แล้วเหมาะกับการออกกำลังกายประเภทนั้นจริงๆ คือต้องสามารถพยุงกล้ามเนื้อได้ดี แล้วที่ว่าเหมาะกับการออกกำลังกายนั้นเป็นอย่างไรมาดูกันค่ะ

 อันดับแรก… ไม่ว่าคุณจะซื้อให้ตัวเองหรือช่วยเลือกให้กับคนในครอบครัว ควรดูป้ายสินค้าก่อนเลยค่ะว่า มีรายละเอียดของผลิตภัณฑ์อย่างไร ทำจากเนื้อผ้าอะไร เพราะชุดออกกำลังกายที่ดีนั้นเนื้อผ้าต้องระบายอากาศและเหงื่อได้ดี เดี๋ยวนี้เขานิยมเนื้อผ้าไลครา สแปนเด็กซ์กันค่ะ เพราะเนื้อผ้าจะเข้ารูป มีความเรียบลื่น สวมใส่ง่าย ใส่สบาย ไม่ระคายเคืองผิวระหว่างออกกำลัง แถมยังดูดซับเหงื่อได้ดีอีกด้วย

ที่สำคัญต่อมา อย่าลืมลองชุดก่อนตัดสินใจซื้อด้วยนะคะว่า ชุดนี้ใส่แล้วรู้สึกสบายไหม ลองขยับเขยื้อนร่างกายดูว่าคล่องตัวดี ใส่แล้วไม่รู้สึกร้อนหรือคัน แบบของชุดเข้ากับบุคลิกไหม ทำให้เรามีลุคอย่างที่ตั้งใจไว้หรือเปล่า ต้องดูหลายๆ อย่างรวมกันเพราะบางทีเราอาจจะชอบรูปแบบของชุดนี้เหลือเกิน แต่ใส่จริงแล้วไม่สบาย ก็ต้องยอมตัดใจกันค่ะ เลือกที่ชอบรองลงมาแต่สวมใส่สบายๆ น่าจะดีกว่า

 อีกเคล็ดลับในการเลือกชุดออกกำลังกาย คือควรเลือกชุดที่ใส่พอดีตัว ถ้าคับเกินไปก็จะทำให้อึดอัด หรือถ้าหลวมเกินไปก็จะทำให้การออกกำลังกายบางประเภทไม่สะดวก อย่างชุดสำหรับเล่นโยคะ พีลาทีส ที่ต้องมีท่าก้มตัว ถ้าเสื้อผ้าหลวมเกินไปก็อาจจะร่นหรือเปิดได้ง่าย การเลือกใส่เสื้อผ้าที่พอดีตัวยังมีส่วนช่วยให้สามารถเช็ครูปร่างได้ง่ายด้วย เพราะได้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจน ส่วนใครที่ยังไม่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง เวลาใส่เสื้อผ้าพอดีตัวก็จะเป็นแรงกระตุ้นให้อยากลดหุ่นให้มีรูปร่างสวย เท่ห์ เหมาะกับเสื้อผ้าอีกต่างหาก

 รองเท้าออกกำลังกายก็สำคัญค่ะ ต้องเลือกให้เหมาะกับกิจกรรมการออกกำลังกาย เดี๋ยวนี้มีทั้งรองเท้าวิ่ง รองเท้าเต้นแอโรบิค รองเท้าเทนนิส และอื่นๆ อีกมากมายที่ผลิตขึ้นมาสำหรับกีฬาแต่ละชนิด รองเท้าแต่ละแบบก็จะรองรับน้ำหนัก และกระชับรับกับเท้าแตกต่างกัน ส่วนเคล็ดลับการเลือกซื้อรองเท้าให้จำไว้เลยว่า ควรไปซื้อในช่วงบ่ายๆ เพราะเท้าจะบวมกว่าในช่วงเช้า เนื่องมาจากเราใช้เท้ามาแล้วทั้งวัน เวลาลองรองเท้าก็ให้ใส่รองเท้า แล้วผูกเชือกให้เรียบร้อย ทดลองเดิน หรืออาจลองวิ่งเหยาะๆ ดูก็ได้ สังเกตดูโดยให้ความยาวของรองเท้ายาวกว่านิ้วเท้าที่ยาวที่สุด ประมาณ 1.2 -1.75 ซม.ค่ะ


ได้ชุดออกกำลังกายที่ถูกใจกันแล้ว คราวนี้ก็ชวนสมาชิกในครอบครัวไปออกกำลังกายด้วยกันได้เลยค่ะ
ที่มา ... goodfoodgoodlife
บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #298 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2013, 08:25:47 PM »

ตำแหน่งสิว บอกเรื่องสุขภาพได้ (จริงหรือไม่)

เมื่อปีสองปีก่อน เคยมีคำแนะนำเรื่อง วิธีสังเกตจุดที่เป็นสิวบ่อยๆ บนใบหน้า ที่อาจเป็นสัญญาณเตือนเรื่องสุขภาพของสาวๆ ได้อีกด้วย

อาทิ



หน้าผากซ้าย-ขวา
สาวๆ ที่เป็นสิวบริเวณ หน้าผากซ้าย-ขวา มักพบปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อย กระเพาะปัสสาวะและต่อมหมวกไต หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการทำความสะอาดผิวหน้าไม่ดีพอหรือจากภาวะที่ร่างกายมีความเครียด สะสม

หว่างคิ้ว
สิว ที่ขึ้นบริเวณหว่างคิ้ว มักพบปัญหาเกี่ยวกับการย่อยน้ำตาลแล็กโทสซึ่งส่วนใหญ่พบอยู่ในน้ำนม หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการทานอาหารรสจัด หรือระบบการดูดซึมที่ไม่สมบูรณ์ของกระเพาะและลำไส้เล็ก

ภายในหู
สิวภาย ในหู มักเกี่ยวกับการทำงานของไต หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือนานเกินไป รวมไปถึงการรับประทานเนื้อสัตว์ ดื่มกาแฟ และแอลกอฮอล์มากเกินไป

แก้มส่วนบน
สิวที่เกิดบริเวณแก้มส่วนบนหมายถึงอาจมีอาการไซนัสและปอด หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการสูบบุหรี่จัด ภูมิแพ้ และเป็นหวัดเรื้อรัง

แก้มส่วนล่าง
สาวๆ ที่เป็นสิวบริเวณแก้มส่วนล่าง อาจพบปัญหาเกี่ยวกับเหงือกและฟัน หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการใช้โทรศัพท์มือถือที่ไม่สะอาด

รอบดวงตา
เมื่อ มีสิวเกิดขึ้นบริเวณรอบดวงตาทั้งสอง อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของไตหรือโรคภูมิแพ้ หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการสวมแว่นตาที่เสียดสีกับผิวมากเกินไป

จมูกและเหนือริมฝีปาก
สิว ที่ขึ้นบริเวณจมูกและเหนือริมฝีปาก มักพบปัญหาจากการทำงานของหัวใจและระบบสืบพันธุ์ หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนภายในร่างกาย หรืออยู่ในระหว่างการใช้ยาคุมกำเนิด

ใต้ริมฝีปาก
สาวๆ ที่เป็นสิวบริเวณใต้ริมฝีปาก อาจมีปัญหาเกี่ยวกับการทำงานของรังไข่ หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากภาวะการขาดความสมดุลย์ของฮอร์โมนภายในร่างกาย หรือการทำความสะอาดไม่ดีพอ

ปลายคาง
สิว ที่ขึ้นบริเวณปลายคาง มักพบปัญหาที่บริเวณกระเพาะอาหารและลำไส้เล็ก หรือสาเหตุอื่นๆ อาจเกิดจากการทานอาหารรสจัดจนลำไส้เล็กเป็นแผลหรือมีปัญหาในเรื่องการดูดซึม

สรุปว่าการดูแลรักษาใบหน้าให้สะอาดหมดจด พักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานผักผลไม้ อาหารที่มีประโยชน์เป็นสิ่งที่สาวๆ ควรทำอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ แต่สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้นอกจากสิ่งเหล่านี้ คือ การทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ลดความกังวลเกี่ยวกับปัญหาเรื่องสิวลงไปบ้าง มองโลกในแง่บวกว่าตัวเราเองก็มีจุดเด่นในด้านอื่นๆ อีกมากมาย เพียงเท่านี้ก็จะช่วยเรียกความมั่นใจของสาวๆ กลับคืนมา และทำให้สาวๆ กลายเป็นสาวพราวเสน่ห์ได้อย่างง่ายดาย

 

.....

แต่หลังจากนั้นอีกไม่นาน ก็เหมือนมีแพทย์ออกมาพูดว่า ไม่มีผลใดรองรับบทความนี้ ว่า จริง เท็จ ยังไง
หากเชื่อแล้วไม่มีผลเสียกับตัวเรา ก็ไม่ต้องหวั่นใจไป อ่านไว้ไม่เสียหลายค่า




webboard.yenta4.

บันทึกการเข้า

finghting!!!
jainu
Moderator
Sr. Member
*****
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 11494


« ตอบ #299 เมื่อ: พฤษภาคม 28, 2013, 08:29:40 PM »

เหงื่อออกมากบ่งบอกอาการของโรคได้




เหงื่อออกมากบ่งบอกอาการของโรคได้
เหงื่อบ่งบอกอาการของโรคได้ อาการเจ็บป่วยหากเรารู้จักสังเกตุตนเองก็จะทำให้รู้ว่ามีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับสุขภาพของเราหรือไม่ ”เหงื่อออกมาก” หรือออกมากจนผิดปกติก็เป็นอาการที่บ่งบอกโรคได้เช่นกัน



เหงื่อที่ออกมาจากร่างกายของคนเรานั้น เกิดขึ้นเมื่อร่างกายสัมผัสสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อนและอารมณ์ และโรคที่สัมพันธ์กับเหงือมี 2 ประเภทคือ



โรคที่ทำให้เหงือออกมาก ได้แก่



1. โรคเครียด ลักษณะของเหงื่อที่ออกจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า และหน้าผาก อาจจะมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่นใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว มือสั่น

2. ต่อมไทรรอยด์เป็นพิษ หรือคอพอก จะมีเหงื่อซึมออกมาทั่วตัวและบริเวณฝ่ามือทั้ง 2 ข้าง อาจมีอาการหงุดหงิด มือสั้น ขี้ตกใจ ตาโปน ผมร่วง และหิวน้ำบ่อย

3. วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วลำตัวในเวลากลางคืนสลับกับมีอาการไอเรื้อรังร่วมด้วย

4. โรคเบาหวาน จะมีเหงื่อซึมทั่วตัวโดยเฉพาะฝ่ามือ ฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ คล้ายจะเป็นลม

5. โรคหัวใจ จะมีอาการเหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่หน้าอก เหงือออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย เสี่ยงการเป็นโรคหัวใจสูง

6. ภาวะใกล้หมดประจำเดือน คนที่ใกล้หมดประจำเดือน สมองจะหลั่งฮอร์โมนเทศหญิงน้อยลง ทำให้เหงื่อออกมากในเวลากลางคืน


ถึงแม้อาการเหงื่อออกมากจะบ่งบอกอาการของ โรคได้ แต่ก็ต้องมีปัจจัยอื่นๆ ร่วมด้วย หากมีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติก็ควรดูแลสุขภาพ หาวิธีป้องกันและพบแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายนะค่ะ




ที่มาข้อมูลและภาพ tsgclub.com

บันทึกการเข้า

finghting!!!
Gold Price today, Gold Trend Price Prediction, ราคาทองคํา, วิเคราะห์ทิศทางทองคํา
   

images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary ---------------------Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. For more information on Moore Research products and services click here. --- http://www.mrci.com ---------- ---------------------------------------------รูปกราฟแสดงราคาทองในอดีตปี 1974-1999 ของ Moore Research Center, Inc. แสดงฤดูกาลที่ราคาทองขึ้นสูงสุดและตําสุด เอาแบบคร่าวๆ เส้นนําตาลหรือนําเงินก็ใกล้เคียงกัน เส้นนําตาลเฉลี่ย 15 ปี เส้นนําเงินเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุดของเส้นนําตาล หรือเฉลี่ย 15 ปี ในเดือน ปลายเดือน เมษ และปลายเดือน สค ต่อต้นเดือน กย[/color] สูงสุดในเดือน กพ กับ พย / ส่วนเฉลี่ย 26 ปี ราคาตําสุด ต้น กค กับ ปลาย สค และราคาสูงสุดในเดือน กพ และ กลางเดือน ตค ----- แค่ดูคร่าวๆ เป็นแนวทาง อย่ายึดมั่นว่าจะต้องเป็นตามนี้ ข้างล่างเป็นกราฟราคานํามัน ตามฤดูกาล จาก Charts courtesy of Moore Research Center, Inc. images by free.in.th
Thanks: ฝากรูป dictionary
 บันทึกการเข้า
หน้า: 1 ... 18 19 [20] 21 22 ... 42   ขึ้นบน
พิมพ์
กระโดดไป: